แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ค่อนข้างจะแฉะไปสักหน่อย เพราะว่าฝนตกมากหลายวันมาแล้วตกทั่ว ๆ ไป ทางปักษ์ใต้ก็ฝนตกเหมือนกัน ที่พัทลุงอาตมาไปที่นั่นก็ตกมาก น้ำเจิ่งไปเลย แต่พอเดินทางมาทุ่งสง ระหว่างทุ่งสงกับพัทลุงมีอยู่ตอนหนึ่งแห้งผาดเลย ไม่มีน้ำสักหยดเดียว ต้นกล้าที่หว่านไว้แดงไปหมด ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คนโบราณเขาจึงพูดว่า ฝนตกไม่ทั่วฟ้า ตกทั่วไม่ได้ มันตกสุดแล้วแต่เมฆอยู่ตรงไหนมันก็ตกลงตรงนั้น แต่พอถึงตัวอำเภอทุ่งสง อ้าว! ฝนตกอีกชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ มันมีแห้งอยู่ตรงกลางเท่านั้นเอง เมื่อวานนี้กลับมามาเรือบินแต่ว่าขลุกขลักหน่อย แต่ว่าลำที่อาตมา มาไม่เป็นไร มาได้เรียบร้อยแต่มีเรือบินลำหนึ่งเขาจะพาคนไปสิงคโปร์ ไปถึงหาดใหญ่แล้ว ขึ้นแล้ว แต่ขึ้นไปได้สักสิบนาที เครื่องยนต์ข้างหนึ่งมันไม่ทำงานขึ้นมาเลยประคับประคองย้อนลงได้เรียบร้อยไม่เสียหาย ทิ้งคนไว้ที่นั่นหลายชั่วโมง เวลาเย็นถึงพาคนไปสิงคโปร์ได้ และก็กลับมาพาคนมากรุงเทพต่อไป อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา คนที่โดยสารเรือบอกแย่จริง แย่จริง บอกว่ามันไม่แย่หรอก มันลงได้มันไม่แย่ ถ้าเสียแล้วลงไม่ได้สิจะแย่ นี่ลงมาเดินพูดว่าแย่ได้มันยังไม่แย่ ถ้ามันหล่นลงมาจริง ๆ มันก็พูดแย่ไม่ได้ คือไม่มีปากจะพูดต่อไป มันก็ยังดีอยู่ ก็เลยบอกให้ฟังว่ามันเรื่องธรรมดา คนเราไปไหนมาไหนจะสะดวกร้อยเปอร์เซ็นต์นี้ไม่มี มันต้องมีขัดข้องบ้างเป็นธรรมดา ไปรถยนต์ก็มีเสียกลางทางกันบ่อย ๆ ไปเรือก็เครื่องไม่ติดบ่อย ๆ เหมือนกัน
เรือบินมันก็มีบ้างเครื่องเสียบ้างแต่ว่าดีที่มันเสียใกล้สนามเอาลงได้เรียบร้อยไม่ถึงกับว่าเสียหาย เลยถามนักบินว่ามันเสียอย่างไร มันไม่ทำงานนะแต่ว่าอยู่เครื่องเดียวก็ชะลอลงได้ไม่เป็นไร แต่ว่าไอ้เครื่องนั้นต้องยกออก รถบรรทุกเครื่องยนต์ไปเปลี่ยนเดินทางกลางคืน ไปถึงหาดใหญ่ก็คงเช้ามืดวันนี้ แล้วทำการเอาเครื่องเปลี่ยน เอาเครื่องเก่าขึ้นรถกลับมากรุงเทพเปลี่ยนเสร็จแล้วก็บินต่อไปมันก็ไปได้ ไม่เป็นไร ยังเรียบร้อยดี คนยังไปยังมาได้ นาน ๆ เรือบินจะเสียสักที รถยนต์ชนกัน วันหนึ่งไม่รู้สักกี่คัน อุบัติเหตุทางอากาศนี้เปอร์เซ็นต์มันน้อย แต่ว่าเกิดทีไรมันดังทั้งโลกไปเลย เรือบินตกที่นั่นคนตายเท่านั้น แต่ถ้าคิดเทียบส่วนกับรถยนต์ชนคนตายมากกว่า คนตายกับรถยนต์มาก ตายกับมอเตอร์ไซต์มาก แล้วตายที่นอนอยู่ในบ้านนี้ก็มากกว่าพวกไหน ๆ คิดดูอีกให้ดีเถอะ อย่างนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา เราจะไปไหนก็ไปตามหน้าที่ อย่าไปกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ให้เป็นประสาทไปปล่าว ๆ นั่งไปเรื่อย ๆถ้ามันจะตกก็ให้มันตกลงไปถ้าจะตกก็นึกว่า เอ้อ! ดีเหมือนกันตายง่ายดีไม่ต้องลำบาก สมมติว่าตกลงในทะเลตายเรียบร้อยสะดวกสบายดี บางทีก็จะได้ให้ทานเนื้อแก่ปลาฉลามบ้างก็ได้ นึกในใจอย่างนั้นแล้วก็นั่งยิ้ม ๆไป ตายด้วยอารมณ์ยิ้มมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร อย่าตายด้วยความกลุ้มใจ ไม่ว่าอะไรเราก็ต้องคิดในแง่ดีไว้ด้วย และเมื่อมันจะเป็นก็ต้องยอมให้มันเป็นเมื่อมันจะเป็นก็ต้องรับมันเสียด้วยความชื่นใจ อย่าไปปฏิเสธสิ่งที่มันจะต้องรับเราก็สบายใจไม่มีอารมณ์เป็นทุกข์เดือดร้อน ถ้ามาคุยกับพวกเหล่านั้น ทุกคนบอกธรรมดาไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร รอไปหน่อย บางคนคอยกันแย่ บอกว่าไม่แย่หรอก คอยไปเรื่อย ๆ อย่าไปนึกว่าคอยก็แล้วกันนั่งมันเฉย ๆสงบจิตสงบใจเสียบ้าง นี่มันเรื่องคนไม่ค่อยเข้าวัด นี่มันลำบากอย่างนี้ จิตใจมันรับไม่ได้เพราะไม่ได้เรียนธรรมะไว้ ถ้าเราได้เรียนธรรมะไว้ละก็ ปลอบใจตัวเองได้ค่อยสบายหน่อย
เมื่อคืนขณะที่นั่งรอเรือบินอยู่เนี่ย ไปนั่งใกล้กับฝรั่งหนุ่ม ๆคนหนึ่ง เป็นชาวอเมริกันมาจากซานฟรานซิสโก พอนั่งลงเขาก็ถามละ ถามว่า How are you? ก็บอกว่าสบายดี ขอบใจ แล้วก็คุยกัน เขาก็เรียกว่าเป็นคนที่สนใจในเรื่องสมาธิเหมือนกัน เขาถามว่า เคยอ่านหนังสือเจ้าของปตัญชลีไหม? ว่าอย่างนั้น คือ ปตัญชลีนี้เป็นโยคีมหามุนี เขาเรียกมหามุนีปตัญชลี แต่งหนังสือเกี่ยวกับโยคะ โยคะของปตัญชลีนี้ก็คือเรื่องการทำสมาธินั่นเอง สอนให้ทำสมาธิตามแบบฮินดูแต่ว่าเหมือน ๆกันกับของพระพุทธเจ้าในเรื่องการทำสมาธิ เขาถามว่าเคยอ่านหรือเปล่า? เราบอกว่าเคยอ่านในภาษาไทย ไม่ได้อ่านในภาษาดั้งเดิมหรือภาษาสันสกฤต เขาบอกว่าเขาอ่านในภาษาอังกฤษ คนแปลออกไป ถามว่าอ่านแล้วเป็นอย่างไร? เขาบอกว่าดี แล้วได้ทำอะไรบ้าง อ่านแล้ว? เขาก็บอกว่าลองไปนั่งฝึกเหมือนกัน นั่งฝึกภาวนา แล้วรู้สึกอย่างไร? ถามเขา “เขาบอกสบายดี จิตใจมันสงบไม่วุ่นวาย” ทีนี้เขาถามอาตมาบ้างว่า เป็นพระมากี่ปีแล้ว? เขาถามว่าอย่างนั้น บอกว่าเป็นมาตั้งแต่โน่น อายุ ๑๘ เดี๋ยวนี้ ๗๔ ปีแล้ว เขาบอกว่า แหม! เป็นนานเหลือเกิน เขาถามว่าได้อะไรบ้าง? ว่างั้น ต่างคนก็ต่างถามฟังภาษามันทื่อๆอย่างนั้น บอกว่าได้อะไรบ้าง ก็ได้ความสุขใจสบายใจ ไม่มีความทุกข์ใจในเมื่ออะไร อะไรเกิดขึ้น แล้วเขาบอกว่าจุดหมายที่ต้องการจะอยู่เท่านี้หรือ? บอกว่ามันก็อันนี้ล่ะที่สำคัญคนเรานี้มันเกิดมาต้องการอะไร ก็ต้องการความสุขที่แท้ อันนี้เราปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็ได้ความสุขที่แท้มันก็พอแล้ว จิตใจไม่วุ่นวายไม่สับสน ไม่ต้องนอนแบบพลิกไปพลิกมาก็นอนไม่หลับ ไม่ต้องเป็นโรคทางประสาทมันก็ดีแล้ว เลยถามเขาว่า