แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมอันเป็นหลักคำสอนในทาง พระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้น จากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่มีอากาศแจ่มใสเพราะว่าฤดูฝนผ่านไปแล้ว ลมเหนือกำลังมา อากาศก็จะเริ่มหนาวเย็นตามกฎของธรรมชาติ ปีหนึ่งก็มีฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อยๆ ไป เราอย่าไปวิตกกังวลด้วยเรื่องนั้น เรื่องสำคัญที่เราควรจะคิดถึงก็คือว่าเราจะทำอะไร เราจะอยู่อย่างไร เราจะคิดอะไร เราจะพูดอย่างไรจึงจะมีความสุข อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคิดถึง
เมื่ออาทิตย์นี้หลังจากรับกฐินที่วัดนี้แล้ว วันที่ ๑๖ อาตมาก็เดินทางไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปจังหวัดอุบลแห่งเดียว ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือฤดูนี้นี่สบายใจมาก ชื่นใจ เพราะว่าข้าวเขียวเต็มทุ่ง ข้าวดีด้วย น้ำก็อุดมสมบูรณ์ ผิดกับการไปหน้าแล้ง ไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือหน้าแล้งนี่ฝุ่นมาก แล้วมองไปที่ไหนก็แห้งแล้งไปหมด ความเขียวไม่ค่อยมี ต้นไม้ก็มีแต่ก้านไม่มีใบ เพราะว่ามันไม่มีน้ำ แต่ว่าไปหน้านี้ไปที่ไหนก็ชุ่มเย็นไปหมด พบญาติพบโยมที่เขามาฟังธรรมก็บอกว่าอาตมามาภาคตะวันออกเฉียงเหนือหน้านี้สบายใจกับญาติโยม เพราะได้เห็นธรรมชาติสวยงามทุ่งนาเขียวไปด้วยต้นข้าว เห็นน้ำเต็มไปหมดในที่ทุกหนทุกแห่ง พลอยดีใจกับญาติโยมด้วย ไปคราวนี้ไปทำไม ก็อยากจะเล่าสู่กันฟังสักเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่น่าเล่าอยู่เหมือนกัน
คือว่าไปอุบลคราวนี้ก็ไปตามคำขอร้องของพระวัดป่านานาชาติ วัดป่านานาชาตินี่ตั้งอยู่ที่บ้านบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ วัดนี้เป็นสาขาของวัดหนองป่าพงซึ่งท่านหลวงพ่อชาท่านสร้างขึ้น แล้วท่านก็ไปสร้างสาขาขึ้นตามป่าต่างๆ มากมายตั้ง ๔๐ กว่าแห่ง ส่งพระไปอยู่ แต่ที่วัดป่านานาชาตินี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อชาวตะวันตก มีแต่พระฝรั่งส่วนมาก องค์ที่เป็นสมภารเมื่อก่อนก็คือท่านสุเมโธ แต่เวลานี้ไปปฏิบัติงานอยู่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทำงานก้าวหน้ามีประโยชน์มากในทางเผยแผ่พระพุทธศาสนา ส่วนที่วัดป่านานาชาติก็ท่านปสันโน เป็นชาวคานาดารับหน้าที่เป็นหัวหน้าแทนอยู่ แล้วก็มีพระชาวอังกฤษ ชาวออสเตรเลีย ชาวฝรั่งเศส ชาวอเมริกัน มียิวอยู่องค์หนึ่ง เรียกว่าเป็นยิวคนแรกที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ตอนนี้ยังไม่ได้บวชพระ บวชเป็นสามเณรอยู่ กำลังเป็นสามเณร เพราะว่าที่นั่นเขาบวชมีขั้นมีตอน ใครจะมาบวชนี่เขาไม่บวชให้ทันทีเว้นไว้แต่บวช ๓ เดือนบวชจากที่อื่นจะมาอยู่ก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าจะมาบวชกันจริงจังที่วัดนั้นเขาต้องทดสอบกันก่อน คือให้มาเป็นอุบาสกนุ่งขาวห่มขาวโกนหัวโกนคิ้วอยู่ ๒ ปี เมื่อครบ ๒ ปีแล้วไม่ถอยก็แสดงว่าจิตใจมั่นคงก็ให้บวชเป็นพระต่อไป ชาวฝรั่งที่มาจะบวชนี่เวลานี้มีอยู่ ๔ นุ่งขาวห่มขาวเป็นผู้ชาย ผู้หญิงมี ๒ แต่ว่าผู้หญิงก็บวชเท่านั้นนะ คือเป็นแม่ชี แต่ว่าก็มีขั้นตอนเหมือนกัน ถ้ามาถึงใหม่ๆ เขาไม่ให้ไปอยู่ในสำนักของเขตชีก่อน ให้อยู่ที่ห้องพักรับแขก ห้องรับแขกนี่อยู่ตรงประตูวัด พอเข้าไปถึงก็มีเลย อาตมาขึ้นไปสำรวจดูว่าเขาทำอย่างไร ก็เรียบร้อยดี คือฝรั่งเขาจัดเรียบร้อย ห้องพักสบายมีมุ้งลวดแล้วก็มีที่สำหรับให้พักนอน ห้องน้ำก็สะอาดมีส้วมอย่างดีสะอาดเรียบร้อย มีกระจกไว้ด้วย กลัวว่าอุบาสิกาจะไม่ได้แต่งตัวก็มีกระจกให้นิดหน่อย มีอยู่ข้างบน ๓ ห้อง ข้างล่าง ๓ ห้อง เดินดูทุกห้องก็เห็นว่าเรียบร้อย ไปบอกกับท่านปสันโนว่าเมื่อเช้าไปดูบ้านรับแขกเรียบร้อยดี ท่านบอกว่าต้องทำให้เขามาอยู่สบายหน่อยเพราะเขามาเพื่อพักผ่อน มาศึกษาธรรมะต้องให้สบายหน่อย แล้วก็มีสามเณรที่เป็นคนพื้นบ้านมีอยู่ ๓ รูป แล้วก็มีสามเณรเป็นคนสิงคโปร์รูปหนึ่ง คนสิงคโปร์นี้ก็มาที่นี่ก่อนพักที่นี่ ๒-๓ วันแล้วก็ไปอยู่ที่นั่นบวชเป็นสามเณรอยู่แล้ว
การเป็นอยู่ภายในวัดนั้นไม่เหมือนวัดธรรมดา ก็สร้างกุฏิห่างๆ กัน คล้ายกับที่สวนโมกข์เหมือนกัน ตรงนี้สักหลังแล้วก็มีป่ากั้นเป็นฉากบัง แล้วก็ไปอยู่ตรงนู้นสักหลังหนึ่งอยู่ห่างไกลกัน ทำถนนเล็กๆ ขนาดช่องกว้าง ๑ เมตรสำหรับเป็นทางเดิน คือหลีกเลี่ยงการทำลายต้นไม้ให้มากที่สุดที่จะมากได้ แล้วก็แบ่งให้อยู่หลังละองค์ๆๆ มารวมกันก็เฉพาะตอนเช้าตี ๔ เขาตีระฆัง ทุกรูปก็ต้องมาที่ศาลาใหญ่ ศาลาใหญ่ก็ใหญ่พอสมควร ใหญ่กว่าห้องประชุมนี้สักเท่าตัว ยาวหน่อย จุคนมาก ไปปีก่อนนี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ไปปีนี้มีไฟเข้าไปแล้วจะได้สะดวกในการแสดงธรรม แล้วก็ไม่มีเพดาน ปีนี้ก็ติดเพดานเรียบร้อย มีไฟฟ้า มีเครื่องขยายเสียง สะดวกแก่การแสดงธรรม พระที่อยู่นั่นพอตี ๔ ก็ต้องมาไหว้พระสวดมนต์ เขาสวดกันได้คล่องแคล่วแต่ว่าไม่ได้แปลเป็นไทยเหมือนเราสวด สวดเฉพาะภาษาบาลี แล้วก็สวดเสร็จแล้วก็นั่งภาวนาหลังจากสวดจบก็ครึ่งชั่วโมง พระก็นั่งภาวนาไปจนสว่าง พอสว่างก็มีโรงครัวทำน้ำร้อนมาถวาย โอวัลตินบ้าง โกโก้บ้าง ไมโลบ้าง อะไรมีก็ชงๆ ไป กับขนมแห้งๆ ฉันองค์ละ ๒-๓ ชิ้น เสร็จแล้วก็ออกไปบิณฑบาตรตามหมู่บ้าน บิณฑบาตรเสร็จก็กลับมา ชาวบ้านเขามาทุกวัน เขาเอาข้าวเอาแกงมาถวายพระเพราะว่าพระฉันมื้อเดียว เวลาชาวบ้านมาถวายก็มานั่งรออยู่ก่อน แล้วพระก็มานั่งเป็นแถวบนอาสน์สงฆ์ เขาเอาของมาถวายองค์ที่เป็นหัวหน้า อาตมาไปอยู่ก็เรียกว่านั่งหัวแถวเพราะว่าแก่กว่าเพื่อน เขาก็เอามาประเคนอาตมาก่อน หยิบเอาข้าวเหนียวก้อนใส่ในภาชนะคือกาละมังวางไว้ มีแกงอะไรก็ดูว่าพอฉันได้ไหม พอฉันได้ก็ตักเอานิดหนึ่ง มีขนมมีกล้วยมีอะไรก็หยิบไว้พอจะอิ่ม แล้วก็ส่งต่อไปส่งต่อไปเรื่อยไป ไปจนถึงเณร แล้วก็ไปอุบาสก ไปถึงแม่ชี แล้วก็ไม่กลับมาอีก ให้หยิบไว้ มีเยอะ อาหารสมบูรณ์ คนเอาไปเลี้ยงทุกวันๆ พระอยู่กับฉันไม่เดือดร้อนอะไร วันละมื้อ อันนี้ปัจจัยลาภที่เป็นปัจจัยนี้มันก็ไม่มี
