แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา หมู่นี้โรงเรียนต่างๆได้นำเด็กนักเรียนมาในวันอาทิตย์เพื่อให้มาฟังธรรมด้วย เพื่อให้มาดูกิจกรรมที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาทำกันในวันอาทิตย์ว่ามีอะไรบ้าง วันนี้ก็มีโรงเรียนราชวินิตซึ่งอยู่ที่แถวใกล้ๆ กับสโมสรกองทัพบก มากันหลายร้อยคน วันก่อนนี้ก็มีราชวินิตบางแก้วซึ่งอยู่ไกลแถวบางนาบางแก้วนู่นก็มากัน เป็นนโยบายของโรงเรียนที่จะนำเด็กเข้าหาพระ ให้เด็กได้รู้จักว่าศาสนาคืออะไร การปฏิบัติจิตต่อศาสนาควรจะมีอะไรบ้าง เป็นเรื่องที่เกิดประโยชน์ แต่ว่าพามาในวันอาทิตย์นี่ก็ได้เห็นว่าผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ปู่ ตา ย่า ยาย เขามาทำอะไรกันบ้าง ถ้าจะมาฟังธรรมจริงๆ ควรจะมาในวันเสาร์ เพราะว่าวันเสาร์นี่พูดกับเด็กโดยเฉพาะ ได้สอนกันเป็นพิเศษ แต่วันอาทิตย์นี่ก็ดีไปอย่างหนึ่งคือได้เห็นคนมามากๆ แล้วจะได้เกิดความรู้สึกว่า คนไปวัดก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่มีแต่พวกไปสนามม้าหรือว่าไปโรงหนังหรือไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆอันเป็นการพักผ่อนหย่อนใจลงไปในกิเลส แต่ไม่ได้พักผ่อนอย่างจริงจัง แต่การมาวัดนี่เรียกว่ามาพักผ่อนทางใจ พักผ่อนในการศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ทำให้จิตใจเราสะอาดขึ้น สงบ สว่างขึ้น เป็นเรื่องที่มีประโยชน์แก่ชีวิตของเรา จึงได้พาเด็กมาในรูปดังที่เห็นนี้ พวกหนูทุกคนที่มาวัดก็จะได้เห็นว่าเมื่อเขามาถึงวัดนี่เขาทำอะไร เขามีการสวดมนต์ การสวดมนต์นั้นก็คือท่องคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เขาได้เขียนไว้ในภาษาบาลี เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้พูดสอนประชาชนในสมัยนั้น แต่ว่าร้อยกรอง เป็นคำร้อยกรองบ้าง ร้อยแก้วบ้าง เอามาสวดมาบ่นเพื่อให้จิตใจสงบ เพื่อจะได้รู้ความหมายของธรรมะที่เราสวดว่ามีความหมายอย่างไร ที่วัดชลประทานนี้มีการสวดบาลีแล้วก็มีคำแปลด้วย เราแปลตั้งแต่เริ่มสวดจนกระทั่งจบ เป็นการสวดไปรู้ความหมายไปด้วยในตัว เช่นเราบูชาพระ ที่โรงเรียนต่างๆบูชาทุกวัน ก่อนเข้าเรียนก็สวดว่า "อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ" แต่ว่าไม่ได้แปล ไม่รู้ว่าเราสวดว่าอะไร สวดกันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ความหมาย แต่ว่าถ้าในขณะสวดใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดไปในเรื่องอื่นก็สงบใจเหมือนกัน ยิ่งท่องยิ่งสวดนานๆ ใจก็จะเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาจึงใช้วิธีสวดคำสอนเอาบทสั้นๆมาเป็นบทภาวนา หรือว่าสวดยาวๆใช้เวลานานๆ ขณะที่นั่งสวดอยู่นั้นใจมันสงบ ไม่มีบาปเกิดขึ้นในขณะนั้นแล้วก็เป็นสมาธิ คือใจเป็นหนึ่งอยู่กับเรื่องที่เราสวด ก็เป็นการพักผ่อนจิตใจไปด้วยในตัว
ดังนั้นคนในสมัยก่อนเมื่อเขาจะพักผ่อน เขาก็ไปนั่งสวดมนต์เพื่อทำความสงบใจ การกระทำอย่างนั้นก็ดีอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเรารู้ความหมายของเรื่องที่เราสวดก็จะเพิ่มความถูกต้องความดีมากขึ้น คือรู้ว่าเราสวดเรื่องอะไร เช่นสวดว่า "อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้า" ถ้าแปลก็ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ แล้วอธิบายต่อไปว่า ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง "พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ" ข้าพเจ้าอภิวาท คือแสดงความเคารพด้วย กาย วาจา ใจ ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีความเบิกบาน อันนี้คือคำแปล
คำแปลนั้นมีความหมายเป็นข้อธรรมะ เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ กาย วาจา ใจของเรา ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่นที่เราสวดว่า "อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา" พระผู้มีพระภาคเจ้า เราใช้คำเรียกพระองค์ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าเป็นคำบาลีเขาเรียกว่า ภะคะวัน ชาวอินเดีย เมื่อเอ่ยชื่อพระพุทธเจ้า เขาไม่เรียกว่า พระพุทธเจ้า ภาษาไทยเราเรียกว่าพระพุทธเจ้า แต่อินเดียเขาเรียกว่า ภะคะวัน เช่นว่าเขาพูดว่า ภะคะวันบุดดา หรือ พุทธะ ภะคะวันพุทธะ เขาไปเห็นรูปพระพุทธเจ้าเขาก็กราบไหว้ แล้วเขาก็พูดว่า ภะคะวันพุทธะ หรือภะคะวันพุทธะโคตมะ ใส่นามสกุลเข้าไปด้วย คำนี้จึงเป็นคำสำหรับเรียกร้อง พระองค์ว่าพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคเป็นคำที่เราแสดงความเคารพ เหมือนเราไปพูดกับคน เราต้องใช้สรรพนาม อย่าใช้ชื่อคนที่อยู่เฉพาะหน้า เช่นเราไปพูดกับคนชื่อคุณแก้ว แต่เราพูดว่า "คุณแก้วเป็นยังไง คุณแก้วสบายดีไหม คุณแก้วทำอะไร มันไม่ถูก อย่างนั้นมันไม่เหมาะ เราควรใช้สรรพนาม ถ้าคนแก่กว่าเราก็เรียกว่า คุณ ถ้าอ่อนก็เรียกไปตามลำดับ หรือเรียกว่าท่าน เช่นเป็นผู้ใหญ่ เราก็ใช้คำว่าท่าน ท่านมีความสบายดีไหม ท่านทำอะไร อย่าไปเอ่ยชื่อเขาอยู่ตลอดเวลา พูดกับพระก็เหมือนกัน เช่นสมมติว่ามีคนมาหาหลวงพ่อ แล้วก็บอกว่า ท่านปัญญาสบายดีไหม อย่างนี้มันก็ไม่เคารพ เรียกว่าพูดไม่เป็น ว่าอย่างนั้นพูดไม่เป็น ก็พูดแต่เพียงว่า ท่านมีความสุขสบายดีหรือ หรือว่าพูดให้เคารพขึ้นไปอีกหน่อยว่า พระคุณท่านมีความสบายดีหรือ หรือว่าพระคุณท่านไปไหนมา อะไรอย่างนี้เขาเรียกว่าใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องตามภาษา เป็นผู้มีการศึกษา มีการเรียนรู้ในเรื่องการใช้คำพูด
พูดกับคนก็เหมือนกันหรือว่าเราจะเรียกในฐานะเป็นญาติ แก่หน่อยก็เรียกว่า คุณย่า คุณยาย คุณปู่ คุณตา คุณน้า คุณอา คุณลุง คุณป้า พูดอย่างนั้นน่ารักขึ้นไปอีก เช่นเราไปเห็นใครเราเรียกว่า คุณป้า เขาก็นึกว่าเรานี่เป็นหลานเขา เขาก็แสดงความเอื้อเฟื้อ เรียกว่าคุณลุงกับคุณอา คุณน้า หรือจะเรียกว่าคุณพ่อ คุณแม่ ก็ไม่เสียหายอะไร เราเรียกอย่างนั้น เรียกว่าเรียกด้วยถ้อยคำที่เคารพทำให้คนทั้งหลายมองเราว่า เป็นผู้ได้รับการอบรมในเรื่องการพูดจา ใช้ภาษาไทยถูกต้องเรียบร้อย แต่ก็เป็นความดีอันหนึ่ง
ในฐานะที่พระองค์ พระพุทธเจ้าของเรา เป็นที่รัก เป็นที่เคารพ เราก็ใช้เรียกว่า พระผู้มีพระภาค คนไทยเรามีเจ้ามีนาย เชิญเคารพพระเจ้าแผ่นดิน เพราะงั้นนั้นจึงเพิ่มคำว่า เจ้า เข้าไปด้วย ภาษาไทยเดิมๆเขาเรียกว่า เจ้า เหมือนกัน เช่นไปเชียงใหม่ เขาพูดว่านี่ของใคร เขาบอกว่า ของเจ้า หรือ ข้าเจ้า เขาใช่คำอย่างนั้นเป็นคำที่แสดงความเคารพเหมือนกัน เพราะงั้นเมื่อเราพูดถึงพระองค์เราก็พูดคำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นการแสดงความเคารพ ในเมื่อเราจะเอ่ยพระนาม เราก็พูดอย่างนั้น ว่าพระผุ้มีพระภาค หรือพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะงั้นคำแปลจึงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอะไร ก็เป็นพระอรหันต์
อรหันต์นี้เป็นคำบาลี อะระหันตะ ศัพท์นี้เป็นคำบาลี แปลว่าเป็นผู้ไกล เป็นผู้ควร เป็นผู้หักเสียซึ่งกงกำแห่งสังสารจักร ที่เรียกว่าไกลนั้น คือไกลจากกิเลส ไกลจากความชั่วด้วยประการทั้งปวง ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เรียกว่าเป็นผู้ไกลจากความชั่ว ไกลจากกิเลส ไม่มีความชั่ว ความเศร้าหมองอยู่ในใจของท่านจึงเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ ที่ไกลก็เป็นเพราะว่าท่านเป็นผู้รู้ ในเรื่องสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง เช่นรู้สังขารทั้งหลายว่ามันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์เป็นอนัตตาอย่างไร ความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอะไรๆ มันก็จางไปหายไป ไม่ต้องมีจิตขึ้นๆลงๆ เธอไม่ต้องยินดียินร้าย ไม่เพลิดเพลิน ไม่เหี่ยวแห้งใจ ไม่เหมือนกับคนเราธรรมดา ถ้าได้ล่ะก็ดีใจ ไม่ได้ล่ะก็เสียใจ สิ่งใดชังก็ไม่ต้องการ ในวันหนึ่งของชีวิตเราอยู่ด้วยการคิดว่า อยากจะได้อะไรจะมีอะไร หรือว่าจะผลักดันอะไรออกไป ใจอยู่กับเรื่องคิดบวกและคิดลบอยู่ตลอดเวลา บวกเข้ามาก็คือคิดอยากได้ ลบออกไปก็คือไม่อยากได้ คนที่เราไม่ชอบก็อยากให้ออกไป คนที่เราชอบอยากให้นั่งอยู่ ของใดเราชอบอยากจะมีไว้ ของใดไม่ชอบเอาไปทิ้งซะ อย่าเอามาไว้ อะไรอย่างนี้เป็นตัวอย่าง
วันหนึ่งๆ ใจเรายุ่งอยู่กับเรื่องอย่างนี้ เรื่องมี เรื่องได้ เรื่องไม่มี เรื่องไม่ได้ เรื่องชอบ เรื่องไม่ชอบ ขึ้นๆลงๆ ไม่มีเวลาสงบใจ มันผิดกับใจของพระอรหันต์เจ้าทั้งหลายที่ท่านไม่ขึ้นลงอย่างนั้น ที่ไม่ขึ้นลงก็เพราะว่าท่านเห็นอะไรถูกต้องตามสภาพที่มันเป็นจริง คนเรานี่เห็นอะไรมันเป็นคู่ เขาเรียกว่าเห็นเป็นคู่ มีสวยไม่สวย สูงต่ำ ดำขาว ยาวสั้น อ้วนผอม ดีไม่ดี สุขทุกข์ เสื่อมเจริญ อะไรต่างๆ เราเห็นอย่างนั้น เห็นเป็นสอง ไม่ได้เห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ว่าพระอรหันต์นั้นท่านมีปัญญาลึกซึ้ง ท่านเห็นอะไรก็เห็นเป็นอย่างเดียว ไม่เป็นสองเป็นสามเป็นสี่ เดียวกันหมดอะไรเท่าเทียมกัน คนกับสัตว์เดรัจฉานก็เห็นว่าเหมือนกัน ต้นไม้เหมือนกัน กับคนเหมือนกันผู้หญิงผู้ชายเหมือนกัน ราชามหากษัตริย์กับราษฎรสามัญก็เห็นเป็นอันหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่ว่าท่านเห็นว่าเหมือนกันแล้วก็ทำให้มันเหมือนกันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านทำตามระเบียบแบบแผนของสังคม
เช่น คบพระราชาก็พูดแบบหนึ่ง คบคนธรรมดาก็พูดแบบหนึ่ง หรืออยู่ในสังคมก็พูดให้เหมาะแก่สังคมที่เขาใช้ แต่ว่าโดยน้ำใจนั้นไม่ได้ยึดถือในเรื่องนั้นอะไรนักหนา เช่นเราไปด่าพระอรหันต์ท่านก็นั่งเฉยๆ เราด่าเหมือนกับด่าตอไม้ด่าก้อนหิน ท่านไม่ยอมรับคำด่า เราไปชมท่านก็ไม่ยอมรับคำชม ท่านไม่เอาสิ่งเหล่านั้น ท่านเห็นว่ามันไม่มีอะไร มันเป็นเรื่องสมมติที่เขาตั้งกันขึ้น เรียกอย่างนั้นเรียกอย่างนี้ เรียกไทย เรียกจีน เรียกฝรั่ง เรียกแขก เรียกอะไรต่างๆ พระอรหันต์ท่านไม่มีอย่างนั้น ท่านเห็นแต่เพียงว่าธรรมชาติปรุงแต่งเกิดขึ้นไหลไปตั้งอยู่เท่านั้นเอง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเราเขา ไม่มีการเข้าไปยึดถือในเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่คือพุทธศาสนาสอนให้มองอย่างนั้น ไม่มองแล้วเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขาขึ้นมา ถ้ามองเป็นตัวตนเราเขามันก็เกิดเป็นสองเป็นสามเป็นสี่แล้วก็เกิดแตกแยกกัน ฉันเป็นนั่น คนนั้นไม่ใช่พวกฉันมันเป็นสองแล้ว อาจจะเป็นสามเส้นก็ได้ หลายพวกหลายเหล่าที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน รบกัน ไม่รู้จักยุติ เหมือนกันกับสงครามในประเทศต่างๆที่รบกันอยู่นั่นมันเพราะเรื่องอะไร มันยังเห็นความแตกต่าง เห็นวัตถุเห็นอะไรต่างๆแตกต่างกัน ไม่เห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีปัญญา มอง ไม่มองด้วยปัญญา เพราะคำสอนในพระศาสนาไม่ได้สอนให้วิเคราะห์วิจัยด้วยปัญญาให้มองเห็นอะไรในรูปอย่างนั้น แต่ว่าสอนให้มีความยึดถือยึดมั่นในเรื่องต่างๆ ความยึดถือมันแรงขึ้นก็เลยกลายเป็นกิเลส พอเป็นกิเลสก็ต้องใช้อาวุธใช้หมัดใช้มวย ใช้อะไรต่ออะไรกัน รบราฆ่าฟันกันแล้วกลายเป็นเรื่องมีปัญหาขึ้นในสังคมเพราะความเห็นมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้พระอรหันต์เจ้าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่ได้เห็นอย่างนั้น แต่ท่านเสียถือว่าธรรมชาติอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ธรรมชาติตั้งอยู่ ธรรมชาติแตกดับไป ไม่เอาสิ่งสมมติเข้าไปใส่ในนั้น ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเราเป็นเขา ให้เกิดปัญหา ให้เกิดความวุ่นวาย คนเราที่เถียงกันเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆ เขาดูหมิ่นฉัน เขาดูหมิ่นฉันเพราะฉันไปรับคำดูหมิ่น เขาด่าฉัน เขาว่าฉัน เขาลักของฉัน เขาทำให้ฉันเจ็บใจ อันนี้มันไปยึด ยึดในตัวฉัน ในของๆฉัน แล้วในคำพูดที่เขาพูดออกมา เราไม่คิดด้วยปัญญา ถ้าคิดแต่เพียงว่านั่นมันเป็นของสมมติที่ออกมาจากจิตของคนนั้น แล้วจิตของคนนั้นถูกกิเลสครอบงำ จึงได้พูดคำหยาบไม่ไพเราะไม่เสนาะหู กิริยาท่าทางไม่น่าดูนั่นมันไม่ใช่ตัวจริงตัวแท้ แต่เป็นตัวที่เขาตกอยู่ในอำนาจของกิเลสจึงได้มีอาการเช่นนั้น คนเช่นนั้นเราไม่ควรจะไปโกรธเขาเพราะเขามันก็แย่เต็มทนอยู่แล้ว แต่เราควรจะนึกเมตตาเขา สงสารเขาในความโง่เขลาเบาปัญญาของเขา แล้วเราก็ให้อภัยเขา ถ้ามีทางใดที่จะสอนเขาให้เกิดความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาได้บ้าง เราก็หาโอกาสสั่งสอนอบรมบ่มนิสัยให้เขากลายเป็นคนที่มีความคิดถูกต้องขึ้น อย่างนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่เราจะไปโกรธเขา ไปเกลียดเขา ไปพยาบาทเขา แล้วหาเรื่องให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันดังที่เป็นๆกันอยู่ในสังคมในปัจจุบันนี้
เพื่อนเราได้ข่าวมากมายจากที่หนังสือพิมพ์มันลงให้เราได้อ่าน อ่านแล้วก็ไม่ได้อะไร อ่านไปงั้น เสียสตางค์เปล่าๆ เพราะมีแต่ข่าวร้ายๆ ซึ่งไม่น่าจะไปอ่านอะไร แต่ว่าคนก็ชอบอ่านเหมือนกัน ว่าใครมันฆ่าใคร ใครมันลักของใคร ใครทำอะไรใครอยากรู้ รู้แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เราเจริญทางจิตใจ หรือเจริญทางปัญญาขึ้นแม้แต่น้อย แต่เราก็อยากจะรู้เท่านั้นเอง ถ้ารู้แล้วเอามาใช้ในแง่ธรรมะมันก็เป็นปัญญา รู้แล้วไม่ได้เอามาใช้มันก็เท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนี้ เพราะงั้นให้เราได้รู้ความหมายว่าพระอรหันต์นี้ท่านไม่มีกิเลสไม่มีเครื่องเศร้าหมองใจ จึงเรียกว่าเป็นผู้ไกลจากความชั่ว ตัวเรานี้ยังอยู่ใกล้กับความชั่ว ใกล้เหลือเกิน ที่คว้าเมื่อใดก็ได้ เรียกว่าใกล้ไม้ใกล้มือหยิบใช้เมื่อใดก็ได้ เดี๋ยวหยิบความยุมาใช้ เดี๋ยวหยิบความโกรธมาใช้ เดี๋ยวหยิบเอาความหลงมาใช้ เดี๋ยวหยิบเอาความพยาบาทมาใช้ เอาความริษยามาใช้ เอาความเห็นแก่ตัวมาใช้ เอาความถือดีถือตัวมาใช้ มันใช้ไม่เข้าเรื่อง ใช้ให้ยุ ใช้ให้เกิดปัญหา เพราะงั้นเราอยู่ใกล้หยิบง่ายใช้คล่อง เหมือนคนพกปืนไว้ในกระเป๋า พอเกิดโกรธขึ้นมาก็เปรี้ยงเข้าให้ เปรี้ยงแล้วนึกได้ว่าเสียใจ ร้องไห้ว่าไปยิงเขาตาย อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่รู้จักใช้ของนั้นให้เป็นประโยชน์ ขาดธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ ไม่มีพระอยู่ในใจจึงได้เป็นอย่างนั้น เราจึงควรจะได้อัญเชิญพระอรหันต์มาไว้ในใจของเราเสียบ้าง หมายความว่าเราทำตนให้เป็นผู้ไกลจากความคิดชั่วๆ จากการพูดชั่วๆ จากการกระทำที่ชั่ว จากการไปสู่สถานที่ชั่ว จากการคบหาสมาคมกับเพื่อนชั่วๆ อะไรมันชั่วก็ห่างๆไว้ อย่าเดินเข้าไปใกล้ เหมือนเราเดินเข้าไปใกล้เห็นงูพิษ เราจะเดินเข้าไปทำไม เดี๋ยวมันฉกเอาเราเข้า เราควรเดินห่างๆ แล้วงูมันก็จะไม่ทำร้ายเรา หรือเห็นคนที่เขาเดินโซซัดโซเซเดินห่างๆ เข้าไปใกล้ไม่ได้ เดี๋ยวมันเมามาใส่เราจะชกต่อยเราและเราชกต่อยมันเลยก็ไปโรงพักกันทั้งคู่
คนโบราณเขาบอกว่า อย่าถือคนบ้าอย่าไปด่าคนเมา คนบ้าอย่าไปถือมันพูดอะไรทำอะไร อย่าไปถือ อย่าฟังอย่ายึดเข้ามาเป็นอารมณ์ คนเมาก็อย่าไปถือเพราะว่ามันเมามันไม่เป็นมนุษย์มนา มันขาดสติขาดปัญญา ไม่มีพระประจำจิตใจ เราเห็นอย่างนั้นเราก็หลีกซะให้ห่างไกลฉันใด กิเลสที่จะเกิดขึ้นในใจของเราเราก็พยายามหลีกๆ อย่าให้มันเกิด แต่ว่าเราอยู่ในโลกมันก็ต้องมีการกระทบ ตามีดูมันกระทบผ่านตา หูมีฟังกระทบผ่านหู จมูกมีรสดมกลิ่นได้มันก็ผ่านทางจมูก ผ่านทางลิ้น ผ่านทางปลายประสาท นี่ประตูเรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็เป็นผู้รับรู้เอาไปปรุงไปแต่งให้เกิดความยินดีบ้างยินร้ายบ้าง อยากได้บ้าง อยากผลักดันมันออกไปบ้าง อะไรต่างๆล้วนแต่เป็นเรื่องสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในชีวิตของเราด้วยประการต่างๆ เช่นเด็กนักเรียน เช่นอยู่ใกล้ความเกียจคร้าน เอาความเกียจคร้านมาใช้บ่อยๆ ไม่อ่านหนังสือไม่ทำการบ้าน ไม่สนใจที่จะศึกษาให้มีความรู้ แต่ว่าคิดจะไปเที่ยว จะไปดูโทรทัศน์ จะไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืน จะไปดิ้นตามสถานที่ที่เขาสร้างให้คนไปดิ้นกัน เขาเรียกว่าคาเฟ่อะไรต่างๆ อันนี้มันเป็นบ่อนรกที่เขาขุดไว้ตามถนนใหญ่ๆ คนที่มันไม่ค่อยจะเต็มเต็งเอาเงินไปใช้ในเรื่องอย่างนั้น ไม่ได้นึกว่าเป็นการลงทุนที่ทำลายรากฐานของจิตใจสังคม ทำลายรากฐานของความเป็นมนุษย์ให้มันน้อยลงไป น้องลงไป เด็กหนุ่มเด็กสาวก็ไปดิ้นกัน ร้องหวีดหวาดโวยวายเหมือนกับผีเข้าอย่างนั้นแหล่ะ มันทำอย่างนั้น ทำโดยไม่รู้สึกตัว คนหนึ่งทำอีกคนหนึ่งก็เอาอย่าง เลยก็วี้ดว้าดโวยวายกันเต็มไปในนั้นน่ะ ถ้าใครไปยืนดูแล้วก็คงจะสลดใจว่านี่มันโลกอะไร โลกคนดีหรือว่าโลกคนบ้า โลกของอะไร ถ้าไปดูในที่เหล่านั้นจะน่าเวทนาขนาดไหน ถ้าลูกเราหลานเราเหลนเราไปทำอยู่อย่างนั้น เราจะรู้สึกอย่างไร เราควรจะรู้สึกว่าเอ..มันไม่ไหวแล้ว พญามารมันจะดึงลูกเราหลานเราไปในทางเสื่อมทางเสียแล้ว อนาคตของครอบครัววงศ์ตระกูลมันจะตกต่ำ มันจะเสียหายเพราะมันไปหลงใหลมัวเมาสิ่งไร้สาระ เรียกว่าเป็นเรื่องไม่เจริญ แต่เขาเรียกว่าอารยะธรรมของตะวันตก อาตมาไม่อยากจะใช้คำนี้ให้มันเสื่อมศักดิ์ศรี ควรจะเรียกว่าอนารยธรรม
อนารยธรรมของตะวันตกที่เขาคิดเขาค้นกันขึ้นเพื่อความเป็นคนบาป เป็นคนมีกิเลสหนา แล้วเราก็ไปรับเอามาใช้ รับมาใช้เพื่ออะไร? มันได้สตางค์ เพราะคนมันชอบ คนมันชอบก็ได้สตางค์เลยเอาเงินมากินมาใช้ต่อไป แต่หารู้ไม่ว่าเรากำลังปลูกต้นไม้แห่งความเป็นบาปให้เจริญงอกงามขึ้นบนแผ่นดิน แล้วต้นไม้นั้นจะออกดอกเป็นพิษ ออกผลเป็นพิษ ออกใบเป็นพิษ ดินก็เป็นพิษ พิษทั้งหมด ใครเข้าใกล้ก็จะหมดความเป็นมนุษย์ไป เรียกว่าหมดความเป็นมนุษย์ เพราะไปได้กลิ่นต้นไม้นั้นเข้า ได้กลิ่นก็จะหมดความเป็นมนุษย์ ได้กินผลก็จะหมดความเป็นมนุษย์ เพียงแต่ไปนั่งใต้ร่มมันความเป็นมนุษย์มันก็จะหายไป หายไปอย่างไร คือจิตใจตกต่ำไปอยู่กับความสนุกสนานเพลิดเพลิน อันเป็นเรื่องของกิเลสแล้วความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มันก็หายไปจากจิตใจ นี่คือความเสื่อมที่จะเกิดขึ้นแก่เด็กน้อยๆของเรา ซึ่งเราจะต้องคอยกีดกันไว้อย่าให้ลูกของเราหลานของเรา คนที่อยู่ในบังคับบัญชาของเราต้องตกไปในสภาพเช่นนั้น
สมมุติว่าข้าราชการหนุ่มหรือไม่หนุ่มก็ตามไปเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้น เงินเดือนมันไม่พอใช้ เมื่อเงินเดือนไม่พอใช้ใจมันอยาก ใจมันสนุกก็อยากจะไป แต่เงินมันไม่พอ เมื่อเงินไม่พอจะทำอย่างไร ทำงานเกี่ยวกับบัญชีได้เงินอยู่ ก็หยิบเอาไปใช้ก่อน แล้วเมื่อเบิกเงินเดือนแล้วค่อยเอามาใส่ไว้ แต่ยังไม่ทันถึงเอาไปใส่ กตง. เขามาตรวจบัญชีเข้า งั้นก็อันตรายเลยกลายเป็นคนไร้งานไป ไร้งานไม่เท่าไร เขาย้ายทะเบียนไปอยู่คุกเสียด้วย เสียผู้เสียคนไปเลย มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะหลงในความสนุกทางตา ความสนุกทางหู ความสนุกทางจมูก ทางลิ้น ทางกายสัมผัส เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้นจนลืมเนื้อลืมตัว ลืมธรรมะลืมพระเอามาใส่ไว้ในใจ ก็ไหลไป แม้จะมีพระ พออยู่กับพระก็พลอยดิ้นกันไปกับพวกนั้นด้วยเหมือนกัน มันดิ้นหลวงพ่อก็ต้องดิ้นไปด้วย เลยดิ้นกันทั้งพระห้อยคอ ดิ้นทั้งคนถูกห้อยมันก็เลอะกันไปเท่านั้นเอง
นี่คือความเสื่อมในสังคมในยุคปัจจุบัน จึงใคร่ขอเตือนนักเรียนน้อยๆที่กำลังเป็นวัยรุ่น วันทีนเอจ เขาเรียกกันอย่างนั้นนะ เรียกว่า 16, 17, 18 มันวัยทีนเอจ จิตมันกำลังคะนองสนุกสนาน เวลาเดินก็เหมือนกับเต้นไปอย่างนั้นแหล่ะ เดินปกติไม่ได้มันต้องเต้นไป มือก็ต้องขยุกขยิกคล้ายกับคนเป็นไข้ สันนิบาตลูกนกอะไรอย่างนั้น ไข้สันนิบาตลูกนกเป็นแล้วมันสั่นไปทั้งตัว มือไม้ก็สั่น เดินกระตุกมือเท้าก็สั่น นี่เขาเรียกว่าไข้สันนิบาตลูกนกมันร้อนมาก ไข้ร้อนสูงเลยละเมอเพ้อพกนอนก็ไม่สงบ ไม่เป็นสุขน่ะเป็นอย่างนั้นมีขึ้นมากมาย เธอสังเกตดูเอาเด็กที่เดินบนถนน แล้วก็แต่งตัวแปลกๆ ใส่กางเกงสั้นๆ ใส่รองเท้าสูงๆ เสื้อก็แบบโบราณ คล้ายกับเอาเสื้อพี่มาใช้ เอารองเท้าแม่มาใช้แทน ไอ้ของตัวไม่ใช้ เอาของคนอื่นมาใช้ แล้วก็เดินทำท่าอ้อๆแอ้ๆ อ้อนแอ้นอรชร มันเป็นเขาเรียกว่าเกย์ คำนี้มันเป็นคำอะไรก็ไม่รู้ล่ะ เขาเรียกว่ามันเกย์ ไม่ใช่เกเร แต่ว่ามันเกย์แปลว่ามีความโน้มเอียงไปในทางเพศตรงกันข้าม ผู้ชายก็จะเป็นผู้หญิง ทำท่าทางเดินอ้อนแอ้น เข้าใกล้คุณแม่แล้วทำออเซาะ คุณแม่ก็หลงด้วยนะ หลงว่าแหม..มันน่าเอ็นดู แต่ไม่รู้ว่าจะฉิบหาย เห็นดูแบบนั้นน่ะลูกจะเสียหายล่ะไม่ว่า น่าเอ็นดู พูดจาเหมือนกับผู้หญิง ว่านอนสอนง่าย ต่อหน้าแม่นั้่นก็เรียบร้อยเหมือนกับผ้าพับไว้ แต่พอพ้นหน้าแม่ไปแล้วก็เหมือนกับอะไรดีล่ะ ไปแล้วไปเที่ยวเต้นหยองแหยงๆ กับเพื่อนต่อไป มีความคิดในทางตรงกันข้ามกับความเป็นอยู่ของตัว พวกนี้เขาเรียกว่าพวกจิตทราม ไม่ใช่จิตใจเจริญงอกงามในศีลธรรมอะไร จิตใจทรามตกต่ำ ฝรั่งก็เป็น มันเป็นที่โน่นก่อนนะ ไมใช่เป็นบ้านเรา บ้านเรามันไม่เป็นไม่ใช่อย่างนั้น ฝรั่งเขาเป็นแล้วเราก็ไปถ่ายแบบมา ฝรั่งทำอะไรนี่คนไทยเราชอบเอาอย่างเขาทั้งนั้นแหล่ะ ฝรั่งมากก็จะมากกับเขาด้วย ฝรั่งเมาฝรั่งเลี้ยวไหนก็จะเอาไอ้ตัวอย่างดีๆจากฝรั่งเราไม่ค่อยเอามาเท่าใจ แต่ไปเอาของที่ไม่เหมาะไม่ควรมาใช้ หารู้ไม่ว่ากำลังทำลายตัวเอง
ทำลายวัฒนธรรม ทำลายศีลธรรม ทำลายชาติประเทศให้มีการทรุดโทรม แล้วก็จะถึงแก่พังทะลายไป เด็กไม่รู้ใครจะบอกให้เด็กรู้ พ่อแม่นะต้องบอกให้เด็กรู้ ครูน่ะต้องบอกให้เด็กรู้ แต่ครูบางคนก็จะเป็นไปด้วยเหมือนกัน เขาเรียกว่ามีเหมือนกัน ครูเป็นอย่างนั้นก็มี อย่างนี้มันก็ไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะสอนเด็กไม่ได้น่ะมันจะเสีย อันนี้เราต้องช่วยสอนช่วยฝึกเด็กให้เกิดคิดนึก ให้รู้จักเพศสำนึกว่าเรานี่เป็นผู้ชาย เรานี่เป็นผู้หญิง เราจะต้องทำตนให้สมแก่เพศให้สมแก่วัย ให้สมแก่ฐานะวงศ์ตระกูล ควรจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ต้องพูดต้องเตือนต้องคอยแก้ไขคอยติคอยว่าให้เขาเกิดความละอายในการที่จะทำเช่นนั้น เราอย่าไปเออออห่อหมกเห็นด้วยกับเขาแล้วเราจะทำลายเขา เรียกว่าร่วมมือกัน ลูกของเราหลานของเราครอบครัวของเราตลอดจนถึงสิ่งดีงามภายในชาติให้ย่อยยับลงไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ญาติโยมอย่าคิดว่าเรื่องเล็กน้อย แต่ว่ามันเป็นคล้ายตัวหนอนที่ไชต้นไม้ ต้นไม้ที่เราปลูกๆไว้บางต้น ข้างนอกเปลือกเรียบร้อย แต่ว่าใบเหี่ยวแห้งลงไป ลองไปขุดดูมันมีหนอนไชราก รากทำงานดูดอาหารไม่ได้แล้วตัวหนอนก็ยังไชขึ้นไปตามลำต้น กินไส้ในของต้นไม้ ผลที่สุดต้นไม้นั่นยืนต้นตายไปเลย ไม่สามารถะจะใช้ประโยชน์อะไรได้ต่อไป เห็นไหมจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในต้นไม้ที่เราปลูกนี่เป็นตัวอย่าง ไอ้สิ่งชั่วร้ายทั้งหลายเนี่ยมันก็ทำลายจิตใจคน ทำลายวัฒนธรรมประเพณีศีลธรรม อะไรต่ออะไรไปหมดเลยมันไปไม่รอดน่ะ นี่น่ากลัวเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเราต้องให้ไกลจากสิ่งตกต่ำสอนลูกสอนหลานให้ห่างไกล โดยเฉพาะหนูๆ ที่เป็นนักเรียน ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ภาวะของความเป็น เป็นชายก็ให้เป็นชายสมชื่อ เป็นผู้หญิงก็ให้เป็นผู้หญิง ผู้หญิงมีลักษณะอ่อนโยนอ่อนหวานสุภาพเรียบร้อย ผู้ชายมันต้องเข้มแข็งแต่ไม่ใช่แข็งกระด้าง อ่อนโยนแต่ไม่ใช่คนอ่อนแอ ถึงคราวที่เราต่อสู้ก็สู้ได้ แต่ถ้าจิตใจมันอ่อนแอแล้วจะถูกเขาต้มเขายำเมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เช่นเด็กมีลักษณะจิตใจอ่อนแอแล้วก็มีสตางค์พอกินพอใช้ ก็จะถูกคนหลอกไปเพื่อเอาสตางค์ไปใช้ มันก็เอาไปใช้ตามที่เขาจูงไป เพราะใจมันอ่อนขาดเหตุผลไม่มีปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ เสียผู้เสียคนไปตามๆกัน อันนี้คือความเสียที่จะเกิดขึ้น
ในอนาคตข้างหน้าเมื่อเด็กนั้นเติบโตขึ้นอันตรายมันมี สาเหตุมันมี เราจึงต้องรู้สาเหตุของเรื่องนี้ แล้วหาวิธีแก้ไขไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยถืออุดมการณ์ว่า เป็นผู้ไกลไว้จากความตกต่ำทางจิตใจ ไกลไว้จากความชั่วความร้าย สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่มีแก่เรา พระอรหันต์ท่านเป็นผู้ขัดองค์กรรมแห่งสังสารจักร วงล้อแห่งวัฐจักร วงล้อคือมันหมุนเรื่อยไป ชีวิตของเรานี้เรียกว่าอยู่ในวัฏฏะในการหมุนเวียน หมุนเวียนไม่รู้จักจบจักหยุดซักที หมุนเวียนอยู่ด้วยอะไร ด้วยกิเลส ด้วยการกระทำที่เรียกว่ากรรม แล้วก็เกิดผล พอเกิดผลก็เกิดยินดีเพลิดเพลินในกิเลสนั้น หรือว่าเกิดยินร้ายไม่เพลิดเพลินในกิเลสนั้น ก็เป็นเหตุให้กระทำอีกน่ะ คนเราชอบก็ทำ จะชังก็ทำเหมือนกัน ถ้าชอบก็ทำเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนชอบ ชังก็กระทำเพื่อให้กำจัดสิ่งที่ตนไม่ชอบออกไปมันเป็นเหตุให้กระทำต่อ ทำแล้วมันก็เกิดผลแล้วก็วนอยู่อย่างนั้น วนเป็นวงล้อเรียกว่าวงล้อแห่งสังสาระ คือการเวียนว่ายตายเกิดทางจิตใจ เกิดอยู่ตลอดเวลาไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น เกิดแล้วเกิดอีก เหมือนคนไปดูหนังชอบใจ วันหลังก็ไปดูอีก ไปฟังเพลงชอบใจก็ไปฟังอีก ไปเล่นโบว์ลิ่งชอบใจก็ไปทอยโบว์ลิ่งต่อไป ไปสนามม้าชอบใจก็ไปทุกเสาร์ทุกอาทิตย์ไม่มาวัดมาวา ไปให้ม้าเตะทุกวันเสาร์ทุกวันอาทิตย์ นี่แหล่ะเขาเรียกว่าเวียนอยู่ในสภาพเช่นนั้น เวียนอยู่ในบ่อนการพนัน เวียนอยู่ในเรื่องการดื่ม เวียนอยู่ในเรื่องความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน ความเหลวไหลในการตามใจตัวเอง เวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้นกันสักที แล้วมันจะสบายตรงไหนเมื่อเราอยู่ในสภาพเช่นนั้น ชีวิตมันก็ไม่มีเรื่องพักเลย ไม่มีเรื่องสงบกับเขาเลย พระอรหันต์ท่านเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าท่านชี้ให้เข้าใจว่ามันเป็นทุกข์มันเป็นโทษอย่างไร แล้วก็แนะนำว่าไม่ต้องไปเวียนอยู่กับเขาอีก ไม่ต้องไปวนอยู่กับสิ่งนั้นอีกต่อไป ยุบมันเสีย หักมันเสีย หักเสียหักด้วยอะไร การหักนั้นมันมีสองอย่าง เรียกว่าหักด้วยการข่มใจ หักด้วยปัญญา หักด้วยการข่มใจคือบังคับตัวเองไม่ให้ทำในสิ่งนั้นต่อไป
เช่น เรารู้ว่ามันไม่ดีเราหักใจไม่ทำ เช่นเราสูบบุหรี่ ถ้าเราได้ฟังพระท่านเทศน์ท่านสอนให้รู้ว่าบุหรี่มันไม่ดีมันให้โทษแก่ร่างกาย ควันมันเป็นพิษทำให้ถุงลมในปอดพอง ทำให้หลอดลมอักเสบ ทำให้เป็นพิษแก่กระเพาะอาหาร ทำให้เป็นพิษแก่สมอง หลายเรื่องโทษมันเยอะ หมอเขาเขียนไว้ดีแอบประหลาดใจนะ คุณหมอที่เขียนเรื่องโทษบุหรี่กลับสูบบุหรี่เอง ชั้นได้อ่านแล้วก็นึกว่าหมอไม่สูบ วันนั้นนิมนต์ไปที่ไปเจอตัวหมอเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล คาบไปป์ตลอดเวลา แม้เวลาฟังปาฐกถาก็ไปป์ไม่หลุดจากปาก เลยพอ ..... "อาตมาอ่านหนังสือที่คุณหมอเขียนนี่ชอบใจเหลือเกิน" ท่านถามว่า "เรื่องอะไรครับ" "เขียนเรื่องโทษบุหรี่นี่ละเอียดดีเหลือเกิน อ่านแล้วชอบใจ แต่ว่าวันนี้เห็นผู้เขียนแล้วก็ไม่สบายใจ" ท่านบอกว่า "ไม่สบายใจยังไง?" "ก็ผู้เขียนคาบไปป์ไม่วางจากปากเลย" แล้วก็เรียกว่าเขียนตามทฤษฎีแต่ว่าการปฏิบัติไม่มี ท่านบอกว่า "ผมมันติดเสียนานแล้ว" อ่าวนั่น รู้ว่าติดแต่ไม่ละก็อย่างนี้ เขียนให้คนอื่นได้แต่ตนเองละไม่ได้มันก็ไม่ได้เรื่องนะ เรามันต้องรู้แล้วก็ต้องละด้วยมันถึงจะได้ นี่เมื่อเราเห็นทุกข์เห็นโทษเราก็ตัดสินใจว่า เอ้าเลิก ไม่สูบมันต่อไป โทษเหล้ามีเราไม่ดื่มอีกต่อไป ไปเที่ยวกลางคืนมีโทษเราไม่เที่ยวต่อไป อะไรที่มันไม่ดีไม่งามเราทำแล้วมันเกิดทุกข์เกิดโทษ ตัดสินใจเลิกมันเลยเด็ดขาดไม่กินไม่ดื่มต่อไป
คุณโยม..อาตมาเนี่ยไม่ดื่มเหล้าเลย ไม่ดื่มเลย อันนี้ก็วันหนึ่งมีคนมาบอกว่า เห็นลุงไปนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นั่นน่ะ อาตมาบอกคุณโยม คุณโยมบอก "ฮึ ไม่ใช่มองตัวผิด มองตัวผิด ไม่เชื่อหรอก เพราะว่าโยมแกไม่เห็น ก่อนนี้ดื่มเหมือนกัน ตานี้ดื่มเมามาก พอโดนตำรวจจับเอาไปขังไว้ที่กรงที่โรงพัก ขังไว้คืนหนึ่งตื่นเช้าขึ้นมา พอนอนตื่น "เอ๊ะ!! อะไร ทำไมกูมานอนนี่" ถ้าไปนอนอยู่ในกรงนี่ มันไม่ใช่คนแล้ว ไปนอนอยู่ในกรงนี่ ก็ถามตำรวจว่า "ทำไมจับผมมาขังไว้ในกรงล่ะ" เขาบอกว่า "เมื่อคืนนี้เมาแล้วไปก่อเรื่องจะชกจะต่อยกันบนถนน เลยจับมาขังกรงไว้" "อ่อ... อย่างนั้นรึ" เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก ปล่อย แต่ว่าพอปล่อยออกจากกรงก็บอกว่า "จำไว้นะ ผมจะไม่ดื่มของเมาอีกต่อไปตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป" แล้วไม่ดื่มจริงๆ ไม่ดื่มเลยของเมานี่ไม่ดื่ม แต่ว่ายังสูบบุหรี่อยู่บ้าง สูบบุหรี่ โยมหญิงเห็น โยมชายสูบบุหรี่แล้วแกไอมาก เป็นโรคหลอดลมอักเสบ เป็นวัณโรครักษาไม่หาย มันเป็นพันธุ์มา คุณปู่ก็เป็น คุณทวดก็เป็นรักษาไม่หาย แล้วโยมสวดอาตมาใหญ่ ไม่ให้แตะต้องบุหรี่เลยเป็นอันขาด เลยสูบไม่เป็นจนกระทั่งบัดนี้ หลอดลมดีปอดดีแข็งแรง เพราะไม่มีสิ่งเป็นพิษเข้าไป โยมแกอดได้เพราะหักใจ แข็งใจ เพราะอายเหลือเกินในการที่ต้องไปอยู่ในกรงเช่นนั้น มันไม่สมศักดิ์ศรีอะไร ที่คนอย่างเราเข้าไปนอนอยู่ในกรง ไม่ใช่สุนัขไม่ใช่เสือไม่ใช่หมีที่จะต้องขังกรง ละอายเลยเลิกเลยไม่กินต่อไม่ดื่มต่อไป หักใจได้เป็นคนเข้มแข็งทางจิตใจพอสมควรจึงละได้อย่างนั้น
อีกอย่างหนึ่งนั้นเรียกว่า ละด้วยปัญญา ละด้วยปัญญาก็หมายความว่า เราคิดเตือนตนบ่อยๆแต่เรื่องนั้น คิดมันทุกลมหายใจเข้าออกน่ะ คล้ายกับเจริญอาณาปานสติกำหนดลมหายใจเข้า กำหนดเฉยๆยังไม่เกิดปัญญา แต่เรากำหนดคิดว่าเราจะไม่ดื่มของมึนเมา เราจะไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็คำนึงถึงโทษของมันถึงความทุกข์อันเกิดขึ้นจากสิ่งเสพย์ติดเหล่านี้ มองให้ลึกมองให้ละเอียดมองให้เห็น และดูตัวอย่างเพื่อนฝูงมิตรสหายของเราที่เขาจ้องเสพย์สิ่งชั่วร้าย แล้วเขาเป็นอย่างไร ฐานะครอบครัวเป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอยู่เป็นอย่างไร พิจารณาแล้วก็มองไปจนเกิดความเบื่อหน่าย คลายความพอใจ จิตมันก็หลุดพ้นไปจากสิ่งเหล่านั้น เราก็เรียกว่าเป็นผู้ชนะ ผู้ใดชนะได้คนนั้นเป็นคนเก่ง ชนะอะไร ชนะมวยได้เหรียญเงิน ชนะฟุตบอล ชนะอะไรมันก็ไม่เก่งอะไรนะ เพราะว่ามันเป็นชนะภายนอก แต่ถ้าชนะใจของตนเองนั่นแหล่ะเป็นยอดแห่งผู้ชนะ ผู้ชนะใจตนเองยอดแห่งผู้ชนะ อันนี้เราจะผจญกับสิ่งชั่วร้ายในตัวเรา เราก็ต้องรู้ว่าตัวเรานี่มันบกพร่องอะไร เช่นเราเป็นคนขี้คร้านไม่เอางาน ต้องต่อสู้กับความเกียจคร้าน แข็งใจขยันไว้ แล้วให้เห็นโทษแห่งความเกียจคร้านนี้ว่าไม่ดี
เช่น เราเป็นเด็กนักเรียนเนี่ย ถ้าเราเกียจคร้านครูถามทีไรตอบไม่ได้ ทำแบบฝึกหัดทีไรได้ก็ไข่ทุกที วันหนึ่งหลายใบเอามาต้มกินก็ไม่ได้เรื่องอะไร แล้วก็ถูกครูดุครูว่า แต่คนอื่นเขาเรียนเก่งครูชมเชย ได้คะแนนดีสอบได้ก็ได้เลื่อนชั้น ไอ้เราไม่ได้เลื่อน ต้องอยู่ซ้ำที่เดิม รู้ว่าบกพร่อง เมื่อรู้ว่าบกพร่อง ต้องรู้ว่าตัวบกพร่องน่ะมันถึงจะถูก แต่ถ้าไปน้อยใจเรื่องอื่น น้อยใจว่าครูนี่แหม ตรวจอะไรไม่ให้ถูกเสียเลย ก็ตัวทำไม่ถูกครูจะให้ถูกได้อย่างไร นี่ไปโทษครู ไปโทษคนนั้นโทษคนนี้ โทษบุคคลภายนอก เหตุการณ์ภายนอกไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นทางที่จะปรับตัวเราได้เลย คนเรามันต้องโทษตัวเอง ต้องรู้จักความบกพร่องของตัว ความผิดของตัว แล้วเราก็แก้ไข
เช่น เราเป็นคนใจร้อน เราก็ท่องไว้ในใจบ่อยๆ ต้องเป็นคนใจเย็น เย็นๆ ใจเย็นๆ พูดไปเรื่อยๆเลย พูดไว้ข้างใน ไม่พูดดังๆ พูดดังก็ไม่เป็นไรคนอื่นได้ยินเขาจะได้ช่วยเป็นพยานมั่ง บอกว่าใจเย็นๆ อย่าใจร้อน เวลาจะไปคุยกับใครก็ท่องคาถาไว้ ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน ถ้าเห็นเขาพูดอะไรแรงๆหน่อย เย็นๆไว้ เย็นๆไว้ อย่าร้อนๆ อย่าพ่นไฟเข้าใส่กัน เดี๋ยวมันก็จะตายทั้งสองข้าง พ่นน้ำใส่กันดีกว่า พ่นน้ำหอมดีกว่า คอยพูดคอยเตือน จิตมันเป็นไปตามเราแนะนำ ถ้าเราแนะนำตัวเราอย่างไรมันก็โน้มเอียงไปในทางอย่างนั้น เราแนะนำให้ขยันก็จะเป็นคนขยัน แนะนำให้ไม่สูบมันก็จะไม่สูบ แนะนำให้เมตตามันก็จะเกิดความเมตตาปราณีกับคนอื่น ที่เราหักได้ ไม่ใช่หักไม่ได้ สิ่งทั้งหลายหักได้ หักใจได้พิจารณาให้เกิดปัญญา แล้วก้อหักสิ่งนั้นเลิกสิ่งนั้น เหมือนกับพระอรหันต์ท่านหักกงกรรมแห่งสังสารจักรได้ หนูๆที่เป็นนักเรียนลองไปนั่งพิจารณาตัวเอง ว่างๆนั่งนึกตัวเองว่าเรานี่บกพร่องอะไร การเรียนเป็นอย่างไร การงานเป็นอย่างไร เรามีความเชื่อฟังพ่อแม่ขนาดไหน เชื่อฟังคำครูขนาดไหน เราใช้สตางค์เปลืองขนาดไหน เราคบเพื่อนประเภทใด เราไปเที่ยวที่ไหน เรากระทำอะไรที่มันไม่เหมาะไม่ควรแก่ชีวิตของเราบ้าง ต้องพิจารณามองดูตัวเองรู้จักตัวเอง แก้ไขตัวเอง ตักเตือนตัวเอง มันก็ดีขึ้นทั้งนั้นแหล่ะ คนเรามันดีตรงนี้ ตรงที่มองดูตัวเองพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเองแล้ว แก้ไขตัวเองได้ แต่ถ้าเราไม่มองตัวเอง ไม่พิจารณาตัวเอง มันจะแก้ไขได้อย่างไร ไม่มีทาง เป็นอยู่อย่างใดก็เป็นอยู่อย่างนั้น วนอยู่อย่างนั้น เหมือนมดวนอยู่ปากอ่างน้ำผึ้งนั้น วนอยู่ไม่ได้กินสักหน่อย วนไปวนมาเป็นแถว ไม่ได้กินสักทีเพราะมันไม่ได้ลงไปในอ่างมันไม่ตัดสินใจกระโดดลงไป เพราะว่ามันไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร มดมันเป็นอย่างนั้น ไอ้คนเราก็เที่ยววนอยู่บนปากอ่างของความชั่วร้าย ของการพนัน ของสิ่งเสพย์ติด ของความสนุกสนานยามราตรี ของการฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในเรื่องอะไรต่างๆของความเกียจคร้านเหลวไหล แล้วมันจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
คนเราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดเตือนจิตสะกิดใจไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต เด็กๆที่เริ่มต้นด้วยการคิดถูกต้องการพูดถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้องมันก็ก้าวหน้าแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองต่อไป เวลานี้ชาติไทยเรากำลังขาดแคลน คือขาดแคลนคนที่มีจิตใจสูง มีคุณธรรมประจำใจ กำลังขาดแคลนลงไปเรื่อยๆ คนเก่าๆแก่ๆที่เขามีความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละเพื่อประเทศชาติก็ตายไปเรื่อยๆ คนใหม่ที่เกิดมามันมีทัศนคติใหม่ มีความคิดแนวใหม่ ยึดถือในเรื่องวัตถุแข่งขันกันในการมีการได้ซึ่งวัตถุต่างๆ การคอร์รัปชั่นกินสินบาปสินบนมันก็เจริญงอกงามขึ้น ความเสื่อมโทรมก็จะเกิดมากขึ้น และเมื่อสิ่งเสื่อมโทรมเกิดมากขึ้น ชีวิตจะเป็นอย่างไร ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร เราทั้งหลายลองคิดดูเถอะ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายคุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายตลอดจนถึงใครรับผิดชอบในเรื่องอะไรนี่คิดดูเถอะว่ามันจะเป็นอย่างไร และเมื่อคิดได้แล้วอย่านอนคิดอยู่ อย่าไปนั่งเฉยๆคิด มันต้องลุกขึ้นทำการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ต้องแก้รวดเร็วเหมือนไฟไหม้บ้านรีบดับ ไม่รีบดับมันก็หมดบ้านไฟไหม้หมดแล้วเราจะหอบเสื่อไปนอนไหน จะมานอนวัดมันก็ไม่ไหวสักคืนสองคืนได้ หลายคืนมันก็ไม่ไหวมันนอนไม่สบาย เพราะงั้นเราต้องดับไฟเสียก่อนอย่าให้มันเกิดขึ้น ไฟนอกก็ต้องรีบดับไฟด้านในก็ต้องดับเหมือนกัน ไฟข้างในคือไฟกิเลสต้องดับเสีย
พระอรหันต์ท่านหักเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดไฟหมดแล้ว เพราะงั้นท่านจึงชื่อว่า ดับเพลิงกิเลสนะ เพลิงกิเลสดับได้เพลิงทุกข์มันก็ดับได้เพราะเพลิงทุกข์มันเกิดจากเพลิงกิเลส เพลิงกิเลสก็คือ ความชอบใจยินดีมากมายในสิ่งนั่น โทสะจิตขุ่นมัวเศร้าหมองคิดจะฆ่าจะแกงกัน โมหะหลงมัวเมาไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร นี่เรียกว่าไฟกิเลส กิเลสทุกประเภทเป็นไฟข้างในที่มันเผาให้เราเร่าร้อน ต้องลุกขึ้นเดินพล่าน เหมือนชะมดติดจั่น ชะมดในกรงถ้าติดจั่นมันเดินไม่ได้มันดิ้นอยู่ที่เดียว อยู่ในกรงเดินไปเดินมา ไอ้เราก็ร้อนอกร้อนใจนั่งไม่ได้นอนไม่ได้ อยู่ในห้องแอร์แล้วมันก็ไม่เย็น มันเย็นแต่ผิวหนังแต่ใจมันไม่เย็น มันร้อนอยู่ตลอดเวลา นี่ไฟ ไฟข้างในมันร้อนนักหนา ไอ้ที่เขาพูดว่าไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้โลกในวันหนึ่งอันนี้เป็นความจริง ตราบใดที่มนุษย์พอกพูนกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ วันหนึ่งไฟบรรลัยกัลป์จะเกิดไหม้โลก ไหม้โลกเพราะรบกันแล้วก็แสวงหาอาวุธที่ชนิดร้ายๆ เพลานี้ก็เตรียมให้โลกเสื่อมอยู่หลายเรื่องนะ ระเบิดปรมาณู ไฮโดรเจนบอมบ์อะไรต่ออะไร คิดกันแต่เรื่องอย่าทำให้โลกเสื่อมนะ สร้างขึ้นๆ สร้างไว้มากๆมันต้องใช้กันสักวันหนึ่ง คนมี คนบ้าๆบวมๆ เป็นใหญ่ขึ้นในบ้านเมือง ไม่ควบคุมจิตใจใช้โมโหโทโส เครื่องมือเราเยอะแยะเอาสักที่เถอะ อ่าว..มันก็ตายล่ะสิ ตายกันเป็นเบือ ตายจนไม่มีใครจะฝังใคร มันตายกันใหญ่นะ ไม่รู้ใครจะฝังใคร นี่คือความเสียหาย เพลิงกิเลสมันเผาแล้วทุกข์มันก็เกิดขึ้นทำให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายด้วยประการต่างๆ
ญาติโยมทั้งหลายเคยถูกเพลิงเผาผลาญบ้างไหม ลองคิดดูซะ มีด้วยกันทุกคนนะ เพลิงน่ะมันเผา แหม ... ลุกขึ้นมือเท้าสั่นกระทืบพื้นปึงปังๆ แสดงท่าหน้ายักษ์หน้ามารขึ้นมาเลย กิเลสมันเผาแล้วนะ ทำท่าเป็นยักษ์ ยักษ์ก็คือความโกรธความเกลียด ความไม่รู้ว่าตัวกำลังทำอะไรแสดงท่าออกไป เมื่อคนหนึ่งแสดง อีกคนหนึ่งบอกว่า "กูก็มีแสดงเหมือนกัน" เอ้าเลยแสดงแข่งกันสองคน พอแข่งกันสองคนก็พุ่งเข้าใส่กัน ก็เกิดเรื่องบ้านแตกสาแหรกไม่ขาด ก็ยุบยับไปหมด นี่ก็คือตัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องพยายามหักเสีย พยายามทำลายเชื้อแห่งไฟไม่ให้เกิดลุกลามในจิตใจของเรา หักได้ด้วยอะไร ทำลายด้วยอะไร ก็ต้องใช้สติเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ คอยกำหนดรู้อยู่ที่อาการความคิดของเรา ว่าเวลานี้เราคิดอะไร เรานึกเรื่องอะไร เราพูดจาเรื่องอะไร มันต้องคอยคิด คอยนึก คอยตรึก คอยตรอง ให้รู้ไว้ รู้จิตของตัวเอง รู้ความคิดของตัวเอง แล้วก็รู้ว่าคิดดีหรือคิดชั่ว คิดในทางเสื่อมหรือว่าคิดในทางเจริญ คิดในทางสร้างสรรค์หรือว่าคิดในทางจะทำลายล้าง มันต้องรู้ต้องเข้าใจ พอเห็นว่ามันคิดไม่ดี พูดดักเสียด้วยปัญญา ใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ พิจารณาว่าเอ..ไอ้นี่มันคืออะไร แล้วมันอยู่กับเรานี่เราร้อนหรือเย็น เราสงบหรือวุ่นวาย เราเป็นอย่างไรก็พิจารณา รู้ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องนี้ง่ายๆ เพราะมันอยู่ในตัวเรา เรารู้เราเห็น แต่รู้แล้วไม่ทำนั่นเองมันจึงเสียหาย ไม่ขูดไม่เกลาไม่ชำระชะล้าง นั่งดูมันให้มันเจริญต่อไปมันก็ทำลายเราจนตัวเรามอดไหม้ไป ด้วยอำนาจสิ่งเหล่านั้นก็เกิดความเสียหาย เพราะงั้นจะต้องเอาคุณค่าของพระอรหันต์ ต้องพยายามที่จะเป็นผู้รู้จักตัวเอง ตื่นขึ้นทำหน้าที่ แล้วทำให้ติดต่อด้วยความขยันขันแข็ง ไม่ละเลยเพิกเฉยต่อหน้าที่เหล่านั้น เราก็จะเอาตัวรอดปลอดภัย ได้ด้วยประการทั้งปวงดังที่แสดงมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่ญาติโยมและนักเรียนทั้งหลายที่ได้มาฟังในวันนี้ ก็สมควรแก่เวลา ขอให้ทุกท่านได้มีจิตใจประกอบด้วยคุณธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจงทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ ต่อนี้ไปก็นั่งสงบใจ นักเรียนก็แล้วแต่นั่งสงบใจด้วย นั่งสงบใจคือนั่งตัวตรง นั่งตัวตรง เอามือขวาวางบนมือซ้าย วางไว้บนตัก นักเรียนนั่งในสนามวางบนตัก หลับตาแล้วก็มากำหนดที่ลมหายใจ หายใจเข้ากำหนดรู้ว่าลมเข้า หายใจออกกำหนดรู้ว่าลมออกมา ให้จิตคิดอยู่ที่ลมเข้าลมออก อย่าให้ไปคิดเรื่องอื่น คอยคุมไว้ คุมไว้ด้วยสติเป็นเวลา ๕ นาที เอ้าเริ่มได้