แล้วนี่เรียนสำเร็จอะไร? เขาบอกว่าเขานี่เรียนเรื่องฝังเข็ม ว่าอย่างนั้น เรียนฝังเข็ม ถามว่าเรียนจากใคร? ฝังเข็ม เรียนจากหมอจีน เพราะในซานฟรานซิสโกนี่มีคนจีนเยอะ และก็มีหมอฝังเข็มที่มีชื่อ เขาก็ไปเรียนเรื่องอย่างนั้น เขาถามว่า ท่านเคยฝังเข็มหรือเปล่า? ตอบว่ายังไม่เคย นึกเสียว ๆ นึกกลัว ๆ เอาเข็มแทงเข้าไปในตัวชักจะกลัว เหมือนกลัวฉีดยา เขาบอกว่าไม่เป็นไรหรอก เข้าไปแล้วมันก็ไม่เจ็บอะไร มันเจ็บที่ผิวหนังนิดหน่อย เหมือนกับมดกัดอะไรอย่างนั้น แต่ฝังแล้วมันก็ดี แล้วก็บอกว่าเมืองไทยมีหมอฝังเข็มไหม? บอก มี กรุงเทพมีเยอะแยะ เขาฝังกันอยู่ ถามต่อว่าเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยนี่กินยาอะไร? เฮอะ! ฝรั่งนี่มันถามมากนะ (เสียงหัวเราะ) ถามว่ากินยาอะไร บอกว่าก็กินยาที่โรงพยาบาลนั่น ที่หมอเขาจัดให้ บอกว่ายาสมัยใหม่นี่ไม่ดีนะฝรั่งหัวเก่านะคนนี้ รูปร่างมันไม่แก่ แต่มันหัวเก่าหน่อย บอกว่าสู้ยาเครื่องสมุนไพรแบบโบราณไม่ได้ ว่าอย่างนั้น บอกว่า คุณน่ะเวลาป่วยกินอะไร? ก็กินยานี้เหมือนกัน ยังไม่ได้กินยาสมุนไพร
แต่เชื่อว่าสมุนไพรนี่มันน่าจะดี ว่าอย่างนั้น เพราะมันเป็นพืช เป็นผัก เป็นต้นไม้ ที่เราเก็บมาจากธรรมชาติเอามากินเข้าไป ปรุงแต่งให้ร่างกายเป็นปกติ เลยถามเขาว่ามาเมืองไทยนานไหม? ก็เดือนเดียว บอกมาน้อยไป ไม่ได้ไปเที่ยววัด ถ้ามานาน ๆ หน่อยไปเที่ยวตามวัดบ้าง ก็เลยแนะนำว่าควรจะไปวัดที่ในป่าเงียบ ๆเพื่อไปศึกษาธรรมะอะไรบ้าง แล้วก็เล่าให้เขาฟังว่าพวกฝรั่งนี่มาเมืองไทยชอบไปอาบแดด ไปเกาะสมุย อาบแดดกัน ทีนี้พระท่านไปเห็นฝรั่งนอนอาบแดดก็สงสาร ว่ามาได้แต่แสงแดดไปไม่ได้เรื่องอะไร เลยประกาศโฆษณาว่าใครอยากจะได้แสงวิเศษกว่าแดดบ้าง ฝรั่งมาติดต่อ และก็มาปฏิบัติกรรมฐานสิบวัน หลายชุดแล้ว เขาบอก เอ้อ ดี ดี ทำให้พวกชาวตะวันตกได้สนใจในเรื่องข้างในเสียบ้าง เพราะว่าโดยมากแล้วมาสนใจแต่เรื่องข้างนอก อาตมาเลยบอกว่ามันบ้าไปจนถึงโลกพระจันทร์แล้วเวลานี้ พวกอเมริกาน่ะ แกหัวเราะ แหะ แหะ แล้วว่ามันไม่ได้เรื่องอะไรเหรอ? ไปแล้วมันก็เท่านั้นล่ะ ได้หินมา สอง สามก้อน เอามาตั้งอวดไว้ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนพ้นจากความทุกข์ได้เลย เฮอะ! มันคุยเข้าทีฝรั่งหนุ่มคนนี้ เรียกว่ารู้สึกนึกคิดในด้านจิตใจ มีความคิดถูกต้อง แต่ก็นั่งกันคุยพอสมควรก็อาตมาออกไปเดินข้างนอก รอคนที่เขาจะเอาตั๋วมาให้ แต่ก็มาเที่ยวเดียวกัน เรือลำเดียวกันกับเมื่อคืน แต่นั่งไกลกัน ไม่ได้คุยกันในเรือบิน และก็บอกว่าอยู่วัดนี้นะ ถ้าอยู่กรุงเทพก็มาเที่ยวได้ ก็คุยกันเท่านั้น แล้วก็ขึ้นเรือบินมา เรียบร้อย ถ้าไม่เรียบร้อยก็ไม่ได้มาเทศน์วันนี้ เท่านั้นเอง เป็นอย่างนั้น
การเดินทางมันก็อย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา เดินทางไปปักษ์ใต้คราวนี้ก็ไปแสดงธรรมในงานพระราชทานเพลิงศพบุคคลผู้หนึ่ง ความจริงบุคคลผู้นี้ก็เมื่อก่อนนี้ก็เป็นมโนห์รา แต่ว่าเป็นโนราชั้นหนึ่งของเมืองพัทลุง เป็นโนราที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีอบายมุขในตัวแกเลยตั้งแต่หนุ่มจนแก่ โนราคนนี้ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เจ้าชู้ แล้วก็ไม่เหลวไหลด้วยประการทั้งปวง สมัยเป็นโนรานี่รูปแกหล่อ ขาวสวย ใคร ๆก็เรียกว่า พุ่มเทวาทั้งนั้น เวลารำแล้วสวยจนชาวบ้านให้ฉายาว่า พุ่มเทวา เหมือนกับเทวดาลอยลงมาจากฟ้า เวลารำ อ่อนช้อย นุ่มนวล รูปร่างดี แต่ว่าแกไม่ได้ใช้รูปร่างดีไปในทางชั่วทางต่ำ ดูเรียบร้อย ฝึกหัดมโนห์รา รวมทั้งหมดมันแปดปี ฝึกหัดไม่ใช่เล็กน้อย หัดขั้นแรก สองปี แต่ยังไม่พอใจ บอกว่าวิชามันยังน้อยไป เลยไปหัดกับโนราโรงหนึ่ง ชื่อ ลูกปู (12.30) คือ ชื่อโนราคนนั้นชื่อไข่ปู แต่ชาวบ้านเรียกว่าโนราลูกปู แกไปหัดอยู่อีก หกปี จึงได้พอใจในวิชาที่หัด แล้วออกโรงแสดงตามที่ต่าง ๆ แข่งกันที่ไหน แกชนะตลอดเวลา รำดี แม่ยกนี่มากมาย แม่ยกคือแม่ที่ชอบอกชอบใจแล้วก็เรียกว่าเป็นแม่ยกมากมายก่ายกอง ผู้หญิงสาว ๆ แม่ม่ายก็ชอบแก เข้าไปกะลิ้มกะเหลี่ย บางทีแกนอนอยู่ในห้องมุดเข้าไปถึงในห้องเลย แต่แกไม่เคยเสียตัวแกเลยแม้แต่น้อย คนมันดีอย่างนี้ ดี แล้วก็ต่อมา ท่าน …ที่เป็นอาจารย์… (13.20) ว่า พุ่มเอ๊ย! 9 มัวแต่เต้นกินรำกินอยู่อย่างนี้ มันตั้งตัวไม่ได้ แกก็เลิกทันที แล้วก็ไปแต่งงาน แต่งงานแล้วก็เหมือนมาทำสวนยาง ทำนา สร้างเนื้อสร้างตัว ก็เป็นคนสร้างตัวได้ในฐานะที่ดีคนหนึ่งในตำบลนั้น จนเขาให้เป็นกำนัน และได้เป็นขุนอุปถัมภ์นรากร ต่อเมื่อแก่ ชื่อมันดังเมื่อแก่ คือเมื่อในหลวงเสด็จประพาสปักษ์ใต้ เขาก็ต้องอวดศิลปะปักษ์ใต้ ก็เอาแกมารำต่อเฉพาะพระพักตร์ของในหลวง วันนั้นฝนตกใหญ่ แกก็รำไปตามเรื่องของแก กว่าจะรำได้ซ้อมกันหลายเดียว ซึ่งมันก็นานแล้ว อายุก็มากแล้ว แต่ก็รำได้ ต่อมาวิทยาลัยครูก็ต้องการส่งเสริมศิลปะท้องถิ่น ก็เอาแกไปเป็นครูสอนลูกศิษย์ สอนอยู่หลายชุดจนลูกศิษย์เก่ง นักเรียนนี่รำได้ดี ออกโรงได้ ครูเขาก็เลยขอให้เป็นกิตติมศักดิ์ทางปริญญา ปริญญาตรีคุรุศาสตร์กิตติมศักดิ์ มีชื่อมีเสียง แล้วเอามาแสดงที่สังคีตศาลา กรมศิลปากร ออกโทรทัศน์ ไปรำถวายในหลวงที่ในวังสวนจิตร ในหลวงพอพระทัย ประทานเข็ม ภ.ป.ร. ให้ ก็อยู่มาได้จนอายุ ๙o กว่า แล้วก็ถึงแก่กรรม ไม่ค่อยมีรูป (14.56) อะไรหรอกแกเรียบร้อย เข้าวัดเข้าวา ถือศีล ปฏิบัติ วิปัสสนา อาตมาไปก็พบกันบ่อย ๆแล้วก็เป็นคนเชื่อถูกทาง