เพราะว่าพระที่นั่นไม่ไปเจริญพุทธมนต์หรือว่าไม่ได้ไปที่ไหนอยู่แต่ในวัด แต่ว่ามีคนเอามาถวายบ้างเหมือนกัน ถวายเขาก็พระก็ไม่รับเป็นส่วนบุคคล ถวายแล้วก็รับเข้าบัญชีเป็นของวัด ส่งไปฝากธนาคารกสิกรไทยที่ในเมืองไว้ เรียกว่าเป็นปัจจัยของวัดป่านานาชาติ ต้องการอะไรก็ไปสั่งให้โยมไปเอาปัจจัยไปซื้อมาให้ ซื้อเท่าที่จำเป็น แต่โดยมากก็ไม่ค่อยได้ซื้อ เพราะว่าของที่เขาถวายนี่ก็เอาไปรวมกันไว้ น้ำตาล กาแฟ ใบชา โอวัลติน ไมโล เครื่องกระป๋อง คนไปทอดผ้าป่าก็เอาไปเก็บรวมไว้ในห้องเดียวกัน เอาไปไว้ที่โรงครัว เก็บไว้ที่นั่นทั้งหมด แล้วเขาก็จัดมาถวายพระเรื่อยๆ ไปทุกเช้า ตอนบ่ายก็เขาทำงานกัน พอบ่ายโมงนี่ก็มาทำงานกัน กวาดขยะทั่วบริเวณ ทุกองค์ทำงานทั้งนั้นไม่มียกเว้น กวาดใบไม้แห้ง ถูบริเวณ รักษาความสะอาด พวกที่เป็นอุบาสกก็หาบกัน ๒ คนปี๊บ ๒ ใบเอาไม้ไผ่ใส่เข้าไปตักน้ำจากบ่อใส่ หาบไปใส่ที่ห้องส้วมตามที่ต่างๆ ส้วมมีหลายแห่งสำหรับชาวบ้านด้วยก็หาบไปใส่ให้ทั่ว ตามกุฏิพระ เขาไม่มีส้วมในกุฏิมีไว้ข้างนอกก็เอาไปใส่จนเต็มทุกหนทุกแห่ง ทำงานกันทุกเวลาบ่าย แล้วก็ฉันน้ำชาตอนบ่าย ไม่ฉันนม เขาฉันแต่น้ำชาเฉยๆ เสร็จแล้วก็พอเวลากลางคืน ๑ ทุ่มก็ทำวัตรสวดมนต์ ชาวบ้านเขาก็มักจะมาสวดมนต์ด้วย แล้วก็มาฟังธรรมด้วย อาตมาไปอยู่ไปถึงวันที่ ๑๖ ตอนบ่ายก็มีการแสดงธรรม ญาติโยมเขามารอฟังกันตอนบ่าย อ้อ ตอนเช้าเวลา ๙ โมง แสดง ๙ โมงแล้วกลางคืนก็แสดงอีก แต่วันที่ ๑๖ แสดง ๒ ครั้ง วันที่ ๑๗ ก็มีการแสดงในเวลาตอนกลางคืนอีกเหมือนกัน คนก็มากันมาก มาเต็มศาลา ทั้งหญิงทั้งชายก็มากัน นั่งฟังกันเต็มศาลาน่าชื่นใจ พระท่านบอกว่าปกติคนก็มาอยู่แต่ว่าไม่เต็มศาลา นี่หลวงพ่อมาคนเขารู้เขาก็มากัน ไม่ได้โฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียงอะไรแต่ก็บอกๆ กันเขาก็มา คนในเมืองก็ไป คนที่วารินก็ไป ไปฟังกัน เทศน์เสร็จแล้วเขาก็กลับบ้าน
ในวันที่ ๑๘ นี่ออกเดินทางจากวัดไปอำนาจเจริญ เอ่อ ไปม่วงสามสิบ (12.35 หลวงพ่อพูดสถานที่ผิดและได้แก้ไขให้ถูกต้องใหม่) อำเภอม่วงสามสิบ ที่อำเภอม่วงสามสิบนี้มีวัดอยู่เหมือนกัน วัดวิเวกธรรมชาน์ วัดป่า แบบวัดป่า แต่วัดป่าวัดนี้เนื้อที่มาก เนื้อที่ตั้ง ๓๐๐ ไร่ กั้นกำแพงเฉพาะด้านหน้ายาวเหยียด เข้าไปในวัดร่มรื่นสบายต้นไม้เยอะเดินไม่ทั่ว อาตมาก็เดินชมวัดเสียก่อนแล้วจึงจะแสดงธรรม เดินไม่ไหวมัน ๓๐๐ ไร่นี่เดินไม่ไหว เดินนิดๆ หน่อยๆ พอเหงื่อไหล แล้วญาติโยมเขาก็มานั่งรออยู่แล้วที่จะฟังธรรม ไปถึงเขาก็ถวายอาหารเพล ความจริงไม่ฉันก็ได้ แต่ว่าญาติโยมเอามาเยอะแยะก็ฉันพอเป็นกิริยานิดหน่อยให้เขาเห็นว่าฉัน ฉันเสร็จแล้วเขาก็ให้เทศน์ทันที ให้ฉันข้าวใหม่ๆ แล้วขึ้นเทศน์นี่มันไม่ค่อยดีเท่าใด มันอึดอัดมันอิ่ม เพราะว่าเมื่อเช้าก็ฉันแล้วมาเพลฉันอีกมัน ๒ มื้อหนักๆ มันก็อิ่มอึดอัดหน่อย แต่ว่าเวลาเขาจำกัด ญาติโยมเขามากันก็เทศน์ให้เขาฟัง เทศน์เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็ออกเดินทางต่อไป ไปอำเภออำนาจเจริญ ถึงอำเภอก็เลี้ยวไปทางขวาไปทางที่จะไปอำเภอเขมรัฐอยู่ติดแม่โขงเลยเขมรัฐ แต่ไปไม่ถึง ไปประมาณสัก ๑๕ กิโลก็แวะเข้าไป เขาเรียกว่าวัดถ้ำแสงเพชร วัดถ้ำแสงเพชรนี่อาตมาเคยไปครั้งหนึ่ง ครั้งแรกที่ท่านหลวงพ่อชาท่านไปจัดตั้งวัดที่ตรงนั้น คือว่าไปครั้งแรกเมืองอุบลนี่ไปเยี่ยมท่านที่วัดหนองป่าพงแต่ไม่พบ ผู้อำนวยการวิทยาลัยครูบอกว่าไม่เป็นไรท่านอยู่ถ้ำแสงเพชรผมจะพาไปที่นั่นเลย ก็พาไปจนถึงถ้ำแสงเพชร กำลังไปอยู่มีพระฝรั่งอยู่ ๒ รูปคือท่านสุเมโธกับปภากโร ไปดูบริเวณถ้ำก็ยังรกรุงรังไม่ค่อยจะเรียบร้อย ก็เลยถามท่านว่าดื่มน้ำที่ไหนนี่ ท่านบอกว่าน้ำในแอ่งหินนั่นแหละ เอามาดูแล้วก็บอกท่านว่าไม่ได้การละน้ำนี้ดื่มไม่ได้นะมันมีโรคอย่าดื่มเลยเดี๋ยวจะมีพิษมีภัย หลังจากนั้นไม่กี่วัน หมอที่กรุงเทพซึ่งนับถือหลวงพ่อชาส่งจดหมายไปบอกว่าน้ำที่อยู่ในแอ่งหินนี้เป็นน้ำไม่สะอาด มันมีตะกอนหินเล็กๆๆๆ อยู่มาก ต้องต้มแล้วค้างคืนไว้จึงจะฉันได้ ทีหลังท่านก็คงต้มเพราะว่าไม้ฟืนมันเยอะที่นั่นไม่ลำบากอะไร แต่ไปดูแล้วนึกในใจว่าแหมจะอยู่กันอย่างไร แต่จากนั้นก็หลายปี สิบกว่าปี ไปดูคราวนี้อีกทีหนึ่งสภาพเปลี่ยนไปหมด
คือเปลี่ยนเป็นความมีระเบียบมีอะไรดีงามขึ้น แล้วก็ทำถนน คือว่าชั้นแรกนี่มันอยู่ข้างล่างภูเขา ท่านตัดถนนขึ้นภูเขาเป็นระยะทาง ๒ กิโลเมตร เรียกนายช่างเขตการทางไปปรึกษา ช่างก็บอกว่า หลวงพ่อครับ จะทำถนนขึ้นภูเขา ๒ กิโลนั้นมันต้องใช้เงินตั้ง ๒-๓ ล้านถึงจะทำได้ ผมเห็นจะช่วยไม่ไหว งบประมาณไม่มี ท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอก อาตมาทำเองก็ได้ นายช่างเขานึกในใจว่า ใต้เท้าจะทำอย่างไรมันตั้ง ๒ กิโลขึ้นภูเขานี้ ท่านก็บอกว่าทำได้ ท่านมั่นใจว่าทำได้ แล้วท่านทำอย่างไร พระที่ไปอยู่ด้วยถามว่า แล้วหลวงพ่อจะทำอย่างไร คอยดูก็แล้วกัน แล้วคนแถวนี้มันก็ไม่ค่อยมี โอ พระอยู่ไหนคนมันก็มาเองละ แล้วคนมาจะให้มันกินอะไรกัน อ้าว คนมามันก็ต้องมีข้าวสิ คนมากินข้าวพระก็กินข้าวเหมือนกันมันก็ต้องมีกินมีใช้ละ ไม่ต้องกลัวหรอก ขอให้เราตั้งใจทำก็แล้วกัน แล้วให้เราประพฤติดีประพฤติชอบไว้แล้วคนมันมาหาเอง ท่านว่าอย่างนั้น แล้วมันก็จริงอย่างท่านว่า คือท่านไปอยู่นั้นคนมันก็รู้ว่าพระไปอยู่ แล้วรู้ว่าที่นั่นมันไกลหมู่บ้าน จะออกไปบิณฑบาตรนี่ต้องเดินไปกลับ ๑๐ กิโลก็คงจะสงสาร ชาวบ้านก็เอาข้าวสารไปให้เป็นกระสอบๆ เอาไปทิ้งไว้ ทีนี้คนแถวนั้นเป็นคนยากคนจน ท่านมีข้าวสารแจกชาวบ้าน แต่ว่าก่อนแจกข้าวสารบอกว่าพวกเราต้องมาทำงาน เรื่องข้าวสารไม่ต้องกลัวฉันแจกข้าวสารให้ แล้วอาจจะมีปัจจัยให้ด้วยถ้าฉันมีอยู่บ้าง แต่ว่าข้าวสารนี้มีแน่ เอ้า คนมันก็มา มาช่วยทำงานช่วยขุดดิน ช่วยขุดดินเอาหินมากองมาอะไรต่ออะไร แต่ทำไปเรื่อยๆ คนก็มา มาพักมานอนกันที่นั่นแหละ อยู่บ้านมันก็ไม่มีอะไรจะกินนี่ ชาวบ้านยากจนก็มากินข้าวกับท่าน แจกข้าวสารให้หุงแกงกินกันไปมีกับข้าวอะไรก็แจกก็ทำกันไปตามเรื่องไม่ต้องให้สตางค์ให้ข้าวก็พอแล้ว คนก็มากันมากขึ้นๆ ทำได้เรียบร้อยเดินขึ้นไปได้สบาย แต่ว่าไม่ได้ลาดยาง ทีหลังมาก็ทางการเข้าไปช่วยเหลือลาดยางให้ ก็ขึ้นไปโค้งขึ้นไปสวย ไอ้ที่สวยก็คือว่ามีป่าธรรมชาติต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ขนาดอย่างนี้ๆ มันมีอยู่มาก ที่มีอยู่มากก็เพราะว่าพระไปทันนั่นเอง ถ้าพระไปไม่ทันก็พวกตัดขายหมดแล้ว แต่นี่พระไปทัน ห้ามไว้ได้ ห้ามไว้ว่าเป็นของวัดบริเวณกว้างมาก บริเวณภูเขานั้นกว้าง เอาทั้งภูเขา สองข้างภูเขาก็จองเป็นวัดหมดเขตไกลให้เป็นป่าธรรมชาติ ราชการก็เลยไปติดป้ายสงวนไปตั้งแต่ปากทางเข้าไป แต่ว่าที่ราชการสงวนนี่ก็เหลืออยู่ไอ้ต้นที่ติดป้ายนั่นเอง ติดว่าป่าสงวน ไอ้ต้นนั้นยังอยู่มันไม่ตัดหรอก แต่ว่าต้นอื่นมันไม่มีแล้วนะ ไอ้ต้นนั้นมันไม่ตัดเพราะว่าติดป้ายว่าสงวนไว้ และมันเว้นไว้ แล้วก็เป็นนาไปหมดแล้ว
เมื่อไปครั้งก่อนเป็นป่าทั้งหมดสองฝั่งแต่เดี๋ยวนี้เป็นนาข้าวงามดีเพราะปีนี้ฝนดี ก็ดีใจกับชาวบ้านที่นาดี ไปก็ขึ้นนั่งรถขึ้นไปถึงบนภูเขา บนภูนั้นมันเป็นหินเอียงไป เอียงเสมอเป็นลานสวยมาก ลานหินนะ ก็ไปปีแรกก็นึกว่าแหมบนลานหินนี่น่าสร้างอะไรไว้ แล้วก็มีถังน้ำฝนอยู่ก็คงจะพออยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำอยู่ไม่ไหว ก็มีคนศรัทธาชื่อคุณหญิงตุ่น โกศัลวิท แกก็บริจาคทรัพย์สร้างศาลาให้ใหญ่ ศาลานี้กว้าง ๒๘ เมตร ยาว ๖๐ เมตร ใหญ่โตมาก คนขึ้นไปนั่งไม่เต็มน่ะ แล้วก็มีถังน้ำไว้ใต้ศาลา น้ำพอกินพอใช้ตลอดไป แต่ท่านบอกว่ามันรั่วเหมือนกัน เพราะว่าลงบนหินแล้วมันยังรั่ว อาตมาก็เลยถามว่าหินนี้มันมีสภาพอย่างไร หินมันเป็นหินทราย พวกหินทรายนี้น้ำมันซึมได้ ก็เลยซึมไปน้อยๆ ก็ไม่มากเท่าใด แต่ก็ศาลานั้นสร้างสิ้นเงินไป ๙๙๐,๐๙๙ บาท มันเลข ๙ ทั้งนั้น เลข ๙ สี่ตัว อย่าเอาไปซื้อก็แล้วกัน ๙๙๐,๐๙๙ บาท สร้างเสร็จด้วยเงิน ๙ แสนนะ ไม่ใช่เล็กนะ ถ้าสร้างสมัยนี้เห็นจะถึง ๒๐ กว่าล้าน แต่ปีที่สร้างนั้นมันของยังไม่แพง แต่ว่าต้องทำถนนขึ้นก่อนถึงจะสร้างศาลาได้ ทำถนนแล้วก็ลำเลียงของขึ้นไปได้ แล้วก็ท่านสร้างกุฏิไว้ห่างกัน อยู่ตรงนี้สักหลังแล้วนู้นไกลลิบๆ น่ะไปสร้างไว้อีกหลังหนึ่ง บอกว่าทำไมสร้างไกลอย่างนั้น พระจะได้เฝ้าต้นไม้อย่างไรล่ะ สร้างอยู่หย่อมเดียวคนมาตัดไม้ไม่ได้ยินเสียงน่ะ เอาไปไว้นู้นหลังหนึ่ง อยู่นู้น บอกแหม แล้วจะเดินมาทำวัตรนี่ไม่เดินกันเมื่อยหรือ ไกลอย่างนั้นน่ะ ถามเขา บอกว่าก็ไม่เป็นไรเดินเก่งแล้ว อาตมาไปถึงก็มีรถธนาคารกสิกรไทยเขาบริการ ไม่ใช่อาตมาไปขอหรอก ท่านปสันโนเขาไปขอมา เขาบริการไปตลอดทาง ไปถึงก็ให้รถกลับ และบอกว่าพรุ่งนี้มารับก็แล้วกัน พอนั่งประเดี๋ยวก็บอกพระว่าไม่ต้องนอนแล้ววันนี้ มันเลยเวลานอนแล้ว เพราะว่าอาตมานี่มันนอนกลางวันครึ่งชั่วโมง พอฉันเพลเสร็จก็แอบไปงีบหนึ่ง ครึ่งชั่วโมง ๒๕ นาทีละ ถ้าไม่ได้งีบสัก ๒๕ นาทีแล้วมันก็ซึมกะทืออยู่นั่นละ จะไปเทศน์ไปอะไรมันก็สะลึมสะลืออยู่นั่น เพราะฉะนั้นต้องแอบไป ไปไหนก็ต้องขอแอบเสียสักครึ่งชั่วโมงก็แล้วกัน แอบแล้วก็สบาย
แต่วันนั้นไม่ได้แอบ เพราะว่าเทศน์ที่วัดป่าวิเวกธรรมชาน์แล้วไม่ได้พัก พอกลับมาก็ขึ้นเขา ไปถึงบอกไม่ต้องนอนแล้วพ้นเวลาแล้ว ไปเที่ยวเถอะ พระบอกว่าไปไหนก่อนหลวงพ่อ อ้าว จะไปรู้อย่างไรก็ไม่เคยมา พระนำมา บอกว่าไปลานพระเวส (23.07) ว่าอย่างนั้น เอ๊ะ ลานพระเวสสันดรหรือ ก็ตั้งให้เป็นลานพระเวสสันดร ก็ขึ้นไป ขึ้นภูเขาหน่อยแล้วก็ลง แล้วก็เดินไป เดินไปตามหินที่เต็มไปหมด แต่ว่ามันมีขึ้นบ้างลงบ้างนิดๆ หน่อยๆ ไปถึงก็บอกว่ายังไม่ถึง ไปตรงนั้นมันมีร่มไม้นั่งแล้วก็ลมพัดเย็นสบายมากหลวงพ่อ เอ้า ไป ไปถึงก็นั่งสบายจริงๆ ลมพัดเย็นสบาย แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวก็ไม่ไหว นั่งคางสั่นทีเดียว ลมมันแรง นั่งพักคุยสนทนากันสัก ๓๐ นาที ก็เอ้า กลับ กลับมาที่วัดก็ อ้าว ถ้ำแสงเพชรที่มาเห็นครั้งแรกมันอยู่ตรงไหน บอกว่าต้องลง เอ้า ไป เดินอีก แต่ดื่มน้ำก่อน มาถึงดื่มน้ำแก้วหนึ่งแล้วก็เดินต่อไป เดินไปลงถ้ำ ไปดูถ้ำแสงเพชร ก็เดินลงไปกรุ๊กกริ๊กหน่อยทางมันไม่ค่อยสะดวกเท่าใดแต่ว่าพอลงได้ ลงไปถึงมันไม่เชิงเป็นถ้ำอะไรหรอกคือว่าเขาเรียกว่าเป็นเพิงผา คือหินมันออกมาเป็นอย่างนี้แล้วมันก็เป็นเพิงเข้ามาสักขนาดอย่างนั้น รูปอย่างนั้น เป็นเพิงเข้ามา พอนั่งหลบฝนได้เท่านั้นเอง พระก็ไปสร้างที่อยู่แถวนั้นแหละสมัยแรกทีเดียว สร้างกระต๊อบแอบหินอยู่ แต่ว่ากลิ่นไม่ค่อยจะดี คือมีขี้ค้างคาวอยู่บ้าง แต่อยู่นานไปมันก็ชินไปก็ไม่เป็นไร แล้วตอนนี้มันก็เป็นฤดูฝนน้ำมันก็ไหลจ๊อกๆๆๆ ลงมาจากข้างบนเป็นฝอยลงมา แต่ว่าถ้านั่งในเพิงผานั้นไม่เปียกหรอกเพราะมันโค้งน้ำมันลงตรงนี้หลบไปขนาดนี้ก็นั่งได้ มีที่พักพระและมีต้นไทรล้มอยู่ต้นหนึ่งต้องปีนป่ายหน่อยตรงนั้น แล้วก็ลงไปดูอีกแห่งหนึ่งเป็นถ้ำมีพระพุทธรูปประดิษฐานทำเสียสวยงามเรียบร้อย แล้วพระอยู่ตรงไหน ก็พาลงเดินไป ถนนเตียนนะ ใบไม้สักใบหนึ่งก็ไม่มีบนถนน เขากวาด พระท่านกวาดเรียบร้อย แล้วก็ปลูกต้นไผ่ไว้เยอะ ต้นไผ่ชนิดลำซื่อๆ เป็นกอๆ นี่มากมาย ปลูกไว้มาก ที่นั่นถ้าว่าเป็นพระนักชอบต้นไม้เหมือนกับพระทองใบวัดเราไปอยู่แล้วคงจะปลูกกันใหญ่ เพราะมันเหมาะแก่การปลูกหน้าฝน แต่หน้าแล้งก็แย่เหมือนกัน แล้วก็เดินลงไปที่วัดมีศาลายาวจุคนได้มาก ยาวตั้งหลายสิบเมตร แล้วก็มีพระอยู่ ๕ รูป บริเวณสะอาดร่มรื่นแล้วก็มีบึงน้ำใหญ่น่าดู แต่ถามว่าหน้าร้อนนี่น้ำในบึงนี้มันมีหรือเปล่า ท่านบอกว่ามันหายไปหมด มีนิดหน่อย ใช้อะไรก็ไม่ได้ มันเป็นโทษอยู่ตรงนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่ พอหน้าแล้งแล้วน้ำมันหายไปมันจมไปหมดในดิน แล้วทำอย่างไร มีถังน้ำฝนรองน้ำไว้สำหรับดื่ม สำหรับน้ำอาบนั้นก็ขุดบ่อพอมีน้ำอาบได้ ก็ไปนั่งคุยกับพระพอสมควร แล้วก็บอกว่าแหมสบาย ว่างๆ อยากจะมาพักที่นี่บ้างเหมือนกัน พระท่านบอกว่า แหมหลวงพ่อมาก็ดี คนจะได้มาฟังธรรมบ่อยๆ บอกว่านั่นน่ะสิ แต่มันไม่ค่อยว่างไปไม่ค่อยได้
ถ้าว่างแล้วน่าพักเหมือนกัน ที่นั่นน่าพัก คุยกันพอสมควรแล้วก็เดินมา เขาชี้ที่ป้ายบอกว่า ถ้ำโคนอน เอ๊ะ ถ้ำวัวนอน โคก็วัวนั่นแหละ อยู่ตรงไหน เอ้า เดินไปอีก เดินไปๆ ประมาณสัก ๑๐๐ เมตร ก็ไปถึงเพิงผาอีกแต่มันใหญ่หน่อย มีพระพุทธรูปเพิ่งสร้างขึ้นแล้วก็มีลานปูนซีเมนต์ ลานกว้างพอจะนั่งทำอุโบสถสังฆกรรมได้สบายๆ ที่นั่นเรียกว่าถ้ำโคนอน แล้วก็เดินดูบริเวณรู้สึกว่าสบาย แล้วก็มีพระไปปักกลดอยู่องค์หนึ่ง ที่นั่นเงียบ ถ้าไม่มีใครไปเที่ยวแล้วเงียบสบายดีมาก บอกว่าแล้วจะขึ้นเขาทางไหน บอกว่าทางขึ้นตรงนี้ ขึ้นเขาเดินทีนี้เดินต่อไป วันนั้นไปเดินบนภูเขานี้เป็นเวลา ๔ ชั่วโมง ไอ้เวลาเดินนี่มันแข็งแรงดีนะเพราะกองเชียร์เดินอยู่ข้างหลัง พระบอกหลวงพ่อยังเก่ง เราจะทำอ่อนแอก็ไม่ได้ ก็ว่าเก่งไว้แล้วนี่ มันก็ต้องเดินเรื่อยไป ถือไม้เท้าอันหนึ่งแล้วก็เดินค้ำไปเรื่อยๆๆ พระท่านก็นำไปแวะ บอกว่าตรงนี้สามธรรมาสน์ ไปดูที่สามธรรมาสน์หน่อย เอ๊ะ สามธรรมาสน์อะไร ไปดู อ้อ มันมีหิน ๓ ก้อน ก้อนใหญ่แล้วก็มีรอบก้อนเล็ก แต่ไม่ใช่เล็กเท่าใดหรอก รวม ๓ ก้อน ไปนั่งตรงนั้นแล้วทิวทัศน์มันสวยมาก คือดูไปทางทิศเหนือ ไม่เชิงเหนือ ดูไปแล้วมันโล่งไป แลเห็นภูเขาอยู่ไกลลิบๆ ลมพัดเย็นสบาย บอกว่าหลวงพ่อชานี่สมัยมาอยู่นี่ชอบมานั่งตรงนี้ คุยธรรมะกับท่านสุเมโธ ปภากโร บ่อยๆ ท่านแอบมานั่งตรงนี้คนไม่มา ท่านนั่งสบายๆ ถ้าเป็นคืนเดือนหงายแล้วก็มานั่งตรงนี้ละก็สบายมาก แสงจันทร์ส่องและมองเห็นดาวในท้องฟ้าระยิบระยับ มันเป็นทิวทัศน์เหมาะสำหรับผู้ต้องการความเงียบโดยแท้ ก็นั่งสนทนาธรรมกัน เล่าเรื่องอะไรต่างๆ ให้พระฟัง สมควรแก่เวลาบอกว่าเดี๋ยวจะมืดแล้ว ยังไกลไหมไปถึงศาลาที่พักนี่ เขาบอกไม่ไกล ว่าอยู่ไม่ไกลแต่ว่าเดินกันนาน เดินกันมืดแล้ว กลับมาถึงก็พักอาบน้ำ อาบน้ำแล้วนึกว่าจะเอนหลังพักหน่อย พระมาบอกชาวบ้านเขามา เขารู้ว่าหลวงพ่อมา ก็เอ๊ะ มายังไง อยู่ที่ไหนล่ะชาวบ้าน เขาบอกมาจากอำนาจเจริญนู่น ๑๕ กิโลน่ะเขามา ก็ว่ามารถตั้งหลายคันแน่ะ หลวงพ่อต้องไปเทศน์แล้ว อ้าว บอกว่าไม่เป็นไรละ ถ้ามีคนฟังแล้วก็เทศน์ได้เสมอ ไอ้เรื่องนี้ไม่ขัดข้อง ก็เลยไปเทศน์ให้เขาฟัง เขามากันตั้ง ๑๐๐-๒๐๐ คน เอารถมา บอกแหมนี่โยมนี่อุตส่าห์จริงๆ บอกว่าท่านเจ้าคุณนานๆ มาทีพวกผมรู้ก็ต้องมาฟัง เพราะว่าได้ฟังแต่วิทยุทุกครั้งไม่เคยเห็นตัว แต่ว่าจำได้ว่าเคยมาอำเภอนี้ครั้งหนึ่งที่มาเทศน์ที่วัดเทพอะไรในอำเภอน่ะ เคยไปจริงๆ วัดนั้น บอกว่ามันหลายปีแล้วมาแล้วเทศน์เสร็จก็ขึ้นรถกลับวันเดียวกลับ เขาก็จำอยู่พอรู้ว่ามาเขาก็มากันที่นั่น มาฟังกัน ก็เทศน์ให้ฟัง ไม่มีไฟฟ้าแต่ว่ามีเครื่องขยายเสียงใช้แบตเตอรี่ก็ดังพอได้ยินเพราะมันเงียบแถวนั้นพอสมควร
เทศน์จบแล้วสนทนากันนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็พักผ่อน รุ่งเช้าขึ้นชาวบ้านเขาก็มาอีก นำอาหารมาถวาย พระออกบิณฑบาตรเหมือนกัน บอกว่าแหมไปบิณฯ ไหนนี่ บอกว่าลงภูเขานี้ไปด้านนู้น ไปกี่กิโล ประมาณสัก ๑๐ กิโล แล้วกลับอีกล่ะ แหม ตั้ง ๒๐ กิโลเดิน แล้วบอกไหนมาดูซิ ดูแข้งมันแข็งแรงขนาดไหน บอกว่าขอคลำแข้งหน่อย แข้งแข็งแรงทั้งนั้นเดินเก่งไปบิณฑบาตรไกลๆ แล้วกลับมาฉันสายหน่อย ก็แข็งแรงดีพระท่านอยู่ได้ ท่านชอบความสบายเรียบๆ ท่านก็ไปอยู่กัน น่ารักน่าเอ็นดูพระที่ไปอยู่ที่นั่น แล้วบอกว่ามีคนมาทัศนาจรบ่อยไหมที่นี่ เขาบอกมาบ่อย คนกรุงเทพก็มา นี่พรุ่งนี้คนเชียงใหม่จะมา ๒ คันรถ บอกแหมเสียใจ ต้องกลับเสียแล้ว ไม่ได้อู้กับชาวเชียงใหม่ บอกว่าอัดเทปไว้เปิดให้เขาฟังก็แล้วกัน แต่อย่าเปิดว่าพระอะไรให้เขาฟังก่อนแล้วถามว่า โยมจำได้ไหมว่าเสียงใคร ถ้าเขาจำไม่ได้ก็พวกนั้นแย่มากแล้ว เพราะว่าอยู่เชียงใหม่ตั้งนานเขาต้องจำได้ พอได้ยินเขาก็รู้นะให้เขาฟังก็แล้วกัน รุ่งเช้าขึ้นรถเขาก็ไปรับมาทางอำเภอ (32.45 หลวงพ่อพูดสถานที่ผิดและได้แก้ไขให้ถูกต้องใหม่) จังหวัดยโสธร มายโสธรแล้วก็มาผ่านอำเภอคำเขื่อนแก้ว แล้วก็ไปอำเภอเขื่องใน มีวัดเหมือนกัน วัดป่าแบบเดียวกัน สมภารชื่อจันทร์ เขาก็พาเข้าไปในวัดมีเนื้อที่ประมาณ ๖๐ ไร่ แต่ว่ามีป่าช้าอยู่อีก ๓๐ ไร่ ก็ลึกเข้าไปตัดทางไม้ให้มันสะอาดๆ ไปเดินจงกรมในป่าช้าได้ ความจริงจะเข้าไปอยู่แต่ว่าชาวบ้านไม่ยอม บอกว่าชาวบ้านไม่ยอมนี่เพราะพระไม่ยอม พระที่ไหนจึงไม่ยอมให้พระเข้าไปอยู่ในป่านี้ ก็พระที่วัดตรงปากทางที่เจ้าคุณเข้ามานั่นแหละ พระวัดนั้นไม่ยอม เอ๊ะ ทิ้งไว้เฉยๆ มันก็รกเปล่าๆ พระไปอยู่สร้างกุฏิเล็กๆ อยู่จะได้ช่วยรักษาไม่ดีหรือ เขาว่าไม่ได้ พระป่ามาอยู่แล้วมันยุ่ง ความจริงพระป่านี้ไม่ยุ่งแต่พระในเมืองนี่ยุ่ง คือไปยุ่งกับพระป่าเขา ก็ทำไมจึงไปยุ่งกับพระป่า เพราะว่าพระป่านี้ประพฤติเรียบร้อยเคร่งครัดในการปฏิบัติพระวินัยชาวบ้านก็ไปเลื่อมใส ไอ้ตัวนี่ไม่ปรับปรุงตัวเองให้มันดีขึ้นเพื่อแข่งกับพระป่า แต่ว่ายุชาวบ้านว่าอย่าไปให้ พระป่านี้ไว้ใจไม่ได้ อ้าว แล้วกัน ชาวบ้านก็เลย เขายุว่าไม่ได้ พระป่ามาอยู่แล้วในป่านั้นมันเป็นป่า เขาเรียกว่าป่าปู่ตา คือคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาเรียกว่าปู่ตา ก็ปู่ตาย่ายายนั่นแหละ อันนี้มันเป็นของเก่าของคนไทย คนไทยเรานับถือตายาย ปู่ตาย่ายาย ทางปักษ์ใต้เรียกตัดสั้นว่าตายาย ปู่กับย่าหายไป เอาแต่ตากับยาย แต่ความจริงมันทั้งหมดนั่นแหละ ปู่ตาย่ายาย ปู่ตาย่ายายนี้คือบรรพบุรุษ คนไทยเราดั้งเดิมก่อนรับพระพุทธศาสนานี้นับถือบรรพบุรุษ นับถือผีปู่ผีตาผีย่าผียาย เขาเรียกว่านับถือบรรพบุรุษ
การนับถือบรรพบุรุษนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่เป็นเรื่องเคารพบรรพบุรุษ เป็นเรื่องของความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่มีบุญคุณแก่ตนไม่ใช่เรื่องเสื่อมเรื่องเสียหายอะไร แต่ว่าการกระทำบางอย่างมันเสียไป เสียทีหลังนะ หลักการเดิมนั้นเรียบร้อย สอนคนให้รักบรรพบุรุษให้ดูแลสิ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ก็เป็นเรื่องดี ทีนี้ต่อมานี่ปู่ตาหรือว่าปู่ตาย่ายายนี่เขาให้อยู่ในป่าช้า และถ้าป่าช้าไหนเป็นป่าหรือว่าป่าไหนเป็นป่าปู่ตานี่จะเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ มีต้นไม้ยางขนาดอย่างนี้ มันมีเป็นร้อย บางแห่งป่ามีตั้งร้อยต้น ไม่มีใครตัด ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้องเพราะชาวบ้านเขารักษา เขาถือว่าถ้าไปแตะต้องป่านั้นแล้วบ้านช่องมันจะเสียหาย จะเกิดไฟไหม้จะเกิดไข้เจ็บจะล้มจะตายกันเป็นการใหญ่เลยทีเดียว ไอ้นี่ก็ดีเหมือนกัน เพราะความเชื่ออย่างนี้ป่าครึ้มๆ มันมีอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเรานั่งรถไปที่ไหนเห็นป่าครึ้มก็นั่นแหละผีรักษา ไม่ใช่กรมป่าไม้รักษา ถ้ากรมป่าไม้รักษาก็เตียนนานแล้ว แต่ว่าผีรักษาละอยู่เรียบร้อย ชาวบ้านกลัว กับกรมป่าไม้ชาวบ้านไม่กลัว เพราะมันรู้ว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็หุ้นกับชาวบ้านเหมือนกัน แต่ผีนี่ไม่หุ้นกับใคร เขากลัวไง รักษาไว้ได้
พระท่านไปอยู่ตรงนั้นก็เรียกว่าวัดบึงเขาหลวง บอกว่าแหม เอาทั้งบึงทั้งเขาเชียวนี่ ถามสมภาร บอกว่ามันมีบึงอยู่ แล้วมันมีเนินตรงนี้ เนินสูง เนินนี้มันก็สูงราว ๑๐ เมตร แต่มันค่อยๆ ขึ้นไป มีบันไดนาคขึ้นไป แต่ว่าทำทางรถยนต์ขึ้นไปได้ เมื่อเข้าไปถึงวัดก็เห็น อ้อ นี่มันขึ้น บอกว่าไหนล่ะเขาหลวง อันนี้ เขานี้ มันไม่หลวงสักหน่อยมันเล็กนิดเดียว แต่ท่านบอกเขาชื่ออย่างนี้ แล้วก็บึงนี่มีตรงโน้น เดี๋ยวเจ้าคุณเทศน์แล้วไปดูก็แล้วกัน ก็เทศน์แล้วคนเขาก็มารอฟังอยู่เหมือนกัน ป่าวร้องมาฟัง ชาวบ้านตรงนั้นมีกลายเป็น ๒ พวกไป พวกหนึ่งก็เลื่อมใสในพระวัดบึงเขาหลวง แต่พวกหนึ่งไม่ยอมไปวัดบึงเขาหลวง พวกไม่ยอมไปนั้นคือพวกที่ว่า แหม ไปวัดป่าแล้วกินเหล้าไม่ได้ มีงานก็เล่นการพนันก็ไม่ได้ แล้วไปวัดป่านี้ไม่สนุกเลยสู้วัดเราไม่ได้ ได้สนุกกันเต็มที่หน่อย กินเหล้าก็ได้ เล่นการพนันก็ได้ จะร้องรำทำเพลงก็ได้ แต่ถ้าไปวัดป่าแล้วท่านสมภารแกไม่ให้ทำอะไร แกจะให้ไปนั่งหลับตาเสียเรื่อย เขาไม่ค่อยชอบพวกนั้นน่ะ แต่ว่าพวกชอบมันมี ก็มากเหมือนกัน คนเขาก็มานั่งรอ ครูพาเด็กนักเรียนมาด้วย พอไปถึงเขาจะให้ฉันเพล เวลามันยังมีอีกครึ่งชั่วโมง บอกไม่ไหวแล้ว อิ่มเหลือเกิน ฉันที่ถ้ำแสงเพชรอิ่มแล้ว มาฉันอีกมันไม่ได้แล้วอย่าฉันเลย แต่ว่ามันมีส้มซ่าจานหนึ่ง บอก อ๋อ ดีๆ ส้มชุ่มคอหน่อยจะได้เทศน์ให้มันคล่องคอหน่อยเลยฉันส้ม แล้วก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ให้ญาติโยมฟังหนึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วก็ไปเดินชมวัด สร้างกุฏิเป็นหย่อมๆ แล้วก็ไปถึงตรงนั้นก็มีประตูปิดไว้ อ้าว ทำไมปิดล่ะท่านสมภาร อ้าว นั่นมันป่าปู่ตาเขายังไม่ยอมให้ จะไปสร้างกุฏิก็ไม่ได้ แต่ว่าเดินจงกรมไปนั่งได้เหมือนกัน บอกเอ้าไปดูซิปู่ตาจะอยู่ตรงไหน ก็เดินไป มันมีศาลเล็กๆ บอกว่า ปัดโธ่ ไอ้คนนับถือปู่ตานี่แย่มาก หลังคาก็ไม่มีแล้วปู่ตาจะนั่งอย่างไร พื้นก็ไม่มี เหลือกระดานห่างๆ เหลืออยู่แผ่นหนึ่ง ปู่ก็ต้องนั่งไอ้แผ่นนี้ แล้วปู่ด้วยถ้าแกนั่งหลายคนมันก็พังแค่นั้นเอง ฝาก็ไม่มี แล้วหน้าหนาวปู่ตาจะอยู่อย่างไร เอ มันนับถืออย่างไรไม่ช่วยสร้างอะไรให้ เลยบอกท่านสมภารจันทร์ว่า ใต้เท้า มาสร้างศาลาไว้สักหลังสิ กว้างสัก ๔ เมตร ยาวสัก ๕ เมตรก็พอ แล้วก็ทำเป็นอาสนะให้พระนั่งไว้ แล้วก็ทำเป็นมุขยื่นออกไปหน่อยหนึ่ง เอาพระพุทธรูปมาวางไว้สักองค์หนึ่ง แล้วก็บอกว่าปู่ตาก็อยู่ด้วยกัน เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเสียก็แล้วกัน
