แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟัง ปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจาก เครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน เเล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ จากการมาวัดในวันอาทิตย์ ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๖ เดือนธันวาคม อีกสองอาทิตย์ก็สิ้นเดือน แล้วก็สิ้นปีด้วย ตามรูปสมมติ วันเดือนปีนั้นมันก็คงที่ แต่เราก็ต้องสมมติเรียกกัน เพื่อจะสะดวกแก่การนับ เวลาล่วงไป สิ้นไป ชีวิตของเราก็เปลี่ยนแปลงไป จากความที่เป็นอยู่ เป็นไปในรูปอื่น คือเปลี่ยนขึ้นบ้าง เปลี่ยนลงบ้าง ไม่มีการหยุดอยู่กับที่ ชีวิตร่างกาย ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องที่เราควรจะ ได้พิจารณา เพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดเจน จะไม่ได้เข้าไปยึดถือให้เป็นทุกข์ เป็นร้อนมากมายเกินไป และได้มีความเป็นอยู่ที่พอดีพองาม ตามหลักธรรมะ ในทางพุทธศาสนา
วันนี้ก็จะ พูดถึงเรื่องภาษิตเก่าๆ ที่เคยได้ยินพระท่านเทศน์ มาสมัยนานๆ แล้ว เวลาพระท่านเทศน์แบบเก่าๆ นี่ท่านเทศน์ มักจะเทศน์เรื่อง ขึ้นพระบาลีว่า
กิจโฉ มะนุสสะปะฏิลาโภ การได้อัตตภาพเป็นมนุษย์นี่ยาก
กิจฉัง มัจจานะชีวิตตัง การได้ชีวิตเป็นอยู่ก็ยาก
กิจฉัง สัทธัมมัสสะวะนัง การได้ฟังธรรมมะที่ถูกต้องก็เป็นการยาก
กิจโฉ พุทธานะมุปปาโท การเกิดขึ้นของพุทธะผู้รู้ ก็เป็นการยากเช่นเดียวกัน
อันนี้เรียกว่าเป็นเรื่องยาก ๔ ประการ ที่คนโบราณเข้าผูกเป็นคาถาไว้ เพื่ออธิบายให้เห็นว่ามันยาก ยากที่จะได้เป็นมนุษย์ ยากที่จะดำรงชีวิต อยู่อย่างถูกต้องและสบาย ยากที่จะได้ฟังธรรมอันถูกต้อง ยากที่พระพุทธเจ้า จะเกิดจะมีขึ้นในโลก รวมเรื่องยากนี้มัน ๔ ประการ
ที่พระท่านเทศน์บ่อยๆ ในสมัยก่อน เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนใจคน ให้รู้ว่าสิ่งที่ยากนั้น ถ้าเราทำให้เกิดขึ้น มันก็ทำได้แต่ว่าค่อนข้างจะยากสักหน่อย คล้ายกับขึ้นภูเขานี้มันยาก ไม่เหมือนเวลากลิ้งลงจากภูเขา ความจริงขึ้นภูเขาก็ยาก ลงก็ยากเหมือนกัน ลงยากเหมือนกัน แต่ถ้าให้ง่ายก็คือ นอนกลิ้งลงมา แต่นอนกลิ้งลงมานี้มันง่าย แต่ว่ามันจะดับเสียก่อนที่จะถึงเชิงเขาเท่านั้นเอง แต่ทั้งขึ้นทั้งลงนี้มันก็ยาก
เมื่อวันก่อนไปออสเตรเลียก็ไปขึ้นภูเขา ขาขึ้นมันก็ลำบาก ขาลงยิ่งลำบาก กว่าขาขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะถ้าพลาดท่าแล้วมันก็ลื่น ด้วยใบไม้แห้ง เมื่อลื่นแล้วมันก็จะล้ม เมื่อล้มแล้ว…มันจะกลิ้งอย่างไม่หยุด ถ้าไม่ติดต้นไม้ก็ถึงเชิงเขา ก็คงจะได้หลายแผล จึงคิดได้ว่า ขึ้นก็ยากลงก็ยากเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่น่าคิดในเรื่องอย่างนี้
นี่ที่ท่านกล่าวว่าการเป็นมนุษย์นี้ยาก เกิดเป็นมนุษย์นี้ยาก สมัยก่อนเคยฟังพระท่านเทศน์ ท่านก็พูดว่ามนุษย์นี้มันมีน้อย สัตว์เดรฉานมีมาก เพียงแต่จำนวนสัตว์เลื้อยคลานนี่ก็มากกว่ามนุษย์ สัตว์ปีกนี่ก็มีมากกว่ามนุษย์ สัตว์ ๔ เท้า ๒ เท้าอะไรต่างๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้นไป นั้นท่านเทศน์ในเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย ไม่ได้เทศน์เรื่องเกี่ยวกับจิดใจ
แต่ว่าเป็นเครื่องชี้ให้คนเห็นง่ายๆ ในทางวัตถุว่า คนที่ได้อัตตาภาพเป็น มนุษย์นี้ลำบาก แต่ว่าเป็นสัตว์เดรฉานนั้นเป็นง่าย เป็นเครื่องชี้ให้เห็น ในทางด้านร่างกาย ไม่ได้ชี้ให้เห็นในทางด้านจิตใจ โดยเนื้อแท้ของพระภาษิตนี้ มุ่งทางจิตใจมากกว่า คือมุ่งจะชี้ให้เราเห็นว่า การได้สภาพจิตเป็นมนุษย์นี้มันยาก เพราะว่าจิตคนเรานั้น มันจะตกต่ำลงเป็นไปอื่นเสียมาก อาจจะตกต่ำลงไป เป็นสัตว์เดรฉาน เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย หรือเป็นอะไรๆ ที่เป็นฝ่ายต่ำ ซึ่งเรียกว่าอบายก็ได้
แต่ที่จะดึงขึ้นให้สูงขึ้น เริ่มแรกก็คือความเป็นมนุษย์ ขั้นต่อไปก็เป็นเทวดา หรือว่า สูงขึ้นไปจนถึงพระอริยเจ้า เป็นเรื่องยาก ยากที่จะดึงขึ้นไป มันชอบไปในทางต่ำ คลายกับน้ำชอบไหลไปในที่ต่ำ ถ้าเราจะทำให้น้ำไหลไปในที่สูง ต้องใช้แรงงานฉุดขึ้นไปถึงจะได้ ถ้าไม่มีแรงงานฉุดน้ำขึ้นไปก็ขึ้นที่สูงไม่ได้ เช่นเอาน้ำขึ้นถังนี่ก็ต้องใช้แรงงาน ไฟฟ้าเดินเครื่อง แล้วก็สูบขึ้นไป จึงจะขึ้นไปอยู่บนถังได้ แต่ถ้าปล่อยตามปกติน้ำย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำฉันใด ใจของคนเรานี้ก็เหมือนกัน มันไปสู่ที่ต่ำได้ง่าย ไปสู่ความคิดความนึก ในเรื่องต่ำๆ นั้นง่าย
เช่นไปสู่ภาวะเป็นสัตว์เดรฉาน คือความโง่ก็ง่าย ไปสู่สัตว์นรก คือความร้อนอกร้อนใจ เพราะทำอะไรผิดพลาดก็ง่าย ไปสู่ความเป็นเปรต คือความไม่พอใจ ไม่ไม่พอ ไม่ …... (07.36) ไม่เต็มในเรื่องอะไรต่างๆนี้มันก็ง่าย หรือไปสู่ความเป็นผี คือคิดจะหลอกจะต้มคน มันก็ง่าย ไปง่ายทั้งนั้น ไอ้เรื่องทางต่ำนี้ีไปง่าย แต่ถ้าจะขึ้นสูงนี่ย่อมลำบาก มันยากที่จะเป็น เป็นได้ ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วมันก็ตกลงไปอีก เพราะฉะนั้น ในชีวิตของคนเรา ในวันหนึ่งๆ ถ้าสังเกตดูให้ดีแล้ว จิตใจจะตกต่ำไปสู่สภาวะ ที่ไม่พึงปรารถนามากมายนี่ แต่ที่จะสูงขึ้นมานั้นเป็นการยาก
เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่าเป็นมนุษย์นี่ยาก คำว่า “มนุษย์” แปลว่า ใจสูง ใจสูงก็หมายความว่ามันพ้นจากระดับต่ำๆ พ้นจากความคิดชั่วความคิดร้าย ความคิด ไม่ดีไม่งาม อันจะทำให้ชีวิตของเราตกต่ำลงไป มันต้องอยู่ในสภาพอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการที่จะทำใจให้สูง มันต้องมีสิ่งคอยประคับประคองไว้ ให้สูง อยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีอะไรประคับประคองก็จะหล่นได้ง่าย เหมือนกับวัตถุ ที่เราไว้ บนที่สูง ก็ต้องมีเสาค้ำ ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องค้ำ มันก็ตกลงมา หรือว่าผูกแขวนไว้ ถ้าไม่มีเชือกผูกมันก็หล่นลงมา ลงมาสู่โลก เพราะโลกมันดูดให้ตกลงมาตลอดเวลา
จิตใจคนเรานี่ก็เหมือนกัน ถูกอารมณ์มันดูดให้ตกต่ำ รูปที่เห็นได้ด้วยตา เสียงที่ฟังด้วยหู กลิ่นที่สัมผัสด้วยจมูก รสที่กระทบด้วยลิ้น สิ่งถูกต้องทาง กายประสาท สิ่ง ๕ ประการนี้ เขาเรียกว่าเครื่องล่อใจ เครื่องล่อใจนี่มันจูงใจเรา ให้ไปติดไปผูก อยู่กับสิ่งนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา
คนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว เครื่องล่อ เครื่องจูงใจนี้ก็ดึงไปได้ง่าย เพราะฉะนั้น หนุ่มสาวจึงมีการติดพันกัน ในระหว่างเพศ ชายหนุ่ม ติดพันหญิงสาว หญิงสาวก็ไปติดพันชายหนุ่ม แล้วใจมันก็ไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เราติดพันนั้น ขนาดที่เรียกว่าคิดถึงเหมือนใจจะขาด เอ มัน คิดอย่างไร ใจมันจะขาดไปได้อย่างไร นั่งๆ คิดดูว่า เอ้มันคิดถึงอย่างไร จึงใจจะขาดไป เรียกว่า คิดถึงจนจะตายมันมี เราที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่มาแล้ว ลองนึกทบทวนดูว่า เมื่อสมัยที่ ยังหนุ่ม ยังสาว เคย คิดถึงอะไรเหมือนใจจะขาดมันมีบ้างไหม ไอ้เรื่องคิดถึงนี่ ใจมันคงจะไม่ขาด มันจะขาดใจก็เพราะมันขาดอะไรเป็นเครื่อง …… (07.36 เสียงไม่ชัดเจน) ปรุง ใจจะขาด
แต่ว่าคิดถึงอย่างนั้น ใจมันจะขาดได้อย่างไร มันก็ต้องพุ่งไปอย่างแรง เพื่อไปสู่อารมณ์ที่ตนต้องการ นึกถึง รูป นึก เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ตนอยาก จะมีจะได้ ตลอดเวลา ใจมันคงไม่ขาด แต่ที่เขาเรียกว่าใจจะขาด คือมันขาดจาก ความเป็นมนุษย์ นั้นเอง ไม่ได้ขาดใจตาย แต่มันขาดจากภาวะ ที่เรียกว่า เป็นมนุษย์ในทางจิตใจ เพราะใจมันตกลงไป ต่ำ แล้วก็ไปติดอยู่กับสภาพเช่นนั้นอยู่ ตลอดเวลา จนดึงไม่ค่อยขึ้น แล้วจะเสียผู้เสียคนไปก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงปรากฎว่า คนฆ่าตัวตาย เพราะไม่ได้ดังใจ ไม่ได้ดังที่ตนต้องการ หรือว่ามีอะไรมา ทำให้เกิดการขัดข้อง ที่จะไม่ได้ไม่เป็นอย่างนั้น ก็เลยเสียใจ แล้วก็ใจขาด อันนี้ขาดจริงๆ คือขาดตายลงไป ไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ถ้ายังเป็นอยู่นี้ เขาเรียกว่า ใจขาดจากความเป็นมนุษย์ เพราะ นึกถึง เรื่องอะไรมันมากเกินไป แล้วอาจจะคิดในทางต่ำ ไปทำในสิ่งที่ไม่น่าจะทำ จนปรากฏ เป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่าคนเราไม่น่าจะทำในเรื่องอย่างนั้น แต่ก็ทำได้ ก็เพราะว่า จิตมันขาดจากความเป็นมนุษย์ ในทางจิตใจ จึงได้กระทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรลงไป
คนเราถ้าไปติดอะไรมาก จิตมันก็ไปอยู่กับสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร แม้ในเรื่องศาสนา เรื่องลัทธิการเมือง เรื่องอะไรต่างๆ ที่คนเข้าไปติด ไปผูกพันไว้ ก็เป็นเหตุให้ขาดความเป็นมนุษย์ได้เหมือนกัน ถ้าความผูกพันนั้น เป็นไปด้วย กิเลสตัณหา ไม่ได้เป็นไปด้วยปัญญา ถ้าเป็นไปด้วยปัญญานั้นไม่มีทางเสียหาย แต่ที่มันเสียหายก็เพราะว่า ขาดปัญญาเป็นเครื่องกำกับ แล้วก็คิดไปในทางที่ ใช้กิเลสเป็นผู้นำ ใช้ตัณหาความอยากเป็นผู้นำ
เช่น การคิดถึงเพศตรงกันข้าม ที่คนหนึ่งพออกพอใจ นี่มันกิเลสนำแล้ว หรือว่าคิดในเรื่องที่เราจะเป็นอะไรต่างๆ อยากมาก รุนแรงพอไม่ได้สมหวัง ก็เลยฆ่าตัวตาย นั้นก็เป็นความคิดที่มีกิเลส คือ ความอยากที่รุนแรง แล้วก็คิดไปว่า เมื่อไม่สมหวังฉันจะอยู่ไปทำไม ในโลกนี้ อยู่ไปก็ขายหน้า แล้วก็เลยทำลายตัวเอง ให้ ถึงแก่กรรมลงไป การกระทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นบาปเป็นโทษ เพราะทำด้วยจิตใจ ที่เศร้าหมอง ไม่ได้ทำด้วยจิตใจที่ผ่องใส หรือด้วยจิตใจที่มีปัญญา
ถ้าจิตใจมีปัญญามันก็ไม่ทำอย่างนั้น เพราะใจที่มีปัญญาย่อมรู้ชัดในสิ่งต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริง คือรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรถูกต้อง แล้วก็ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น ด้วยอำนาจอุปาทาน การยึดด้วยอุปาทานคือการยึดด้วยความหลงผิด ความเข้าใจผิด ในเรื่องนั้นๆ ยึดมั่นว่า มันเป็นเรื่องสำคัญเสียเหลือเกิน สำหรับชีวิตของเรา จนคิดว่า ถ้าไม่มีสิ่งนั้น ฉันอยู่ไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าอุปาทาน ยึดมั่นมากเกินไป ในเรื่องอันนั้น เลยทำให้เกินเป็นปัญหา คือ ความทุกข์ความเดือดร้อน
การคิดเช่นนั้น เป็นการคิดที่ไม่ถูกต้อง จิตใจก็ตกต่ำ ความเป็นผู้มีใจสูงขึ้น มันก็หายไป แต่หล่นลงไปเกลือกกลั้วกับกิเลสตัณหา อันเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ สภาพชีวิตก็เป็นทุกข์ เดือดร้อนเพราะเรื่องดังที่กล่าว อันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นง่ายๆ ว่า ความเป็นมนุษย์มันจางไป จืดไป ก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน หรือว่า ในขณะใดที่เรานั่งกลุ้มใจ จะด้วยปัญหาอะไรก็ตาม กลุ้มใจเรื่องเงิน เรื่องข้าวของ เรื่องลูกเรื่องหลานเรื่องในครอบครัว เรื่องอะไรต่างๆ เรานั่งกลุ้มใจ ที่เรานั่งกลุ้มใจนั้น เราไม่ได้เป็นมนุษย์ในขณะนั้น สภาพจิตใจที่เป็นมนุษย์หายไป มองอะไรไม่ชัด ตามสภาพที่เป็นจริง เพราะเราไม่ได้อยู่ในที่สูงกว่าสิ่งนั้น
ถ้าเราอยู่ในที่สูงกว่าสิ่งที่เรามอง เราก็เห็นได้ชัด เหมือนเราขึ้นไปบนภูเขาทอง ก็เห็นกรุงเทพได้ไกล หรือว่าขึ้นไปบนตึกสูงๆ ขนาดตึกของธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพอะไรอย่างนี้ มันสูงพอไปได้ แล้วเรามองไปรอบทิศนี่มันเห็นได้ไกล เห็นถนนหนทาง เห็นบ้านเห็นช่อง เห็นทุ่งเห็นนา บางทีก็อาจจะเห็นไปถึงปากน้ำ ถ้าอากาศแจ่มใสอาจจะเห็นปากน้ำก็ได้
ใจเรานี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจมันอยู่สูงนี่มองเห็นอะไรชัดเจน เหมือนคำที่ท่าน เปรียบว่า คนที่ขึ้นไปอยู่บนปราสาท คือปัญญา ย่อมมองเห็นอะไรถูกต้อง อยู่บนที่สูง นี่มองอะไรชัด ใจที่อยู่สูง ก็มองเห็นอะไรถูกต้อง เห็นอะไรว่าเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ หรือเป็นสภาวะธรรมชาติ ที่มีการปรุงแต่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ไม่มีอะไรที่น่าจะเข้าไปยึดถือ ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา นั้นเรียกว่ามองเห็นชัด ที่มองเห็นชัดอย่างนั้นก็เพราะว่า ใจเรามันสูงขึ้นไป ไม่ได้ติดพันอยู่กับสิ่งที่อยู่ต่ำๆ พอใจขึ้นสูงก็มองเห็นชัดเจนขึ้น
ความเป็นมนุษย์นี่ ทำให้มองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงควรจะได้พยายาม ยกระดับจิตใจ ของเราให้สูงเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา คุณธรรมที่จะช่วยให้จิตใจของเรา เป็นมนุษย์ มีใจสูงนั้น ควรจะประกอบด้วยอะไรบ้าง
ประการแรกก็ต้องมีเมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญ แก่เพื่อนมนุษย์ ทั้งหลาย ความมีเมตตาอยู่ในใจนั้น ทำให้งดเว้นจากการฆ่าจากการเบียดเบียนกัน ด้วยประการต่างๆ เราต้องมีจิตใจที่ประกอบด้วยเมตตา คือมีความรู้สึกนึกคิดในทาง ที่จะให้ใครๆเขาเป็นสุข มีความเจริญมีความก้าวหน้า ในชีวิตในการงาน ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย
ต้องทำในใจไว้อย่างนี้บ่อยๆ หรือตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะยืน จะเดิน จะนั่ง อยู่ในที่ใด เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับใคร ถ้าเราไม่ทำเรื่องอื่น อันเป็นหน้าที่การงาน ที่จะต้องจัดต้องทำ เวลาใดทำการทำงานก็ทำไปตามหน้าที่ ที่เราจะต้องทำ จิตมันก็อยู่กับงาน กับการ ที่เราทำอยู่แล้ว มันก็ไม่ยุ่งอะไร แต่ถ้าเมื่อใดไม่มีอะไรจะทำ เราก็มานั่งสร้างความเมตตาขึ้นในใจด้วยการคิดว่า ให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุข
หรือว่าเราอยู่ใกล้ใคร เราก็นึกว่า ขอให้คนที่นั่งอยู่ข้างเรา นั้นจงเป็นสุข คนที่ยืนข้างเรา จงเป็นสุข คนที่เดินอยู่ใกล้เรา จงเป็นสุข พ้นทุกข์พ้นร้อน ไม่มีเวร ไม่มีภัย แก่กันและกัน เหมือนคำที่เราแผ่เมตตา แต่ว่าเราต้องนึกบ่อยๆ คิดบ่อยๆ ในเรื่องนั้น กับคนทุกคน กับสัตว์ทุกตัวที่เราได้ประสบพบเห็น หรือไม่มีใครอยู่ใกล้เรา แต่เราก็นั่งคิดในทางเมตตา คิดว่าขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุขมีความเจริญ มีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงาน ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย
การคิดในรูปอย่างนี้ จะทำให้เราใจสูงขึ้น ทำให้เราสบายใจ ทำให้เรามีผิวพรรณ ผ่องใส มีความคิดถูกต้อง มีจิตเป็นสมาธิ มีความสงบตั้งมั่น จะหลับก็หลับได้ง่าย จะตื่นก็ตื่นได้ง่าย จะพูดอะไรก็เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ไม่พูดคำหยาบ คำด่าว่า คำกระทบ กระเทือนจิตใจใครๆ ออกมาให้ปรากฎ เพราะสิ่งที่อยู่ในใจนั้น มันเป็น ความเมตตา เป็นความปรารถนาแต่ความสุขความเจริญ แก่ผู้อื่น
เป็นฐานที่ตั้งมั่น อยู่ในรูปอย่างนี้ หลุดมาออกมาเป็นคำพูด มันก็เป็นคำพูด ที่อ่อนหวาน สมานสามัคคี มีประโยชน์ หรือเป็นคำพูดที่จริงแท้ ไม่หลอกลวงใคร ไม่กล่าวคำหยาบกับใครๆ เพราะใจเราสงบอยู่ด้วยเมตตา เปล่งวาจาออกมา ก็เป็น วาจางาม คนทั้งหลายฟังแล้วชื่นใจสบายใจ ไม่ต้องไปเป็นทุกข์ เพราะคำพูดประเภท หยาบคาย หรือคำที่กระทบกระเทือนจิตใจเขาด้วยประการต่างๆ
เพราะฐานมันอยู่ในใจดีอย่างนี้ เรื่องร้ายทางปากก็ไม่มี เรื่องร้ายทางมือ ทางเท้าก็ไม่มี เพราะคนมีใจเมตตานั้นจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อประทุษร้ายใคร เขาทำร้ายใครไม่ได้ จะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจด้วยปัญหาอะไรก็ไม่ได้ เพราะมีใจ ประกอบด้วยความเมตตาอยู่ตลอดเวลา การฆ่าไม่มี การลักไม่มี การจะไปประพฤิตผิด ล่วงเกิน ในของรักของชอบใจของใครๆ ก็ไม่มี เพราะใจมันมีเมตตาเป็นทำนบกั้นไว้ สิ่งที่ใหลออกมาก็เป็นเรื่องดี ทั้งหมด เป็นเรื่องที่คนอื่นได้สัมผัสแล้วสบายใจ ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น
แล้วก็น้ำใจอันแท้จริงของคนนั้น ก็จะไม่มีกิเลสเกิดขึ้นในใจ เพราะว่าใจมันมี เมตตาเสียหมดแล้ว ความโลภอยากได้ของใครมันก็ไม่เกิด ความโกรธที่จะทำร้ายใคร ก็ไม่เกิด ความหลงในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ในใจของบุคคลนั้น ผู้นั้นแหละ ได้สภาพเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง มีจิตใจสูงพ้นจากบาป จากอกุศล ด้วยประการต่างๆ เพราะมีฐานค้ำจุนจิตใจไว้ คือความเมตตา ถ้าเราคิดดูให้ดีแล้ว ความเมตตานี่มันแผ่ออกไปยิ่งกว้างเท่าไหร่ ยิ่งสงบเยือกเย็น ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น แต่ว่าถ้าเราไม่มีน้ำใจประกอบด้วยความเมตตาต่อกัน มันก็สร้างปัญญาขึ้นในจิตใจ ในสังคม
เมื่อคืนก่อนนี้จะไปเยี่ยมศพเขาที่ วัดเทพศิรินทร์ ต้องไปทางถนนวิภาวดีรังสิต นึกว่าทางมันกว้าง แล้วก็ไปขึ้นทางด่วนลงเพลินจิต ไปเร็ว จะได้ถึงไวหน่อย กลายเป็นเรื่องช้าไป เพราะรถมันติด มันติดหลายตอน ที่นี้ติดหลายตอน นี่ก็นึกในใจว่า มันต้องมีเรื่องแล้ว ถ้าติดแบบนี้ต้องมีเรื่อง ก็มีเรื่องจริงๆ คือ มันชนท้ายรถกันถึง ๔ แห่ง ชนท้ายกัน ถึง ๔ แห่ง
การขับรถในทางวันเวย์ คือทางสายเดียวไม่น่าจะมีอุบัติเหตุ คือมันชนกันไม่ได้ เพราะมันไม่ได้สวนทางกัน แต่เมื่อชนหน้ากันไม่ได้ เอาก้นชนกัน เอาหน้าไปชนก้นรถ คันอื่น ชนกัน รถดีๆ ที่รถชนกันรถดี มีอยู่ตอนหนึ่งนั้น ไอ้คันหน้าก็รถเบนซ์ ไอ้ตรงกลางรถอื่น ข้างหลังก็รถเบ็นซ์ เรียกว่าข้างหน้าเป็นรถดี ขัางหลังก็รถดี แล้วก็ชนกัน ที่ชนกันเพราะว่าขาดเมตตาธรรม ใจไม่มีเมตตา รีบร้อนไม่รู้จะไปไหน ใครมันจะเจ็บจะตายที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วขับกันอย่างรีบร้อน เลยต้องชนกันข้างท้าย เพราะ คันหน้ามันหยุด คันหลังมันก็โครมเข้าให้ แล้วคันหลังก็โครมเข้าให้อีก ๓ คัน บางแห่งชนกัน ๔ คัน แนะชนกัน ๔ คัน
ในต่างประเทศชนกัน ๒๐ คัน แต่ว่าน้อยไป ๒๐ คันยังน้อยไป ในอังกฤษชน ๒๐ (คัน) (25.39 เติมคำว่า “คัน” เพื่อความเข้าใจในการอ่าน) ปีนี่ยังน้อย เมื่อหลายปีมาแล้วชนกัน ๒๐๐ คัน ไอ้โน่นมันชนกันไม่ใช่เรื่องอะไร หมอกลงจัด มองไม่เห็น ฤดูนี้เป็นฤดูหนาวในประเทศอังกฤษ หมอกลงจัดมาก และก็มองกันไม่เห็น ไอ้หมอกลงจัดนี่ อย่าว่าพูดว่ามองไกลเลย เพียงแต่ว่ายืนห่างกัน ๒ เมตร นี่ก็มองกัน ไม่เห็นแล้ว อันนี้รถมันวิ่งมา มันก็ชนกัน ขั้นแรกก็ชน ๒ คัน แล้วคันอื่นมันก็ชนๆๆ กัน ได้ ๒๐ คัน ก็เลยหยุดกันเสียที ว่าพอแล้ว แต่ว่าปีก่อนโน้นมันชนกัน ๒๐๐ คัน คนบาดเจ็บกันเป็นขบวนใหญ่ นางพยาบาลก็ทำงานด้วยอารมณ์สนุก เขาบอกว่า เหมือนสงครามไม่มีผิดเลย ที่ต้องไปขนคนเจ็บออกไป โรงพยาบาลหนะ เหมือนกับ ในสมัยสงครามว่าอย่างนั้นนี่
นี่แหละเพราะใจมันขาดธรรมะ ไม่มีความเมตตาต่อกัน ไม่สงสารคนข้างหน้า แล้วไม่สงสารคนข้างหลัง ไม่สงสารคนข้างเคียง ใจมันร้อนที่จะทำอะไรให้ไปถึงเร็วๆ ความเป็นมนุษย์ไม่มี มีแต่คิงคองขับรถกัน เลยมันก็ยุ่งกันเป็นการใหญ่ นี่เห็นง่ายๆ ว่าสภาพเช่นนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร
หรือว่าคนเราบางที มีเรื่องผิดใจกันเล็กน้อย พูดกันก็ต้องใช้หมัดใช้มวย ถ้าใช้หมัดใช้มวยกันนี่เขาเรียกว่า เดรัจฉานพูดกัน ไม่ใช่คนพูดกัน ไม่ใช่มนุษย์พูดกัน มนุษย์พูดกันต้องพูดกันด้วยปาก แล้วก็พูดกันด้วย ใจเย็นใจสงบ เมื่อคนหนึ่งร้อน คนหนึ่งอยากพูดอะไร ยืนนิ่งๆ ไปก่อน พิจารณาไปก่อน ให้เขาพ่นเสียให้เต็มที่ แล้วก็ค่อยพูดจากัน ถ้าพูดสองฝ่ายมันก็ดังมาก ตบมือข้างเดียวมันไม่มีเสียง ไม่ดัง แต่พอตบสองข้างมันก็แปะปะขึ้นมาเท่านั้นเอง ขาดเมตตา เพราะไม่ได้เจริญธรรม ไว้บ่อยๆ
จึงอยากจะให้เอาธรรมะอันนี้ไปใช้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกเวลานาที ที่เราอยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไร ทำงานทำการก็ทำไป แต่พอหยุดงานแล้ว แทนที่จะ ไปคิดเรื่องอื่นให้มันยุ่ง เรามานึกแผ่เมตตา ต่อคนใกล้เคียง ต่อคนห่างไกล ต่อชาวโลก ทั้งหลาย โดยไม่จำกัดชาติภาษาผิวภัณฑ์ เรื่องมันก็จะดีขึ้น และถ้าชาวโลกทั้งหลาย ช่วยกันแผ่เมตตา ไอ้สงครามแบบเด็กๆ มันก็จะหายไป
เดี๋ยวนี้มันเป็นโลกของเด็กอมมือ โลกที่เราอยู่อาศัยนี่ มองแล้วเหมือนกับโลก เด็กอมมือ เด็กอมมือหนะ มันเมื่อเกิดขัดใจ มันก็ตีกัน ข่วนกัน หยิกกัน อะไรไป ตามเรื่อง แล้วก็ร้องไห้แงไปทั้ง สองฝ่าย เด็กอมมือ เวลานี้ก็เหมือนเด็กอมมือ รบกันอยู่เรื่อย รบกันไม่หยุดไม่ยั้ง ไม่รู้จักพูด ไม่รู้จักจา ไม่รู้จักทำความเข้าใจกัน มีแต่ทิฐิมานะ นี่เขาเรียกว่า ความเป็นมนุษย์ ไม่มีในคนเหล่านั้น มีแต่ความดุร้าย อย่างสัตว์ป่า เกิดขึ้นในใจ เที่ยวแสวงหาเขี้ยวเล็บ เพื่อเอามารบกันให้มันตายกันไป จนกระทั่งหมดไปแล้วว่า อย่างนั้น นี่คือความโหดร้ายทารุณ ของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน
มานึกถึงข่าวอันหนึ่งก็นึกถึงกฎแห่งกรรมเหมือนกัน ถึงข่าวที่ว่าโรงงาน ทำยา ปราบศัตรูพืช ไอ้ยาปราบศัตรูพืชนี่ต้องใช้วัตถุอย่างหนึ่ง ซึ่งมันเป็นพิษ แต่ว่าเขาเอามา ทำให้มันอ่อนลงไป แล้วก็เอามาผสมกับวัตถุบางอย่าง เอาออกไปใช้ เป็นยาปราบ ศัตรูพืช เมืองไทยเราเวลานี้คนใช้กันมาก ใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ใช้อย่างประมาท
เช่นว่า ใช้ยานี่ไม่เอาผ้าพันจมูก มือก็ไม่ใช้ถุงมือ แล้วก็ไปฉีดยา ยามันก็ติดอยู่ ตามมือตามไม้ แล้วก็มือมาทำตา มาจับอาหารกิน หารู้ไม่ว่า นั้นคือพิษจะติดเข้าไป กับอาหาร กับน้ำที่เราดื่ม เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วก็ทำกันอยู่อย่างนั้นซึ่งเป็นเรื่องอันตราย ผักที่ได้ฉีดยาแล้วก็เอามากินโดยมักง่าย แต่ว่ามันตายช้า มันไม่ได้ตายปุ๊บปั๊บ เหมือนกับที่ เอ่อ ไอ้พิษที่มันรั่วจากถังใต้ดิน ที่ประเทศอินเดียในแคว้นโอปาล
ที่นั่นคนตายไป ๒๐๐๐ บาดเจ็บอยู่อีกจำนวนหลายพัน สัตว์ตายไป วัวที่ตายไป ตั้ง ๒๐๐๐ กว่าตัว อีแร้งสบายใจมาก อีแร้งก็ลงกันเป็นฝูงเลย มากินเนื้อวัว เพราะ คนไม่กิน อีแร้งก็กินกันสบายใจ กินวัว สุนัขตายก็มี แต่อีแร้งว่ากินวัวดีกว่า ตัวมันโต มันไม่กินสุนัข ไม่กินสัตว์เดรฉาน กินแต่วัว คนตายนี่ ถ้าทิ้งไว้ อีแรงกิน เหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่ให้อีแรงกินหน่ะเขารีบเอาไปฝัง เอาไปเผากัน เป็นการใหญ่
ดูข่าวดูภาพแล้วสลดใจ แล้วก็นึกไปถึงว่ามนุษย์นี่ทำบาปเหมือนกัน เพราะว่า ไปฆ่าสัตว์ ต่างๆ มากมายแล้ว ถึงบทที่มนุษย์จะต้องรับเคราะบ้าง เลยก็ต้องตาย ด้วยยาพิษประเภทอย่างนั้น เพราะเราไปใช้กับเขา เขาก็ต้องได้รับทุกข์เหมือนกัน เราก็ต้องเลยเป็นทุกข์เพราะบาปกรรมของตัว เมื่อสมัยเด็กๆ นี่ เขาปลุกถั่ว แล้วก็มีตัวพยาธิ ภาษาปักใต้เขาเรียกพรม (32.10 ไม่ยืนยันตัวสะกด) คือว่ามันเป็นพยาธิมาเกาะจับที่ต้นถั่ว ออกฝักแล้วมันหงิกงอหมด เขาใช้อะไรเป็นเครื่องแก้ เขาเอาขี้เถ้า ขี้เถ้าที่ถ่านที่เราหุงข้าว มันก็กลายเป็นขี้เถ้า เอาขี้เถ้ามาโรยๆ ๆ โรยในที่ที่มันเป็นแล้วมันก็หายไป มันก็หายไป ไอ้ขี้เถ้านั้นไม่เป็นพิษแก่คน ไม่เป็นพิษแก่ใคร เอามาโรยๆ ไว้ตามใบไม้ ตามที่ต่างๆ ที่ตัวพรมมันลง แล้วมันก็หายไป เขาทำกันอย่างนั้น
ต่อมาก็เรียกว่าโลกมันเจริญขึ้น ไอ้ขี้เถ้านี่มันต่ำไป เขาก็เลยใช้วัตถุที่มีพิษสง แรงกว่านั้น เอามาใช้ มีอีกอันหนึ่ง ที่เป็นพิษอยู่ ดีดีทีที่เราใช้ปราบยุง ตามบ้าน ตามช่อง ยุงเข้ามา ตัวสองตัวก็ฉีด เต็มห้อง ฉีดให้ยุงไป ยุงมันตาย แต่ว่าเราเข้าไปนั้น ไอ้นั่นมันยังลอยอยู่ในอากาศ เราก็หายใจเข้าไปเหมือนกัน หายใจเข้าไปบ่อยๆๆๆ มันก็ไปสะสมในร่างกาย แล้วอาจจะเกิดปฏิกิริยาในทางร่างกายขึ้น เป็นรูปอะไร ขึ้นมาก็ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นรูปอะไรเพราะส่ิงเหล่านั้น เราใช้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นพิษแก่สัตว์ แต่หานึกไม่ว่า มันก็ต้องเป็นพิษแก่คนด้วยเหมือนกัน ความจริงก็ไม่ใช้ดีกว่า หาวิธีอื่นใช้ หรือว่า ยุงนี่มันอยู่ไม่เท่าไหร่มันก็ตาย อายุยุงนี่มันไม่กี่วัน มัน ๗ วัน มันก็ตายแล้ว ถ้ามันอยู่ในห้อง มันก็ตายไป มันไม่อยู่ถาวรอะไร หรือว่าจุดธูปไล่มัน ก็ไปเหมือนกัน หรือว่าถ้าเราจะเปิดหน้่าต่างไว้ ตอนหัวค่ำ
อาตมาเคยทดสอบ ตอนหัวค่ำนี่ปิดไฟหมด ในกุฎิไม่มีไฟ แล้วก็เปิดหน้าต่าง ไว้ช่อง ให้มีแสงสว่าง ยุงมันจะออกไปมันออกไป คือมันออกไปเที่ยวหากิน มันรู้ว่า จะค่ำแล้วมันก็ต้องออกไปหากิน ในห้องนี่คงจะไม่มีอะไรกิน มันไปหาข้างนอก มันก็ไปของมัน ไปข้างนอก พอพ้นหัวค่ำแล้ว เราก็มาปิดหน้าต่างแล้วจึงเปิดไฟ ปรากฎว่ายุงไม่มีในห้อง มันออกหมด เพราะยุงมันแอบอยู่ตามซอก ตามมุมต่างๆ ในที่มืด กลางวันมันเก็บตัวมันไม่ออกหรอก แต่พอใกล้จะพบค่ำ มันออก มีช่องออกได้ มันก็ไป นี้เราเปิดช่องหน้าต่างไว้สักเล็กๆ ซักครึ่งซักบานหนึ่ง แล้วก็มันก็ต้องออก ทางนั้น ถ้าไปยืนดูอยู่จะเห็นว่ามันออกมาเรื่อย ออกไปทางนั้น พอออกมาหมดแล้ว เราก็ไปแอบปิดช่อง เปิดไฟ ยุงไม่มีในห้องนั้น มันอยู่ได้
สมัยเมื่อเดินธุดงค์ ๒๔๗๕ ก็นอนในกลางแจ้ง นอนในทุ่ง ดอนเมืองนี่ก็นอน กลางแจ้ง ทุ่งรังสิต ไปเรื่อย ไปเลย ริมทางรถไฟหนะ ไปนอน นอนกลางคืน เขาถาม “แล้วยุงไม่กัดแย่” ไม่มียุงกัด ทำไมยุงมันไม่กัด ยุงมันรู้ว่าในทุ่งนี่ไม่มีคน พอค่ำมันก็ ไปตามบ้าน ไปบ้าน บ้านก็ตามไฟนี่ มันก็ไปหาไฟ ไอ้เราไปนอนทีี่ที่ไม่มีไฟ ไม่มีตะเกียง ไม่มีอะไร ไม่จุดทงจุดทียนอะไรทั้งนั้น ไปนั่งห่มจีวร มืดๆ อยู่ ยุงมันไม่มา มันไปหา กินที่แจ้งๆ มันไปเที่ยวในเมืองนะ ว่าอย่างนั้น ยุงมันไปเที่ยวในเมือง อันนี้ในทุ่ง มันไม่มีใคร มันก็ไม่มากัด นอนสบาย ยุงไม่ได้กัดเลย
นี่มัน มันเป็นเคล็ดลับ อยู่เหมือนกัน ว่าเรานอนได้โดยไม่ต้องแบกกลด ให้มันหนัก ไปแอบนอนอย่างนั้น ไปสร้างกลดทิ้งไว้ แล้วก็กลางคืนก็แอบไปนอน ที่แจ้งๆ ยุงก็ไม่กัด ไปที่ไหน ก็ยุงไม่ได้รบกวน เพราะยุงมันต้องไปที่มีคน ไอ้ที่ไม่เคย มีคนนี่มันก็นึกว่าไม่มี ไอ้เราแอบไปนอนเสียคืนหนึ่ง มันไม่ทันรู้ เราไปเสีย แล้วก็เราไป เราก็ไปที่อื่นอีก มันก็อยู่ได้นะ หลบไปได้ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปทำร้ายมันก็ได้ ไม่ทำร้ายเขา ให้เขาอยู่ตามเรื่องของเขา อย่างนี้ก็จะปลอดภัย
อันตรายที่เราทำกับผู้อื่นมันก็ต้องกลับมาหาคน เหมือนกัน แต่ว่าไม่มาหาคนนั้น ก็ได้ อาจไปหาใครก็ได้ มันก็กระเทือนกันไปทั้งลูก คนอินเดียก็พลอยตายไป น่าสงสาร ชาวอินเดีย เรียกว่าเดือดร้อนหลายเรื่องปีนี้ เป็นปี ๒๕๒๗ นี่ อินเดียเดือดร้อน หลายเรื่อง ตายกันไป ปี ๒๕๒๘ ขอให้ชาวอินเดียได้พ้นทุกข์พ้นโศก พ้นโรคพ้นภัย กันไปเสียที จะไปอยู่เย็นเป็นสุขกันตามสภาพของเขาต่อไป อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด อันหนึ่ง
อันนี้ข้อต่อไปที่ว่า กิจฉัง มัจจานะชีวิตตัง ชีวิตเป็นอยู่ยาก ญาติโยมลองพิจารณา ว่าการเป็นอยู่นี่มันยากหรือไม่ ชีวิตนี่มันยากหรือไม่ ถ้าเราไม่คิดมันก็ไม่เห็นหนะ แต่ถ้าคิดแล้ว อ้อมันยาก การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันนี่มันยาก เพราะการเป็นอยู่นั้น ไม่ใช่เพียงสักแต่ว่า มีลมหายใจเข้าออกก็พอแล้ว เราต้องมีอาหารนี่ ต้องมีเสื้อผ้า ต้องมีบ้านอยู่อาศัย เครื่องประกอบชีวิตมันหลายอย่าง แล้วก็เมื่อมีหลายอย่าง มันก็หลายยุ่ง หลายเรื่อง มันก็ลำบากในการแสวงหาสิ่งเหล่านั้น
ให้เราลองนึกดูว่าคนนี่ตื่นแต่เช้ามืด รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปทำงาน ต้องไปทำงานกันทุกคน แล้วก็ไปกันอย่างชนิดที่ว่า แข่งกันไปเพื่อทำงาน แย่งกัน ขึ้นรถประจำทาง แย่งกันขึ้นรถไฟ แย่งกันเดินไปตามถนนใหญ่ๆ เพื่อให้ตน ไปถึงปลายทางที่ทำงาน แล้วก็เข้าไปทำงาน ทำงานนั้นก็ต้องใช้ความพยายาม ในการทำงานต่างๆ เพื่อให้งานสำเร็จเป็นไปด้วยดี เพราะไม่ใช่ว่าจะสะดวกสบาย เสมอไป ทำไปคิดไปวุ่นวายใจไป ด้วยเรื่องปัญหารายได้ รายได้ค่าจ้างไม่พอใช้ เพราะว่ามันใช้เกินความจำเป็น
ถ้าบังคับตัวเองควบคุมตัวเอง ใช้เท่าที่จำเป็น นี่ก็คงจะไม่ฝืดเคืองอะไรหรอก แต่ว่าเรามันติดเสียแล้ว ติดนิสัย ติดนิสัยฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ที่ จะต้องมีต้องใช้ แล้วคนเรานี่ มันอยู่ด้วย การแข่งขันกัน เห็นคนอื่นมีอะไร ก็อยากจะมี บ้าง เขาแต่งตัวอย่างไร ก็อยากจะแต่งกับเขาบ้าง เขามีบ้านก็อยากจะมีบ้านแบบนั้นบ้าง เขามีรถยนต์ เราก็อยากจะมีรถยนต์แบบอย่างนั้นบ้าง เขามีสายสร้อยมีเพชรนิลจินดา ประดับร่างกาย เราก็อยากจะมีกับเขาบ้าง
ไอ้ความอยากเหล่านี้ มันเกิดขึ้นในใจอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้มีให้ได้ เหมือนเพื่อนเขา ดังที่เรามักจะพูดว่า อยู่ให้มันพอเหมือนเพื่อน ไอ้เหมือนเพื่อนนี่ มันลำบาก ไอ้ตัวเหมือนเพื่อนนี่ตัวลำบาก เพราะว่าทรัพย์มันไม่เท่ากัน ปัญญาก็ไม่เท่ากัน ความสามารถในการกระทำอะไรมันก็ไม่เท่ากัน แต่จะเอาผลเท่ากัน เหตุไม่เท่ากัน แล้วผลมันจะเท่ากันได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้
แต่นี่เราไม่ได้คิดว่า เพราะเหตุมันไม่เท่ากัน จะให้ผลเท่ากันได้อย่างไร ไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดแต่ว่าเราจะต้องมีอย่างนั้นจะต้องมีอย่างนี้ ต้องวิ่งเต้นขวนขวาย แสวงหา เพื่อให้มี ให้เป็นดังที่เราต้องการ แล้วสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ที่มันได้ดังใจหนะ มีไหมละ ลองคิดดู ว่ามันได้ดังใจ ได้ดังที่เราต้องการนี่มันมีไหม มันไม่ได้มีอย่างนั้น มันไม่ได้สมหวังเสมอไป ไม่ได้ดังใจเหมือนใจเสมอไป บางคราวมันก็ได้ แต่บางคราว มันก็ไม่ได้
แม้เราจะทำถูกต้อง แต่ว่ามีเรื่องอื่นเข้ามาขัดข้อง เช่น เรื่องธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเปลี่ยนแปลงในทางการบ้านการเมือง หรือเรื่องอะไรต่างๆ มันเข้ามาเป็นตัว ปัญหา ทำให้เราไม่สมใจดังที่เราต้องการ เช่นเราลงทุนทำอะไรเท่านี้ จะได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ อ้าว มันเกิดอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ไม่ได้ดังที่เราต้องการ
เมื่อไม่ได้ดังที่เราต้องการ ถ้าเป็นคนศึกษาธรรมะ ได้ฟังธรรมะ ไว้เป็นเครื่อง ปลอบใจ ก็ไม่รุนแรง ความทุกข์มันไม่รุนแรง แต่ถ้าไม่มีความรู้ทางธรรมะเสียเลย เกิดความทุกข์รุนแรง เมื่อมีความทุกข์รุนแรงขึ้น ก็ไม่มีปัญญาจะแก้ทุกข์อีก ต้องไปหา เครื่องดับทุกข์ทางวัตถุ ไปดื่มเหล้าไปเที่ยวไปสนุก เพลิดเพลินเพื่อจะแก้ความทุกข์ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นการเพิ่มทุกข์ให้แก่ตน ตนก็มีความทุกข์มากขึ้น เพราะการกระทำในเรื่องต่างๆ อย่างนั้น
คนเรานี่ไม่ว่าจะเป็นอะไร เป็นแล้วมันก็มีความทุกข์มีปัญหา คนหนุ่มๆ สาวๆ แต่งงานกัน ก็นึกว่าการแต่งงานนี่ จะเป็นความสุขสบายในชีวิต มันก็ไม่ได้เป็น ความสุขหรอก แต่ว่ามันเป็นความเพลิดเพลินใจ ชั่วครั้งชั่วคราว ต่อไปมันก็มีลูกขึ้นมา อ้าวมีลูก มีลูกก็ ลูกเล็กๆ นี่ก็น่าเอ็นดูดี มันไม่เจ็บไม่ป่วยก็ไม่เป็นไร พอลูกเกิดเจ็บป่วย ขึ้นมาละก็แม่ก็ร้อนใจ พ่อก็ร้อนใจ คุณย่าก็ร้อนใจ คุณยายก็ร้อนใจ ร้อนใจกันไปหมด เพราะเด็กไม่สบายมีความทุกข์เกิดขึ้น
จากปัญหานั้นพาไปหาหมอ จ่ายเงินจ่ายทองเพื่อ หยูกยารักษา หายก็สบายไป แต่ถ้าไม่หายก็กลุ้มใจต่อไป อ้าวลูกมัน มัน มันไม่ ไม่เป็นไข้ มันก็โตวันโตคืน เอ้าเข้าโรงเรียน พอลูกจะเข้าโรงเรียนนี่กลุ้มใจอีกแล้ว เป็นทุกข์แล้ว เอ้จะเข้าที่ไหนดี แต่ละโรงเรียนที่บากหน้าเข้าไปนั้น เขาก็แบมืออยู่ทั้งนั้นแล้ว เอามา เอามา ค่าเล่าเรียน ค่านั้นค่านี่ เขาขอมากมายก่ายกอง นี่ก็เป็นความทุกข์ละเพราะเราไม่มีจะให้ ถ้ามีให้ ก็ยังชั่วหน่อย แต่บางทีถึงมีให้ ก็คงจะ แหมเอามากเกินไป เป็นทุกข์ไป ลูกได้เข้าเรียน ก็อ้าวเบาใจไป เรียนไป สามปี สี่ปี อนุบาล พอจบชั้นอนุบาลต้องย้ายที่ละ
ต้องไปเข้าโรงเรียนประถม มันจะไปเข้าที่ไหน เป็นทุกข์อีกหละ ต้องวิ่งต้องเต้น เรื่องให้ลูกเข้าเรียน ถ้าสอบได้ชื่นใจหน่อย แต่ว่าพอสอบไม่ได้ก็กลุ้มใจอีก ว่ามัน เรียนยังไงสอบไม่ได้ เป็นทุกข์ก็เพราะเรื่องของลูก เป็นลำดับไป เป็นทุกข์โดยลำดับ จนเข้าโรงเรียนประถมไปเข้ามัธยม เรียนจบชั้น มศ ๕ มศ ๖ อ้าวเข้ามหาวิทยาลัย ตั้งใจจะให้ลูกเรียนมหาวิทยาลัย ถ้ามีสโตงสตางค์ ถ้ามันเข้าได้ก็สบาย ไปช่วงหนึ่ง แต่ถ้าเข้าไม่ได้ก็ไม่สบายใจ เพราะลูกเข้าไม่ได้ ไม่รู้จะให้ทำอะไร จะให้เรียนอะไร เอ้่าเป็นทุกข์ด้วยปัญหานั้นต่อไป
เอ้าเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว สอบไล่ได้ปริญญาแล้ว ไปสมัครงานไม่ได้ สอบแล้วสอบอีกก็ไม่ได้ อ้าวกลุ้มใจ ๒ ปีก็ยังไม่ได้ ๓ ปีก็ยังไม่ได้ สอบที่นั้นก็ไม่ได้ สอบที่นี่ก็ไม่ได้ เอ้ามานั่งกลุ้มใจ พ่อกลุ้มใจ แม่กลุ้มใจ เที่ยววิ่ง เที่ยวเต้น ว่าจะทำยังไง ให้ลูกได้เข้างาน ไปเที่ยวหาคนนั้น ไปหาคนนี้ ให้ฝากให้ฝังให้ ไอ้คนฝากหนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะสบายใจเมื่อไหร่
อาตมานี่เป็นทุกข์อยู่อย่าง เป็นทุกข์เรื่อง คนเอามา ขอให้ฝากนี่เป็นทุกข์นักหนา ไม่ว่าฝากอะไร ฝากเด็กเข้าโรงเรียน อาตมาก็เป็นทุกข์แล้ว คืออาตมานี่เป็นคน ขออะไรใครไม่ค่อยเป็น มันเป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ค่อยจะขออะไรใคร ออกปากขอนี่ มันหนักเหลือเกินพูดไม่ได้ พูดยาก ที่ขอกับใครเฉพาะตัวนี่มันพูดยาก พูดไม่ค่อยออกหรอก แต่ถ้าขอให้คนอื่นในเรื่องเกี่ยวกับ กิจการกุศลอะไรนั้นพอพูดได้ แต่ถ้าพูดไปขอเขาเฉพาะ นี่มันพูดไม่ค่อยออก มันไม่มีนิสัย พูดลำบาก
ทีนี้ถ้าเขามาบอกว่า ท่านเจ้าคุณรู้จักคนนั้นไหม ไอ้รู้จักหนะมันรู้จัก แต่มัน ไม่คุ้น บางทีเขาบอกว่าเคยบวชที่นี่ บวชที่นี ่เขาก็สึกไปหลายปีแล้ว ก็ไม่ค่อย คุ้นเคยกันแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่ ถ้าเขาไปมาหาสู่ก็พูดเลียบเคียงไป พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถามอะไรต่ออะไรไป แหมกว่าจะลงรอยได้ต้องวิ่งอ้อมกันสะรอบสนามหลวง ถึงจะพูดอะไรลงไปได้ มันลำบากมันอึดอัดใจ ไอ้ที่เขาให้ทำอย่างนั้น ไม่มีลูกมีเต้า แต่มันพลอยอึดอัดกับคนที่เขามีลูก
บอกว่าเจ้าคุณต้องฝากให้ได้นะ เอ่อ มันจะได้อย่างไร ไม่ใช่อาตมา นี่มีสิทธิ อะไรที่จะพูดอะไร ใครก็จะให้ บอกว่าเอ้ อธิบดีตำรวจรู้จักไหม ลูกชายเขามาบวชที่นี่ บอกว่าก็รู้จักแหละ แต่ว่ามันจะไปฝากอะไรมันไม่ได้หรอก บางคนว่ากับคุณสมัคร สุนทรเวช เขาคุ้นกับท่านเจ้าคุณดีไม่ใช่เหรอ มันก็คุ้นหนะ จะไปฝากอะไร ก็ไม่ได้ เหมือนกัน คือไม่รู้จะไปเอ๋ยอย่างไร ไปถึงจะพูดว่าจะฝากอะไรใคร ไม่รู้จะเอ๋ยอย่างไร จะใช้ถ้อยคำอย่างไร เป็นนักพูด แต่ว่าจะพูดเรื่องอะไรอย่างนั้นมันพูดไม่ค่อยเป็น มันพูดไม่ออก ไอ้เรื่องอะไรนี่ ไอ้นี่คือความทุกข์เหมือนกัน ที่เขามารบกวนเรื่องนี้ แหมมันเป็นทุกข์ ก็ทำไปด้วยความฝืนใจ
บางครั้งบอกให้เขียนจดหมาย เขียนไปนึกไปว่ามันไม่สำเร็จ เขียนมันก็ไม่สำเร็จ แล้วก็ส่งไป ก็ไม่สำเร็จอะไร เพราะจดหมายนั้นอาจจะไม่ถึงคนนั้นก็ได้ เลขามันอ่าน แล้วทิ้งตะกร้าไป ไม่เข้าเรื่อง มันก็ไม่ถึง แต่ว่าเขารบเร้า ให้เขียน ก็เขียนให้เขาหน่อย ให้ เขาเขียนเสร็จแล้ว เขาจะได้ไป จะได้ลงจากกุฏิไปซะ จะได้สบายใจหน่อย ก็เลยเขียนให้เขา แต่เขียนแล้วก็รู้ว่าไม่มีทาง ที่จะสำเร็จอะไรได้ ด้วยจดหมายฉบับนี้ เพราะเรามันไม่คุ้นกัน
บางคนบอกเอ้กับคนนี้ ศิษย์รู้จักกันไหม ก็รู้จัก ใครมาใส่บาตรก็รู้จัก กันเหมือนกัน เออ ช่วยฝากคนให้เข้ากระทรวง มหาดไทย โอ้ย แหมหนักใจเต็มที บอกว่าอย่าเลยอย่าขอเรื่องนี้ ขอทีอย่ามาขอเลย ยุุ่ง ยุ่งใจฉัน ฉันทำไม่ได้ ขอไม่ได้ เพราะเราไม่ได้คุ้นเคย ไม่ได้นั่งคุยกันนานๆ คนที่จะขออะไรกันได้มัน ต้องคุ้นกัน พูดกันนานๆ บ่อยๆ แล้วก็พูดเป็นเชิงอะไรไปได้อย่างนั้น มันลำบาก
อเขาเล่าว่าเจ้าคุณองค์หนึ่งที่หลังสวนท่านสิ้นบุญไปแล้ว ลูกศิษย์ไปเป็นครูอยู่ อันนี้ก็ท่านคุ้นเคยกับศึกษาธิการมลทน ก็ลูกศิษย์มาบอกว่า “ท่านอาจารย์ ช่วยพูดกับท่านศึกษา ให้ย้ายผมกลับมาบ้านที ไปอยู่แถวปัตตานี แต่ว่ามันไกลบ้านนัก” ท่านก็ว่า “เอ้อ ไอ้เรื่องอย่างนี้ ข้าต้องคิดดูก่อน”
วันหนึ่งท่านศึกษาธิการมาหาท่าน ท่านก็คุยเรื่องอะไรต่ออะไรไป คุยกัน จนกระทั่งศึกษาลุกขึ้นไปแล้ว ลุกขึ้นจะไปแล้ว ท่านก็เดินไป คุยเรื่องอื่นต่อไป กว่าจะคุยเรื่องลูกศิษย์ได้นี่ ศึกษาออกประตูวัดแล้ว ไปถึงประตูวัดแล้วบอก “อืม ไอ้ลูกศิษย์คนหนึ่งมันไปเป็นครูอยู่ที่นั่น มันมาปรารภว่า มันอยากจะกลับมา อยู่หลังสวน ท่านศึกษาช่วยพิจารณาดูว่า มันพอจะกลับมา ได้หรือไม่”
มันก็ได้นั่นแหละ ท่านศึกษาแกก็ช่วยย้ายมาให้ได้ นั่นแหละ แต่ว่าแหม ท่านกว่าจะหลุดออกไปได้นะ เรียกว่า ถ้าพาเดินรอบวัด ก็ ๗ รอบแล้ว ถึงจะพูด ออกมาได้นี่ นี่เขาเรียกว่าคนมันเกรงใจคน ไม่กล้าพูดในเรื่องบางเรื่อง ก็เป็น ความหนักใจ พ่อแม่นี้หนักใจกับลูกมาก อ้าวลูกเรียนจบไม่มีงานทำ เอ้ามีงานทำแล้ว หนักใจต่อไป มันจะมีคู่ครอง ไอ้ลูกสมัยน้ี มันก็หาของมันเอง บางทีหาเองแม่ไม่ชอบ แม่ดูแล้วไม่ไหว มันสมัยเกินไป แต่งตัวปรู๊ดปร๊าดแม่ไม่ค่อยชอบ แม่ชอบคน โบร่ำโบราณหน่อย พอเป็นแม่บ้านแม่เรือน ไอ้ลูกมันก็ชอบของมัน ถึงแม่จะพูดยังไง มันก็จะ ก็จะเอา คนนั้น มันปักใจแล้ว มันจะชอบคนนั้นแล้ว
อ้าวก็ต้องแต่งงาน แม่ก็ไม่ได้ชอบอะไร แต่งแล้วก็อย่างนั้น ก็ไม่ชอบใจ ฝืนใจ ก็เป็นทุกข์ ลูกสะใภ้มา ก็เหมือนกับว่า หนามตำอกอยู่ตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ นี่มันก็มี เอ้าลูกสาวไปได้สามี แม่ไม่ชอบบ้าง พ่อไม่ชอบบ้าง ไอ้ลูกมันชอบ ถ้าพ่อแม่พูดมาก ไอ้เรื่องแต่งงานมันเรื่องหนูหนะ คุณพ่อคุณแม่อย่ามาเกี่ยวข้อง นั่น มันว่าอย่างนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็คัดค้านกัน แต่ลูกสมัยใหม่ ก็ว่าต้องว่าอย่างนั้น แต่ก็แต่งไป
แต่ว่าพอมีเรื่อง มีปัญหามันก็ไม่พ้นพ่อแม่ มันต้องมารบกวนพ่อแม่อีก เกิดเรื่อง เกิดอะไรก็เอา มาเอาน้ำตาเช็ดหัวเข่าคุณแม่อีกและ มาร้องไห้ร้องห่ม แม่จะพูดสำทับ ไปว่า แม่ว่าแล้ว ก็ไม่ได้ มันจะหนักใจไป ก็ต้องลูบไปปลอบไปตามเรื่อง ทั้งๆ ที่ตัว ก็เป็นทุกข์ขนาดนี้ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ มันไม่มีความสะดวกสบายอยู่ตลอดไป มันมีปัญหา
นี่โยมที่นั่ง นี่มีสตางค์ พอกินพอใช้ หลายคน สบายดีอยู่ ก็ลองคิดดู สบายดีอยู่รือเปล่า ในเรื่องที่เรามีสตางค์ใช้ มีรถยนต์นั่ง มีบ้านมีอะไร ต่ออะไรนี่ มันก็อย่างนั้น มันมีปัญหาเยอะแยะที่ จะต้องขบต้องคิดอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ปวดหัว ด้วยเรื่องนั้นด้วยเรื่องนี้ อันนี้แหละท่านว่าเป็นอยู่ยาก ชีวิตมนุษย์นี่มันเป็นอยู่ยาก
มันมีเรื่องที่จะให้คิดเป็นทุกข์ อยู่ตลอดเวลา จะต้องจะแก้ปัญหานี้ได้ ก็ต้องศึกษาธรรมะ ต้องนำธรรมะมาเป็นเครื่องประกอบเป็นเครื่องปลอบโยนจิตใจ เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ ให้มันเบาลงไปสักหน่อย เบาลงไป ๆ จนกระทั่งไม่ต้อง เป็นทุกข์นั้นแหละ นั้นแหละชีวิตจึงจะสมบูรณ์ แต่ถ้ายังมีเสียงกระซิบแห่งความ เป็นทุกข์อยู่ในใจ ก็แสดงว่า เรายังไม่ได้พบสิ่งที่จะช่วย ให้เราผ่อนคลาย จากความทุกข์ ได้อย่างแท้จริง
ท่านจึงกล่าวว่าการได้ธรรมะนี่เป็นของยาก เวลาก็หมดเสียแล้วค่อยว่าต่อไป วันอาทิตย์หน้าต่อไป การได้ธรรมะนี่เป็นของยาก พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ก็ยาก เอ้าค่อยว่ากันวันต่อไปอีกทีนึง สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลา ขอยุตติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยม นั่งสงบใจ เพื่อสร้างกำลังภายใน ไว้ต่อสู้กับปัญหาชีวิตต่อไป เป็นเวลา ๕ นาที