เคยถามแกว่า เวลาลงแข่งทีไร ผ้ายันต์ (15.13) ผ้ายันต์แขวนทุกทิศทุกทางแขวนไว้ทำไม? แกบอกว่าคนทั่วไปเขาเชื่ออย่างนั้น ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นมันจูงใจคนไม่ได้ มันเป็นเรื่องเพื่อจูงใจคน ผมก็ไม่ได้เชื่อว่ายันต์ทั้งหลายมันจะช่วยผมได้ ช่วยผมได้เพราะผมรำดีเท่านั้นเอง เพราะว่าผูกไว้มันรุงรังไปอย่างนั้น ให้คนมาเห็นว่าโรงนี้ โอ้ เครื่องมากจูงใจ แล้วเวลาปูเสื่อ ก็เมื่อก่อนเขารำบนดินนะมโนห์รา ไม่ได้ยกโรงสูงเป็นเวที รำบนดินคนก็นั่งดูกัน มีพนักกั้นรอบ เอาเสื่อทำด้วยต้น … (15.51) มาปู เวลาปูเสื่อก็มีหมอ (15.55) รองเอาไม้สี่อันมาตอกที่มุมเสื่อ ก่อนจะตอกก็ต้องยกมือประนมไหว้คาถา ตอก ภาวนา ตอก ตอก ถามว่า เขาว่าอะไร? เรื่องของหมอ จุดหมายเอาหมุดตอกเพื่อไม่ให้เสื่อมันลื่นเท่านั้นเอง เพราะเวลารำเท้ามันเขี่ยไปตามเสื่อ ให้มันมั่นคง มันไม่เลื่อน เท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่นี่เคยเห็นว่า เด็ก ๆว่าเวลาแข่งทีไรนี่เอาหม้อดินใส่น้ำ ใส่น้ำเต็มเอาผ้าขาวหุ้ม พอผ้าขาวหุ้มแล้วก็คว่ำหม้อไว้อย่างนี้ ห้อยไว้บนเพดาน ห้อยไว้ น้ำมันไม่ไหลลงมาเลย ก็อากาศมันไม่ได้เข้าทางก้น ดูอย่างนั้นมันก็ไม่ไหล โดยหลักวิทยาศาสตร์มันก็ไม่ไหลแต่ชาวบ้านไม่รู้ ทำไมอยู่ได้ ในหม้อคว่ำน้ำมันยังอยู่ได้ เพราะอะไร แล้วชาวบ้านเชื่อว่า ไอ้นี่ล่ะ ตัวผีใหญ่ ผีประจำโรงมโนห์รา เขาเรียกว่า ผีชิน แล้วมโนห์ราพอรำ ๆก็ขึ้นยืนบนพนักทำด้วยไม้ไผ่กลม ๆ เสาสองต้น โดยโนรามันมีหางโผล่ด้วย นั่งเก้าอี้ไม่ได้ มันติดหางของมัน อันนี้ต้องนั่งบนไม้กลม ๆ พอรำ ๆขึ้นไปยืนบนไม้นั้นก็เอาปากดูดน้ำไป พอปากดูดน้ำไป พอปากดูน้ำแล้ว คนก็ว่าใช่ผีแล้ว ใช่ผีแล้ว ให้ (17.21) ความคิดของชาวบ้านมันเป็นอย่างนั้น เป็นไสยศาสตร์ แกบอกว่าก็ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ขึ้นไปดูดน้ำกินให้มันชุ่มคอหน่อยเท่านั้นเอง เพราะว่ารำมากคอมันก็แห้ง เหงื่อมันก็ไหล ก็ไปดูดน้ำกินเท่านั้นเอง แกไม่ได้เชื่อเรื่องเหลวไหลตามที่เขาทำกัน แกเชื่อถูกต้อง แล้วแกบอกว่าเขาว่าคนเคยเป็นมโนห์รา พ่อแกเป็นมโนห์ราเหมือนกัน และแกก็เป็น ความจริงพ่อไม่อยากให้ลูกเป็นมโนห์รา อยากให้เรียนหนังสือ ส่งไปกับพระไปเรียนที่ในเมืองลำปำสมัยนั้น แต่ว่าพอไปเรียนได้นิดหน่อย พระท่านมากรุงเทพซะ แกก็เลยกลับบ้าน พอกลับบ้าน เชื้อมโนห์รามันเข้าสิง ก็เลยไปหัดมโนห์ราเสียเลย พ่อไม่อยากให้เรียนอยากให้เป็นข้าราชการมากกว่า แต่เมื่อมาเป็นกันแล้วก็ต้องเป็นไป
อันนี้พอถามแกว่าเขาบอกว่าพวกเชื่อมโนห์รานี่ถ้าไม่รำเนี่ยไม่ได้ ครูมันจะเข้าสิงทำให้ไม่ดี เป็น … (18.25) อะไรบ้าง เขาว่ากันอย่างนั้น แกบอกว่า มันเหลวไหลทั้งนั้นล่ะครับ ท่านเจ้าคุณ มันเรื่องไม่จริงอะไรหรอก ผมนี่ ปู่ผมก็เป็นมโนห์รา พ่อก็เป็นมโนห์รา ผมเป็น ลูกผมไม่ให้เป็นเลย ให้มันเรียนหนังสือหมด ไปทำงานเป็นข้าราชการแล้วไม่เป็นสักคนเดียว ก็ไม่มีใครปวดเมื่อย หรือเป็นโรคอะไร อันนี้มันอยู่กับการรู้จักรักษาอนามัย มันไม่ใช่ครูหมอโนราเข้าสิงเข้าสู่อะไรหรอก มันเป็นความเชื่อเก่าแก่ ลองคุยกันไปอย่างนั้น ก็ได้ทราบว่าเป็นคนมีความเชื่อถูก ตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เขวออกนอกลู่นอกทาง ไม่ได้เชื่อไปในรูปไสยศาสตร์เลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นแกจึงไม่มีอะไร ตั้งใจทำมาหากินทำหน้าที่กำนันเรียบร้อย ทีหลังมาดังเอาตอนแก่ ตอนนั้นเมื่อสิ้นบุญก็ แหม! มีคนมารดน้ำมากมายถึงกับได้ขอพระราชทานเพลิงต่อพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะให้ในหลวงเสด็จ …(19.32)… แต่ว่าให้เจ้าฟ้าชายเสด็จไป อาตมาก็ไปเทศน์สองครั้ง กลางคืน กลางวัน กลางวันนี่ฝนมันครึ้มเหลือเกิน ฝนทำท่าจะตกใหญ่ เมฆดำ อาตมาก็ต้องแผลงฤทธิ์ซะหน่อย เรียกว่าทำท่าซะหน่อย พอขึ้นไปยืนบนเวที ไปยกมือทำท่าให้กลัวซะหน่อย แล้วก็บอกว่า ฝนฟ้าอย่ามาตกแถวนี้นะ แถวนี้เขากำลังจะทำการดีการงามกัน ให้ไปตกที่อื่นอย่ามาตกที่นี่ ให้งานเสร็จก่อนจึงค่อยตก แล้วก็บอกญาติโยมว่าให้นึกเหมือนกัน ๆ นะ ให้นึกว่าฝนไม่ตกก็แล้วกัน แล้วก็ไม่ตกนะ เจ้าฟ้าชายก็เสด็จมา ประทับเรียบร้อย อาตมาเทศน์ก่อนหนึ่งชั่วโมง เจ้าฟ้าชายเสด็จถึงบ่ายสองยี่สิบ ฝนก็ไม่ตก แล้วเขาก็เอานักเรียน นักศึกษาโนราตั้งร้อย เอามารำในสนามให้เจ้าชายดู เสร็จแล้วขึ้นพระราชทานเพลิง คนขึ้นเรียบร้อย เจ้าชายเสด็จกลับ ฝนก็ไม่ตกตลอด
อ แต่ว่าพอเจ้าชายเสด็จกลับ อาตมาลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปกุฏิ อีกสักสิบเมตรจะถึงกุฏิแล้ว ฝนเทจั๊ก ๆลงมา บอกว่าไม่ว่าอะไร ตกตอนนี้ไม่ว่าดีแล้ว ดีแล้ว ตกไป ตกไป พูดดัง ๆ ว่า เอ้อ! ตกตอนนี้ไม่ว่าฉันเสร็จธุระเข้ากุฏิแล้วไม่เป็นไร แต่ว่าพอกลับมาถึงในเมืองนี่ พวกในเมืองบอกว่า แหม! มันตกแรงจริง ๆ วันนี้ คือไม่ได้ตกที่อำเภอควนขนุน มันดันตกอยู่ในเมือง ตกใหญ่เลย เลื่อนมาตกห่างกันประมาณสักยี่สิบกิโลเท่านั้นเอง งานก็เรียบร้อยไป ชาวบ้านก็นึกว่าเจ้าคุณปัญญานี่เก่ง ขอฝนได้ ว่าอย่างนั้น ห้ามฝนได้ ขอนี่ไม่ค่อยได้ แต่ห้ามได้ ถ้าขอได้ก็มีนิมนต์ไปภาคโน้น ภาคนี้ ไปขอฝนก็แย่เลย ขอไม่ตกก็เสียชื่อเท่านั้นเอง ห้ามได้ ไม่ใช่ว่าห้ามอะไร เสี่ยงไปอย่างนั้นเอง ธรรมชาติมันช่วย ไม่ใช่ด้วยอะไร แต่ว่ามันก็เป็นบ่อย ๆ เหมือนกันนะ เคยขอหลายครั้งหลายหน ว่าอย่าตกตรงนี้ เขาแสดงธรรมกันให้ไปตกที่อื่น ก็ไม่ตก แต่พอเก็บของขึ้นรถสตาร์ท รถออกจากบริเวณนั้น มันเทลงมาเหมือนกับอั้นไว้อย่างนั้น จั๊ก ๆๆ ลงมาเลยทีเดียว ตั้งแต่แสดงธรรมมานี้หลายครั้งหลายหนแล้ว เป็นอย่างนั้น นี่ถ้าเป็นคนโบราณเขาว่าปาฏิหาริย์แล้วนะ เขาอาจจะเอาทองมาปิดหัวแม่เท้าแล้วก็ได้ กลายเป็นท่านขลังไว้ก็ได้ แต่ว่าไม่มีอย่างนี้ เพราะไม่ได้สอนให้ขลังอย่างนั้น แต่มันเป็นไป และก็เรื่องความงามความดี บารมีที่เราสร้างนั่นเอง เหมือนกับในหลวง ท่านเสด็จไปไหนมาไหน บางทีก่อนเสด็จฝนตกอย่างกับอะไรดี พออีกสักห้านาที สิบนาทีก่อนจะเสด็จ เรียบ แห้ง ฝนไม่ตก แต่ท้องฟ้าครึ้มร่มสบาย คนก็ไม่ร้อน บ่อยที่สุด เป็นบารมีของท่าน อันนี้เป็นบารมี เพราะว่าคนเกิดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่คนธรรมดา ได้บำเพ็ญบารมีมาพอสมควร แล้วท่านก็ทรงศีลทรงธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็มีบุญว่าอย่างนั้นเถอะ คนมีบุญก็ไปไหนมันก็สบาย ไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องอย่างนี้มันก็มีเหมือนกัน เขาเรียกว่าบุญบารมี เพราะฉะนั้น เราทำบุญทำบุญไว้ เวลาที่ตกอับได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน บุญก็จะได้ช่วย แต่ถ้าเราไม่ทำไว้จะเอาอะไรมาช่วย จะอฐิษฐาน ใจก็ไม่รู้จะอฐิษฐานว่าอย่างไร เพราะไม่ได้ทำไว้ แต่ถ้าเราได้ให้ทาน ได้รักษาศีล ได้ทำสิ่งนั้น ได้ทำสิ่งนี้ บุญมันก็ช่วยทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นเหมือนกัน
เมื่อวานนี้ก็มาที่อำเภอทุ่งสง โรงพยาบาลเขาทอดผ้าป่ากัน หมอนี้หมอที่ทุ่งสงนี้ชื่อหมอนุ่น แกเป็นหมอชั้นดี ได้รับรางวัลเรียกว่าเป็นหมอดีของปี ๒๕๒๖ แกได้รับรางวัลเป็นหมอดี เพราะแกเข้าถึงประชาชน เอาใจใส่ต่อชาวบ้านที่มีโรคภัยไข้เจ็บ แล้วไม่ได้เป็นหมออยู่โรงพยาบาล ออกไปตามหมู่บ้าน ตามชนบท ไปสอนประชาชนให้กินอย่างไร อยู่อย่างไร เรื่องน้ำเรื่องท่า เรื่องใช้หยูกใช้ยา ไปพูดไปสอนชี้แจงให้คนเข้าใจ ไปตามวัดตามวาแจกหยูกแจกยามาก แจกหนังสือให้ความรู้คนก็พอใจรักใคร่คุณหมอนี้ กิจการโรงพยาบาลก็เจริญขึ้นพอสมควร แม้เป็นโรงพยาบาลอำเภอ แต่ว่าคนไข้มาก เท่า ๆกับโรงพยาบาลจังหวัด สถานที่มันยังไม่กว้างขวาง และในอำเภอนั้นก็คิดทอดผ้าป่าทุกปี ผลัดกันเป็นประธาน และก็บอกชาวบ้านในเขตวัดต่าง ๆ มาช่วยกันทอดผ้าป่า ปีนี้เขาก็นิมนต์อาตมาให้ไปแสดงธรรม อาตมาก็เลยไปเพราะว่าอยากพบคุณหมอคนนี้ ว่าแกเป็นคนดีอยากจะไปช่วย ใครทำดีควรจะไปสนับสนุนให้กำลังใจก็เลยไปแสดงธรรมเมื่อวาน แต่ว่าก็จากที่แสดงมันไม่เหมาะ ถนนมันอยู่ตรงนี้จากจุดตรงนี้ไอ้พวกมอเตอร์ไซต์พวกนั้นมันฟืดฟาด ฟืดฟาด ฟอดแฟดอะไร เอ? ไม่ได้ความแล้วจัดตรงนี้ ปีหน้าถ้าจะจัดแล้วขอขยับไปในวัดเถอะ เพราะความจริงมันอยู่ใกล้วัดเพียงห้าร้อยเมตรเท่านั้น โรงพยาบาลไปวัด ไปจัดในศาลาดีกว่ามันเงียบสบายดี ฝากความคิดไว้กับคุณหมอ ถ้าปีหน้าไม่เอาตรงนี้มันหนวกหูนัก ไอ้พวกรถมันไม่เกรงใจ คนไทยเรามันไม่ค่อยมีความคิดเกรงใจคน เป็นอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่าคนอื่นเขาจะรำคาญอะไร อะไร เบาเครื่องสักหน่อย หรืออย่าบีบแตร ป๊อดแป๊ด อะไรในบริเวณนั้นก็ได้ แต่มันไม่มีความเกรงใจคน ก็เลยแสดงไปหนึ่งชั่วโมงได้เงินทั้งหมดเจ็ดหมื่นกว่าบาท เขาก็เอามาถวายเป็นค่าเดินทาง บอกไม่ต้อง ตั๋วมีแล้ว ไม่ต้องให้ก็ได้ แต่ก็ไม่เอา เรียกว่าไปปักษ์ใต้เที่ยวนี้ไปหลายวัน ไม่มีใครถวายอะไรเลย บอกว่า เอ้อ! สบายใจดี เขาไม่ถวายนี่สบาย สบายว่าเราได้ให้ธรรมะบริสุทธิ์แก่เขา โดยไม่มีอะไรตอบแทน แต่ว่าเขาตีตั๋วให้แล้วก็เลย มันเท่านั้นก็พอแล้ว ติดปีกติดหางให้บินไปได้ มันก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องให้สตางค์ก็ได้ ก็ดีใจว่าได้ไปทำประโยชน์ก็เลยกลับมาเรียบร้อย
เมื่อตะกี้พูดเรื่องความไม่เกรงใจคน ไปพักอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ กุฏิท่านเจ้าคุณมันอยู่ริมทาง วันหนึ่ง ๆนี่รถมอเตอร์ไซต์มันขึ้นไป แล้วก็ลงมา ขึ้นไปแล้วก็ลงมา นั่งดูเอ๊ะ! มันก็ไม่เห็นมีธุระอะไร มันขึ้นไปสุดทางด้านโน้นแล้วมันก็ลงมา เลยถามพระว่ามันมาทำอะไรรถพวกนี้ เขาลองเครื่องบ้าง เอาอะไรของเขาบ้างก็มาลอง มันไม่รู้จักคิดเกรงใจคนบ้าง คนที่นั่งมันรำคาญเท่าไร หรือว่าถ้าเป็นหน้าร้อนฝุ่นมันขึ้นนะ รถวิ่งฝุ่นมันก็ขึ้น รถยนต์มาก็ขึ้นปรื๊ดไป ถอยลงมามันก็เป็นฝุ่น มันไม่คิดสักนิดเดียวว่าฝุ่นจะรบกวนพระ เสียงจะรบกวนพระ ไม่คิด เลยบอกพระว่าเรียกมาพูดบ้างไม่ได้เหรอ? เรียกคันนี้มา คันโน้นค่อยเรียกมา เรียกมาพูดทุกคัน เรียกว่ารณรงค์สักเดือนหนึ่ง ใครขึ้นมาก็หยุดพูด หยุดพูด สักเดือนหนึ่ง ลองดูสิ! มันจะมีความรู้สึกเป็นมนุษย์มนากับเขาบ้างหรือเปล่า ลองทำดูก็ได้ บอกให้พระลองทำ แต่พระพูดว่า โอ้ ไม่ไหว พวกนี้พูดก็ไม่รู้เรื่อง คือยังไม่ได้พูดท่านก็ว่าไม่รู้เรื่องเสียแล้ว อาตมาไม่มีเวลาอยู่นาน ถ้าอยู่นานก็จะพูดกับมันทุกวัน คันไหนขึ้นมาจะพูด พูด จับมือไว้ พูดแล้วจับมือไว้ พูดแล้วจับมือไว้ ดูว่ามันจะเป็นบัวใต้น้ำ หรือว่าดอกบัวเสมอน้ำ คนพวกนี้ พูดกับมันเสียบ้าง มันจะได้รู้ จะได้เข้าใจ มันสนุกเพราะว่าทางมันขึ้นดีหรอก วื๊ดขึ้นไปแล้วก็ลง ปล่อยเต็มที่เลย อาตมานั่งดู รำคาญ น่ารำคาญ แต่ท่านเจ้าคุณท่านนั่งเฉย นั่งอ่านหนังสือบ้าง ทำอะไรต่ออะไรเฉย ชินแล้ว ท่านอยู่จนชินแล้ว ถ้าไม่มีเสียงอาจจะคงไม่สบายใจก็ได้ ต้องลองมาได้ยินทุกวัน ๆ แล้วมันขาดไป ก็อาจนึกว่าวันนี้ทำไมโลกมันเงียบเหงาเหลือเกิน มันเป็นอย่างนั้น คนเราถ้าชอบอะไร อยู่กับมันอะไร มันก็ชินไป เหมือนคนอยู่ใกล้โรงสีนะ เสียงดังนอนหลับดี พอไปนอนที่ไม่มีเสียงโรงสีกลับนอนไม่หลับ มันขาดเสียงดนตรีโรงสีดังว่าอย่างนั้น เลยนอนไม่หลับ เป็นอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นความเคยชิน เราไปอยู่ที่ไหนทำตนให้ชินกับสิ่งแวดล้อมมันก็ใช้ได้ ไม่มีอะไร
ทีนี้เวลาเดินทางมาทุ่งสงนี่มันมีป้ายอยู่ มันมีภูเขาลูกเล็ก ๆ สองสามลูก เขาเขียนไว้ว่า “วัดเขาพระทอง” เอ๊! ชื่อมันดีนี่เขาพระทอง บอกคนแถวนั้นว่าแวะไปหน่อยไอ้หนู เข้าไปดูหน่อยเขาพระทองมันเป็นอย่างไร เข้าไปถนนขี้ฝุ่นหน่อย เข้าไปประมาณสักสองร้อยเมตร เข้าไปถึงต้นไม้ต้นประดู่ต้นใหญ่ ๆ หลายต้นนะ ยังอยู่หลายต้น ก็เข้าไปดูวัด เอ๊ะ! ไม่เห็นอะไร มีศาลาอยู่หลังหนึ่ง แล้วมีกุฏิหลังเล็ก ๆขนาดกว้างสักวาหนึ่ง ยาวสักวากว่า เรียงเป็นแถว เป็นระเบียบ แล้วก็ถามเณร พอเข้าไปถึงเณรก็ลงมายกมือไหว้เรียบร้อย ถามว่า ไหนสมภารอยู่ไหน? เณร บอกว่าอยู่ตรงโน้น อยู่กุฏิ เล็ก ๆนั่น หลังนี้ ก็เดินไปที่กุฏิ กุฏิเล็กแต่มีเก้าอี้รับแขก เก้าอี้นวม ใครซื้อไปให้ก็ไม่รู้วางไว้หน้าห้องนั้น ออกมานั่งตรงนั้น บอกว่านิมนต์ท่านอาจารย์นั่ง มาเมื่อไร บอกมาวันนี้ เห็นชื่อของวัด ชื่อมันเพราะลองเข้ามาดูหน่อยว่าพระทองมันอยู่ตรงไหน? ก็ดู ๆ แล้วก็ถามว่านี่เราอยู่นี่กินอะไร บอกว่าชาวบ้านมาก แถวนี้มีตั้งสามสี่ร้อยครอบครัวแต่มันอยู่ห่าง ๆกัน บิณฑบาตพอฉัน แล้วบอกว่าเอาน้ำที่ไหนกินกันละนี่? นิมนต์ท่านอาจารย์ไปดูบ่อก็ได้ ว่าอย่างนี้นะ ไปดูบ่อน้ำอยู่ลึก ลึกลงไปแล้ว ขุดลงไปถึงนั้นแล้ว ขุดแทรกลงไปอีกนิดหนึ่ง ลึกลงไปอีก น้ำมีสักสองสามขัน อยากจะใส่ถุง เอ๊ย! ใส่ถังพลาสติกที่เราหิ้วใส่สังฆทานนั่นจะได้สักสองถังเท่านั้น นี่เหรอน้ำแล้วจะพอกินเหรอ นี่ไม่พอกินอะไรหรอก แล้วกินน้ำที่ไหนกันละนี่? บอกว่ามันยังมีอีกบ่อลูกทางโน้น พอมีน้ำมากกว่านี้หน่อย และถ้ามีคนมาก ๆ มากินหมดไปแล้วเธอจะกินอะไรกันอีก นี่ล่ะคือปัญหาท่านอาจารย์ ผมมาอยู่ที่นี่ มาอยู่ไม่นาน เมื่อก่อนพรรษานี่เอง แล้วก่อนนี้อยู่ไหน? อยู่วัด อนงคาราม บ้านอยู่แถวนี้เหรอ? ถึงมาทนยากอยู่ที่นี่ได้? บ้านอยู่อำเภอบ้านตูน ใกล้สถานีชะอวด ก็เรียกว่าถิ่นนั้นเหมือนกัน ก็มาอยู่ได้ ก็นึกชมอยู่ในใจว่า เออ พระหนุ่ม ๆมาอยู่ในวัดอย่างนี้ได้ก็น่าสรรเสริญน้ำใจอยู่เหมือนกัน แล้วบอกว่านี่อยู่กันฉันกี่มื้อ? บอกว่าฉันสองมื้อ เพราะเณรเล็ก ๆเขาเรียนหนังสือ เรียนนักธรรม เขาให้ฉันสองมื้อ แล้วมื้อเพลเอามาจากไหนฉัน? บอกว่าหุงแกงที่โรงครัว เณรช่วยกันทำแกงอะไรกัน ฉันกัน ก็น่าเห็นใจ แล้วบอกว่าไหนพระทองอยู่ที่ไหน? นิมนต์เจ้าคุณขึ้นหน่อย ขึ้นไปบันไดเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปถึง มันเป็นหน้าผา เป็นภูรอบภูเขา ก็เป็นครึ่งภูเขา ก็สร้างพระองค์เล็ก เล็กไว้ บอกว่าคนมาที่นี่บ่อย ๆ บอกว่ามาทำอะไร เขาบอกว่าที่เขานี้มีเหล็กไหล เหล็กไหล แล้วมันไหลออกรูไหน? ถามว่าอย่างนั้นนะ เหล็กมันไหล มันก็ต้องไหลได้แล้วมันไหลออกรูไหน บอกว่ายังไม่เคยไหลออกมาสักทีว่าอย่างนั้น แล้วพวกบ้าเหล็กไหลมันมากันทำอะไร? ถามพระต่อไป บอกว่าเขามากันบ่อย ทหารก็มา ตำรวจก็มา คนจีนพ่อค้า คนกรุงเทพก็มากัน เขามาแล้วก็จุดธูปจุดเทียน นั่งหลับตากันนะ ไหนหลับตรงไหน? ก็พาไปดูแหวกตรงนั้น
ภูเขามันเป็นหลีบเข้าไปหน่อย แล้วก็หินแข็ง ๆ หลังพระนี่ตรงนี้ มาแล้วมาไหว้ตรงนี้ทุกรายการนะ บอกว่าเหล็กไหลอยู่ในนี้ เอ! แล้วมันไหลออกมาบ้างหรือเปล่า? ตั้งแต่ไหว้ ๆ ยังไม่มีเลย แล้วคุณไม่เอาเณรทั้งหมดมานั่งไหว้กันสักยี่สิบสี่ชั่วโมง เผื่อเหล็กมันจะได้ไหลออกมาบ้าง แล้วจะได้เอาไปขาย สร้างวัดสร้างวา แกก็ยิ้ม ๆว่า ผมก็ไม่ได้บ้าอย่างนั้นน่ะ หลวงพ่อ ใช้ได้นะ นึกว่าคุณมาอยู่นี่พลอยบ้าเหล็กไหลไปด้วย แกบอกว่าไม่ได้คิดอย่างนั้นครับ แล้วชวนดูบริเวณต่อก็บอกว่า ต้นประดู่นี่คุณรักษาไว้ให้ดีนะ อย่าให้เสียหาย แล้วถามว่าโรงเรียนมีไหม? โรงเรียนน้อย โรงเรียนเขาแคระ โรงเรียนวัดเขาแคระ (33.54) เป็นหลังคามุงอะไร มุงแฝกมุงฟางทั้งนั้นนะ เมื่อก่อนมันก็มุงสังกะสี แต่ว่าคืนนั้นลมใหญ่พายุใหญ่พัดพังกระจายไปหมดเลย แล้วทำอย่างไร? ราชการเขาให้อะไรบ้างล่ะ? โรงเรียนพังไปหมด เด็กมีสักเท่าไร? เด็กก็สองร้อยกว่า สองร้อยสี่สิบกว่า แล้วราชการช่วยอะไรบ้าง? ให้เงินมาสามหมื่น เอ๊ะ!สามหมื่นจะไปสร้างอะไรได้ละนี่ จ้างคนขุดหลุมก็หมดแล้ว เงินทำอะไรได้ เท่านั้นนะ เอาแฝกมามุง ๆ ไว้พอได้เรียนกันต่อไป แล้วมาเรียนในศาลานี้บ้าง วันนั้นมันก็เป็นวันเสาร์ แต่เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งมาที่ศาลา …(34.44)…มีม้านั่งมีกระดานดำ เด็กพวกนี้มาเรียนอะไร? บอกว่าเรียนธรรมศึกษา ใครสอน? ผมสอนเอง อาตมาก็นึกชมในใจก็ใช้ได้ พระองค์นี้พอใช้ได้เพราะว่านำเด็ก รุ่น ๆ ทั้งหญิงทั้งชายมาเรียนธรรมศึกษา สอนให้เรียนธรรมศึกษา และจะไปสอบกับเขาด้วย เออใช้ได้ ดู ๆ แล้วก็ใช้ได้ นึกชมอยู่ในใจ เลยถามว่าสมัยก่อนตรงนี้มันปล้นรถทัวร์อยู่บ่อย ๆ พวกไหน? พวกแถวนี้ พวกแถวนี้ มันปล้นกันบ่อย ๆ สมัยก่อนน่ะ เดี๋ยวนี้มันค่อยเพลาลงไปสักหน่อยเพราะว่าตำรวจมาตั้งอยู่ทางฝั่งนี้ ฟากนี้ ข้างโน้นก็มี มาตั้งเป็นค่ายตชด. ไม่ค่อยปล้นแล้ว สมัยก่อนปล้นบ่อย ๆ แล้วก็คราวหนึ่งหลานชายอาตมา ก็เป็นปลัดอำเภออยู่สตูล มาประชุมที่เมืองนครศรีธรรมราช ประชุมแล้วกลับกลางคืน แล้วมันเป็นรถราชการ พวกผู้ร้ายมันซุ่มข้างภูเขานั่น มันยิง ยิงก็พวกนั้นก็ สามคน สี่คน ลงมาต่อสู้กับผู้ร้าย ก็มีปืนติดตัวมาด้วยแกสู้ไม่ไหว เลยก็ตาย ตายไปกับท่านสมภาร แกคอยจ้องสืบเสาะแถวนั้นอยู่ ถ้าว่าใครมีเสียง ปึ้ม ปึ้ม ปึ้ม ก็เรียกด้วยเสียงปืน แกเข้ามา มาเก็บศพ เป็นปอเต็กตึ้งประจำอยู่ตรงนั้นน่ะ แกเอาไปไว้ในวัด หาไม้กระดานมาทำหีบใส่ สวดไปพลางกว่าญาติจะมารับไป หลานชายอาตมานี้สมภารองค์ก่อนไม่ใช่องค์นี้ สวดอยู่สามคืน ทางบ้านจึงรู้เรื่อง จึงมารับศพเอาไป มีบ่อยแถวนั้น บอกว่าแถวนี้มันไม่ใช่บ้าน มันรวมตัวกันก็มาปล้นรถทัวร์รถอะไร ก็เลยถามว่าไอ้พวกสีชมพูมันมีไหม แถวนี้? มันก็มีเหมือนกันนะอาจารย์ มันมีเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้สีมันจางไปแล้ว มันลอก ๆไปหมดแล้ว ว่าอย่างนั้น คนมาช่วยสอนเด็ก ๆนี่นะ ผู้ใหญ่สอนลำบากก็สอนเด็ก ๆ อย่างนี้ดีแล้วนะ วันหลังค่อยมาช่วยเหลือบ้าง ว่าง ๆ แกบอกว่านี่เดือนเมษานี้พวกเพื่อน ๆที่วัดอนงค์เขาสงสารผม เขาจะมาทอดผ้าป่าให้ เออ ดี ดี โอกาสเหมาะ ๆ ผมจะมาเยี่ยมอีกทีหลัง ค่อยเอาอะไรมาให้บ้าง และก็ลาขึ้นรถ ผ่านมาต่อไป ได้พบได้เห็นอะไรบ้าง ไปเที่ยวแล้วก็ไปอยู่
อันนี้ไปพักอยู่ที่พัทลุง นี่มันว่าง ๒๖ ๒๗ ๒๘ ก็ว่าง ก็เลยไปหาเรื่องเทศน์กับเด็กนักเรียน วันแรกก็ ๒๖ ก็ไปเทศน์นักเรียนโรงเรียนสตรี แล้ววันต่อไปก็เทศน์โรงเรียนพัทลุงพิทยาคม โรงเรียนตั้งใหม่ สร้างขึ้นไกลตัวเมืองหน่อย นักเรียนเกือบสองพัน ก็ประชุม ไปเทศน์ให้เขาเด็ก ๆฟัง แล้วก็ไปดูวัดต่าง ๆ ไปเยี่ยมวัด บางวัดยังไม่เคยไปก็ไปเยี่ยม ก็ถนนมัน รพช. เขาสร้างถนน ไปไหนมาไหนได้ ไปวัดเขาแดง ไปถ้ำมาลัย ไปวัดพวน … (38.03) ไม่เจอสมภาร ความจริงสมภารนี่มาหาบ่อย มากวนจะขอสตางค์ทุกที วันนั้นไปกลับไม่เจอซะด้วย ไม่เจอก็เลยเขียนกระดานไว้ว่า มาเยี่ยมแล้วไม่เจอสมภาร ไม่รู้ว่าไปไหน เซ็นชื่อไว้ แกคงไปอ่านแล้วตกใจ โอ้! ท่านเจ้าคุณมาเยี่ยม เสียท่าไม่อยู่ ถ้าอยู่ จะได้ขอบ้าง แกขอบ่อย แต่แกก็พัฒนาวัดวาอาราม แล้วกำลังจะทำน้ำประปา สูบบาดาล เอาขึ้นวัดทำแท็งก์ใหญ่ แล้วก็จะปล่อยท่อลงไปให้ชาวบ้านแถวนั้นได้กินน้ำสะดวกเพราะมันอยู่บนเนิน ปักษ์ใต้ เขาเรียกว่า ควน เมืองเหนือเขาเรียกม่อน ภาษาเหนือเขาเรียกม่อน ภาษาอีสานเขาเรียกว่าโนน โนนไทย โนนสมบูรณ์ โนนนั่น โนนนี่ มันก็เป็นเนินนั่นแหละ ภาคกลางเรียกเนิน ปักษ์ใต้เรียก ควน …... (39.02) ควนบ้านสวน ควนขุด ควนคู มันยาวจนไปถีงควนเมียงสงขลาน่ะ และก็ยาวมาเมืองนคร มันเป็นสัน แล้วน้ำมันก็เข้ามา เข้ามาเกาะจับเป็นแผ่นดินใหญ่ขึ้นมาได้ ภูเขาก็ดี ควนก็ดี มันคือเกร็ดหนึ่ง (39.20) เป็นเกร็ดมาก่อนแล้วค่อยมาเกาะมาจับกลายเป็นแผ่นดินขึ้นในสมัยก่อน เหมือนป่าปักษ์ใต้ขึ้นพัทลุงภูเขาเยอะแยะ ภูเขาทางพัทลุงมันเกรียนด้านตะวันออก เพราะลมตะวันออกมันแรง มีหน้าผา มีอะไรต่ออะไร เรียบร้อยด้านตะวันออก แต่ถ้าไปเมืองตรังเมืองกระบี่มันอยู่ตะวันตกทั้งนั้น เพราะลมด้านตะวันตกมันแรง มันพัดแรงแล้วก้อนหินมันก็สึกหรอกลายเป็นหน้าผาสวยงาม มีถ้ำมีอะไรขึ้นมา มาจากด้านตะวันตก เพราะลมตะวันตกมันแรง แต่ถ้าพัทลุง นคร นี่มันตะวันออก ด้านตะวันออกมันเป็นหน้าผา เป็นอะไรต่ออะไร ที่เหล่านี้มันเป็นธรรมชาติ ก่อนมันก็เป็นทะเล แล้วก็งอกออกไป ๆ เหมือนกับกรุงเทพ เมื่อหลายพันปีมาแล้วก็อาจจะเป็นทะเลก็ได้ แล้วมันก็ค่อยงอก ดินมันเพิ่มขึ้น ๆ กลายเป็นแผ่นดินสะสม มีผลเยอะแยะ เราปลูกมีชื่อ ปลูกอะไรมีชื่อ เพราะปุ๋ยสะสมมาก
นี่ธรรมชาติมันเอามาให้ มันสร้างสมขึ้นมา ได้ไปศึกษาดูสถานที่เหล่านั้นแล้วก็เออ น่าดูเหมือนกัน มีถ้ำมีอะไร ดู ๆแล้วบางที เอ? มันต้องหลบมาอยู่แถวถ้ำเสียบ้าง หาความสงบเงียบ เดือนหนึ่ง บ้านมีแถวนั้น อุ้มบาตรไปเที่ยวบิณฑบาต กลับมา ฉัน ฉัน แล้วก็ไปนั่งหลับตา นึกอะไรต่ออะไร เพ่งพิจารณา ธรรมแบบของพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จะได้มีความสงบใจ พักผ่อนทางใจ แต่ว่าคิด คิดไปอย่างนั้น เวลามันไม่ค่อยมีที่จะไปอย่างนั้น แต่ว่าถ้ามีก็ไปมองหาที่ว่าตรงไหนมันเหมาะ พอจะนั่งได้ไม่ไกลการบิณฑบาตเกินไป เดินสัก ๒o นาทีก็ไปรับข้าวมาฉันได้ ฉันมันสักมื้อ แล้วก็นั่งพัก สบาย กลางวันนั่งพัก ทำอารมณ์ให้สงบเป็นสมาธิ ชาวบ้านมาก็สอนเขาไปบ้าง ไม่มาก็เดินไปสอนเขาตามบ้านบริเวณนั้น พัฒนาจิตใจคน ชวนเขาพัฒนาโน่นนี่ อะไรไปบ้าง ก็ดีเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ถึงเวลานั้น งานอื่นมันยังเยอะ ก็ต้องทำต่อไป นี่คือความคิดที่มันเกิดขึ้นในเวลาที่ไปเที่ยวไปดูอะไรต่าง ๆที่พระท่านปฏิบัติอยู่ สมภารบางวัดก็เอางานเอาการ พัฒนาวัดปลูกต้นไม้ ทำวัดให้ร่มรื่น มีโรงเรียน มีหอสมุด ภายในวัด ชักจูงชาวบ้านช่วยกันทำนั่นทำนี่ เป็นพระพัฒนาก็ต้องไปเยี่ยมให้กำลังใจ ไปพูดชมแกสักสี่ห้าคำ แกก็ดีใจว่า เออ หลวงพ่อเจ้าคุณมา มาชมเรา มายกย่องแล้วเอาไปไหนก็เอาไปยกย่องที่วัดอื่นอีก แกก็ได้กำลังใจ คนทำอะไรมันต้องมีกองเชียร์เหมือนกันนะ ถ้าไม่มีใครเชียร์แล้วมันอ่อนไม่อยากจะทำต่อไป กำลังใจมันหมดไป อันนี้ว่าง ๆก็ไปเชียร์สักหน่อย ไปเยี่ยมไปเยียน แต่อย่าบอกให้รู้ว่าจะไปมันวุ่นวาย แอบไป ไปดู แล้วก็ไม่พบก็ไม่เป็นอะไร ค่อยชมวันหลัง ไปดูแล้ว วัดเรียบร้อย ทำอะไรสวยงามสะอาด น่าดู แกก็สบายใจ เราให้กำลังใจ เป็นการไปช่วยสนับสนุนคนดีให้ได้มีโอกาสได้กระทำความงามความดีต่อไป นี่เรื่องเอามาเล่าให้ญาติโยมฟังว่า ไปอย่างไร มาอย่างไร ทำอะไร เวลาไปบ้านนอก ก็ไปอย่างนั้น เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ตามที่ที่เราได้ไป พบปะใครก็ชวนพูดชวนคุย ชวนสนทนา บางทีก็เดินไปตามถนน แวะบ้านนั้นนิด แวะบ้านนี้หน่อย ถามสารทุกข์สุขดิบ ทำมาหากินอย่างไร ทำนาเป็นอย่างไร เช่านาก็ทำ เช่าเขาปีละสามพัน แล้วขายข้าวได้เท่าไร? มันมีกำไรหรือ? พอจะได้เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าไหม? ถามไปถามมามันก็ไม่ได้อะไร แต่ก็ต้องทำ เพราะไม่ทำมันก็ไม่มีกินมีใช้ ก็คิดดูแล้วมันก็น่าสงสารว่าคนเรานี้ไอ้ที่ยากจนมันก็ลำบาก ไอ้ที่มั่งมีก็ยิ่งมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดา คนใดขยันมากมันก็มั่งมี ไม่ขยันมันก็ยากจน แล้วคนเรามันจะเท่ากันก็ไม่ได้ เหมือนมือห้านิ้วมันไม่เท่า หัวแม่มือมันใหญ่ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย อย่าไปตัดให้มันเท่ากันก็หมดเรื่อง เท่านั้นเอง เอ้า! ตัดให้มันเท่าหัวแม่มือเสียเลย จะทำอะไรได้ เหลือนิดเดียวเท่านั้นเอง ตัดอย่างนี้นะ เหลือมันทำอะไรได้ มันไม่ได้เรื่องอะไร มันก็ต้องไว้อย่างนี้ ห้านิ้วอยู่อย่างนี้ มันไม่เสมอกันอย่างนี้ แบบนี้มันก็เหมือนกับการจัดบ้านจัดเมือง ที่เขาบอกว่าถ้าปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ทุกคนจะเท่าเทียมกัน เราไม่คิดแล้วก็มองว่าเออก็ดี เท่าเทียมกัน มันจะเทียมกันได้อย่างไร เราลองมาคิดตั้งปัญหาหน่อย คือ พระพุทธเจ้าสอนเราว่า เมื่อได้ยินอะไร ได้เห็นอะไร ต้องคิดก่อน ต้องคิด ไม่เชื่อ อย่างบอกว่าทุกคนเท่าเทียมกัน เอ๊ะ! เรามานั่งคิดว่าจะให้มันเทียมเท่ากันได้อย่างไร ร่างกายมันเท่ากันได้ไหม? โยมนั่งตั้งแถวกันนี่มันเท่ากันไหม คนหนึ่งอ้วน คนหนึ่งผอม คนหนึ่งดำ คนหนึ่งขาว คนหนึ่งขาว ๆ ดำ ๆ ด่าง ๆ มันเหมือนกันเมื่อไร มันไม่เหมือนกัน รูปร่างกันก็ไม่เหมือนกัน มันเหมือนกันโดยลักษณะว่าจมูกสองรูเท่ากัน ตาเท่ากัน หูเท่ากัน แต่จมูกอาจจะไม่เหมือนกันอีก ตาก็อาจจะไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันหมดทุกอย่าง มันเท่ากันไม่ได้ จะทำคนให้เท่ากันได้อย่างไร มันก็ไม่เท่ากัน มันเป็นคำพูดโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้คนหลงใหลไปเท่านั้นเอง ส่วนคนไม่คิดมันก็หลงไป เออ ดี ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีเศรษฐี ไม่มีคนยากจน มีอะไรเหมือนกัน มันจะได้ที่ไหน ลองคิดดู มันเป็นไปไม่ได้ จะให้เป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ รัสเซียเป็นคอมมิวนิสต์มาตั้ง ๖o ปี แล้ว มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เท่าเทียมกัน แต่พวกที่เป็นสมาชิกชั้นสูงมันก็สบาย มันอยู่วังเทียมดิน (46.21) อยู่บ้านดี ๆ มีรถคันใหญ่นั่ง มีทหารเฝ้า ครอบครัวเพื่อนจะแอบไปซุกศีรษะอยู่ตลอดเวลา แล้วก็คนที่เคยเป็นกรรมกร ก็เป็นกรรมกร และกรรมกรในประเทศรัสเซีย จะ Strike ก็ไม่ได้เรียกร้องใคร่ขึ้นราคาก็ไม่ได้ เขาให้เท่าไรก็พอใจเท่านั้น ให้กินอย่างนี้ก็ต้องกิน ให้แต่งตัวอย่างนี้ก็ต้องแต่ง ให้อยู่บ้านอย่างนี้ก็ต้องอยู่ ไม่มีสิทธิจะขอเลย ไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์อะไรกับเขาเลย มันจะดีไหมอย่างนั้น คิดดู บ้านเรากรรมกรก็ประท้วงไป ขอค่าแรงงานขั้นต่ำเท่านั้น ถ้าไม่ได้ฉันจะหยุดงานกันทั่วประเทศเลย ขู่ได้ ยังขู่อยู่ได้ แต่ประเทศคอมมิวนิสต์ขู่ไม่ได้ ขืนพูดขู่คำนั้นมา พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้ว เขาเก็บเรียบร้อยแล้วมันอยู่ไม่ได้ เพราะเขาใช้อำนาจเด็ดขาด คนประเทศนั้นเขาไม่ถือบาปบุญคุณโทษ เขาไม่มีศาสนา เขาไม่มีหลักศีลธรรม ถ้าใครพูดไม่เข้าเรื่อง นอน ๆ เอ้า! หายไปไหนละ รุ่งขึ้นหาตัวไม่พบแล้ว ไม่รู้ว่าเอาไปฝังไว้ที่ไหนแล้วหายไปแล้ว แล้วใครจะกล้าพูดในรูปเช่นนั้น ใครจะกล้าเถียง เพราะเถียงขึ้นมาหายตัวแล้ว อยู่ไม่ได้ แล้วคนเดินไปยิ้มกับเขาเมื่อไร
พวกรัสเซียเดินขรึม หน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา เดินก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ายิ้มกับใคร เพราะยิ้มกับคนก็ผิดกฎหมาย ยิ้มไม่ได้ ยิ้มกับใครตำรวจถามว่ายิ้มทำไม ยิ้มมีเลศนัย ทำไมยิ้ม ยิ้มกับคนนั้น ยิ่งกับคนต่างด้าวยิ้มไม่ได้ ถามว่ายิ้มก็สงสัยทำไมยิ้มกับคนนั้น เพียงแต่เสรีภาพในการยิ้มก็ยังไม่มี แล้วมันจะเข้ากันได้อย่างไร ของเราสิยิ้มกันใหญ่เลย เมื่อคืนนั่งเรือบินนั่งข้าง ๆ ก็มีข้าราชการทั้งนั้นไปประชุม ไปอะไร หัวเราะกัน คุยกัน สนุกสนาน อาตมานั่งนิ่ง ๆเงียบ ๆ นึกในใจว่าคนไทยนี่มันสุขจริง ๆ มันร่าเริงจนไม่รู้จักเวล่ำเวลา หัวเราะกันคิกคัก คิกคัก แล้วไม่ใช่เด็กนะ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่มันก็สนุกไปอย่างนั้น นิสัยมันเป็นอย่างนั้น คนไทยเรามีนิสัยร่าเริง ไม่กลัว ไม่ย่ออะไรทั้งนั้น มันสนุกกันเรื่อย แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ยังสนุกนะ เรียกว่าจะตายก็ยังสนุกกันอยู่ ยังหัวเราะกันอยู่ จะหาที่ไหนเหมือนกับแผ่นดินประเทศไทย ไปหาที่ไหน ประเทศอื่นมันหาไม่ได้ ยิ่งในประเทศปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มันหาไม่ได้ ความสุขอย่างนั้นมันหาไม่ได้ มีแต่ความเคร่งเครียด มีแต่คอยฟังคำสั่ง บังคับบัญชา เขาว่าอย่างไรต้องทำตาม เชื่อผู้นำ เป็นอย่างนี้ทั้งหมด ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีอะไรที่เท่าเทียมกัน แต่ในพระพุทธศาสนาสอนว่า สิ่งที่เท่าเทียมกันมันมี มันไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องธรรมชาติ เรื่องธรรมชาติที่มันเท่าเทียมกัน คือว่า ไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นอนัตตาเหมือนกันนี่มันเท่ากัน เกิดเหมือนกัน แก่เหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน ตายแบบเดียวกัน ไม่หายใจ แต่ว่าก่อนตายมันอาจจะมีโรคต่าง ๆกัน แต่ตายมันไม่หายใจทั้งนั้นนะ ตายแล้วแข็งทื่อทั้งนั้นนะ สิ่งนี้ล่ะเหมือนกัน ไม่ต้องขอ อันนี้ธรรมชาติเขาให้ไว้แล้ว ทุกอย่างเท่าเทียมกัน แต่เรื่องอื่นไม่เท่า โดยกฎหมายก็ไม่เท่า
ทางกฎหมายถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันมันก็ไม่เท่า มันก็ไม่เท่าเทียมกันตามกฎหมาย มันมีเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันไปตามเรื่องตามราวของการเป็นอยู่ในสังคม ตอนนั้นเรารู้อย่างนี้คิดได้ เราก็ไม่หลงเชื่อใคร ๆง่าย ๆ ในเรื่องอะไรที่เขาพูดโฆษณาชวนเชื่อในเรื่องนั้นเรื่องนี้ พุทธบริษัทต้องเป็นผู้ฉลาดมีเหตุมีผล ต้องฟังหูไว้หู ใครจะมาพูดอะไรในเรื่องการเมืองเรื่องการศาสนา เรื่องสังคม ใครจะชักจูงอะไร หรือแม้ว่าเรื่องศักดิ์สิทธิ์อะไรต่าง ๆเดี๋ยวก็เกิดขึ้นที่นั่น เกิดที่นี่เล่าลือกันไป ว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ อย่าไปเชื่อง่าย ๆต้องคิดต้องตรอง อย่าไปหลงกลของคนพวกนั้นที่เขาจะหลอกจะต้มเราให้มัวเมาไปด้วยประการต่าง ๆมีคนจำนวนไม่ใช่น้อยที่ขาดการศึกษาการอบรม ไม่มีใครสอน แล้วก็มีคนมาชักมาจูงไปในรูปต่าง ๆเดี๋ยวนี้จึงมีคนหลายประเภทที่ตั้งตนเป็นอาจารย์ ในรูปต่าง ๆหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ แล้วคนก็มาหากันมากมาย เสียสละทรัพย์ให้ทำนั้นทำนี้อะไรขึ้น เพราะว่าเขาไม่มีปัญญาสำหรับไตร่ตรอง ไม่มี “แว่นธรรมะ” สำหรับส่องดูว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร เขาไม่มีสิ่งเหล่านี้ เขาจึงหลงไปด้วยประการต่าง ๆ สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ตัวแก่ครอบครัว เสียหายไปด้วยประการต่าง ๆ อันนี้น่าคิด อันนี้เราจะทำอย่างไร ก็ต้องหาทางช่วยกัน ช่วยทำให้คนเหล่านั้นได้ลืมหูลืมตา ได้ปัญญา ได้ความรู้ ได้ความเข้าใจในสิ่งถูกต้อง ด้วยการแนะนำสั่งสอนเอาหนังสือไปให้เขาอ่านบ้าง เอาเทปไปให้เขาฟัง ดึงเขามาวัดเพื่อให้ได้ยินได้ฟังสิ่งที่เป็นความถูกต้อง ในชีวิตประจำวันก็จะได้ประโยชน์เป็นคุณเป็นค่าแก่คนเหล่านั้น แล้วก็ควรจะถือว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ หน้าที่ของเรานอกจากทำดีด้วยตนแล้ว ก็ชักชวนคนอื่นให้ทำดีด้วย สนับสนุนคนที่จะทำความดีให้มีกำลังใจ ได้กระทำความดียิ่ง ๆขึ้นไป ต้องช่วยกันอย่างนี้ ก็เป็นการช่วยตัว ช่วยชาติ ช่วยประเทศ ช่วยโลกให้อยู่ในสภาพที่สงบสุขตลอดไป เป็นกิจที่จะต้องช่วยกันทำตลอดโอกาสที่เราจะสามารถกระทำได้
แต่วันนี้วันที่ ๓๐ กันยายน แล้ว เดือนกันยาก็เรียกว่าเรียบไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ชีวิตครบมาได้เดือนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าเราแก่มาอีกเดือนหนึ่งสั่นเอง แล้วก็ตั้งต้นเดือนใหม่ เดือนตุลา ความจริงมันก็อันเดิมนั่นแหละ อันเดิมก็คือ วัน-คืนนั่นเอง แต่ดั้งเดิมมันมีสองอย่างคือ “วันกับคืน” แต่ว่าวันกับคืนนี่มันมาก มันต้องสมมุติกันเอา วันจันทร์ วันอาทิตย์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ และก็เดือน เดือนนั้นเดือนนี้ ปีนั้น ปีนี้ มันเรื่องสมมติ ถ้าไม่สมมติเราจะนับกันอย่างไร คนนั้นเกิดวันนั้น แล้ววันไหนล่ะ มันไม่มีอะไรนี่ เรามีวันที่เท่านั้น เดือนเท่านั้น เวลาเท่านั้น เป็นเครื่องนัดหมายในเรื่องอายุ ว่าใครมีอายุเท่าไร เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไร แต่ว่าเนื้อแท้มันก็เพียงวันกับคืนเท่านั้น หมุนเวียนไปอยู่ตลอดเวลาที่ได้หมุนเวียนก็เพราะโลกมันเดิน มันหมุน แล้วตรงไหนไปตรงดวงอาทิตย์ก็เป็นกลางวัน พ้นไปก็เป็นบ่าย พอพ้นไปมันก็มืดเป็นกลางคืน นี่เราเวลานี้กลางวัน อเมริกาเขากลางคืนเวลานี้ เขาจะหลับจะนอน เขานอนแล้วสามทุ่ม นอกจากบางคนไปนั่งถ่างตาอยู่ตามบาร์ตามไนต์คลับไปตามเรื่อง มันค่ำของเขา ไอ้เรามันกลับสว่าง สว่างก็ไม่พร้อมกัน โลกมันกลมมันไม่ได้แบนแต๊ดแต๋ ถ้าแบนมันก็ส่องเท่ากัน นี่มันกลมมันจึงไม่เท่ากัน ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วก็เกิดเป็นวันเป็นคืนสมมติกันไป เวลามันเป็นของผ่านไปตามหน้าที่ เราก็ควรจะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าแก่ชีวิต ตามสมควรแก่เหตุการณ์ตามที่ควรจะพึงปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันของเรา อันนี้เอามาสนทนากับญาติโยมทั้งหลายฟังในวันสิ้นเดือนกันยา แล้วก็วันนี้เรียกว่าหลายคนถูกปลดจากราชการให้รับเบี้ยบำนาญก็ทำงานมานานแล้วก็พักเสียหน่อย อายุ ๖o ก็บอกพอแล้ว พักเสียที ได้พักผ่อนสบายใจ พักผ่อนอยู่บ้าน อยู่เฉย ๆมันก็ไม่ดี มาวัดมาวา รักษาศีลฟังธรรม เดือนหนึ่ง สี่ครั้ง มาวัด มาหาความสงบใจ มาพบเพื่อนฝูงมิตรสหาย บางทีก็นัดกันเหมือนกันนัดกินข้าวกันเดือนละครั้ง ไม่รู้ว่าใครยังอยู่ ใครตายแล้ว กินข้าว นัดไปนั่นไปนี่ สู้นัดที่วัดไม่ได้ วันอาทิตย์มาวัดชลประทานต้องเจอกันแน่ แล้วก็มาวัด มารักษาศีล ฟังธรรมกัน จะได้สบายใจ และเป็นตัวอย่างแก่ลูกแก่หลาน คนแก่นี่ควรทำตนให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลาน แล้วก็อบรมลูกหลานให้รู้จักชีวิตที่ถูกต้อง เล่าให้ลูกหลานฟัง ในชีวิตที่ผ่านมา ได้รับความลำบากอย่างไร ต่อสู้มาอย่างไร ใช้ธรรมะอย่างไรจึงเอาตัวรอดปลอดภัย เราเอามาใช้ เอามาสอนลูกสอนหลาน ให้ลูกหลานได้เกิดความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดี จะได้ใช้ชีวิตในทางที่ถูกต่อไปจึงจะเป็นการถูกต้อง วันนี้แสดงมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที