แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมเลยมาหน่อย เพราะว่ามีคนมาดักทำธุระกลางทาง เลยช้าไปห้านาทีไม่เป็นไรค่อยไปแถมตอนท้าย
วันอาทิตย์นี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนพฤศจิกายน เดือนตุลาคมผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าโลกมันก็อย่างนั้นไม่ค่อยจะเรียบร้อย มีปัญหานานาประการเกิดขึ้นในโลกโดยเฉพาะในชุมพูทวีป อันเป็นแผ่นดินที่เกิดขึ้นของศาสดาทั้งหลาย ก็พระพุทธเจ้าของเราเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย วัฒนธรรมประเพณีวรรณคดีเก่าแก่มีอยู่มากในประเทศอินเดียเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ แก่ปัญญา หลายเรื่องหลายประการ พอจะอวดชาวโลกได้และชาวอินเดียเขาก็มีความภูมิในดินแดนของเขา เขาเรียกว่าภารตะ ชาวอินเดียเขาเรียกประเทศของเขาว่าภารตะ เขาไม่เรียกว่าอินเดีย เพราะว่าคำว่าอินเดียนี้เป็นคำที่ฝรั่งมาเรียก แต่เขาเอง เขาเรียกว่าภารตะ ซึ่งเป็นชื่อเก่าแก่มีวรรณคดีเรื่องเก่าเรื่องหนึ่งเขาเรียกว่าภารตะยุทธ เล่าถึงเรื่องการรบใหญ่ในทุ่งกุรุเกษตร แล้วก็มีเรื่องสำคัญในภารตะเรื่องหนึ่งเรียกว่าภควัทคีตา เป็นคำที่พระกฤษณะสอนอรชุน ให้ทำหน้าที่โดยไม่เห็นแก่อะไร ให้ทำงานเพื่องาน ให้ปฏิบัติจิตด้วยจิตใจที่ว่างจากความยึดถือในผลประโยชน์อันจะเกิดขึ้นแก่ตน เป็นหนังสือชั้นดีมีชื่อ ชาวโลกทั่วไปก็อ่านศึกษากัน พิมพ์ออกเป็นภาษาต่างประเทศแพร่หลายทั่ว ๆ ไป ถ้าเราคุยกับผู้รู้ชาวอินเดีย ถ้าเราคุยถึงเรื่องภควัทคีตา เรื่องรามายณะ อะไรต่างๆ อันเป็นเรื่องของเขา ๆ จะมีความภูมิใจมากในสิ่งเหล่านั้น
แต่ว่าประเทศอินเดียในขณะนี้ ไม่มีอะไรที่น่าภูมิใจอยู่เวลานี้ สิ่งที่เป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตใจให้เกิดความสำนึก รู้สึกผิดชอบชั่วดีนั้นกำลังหายไปจากอินเดีย อินเดียกับคนอินเดียเวลานี้มีแต่ความคิดในเรื่องความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาทอาฆาตจองเวรกัน แล้วก็ตามเข่นฆ่ากันในพวกของกันเอง เรียกว่าเป็นยุคมิคสัญญี มิคสัญญี แปลว่า เห็นคนเป็นสัตว์ฆ่ากันเหมือนกับฆ่าสัตว์ เห็นคนเป็นสัตว์แล้วก็ตามฆ่ากันด้วยความทารุณโหดร้าย สิ่งนี้เกิดขึ้นจากอะไรเป็นเรื่องน่าจะเอามาสนทนา ญาติโยมทั้งหลายจะได้ฟังกันไว้
คือประเทศอินเดียนี่มีปัญหามากหลายเรื่องหลายประการ หนึ่งปัญหาทางภาษา เพราะประเทศอินเดีย เป็นประเทศใหญ่มีภาษาแตกต่างกันมากมายหลายภาษาเหลือเกิน แต่รัฐหนึ่งก็มีภาษาหนึ่ง มีหนังสืออย่างหนึ่งหนังสือก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเทียบกับประเทศจีน ๆ พลเมืองมากเป็นที่หนึ่ง อินเดียมากเป็นที่สอง แต่ว่าจีนนั้นดีกว่าอินเดียในเรื่องเกี่ยวกับว่าหนังสือเหมือนกัน แต่ว่าอ่านออกเสียงผิดกัน คนฮกเกี้ยนอ่านเป็นฮกเกี้ยน แต้จิ๋วอ่านเป็นแต้จิ๋ว กวางตุ้งอ่านเป็นกวางตุ้ง มันแตกต่าง แต่ว่าเมื่อเขียนแล้วรู้ความหมายกัน ถ้าเขียนหนังสือแล้วรู้ความหมายว่าหมายถึงอะไร แต่ถ้าเปล่งเสียงแล้วพูดกันไม่รู้เรื่อง พวกแต้จิ๋วมาพบกับฮกเกี้ยนพูดกันไม่รู้เรื่อง ฮกเกี้ยนพบไหหลำพูดกันไม่รู้เรื่อง ไหหลำพบจีนแคะพูดกันไม่รู้เรื่องมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าหนังสือเหมือนกัน ยังดีอยู่ที่ตัวหนังสือเหมือนกัน แล้วประเทศจีนก็ให้เรียนภาษากลาง คืออ่านให้เหมือนกันหมดทั้งประเทศ คนที่เรียนหนังสือก็พูดภาษากลางได้ เขียนหนังสือนั้นมันตรงกันอยู่แล้ว แต่สำเนียงมันไม่ตรงกันยังแก้ง่าย แต่อินเดียนั้นแก้ยาก เพราะว่า ทุกรัฐมีหนังสือเป็นของตัวอ่านสำเนียงของตัว เช่นว่า รัฐกัลกัตตา เมืองใหญ่กัลกัตตามีคนตั้งเจ็ดแปดล้าน เคยเป็นนครหลวงของประเทศอินเดียมาก่อน ถ้าเราไปลงเรือบินลงที่กัลกัตตา เขาพูดภาษาเบงกอลี มีหนังสืออย่าง นั่งรถไฟออกจากกัลกัตตา พอเข้าเขตวิหาร ซึ่งเป็นดินแดนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พุทธคยาอยู่ที่เมืองนั้น เขาพูดภาษาฮินดี แล้วก็หนังสือเขียนเป็นอีกอย่าง พูดภาษาฮินดีหลายรัฐเหมือนกัน แต่ว่าพูดภาษานี้ประมาณหลายรัฐหลายร้อยล้านคนเหมือนกัน แต่ถ้าไปทางใต้ลงไปเขาพูดอีกอย่างหนึ่ง เขียนอีกอย่างหนึ่งทางใต้มีตั้งสี่ภาษา ทมิฬ เตลูกู มาลายาลัม เทวนาครี อ่านไม่เหมือนกันพูดไม่เหมือนกัน เหมือนคนต่างชาติ แต่ว่ายังเรียกตัวเองว่าเป็นอินเดียเท่านั้นเอง เป็นภาระตะอยู่ แล้วไปทางด้านตะวันตกบอมเบย์ แถวนั้นก็พูดไม่เหมือนกันอีก หนังสือก็แตกต่างกันนี่คือปัญหาหนึ่งอินเดีย ที่จะรวมตัวกันไม่สะดวกเพราะหนังสือภาษาแตกต่างกัน ครั้งหนึ่งรัฐบาลอินเดีย ต้องการให้คนอินเดียพูดภาษาฮินดีทั้งหมด แล้วก็ใช้อักษรเทวนาครี ซึ่งเป็นภาษากลางคือ ภาษาประชาชน ราษฎร แต่ว่าฝ่ายตอนใต้เขาพูดอย่าง เขาพูดภาษาฮินดี เขาพูดยาก เปล่งเสียงยาก เขาไม่ยอม พอถึงวันเอาจริงเข้า เผารถไฟ เผาตึกราบ้านช่อง เผาโรงเรียน เผาหมด พอโกรธกันขึ้นมามีนิสัยชอบเผา ชอบทำลาย ทุกอย่างขวางหน้าฉันเผาทั้งนั้น ฉันทำลายซะงั้น มันบ้าขึ้นมาอย่างนั้น ก็เลยต้องปล่อยตามเรื่อง เอ้าอยู่กันคนละภาษาต่อไป แต่ว่าใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องประสานงาน ภาษาของตัวมีไม่ใช้ต้องไปใช้ภาษาอื่นเป็นเครื่องประสานงานระหว่างรัฐ เพื่อทำความเข้าใจกัน ก็เกิดปัญหาหนักแก่เด็ก ที่จะต้องเรียนภาษาท้องถิ่น แล้วก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษ และยังต้องเรียนภาษาฮินดีเพื่อกาลต่อไปข้างหน้าจะได้คลายความยึดมั่นถือมั่นลงไปซักหน่อยจะได้เข้ากันได้ในเรื่องทางภาษา
อันนี้เป็นปัญหาอีกอันหนึ่ง ปัญหาประการที่สำคัญที่สุดของอินเดียคือเรื่องศาสนา ความจริงคนอินเดียทั่วไปนั้น นับถือศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูก็คือศาสนาพราหมณ์นั่นแหล่ะ นับถือเทพเจ้าสามองค์ คือ พรหมะ วิษณุ ศิวะ แล้วก็มีพระเจ้าเบ็ดเตล็ด เทวดาเบ็ดเตล็ดมากมายก่ายกอง เขาถือกันมาอย่างนั้น แล้วต่อมาก็เกิดพระพุทธศาสนาขึ้นมาในอินเดีย แต่ว่าพระพุทธศาสนาไม่มีปัญหาอะไร พระพุทธศาสนาไม่สร้างปัญหาให้แก่ประชากรในอินเดีย เพราะว่าพระพุทธเจ้าส่งส่งเสริมการไม่เบียดเบียนกัน สอนให้ปล่อยให้วางไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น คนมาถือพระพุทธศาสนาก็เป็นคนประเภทวางเฉย ไม่เอาเรื่องกับเรื่องอะไรที่มันเกิดขึ้น ถือว่าเป็นธรรมดา มันเกิดมาอย่างนั้นมันตั้งอยู่มันก็ดับไป ไม่ได้สร้างปัญหาให้แก่ประเทศอินเดียอะไร แต่ว่าพวกพราหมณ์ เขาก็ไม่ค่อยชอบพระพุทธศาสนา เพราะว่าสอนผิดจากของเขา แล้วพระพุทธศาสนานี่ทำลายผลประโยชน์ส่วนตัวบุคคลของพราหมณ์ เพราะว่าพราหมณ์แต่ละคนนี่เป็นครูบาอาจารย์ได้ประโยชน์อยู่ เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นพวกนั้นก็เสียประโยชน์เขาก็ไม่ชอบเหมือนกัน หาทางที่จะกลืนพระพุทธศาสนาทุกวิถีทาง ทีหลังมาก็มีสังฆราชาซึ่งเป็นนักปราชญ์ใหญ่เกิดขึ้นก็แต่งหนังสือ รามาวตาร เป็นหนังสือพวกอวตาร ว่าพระวิษณุแบ่งภาคมาเกิดเป็นมนุษย์สิบปางด้วยกัน เก้าปางคือพระพุทธเจ้าของเราเป็นองค์ที่เก้าเขาเอาไปรวมเชียว เขาแต่งอย่างนั้นเพื่อกลืนพระพุทธศาสนา แต่ว่ากลืนไม่ได้หรอกธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งเที่ยงแท้ที่ใครจะปลอมจะปนไม่ได้ เหมือนทองแท้จะทำลายไม่ได้มันเป็นของจริงอยู่ในตัว แต่ว่าคนนับถือก็ค่อยจางไป กลับไปนับถือศาสนาพราหมณ์ดั้งเดิมซึ่งเรียกว่าฮินดู การนับถือศาสนาฮินดูมันง่าย เพราะมีเรื่องพิธีมากมายที่จะล่อคนให้ทำอยู่ให้เพลิดเพลิน เหมือนกับมีตุ๊กตาหลายตัวให้คนเล่น คนชอบสิ่งเหล่านั้น พระพุทธศาสนาเป็นนามธรรม เป็นสัจจะที่สูงคนธรรมดาเข้าไม่ถึง เดี๋ยวนี้คนปัญญาชนมีน้อย คนอ่อนปัญญามีมากกว่า เพราะฉะนั้นเขาก็หันไปนับถือศาสนาเหล่านั้น ประกอบกับถ้าเราอ่อนแอ คืออ่อนตามชาวบ้านมากเกินไป ไม่ยึดหลักการเดิมไว้ ๆ ว่าของพระพุทธศาสนาคือหลักการอย่างนี้ โอนอ่อนผ่อนตามชาวบ้านเพื่อลาภ เพื่อสักการะ ก็เลยถูกละลายหายตัวไป จนเหลือน้อยที่สุดในประเทศอินเดียที่มีเหลืออยู่มากก็แถว เบงกอลตะวันออก แต่ว่าภายหลังมากลายเป็นบังกลาเทศไป พวกนั้นก็เลยเดือนร้อนลำบาก เพราะอิสลามเขาก็บีบคั้นเหมือนกันไม่ค่อยชอบเหมือนกัน
ศาสนาไหนที่จะอยู่กับคนได้สนิทสนมนี่ไม่เท่าพระพุทธศาสนา ๆ นี้อยู่กับใคร ๆ ได้ทั้งนั้นพวกไหนก็ได้อะไรก็ได้ เราไม่ค่อยรังเกียจกัน แต่ว่าในศาสนาอื่นส่วนมากมักจะรังเกียจ ในศาสนาอื่น แล้วพยายามกีดกันทุกวิถีทาง อันนี้คือความที่ยุ่งยากในสังคม เพราะความกีดกัน ในระหว่างศาสนาทำให้เกิดปัญหา ต่อมาในอินเดียวนั้นเกิดคุรุขึ้นมาคนหนึ่ง เรียกว่าคุรุนานัก ๆ เกิดขึ้นในสมัยอิสลามเข้ามาสู่อินเดีย เมื่ออิสลามเข้ามาสู่อินเดีย อิสลามก็ทำทุกวิถีทางที่จะกลับใจคนอินเดีย ให้เป็นอิสลาม เรียกว่าทั้งสมัครใจและทั้งบังคับกันเลยทีเดียว ชาวอินเดียก็ต่อต้านอิสลามด้วยวิธีการต่าง ๆ ธรรมเนียมบางอย่าง ซึ่งไม่เคยมีก็เกิดมีขึ้น หลายอย่างจะยกตัวอย่าง เช่นการแต่งงานตั้งแต่เด็กมันเพิ่งมีขึ้น อิสลามรุกรานอินเดียก็เลยต้องแต่งงานตั้งแต่เด็ก ทำไมจึงต้องรีบเอาเด็กตัวน้อย ๆ อายุสิบขวบมาแต่งงานกัน เด็กชายอายุสิบขวบเหมือนกัน แต่งแล้วพ่อของเด็กชายต้องเอาลูกสาวเขาไปเลี้ยงด้วย เป็นภาระเพิ่มในครอบครัวต้องไปเลี้ยงไว้ ที่ทำเช่นนั้นก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงไม่ใช้มุสลิมรับเด็ก เพราะมุสลิมชอบลักเด็กผู้หญิงเอาไป แล้วก็ไปบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม แต่ถ้าเป็นผู้หญิงแต่งงานแล้วเขาไม่ลัก ตอนนั้นฮินดูก็ต้องหาวิธีว่าแต่งงานตั้งแต่เด็กซะไม่ให้มันลักต่อไป เลยกลายเป็นธรรมเนียมขึ้นมา มหาตมะ คานธี แต่งงานเมื่อท่านเป็นเด็กเหมือนกัน แต่งงานกับภรรยาของท่านเมื่อท่านเป็นเด็ก ท่านเขียนไว้ในประวัติว่าไม่รู้เรื่องอะไร เขาทำกันมาอย่างนั้นก็ทำไปตามเรื่อง แล้วก็ความผูกพันค่อยเติบเจริญเติบโตขึ้นตามจิตใจ เมื่อเป็นหนุ่มเป็นสาวแกเล่าไว้อย่างนั้น นี่คือประเพณีแต่งงาน
สมัยเมื่อมุสลิมรุกรานมีเรื่องหนึ่ง เช่นว่าชาวอินเดียเวลานี้เสพผักเป็นอาหารมากกว่าเนื้อ ก็เพื่อต่อต้านนั่นเอง เพราะคนมุสลิมกินเนื้อเว้นเนื้อหมู เนื้อวัวเนื้อควายเนื้อกวางเนื้อเก้ง ปลาปูกินทั้งนั้น ฮินดูต้องการจะปลีกตัวออกจากมุสลิมให้เห็นความแตกต่างจะได้แยกพวกมากขึ้น ก็เลยบัญญัติขึ้นว่าฮินดูต้องเสพผัก ไม่เสพเนื้อ เสพสัตว์ทุกชนิด นี่ก็ตั้งขึ้นในยุคที่เกิดการรุกรานจากพวกมุสลิม เกิดระเบียบอันนี้ขึ้นในวงการของฮินดู แล้วก็การโกนหัน เมื่อก่อนฮินดูโกนหัวเกลี้ยง ๆ ไม่มีอะไร จะไว้ผมก็ไว้ไป แต่ว่าต่อมานี่มุสลิมก็โกนหัวเหมือนกัน โกนหัวเหมือนกันจะรู้ว่าใครเป็นมุสลิมใครเป็นฮินดู เพราะฉะนั้นฮินดูต้องเหลือไว้หน่อยที่ตรงกลางหัวนี่ เหลือเป็นหางหนูไว้หน่อย ดูแขกเมืองไทยถ้าเป็นฮินดูก็มีหางหนูอยู่หน่อย ไว้เป็นเครื่องหมายว่าเป็นฮินดู เวลาตีศีรษะกันจะเลือกตีกันได้ไงว่าหัวฮินดูหรือหัวมุสลิม
สมัยนั้นมันเกิดขึ้นเพราะการรุกราน ในระหว่างพวกเหล่านั้นก็เกิดขนบธรรมเนียมขึ้น คุรุนานักก็ต่อสู้กับมุสลิม คือปฏิรูปลัทธิศาสนาฮินดูให้เข้มแข็งขึ้น ถ้าฮินดูเมื่อก่อนอ่อนแอไม่ค่อยต่อสู้ ปกติคนฮินดูไม่ค่อยคิดรบราฆ่าฟัน เราจะเห็นว่าคนอินเดีย นี่ไม่มีชื่อเสียงการกีฬาประเภทต่าง ๆ จะมีชื่อก็กีฬาปูรู อันนี้อันหนึ่งที่อินเดียวจะมีชื่อคือมวยปล้ำ แต่ก็ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ส่วนกีฬาประเภทอื่นเช่นการชกมวย การอะไรต่ออะไรอินเดียเขาไม่ค่อยเก่ง เพราะว่า เขาเป็นคนสงบ ๆ จิตใจก็เชื่องช้าไม่ค่อยจะอะไรมากนัก นึกคิดไปในทางธรรมะทางศาสนาซะเป็นส่วนมากนี่จิตดั้งเดิมมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าต่อมาคุรุนานัก ปลุกใจคนอินเดียวโดยตั้งลัทธิสิกข์ขึ้น เรียกว่าสิกข์ คือการศึกษานั่นเอง สิกขา หมายถึง การศึกษา แต่ว่าคนไทยเราเรียกกลายเป็นซิกข์ไป ก็ไม่รู้หมายความว่ายังไง ความจริงเป็นสิกข์หมายความ ว่าพวกสนใจศึกษา พวกปฏิบัติขัดเกลาจิตใจ ดั้งเดิมนั้นก็ต้องการสร้างพลังขึ้นในจิตใจคนฮินดูให้เข้มแข็ง เพื่อต่อสู้กับพวกมุสลิมฉะนั้นพวกสิกข์นั้นจะต้องมีดาบติดตัวมีกำไลเหล็ก มีกางเกงขาสั้น แล้วก็ไว้ผมยาวไม่โกนเลยไม่ตัดเลยหนวดก็ไม่ตัด เคราก็ไม่โกนผมก็ไม่โกนเขาถืออย่างนั้น คัมภีร์ก็เอามาจากฮินดูบ้าง ของมุสลิมบ้าง ของพุทธศาสนาบ้าง ไม่ใช่เนื้อแท้ไม่ได้เอาเนื้อแท้เอาสำนวนการพูดในคัมภีร์นั้น ๆ มาปรุงแต่งแล้วก็มาสอนแต่ว่าปลุกใจคนให้มีความเสียสละเพื่อชาติเพื่อประเทศให้ต่อสู้กับพวกมุสลิมซึ่งรังแกพวกฮินดูมากเหลือเกิน ตั้งขึ้นเพื่ออย่างนี้ ฉะนั้นจึงมีคนกลุ่มหนึ่งเรียกว่าพวกสิกข์ อยู่ในแคว้นปัญจาปมากกว่าเพื่อน แคว้นปัญจาปนี่เป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ ปัญจาปนี่แปลว่าแม่น้ำห้าสาย มันสมบูรณ์ น้ำห้าสาย ไหลผ่านทุ่งราบของเมืองนี้ดังนั้นการเพราะปลูกการเลี้ยงสัตว์การทำมาหากินอุดมสมบูรณ์มากว่าแคว้นใด ๆ พวกนี้ก็อยู่กันด้วยความสงบแล้วพวกสิกข์ มักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนทำมาหากิน ก็กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่กลุ่มฮินดูก็รวมตัวกันเข้มแข็ง ไปอยู่ที่ไหนเขาก็รวมตัวกันทำมาค้าขาย
ดูเมืองไทยเขาก็รวมตัวกัน เขามีโบสถ์ของเขามีอะไรของเขา แต่ก็น่าชมพวกสิกข์ในเมืองไทยเหมือนกันที่ไม่แสดงอะไร ที่ไม่แสดงนี่เพราะเกรงใจเจ้าของบ้านเขา แต่ถ้าสิกข์ในเมืองอื่นละก็แหมออกมาเต้นมารำกินขนมกันเป็นการใหญ่ดีใจที่คนล้มตายกันไปคนหนึ่ง อันนี้มันไม่ถูกต้องเขาไม่ได้อ่านนิทานอีสบ เรื่องไก่สองตัวตีกันในลานบ้าน ไก่ตัวหนึ่งชนะ พอชนะเมื่อขึ้นไปโก่งคอขันอยู่บนกำแพง เหยี่ยวบินผ่านมาพอดีก็เอาไปกินซะเลย เมื่อได้อ่านเรื่องนี้ดีใจทั้งหญิงทั้งชาย ดูภาพในโทรทัศน์ สิกข์ในอังกฤษที่ไหน ๆ ก็ดีใจกัน แต่เมืองไทยนั้นอยู่ในสภาพเฉย อันนี้ก็เพราะเกรงใจเจ้าของบ้านหรอก เพราะว่าคนไทยไม่นิยมที่จะให้ทำเช่นนั้น ตำรวจเขาคงกระฉิบสั่งไปว่าอย่ายุ่งนะ อยู่เงียบ ๆ นะ วันก่อนนี้เห็นวิหารแตก ก็เตรียมจะมาเล่นงานสถานทูตแล้วเหมือนกัน พวกสิกข์นี่จะมาเล่นงานสถานทูตอินเดีย แต่ตำรวจบอกว่าอย่างยุ่งอยู่ดี ๆ ทำมาหากินให้เรียบร้อย แต่ว่าสิกข์ในเมืองไทยเวลานี้ความจริงเขาไม่ใช่อินเดียนะเขาเป็นไทย ถือพาสปอร์ตไทยทั้งนั้น เวลาไปไหนก็ใช้พาพาสปอร์ตไทย เกิดในเมืองไทยมีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินอะไรต่าง ๆ ทุกอย่าง เรื่องสิทธิแล้วเขาชอบ แต่เรื่องเสียสละแล้วไม่ค่อยชอบ คนอินเดียไปอยู่อังกฤษต้องอ่านกฎหมายของอังกฤษอย่างละเอียด อ่านว่าที่ไปอยู่มีอะไรพึงมีพึงได้บ้าง ไม่ว่าเรื่องอะไรที่จะพึงมีพึงได้เขาต้องเอาหมด แต่ถ้าเรื่องให้เขาไม่อ่านเลย เรื่องเขาสิทธิที่ว่ามีลูกจะได้อะไร เจ็บป่วยจะได้อะไร อยู่เท่านั้นจึงจะได้อะไร ๆ เขาอ่านละเอียดมากในเรื่องนี้แล้วก็เอาทุกอย่าง เรื่องสิทธิแล้วเอาทุกอย่าง แต่เรื่องให้แล้วเขาไม่เอาซักอย่างเดียวมันเป็นอย่างนั้น อยู่บ้านเราก็เหมือนกันเขาก็เอาสิทธิในฐานะเป็นคนไทย แต่ว่าเขาก็ไม่ให้อะไร
วันหนึ่งอาตมากลับจากอินเดียพบลูกศิษย์หลายคนมาในเครื่องบิน มันด่ากัน อาตมาก็เลยนิ่งดูมันแล้วบอกว่าอย่างพูดหยาบ ๆขายหน้าเขา ไม่มีใครรู้เรื่องครับหลวงพ่อ ฉันรู้เรื่อง ฉันรู้เรื่องว่าเธอพูดคำไม่ดีแล้วก็มันไม่เหมาะ นี่พวกเรามาเรียนอินเดีย เรียนจบแล้วอยู่อินเดียไหม เมืองแขกไม่ไหวครับหลวงพ่อสกปรก แต่ถ้ามีอะไรจะได้จากเมืองแขกมันเอาแต่ถ้าเสียเปรียบไม่เอา มันบอกเมืองแขกสกปรกสู้บ้านเราไม่ได้ เราก็ภูมิใจหน่อยเดียว มันว่าบ้านเราเหมือนกัน มันเป็นอย่างนี้ เราไปอยู่อินเดียไปอยู่ในระบบสิทธิ แต่เขาไม่ได้ถือว่าเขาเป็นคนอินเดีย เขาถือพาสปอร์ตไทยทั้งนั้น พ่อค้าวาณิชขึ้นเครื่องบินๆไปๆมาๆใช้พาพาสปอร์ตไทย แต่ว่าเขาพูดภาษาอินเดียได้เขาเอาประโยชน์จากการค้าการขายได้ หลายอย่างหลายประการ สภาพเป็นเช่นนั้น เมื่อพวกสิกข์ได้รับอิสรภาพแล้ว เขาก็คิดไปว่าเราควรจะเป็นรัฐอิสระ ซึ่งความจริงมันเป็นไม่ได้ เพราะว่ามันอยู่ตรงกลางจะเป็นอย่างไร ล้อมรอบจะออกอย่างไรอยู่ เขาตีกำแพงหมดก็ออกไม่ได้คิดพลุ่งพล่านไป ตั้งกลุ่มแอนตี้รัฐบาลขึ้นแล้วกลุ่มที่แอนตี้รัฐบาลเกิดจากหัวหน้าศาสนา หัวรุนแรงมีอยู่กันนักศาสนา ทำไมนักศาสนาจึงได้มีหัวรุนแรงเพราะว่าไม่ไดทำงานอะไรเลยมีเวลาว่างสำหรับวางแผนมาก นี้แทนที่จะวางแผนที่ไปหาพระผู้เป็นเจ้ากลับวางแผนจะลงนรกกันไปการใหญ่ เลยรวมพวกรวมหมู่กันเข้าก่อการวุ่นวายด้วยประการต่าง ๆ นึกว่าท่านอินทิรา คานธี เป็นผู้หญิงไม่แข็งแกร่งนึกผิดไป ไม่รู้อินทิรา คานธี นี่มีจิตใจอย่างไร นึกว่าผู้หญิงคงไม่เข้มแข็งอะไร อ่อนแอตามสภาพผู้หญิงทั่วไป ๆ นึกผิดคาดผิดตอแยเรื่อย เรียกว่าแซวเรื่อยไป แล้วก็ไปอยู่ในวิหารนั้นเพราะถือว่า รัฐบาลเล่นงานไม่ได้ จับไม่ได้เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ
แต่ว่าท่านอินทิรา คานธี ไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดอย่างนักการเมืองคิดอย่างผู้ปกครองประเทศ ผู้ปกครองประเทศนี้มันถึงคราวชนก็ต้องชนคราว คราวข่มก็ต้องข่ม คราวเข้มแข็งก็ต้องใช้ความเข้มแข็งจะอ่อนแอตลอดไปไม่ได้ ประเทศชาติมันอยู่ไม่ได้ถ้าอ่อนแอตลอดเวลา ท่านเป็นผู้หญิงแต่ว่ามีจิตใจเป็นคนเข้มแข็งเอางานเอาการ เวลาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกพรรคคองเกรส นึกว่าเอาอินทิรา ขึ้นค่อยพูดง่ายหน่อยเพราะว่าเป็นผู้หญิงมีความอ่อนแอ ผิดหมดพวกนั้นพอเลือกขึ้นไปแล้วแกไม่ได้อ่อนแอ พวกนั้นจะดึงแกไปไหนไม่ได้ หูก็ไม่ได้เบา แล้วก็ไม่อ่อนแอกับใคร แกเข้มแข็ง แกเป็นตัวแกเอง ปกครองเมืองตามหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อาตมาสังเกตไปอินเดียเคยไปสมัยที่ อินทิรา ไม่ได้ปกครองรัฐบาลอื่นเข้ามาปกครอง คนแก่กินน้ำเยี่ยวแกดื่มน้ำเยี่ยวทุกวันนะมาเป็นนายก แล้วก็บ้านเมืองสกปรกเมืองการักต้านี่ พอลงจากสนามบินเจอแต่สิ่งสกปรกจนกระทั่งเข้าเมือง อันนี้ก็อยู่ได้ไม่เท่าไรอินทิราได้เข้ามาเป็นนายกเปลี่ยนไปเลย สภาพบ้านเมืองอารักต้าเปลี่ยนไปหมด ที่สกปรกกลายเป็นสวนหมด สวนสารธารณะ เป็นสวนหย่อมปลูกต้นไม้อะไรต่ออะไรนั่งจากเรือบินดูไปมันไม่เหมือนเก่า นี่คือความเข้มแข็งของรัฐบาลผู้หญิงเป็นหัวหน้า จัดบ้านจัดเมืองดีขึ้น
เมื่อก่อนถ้าเราไปอินเดียพอไปพักโรงแรม พวกพ่อค้าเถื่อนแลกเงินดอลลาร์นี่ มาตอมมาดอลลาร์ ๆ เดินไปในตลาดนิวมาร์เก็ต ดอลลาร์ ๆ พวกเด็ก ๆ ดอลลาร์ ๆ เหมือนจะขอแลกเพราะดอลลาร์มันแลกแพง อัตราราชการ ๔ รูปี ต่อ ๑ ดอลลาร์ แต่เถื่อนนี่มันถึง ๘ รูปี ๑๐ รูปี คนก็อยากได้ตลาดมืดเกิดเลย แต่พออินทิรา คานที ขึ้นหายหมดตลาดมืดไม่อยู่เลย ไม่กล้าเพราะออกระเบียบใหม่ ชาวต่างประเทศที่เข้ามามีเงินตราต่างประเทศ ต้องแจ้งที่ด่านที่ตรวจคนศุลกากร มีใบแจ้งเอาดอลลาร์มาเท่าไหร่ เงินอะไรเท่าไหร่ แจ้งลงไปแจ้งแล้ว พอเข้าไปในเมืองแล้ว เงินดอลลาร์นี้ถ้าจะแลกต้องแลกกับธนาคารรัฐบาล ตามโรงแรมก็มีเจ้าหน้าที่ไปแลกเงินให้ ระบบการจัดการอัตราราชการถ้าว่าไม่แลกจากระบบราชการ เอาเงินนี้ไปซื้อตั๋วรถไฟ จะถามว่าเอาเงินรูปีมาจากไหน มีใบรับเงินแลกไหมไม่มีเขาจับเลย หาว่าใช้เงินเถื่อนเขาก็จับเลยเอาไปใช้ไม่ได้ เราไปแลกแล้วต้องให้ใบไปแลก แลกเงินเหรียญเท่าไร เงินรูปี เท่าไร เขาเขียนเอามาแสดงจ่ายเงินค่าโรงแรมไป ซื้อตั๋วรถไฟไปอะไรต่ออะไร ต้องเอาเงินใช้ ในตลาดเขาไม่ได้ถามว่าตลาดจ่ายไปจ่ายไป เขาไม่ว่าอะไร ทำอย่างนั้นชาวต่างประเทศเข้าไปไม่มีพวกเงินเถื่อนมาตอมอีกต่อไป เพราะกลัว จับได้มันเจ็บซะด้วยนะเขาเอาจริงเอาจังการปกครองเขาเด็ดขาดเลยหายทำอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ระบบอะไรมันเปลี่ยนไปเด็ดขาดขึ้นแล้ว ก็อินเดียนี่คนมันมากรัฐบาลอินทิรา คานที ก็ว่ามันต้องคุมแล้วแต่คุมนี่เขาถือว่าผิดหลักศาสนา ปล่อยตามหลักศาสนามันก็ยุ่งความจริงหลักศาสนาเขาสอนให้สำรวมกาม ไม่มักมากในกาม ไม่ใช่เรื่องอะไร ไม่ให้คนเกิดมากเกินไปคนโบราณเขาถือหลายเรื่อง เรื่องกามคุณนี่มันประหยัดอยู่ในตัว แต่คนสมัยใหม่ไม่ประหยัดลูกมาก คนก็เพิ่มขึ้น อาหารก็ขาดแคลนที่กินก็อัตคัดก็ต้องคุม ฝ่ายค้านก็โจมตีใหญ่ว่ารัฐบาลอินทิรา คานที ไม่มีอะไรดีนอกจากแจกถุงเท่านั้นเอง ถุงยาง ถุงอนามัย แกก็ทำของแกเรื่อยไปแกเข้มแข้งเอาการเอางาน ในวงการต่างประเทศเขายกย่องว่าเป็นผู้นำประเทศที่สาม เพราะบัณฑิตเนรูห์แกตั้งลัทธิประเทศที่สามขึ้น เพื่อควบคู่กับนายพลตีโต้ แห่งยูโกสลาเวีย เขาเพื่อนกัน เรียกว่าเขาแนวเดียวกันไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อินทิรา คานที เมื่อสืบต่อที่นี่มาเขายกย่องชมเชยในเรื่องนโยบายต่างประเทศ ปกครองบ้านเมืองมาด้วยดีเรียบร้อย
ใกล้เลือกตั้งแล้วอีกสองสามเดือนก็จะเลือกตั้งแล้ว ก็เกิดปัญหาสุวรณวิหาร พูดเท่าไร ๆ พวกนั้นก็ยังแข้งข้อ เลยบุกเลยเอาทหารบุกเข้าไปเลย บุกจนพวกนั้นก็ยิงออกมา ทหารก็ยิงบ้างตายไปหลายร้อย หัวหน้าศาสนาก็พลอยตายไปด้วยอยู่ในนั้น แล้วยึดว่ากระทบกระเทือนจิตใจพวกสิกข์ถือว่าเหยียบย่ำศาสนา ในวิหารไม่ใช่ตัวศาสนา ๆ คือธรรมะหลักคำสอนข้อปฏิบัติ เขามาทำอย่างนั้นเขาเรียกว่าเรื่องวัตถุของศาสนา ไม่รู้จักแยก ไม่แยกว่าตัวศาสนาคืออะไรวัตถุของศาสนา คืออะไร ถ้าเราไม่แยกแล้วเราจะโกรธเมื่อใคร ๆ มาเหยียบย่ำวัตถุศาสนา แต่ถ้าเราคิดได้ว่ามันเป็นวัตถุไม่ใช่เนื้อแท้ของศาสนาตัวศาสนาไม่ได้ถูกทำลายอะไร แล้วตัวศาสนาที่แท้จริงแล้วอยู่ในจิตใจของเราใครเหยียบย่ำไม่ได้ ใครทำลายไม่ได้ใคร ถ้าเราประพฤติดีประพฤติชอบเราก็ยังมีศาสนา แต่เราโกรธเราไม่มีศาสนา เราไม่ให้อภัยเราไม่มีศาสนา เราขาดความรักต่อเพื่อนมนุษย์เราก็ไม่มีศาสนา เมื่อไม่ได้คิดอย่างนั้นก็มีการโหมโรงกัน ให้โกรธให้เกลียดกันเป็นการใหญ่
นอกจากเมืองไทยเท่านั้นจะไม่กล้าโหมโรงเพราะเกรงใจอินทิรา (30.51) แล้วที่อื่นโหมโรงกันใหญ่ การโหมโรงให้คนโกรธกันเกลียดกันไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่ว่าเอาเรื่องของศาสนาบังหน้า ในนามของพระผู้เป็นเจ้า ไม่รู้พระผู้เป็นเจ้าองค์ไหน เทพเจ้าไหนก็ไม่รู้ เทพเจ้าแห่งความโหดร้าย หรือว่าเทพเจ้าแห่งความสงบ หรือเทพเจ้าแห่งสันติอะไรก็ไม่รู้ ในนามแห่งพระผู้เป็นเจ้าเราจะต้องต่อสู้ พูดแบบนี้มันก็รบกันตายนะ คนมันเมาอยู่แล้ว มันเมาพระผู้เป็นเจ้าก็เลยยุ่งกันวุ่นวาย ด้วยประการต่างๆ รัฐบาลก็ปราบยึดไว้ ๆ ภายหลังรัฐบาลก็ซ่อม ๆ แล้วก็พวกนั้นไม่ยอมให้ซ่อมบอกว่าพวกเขาจะซ่อมกันเองก็ปล่อยไปให้เขาซ่อม แต่ว่าความแค้นยังอยู่ในใจของพวกชาวสิกข์ทั่วๆ แค้นว่าท่านผู้นี้ทำลายพวกเขาต้องแก้แค้นพูดบ่อย ๆ ว่าเราจะต้องแก้แค้น วันหนึ่งต้องเป็นโอกาสของเราบ้างอะไรอย่างนี้ฝังไว้ในจิตใจคนให้เกิดความโกรธความเกลียดความพยายาม ซึ่งอันนี้มันขัดต่อหลักศาสนาของทุกศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหนคำพูดที่ยุให้รำต่ำให้รั่ว ให้คนโกรธกัน เกลียดกันพยาบาทกันนี้ ไม่ใช่
เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องศาสนาแต่คนคิดไม่ได้ เพราะว่าสิ่งชั่วร้ายเข้ามาอยู่ในจิตใจเสียแล้ว ความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท อาฆาตจองเวร เข้ามาอยู่ในใจมืดไปหมดมองอะไรไม่เห็น คิดแต่เรื่องว่าต้องฆ่าต้องทำลาย ต้องแก้แค้นต้องทดแทนกันด้วยสิ่งเหล่านั้นเหล่านี้ตาต่อตาฟันต่อฟันกันล่ะทีนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของศาสนา ศาสนาต้องให้อภัย ต้องเข้าใจเหตุผลว่าเขาทำเพื่ออะไร แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นต้องเห็นใจผู้กระทำบ้างว่าอยู่ในฐานะอะไร อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้บริหารประเทศอันยิ่งใหญ่ คนมาก ถ้าทำอะไรอ่อนแอคนก็รุกหือกันทั่วประเทศบ้านเมืองก็ไร้ขื่อแปร เต็มไปด้วยปัญหาคนไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดในเรื่องโกรธเรื่องเกลียดท่าเดียว
ผลในที่สุดก็มายิงอินทิรา คานที ตายแล้วคนที่ยิ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนที่อารักขานั่นเอง นี่คนไทยเราว่าก้อนข้าวมันออกไปเป็นเสือเกลือมันเป็นหนอน คำโบราณเขาพูดมาก้อนข้าวเป็นเสือ สมัยก่อนเราหุงข้าวมีก้อนข้าวสามก้อน ปั้นเรียว ๆ แล้วมาต่อเข้าวางสามก้อนเอาหม้อวางบนนั้น ก้อนข้าวมันกลายเป็นเสือมาขบแม่ครัว ขบคนที่มานั่งกินข้าวทุกคน ก้อนข้าวกลายเป็นเสือเกลือกลายเป็นหนอนซะแล้ว ซึ่งเกลือเป็นหนอนไม่ได้โดยธรรมชาติ แต่ว่าเกลือกลายเป็นหนอนกินไม่ได้มีพิษมีภัยเสียแล้ว อันนี้หมายความว่า ผู้อยู่ใกล้เป็นอันตรายต่อผู้นั้น ทหารที่อยู่อารักขานายกเป็นผู้ยิงนายกเสียเอง ถือว่าคนที่อยู่ใกล้เราทำลายตัวเรา เช่นสามีทำลายภรรยาของตัว หรือภรรยาทำลายสามี เพื่อนที่สนิทสนมกันเหลือเกินทำลายกัน อันนี้พวกก้อนข้าวเป็นเสือเกลือเป็นหนอนทั้งนั้น ไม่มีทางที่จะป้องกันได้ถ้าพวกนั้นจิตมันเป็นอย่างนั้นอันนี้คือเป็นความประมาทของผู้ที่ทำการอารักขา แล้วท่านอินทิรา ท่านก็คงจะไม่คิดไปถึงว่าพวกนี้จะทำเพราะอยู่ใกล้ชิดกัน ให้ความเอื้อเฟื้อเลี้ยงดู สังคหวัตถุคงจะมีไม่ขาดไม่เกิน แต่ว่าพวกนี้มันเกิดศาสนานิยมไม่ใช่ชาตินิยม ศาสนานิยมแต่นิยมเปลือกนอก นิยมผ้าโพกหัว นิยมเครื่องแต่งกายของภายนอกเลยก็ยิงตาย คนที่ยิงก็ถูกยิงตายทันทีเหมือนกันแต่ผู้ร่วมคิดถูกยิงบาดเจ็บ ก็ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พอนางอินทิรา คานที ถึงแก่ความตายก็ มันรุกหือขึ้นทันทีไฟท่วมเมืองขึ้นมาทันที ก็คนฮินดูมันมีมากกว่าพวกสิกข์แล้วฮินดูเขาก็เห็นประโยชน์ของนางอินทิรา คานที ว่าเป็นผู้พาประเทศชาติมาตั้งเป็นเวลาหลายปีแล้ว หลายยุคหลายสมัยแกก็พามาได้ด้วยความเรียบร้อย เขาก็เห็นก็โกรธขึ้นมาทีนี้ เอาแล้วฮินดูก็ขาดธรรมะอยู่แล้ว โกรธขึ้นมาขาดความยั้งคิดแล้ว เจอสิกข์ตรงไหน ต้องเตะมันตรงนั้น ไม่ได้เตะแต่พอดีพอร้าย เตะมันตายเลย ทุบมันเลย เผามันเลยบ้าน เผารถยนต์ มีร้านขายของทุบเข้าไป เผาไปทำลายกลายเป็นจลาจลใหญ่ทั่วบ้านทั่วเมืองไป รัฐบาลต้องประกาศเคอร์ฟิวคือห้ามออกนอกบ้านพวกคนไทยที่ไปนมัสการสังเวชนียสถาน อยู่ในอินเดียชุดหนึ่ง เพิ่งกลับถึงเมื่อเช้า พระวัดนี้ไปด้วยสององค์ยังไม่ได้สัมภาษณ์ เรียกว่าไปนั่งอยู่ในโรงแรม ไม่ได้ไปไหน นั่งอยู่ในโรงแรมไม่ได้ไปไหนจับเจ่าอยู่ที่นั้น แต่ว่าเขามีโทรทัศน์ เขาออกให้คนที่อยู่ในบ้านได้ดู ได้ชมไปตามเรื่องไม่ให้กลุ้มใจเกินไป ไม่ได้ไปไหนเมืองเงียบเหมือนกับป่าช้า เพราะไม่มีใครออกมาเดิน พวกสิกข์ก็ไม่กล้าเดิน พวกฮินดูก็ไม่กล้าเดินออกมากลัวตำรวจไม่ใช่เรื่องอะไร ตำรวจทหารจะเล่นงาน อย่างนี้บ้านเมืองก็วุ่นวายสับสน
นายราชีพ ลูกชายก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราว เป็นไปก่อน ราชีพนี่อายุสี่สิบ เขาไม่ค่อยชอบการบ้านการเมืองอะไรหรอก เขาเป็นนักบินทำงานบริษัทอินเดียอยู่ แอร์อินเดีย แต่ว่าเมื่อแม่ต้องการให้มาทำงานนี้ก็มาช่วยคุณแม่ เขาเห็นว่านายราชีพ เป็นคนใจคอเหยือกเย็นคล้ายเนรูห์ มีนิสัยคล้ายเนรูห์ ควรจะตั้งให้เป็นผู้นำได้ก็ให้เป็นต่อไป แต่ว่าเขาก็จะเลือกตั้งต่อไป
อาตมาได้อ่านข่าวแล้วมันกระเทือนจิตใจ กระเทือนจิตใจว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ประเทศอินเดียนี่เป็นประเทศที่บ่อเกิดแห่งธรรมะ แหล่งอะไร ๆ หลายอย่างของดี ๆ มีเยอะในอินเดีย แต่เดี๋ยวนี้คนอินเดียเปลี่ยนนิสัยไป หลายเรื่อง หลายประการเปลี่ยนไปมากทีเดียว เช่นตามหาวิทยาลัยอะไรต่าง ๆ เด็กก็เปลี่ยนไป เดินขบวนไล่ครูบาอาจารย์อะไรต่ออะไร เวลาสอบไล่ครูเข้าไม่ได้ในห้องเขาห้ามไม่ให้เข้า พอเข้าไปนักเรียนไปจับครูมา ต้องบอกถ้าไม่บอกฉันมันจะแทงคุณครู ถ้าไม่บอก ไม่ได้ครูห้ามเข้าให้มันเขียนกันตามชอบใจ ไม่ต้องคุมมัน คุมไม่ได้ถ้าครูเข้าไปจะบังคับครูให้ไปบอก ถ้ามีคนคุมก็ไม่ใช่ครูคนอื่นที่ไม่มีไม่รู้อะไร เอาภารโรงมาคุมก็แล้วกัน นั่งดูมันไปเท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาจะตรวจข้อสอบไม่บอกให้ว่าไปตรวจที่ไหน เพราะถ้าบอกว่าไปตรวจนี้มันเข้าไปบังคับ ว่าผมอย่าให้ตกนะ ขืนตกตายนะ แล้วกันนี่คือความเสื่อมทางศีลธรรมที่เกิดขึ้นในชุมกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ทั่วไป แต่เป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีสภาพเช่นนั้น แล้วต่อไปก็จะเสื่อม เข้าแบบที่ว่าต่อไปไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ลูก ที่เขากล่าวไว้ในคัมภีร์ศาสนา ในศาสนาพราหมณ์เขาก็กล่าวไว้ เมื่อถึงสมัยนั้นไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ลูก คนจับอะไรเป็นอาวุธไปหมด จับดินเป็นอาวุธ จับหินเป็นอาวุธ จับไม้เป็นอาวุธ จับหญ้าเป็นอาวุธ ประหัตประหารกันหมายความว่า เลือดเข้าตาหมดแล้วมองอะไรไม่เห็น คิดแต่ว่านั่นคือศัตรูของข้าพเจ้าๆ ต้องทำลาย แล้วจะอยู่กันยังไงเมื่อสภาพชีวิตเป็นไปอย่างนั้นมันก็วุ่นวายเดือนร้อนกันทั่วบ้านทั่วเมืองเป็นปัญหาฟังข่าวนี้แล้วไม่สบายใจ ไม่สบายใจเพราะว่าคนเราทำไมมันถึงไปไกลอย่างนั้น
เราถือศาสนาแต่ว่าไม่ถึงธรรมะของศาสนา ไปติดที่เปลือกนอกผิวเผินของศาสนาแล้วเอาไปแก่งแย่งแข่งดีกันด้วยประการต่าง ๆ ความจริงธรรมะนี่มันเป็นอันเดียวกัน ธรรมมะนี่เหมือนกัน หลักธรรมะนี่เหมือนกันทั้งหมด แต่ว่าใครจะปฏิบัติได้ขนาดไหน ลึกขนาดไหน เรื่องไหน แต่ว่าจุดหมายมันก็เป็นอันเดียวกัน จุดหมายของศาสดาทั้งหลายนั้น ต้องการให้คนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อจะได้มีความสุขที่แท้จริง แต่ว่ามันมีขีดคั้นอยู่ว่าปฏิบัติขนาดไหน ได้ลึกขนาดไหน ชำระกิเลสได้ขนาดไหน มีอุดมการณ์ในรูปอย่างไร อันนี้มันแตกต่างกันจากคำสอนที่ได้ศึกษาพิจารณามันมีส่วนแตกต่างกัน แต่ว่าส่วนรวมที่พอเหมือนกันก็คือว่า ให้โลกนี้อยู่ด้วยความสงบ ให้ทุกคนรักกันสามัคคีกัน แต่ว่าบางคำสอนก็สอนว่าพวกเดียวกันต้องรักกัน พวกอื่นไม่เกี่ยวมันก็แคบ รักกันแต่พวกเดียวกันแต่พวกอื่นฉันไม่รัก การทำลายพวกอื่นนั้นไม่เป็นบาป แต่ว่าเป็นบุญซะด้วยซ้ำไป อันนี้มันไม่ถูกต้อง ผู้สอนยังมีกิเลสยังมีอัตตามีความเห็นเข้าข้างตัว เข้าข้างพวกของตัว เลยสอนไปในรูปอย่างนั้น แต่ว่าเขาฝังหัวให้คนเชื่อ คนเมื่อเชื่อโดยไม่มีปัญญา แล้วมักจะงมงาย ถูกผู้นำทางศาสนาจูงไปได้ตามชอบใจ เหมือนครั้งหนึ่งที่ประเทศกานา ในอเมริกาใต้ ที่มันชวนคนอเมริกันไปซึ่งไม่น่าคนอเมริกันนี่เจริญด้วยการศึกษา แต่ว่าในเรื่องความเชื่อศาสนานี่ยังไม่เจริญเท่าไร ยังไม่ก้าวหน้าในทางปัญญาเกี่ยวด้วยศาสนา มีความเชื่องงมงายอยู่เยอะเหมือนกัน พอพวกนั้นตั้งตนเป็นนักบวชเป็นผู้ชักจูง แล้วก็จูงคนไปสู่ประเทศนั้น แล้วก็เทศน์ให้ฟังว่า เราตายเสียดีกว่าเพื่อชีวิตใหม่ จะได้ไปอยู่ร่วมพระผู้เป็นเจ้า พวกนั้นก็เชื่อแล้วก็ฆ่าตัวตายไปกี่ตั้งพันคน ซึ่งเป็นเรื่องเอิกเกริกเฮฮา แห่งความโง่เขลาในประเทศนั้นก็ว่าได้ เรียกว่าเป็นความโง่ที่แสดงออกมาในโลกคือการฆ่าตัวตาย ความจริงทุกศาสนา ไม่นิยมการฆ่าตัวตาย เขาถือว่าการฆ่าตัวตาย ก็เป็นบาปชนิดหนึ่ง เป็นบาปอย่างแรงการฆ่าตัวตาย จิตมันเศร้าหมองจนมองอะไรไม่เห็น เมื่อเกิดด้วยโมหะ ด้วยอวิชชา จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร จุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร การกระทำเช่นนั้นมันถูกหรือผิดอะไรไม่รู้ไม่เข้าใจ มีแต่ความเชื่อผิดอยู่ในใจ แล้วก็ต้องการฆ่าตัวตายกันพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมากมาย อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นความเขลาเป็นความเชื่อที่มืดบอด ไร้ปัญญา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าศรัทธากับปัญญานี่ต้องให้มันสมดุลกัน ถ้าศรัทธามากปัญญาน้อยงมงาย ปัญญามากศรัทธาน้อยไปมันก็เตลิดเปิดเปิงมากเกินไป มันต้องมีอะไรควบคู่กันไป ธรรมบางชุดต้องมีศรัทธา มีสติ มีศีล มีปัญญา มีอะไรควบคู่กันให้มันสมดุล ถ้าไม่มีความสมดุลแล้วมักจะเสียหาย
โดยมากที่ปฏิบัติกิจในทางศาสนาที่มันยุ่งเพระมันไม่สมดุลกันเอง มีความเชื่อมากเกินไป เชื่อผู้นำมากเกินไป สุดแล้วผู้นำจะจูงไปทางไหนเหมือนประเทศอิหร่าน เขาเชื่อว่าโคมัยนี เป็นหัวหน้าของนิกายนั้น เป็นผู้ศักดิสิทธิ์ในนิกายนั้น เชื่อบุคคลมากไป แล้วเขาว่าอะไรก็เชื่อหมด เพราะไปฝังหัวในตัวคนนั้นเสียแล้ว ๆ ก็เขาจูงไปได้ตามปรารถนา ให้ทำอะไรก็ได้ จึงเกิดปัญหากันใหญ่ มีความไม่สบายก็อยู่ในสมัยนี้หลาย ๆ ที่หลายเหตุ ในหมู่พวกสิกข์ก็เหมือนกัน เพราะเชื่อผู้นำทางศาสนาโดยไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่ได้คิดว่าหลักการเทศน์ของศาสนานั้นอยู่ที่อะไร เวลาสวดมนต์ลงให้ว่าอย่างไร ฮินดูนี่ก็ลงให้ว่าโอมสันติ โอมสันติ หมายความว่าให้มันสงบ โอมสันติก็คือ มาสรรเสริญความสงบ
มหาตมะ คานธี นี่คนหนึ่ง ที่เอามายกย่องว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรมะของศาสนา คานตี นี่เป็นตัวอย่างที่เข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง แล้วเป็นคนที่ใจกว้าง ไม่รังเกียจศาสนาใดทั้งหมด ยกย่องคำสอนในทุกศาสนาว่าเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นการชี้ทางให้เข้าถึงสันติสุขในชีวิตนี้ได้ แกชมเชย แล้วแกก็ประกาศหลักว่า อหิงสาปรโมธัมโม ๆ หมายความว่า ความไม่เบียดเบียนเป็นบรมธรรม ธรรมที่สูงสุดคือการไม่เบียดเบียนกัน แกไม่มีนโยบายเบียดเบียนใคร หรือทำใครให้เกิดความทุกข์ ความเดือนร้อน แม้จะต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพท่านก็ไม่ให้ต่อสู้ด้วยอาวุธ ไม่ให้ต่อสู้ด้วยการเบียดเบียนด้วยการทำลายกัน แต่ให้ต่อสู้ด้วยการอยู่สงบ เรียกว่าสัตยาเคราะห์ของคานธี หมายความว่าสงบ คือไม่ทำตามกฎหมายที่เขาออกมาแต่เราอยู่เฉย ๆ แม้เขาจะมาจับไปก็จับไป ไปตามเขา เขาบอกให้ไปก็ไป ไปอยู่ในคุกก็ไป เขาให้ไปอยู่ในคุกไหนก็ตามใจ แต่เราจะอยู่อย่างสงบ เราจะไม่ก่อความวุ่นวาย ไม่ให้เกิดการจลาจลขึ้นในบ้านเมือง แต่ว่าอุดมการณ์ของท่านก็มันไม่เรียบร้อย เพราะว่าคนมันมาก พูดฟังได้ก็มี มันไม่ฟังก็มี พวกเลือดร้อน ก็จริงไม่ใช่เลือดร้อนแต่ใจมันร้อน เลือดมันอุ่นเหมือนกันทุกคน ถ้าเลือดเย็นมันก็ใช้ไม่ได้ แต่ว่าใจมันร้อน คนใจร้อนมันมี มันก็ใช้กำลัง พอใช้กำลังคานธีหยุดเลย ไม่สั่งอะไรต่อไป หยุดนั่งนิ่งภาวนา อดอาหาร เพื่อให้ลูกน้องทั้งหลายสำนึกตัวว่าผิดแล้ว ทำอย่างนี้ผิดแล้วหัวหน้าไม่ชอบใจ ท่านจะอดอาหารหยุดหมด อดสามสิบวันไม่กินเลย ดื่มแต่น้ำเพื่อให้ทุกอย่างสงบ ทุกอย่างก็ค่อยสงบลงไป เพราะเขากลัวคานธีจะตายไม่ใช่เรื่องอะไร นี่คือท่านส่งเสริมสันติเป็นนักศาสนา เป็นนักการเมืองเป็นอะไรต่ออะไรในชีวิตของแกหลายอย่าง แต่ว่าคุณธรรมแกสูง แกใช้หลักคุณธรรมในการต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ คนอินเดียไม่เดินตามคานธี ไม่ถือหลักอหิงสา แต่ถือหลักว่าเลือดด้วยเลือดฟันต่อฟันตาต่อตา มันก็ยุ่งทั้งที่เราเห็นอยู่ในสมัยนี้ นี่คือความเข้าใจการอบรมจิตใจ ให้คนเสียสละที่ไม่ถูกทาง หรือว่าให้ทางปฏิบัติที่ไม่เป็นประโยชน์ในทางสันติมันก็เกิดปัญหาขึ้น เช่นว่าไปฆ่าท่านอินทิรา คานธี ตายมันไม่ได้อะไร ผู้นี้ตายคนอื่นมันก็ขึ้นมาเป็นอีก เป็นอีกเขาก็ทำตามหลักการต่อไปซึ่งก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปได้ แต่ว่าจิตมันคิดร้ายก็ต้องทำเรื่องร้ายสร้างปัญหาขึ้น
ด้วยประการดังที่กล่าวเป็นเรื่องน่าเสียใจ น่าเสียดาย ที่คนดี ๆ คนหนึ่งต้องมาถึงแก่กรรมไปอย่างนั้น แต่ว่านึกอีกทีนักการเมืองก็ต้องอย่างนั้น มันต้องเสียงต่ออันตรายเพราะคนมันชอบก็มีไม่ชอบก็มี คนไม่ชอบมันขวางหูวางตาจ้องเก็บซะที มันก็สั่งเก็บเท่านั้นเอง ใครจะไปเล่นการเมืองต้องเตรียมตัวไว้ เตรียมตัวว่าตายเมื่อใดก็ได้ ตายแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์อะไร ไม่ต้องเสียใจถ้าเราไปปฏิบัติงานเพื่อชาติ เพื่อประเทศไม่ใช่เพื่อตัวเรา ก็ต้องทำงานอย่างสุจริตยุติธรรม ถ้าปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ได้ตั้งไว้ ไม่ลำเอียงด้วยความรักความชัง ความกลัวความหลงทำงานอย่างตรงไปตรงมา ใครจะชอบหรือไม่ชอบไม่ใช่ปัญหา แต่อยู่ที่ว่าเราทำตามหลักการเพื่อความเจริญมั่งคั่งของชาติของประเทศก็ต้องทำไป แม้เสี่ยงภัยคนอื่นทำลายก็ต้องยอม
เวลานี้คนมันจิตใจทารุณขึ้น ประเทศอังกฤษก็เกือบไปแล้ววันก่อนนี้ มาดาม ...... (49.28) เกือบไป ๆ ประชุมที่เมืองไบรท์ตัน ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศ อยู่ห่างลอนดอนประมาณห้าสิบไมล์ถนน โดนระเบิดไปวางในโรงแรมนั้น แต่ดีที่แกไม่ตายเพราะอยู่ชั้นบนสูงไปหน่อย แต่ถ้าลงมาห้องประชุมก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วพวกที่ทำร้ายคนนี่ พอทำร้ายเสร็จแล้วก็ประกาศรับผิดชอบ มันจะรับผิดชอบอะไร มันรับผิดรับว่าเป็นผู้ทำประกาศให้โลกรู้ว่าใครทำเรียกว่าเป็นขโมย ที่ขออภัยจะใช้คำว่าหน้าด้านที่สุดแล้วเวลานี้ ขโมยหน้าด้าน ๆ ยอมรับด้วย เหมือนนางอินทิรา คานธี ตายก็พวกสิกข์ที่เป็น ยอมรับว่าเป็นฝีมือของพวกเขาที่ทำเช่นนั้น ประกาศความไม่ดีออกมาให้โลกรู้ ว่าฉันเป็นผู้ทำเรื่องนี้ เรียกว่าจิตใจคนมันเสื่อมลงไปทุกวัน ทุกเวลา เป็นเรื่องน่ากลัวอันตราย
เราเมื่อทั้งหลายเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฟังเรื่องนี้แล้ว ก็ควรจะถือเป็นบทเรียนว่า โลกเวลานี้ขาดคุณธรรม จึงตกอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย เราจะทำอย่างไร เราจะต้องช่วยกันผดุงธรรมะไว้ แม้จะช่วยให้คนอื่นมีธรรมะไม่ได้เราก็ต้องมีธรรมะมีไว้ก่อนเป็นตัวอย่างแล้วก็พยายามชักจูงเพื่อฝูงมิตรสหาย ถ้าเราทำงานอยู่ในที่ได้เป็นหัวหน้าคนก็พยายามชักจูงลูกน้องให้มีสัมมาทิฐิประจำจิตใจ ให้คิดในทางถูก พูดในทางถูก ทำในทางที่ถูกที่ชอบไว้ อย่าให้ไขว้เขว อย่าให้ทำลายชีวิตการงานประเทศชาติของตัว แต่ให้ช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อเป็นเครื่องแก้ปัญหา มีเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนแก่พวกเราทั้งนั้น เราจึงเป็นนักธรรมะต้องคิด ๆ แล้วต้องคิดว่ามันขาดอะไร จึงได้เป็นอย่างนี้ คำตอบก็คือว่าขาดการศึกษาธรรมะที่ถูกต้อง นับถือศาสนาแต่ไม่ถึงเนื้อแท้ของศาสนาเลยเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ตัวเราเองนับถือศาสนาในรูปใดเป็นพุทธบริษัท ในรูปใด จิตใจเราเป็นอย่างไร คิดนึกอย่างไร มีกิเลสประเภทใดเกิดขึ้นรบกวนจิตใจบ้างต้องพิจารณา แล้วต้องหาทางบำบัดบำบัดแก้ไขสิ่งเหล่า ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบต่อไป ทำตนให้อยู่กับธรรมะ ทำธรรมะให้อยู่ในตนตลอดเวลาสิ่งทั้งหลายก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เอามาพูดให้ญาติโยมฟังเสียหน่อยเพื่อจะได้รู้ว่าอาตมานี้คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็แนะแนวให้ญาติโยมเกิดความเข้าใจ เมืองไทยเรานี้เป็นเมืองที่นับถือ พระพุทธศาสนา รองนายกรัฐมนตรีสองคนว่าเมืองไทยคงไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธถ้าพุทธจริง ๆ มันไม่เป็นถ้าพุทธปลอม ๆ มันก็เป็นเหมือนกัน พุทธะให้ถึงพระพุทธเจ้าคือให้มีความรักเพื่อนมนุษย์ให้สงสารเพื่อนมนุษย์ ให้อยู่ด้วยปัญญา ให้อยู่ด้วยความรู้สึกอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ให้อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจคิดอะไรพูดอะไรทำอะไรไปที่ใจประกอบกิจอะไรก็ถือหลักว่า เราทำเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไป แม้ไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ให้มันถูกยิ่งขึ้น ๆ ทุกวันทุกเวลาให้ความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นในจิตใจ อย่าให้ความเศร้าหมองเพิ่มขึ้นในจิตใจ แล้วเราจะประสบด้วยตัวเองว่าสบายใจขึ้น เบาขึ้น โตขึ้น มีความสงบมากขึ้น โดยการมีพระประจำใจอย่างนี้
ดังที่ได้แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แก่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้กระทำนี้ ให้แก่ชาวโลกทั้งหลาย ขอชาวโลกทั้งหลายได้อยู่เย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า