ก็ปู่ตาเหล่านั้นก็ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าคงไม่รังเกียจอะไร ท่านว่าเข้าทีดี สร้างตรงไหนดี ตรงนี้แหละ มันว่างอยู่ดี สร้างไปเลย ถ้าชาวบ้านมาถามว่าทำไมมาสร้างตรงนี้ ก็ไอ้พวกแกมันไม่เอาใจใส่นี่ ปู่ตาแกอยู่ลำบากแกไปเข้าฝันกู บอกไปเถอะเขาไม่ว่าอะไร ไม่ผิดศีลอย่างนี้ โกหกไม่ผิดศีล บอกว่าเข้าฝันกูบอกว่าแหมเดือดร้อนเต็มทีแล้ว หลังคาก็ไม่มีพื้นก็ไม่มีอยู่ลำบาก ไอ้พวกนี้มันนับถือข้าอย่างไรก็ไม่รู้ บ้านช่องมันก็ไม่สร้างให้อยู่ ท่านมาอยู่ใหม่นี่ดีนี่ มาช่วยสร้างหน่อยเถอะ เลยกูมาสร้างไง สมภารก็คงจะบอกอย่างนั้นกับชาวบ้านละถ้าเขามาว่านะ แก้ไปอย่างนั้นก็แล้วกัน พวกนั้นมันก็เชื่อละ ว่าอย่างนั้น บอกว่าปีหนึ่งๆ เขาทำอะไรกับปู่ตาบ้าง บอกว่าเขาก็มาไหว้ เดือนนู้นน่ะเขามาไหว้กัน เดือนสามเดือนสี่อะไรนั่น มันแห้งแล้ง เกี่ยวข้าวเสร็จเขาก็มาไหว้ มาไหว้ทำอะไร ก็นิมนต์พระมาสวดบังสกุล แล้วก็ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ กินเนื้อกินเหล้ากันสนุกสนานกันเต็มที่ ร้องรำทำเพลง แล้วปู่ตาแกไม่รำคาญหรือพวกนั้นเอาเหล้าเอาอะไรมากินอย่างนั้นนะ แกไม่ว่าอะไรหรอกเพราะไม่เคยว่านี่ พวกนั้นก็ทำมาทุกปีอย่างนี้ บอกว่าอย่างนี้มันต้องแก้ละ ท่านค่อยๆ แก้ไป ค่อยๆ แก้ไป พระก็บอกว่าพระวัดโน้นเขาเชื่ออย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้น บอกว่าเวลามีงานที่วัดนี้เช่นทอดกฐิน วัดนี้ก็ทอดกฐินเหมือนกันวัดนั้น นิมนต์สมภารวัดนั้นมาด้วย แล้วถวายอะไรท่านบ้าง นิมนต์บ่อยๆ ถวายบ่อยๆ เดี๋ยวก็รักกันดี คนเรามันรักด้วยการให้ ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ (42.28) ผู้ให้ย่อมสมานมิตรไว้ได้ นิมนต์มาให้ได้รับลาภบ่อยๆ สมภารแกก็ใจดีเองละ เพราะว่าเราให้บ้าง เอาชนะด้วยการให้ ท่านสมภารจันทร์ว่าเข้าทีดี เจ้าคุณแนะเข้าทีดี ต่อไปเห็นจะต้องนิมนต์มาบ้างจะได้เกิดสนิทสนมกัน จะได้เป็นกันเอง เรื่องมันเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องความไม่เข้าใจกันในระหว่างคนอยู่เก่ากับคนมาอยู่ใหม่ เพราะเกรงว่าจะเสียลาภเสียผล เสียพรรคเสียพวกไป แต่ว่าไม่ได้คิดถึงว่าตัวธรรมะคืออะไร ตัวศาสนาคืออะไร ใครเป็นคนมาดึงคนให้เข้าหาธรรมะให้เข้าหาศาสนาควรจะพอใจ ดี แล้ว เราก็ไปช่วยกันด้วย สนับสนุนกันด้วย แต่ว่าความคิดนี้มันไม่เกิด เพราะว่าเขาเรียกว่า อัตตวาทุปาทาน (43.27)
การยึดมั่นในตัวตนมันแรง ทิฏฐุปาทาน (43.32) ยึดมั่นในความคิดเห็นของตัวมันแรงเลยก็ทำไม่ได้ ไม่ได้ถอนความยึดมั่นในตัวตนออก ทิฏฐิออกเสีย แล้วก็ไปหา แล้วก็เข้ากันได้ด้วยความสนิทสนมช่วยกันชักจูงชาวบ้าน ช่วยกันพัฒนาอะไรมันดีขึ้น แล้วก็พอเข้าไปในเขตหมู่บ้านนั้นเขาก็เป็นบ้านพัฒนา ถนนเรียบร้อย รอยเอาดินขึ้นมาถมใหม่ มีไฟฟ้าใช้ แล้วก็มีบ่อน้ำสูบน้ำขึ้นมาใช้ บ้านช่องก็สะอาดสะอ้านดี แต่ว่าจิตใจนี่ยังยึดถือในเรื่องบางเรื่องที่ไม่ถูก ควรจะปรับปรุงให้ถูกขึ้น แต่ว่าไม่ได้รื้อฐานเดิม เช่น นับถือปู่ตาก็ถือไป แต่ควรว่าเราจะประพฤติอย่างไรปู่ตาจึงจะชอบใจ ปู่ตาจึงจะโปรดปราน ควรจะนับถืออย่างไร ไม่ใช่เอาเหล้ามาเลี้ยงกัน ฆ่าเต่ายำเต่า ฆ่าเนื้อกินดิบกันลาบกินกันอันนี้มันไม่ถูก ปู่ตาคงไม่ชอบสิ่งเหล่านี้ ก็หาวิธีที่จะอธิบายกันให้เข้าใจ ปรับปรุงความคิดความเห็นให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบ ก็เป็นเรื่องทำกันได้ไม่ลำบากยากเข็ญอะไร แต่ว่ายังขัดๆ กันอยู่ ก็บอกว่าค่อยๆ เป็นค่อยไป ค่อยทำค่อยไปไม่หักโหมอะไรก็จะดีขึ้น แล้วก็เทศน์วัดนั้นแล้วก็กลับมาวัดป่านานาชาติอีก
มาถึงตอนบ่าย ดูพระฝรั่งเขาทำงานนี่น่าดู เขาถูพื้นศาลา เห็นเอาถังที่ใส่สีนั้น วางห่างกันตรงนั้นใบตรงนี้ใบ อาตมาไปยืนดูทำอะไร เอาถังมาวางทำไม ไม่เห็นขยะอะไร อ้อ เขาใส่น้ำ ใส่น้ำแล้วผ้ามาชุบน้ำในถัง ชุบน้ำในถังแล้วพระฝรั่งเหล่านั้นน่ะถูพื้น ก้มลงถูนะ ถูมัน ถูคนละช่องๆๆ แหม พร้อมเพรียง ไม่มีวิดีโอไปถ่ายมา ถ้าถ่ายละก็น่าดูฝรั่งเขาทำงานนี่น่าดู พร้อมเพรียงกันไม่เกี่ยงไม่งอนกัน ต่างคนต่างทำ คนนั้นเช็ดตรงนั้น คนนั้นกวาดตรงนี้ อะไรต่ออะไร เพราะอย่างนั้นสถานที่เขาสะอาดเรียบร้อย ในศาลานี่เรียบร้อย บนอาสน์สงฆ์นี่เรียบร้อย เช็ดแล้วไม่มีฝุ่น ที่พระพุทธรูปวางอะไรสะอาดเพราะเขาเช็ดทุกวันกวาดทุกวัน เขาถือว่าการปฏิบัติงานคือการปฏิบัติธรรม การทำอะไรให้ดีคือการปฏิบัติธรรม เขาเข้าใจ ไปดูแล้วแหมนึกรักพระเหล่านั้นเหลือเกิน ว่าน่ารักน่าเอ็นดู เขาทิ้งบ้านทิ้งช่องที่สบายในยุโรป ในอเมริกา ออสเตรเลียมาอยู่เมืองไทย อยู่ในป่า ฉันอาหารมื้อเดียว ไม่ถูกปากเท่าใด แต่ว่าทานไปๆ มันก็ใช้ได้นะ ท่านก็อยู่ได้ด้วยความอดทน ด้วยความรักธรรมะรักศาสนา เขามาอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วก็น่าเลื่อมใสก็น่าศรัทธาในความเป็นอยู่ แล้วก็นึกต่อไปว่าวัดพวกเรามันน่าจะเป็นอย่างนั้นบ้าง วัดและพระที่เราเคยอยู่นั้นควรจะสะอาดมีระเบียบ พร้อมใจกันทำงานทำการให้เหมือนกับที่พระฝรั่งเขาเป็นเขาอยู่ก็จะดีขึ้น ได้เห็นแล้วมันสบายใจตรงนี้
คราวนี้ไปเทศน์ที่นั่นมีเทศน์อยู่ตอนหนึ่งคือว่าเทศน์เรื่องไสบาบานิดหน่อย คือว่าพูดเรื่องความเชื่อเหลวไหล การถูกชักจูงไปในทางที่ไม่เหมาะไม่ควรหลงใหลโฆษณาอะไรต่ออะไรกัน พูดไปแล้วยกตัวอย่างไสบาบา ว่าคนไทยนี้กำลังตื่นเต้นในเรื่องไสบาบา ไปกัน ไปแล้วถ้าเรียกมาถามว่าได้อะไรมาบ้างจากการไปไสบาบา ก็ไม่ค่อยได้อะไรแต่เขาก็ไปกัน อยากจะได้แหวนสักวงหนึ่งจากไสบาบา ไสบาบาเคยให้แหวนแก่มหาพรมาวงหนึ่ง ให้หลายคนมันก็ไม่ได้ แหวนมันไม่มีให้มากๆ ไม่ได้ ให้สักวงหนึ่งพอเป็นเครื่องโฆษณา ให้นาฬิกามาสักเรือนหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องโฆษณา ให้บ่อยก็ไม่ได้ทำบ่อยก็ไม่ได้เรื่องอย่างนี้ เพราะไม่ใช่ว่าหยิบมาจากอากาศได้เมื่อไร แต่ก็ทำท่าแกว่งมือนะ เอ้า แหวนอยู่ ให้ เราไม่ได้ไปรู้ว่าแกเล่นกลอย่างไร นักมายากลเราดีๆ นี่เองไสบาบานี่ คือนักมายากลทำอะไรต่างๆ อย่างนั้นให้คนเห็น ถ้าเราคิดไปในแง่อย่างนั้น คราวนี้ถ้าคิดว่าแกทำได้ ในทางพระพุทธศาสนาว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่าปาฏิหาริย์มี ๓ อย่าง หนึ่ง อิทธิปาฏิหาริย์ (48.52) แสดงฤทธิ์ได้ในรูปต่างๆ แปลกๆ ทำได้
สอง อาเทสนาปาฏิหาริย์ (49.01) ดักใจคนได้ ถ้าเห็นโยม โยมคิดอะไรรู้ ดักใจได้ คิดจะไปไหนทำอะไรรู้ ดักใจคนได้
อีกอันหนึ่งเรียกว่า เทศนาปาฏิหาริย์ (49.18) สอนคนเก่ง พระพุทธเจ้าห้ามสองอย่างข้างต้น อิทธิปาฏิหาริย์ห้ามพระแสดง อาเทสนาปาฏิหาริย์ห้ามใช้ เพราะอะไร เพราะมันไปพ้องกับการเล่นกลของชาวบ้าน คนเล่นกลมันทำได้ในรูปแปลกๆ เราเคยดูกลไหม พวกมายากลมันแสดงเราจับไม่ได้นะ ความจริงมันเรื่องมายากล แต่เราดูแล้วเรายังจับไม่ได้ก็ว่ามันเก่ง ถ้าพระไปแสดงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่ามันไปพ้องกับพวกเล่นกล ดังนั้นอย่าแสดง ดักใจคนได้ก็ไปพ้องกับมายากลชนิดหนึ่ง ไม่ให้แสดง สิ่งที่พระควรทำก็คือว่าเทศนาสั่งสอนให้คนเข้าใจหลักธรรมะถูกต้อง อันนี้เป็นเรื่องให้ทำ นอกนั้นทำไม่ได้ คราวนี้เรามันเป็นพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าว่าไว้อย่างนี้ แล้วเขาบอกว่าไสบาบาทำอย่างนั้นอย่างนี้ ใครเป็นคนพูดมาก ผู้จัดทัวร์ทั้งหลายนี่พูดมากเพราะกำไร คนไปแล้วมันก็ได้กำไรนี่ เสียค่าจัดทัวร์นี่มันได้กำไร นำไปไหว้ที่ประสูตรตรัสรู้นิพพานแสดงธรรมเทศนา เอ้า ไปเถอะ ที่อย่างนั้นควรไปดู แต่ว่าเลยไปอันตรประเทศซึ่งไกลออกไปมาก เพิ่มเงินอีกเยอะแยะ แล้วไปถึงเห็นนักบวชไว้ผมเป็นกระเซิงเหมือนฮิปปี้คนหนึ่ง รูปร่างอ้วนตุ้ย แล้วก็แสดงอะไรให้ดู แต่ไม่ได้แสดงทุกทีหรอก ไปแล้วแกก็ไม่แสดง ทำบ่อยๆ ได้เมื่อไรของอย่างนั้น ก็ไม่ได้อะไรมา ได้ขี้เถ้ามา เราเรียกว่าผงวิภูติ ก็คือขี้เถ้าที่จุดธูปบูชาอะไรต่ออะไรมันกองๆ แกก็หยิบไอ้สิ่งนั้นห่อๆ แจกมา ได้มาทุกคน เสียเงินคนละเท่าไร แล้วไปได้ขี้เถ้ามาจากประเทศอินเดียนี่มันคุ้มไหม ลองคิดดู มันไม่คุ้ม ถ้าจะเอาขี้เถ้ามาเอาที่นี่ก็ได้ อาตมาจะแจกให้ก็ได้ขี้เถ้าที่วัดชลประทานก็มี ขี้เถ้านี้ไม่พอไปเอาในครัวให้ก็ยังได้เลย มันเป็นอย่างนี้ นี่เรียกว่าเป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาดที่ไปเอาขี้เถ้ามาจากอินเดียนี่มันโง่หรือฉลาด
ถ้าคิดดูแล้วนี่เรามันโง่ เป็นเหยื่อการโฆษณาของพวกนำเที่ยวให้ไปเท่านั้นเอง ไปแล้วมันไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้มาแล้วก็ขาดทุนเสียเปล่าๆ อาตมาเทศน์จบลงไปเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามากราบ แหม หลวงพ่อ ผมกำลังเตรียมตัวจะไป บอกเธอเป็นอะไร ผมเป็นวิศวกรมาควบคุมการก่อสร้างที่นี่ เป็นบัณฑิตทางวิศวกรใช่ไหม ใช่ เธอเป็นบัณฑิตอย่าโง่นะ นี่ถ้าไม่ได้ฟังฉันเทศน์เธอโง่ต้องไปเอาผงขี้เถ้าของไสบาบาแน่ๆ ก็บอกผมไม่ไปแล้ว เลิก เลิก ไม่ไป นี่พวกทัวร์รู้มันคงด่าท่านปัญญา คนไม่ไป ท่านปัญญาไม่ให้ไป แล้วก็ยังไปเรียกไสบาบาว่าเป็นสัพพัญญู เกินไป ยกมากไปหน่อย สัพพัญญูมีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ผู้รู้สิ่งทั้งปวง แต่ไม่ใช่รู้ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าท่านรู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรื่องนี้ ไสบาบานี่ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้เรื่องอย่างนี้หรอก จะยกให้เป็นสัพพัญญูไม่ได้ ถ้าจะเทียบไสบาบากับพระในพุทธศาสนาพอเทียบได้กับพระเทวทัตเท่านั้นเอง เออ หนักไปหน่อย เทียบกับเทวทัตโยมฟังนึกว่าหนัก คือหนักอย่างนี้ มันเป็นอย่างไร เทวทัตนี่สำเร็จโลกียฌาน ไปนั่งบำเพ็ญเพียรสำเร็จโลกียฌาน เนรมิตได้นะ เนรมิตร่างให้เป็นเด็กน้อย เอางูพันรอบตัว ไปหาพระเจ้าอชาตศัตรูเพื่อทำให้อชาตศัตรูซึ่งเป็นเจ้าฟ้าชายปัญญาอ่อนว่าอย่างนั้นเถอะ คือไม่สนใจใฝ่หาพระพุทธเจ้าทั้งๆ ที่พ่อเป็นพุทธบริษัทที่สนับสนุนพระพุทธเจ้า แต่อชาตศัตรูนี่ไม่ได้สนใจ เป็นเด็กหนุ่ม กษัตริย์หนุ่ม ไม่สนใจ เทวทัตแปลงตัวเป็นเด็กน้อยเอางูพันกายเข้าไป เลื่อมใส ตกใจ ครั้งแรกตกใจว่าอะไร เอางูพันกายมาน่าตกใจ แล้วก็เป็นพระออกมา แกก็เลื่อมใส โอ พระองค์นี้เก่ง เลยนับถือเป็นผู้นำเป็นครูอาจารย์ แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เทวทัตยุพระเจ้าอชาตศัตรูให้จับพ่อขังจนตาย นี่ขนาดเทวทัตแสดงฤทธิ์ได้นะ แต่เอาฤทธิ์ไปใช้ในทางผิด ไสบาบานี่ถ้าแสดงได้ก็ขนาดเทวทัตเท่านั้นเอง ไม่สูงไปจนถึงว่าเป็นสัพพัญญุละ บางคนบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สองนะ มันชักจะมากไปสักหน่อยละ ยกย่องมากเกินไป แล้วอาตมาอ่านหนังสือฝรั่งเขาเขียนแต่มีคนแปลมา คือฝรั่งมันก็สนใจ ฝรั่งนั้นชอบศึกษานะ ศึกษาเข้าไปหาไสบาบา ยอมตัวเป็นลูกศิษย์ เด็กบางคนฝรั่งมันหล่อๆ นะ ไสบาบาพาเข้าไปในห้อง ในห้องส่วนตัว แล้วก็ไปพูดไปคุยกัน ไสบาบานี่เขาเรียกว่าเป็น Homosexual ทำเอากับเด็กหนุ่มเหล่านั้นหลายคน ไอ้หนุ่มๆ เหล่านั้นก็ไปโพนทะนาสิ โพนทะนาว่าไสบาบานี่พวก Homosexual พวกชอบเพศเดียวนะ Homosexual นี้ ชอบเพศเดียวกัน ไม่ชอบเพศตรงข้ามแต่ชอบพวกเพศเดียว ฝรั่งเขาเขียนไว้ เขาเขียนเป็นหลักฐานว่าคนชื่อนั้นได้ไปหาอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ไสบาบาที่เป็นอย่างนี้ อาตมาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งเป็นเอกสารของพวกอเมริกัน เขาว่ามีพวกอินเดียที่เป็นสวามีนี่
สวามี ศิวะนันทะ ไปอยู่อเมริกาคนนับถือมาก แต่ว่าทีหลังก็มีคนเขียนขึ้นมาถึงเรื่องอย่างนี้ คือแกทำอะไรแผลงๆ กับพวกเด็กทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย พวกนั้นก็เลยไปเปิดโปงขึ้นกับนักหนังสือพิมพ์ก็เขียนขึ้นมา ก็เสียหายไป เป็นเรื่องเสียหาย เขียนขึ้นอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะท่านเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง เพียงแต่มีอำนาจจิตขึ้นเป็นครั้งคราว สมาธิชั่วครั้งชั่วคราว ยังไม่ได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ยังไม่ได้เห็นอะไรว่าเป็นอนัตตาตามหลักพระพุทธศาสนา แต่ว่าคนเขาเชื่อเพราะการโฆษณา แล้วก็มีคนสำคัญในเมืองไทย เช่น ดร.อาจอง ชุมสาย ก็ไปพูด พูดอย่างไรอาตมาไม่ได้ฟัง แต่ว่าคงจะพูดไปในแง่ว่าเก่งนะ คนมันก็เชื่อกันไปในรูปต่างๆ นี่อีกไม่กี่วัน ดร.วิเวกานันทะซึ่งเคยอยู่กับอาตมาจะมา และจะมาพูดว่าไสบาบาองค์สัพพัญญู เอ๊ะ ถ้าพูดอย่างนั้นมันเสียเหลี่ยมนะ มันมากไปหน่อย อย่างนี้ ที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ใช่จะริษยาพวกจัดทัวร์หรืออะไรก็ไม่ใช่ แต่อยากจะให้พวกเราพุทธบริษัทว่าอย่าหลงในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา แม้พระสงฆ์องค์เจ้าทำอะไรในรูปที่มันแปลกๆ ก็อย่าไปหลง อย่าไปหลงใหล จะกลายเป็นคนประเภทปัญญาอ่อนไป มาวัดชลประทานบ่อยๆ แล้วก็ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา อย่าหลง มีพวกวัดป่านานาชาติ ญาติโยมนี่ไปที่ร้อยเอ็ด ที่นั่นมีหลวงพ่อองค์หนึ่งมีชื่อ สร้างศาลาเสาตั้งร้อยกว่าต้น พอไปถึงนั่นก็พรมน้ำมนต์ พวกนั้นลุกขึ้นหมดเลย พวกไปจากวัดป่านานาชาติลุกขึ้นหนีหมดเลย ไม่ให้พรมน้ำมนต์ให้ การลุกขึ้นหนีนั้นเพื่อเป็นการคัดค้านว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่กลัวน้ำจะถูกตัวอะไร แต่บอกว่าเป็นพระมีชื่อเสียงแต่ว่าทำสิ่งไม่ถูกต้อง เขาลุกขึ้นเลย แสดงว่าเขามีปัญญาพวกนั้น ได้รับฟังสิ่งถูกต้องมาพอสมควร เลยไม่ไปรับสิ่งซึ่งไม่ควรจะรับ ทีนี้เราใครเขาเล่าลืออะไร เดี๋ยวนี้มีเยอะเมืองไทย มีอะไรอีกแห่งเขาเรียกว่า …… (58.42) พวกสอนกรรมฐานนี่แหละแต่ว่าคิดเงินนะไปเรียนทีหนึ่งเสีย ๕,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ อะไรไปเรียนนะ คนไทยก็ตื่นเต้น ตามวัดสอนอยู่นี่ไม่มานะ คนพวกหนึ่งมันมีอยู่คนพวกนั้น เขาเรียกว่าเห่อของต่างประเทศ ถ้าอะไรมาจากต่างประเทศละแหมสนใจ ต้องไป ของญี่ปุ่นบ้าง ของฝรั่งบ้าง ความจริงพระพุทธเจ้าสอนไว้มากมาย แม้ถ้าเราสนใจมาปฏิบัติจริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่ต้องไปเที่ยวหาอย่างนั้น ไม่ต้องเสียเงินมากมายอย่างนั้น มาศึกษาได้ตามวัดต่างๆ ที่เขาสอนกันอยู่ทั่วๆ ไปก็ได้ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เอามาคุยสู่กันฟังนิดหน่อย ว่าไปได้พบได้เห็นอะไรมาน่าชอบใจน่าเลื่อมใสอย่างไร
อาตมาชอบพวกพระฝรั่งที่เขามาอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง เพราะอย่างนั้นจึงให้การสนับสนุน เวลาไปอยู่นี่เขาก็สบายใจ เขาบอกหลวงพ่อ ทานเจ้าคุณมาอยู่พวกผมสบายใจมาก อบอุ่น แล้วก็อยากจะให้พักนานๆ แต่บอกไม่ได้ มีธุระจะต้องกลับ ก็กลับมา และบอกว่าวันหน้ามีเวลาก็นิมนต์มาอีก ว่าอย่างนั้น มาแล้วเขาสบายใจ แล้วพระทุกรูปนี่เอาใจใส่ เมื่อไปพักอยู่นี่เอาใจใส่ ไปเดินมาปวดแข้งปวดขา มานวดกันเป็นงานใหญ่ นวดแบบฝรั่งนะ มีพระองค์หนึ่งแกเรียนสำเร็จวิชาหมอนวด แต่ไม่ใช่นวดตามอาบอบนวดอย่างนั้นไม่ใช่ เอาน้ำมันมาทาแล้วก็มานวด นวดขานวดแข้งให้แก้เมื่อย ไม่เหมือนหมอไทยนวด หมอไทยนวดอาตมาทีไรพอนวดทีแล้วก็เจ็บไป ๓ วัน หมอไทยนี่บอก อู้ยๆ ไม่ไหวแล้ว เจ็บไป ๓ วัน นอนเมื่อยไป ๓ วัน ของฝรั่งเขานวดค่อยๆ เขานิดๆ หน่อยๆ ทาน้ำมันนวดกล้าม ท่านก็มานวดให้ แต่ว่าทำอะไรก็มารับใช้ใกล้ชิด ตื่นเช้านี่มาแล้ว เอาน้ำมาให้ล้างหน้า อะไรต่ออะไร เอาใจใส่ เอาใจใส่ดีมาก เวลาฉันเวลาทำอะไร ไปไหนนี่พอจะลุกขึ้นจะห่มจีวรไปหยิบมาห่มให้ ใส่ลูกกระดุมให้ อาตมาไปจีวรมันไม่มีลูกกระดุม ไม่ใช่ผืนนี้ ผืนนี้ก็ไม่มีเหมือนกัรละตรงนี้ ความจริงต้องมี ไม่มี พระองค์นั้นเป็นเยอรมัน บอกว่า จีวรหลวงพ่อไม่มีลูกขะดุม ผมจะเอาไปเย็บใหม่ ก็เอาไปเย็บให้เลย เย็บใส่ลูกกระดุมให้ บอกว่าไม่ต้องช่ออย่างนี้ อันนี้ไม่มีลูกกระดุมก็ต้องช่อไว้ เอาชายสองชายมาช่อ ดูมันไม่สวย ท่านเลยเอาไปทำให้ ทำให้เรียบร้อย ทำให้ดี เขาเอาใจใส่ จะไปไหนจะเดินรองเท้าก็หยิบมาวางไว้หน้าห้องจะได้ใส่สะดวก กลับมาถึงก็ไปรับย่ามรับอะไร เข้าใจ เป็นพระที่เรียบร้อยน่าเอ็นดูน่ารัก อาตมานี่ไปแล้วมันก็ถูกเสน่ห์พระพวกนั้นเสียแล้วเวลานี้ ไปมาอังกฤษก็เหมือนกันละ ไปอยู่ …… (60.02) กับพระพวกท่านสุเมโธนี่ ก็ไปถูกเสน่ห์พวกนั้นเสียแล้ว คือไปดูแล้วเขาเรียบร้อยน่านับถือ
พอดีกับเวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ของเชิญญาติโยมนั่งพักใจสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที