แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย ท่านโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
พุทธบริษัท : ผู้มีปัญญ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของปี พ.ศ.๒๕๒๘ เหมือนกับวันอาทิตย์ปีเก่านั้นแหละ มันก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ว่าโลกสมมติ(ให้)เป็นวันใหม่ เรามาอยู่ในโลกก็ต้องเข้าใจเรื่องสมมติ เรื่องบัญญัติ เรื่องสัจจะ อะไรเป็นเรื่องจริงแท้ อะไรเป็นเรื่องสมมติ เราก็ต้องทำไปตามเรื่อง ทำไปตามความนิยมของประชาชน สิ่งใด(ที่)ดีมีประโยชน์เราก็ทำ สิ่งใด(ที่)ไม่ดีไม่มีประโยชน์เราก็ไม่ทำ เราเป็นผู้ฉลาดในเหตุผล ไม่ทำอะไรด้วยความงมงาย ไม่ทำอะไรด้วยสักแต่ว่าทำตามเขาว่า เราทำด้วยปัญญา เราคิดเราตรองอย่างรอบคอบ แล้วเราจึงจะทำลงไป การคิดแล้วทำนี่บัณฑิตไม่ติ แต่ถ้าทำโดยไม่ได้คิดบัณฑิต(อาจ)ติเตียนได้ว่าทำโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ วิสัยของพุทธบริษัทต้องเป็นบุคคลประเภท(ที่)มีปัญญา มีความรู้มีความเข้าใจอะไรถูกต้อง แล้วก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยปัญญา จึงจะเป็นการชอบการควร
ในวันปีใหม่ที่ผ่านมานั้น ญาติโยมทั้งหลายก็ได้สนุกสนานกันตามแบบประเพณีที่เขานิยมกัน ตามสมควรแก่ฐานะมาแล้ว แต่ว่า(พอ)วันอาทิตย์พวกเราทั้งหลายก็มากันตามปกติ ไม่ว่ามันจะใหม่จะเก่าเราก็ทำกันอยู่อย่างนี้ มาฟังธรรม มาสวดมนต์ มาเจริญกรรมฐาน (มา)ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อความเจริญ เพื่อความก้าวหน้าชีวิตของเราต่อไป ในปี ๒๕๒๘ นี้ เราควร(จะ)ทำอะไร?
อยากจะให้ถือหลักไว้ในใจว่า ปี ๒๕๒๘ เป็นปีแห่งการเข้าถึงธรรมะเพราะเวลานี้เขามักจะพูดกันว่า ปีนั้นทำเรื่องนั้น ปีนี้ทำเรื่องนี้ ทางราชการเขา(บอก)ว่าปีนี้เป็นปีของเด็กสากลเรื่องเด็กสากลนี่(เขา)ก็ให้พ่อแม่เอาใจใส่ในเรื่องเด็ก เดี๋ยวจะพูดเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าในเบื้องต้นนี้เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในปี ๒๕๒๘ (นี้)เราควรจะถือว่าเป็นปีแห่งการเข้าถึงธรรมะ
การเข้าถึงธรรมะที่แท้จริง
การเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงอย่างไร? เราจะต้องเข้าถึงด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติ มี ๒ แง่ เรียกว่า เข้าถึงด้วยการศึกษา คือศึกษาด้วยการฟังบ้าง ศึกษาด้วยการอ่านบ้าง ศึกษาด้วยการคิดจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง ศึกษาด้วยการฟังนี่เป็นเรื่องเก่า มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ เพราะในสมัยโบราณนั้นไม่มีการเขียนหนังสือ ไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องต่างๆ ต้องไปฟังจากปากของผู้รู้ ผู้ที่ไปฟังจึงเรียกกันว่าสาวก
สาวก แปลว่าผู้ฟัง พุทธสาวกก็คือผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายได้ตรัสรู้ธรรมะแล้วนำธรรมะไปประกาศแก่ประชาชนด้วยการพูด ให้เขาฟัง มีคนเข้ามาฟังยอมรับนับถือคำสอนของพระองค์ ก็เรียกว่าเป็นพุทธสาวก
พระพุทธเจ้าของเราเที่ยวไปในประเทศอินเดียหลายหนหลายแห่งก็เพื่อประกาศธรรมะแก่ประชาชน ให้ประชาชนได้เกิดความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิตใหม่ เป็นแนวทางที่พระองค์ได้ค้นพบ เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ดับร้อน เป็นไปเพื่อนิพพาน คือตัดความทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด นับว่าเป็นของใหม่ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ในสมัยนั้นยังไม่มีใครพูดไม่มีใครสอนแบบที่พระพุทธเจ้าพูด(พระพุทธเจ้า)สอนมาก่อน ประชาชนที่มีปัญญาเป็นดอกบัวเสมอน้ำพร้อมที่จะรับแสงอาทิตย์ เมื่อได้มาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าในรูป(แบบ)ใหม่ เกิดความรู้ความเข้าใจ ยอมสละฆราวาสออกมาบวชเป็นพระ ก็เรียกว่าเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่ออกบวชก็ยังดำรงชีวิตเป็นชาวบ้าน ผู้ชายก็ได้นามว่าเป็น “อุบาสก” ผู้หญิงก็ได้นามว่า “อุบาสิกา”
คำว่า “อุบาสกอุบาสิกา” หมายความว่า เป็นผู้อยู่ใกล้พระ ใกล้พระด้วยการนั่ง ใกล้พระด้วยการฟัง ใกล้พระด้วยการปฏิบัติใจให้เข้าใกล้ธรรมะหรือใกล้พระนั่นเอง จึงจะเรียกว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกาสมชื่อ ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ห่างพระ คือไม่เข้าใกล้ ไม่ฟัง ไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากชื่อที่เขาเรียกเรา
ชื่อที่เขาเรียกเรานั้นเป็นชื่อเตือนใจ เขาเรียกเราว่าเป็นคนไทย ก็เตือนใจว่าให้ทำใจเป็นไท อย่าเป็นทาสของอะไรๆ เพราะการเป็นทาสมันเป็นความทุกข์ ต้องทำใจให้อิสระอยู่เหนือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจึงจะ(มี)ความสุข คนไทยนี่เหมาะกับพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง ให้เป็นไทอย่างสมบูรณ์แบบจึงเหมาะกัน เหมาะกันเหลือเกิน
เราได้รับนับถือพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักใจของชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณ และได้อยู่กันด้วยความสุขตลอดมาเพราะได้ศึกษาปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระองค์ แต่เวลานี้ชักจะเหินห่างออกไปบ้าง คนที่ไม่รู้ไม่สนใจ เป็นชาวพุทธแต่เพียงชื่อก็ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนไปตามๆกัน เพราะเดินนอกทาง ไม่เดินตามเส้นทางที่พระผู้มีพระภาค(เจ้า)ขีดให้เดิน ใครออกไปนอกทางก็เป็นทุกข์ เหมือนรถวิ่งออกนอกถนน (รถ)มันก็ลำบาก คนเดินนอกเส้นทางมันก็รก อาจจะถูกงูเงี้ยวเขี้ยวเข็บกัดเอาได้ ลำบากเดือดร้อน คนเดินนอกทางธรรมะก็ลำบากเดือดร้อนเช่นเดียวกัน แต่ถ้าเราเดินอยู่ในเส้นทางของธรรมะเราก็จะปลอดภัย ไม่มีอันตรายเกิดขึ้นแก่ชีวิตของเราแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น จึงได้ชักชวนญาติพี่น้องทั้งหลายว่าในปี ๒๕๒๘ นี้เราควรจะถือว่าเป็นปีเข้าถึงธรรมะกัน เข้าถึงด้วยการศึกษาให้ละเอียด ให้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่าให้ใครดึงเราออกไปนอกลู่นอกทาง อย่าให้ใคร(มา)ทำให้เราหลงผิดเข้าใจผิดในเรื่องพระพุทธศาสนา เพราะเรารู้เราเข้าใจ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ(เรา)นี่ก็อาจจะหลงผิดไปได้ เพราะเวลานี้มีสิ่งที่เรียกว่าไม่ใช่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในวงการของพระพุทธศาสนา ภาษาในวัดเรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป “สัทธรรมปฏิรูป” ก็คือธรรมปลอม ธรรมปลอมไม่ใช่ของแท้(ได้)เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา
ธรรมะปลอม
พระสงฆ์องค์เจ้าที่เห็นแก่ลาภสักการะ ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาถูกต้องก็เอาธรรมปลอมมาสอนคน มาทำคนให้หลง (ทำ)ให้เข้าใจผิดไปด้วยประการต่างๆเพื่อจะได้มาหาตน เอาลาภสักการะมาให้ตนโดยอาศัยธรรมปลอม
การเอาธรรมปลอมมาสอนคน ก็เท่ากับว่าทำลายธรรมะที่เป็นของแท้ หรือทำลายสิ่งที่เป็น(พระ)พุทธศาสนา แต่คนไม่รู้ไม่เข้าใจเพราะว่าบุคคลผู้นั้นแต่งตัวอย่างนักบวช โกนหัวขูดคิ้ว นุ่งผ้ากาสายะ เป็นเครื่องหมายของนักบวช เราก็นึกว่าท่านรู้ท่านเข้าใจ ท่านสอนสิ่งถูกต้อง แต่ว่ามีเหมือนกันที่สอนสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไปหลงผิดในทางนั้น ทั้งพระ ทั้งชาวบ้าน หลงกันไปตามๆกัน เพราะพระ(ของ)เราที่ขาดการศึกษาไร้ปัญญาก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน บวชมาก็หลายปีแล้วแต่ว่าไม่ได้ศึกษาจริงจัง ไม่มีหนังสือจะเรียน ไม่มีครูอาจารย์จะสอน บวชเข้ามาแล้วก็อยู่ไปตามประเพณี ตามเรื่องตามราวที่เคยเป็นเคยอยู่ ไม่ได้คิดก้าวหน้าในการศึกษา ในการปฏิบัติก็ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตัวผู้นั้นเอง เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นของจริงของแท้ อะไรเป็นของปลอม ก็ทำให้เกิดความเสียหายได้ หรือว่าใครทำอะไรที่แปลกๆ ก็อาจจะไปนึกว่าเป็นเหมือนพระพุทธเจ้าไปก็ได้
เช่นว่าคนที่ไปเที่ยวประเทศอินเดีย แล้วก็ไปหานักบวชอินเดียคนหนึ่ง ที่เขาเรียกกันว่า ไสบาบา แล้วก็ยกย่องชมเชยกันว่า นี่แหละเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด คนที่พูดเช่นนั้นไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาถูกต้อง เข้าใจว่าฤทธิ์เดชเป็นเรื่องพระพุทธศาสนา ความจริงเรื่องการแสดงฤทธิ์แสดงเดชทำอะไรแปลกๆ อย่างคนเล่นกลนั้นไม่ใช่วิธีการของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หลักการที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เรารู้ หรือต้องการให้เราปฏิบัติ
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าบางรูปก็เก่งในทางมโนมยิทธิ “มโนมยิทธิ” หมายความว่า แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ท่านโมคคัลลานะท่านแสดงฤทธิ์ได้ เพราะท่านผ่านการฝึกฝนในเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้กระทำ ทำไมจึงห้ามไม่ให้กระทำ เพราะพระองค์บอกว่า การกระทำเช่นนั้นมันไปเหมือนคนเล่นกลกลางบ้าน คนเล่นกลกลางบ้านมีเยอะแยะ ตีผ่างๆๆๆ ขายโกเอี๊ยะ หรือขายอะไรๆที่เราเห็นกันทั่วๆไป ในอินเดียเขาเก่ง เรื่องอย่างนี้ เขาแสดงกันเก่งมาก ถ้าพระเราไปแสดงในรูปอย่างนั้น คนก็จะหาว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเป็นพวกปาหี่ไป เป็นพวกเล่นกลไป เป็นการลดราคาของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องประเสริฐอะไร เพราะฉะนั้นจึงห้าม
ในเรื่องเกี่ยวกับปาฏิหาริย์นี่มันมี ๓ อย่าง เขาเรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ (พระพุทธเจ้า)ห้ามไม่ให้แสดง อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจคนได้ ทายใจคนได้ ใครมา คิดอะไรก็รู้ในใจของคนนั้นว่าคิดอะไร นึกอะไรรู้ได้ทันที (พระพุทธเจ้า)ท่านก็ไม่ให้แสดงเพราะก็ไปพ้องกับพวกเล่นกลกลางบ้านเหมือนกัน
ธรรมะที่แท้
สิ่งที่พระพุทธเจ้าชอบใจให้แสดงมากที่สุดคือการสอนธรรมะ สอนธรรมะให้ดี ให้ชัด ให้คนเข้าใจ เรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์นี่แหละต้องการ นอกนั้นไม่เอา อาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ก็ไม่เอา อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ไม่เอา เอาอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือสอนคนให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งเข้าใจในธรรมะชัดเจนนั่นแหละ(ที่)ต้องการ นอกนั้นไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นถ้าใครได้ยินชื่อว่าเกจิอาจารย์องค์นั้น องค์นี้ทำอะไรแปลกๆ นั่นเป็น(การ)ฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการล่อคนมาเพื่อล้วงกระเป๋าเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร แล้วเราก็อย่าไปยกย่องชมเชยว่าเป็นผู้เก่งอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ คนก็ไปยกย่องว่าเป็นคนเก่ง แต่ว่าก็เก่งในทางที่ไม่ใช่วิถีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องในทางที่ถูกที่ชอบ ให้เราเข้าใจไว้อย่างนี้ นี่ก็เกิดขึ้นเพราะว่าคนไม่เข้าใจ ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาถูกต้องแล้วก็ไปหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น หรือแม้ชาวบ้านบางคนแสดงอะไรได้ เราก็พูดว่าไอ้นี่สำเร็จแล้ว ความจริงไม่ได้เรื่องอะไร กิเลสก็ยังมากอยู่ แต่ว่าแสดงอะไรได้แปลกๆเท่านั้นเอง ไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ใช่อะไรในทางพระพุทธศาสนา ให้เข้าใจไว้อย่างนี้
คนส่วนมากไม่เข้าใจ จึงเข้าไม่ถึงเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ชอบสิ่งแปลกๆ ชอบเห็นพระทำอะไรแปลก แผลงๆ ในคัมภีร์เรียกว่า โกหัญเญ มีศัพท์พิเศษ ศัพท์เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า โกหัญเญ “โกหัญเญ” แปลว่า อยู่ให้โลกพิศวง ให้ใครมองแล้วตื่นเต้นประหลาดใจ อย่างนี้เขาเรียกว่าพวกโกหัญเญ ชอบหลอกลวง ชอบทำอะไรแปลกๆให้โลกพิศวง แล้วคนจะได้สนใจ จะได้เข้ามาใกล้ แล้วก็จะได้อะไรๆต่อไป อันนี้ก็ไม่ใช่วิถีทางที่พระพุทธเจ้าต้องการ
พระพุทธเจ้าต้องการให้เราศึกษาให้ลึกซึ้ง ให้เข้าใจหลักธรรมสอนข้อปฏิบัติ แล้วก็ลงมือปฏิบัติตามสิ่งที่เรารู้เราเข้าใจนั้น ปฏิบัติได้อย่างไรไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปอวดใครหรือว่าไปแสดงให้ใครดู ใครชม มันเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้เฉพาะตัว รู้อยู่ในใจว่าเรามีความโกรธน้อยลงไป เรามีโลภน้อย เรามีหลงน้อย มีความริษยาน้อย เรามีปัญญารู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ไม่หลงใหล ไม่มัวเมาในสิ่งเหล่านั้น อันนี้คือจุดหมายที่เราต้องการในทางพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ที่พูดว่าขอให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็หมายความว่าให้เข้าถึงสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ ให้ศึกษาหนังสือธรรมะที่ถูกต้อง ที่สอนธรรมะล้วนๆธรรมะจริงๆให้คนเข้าใจ
คำสอนของพระที่สอนเรื่องนี้จริงๆนั้น ก็อยากจะบอกว่าของท่านพุทธทาสนั่นเป็นเรื่องที่ควรอ่านควรศึกษาเพราะท่านสอนตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ไม่ได้สอนเพื่อลาภ เพื่อสักการะ หรือเพื่ออะไรๆทั้งนั้น ท่านสอนเป็นธรรมจริงๆ ชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้ทางสุข ให้คนได้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริง ไม่จูงคนให้หลงให้งมงาย เป็นธรรมะที่คัดเอามาจากพระสูตรต่างๆซึ่งเป็นเนื้อแท้ของคำสอน
ในพระไตรปิฎกก็ไม่ใช่ว่าเป็นเนื้อแท้ทั้งหมด เนื้อไม่แท้ก็มีเหมือนกัน แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ให้หลักไว้สำหรับเป็นเครื่องวินิจฉัย ว่าอะไรแท้ อะไรไม่แท้ ผู้ที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งก็เอาหลักนั้นมาพิจารณา เมื่อเห็นว่าอะไรไม่แท้ก็ทิ้งไป แม้มีอยู่ในพระคัมภีร์เราก็ไม่เอาถ้าไม่ใช่ของแท้ เพราะพระองค์ตรัสไว้ว่า อย่าเชื่อว่ามีอยู่ในคัมภีร์ หรือในปิฎกเสมอไป เพราะว่าข้อเขียนนั้นบางทีคนอื่น(อาจ)เอามาใส่ไว้ก็ได้ ในพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ต้องเอาหลักเข้าไปตัดสิน พระองค์ให้หลักไว้ ให้แว่นไว้ ให้เอาไปส่องดู ส่องดูแล้วถ้ามันเข้ากันได้กับหลักเหล่านั้นก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้กับหลักเหล่านั้น ก็ถือว่าไม่ถูกไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
ผู้ที่เอามาสอนคน จึงต้องเลือกเฟ้นเอาเฉพาะสิ่งที่เป็นเนื้อแท้มาสอน ไม่ใช่สอนสิ่งที่ให้คนชอบใจเสมอไป การสอนสิ่งที่คนชอบคือพูดให้คนพอใจ เข้ากันกับนิสัยของเขา อย่างนี้เรียกว่าไม่เป็นธรรมะ การเป็นธรรมะนั้นพูด ไม่เข้าใครออกใคร พูดตรงไปตามหลักธรรมะ ที่พระองค์สอนไว้อย่างไร เราก็พูดออกไปอย่างนั้น เพื่อให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปกระทบบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ประพฤติไม่ถูกต้อง ตรงตามหลักการนี้แล้วก็ไม่กล้าพูด ถ้าเราไม่กล้าพูดอย่างนั้น สัทธรรม คือธรรมแท้ก็ถูกฝังดินอยู่ ไม่ปรากฏแก่คนทั่วไปเพราะเราไม่กล้าพูด ความจริงก็เป็นเรื่อง(ที่)ไม่กล้ากันอยู่บ้างเหมือนกัน ในสมัยก่อนๆนี้ก็ไม่ค่อยกล้าเทศน์กล้าแสดง เพราะเกรงจะไปกระทบคนนั้นกระทบคนนี้ เพราะเป็นผู้ที่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ เลยไม่กล้าสอน จึงทำให้คนไม่รู้จักสิ่งที่เป็นของแท้
สมัยนี้เราควรจะเลิกกลัวสิ่งเหล่านั้นกันเสียที กล้ากันเสียสักทีที่จะพูดอะไรๆให้ถูกให้ตรง ตามหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อให้คนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ความจริงเรื่องอย่างนี้ควรจะตั้งต้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ก็เคยพูดเหมือนกันในสมัยนั้น บอกว่าพระพุทธศาสนาล่วงเลยมาได้ ๒๕๐๐ ปีแล้ว เราฉลองในวัตถุกันมากเกินไป ไม่สนใจในด้านธรรมะ ไม่สนใจที่จะพูดสิ่งถูกต้องกับประชาชน ไม่แก้ไขการกระทำความคิดความเห็นที่ผิดๆของญาติโยมชาวบ้านให้หายไปจากจิตใจ ไม่แก้ไขการกระทำที่ผิดพลาดของพระสงฆ์ในแง่ต่างๆให้หายไป ก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้ฉลองอะไร เพียงแต่ไปสนุกกันที่ท้องสนามหลวง เสร็จแล้วก็หมดเรื่อง รื้อร้านนั้นขายพวกที่รับเหมาต่อไป มันไม่ได้อะไรขึ้นมาจากการกระทำในรูปเช่นนั้น
ความจริงในปีนั้นควรจะประกาศออกมาเป็นหลักการว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราชาวพุทธต้องถือหลักการอย่างนี้ ต้องเชื่ออย่างนี้ ต้องกระทำอย่างนี้ ต้องเข้าใจอย่างนี้ ให้ถูกตรงตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งใดที่เป็นความงมงาย ไม่ถูกไม่ตรงกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ประกาศยกเลิกไปเลย ไม่มีสิ่งนั้นในวงการพระพุทธศาสนาต่อไป เช่น สิ่งเหลวไหลต่างๆที่มีอยู่ในวัดพระพุทธศาสนา ที่ทำคนให้หลงให้งมงาย เช่น ให้คนไปสั่นกระบอกต่อหน้าพระพุทธรูป ไปบนบานศาลกล่าว ไปปิดทองหลวงพ่อ เอาหัวหมูเอาบายศรี เอาไก่เอาอะไรไปถวายเซ่นสรวงบวงบน ทำเหมือนกับไหว้ผี ไม่ใช่ไหว้พระ
พระกับผีนี่ไม่เหมือนกัน เราไปไหว้อย่างนั้นก็เหมือนกับไหว้ผี เป็นการกระทำของคนที่เบาปัญญา ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เกิดจากความกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ควรจะเข้าใจ แต่ว่าไม่มีใครพูด เพราะอะไร เพราะว่าความโง่มันทำเงินให้ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน โยมไปดูตามวัดที่พระศักดิ์สิทธิ์ได้เงิน ไม่ใช่น้อยนะ วันหนึ่งหมื่นห้าหมื่นหกแล้วจะพูดไปทำไม ขืนพูดไปมันก็จะไม่ได้เงินเท่านั้นเอง แต่ว่าการไม่พูดนั่นแหละคือการทำให้คนหลงต่อไป ไม่รู้ไม่เข้าใจต่อไป
เราจะเอาเงินหรือจะเอาพระศาสนาไว้ เอาธรรมะหรือว่าเอาวัตถุไว้ อันนี้มันต้องคิดแล้ว แต่ถ้าเราเอาวัตถุมันก็ทำลายธรรมะไป แต่ถ้าเราเอาธรรมะเราก็ต้องทำลายวัตถุไป อย่าไปอาลัยอาวรณ์กับวัตถุเหล่านั้น เราควรจะคิดกันในรูปอย่างนั้น กล้าที่จะอยู่กับธรรมะ กล้าที่จะพูดธรรมะ กล้าที่จะแสดงสิ่งถูกต้องให้คนได้เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ คนก็จะรับสิ่งนั้นมาไว้ในใจของเขาต่อไป
การที่เราไม่พูดไม่แสดงสิ่งถูกต้องมันเสียประโยชน์ เพราะว่าคนสมัยปัจจุบันนี้เขามีการศึกษา เขาชอบใช้ปัญญา ใช้ความคิดความอ่าน ถ้าเขามาวัดแล้วเห็นอะไรที่มันไม่ถูกไม่ตรงตามหลักในทางพระพุทธศาสนาที่เขารู้มาบ้างเล็กๆน้อยๆ เขาก็จะเบื่อหน่าย เขาจะไม่เข้าวัด เขาจะไม่มีศาสนา แล้วเมื่อเขาไม่มีศาสนา จิตใจมันก็ไหลไปตามอารมณ์ ไหลไปตามความอยากเหมือนรถไม่มีห้ามล้อ มันก็ไปชนอะไรต่ออะไรเสียหายไปได้ ฉันใดฉันนั้น อันนี้คือความเสียหาย แต่ถ้าเราพูดให้เกิดความเข้าใจว่านั่นไม่ใช่ ที่ถูกมันเป็นอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนี้ไว้บ้าง จึงจะเป็นการดี
ครั้งหนึ่ง มีท่านผู้ใหญ่คนหนึ่งถามว่า “ทำไมใต้เท้าจึงชอบพูดเรื่องอย่างนี้บ่อยๆ” พูดให้คนมันรู้เสียบ้าง เจริญพร เพราะถ้าไม่พูดเขาก็จะนึกว่าพระพุทธศาสนานี่มีแต่เรื่องเหลวไหล เรื่องไร้สาระ เรื่องไม่น่าเชื่อ ไม่น่าสนใจ แล้วมันก็เสื่อมเท่านั้นเอง ที่พูดไว้บ้างเพื่อให้รู้ว่าที่ถูกมันเป็นอย่างนั้น ที่จริงมันเป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะได้รู้ว่า อ้อ!ไอ้ที่ทำอยู่นี้มันไม่ถูกไม่จริง ไอ้ที่ถูกที่จริงนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาก็จะได้รู้ได้เข้าใจ อย่างน้อยๆเขาก็จะได้เข้าวัดบ้าง วัดใดประกาศสิ่งถูกต้อง ประกาศความจริงให้คนได้รู้ได้เข้าใจ เขาก็จะมาศึกษาเอาไปปฏิบัติ แต่ถ้าเราไม่พูดกันเสียเลย ปล่อยแต่เรื่องงมงายไร้สาระอยู่ตลอดเวลา คนก็จะไม่เข้าวัดมากขึ้น ศาสนาก็จะเสื่อม แล้วบางทีอาจจะเปลี่ยนใจไปถือศาสนาอื่นเสียก็ได้ เพราะมีคนมาชักจูงกันอยู่บ่อยๆ เราก็จะเสียบริษัทไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่พูดสิ่งที่ควรพูดให้คนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ อันนี้ก็เป็นทางเสื่อมอยู่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ต้องพูดเรื่องเหล่านี้เสียบ้างเพื่อให้ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ ให้คนได้รู้ว่าของแท้จริงๆมี ไม่ใช่มีแต่ของปลอม (และ)เมื่อเรารู้ว่าทองแท้มีเราก็ต้องไปขุดหาทองแท้ ทองแท้มันอยู่ที่ไหน เราต้องไปขุดไปหาเอามาประดับร่างกาย ไม่ใช่เอาทองปลอมมาแขวนไว้เส้นใหญ่ๆหลอกขโมย พอมันกระชากไปมันรู้ว่าปลอมมันจะกลับมาทุบ บอกว่า “พุทโธ่ กูนึกว่าแต่งตัวด้วยของแท้กลับแต่งด้วยของปลอม” เลยมาตบอีกทีหนึ่ง อย่างนี้ก็มี ขโมยมันกลับมาตบ มันหาว่าหลอกมัน (มัน)ว่าอย่างนั้น มันไม่ได้ เราจึงต้องเอาของแท้ โดยเฉพาะในพระ(พุทธ)ศาสนานี่ต้องเอาของแท้ออกอวด อย่าเอาของปลอมออกอวด นี่เป็นเรื่องสำคัญ
เพราะฉะนั้นในปี ๒๕๒๘ นี้จึงอยากจะถือว่าเป็นปีที่เราจะต้องพูดความจริง ชักจูงคนให้เข้าถึงความจริงของพระพุทธศาสนา ให้ได้รู้ได้เข้าใจสิ่งถูกต้อง ให้เลิกนับถือสิ่งเหลวไหลจอมปลอม จะได้เกิดความเจริญก้าวหน้าแก่พระพุทธศาสนาต่อไป ขอให้โยมเข้าใจอย่างนี้ ประการหนึ่ง
อบรมลูกปลูกนิสัย
เมื่อเราต้องการเข้าถึงสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ เราจะทำอย่างไรต่อไป เราจะทำอย่างไร ชักจูงกันอย่างไร ก็อยากจะแนะนำว่า ให้ชักจูงกันในวงจำกัดก่อน คือในครอบครัวของเรา ครอบครัวนี่เป็นฐานของประเทศชาติ คนแต่ละคนนี่เป็นฐานของชาติประเทศ เมื่อรวมคนเหล่านั้นเข้าทั้งหมดจึงเป็นชาติเป็นประเทศขึ้นมา ถ้าส่วนที่เข้ามาประกอบเป็นส่วนรวมนั้นดี ส่วนรวมมันก็(จะ)ดี (แต่)ถ้าส่วนที่มาประกอบนั้นไม่ดี ส่วนรวมมันก็ไม่ดี
เหมือนรถยนต์เอาเหล็กไม่ดีมาประกอบ ขับไม่เท่าใดก็เป็นสนิมหมด ฉันใด ส่วนรวมของชาติก็ต้องมาจากแต่ละส่วนที่เป็นสิ่งดีสิ่งงาม เพราะฉะนั้นคนในชาติแต่ละครอบครัวจะต้องช่วยกันปรับปรุงคนในครอบครัวให้เป็นคนดี มีศีลธรรมประจำใจ
วิธีอบรมปลูกนิสัย
เราเรียกตัวเราเองว่าเป็นพุทธบริษัท เราก็ต้องปรับปรุงคนในครอบครัวของเราให้เป็นชาวพุทธที่ถูกต้อง ใครจะเป็นคนปรับปรุง? พ่อแม่เป็นตัวการใหญ่ เป็นตัวจักรสำคัญที่จะปรับปรุงสมาชิกในครอบครัวให้เป็นคนดี พ่อแม่จะต้องมีความเข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนาถูกต้อง ทุกคนจะต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา ต้องอ่านเรื่องพระพุทธเจ้าให้เข้าใจชัดเจนในประวัติของพระพุทธเจ้า คือให้รู้จักพระพุทธเจ้าชัดถูกต้องอย่างแท้จริง แล้วเราก็จะสามารถนำเอาเรื่องพระพุทธเจ้าแต่ละตอนๆนั้นมาคุยกันในครอบครัวหลังอาหารเย็น เพราะหลังอาหารเย็นนี่อยู่กันพร้อมหน้า พ่อแม่ต้องอยู่พร้อมหน้า รับประทานอาหารพร้อมกับลูกๆ เว้นแต่มีกิจธุระต้องไปทำกิจนั้นนี้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว แต่ก็ต้องแจ้งให้ครอบครัวทราบเพื่อไม่ให้ต้องคอย แล้วแม่ก็ทำหน้าที่แทนพ่อครอบครัวต่อไป
หมั่นสั่งสอนและอบรบ
แต่ถ้าอยู่กันพร้อมหน้า รับประทานอาหารพร้อมกัน ได้คุยกันบ้าง(บน)โต๊ะอาหารในวงอาหาร ในเรื่องที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ จะได้ดูแลลูกว่ามีการรับประทานอาหารอย่างไร กิริยามารยาทเป็นอย่างไรเล็กๆน้อยๆ
เรื่องเล็กน้อยนี่เป็นเรื่องสำคัญที่คนสังเกตเห็น แล้วจะติเตียนว่าเป็นผู้ไม่มีมารยาท หรือเป็นผู้ไร้วัฒนธรรม เราก็ต้องอบรมเขา ตักเตือนเขาบ่อยๆในเรื่องอย่างนั้น ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ หลัง(ทาน)อาหารเสร็จแล้วเราก็มานั่งคุยกัน แต่สมัยนี้โทรทัศน์มันแย่งเวลาไปบ้าง วิทยุแย่งเวลาไปเสียบ้าง แทนที่จะได้คุยกับลูกในเรื่องอะไรๆ กลับไปนั่งดูโทรทัศน์
แต่ดูโทรทัศน์ก็สอนธรรมะได้ถ้าเราจะสอน คือเอาตัวอย่างจากเรื่องในโทรทัศน์นั่นเอง เพราะละครที่แสดงในโทรทัศน์นั้นมีทั้งดีทั้งชั่วทั้งเสื่อมทั้งเจริญ มีบทเรียนอยู่ในตัว แต่เด็กดูไม่เป็น เขาไม่ได้ดูว่าอะไรเป็นอะไร แต่ดูเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน
ทีนี้ผู้ใหญ่ที่ไปนั่งดูด้วยนี่(ก็ต้อง)คอยสอนลูกให้เข้าใจ ว่าตัวคนนั้นแสดงอย่างไร ไม่ใช่แสดงดีไม่ดี แต่ว่าบทละครที่เขาเขียนให้คนนี้แสดงนั้น เป็นตัวอย่างในทางชั่วอย่างไร คนนั้นเป็นตัวอย่างในทางดีอย่างไร ผู้หญิงคนนั้นประพฤติตนอย่างไร พ่อบ้านคนนั้นประพฤติตนอย่างไร คนใช้คนนั้นประพฤติตนอย่างไร มันมีตัวสาธิตอยู่ในจอโทรทัศน์แล้ว เราก็ควรจะถือเอาแบบสาธิตในจอน่ะ เอามานั่งสนทนากับเด็กเมื่อจบเรื่องแล้วก็ได้ หรือว่าจะพูดคุยกันไปว่า ดูๆ ดูไอ้ตัวนี้มันแสดง มันแสดงความโกงออกมาอย่างหน้าด้านที่สุด น่าเกลียดสุด เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรที่เราทั้งหลายจะเอาเยี่ยงอย่าง ไม่ควรจะประพฤติอย่างนั้น อะไรอย่างนี้ เราสอนไปในตัว สนทนากันไปเรื่อยๆสมควรแก่เวลา อย่าให้เด็กดูนานเกินไป เอาแต่พอสมควรแล้วก็ให้ไปหลับไปนอน
ฝึกให้มีความอดทนและบังคับตนเอง
ก่อนจะหลับจะนอนนี่ควรจะมีการเข้าห้องพระ พ่อแม่ก็ถือเป็นกิจวัตรประจำวัน เราควรจะมีพระพุทธรูปบูชาภายในบ้าน ไม่ต้องไปหาดีเด่อะไรหรอก เรียกว่าให้มันสวยงามหน่อย พระที่เขาหล่อขึ้นสวยงามไม่ต้องปลุกเสกด้วยอาจารย์ร้อยแปด ไม่ต้องเบิกตาพระพุทธรูปหรอก เบิกตาเราดีกว่าให้มันสว่างไสวด้วยปัญญา เราเอาแต่เพียงว่าเป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า เอามาตั้งไว้เป็นเครื่องบูชาสักการะ อย่าวางไว้เฉยๆให้ขี้ฝุ่นจับ เราจะต้องเข้าไปกราบไว้บูชาพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ไหว้พระสวดมนต์ เอาหนังสือสวดมนต์แปลไปสวด เอาทำวัตรเช้าไปก็ได้ ทำวัตรเย็นก็ได้ สวดไปเรื่อยๆ หรือจะตัดให้สั้นเอาแต่(บท)พระพุทธคุณ (บท)ธรรมคุณ (บท)สังฆคุณ (บท)บทอิติปิโส (บท)สวากขาโต (บท)สุปฏิปันโน แต่ว่าแปลด้วย
(เมื่อ)สวดจบแล้วก็นั่งสงบใจ ให้ลูกทุกคนนั่งสงบใจ เป็นการฝึกความอดทน ฝึกการบังคับตัวเอง อะไรนิดหน่อย ๕ นาที พอสมควร(แก่)เวลาแล้วพ่อกับแม่ก็หันมาคุยกับลูกในเรื่องอะไรต่างๆ เรื่องทางศาสนา เรื่องพระพุทธเจ้า เล่าให้เด็กฟัง คุยกันทุกวันๆ เด็กก็จะได้ซึมซับไป ได้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน เสร็จแล้วก็ให้เด็กไปนอนได้
ก่อนจะไปนอนนี่ต้องให้เข้าไปกราบคุณพ่อคุณแม่ กราบด้วยความเคารพ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เอามือลูบหัวลูบหลัง หวังว่าลูกจะเป็นคนดีของพ่อของแม่ อะไรอย่างนี้ ให้พรเขา พูดแต่เรื่องดีๆงามๆ ให้เขาได้ยินไว้บ่อยๆ ก็จะฝังเข้าไปในจิตใจ อย่างนี้เรียกว่าเพาะคนดีขึ้นในครอบครัว
เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก
พ่อแม่จะต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่าง จะต้องมั่นคงในศีลในธรรม ถือศีล ก็เอาศีล ๕ นี่ก็พอแล้ว ศีล ๕ เคร่งครัด เราไม่ฆ่าใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำใครให้เดือดร้อนด้วยปัญหาต่างๆ ไม่ถือเอาสิ่งของของใครๆ ไม่แสวงหาอาชีพในทางที่ทุจริตอันจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคม เราจะไปลงทุนทำมาค้าขายอะไรก็หากินในทางที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรมไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นเครื่องทำลายจิตใจเพื่อนมนุษย์จากความงามความดี เราถือหลักอย่างนั้น แล้วพ่อแม่ก็มีความพอใจในความเป็นอยู่ในครอบครัว ไม่ไปแสวงหาความสุขนอกบ้าน ทำตนเป็นตัวอย่างแก่ลูกๆ โดยเฉพาะพ่อบ้าน อย่าไปหาความสุขนอกบ้าน อย่าไปเที่ยวประพฤติปฏิบัติอะไรในทางที่จะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนวุ่นวาย พูดจากันด้วยความสุภาพเรียบร้อย อ่อนหวาน(นุ่ม)นวล
ไม่เสพสิ่งเสพติดมึนเมา โดยเฉพาะพ่อบ้าน งดเว้นเด็ดขาดสิ่งเหล่านั้น แล้วก็พูดให้ลูกฟังว่า ที่พ่อไม่ดื่มเพราะมันมีโทษ มันไม่ให้ประโยชน์ ที่พ่อไม่สูบบุหรี่เพราะมันมีโทษอย่างนั้นอย่างนี้ พูดให้เด็กเข้าใจ ให้ได้ฟังไว้ตั้งแต่เบื้องต้นในเรื่องอย่างนี้ เด็กก็จะไม่ไปเที่ยวเสพลองสูบบุหรี่ ลองดื่มเหล้า เพราะไม่ต้องลองก็ได้ ลองแล้วมันจะเสียผู้เสียคน พ่อแม่ทำตนให้เป็นตัวอย่าง
แม่ก็ต้องไม่ชอบเป็นคนเล่นไพ่ ชอบซุบซิบนินทาคน พอนั่งรวมวง ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกันละ ต้องนินทาคนนั้นนินทาคนนี้ เรียกว่าตั้งวงซุบซิบ ชอบนินทาคนโน้นคนนี้ด้วยประการใดประการหนึ่ง เป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร สำรวมวาจา พูดจาแต่เรื่องเหมาะเรื่องควรไว้ ไม่ไปคบหากับเพื่อนที่ชอบสนุกเฮฮา ทำลายเวลาด้วยการเล่น ด้วยการเที่ยวที่ไม่เป็นสาระ
อย่างนี้ก็เป็นตัวอย่าง ลูกก็มีความภูมิใจในความเป็นพ่อของตัว ภูมิใจในแม่ของตัว พอจะเอาไปคุยให้ใครๆฟังได้ว่าพ่อของตนนั้นเป็นคนอย่างนั้น แม่ของตนเป็นคนอย่างนี้ ให้ลูกอวดเขาได้ แต่ถ้าหากประพฤติไม่ดีลูกจะเอาไปอวดก็ไม่ได้เพราะไม่มีอะไรจะอวด อันนี้ก็เป็นเรื่องเสียหาย ที่จะต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่าง
ครอบครัวใดที่พ่อแม่ประพฤติตนเป็นตัวอย่างแก่ลูก ลูกไม่ค่อยจะเสียคนเท่าใด คือการประพฤติธรรมนี่ถ้าประพฤติให้เรียบร้อยให้เหมาะแก่เรื่องแก่เหตุการณ์ มันก็เรียบร้อยทุกประการ
อุปสรรคของการอบรมลูก
บางคนบอกว่า ผมนี่มาวัดทุกวันพระแต่ลูกมันเก(เร) ตัวมาจริงแต่ไม่จูงลูกให้มา แล้วก็ไม่เอาไปสอนลูก ปล่อยมันตามเรื่องตามราว ไม่มีการอบรม ไม่มีการแนะนำพร่ำเตือนอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ เราต้องทำ ๒ อย่างควบคู่กันไป คือสอนด้วยการทำให้ดู สอนด้วยการพูดให้เข้าใจ พูดนี่ก็ต้องทำ แสดงให้ดูก็ต้องทำ การแสดงให้ดูนั้นทุกเวลานาทีต่อหน้าลูกของเรา เราจะต้องประพฤติตนเรียบร้อยทุกเวลา ให้เขาเห็นแต่ภาพดีภาพงาม แล้วก็พูดให้เขาฟัง ยกตัวอย่างเรื่องไม่ดีไม่งามจากเรื่องเป็นข่าวอะไรต่างๆ เช่น ลูกเราอยู่ในวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นมันก็คิดจะรักจะชอบอะไรต่างๆ ดูคน(อื่น)ด้วยสายตาที่ผิดปกติแล้ว เราก็ยกตัวอย่าง เช่น ข่าวหนังสือพิมพ์ที่ว่ารักข้ามรุ่น ไอ้เด็กคนหนึ่งอายุเพียง ๑๖ ไปรักครูอายุ ๒๕ นี่เรียกว่ามันเกินของเขต ไม่เจียมเนื้อเจียมตัวที่ไปรักครู นี่ (เรียกว่า)ประทุษร้ายต่อครูแล้ว (มี)จิตประทุษร้ายต่อครู
คนสมัยก่อนนี่เขาถือว่าบาปนักหนา เพียงแต่คิดประทุษร้ายนี่ก็เป็นบาปแล้ว คิดรักครูมันไม่ใช่เรื่องดีนะ คือไม่ใช่รัก(ใน)ทางที่ถูกแต่รักจะเอาครูมาเป็นแม่บ้านอย่างนี้ มันรักผิดทาง แล้วมันไม่รู้จักบังคับควบคุมจิตใจ เพราะว่าไม่เคยได้เรียนได้รู้ในเรื่องอย่างนั้นมา วันหนึ่งก็ไปขอความรักจากครู เมื่อครูไม่ยอมพูดด้วย ไม่ยอมแสดงความเออออห่อหมกด้วย มันก็โกรธ เมื่อไม่รักไม่ชอบก็อย่าอยู่เลย ชักปืนออกมาก็ยิงครู แต่ว่าคงไม่ตายเพราะว่ายิงถูกไหปลาร้า ตรงนั้นมันไกลหัวใจหน่อย แล้วก็(ยิง)ถูกขาอีกนัดหนึ่ง คงจะไม่ตายแต่ว่า(อาการ)สาหัส ต้องพาไปโรงพยาบาล ไอ้เจ้าหนุ่มไม่เข้าเรื่องคนนั้นเมื่อยิงครูเสร็จแล้ว นึกว่ากูก็ต้องตายตามไปด้วย เลยยิงตัวเองตาย ตายแน่ๆ เพราะยิงตัวเอง (ก็เลย)ตัวตาย ถ้าครูไม่ตายก็เรียกว่าตัวตายเปล่า กลายเป็นผีบ้าๆบอๆไปนั่งคอยครูสาวอยู่ในเมืองนรกเท่านั้นเอง อันนี้มันไม่ได้อะไร
ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่คอยสอนคอยเตือนให้เหมาะแก่วัยของเด็ก เด็กพอ(เริ่มเข้า)วัยรุ่นตาชำเลืองดูเพศตรงกันข้าม พ่อแม่ก็ต้องแนะนำว่านี่แหละคนเรามันอย่างนี้แหละ พอโตขึ้นมาหน่อยมันมีความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ ให้มันรู้ว่าเรื่องนั้นมันคืออะไร มันดีหรือมันชั่วอย่างไร ควรจะทำอย่างไร จึงจะเป็นการถูกต้อง เราสอน ก็เรียกว่าสอนเพศสัมพันธ์เหมือนกันนะอย่างนี้(เพียง)แต่ว่าเราสอนในแง่ธรรมะ ให้รู้ว่าการกระทำอย่างนั้นถ้าไม่มีธรรมะเข้ามาควบคุมมันก็จะเสียผู้เสียคน มันจะเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน เห็นสุนัขไหมมันทำกันอย่างไร คนเรามันต้องมีการปกปิดมีการอะไรต่ออะไร เพราะคนเรามีความละอาย มีความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดี อะไรไม่ควรเราก็ไม่กระทำ ไม่เหมาะไม่ควรก็ไม่กระทำ เราสอนให้เด็กเข้าใจ ให้ควบคุมจิตใจไว้ทีละนิดทีละน้อย ค่อยสอนค่อยพูดค่อยจาไปในเรื่องอย่างนั้น เด็กก็จะเกิดความเข้าใจ จะไม่ทำอะไรที่เสียหาย
นำลูกเข้าหาธรรมะ
พ่อแม่จึงต้องคอยดูลูกว่าไปคบกับใคร ไปเที่ยวที่ไหน มีอะไรผิดปกติขึ้นในชีวิต ต้องคอยสังเกต คอยเฝ้าดู แล้วค่อยเอาธรรมะเข้ามาสอน มาแนะนำพร่ำเตือน ต้องพาลูกมาวัดเสียบ้าง มาแล้วก็ต้องควบคุมให้รู้ให้เข้าใจ พามาเที่ยววัดต้องบอกให้รู้ว่า วัดนี่คือสถานที่อะไร มีอะไรในวัดบ้าง นั่นโบถส์เขามีไว้ทำไม หินสีมารอบโบถส์เขาทำไว้ทำไม นั่นศาลาเขาทำไว้ทำไม นั่นกุฏิเป็นที่อยู่ของใคร เรา(ต้อง)สอนไม่ใช่พามาเฉยๆ พามาแล้วต้องอธิบาย คล้ายๆกับนำเที่ยวนั่นแหละ
พ่อแม่เป็นคนนำเที่ยว เป็นไกด์นำลูกเข้าหาธรรมะ นำเขามาก็อธิบายให้เข้าใจ แล้วเมื่อมาวัดเราควรจะประพฤติตนอย่างไร สิ่งในวัดนี่เป็นสิ่งของคนทุกคน ที่เขาสร้างเขาทำไว้เราอย่าทำลาย อย่าไปเที่ยวปีนป่ายที่นั่นที่นี่ อย่าทำลายต้นไม้ อย่าทำลายดอกไม้ อย่าทิ้งขยะภายในวัด อย่าเที่ยวถ่ายอะไรเพ่นพ่านเป็นสิ่งไม่สะอาด เป็นเรื่องน่าเกลียด สอนให้เขารู้ ให้เขาได้ปฏิบัติถูกต้อง
แม้ว่าเรานั่งไปในรถ เราก็พาลูกไป คุยให้ลูกฟังก็ได้ก่อนขึ้นรถ ขึ้นรถนี่ควรทำอย่างไร ควรนั่งอย่างไร ถ้าเห็นคนอื่นจะนั่งบ้าง เราต้องขยับถอยให้เขาหน่อย เอื้อเฟื้อแก่คนทุกคน การเอื้อเฟื้อนั้นเป็นการประพฤติธรรม การไม่เอื้อเฟื้อก็คือไม่ประพฤติธรรม ถ้าคนทุกคนประพฤติธรรมก็จะอยู่กันด้วยความรัก แต่ถ้าไม่ประพฤติธรรมก็จะอยู่กันด้วยความเกลียด การเกลียดกันนั้นมันไม่เป็นความสุข เวลาเรารู้สึกเกลียดใคร เราก็ไม่เป็นสุข คนอื่นเกลียดเราเราก็ไม่เป็นสุข แต่ถ้าเรารักใครชอบใคร แผ่เมตตาไปยังใคร เขาเป็นสุข เขาแผ่เมตตามายังเรา เราก็เป็นสุขด้วยเหมือนกัน สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ต้องพูดให้ฟังบ่อยๆ พูดตรงๆก็ได้ หาเรื่องนิทานมาเปรียบเทียบอธิบายให้ลูกฟัง(ก็ได้)
พ่อแม่ต้องสนใจอ่านหนังสือทางธรรมะ อ่านเรื่องชาดกอะไรต่างๆ เพื่อจะเอามาสอนลูก เวลาว่างๆได้คุยกับลูกเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีแง่ต่างๆที่เราควรจะเอามาเล่าสู่กันฟังมากมาย เราก็ยกมาเล่าเป็นเรื่องๆไป เพาะความเลื่อมใสศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่เด็กวันละเล็กวันละน้อย ค่อยเจริญค่อยเติบโตขึ้นโดยลำดับ อันนี้เป็นเรื่องการทำ ดึงคนในครอบครัวเข้าหาธรมะ
มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เมื่อเราดึงคนในครอบครัวเป็นธรรมะแล้ว เราอยู่ครอบครัวเดียวก็ไม่ได้ ประพฤติธรรมครอบครัวเดียวนี่มันอยู่ไม่ได้ ต้องประพฤติกันหลายครอบครัว เราต้องดึงครอบครัวอื่นเข้ามาด้วย การดึงคนนั้นจะทำอย่างไร เราต้องให้อะไรเขาก่อน เรียกว่าผูกมิตรด้วยการให้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า …
ทะทัง มิตตานิ คันถะติ … ผู้ให้ย่อมสมานมิตรไว้ได้
การให้นี่ก็สมานมิตรไว้ได้ เราทำการเอื้อเฟื้อแก่คนบ้านใกล้เรือนเคียง การเอื้อเฟื้อแก่คนอื่นก็คือประพฤติธรรมอยู่แล้ว คือเรียกว่าให้ทาน ทานก็คือการให้ ให้แก่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรควรให้ มีอะไรควรแจกตามกาลตามเวลา ตามกาลเทศะ เราก็เอาไปแจกไปให้ เป็นครั้งๆคราวๆ
ธรรมเนียมคนไทยเรานั้นทำอะไรแล้วเอาไปให้กัน เช่น วันสงกรานต์นี่ ความจริงก็ทำกันทุกครอบครัวแหละ แต่เขาก็เอาไปให้กัน ครอบครัวนี้ให้ครอบครัวนั้น ครอบครัวนั้นเอามาให้ครอบครัวนี้ แลกเปลี่ยนกันเป็นการให้ คนโบราณเขาวางแบบวางมาตรฐานไว้ดีมาก แต่ในสมัยนี้เราไม่ค่อยจะได้ใช้โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ ขออภัยเถอะ เพราะว่า(ขนาด)อยู่รั้วติดกันก็ยังไม่รู้จักกัน (แค่)สังกะสีบางๆกั้นนี่ (เหมือน)เป็นกำแพงหนาสักโยชน์ที่(กั้น)ไม่ให้คนรู้จักกันได้ นี่มันเสียหาย มันสะดวกแก่พวกขโมยที่จะมาขโมยของบ้านนี้ นั่งดูนึกว่า อ้อ! ย้ายบ้านอีกแล้ว แหม!รถคันใหญ่เล็กเอามาขนของกันไปอีกแล้ว ความจริงขโมยช่วยย้าย ไม่ใช่เจ้าของบ้านย้าย แต่ว่าเพราะไม่รู้จักกัน มันก็(เลย)เป็นอย่างนั้น
แนะนำผู้อื่นให้เข้าหาธรรมะ
เพราะฉะนั้น ทำความรู้จักกัน(ให้)รอบทิศ ไปทิศเหนือ ทิศตะวันตก ทิศใต้ ผูกมิตรกันไว้ มีอะไรก็ส่งไปให้เขากิน มีอะไรก็ชวนมาที่บ้าน มาพูดมาคุยกัน สนทนากัน มาบ้านเรามีเทปธรรมะ ก็บอกว่า เอ้า … ฟังนี่หน่อย อันนี้เข้าทีดี เปิดเทปธรรมะทิ้งๆไว้ เขาฟังไปคุยไปหูมันก็ได้ยินบ้าง ตามสมควร คุยเรื่องอื่นบ้าง เสียงเทปเข้าบ้าง เราคุยให้น้อยให้เทปเข้ามากๆหน่อย เขาฟังๆไปจะได้เกิด เอ๊ะ!เสียงพระอะไร ท่านพยอม หรือพระอะไรที่ท่านเทศน์ เขาจะถาม บอกว่าไม่ใช่ นี่หลวงพ่อปัญญา อยู่วัดชลประทานรังสฤษฏ์โน้น ท่านมีเทศน์ทุกวันอาทิตย์แหละ ว่างๆไปด้วยกันไหม เรามีรถยนต์ก็รับเขามา (พา)เขามาฟัง
เมื่อเขามาฟังซักวันก็ เอ๊ะ … เข้าทีดีนี่ แหม … คนมากันเยอะแยะ เอ๊ะ … เราทำไมไม่เคยมา ควรจะมาบ้าง ดึงมาได้คนหนึ่ง ได้แม่บ้านมา แม่บ้านก็คงจะดึงพ่อบ้านมา ต่อมาก็ดึงลูกมา
แล้วเราก็ชวนกันอย่างนั้นแต่อย่าชวนให้เป็นเรื่องรบกวน ชวนมาฟัง อย่าชวนเรื่องอื่นให้มันมาก เดี๋ยวไปทอดผ้าป่าที่นั่น เดี๋ยวไปทอดกฐินที่นี่ รบกวนทุกที เขารำคาญ แหม!ตั้งแต่คบแม่คนนี้ เรี่ยไรไม่หยุดเลย อย่างนี้มันก็เดือดร้อนอีก อย่างนี้มันก็ลำบาก อย่าไปเรี่ยไรให้เขาเดือดร้อนมากเกินไป เราดึงเข้าหาธรรมะ ให้เขาได้มาฟังธรรมะ ได้มาวัด ให้เป็นความคิดของเขาที่จะทำอะไรของเขาเอง อย่าไปรบกวนเรี่ยไรเรื่องอะไรกับเขาอย่างนั้น เพียงแต่จูงมาวัด เอาหนังสือไปแจกให้บ้าง
ญาติโยมบางคนที่มาฟังเทศน์นี่ ซื้อหนังสือไปเที่ยวแจกบ้านนั้นแจกบ้านนี่ นี่เป็นการถูกต้อง เรียกว่าดึงคนเข้าหาธรรมะ เอาไปแจกให้เขา วันหลังแจกแล้วควรจะไปถาม เป็นอย่างไรหนังสือวันนั้นเอามาแจก ลองอ่านดูแล้วยังล่ะ ตรงนั้นคิดเห็นเป็นอย่างไร เราไปตั้งปัญหาถามเหมือนครูสอบนักเรียน ถามว่าเป็นไง อ่านแล้วเรื่องนั้นท่านเห็นด้วยไหม หรือไม่เห็นด้วย เท่ากับว่าไปตั้งปัญหาให้เขาคิด ให้เขาสนใจอ่าน เอ๊ะ!เราต้องอ่าน ไม่อย่างนั้นไม่ได้
เหมือนกับมีคนขายยาคนหนึ่ง เป็นหมอขี้เมาคนหนึ่ง เมาที่สุดเลย เลยซื้อหนังสือท่านพุทธทาสไปให้ห่อใหญ่เลย อ่านนะ เวลาไหนไม่เมา … อ่านนะ พอไปเจอ อ่านแล้วยัง พอไปเจอถามทุกที หมอชักจะรำคาญ ไอ้นี่สตางค์ของมันอุตส่าห์ซื้อมาให้ ซื้อมาให้แล้วยังอุตส่าห์ถามเราบ่อยๆ เห็นจะต้องอ่านบ้างแล้วไม่อ่านเดี๋ยวมันจะว่าได้ ก็อ่านตี ๔ ตี ๔ ตื่นขึ้น ไม่เมา ตอนนั้นก็อ่านไป อ่านไปๆเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา เหมือนกับคนไม่ดูกระจกเงา ไม่เคยดู พอมาดูก็ว่า โอ้ย!ตายแล้วผมเผ้ารุ่มร่าม หน้าตาเหี่ยวแห้ง ทำไมมันเป็นอย่างนี้ รู้สึกตัวเลยเลิกดื่มเหล้าเลย ประพฤติตนเรียบร้อย นี่เพราะเพื่อนเอาหนังสือธรรมะไปให้ เรามีอะไรก็ฝากเขาฝากบ่อยๆแล้วก็ชวนพูดชวนคุย ชวนมาวัดมาวาบ้าง
พระสงฆ์องค์เจ้าก็เอาไปฝากบ้าง ฝากพระ ให้ท่านอ่านเสียบ้าง แล้วก็พบก็ เป็นไงอ่านแล้วยัง? ที่เอามาให้น่ะดีนะ อ่านหรือยัง ถามบ่อยๆ พระท่านก็ละอายเหมือนกัน เอ๊ะ!เรามันมีเวลามากกว่าโยม แต่โยมถามว่าอ่านแล้วยัง ไม่ได้แล้ว เดี๋ยววันหลังจะสอบแล้วตอบไม่ได้ สอบตกเดือดร้อน อันนี้พระก็จะได้อ่าน แล้วเอาไปพูดคุยกับชาวบ้านบ้าง โดยวิธีการอย่างนี้ก็จะทำให้เพื่อนบ้านของเราได้เริ่มประพฤติธรรมและเขาจะละอายแก่ใจ เมื่อทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามหลักการทางพระพุทธศาสนา
ถ้าเรามีเพื่อนบ้านดีก็เหมือนรั้วบ้านแข็งแรง รั้วบ้านทำด้วยไม้ ทำด้วยลวดหนาม ทำด้วยอิฐก่อกำแพง ไม่แข็งแรง ขโมยยังปีนได้ แต่ถ้าเรามีเพื่อนบ้านที่ดีนั่นแหละคือรั้วอันประเสริฐ สร้างรั้วด้วยเพื่อนบ้าน ให้เป็นคนดี ชักจูงมาอย่างนั้น คนเหล่านั้นก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนนั้นเขาดีขึ้นเขาสบายใจขึ้น เขาก็ชวนคนอื่นต่อไป มันค่อยแผ่กว้างออกไป
ในรอบปี ๒๕๒๘ นี่ ถ้าเราชวนเพื่อนบ้านของเราทำกิจอย่างนี้มากๆขึ้น (พระ)พุทธศาสนาก็จะแพร่หลายไปในคนเหล่านั้น บางครั้งบางคราวเราก็นิมนต์พระไปเทศน์ที่บ้านเราเสียบ้าง ไปเทศน์ที่บ้าน ไม่ต้อง(มี)เรื่องอะไรมาก นิมนต์ไปเทศน์ก็แล้วกัน อย่าไปคิดถึงเรื่องกงเรื่องกัณฑ์ให้มันวุ่นวาย นั่นมันนิดหน่อยไม่มีก็ได้ ไม่เห็นจะเสียหายอะไร แต่ว่าเราก็บอกกล่าวเพื่อนบ้าน วันนี้ฉันนิมนต์พระมาเทศน์ที่บ้านนะ เขาถามว่ามีงานอะไร มีงานเทศน์ โดยมากถ้าไม่มีเรื่องแล้วไม่ค่อยเอาพระเข้าบ้าน ต้องสวดบ้านต้องทำบุญ ไอ้นั่นไอ้นี่เราไม่ทำอะไรก็ได้ ว่างๆก็นิมนต์พระมาเทศน์ ชักชวนเพื่อนบ้านมาฟังกัน สนทนาธรรมะกัน บ้านเราก็กลายเป็นบ้านพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมา เพื่อนฝูงก็จะได้มาศึกษาธรรมะ ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เขาก็จะได้เอาไปใช้ นี่เป็นการช่วย
หรือช่วยเผยแผ่ธรรมะด้วยการพิมพ์หนังสือตามครั้งคราว ทำบุญอายุพิมพ์หนังสือ(เล็กๆ)น้อยๆแจก วันเกิด ทำบุญศพพ่อแม่ ปู่ตาย่ายาย เอาหนังสือธรรมะไปแจก บางงานแจกตลับเล็กๆ ถามว่าแจกอะไร แจกตลับคนละใบๆเอาไปใส่ขึ้ผึ้งสีปาก สมัยนี้เขาไม่สีด้วยขี้ผึ้งแล้ว เขาสีด้วยลิปสติก ใช้ลิปสติกสีกันแล้ว สมัยนี้เขาไม่ใช้ของอย่างนั้นแล้ว เลิกใช้แล้ว ควรจะซื้อลิปสติกมาแจกดีกว่า ทีหลังมีงานศพแจกลิปสติกคนละอันๆ แจกสุภาพสตรี สุภาพบุรุษไม่แจก
ควรจะแจกธรรมะดีกว่า เขาบอกว่า แหม!พิมพ์ไม่ทัน บอกว่าที่วัดมีเยอะแยะ หนังสือตกค้างมีเยอะแยะ เอาไปแจกไม่ต้องใส่หน้าปกว่าแจกในงานนั้นงานนี้ เพราะจุดหมายสำคัญเราต้องการให้เขาอ่านธรรมะ ให้เขาเอาไปอ่าน หน้าปกไม่สำคัญอะไร บางคน แหม!จะเปลี่ยนหน้าปกหน่อย ไม่ต้อง จุดหมายอยู่ที่ว่าเราต้องการให้หนังสือธรรมะเข้าถึงคน คนจะได้อ่าน เอาไปแจกเลย มีงานศพ บอกว่างานศพพรุ่งนี้ไม่รู้จะพิมพ์ที่ไหน วิ่งมาหามหาเผียน มีหนังสืออะไรบ้าง เอาไป ๑๐๐ เล่ม ๒๐๐ เล่ม งาน(เล็ก)ก็เอาไปน้อย งานใหญ่ก็เอาไป(มาก) เอาไปแจกอย่างนี้ก็จะดีกว่า ดีกว่าแจกตลับเล็กๆ แจกขันน้ำใบน้อยๆ บางคนแจกขันน้ำ บางคนแจกยาดม ไปดมอะไร ดมไม่กี่วันก็หมดกลิ่นแล้ว ยาดมอย่างนั้นไม่ได้เรื่องอะไร ไอ้นั่นสำหรับแจกคนแก่ คนแก่เวลาเป็นลม … ดมยา แจกอย่างนั้นมันก็ได้ผลน้อย แจกธรรมะดีกว่าลงทุนน้อยก็ได้ ไม่แพงอะไร เล็กๆน้อยๆ เพื่อให้คนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ
เราพยายามช่วยกันเอาธรรมะไปให้เข้าถึงคน ในปี ๒๕๒๘ ทุกคนตั้งหลักเกณฑ์ไว้ในใจว่า เราจะประพฤติธรรมตลอดปี ถือศีลอย่างนั้นอย่างนี้ตลอดปี แล้วเราจะพยายามดึงเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงให้ได้มาวัด ให้ได้ฟังธรรม อย่าอิดหนาระอาใจในการดึง บางทีเราไปชวนเขาไม่มา ชวนหลายครั้งไม่มา ชวนบ่อยๆชวนบ่อยๆ คนนั้นแกรำคาญ แหม … มันชวนบ่อยๆเห็นจะต้องไปเสียทีไม่อย่างนั้นมันไม่หยุดชวน เลยก็มา มาแล้วก็เลยได้ประโยชน์
เรามารถยนต์ขับมาคนเดียวทำไม บรรทุกเพื่อนมาบ้าง เพื่อนจะได้มาฟังบ้าง แล้วบรรทุกกลับไป จะช่วยให้คนฉลาด เปิดหูเปิดตาประชาชน ให้เกิดปัญญาเกิดความรู้ในพระศาสนา เป็นบุญอันประเสริฐที่ควรจะกระทำกันในรอบปี ๒๕๒๘ นี้ จึงจะเป็นการดีการชอบ
อาตมาก็ตั้งใจไว้อย่างหนึ่งในปี ๒๕๒๘ นี้ คือตั้งแต่วันที่ ๑ มา ไปเทศน์ที่ไหนได้ปัจจัยมา(จะ)ไม่ใช้อะไรส่วนตัว ส่วนตัวไม่มีเรื่อง(ให้)ใช้อะไรแล้ว (จะเอา)เข้าบัญชี เรียกว่า “มูลนิธิเผยแผ่พุทธศาสนาในต่างประเทศ” ตั้งชื่อไว้อย่างนั้น ยังไม่ได้ประกาศโทรทัศน์เมื่อตะกี้นี้ ไว้เดือนหน้าค่อยประกาศตั้งว่า “มูลนิธิเผยแผ่พุทธศาสนาในต่างประเทศ” เพราะว่าต้องไปช่วยเหลือการเผยแผ่พุทธศาสนาในประเทศอังกฤษ และประเทศออสเตรเลีย คือไป(สาน)สัมพันธ์กันขึ้นแล้ว เป็นข้อผูกมัดทางจิตใจ
ที่ได้ผูกมัดก็เพราะว่าเห็นเขาทำดีมีประโยชน์ เป็นเรื่องดีเราต้องช่วย ถ้าไม่ช่วยแล้วมันก็จะเสียหาย (ก็เลย)ตั้งไว้อย่างนั้น แล้ว(พอ)ได้มาก็(เอา)เข้าไปๆ เพราะฉะนั้น ญาติโยมถวายกัณฑ์เทศน์อะไรนี่ก็สบายใจว่ากัณฑ์เทศน์นี้จะเป็นสิ่งช่วยเหลือให้ธรรมะแพร่หลายไปในต่างประเทศด้วย เอามารวมเข้าบัญชีไว้ บัญชีที่ถวายเมื่อได้เท่าใดแล้วพอถึงปีก็แบ่งไป ควรจะไปช่วยออสเตรเลียเท่าไร ไปช่วยอังกฤษซักเท่าไร เวลาใกล้จะไปก็โหมโรงอีกทีหนึ่ง เรียกว่าโหมโรงทางโทรทัศน์ โยมก็เอามาสมทบกับทุนเก่า ต่อไปนี้ไปเทศน์ที่ไหนก็จะบอกเขาทุกราย บอกว่าปัจจัยที่ถวายนี้ เอาไปสมทบทุนมูลนิธิเผยแผ่พุทธศาสนาในต่างประเทศ เริ่มได้มาแล้ว นี่เวลานี้ก็ฝากเข้าไปเรื่อยๆ ฝากเรื่อยๆได้มาฝากเข้าไปๆตามโอกาสที่จะได้มาเพื่อให้มันเป็นก้อน แล้วเดือนพฤษภาคมนี่จะไปประเทศอังกฤษก็ค่อยบอกอีกทีหนึ่ง สำหรับญาติโยมไกลๆที่ไม่รู้ไม่เห็นทางนี้ก็ได้ฟังทางโทรทัศน์ เขาก็จะได้ส่งมาร่วมแรงร่วมใจกันต่อไป ตั้งใจไว้อย่างนั้นในรอบปีนี้
ต่อไปก็เรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เพราะว่าเรื่องส่วนตัวมันไม่มีอะไรแล้ว โยมให้ฉัน พอฉันแล้ว จีวรก็ไม่ขาดแคลน เจ็บไข้ก็ไม่เป็นไรเขา(พา)ไปรักษาเอง ถ้าเขายังอยากจะฟังเทศน์อยู่เขาก็รักษากันเอง เรื่องอื่นมันไม่ทุกข์ไม่ร้อนแล้ว แต่ว่าจะใช้ชีวิตให้มันเป็นประโยชน์ในการทางธรรมะต่อไป จึงขอให้ญาติโยมได้เข้าใจอย่างนี้
พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งตัวตรง หลับตา กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อย่าให้ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่น เป็นเวลา ๕ นาที