แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศานาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่าเดินไปเดินมา ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชนอันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์ตรงกับวันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ อันเป็นวันพระตามปกติที่ญาติโยมทั้งหลาย ผู้สมาทานอุโบสถก็ได้มาวัดกัน รับศีล ฟังธรรม กันตามปกติทั่วๆไป วันนี้มีนักศึกษาวิทยาลัยครูโคราชได้เดินทางมาทัศนาจรทางกรุงเทพ แต่ก็ได้มาแวะที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ เพื่อมาดูว่าที่วัดนี้ ในวันอาทิตย์เขาทำอะไรกันบ้าง แต่ว่าสถานที่นั่งในห้องประชุมนี้ไม่พอ นักเรียนทั้งหลายจึงต้องนั่งอยู่ตามใต้ต้นไม้ บริเวณลานไผ่ ได้ฟังเสียงแต่ไม่เห็นองค์ผู้แสดง ไม่เป็นไร เอาเสียงไว้ก่อน องค์ผู้แสดงนั้น เวลาจบปาฐกถาแล้วค่อยไปเดินเยี่ยมเยียนให้นักศึกษาที่มาจากโคราชได้ดูหน้าดูตากันต่อไป หน้าตานั้นก็ไม่ผิดประหลาดอะไร จมูกปากอะไรก็เหมือนคนทั่วๆไป ไม่ใช่เป็นของแปลก แต่ว่าคนเราก็อย่างนั้น อยากจะเห็นหน้า เห็นตาของผู้กระทำกิจที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ มีชื่อเสียงดังๆนิดหน่อย ก็อยากจะดูว่าหน้าตาเป็นอย่างไร พอดูแล้ว ก็คงโล่งว่าก็เหมือนกัน จมูกก็อย่างนั้น จะปากก็อย่างนั้น อะไรก็อย่างนั้น มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่แปลกในเรื่องรูปร่าง แต่ว่าความแปลกมันอยู่ที่ใจของคนเรา ใจคนมันแตกต่างกัน ถ้าใจประกอบด้วยกุศลธรรม อะไรที่ออกมาก็เรียบร้อย ถ้าใจประกอบด้วยอกุศลธรรม สิ่งที่ออกมาจากใจนั้นก็ไม่เรียบร้อย เพราะฉะนั้นเราอย่าคิดดูรูปร่างหน้าตา แต่ควรคิดว่าการแสดงออกของบุคคนั้นเป็นไปในรูปใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟังสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ สิ่งมีผู้นำมาแสดงให้แก่เราฟัง นั้นแหละเป็นเรื่องที่เราควรจะสนใจเป็นพิเศษ เพื่อฟังให้รู้ให้เข้าใจ จะได้นำไปใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป เพราะอย่างนั้นในวันนี้ จะพูดกับผู้มาไกลให้มากสักหน่อย ญาติโยมที่เคยฟังเป็นประจำก็เรียกว่าพลอยฟังไปกับคนที่มาจากจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นนักศีกษาวิทยาลัยครู เดินทางมาทัศนาจรกรุงเทพ เขาอุตส่าห์มาแวะที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ เพื่อดูกิจกรรมที่ได้กระทำกันอยู่ในวันนี้ ว่ามีอะไรบ้าง กระทำอย่างไร การเทศน์การสอนเป็นไปในรูปแบบใด พวกนักศึกษาครูบาอาจรย์ก็จะได้จดจำ นำไปใช้ประยุกต์ให้เหมาะแก่ท้องถิ่นนั้นๆต่อไป
จึ่งใคร่จะขอทำความเข้าใจกับพวกที่มาคือ นักศึกษาทั้งหลายว่า เรายังเป็นผู้อยู่ในวัยที่เตรียมเนื้อเตรียมตัว เพื่อจะเป็นผู้ใหญ่ในการต่อไปข้างหน้า โดยเฉพาะนักศึกษาวิทยาลัยครู เตรียมตัวเพื่อจะไปเป็นครูต่อไปในการข้างหน้า การเป็นครูนั้นก็คือการเป็นบุคคลตัวอย่างแก่ศิษฐ์ของเราทั้งหลาย ที่มาศึกษาวิชาการจากเรา เราเป็นครู ไม่ใช่มีหน้าที่ แต่เพียงให้ความรู้แก่เด็กเท่านั้น แต่เราเป็นครูจะต้องแสดงออกให้เด็กเห็นเป็นตัวอย่างอยู่ตลอดเวลา การพูดการกระทำกิริยาอาการต่างๆที่เราจะแสดงออกนั้นจะต้องเป็นไปในรูปที่เรียบร้อยเหมาะสม ควรจะเป็นตัวอย่างแก่เด็กทั้งหลาย อันจะเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ต่อจากเราไปอีกชั้นหนึ่ง อันนี้แหละคือการเป็นครูที่แท้จริง การเป็นครูที่แท้จริงนั้นต้องมีน้ำใจเสียสละประโยชน์ในความสุขส่วนตัว เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่นักเรียนทั้งหลาย ที่เรามีหน้าที่ได้รับมอบหมายจากพ่อแม่ของเขา ให้ช่วยให้ความรู้ ให้การอบรม บ่มจิตใจให้งอกงามด้วยคุณธรรม อันเป็นหลักสำคัญของชีวิตต่อไป คุณธรรมนี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับชีวิต ที่เราจะต้องมีไว้เป็นหลักประจำใจ และต้องมีไว้ไม่ให้ขาดไม่ให้หาย ให้สมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา การแสดงออกทางกาย ทางวาจา ทางใจ ของเราก็เป็นไปในรูปที่เหมาะสมเป็นตัวอย่างแก่นักเรียนน้อยๆ ซึ่งเราจะออกไปรับภาระสั่งสอนต่อไป คนที่จะไปเป็นครู จะต้องมีฐานทางจิตใจ ว่าเราจะไปทำงานเพื่อความรู้ เพื่อความฉลาด เพื่อความสามารถ และเพื่อความเป็นคนที่มีความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์เรียบร้อย เป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมืองต่อไป
การที่เราจะไปทำงานอะไรนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใด ผู้ที่จะไปทำงานนั้นต้องมีจิตเสียสละ ประโยชน์ และความสุขส่วนตัว เพื่อไปทำงานนั้นๆไห้สำเร็จประโยชน์มากขึ้น เพราะการทำอะไร ถ้าเราทำโดยมุ่งประโยชน์ตนอยู่ การงานนนั้นก็จะไม่เรียบร้อย ที่ไม่เรียบร้อยเพราะอะไร เพราะเราคิดถึงตัวเราเป็นใหญ่ เอาประโยชน์ของตนเป็นเรื่องสำคัญ ประโยชน์ของตนนั้น บางครั้ง บางคราว มันก็ขัดกันกับประโยชน์อันเป็นส่วนรวม ถ้าเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมาก เราก็ทำลายประโยชน์ส่วนรวมเสียหายไป แต่มุ่งได้ประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ที่มีน้ำใจดีงาม มีคุณธรรมเป็นหลักคุ้มครองจิตใจนั้น ต้องคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว จึงจะเป็นผู้ทำงานนนั้นได้ด้วยความสมบูรณ์เรียบร้อย ให้ดูตัวอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย พระองค์มีความสุขส่วนพระองค์เพียงพอ ในฐานะเป็นเจ้าฟ้าชาย ในฐานะเป็นมกุฎราชกุมารที่จะได้รับราชสมบัติ เมื่อพระเจ้าพ่อสวรรคตแล้ว แต่พระองค์ไม่ได้หลงใหล มัวเมาในความสุข อันเป็นประโยชน์ส่วนพระองค์นั้น พระองค์เห็นว่าชีวิตที่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตนนั้นจะตายไปเสีย ปล่าวๆ โดยไม่เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง จึงได้เสียสละความสุขในวังออกไปอยู่ป่า ไปบำเพ็ญความเพียร ไปแสวงหาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ จนกระทั่งได้พบสิ่งนั้น เอามาประกาศสั่งสอนให้ชาวโลกได้เกิดความรู้ความเข้าใจกันต่อมา จนกระทั่งถึงพวกเราในทุกวันนี้นั้น อันนี้ได้มาด้วยอะไร ก็ด้วยน้ำพระทัยเสียสละของเจ้าชายสิทธัตทะ ซึ่งต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้แสดงสิ่งเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลาย ในการปฏิบัติ พระองค์เป็นตัวอย่าง
ตะกี้ว่าผิดไป ไม่ใช่วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวะศึกษา นครราชสีมา ชมรมศาสนาและวัฒนธรรม ขออภัยด้วยที่พูดผิดไปเมื่อตะกี้นี้ แต่ว่าธรรมที่พูดไปนั้น ไม่ผิด ใช้ได้ อาชีวะก็ใช้ได้เหมือนกัน ก็นักเรียนอาชีวะก็มุ่งไปเป็นครูเหมือนกัน เป็นครูอาชีวะต่อไป แต่ว่าเราเรียนวิชาเพราะในเรื่องอันจะเป็นประโยชน์แก่การที่จะไปประกอบอาชีพของเราต่อไป
การเรียนอาชีวะ มีเรียนหลายอย่าง ส่วนมากก็เป็นการช่าง ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างปูน ช่างอะไรต่ออะไร หลายอย่าง หลายประการ สุดแล้วแต่ใครชอบเรื่องอะไร ชอบทางไฟฟ้า ก็เรียนไฟฟ้า ชอบเครื่องยนต์กลไก ก็ไปเรียนเครื่องยนต์กลไก ชอบด้านไหน ก็ไปเรียนในด้านนั้น อันเป็นวิชาที่ประเทศชาติกำลังต้องการ เพราะประเทศเรากำลังพัฒนา ต้องการบุคคลที่มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศในด้านเกี่ยวกับวิชาอาชีพ สำหรับครูนั้น เดี๋ยวนี้เรียกว่าผลิตจนล้นแล้ว ไม่มีโรงเรียนจะให้สอนเวลานี้ ครูที่สำเร็จการศึกษาออกไป ก็ไม่มีงานทำ เที่ยวเดินหิ้วประกาศนียบัตรสมัครงานอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้จะไปทำงานที่ไหน แต่ว่าอาชีวะศึกษาหรือวิชาชีพนี่ ประเทศชาติยังต้องการ ต้องการคนปฏิบัติงาน พวกเรียนวิชาชีพในโรงเรียนอาชีวะศึกษา เป็นพวกปฏิบัติงาน เป็นพวกที่เขาเรียกว่าใช้แรงงาน แรงปัญญาเพื่อปฏิบัติในเรื่องต่างๆคนที่ใช้สมองในเรื่องเกี่ยวกับวิชาชีพ เป็นพวกสำเร็จปริญญา เช่นพวกวิศวะ พวกสถาปัต ซึ่งออกมาจากมหาวิทยาลัย พวกนี้เป็นพวกใช้สมอง เป็นพวกวางแผน ว่าจะทำอะไร แต่ว่าการทำนั้นอยู่ที่นักเรียนอาชีวะ ซึ่งจะต้องออกไปกระทำตามแผน ตามแปลนที่เขาออกมาให้ แล้วเราก็ดำเนินงานตามแนวนั้นๆต่อไป เมืองไทยเรานี้กำลังต้องการคนอาชีพประเภทนี้ ยังไม่ค่อยมีพอใช้ ถึงมีอยู่บ้างก็เรียกว่าทำตามๆกันมา ไม่ค่อยมีหลักวิชาในการปฏิบัติงาน กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตั้งกรมอาชีวะขึ้น เพื่อมุ่งปั้นคนออกมาสำหรับปฏิบัติงานในหน้าที่ต่างๆต่อไปข้างหน้า กิจการด้านอุตสาหกรรมของเราจะเจริญมากขึ้น มีการพัฒนาในเรื่องนี้หลายที่หลายแห่ง โรงงานเหล่านั้นต้องการบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการใช้เพื่อประกอบการปฏิบัติงาน ตามโรงงานต่างๆ คนที่เรียนวิชานี้จึงไม่ตกงาน มีงานทำ
แม้แต่ไปต่างประเทศ ไปตะวันออกกกลาง ไปสิงค์โปร ไปบรูไน เขาก็มีงานประเภทที่เกี่ยวกับวิชาอย่างนี้ ให้เรากระทำกันอยู่ทั่วๆไป เพราะฉะนั้นคนที่มาเรียนวิชานี้ ก็นับว่าเข้าถูกช่อง ถูกทางแล้ว ตั้งใจเรียนต่อไป เพื่อนำวิชานี้ไปใช้ ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่การงานต่อไป ตามหน้าที่ของเรา ในฐานะที่เราเป็นนักศึกษากำลังเรียนวิชาอยู่นี้ เราควรจะมีหลักใจอย่างไรบ้าง เพราะว่านักเรียนอาชีวะจะมีชื่อพอสมควรในเรื่องอะไรต่างๆ ตามจังหวัดทั่วๆไป เรียกว่ามีชื่อในทางฝ่ายบู๊ บู๊หมายความว่า ชอบยกพวกไปตีกันที่นั่น ตีกันที่นี่ เขาจำกันในเรื่องอย่างนี้ กรุงเทพเรานี้ก็ปรากฎเป็นข่าวบ่อยๆ ว่านักเรียนวิทยาลัยเทคนิคที่นั้น ยกพวกไปที่นู้น เฉพาะที่ชอบบ่อยก็คือ ช่างกลปทุมวันกับ เทคนิคช่างอุเทนถวายสมัยก่อน ซึ่งอยู่ใกล้กัน ไปมาถึงกันง่าย เขาชอบประลองฝีมือกันบ่อยๆในทางอย่างนี้ อันนี้อยากจะขอแนะนำว่า เราอย่าไปประลองฝีมือกันในรูปอย่างนั้นเลย เพราะการใช้วิธีการประลองฝีมือกันในรูปอย่างนั้น เรายังไม่เป็นผู้ที่เรียกว่าเจริญด้วยการศึกษา เจริญด้วยคุณธรรม เจริญด้วยปัญญา บุคคลผู้มีปัญญานั้นเขาไม่ใช้แรงกายในการต่อสู้ แต่ใช้แรงสมองในการต่อสู้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสกับนักศึกษาจำนวนมากครั้งหนึ่ง ว่าปัญญาชน เขาเดินด้วยหัว ไม่ใช่เดินด้วยเท้า และท่านก็ตรัสต่อไปว่าเดินด้วยเท้ามันต้องระวังหน่อย ประเดี๋ยวจะไปตกท่อที่ทางกทม. เขาเที่ยวขุดทิ้งๆ ไว้ แข้งขามันจะเสียหาย ท่านพูดไปในรูปอย่างนั้น แต่ที่สำคัญ ท่านตรัสว่าปัญญาชนเดินด้วยหัว คนที่ไม่คิด นี่จะเอาหัวเดิน เดินได้อย่างไร ถ้าไม่คิดก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าคิดอีกนิดหนึ่งก็หมายความว่า หัวนี่คือสมอง สมองเป็นบ่อเกิดแห่งความคิด เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา แห่งสติ แห่งอะไรๆ ทุกอย่างในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเรา ก็หมายความว่าใช้หัว ก็คือใช้สมอง ใช้ปัญญา ใช้สติ ใช้การบังคับตัวเอง ใช้ความอดทน ใช้ความเสียสละ ในการที่จะปฏิบัติกิจนั้นๆ อย่าทำอะไรในรูปที่เรียกว่าใช้อารมณ์ โดยไม่ใช้เหตุใช้ผล ยกตัวอย่างง่ายๆว่าเพื่อนของเราคนหนึ่ง ไปถูกใครทำร้ายมา พอมาเห็นเพื่อนถูกทำร้าย ด้วยน้ำใจที่มีความรักเพื่อน มันรุนแรง พอเห็นเพื่อนถูกทำร้ายก็ถามว่าใครทำร้ายพวกเรา
คนนั้นก็ตอบว่าพวกนั้นพวกนี้ ต่างคนต่างก็พูดว่า ไม่ได้ เลือดมันก็ต้องแก้ด้วยเลือด ฟันต่อฟันตาต่อตา แล้วว่าต้องไปแก้แค้น อารมณ์อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นกุศล ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นธรรมะ แต่เป็นอารมณ์แห่งตัวกิเลส อันเป็นธรรมชาติฝ่ายต่ำที่เกิดขึ้นในใจ ที่เกิดขึ้นในใจนั้น มันมีอะไรเป็นพื้นฐาน เริ่มแรกก็คือ ความถือว่าพวกเรา มาจากคำว่าตัวเรานั่นเอง เรามีความยึดถือในตัวเรา แล้วก็มีพวกของเรา พรรคของเรา อะไรต่างๆเกิดตามมา แล้วต่อไปก็เกิดความโกรธ พอเกิดความโกรธ ก็เกิดความเกลียด พอเกิดความเกลียด ก็เกิดความพยาบาท ที่จะไปแก้แค้นแก่บุคคลเหล่านั้น ในขณะที่ใจเราเป็นอย่างนั้น ถ้าพูดกันไปแล้ว เราไม่เป็นไท เราไม่เป็นมนุษย์ เราไม่เป็นพุทธบริษัท คือ ลูกศิษฐ์ของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าไม่เป็นไท นั่นก็เพราะว่า จิตใตตกต่ำไปเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว เป็นความโกรธ เป็นทาสความเกลียด เป็นทาสแห่งการพยาบาทอาฆาตจองเวร เราไม่เป็นไทเสียแล้ว เราเป็นทาส พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเป็นทาส เป็นความทุกข์ สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขํ (สัพพัง ปะระวะสัง ทุกขัง) (18.27) ความเป็นทาสของสิ่งทั้งปวงเป็นความทุกข์ สพพํ อิสสริยํ สุขํ (สัพพัง อิดสะริยัง สุขัง) (18.38) เป็นไท มีจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงเป็นความสุข เมื่อเราเป็นทาสเราก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ในการที่จะไปแก้แค้น เตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมไม้ เตรียมมีด เตรียมอะไรต่ออะไรหลายอย่าง ในขณะที่เรากำลังเตรียมสิ่งเหล่านั้น จิตใจไม่ได้เป็นไทเลย ไม่ได้มีความสะอาดอยู่ในใจ ไม่มีความสงบใจ ไม่มีความสว่างเป็นตัวปัญญา มีแต่ความมืดบอดเกิดขึ้นในจิตใจ ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มนั้น ไม่มีใครนึกได้เลย ว่าเรานี่จะฉิบหายกันใหญ่แล้ว เราจะยุ่งกันใหญ่แล้ว ไม่มีใครคิดได้ แต่ถ้าสมมุติว่า มีใครสักคนหนึ่งในหมู่นั้น เกิดความคิดขึ้นมา แล้วก็พูดว่า เอ๋ เอ๋ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน เรามันจะทำถูกหรือนี่ เราจะกำลังไปในเรื่องถูกต้องไหม ถ้ามีใครพูดขึ้นเช่นนั้น อาจจะเป็นแสงสว่างน้อยๆ ที่ส่องลงไปในความมืดของจิตใจ ของคนที่รวมอยู่ในที่นั้น อาจจะเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนจิตใจ ให้คนเรานั้นได้เกิดความคิดว่า ท่ามันจะไม่ดีเสียแล้วในการที่เราจะไปกระทำเช่นนั้น เรามันต้องศึกษาสาเหตุเสียก่อน ว่าทำไมเพื่อนของเราจะถูกทำร้าย เพื่อนของเราไปประพฤติอะไรมา ทำเรื่องอะไรมา ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ จึงควรจะนั่งลง สงบจิตสงบใจ แล้วก็ถามเพื่อนว่า นี่เพื่อน ที่เราไปถูกเขาตีศีรษะแตกมานี่มันเรื่องอะไร เขามาตีเราถึงบนบ้านรึ เขามาตีเราถึงในบ้านของเรารึ หรือว่าเราไปเที่ยวเดินอยู่ที่ไหน เขาจึงตีเอา เพื่อนก็คงจะบอกให้ฟังตามเรื่อง
เช่น สมมุติเพื่อนบอกว่า ไม่ได้มาตีที่บ้านหรอก อั๊วไปเที่ยวกลางคืน ไปเที่ยวเดินเที่ยวเล่น ทำท่าโฉงเฉงอยู่ในที่นั้น แล้วก็มีปากมีเสียงกับคนในที่นั้น เขาก็เลยทุบหัวเอา อย่างนี้เราก็ไม่ควรจะโกรธคนที่ทุบหรอก แต่เราควรจะโกรธเพื่อนของเรา แต่ไม่ใช่โกรธแล้วจะลุกขึ้นกัน รุมกระทืบเพื่อนของเรา ไม่ใช่เช่นนั้น แต่เราควรจะพูดว่า นี่มันเป็นความผิดของเพื่อนน่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้เราไปเที่ยวกลางคืนน่า กลางคืนมันควรจะอยู่บ้าน ควรจะเรียนหนังสือ นี่ไปเดินอยู่ตามตรอกตามซอย ไปกระทบไหล่กับคนอื่นเข้า แล้วก็ไปเถียงไปทะเลาะกัน จนเกิดเรื่องหัวร้างข้างแตก อันนี้มันเป็นการประพฤติผิด ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่ากลางคืนไม่ใช่เวลาควรเที่ยว เพราะกลางคืนเป็นเวลาของการพักผ่อน ธรรมชาติสร้างกลางวันไว้ให้ แล้วก็สร้างกลางคืนให้ด้วย กลางวันนั้นเป็นเวลาปฏิบัติงานในหน้าที่ของเรา เช่นเราเป็นนักศึกษา เราก็ไปเล่าไปเรียนตอนกลางวัน โรงเรียนเลิกตอนเย็น เราก็ควรกลับบ้าน กลับที่พัก มารับประทานอาหาร แล้วก็ควรจะอ่านหนังสือ อ่านเสร็จ ท่องสิ่งควรท่อง จำสิ่งที่ควรจำ สิ่งใดที่ควรจะให้เข้าใจก็ควรมีความเข้าใจไว้ เตรียมตัวแสวงหาความรู้ใส่เนื้อใส่ตัว เพื่อจะไปสอบได้ ให้ได้คะแนนดีๆ ไม่ไปเที่ยวไปเตร่ เพราะการเที่ยวกลางคืนนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่า ได้ชื่อว่าไม่รักษาตัว ไม่รักษาหัว ได้ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์ ได้ชื่อว่าไม่รักษาครอบครัว มักถูกทำร้าย มักถูกใส่ความ ตำรวจจับเอาไปโรงพัก ก็เห็นเราเดินด่ำๆมองๆอยู่ในซอย เขาก็สงสัยเลยจับไปสอบสวนดูก่อน ทำให้เสียเวลาในการเรียนหนังสือ แล้วก็เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย ที่เขาเห็นเราเดินด่ำๆ มอง ๆอยู่ตามตรอกตามซอย เขานึกว่าเป็นพวกตัดช่องย่องเบา เป็นพวกฉกชิงวิ่งราว ล้วนแต่เป็นความเสื่อมทั้งนั้น ไม่เป็นความเจริญแก่ชีวิตอะไรของเรา เราจึงไม่ควรไป นี่เราขัดขืนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ถูกลงโทษจากธรรมชาติ
คือ ถูกทุบศีรษะ ดีแล้ว จะได้จำไว้เป็นบทเรียน แล้วพาเพื่อนไปหาหมอเย็บแผลเสีย ใส่ยาเสียให้เรียบร้อย แล้วบอกเพื่อนว่า แกส่องกระจกทีไรก็ ดูแลบนหัวเสียมั้ง ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วต่อไปก็ควรจะระมัดระวังเนื้อตัว อย่าให้มีเรื่องเช่นนี้ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก อย่างนี้เรียกว่าเรารักเพื่อน เราช่วยเพื่อน ให้เพื่อนได้เกิดปัญญา เกิดความคิดความอ่าน ในทางที่ถูกที่ชอบ แต่โดยมากไม่ได้รักในเรื่องอย่างนั้น รักเพื่อนแล้วก็ทำให้เพื่อนตกต่ำหนักลงไปอีก ไม่ใช่ตกต่ำแค่เพื่อน เราเองก็พลอยตกต่ำไปกับเพื่อนเสียด้วย เพื่อนกระโดลงไปในเหวลึก เต็มไปด้วยของไม่สะอาด เราไปเห็นแล้ว เรารักเพื่อน เราก็โจนลงไปในเหวนั้นอีกคนหนึ่ง แล้วก็ไปดมสิ่งสกปรกอยู่ในเหวด้วยกัน อย่างนี้เรียกว่ารักเพื่อนได้อย่างไร ไม่ได้รักเพื่อน ไม่ได้รักตัวเรา เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง คนที่รักเพื่อนมาเห็นเพื่อนตกลงไปในเหวสกปรกเช่นนั้น ก็ควรจะคิดช่วยเพื่อนในทางที่ถูกที่ชอบ ด้วยการไปหาเชือกมา แล้วก็หย่อนลงไป บอกเพื่อนให้เอาเชือกผูกสะเอวไว้ให้มั่น แล้วก็ไต่ตามหน้าผาขึ้นมา เราจะดึงเชือกขึ้นมา เมื่อดึงเชือกขึ้นมาได้เรียบร้อยแล้ว ก็นำเพื่อนคนนั้นไปสู่แม่น้ำ หรือลำห้วยที่มีน้ำใสสะอาด ให้ไปอาบน้ำ ถูด้วยสบู่อะไรก็ได้ที่เขามีขายกันในตลาด ถูให้สะอาดให้เรียบร้อย แล้วก็เช็ดตัวให้สะอาด นุ่งผ้าเรียบร้อย พาเพื่อนกลับบ้าน อันนี้เรียกว่าเรารักเพื่อน เราช่วยเพื่อนให้พ้นจากสิ่งที่เป็นอันตราย แต่โดยมากเราที่เป็นคนหนุ่ม มักรักเพื่อนในรูปอย่างอื่น รักเพื่อนแล้วส่งเสริมให้เพื่อนตกต่ำ ให้เพื่อนเสียผู้เสียคนจมมากลงไปอีก แต่เราไปชวนเพื่อนไปทำอะไร ในเรื่องไม่ดีไม่งาม ถ้าเพื่อนไม่ไปกับเรา เราก็ตัดพ้อต่อว่า ไอ้นี่มันใช้ไม่ได้ มันไม่รักพวกรักพ้อง มันเอาแต่ตัวของมัน แล้วเพื่อนคนนั้นก็เกิดเจ็บใจขึ้นมา แหมมันว่าเราเจ็บ มันต้องไปกับมันหน่อย แล้วก็ไปร่วมกัน ไปเที่ยวไปไถล ไปทำความเพลิดเพลินในเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เสียผู้เสียคนกันไปตามๆกัน อันนี้เป็นเรื่องของคนหนุ่มคนสาวที่ขาดการระวัดระวังเนื้อระวังตัว ก็ย่อมจะเกิดความเสียหาย แล้วก็ไม่สบายใจ มีความทุกข์ความเดือดร้อนทางจิตใจในเรื่องอย่างนี้ อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ หลวงพ่อก็อยากจะขอฝากเตือนไว้ แก่คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ที่อยู่ในวัยของการศึกษาเหล่าเรียน ให้เราได้คิดให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง ในเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตเถิด อย่าได้ทำในเรื่องที่จะทำในเรื่องความเสียหายแก่ชีวิตของเราเป็นอันขาด
ในการที่จะประพฤติปฏิบัติในแนวทางอย่างนี้ เราควรจะคิดอย่างไร นึกอย่างไร ภาษาธรรมะเขามีคำ คำหนึ่งว่า มนสิการ มนสิการนี้เป็นศัพท์เทคนิคในภาษาธรรมะ แปลว่าทำในใจโดยแยบคาย ก็หมายความว่า คิดให้รอบคอบ ให้ละเอียดละออ ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร ต้องใช้สติใช้ปัญญา เป็นเครื่องพิจารณาไตร่ตรอง อย่างรอบคอบ อย่าพลุนพลันพลันแล่น อย่าใจร้อน อย่าใจเร็ว อย่าทำอะไรไปตามอารมณ์ คนเราที่อยู่ในวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์นี่ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เขาเรียกว่ากำลังส่วนเกินมันมาก กำลังส่วนเกินมีอยู่ในตัวมาก แล้วก็ไม่ค่อยควบคุมการใช้ เพราะฉะนั้นจึงใช้ในทางผิดบ่อยๆ ใช้ในทางเสียกันบ่อยๆ มีอะไรเกิดขึ้น เอะอะนิดหน่อย ก็ชอบชก ชอบต่อย ชอบใช้กำลัง การใช้กำลังนั้นเป็นวิสัยของเดียรัจฉาน ไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ผู้มีปัญญา เราจึงควรจะประหยัดยับยั้ง มีกำลังไว้ใช้ในเมื่อชาติต้องการ เมื่อความจำเป็นจริงๆเกิดขึ้น ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะใช้กำลัง เราจะไปใช้ทำไม ทีนี้ทำไมเราจึงต้องใช้กำลัง เรามันมีความคิดไม่ยอมคน ไม่ยอมใคร ไม่ได้อย่าไปแพ้มัน เสียหน้า เสียชื่อ เสียเกียรติ อันนี้ก็ไม่ถูกต้องเท่าไหรหรอก แต่เพราะในแง่บางอย่างมันก็ไม่ถูก ในการทำเช่นนั้น แต่เรามาควรคิดว่า การที่เราไปต่อสู้กันอย่างนั้น เรามันจะได้อะไรขึ้นมา อะไรเป็นส่วนดีเกิดขึ้นแก่ตัวเราบ้าง แก่คนที่เราต้องต่อสู้กันบ้าง มันก็มีแต่เรื่องโกรธกันเกลียดกัน บาดหมางใจกัน มองหน้ากันไม่ได้ คนเราอยู่กัน ด้วยการมองหน้ากันไม่ได้นี่ มันจะเป็นสุขอย่างไร มีความสงบในครอบครัว ในสังคม ในสถานที่ที่เราอยู่อาศัยได้อย่างไร มันไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นในทางดี แต่ถ้าเรารักกัน ปราณีประนอมกัน พูดจาทำความเข้าใจกัน ก็เราคนไทยด้วยกัน พูดภาษาไทยกันรู้เรื่อง ไม่ใช่เป็นภาษาต่างประเทศที่ไหนมา พอพูดกันเข้าใจ พูดกันให้มันรู้เรื่อง เรื่องมันก็ไม่มีปัญหา ไม่เกิดความยุ่งยากอะไร แต่ว่าเพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ ใจร้อน ใจเร็วมากเกินไป จึงได้เกิดความเสียหาย
เมื่อเราจะแก้ปัญหาอย่างนี้ เราจึงต้องใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธศาสนานี่ เราอย่ามองแต่ว่าเป็นเรื่องเล่นๆ อย่านึกว่าเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ อย่านึกว่าเป็นเรื่องล้าสมัย สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น ทุกสมัยธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต และไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายเข้าโลงไป จะต้องใช้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ใช้เมื่อใด ชีวิตตกต่ำเมื่อนั้น ความเสื่อมเกิดขึ้นแก่ตัวเราเมื่อนั้น ถ้าเราไม่ใช้ธรรมะ คล้ายกับรถที่เรานั่งไปมา ความสำคัญของรถนั้น มันสำคัญอยู่ที่มีห้ามล้อหรือไม่ ซึ่งเรียกว่า เบรค มันมีหรือไม่ ถ้าเบรคไม่มีนั่งรถจากนครราชสีมา มากรุงเทพ คงจะไม่ถึงกรุงเทพ คงจะมาลื่นไถลแถวปากช่อง หรือว่าเลยปากช่องมาซะหน่อย แถวนั้นถนนมันชัน ขึ้นสูง อันนี้เวลาลงมันเบรคไม่อยู่มันก็ลงเลย ลงไปในเหวมันก็เท่านั้นเอง หรือว่าบางทีอาจจะไปชนรถคนอื่นก็ได้ อาจจะลื่นไถลลงไปนอนแช่น้ำในคูก็ได้ จะไปถึงจุดหมายปลายทางไม่ได้ เพราะเบรคไม่มี เวลาเอารถไปจดทะเบียน ถ้าเจ้าหน้าที่ประพฤติธรรม มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ เขาจะต้องคิดทุกอย่างเรียบร้อย และที่สำคัญก็คือว่า เบรคดีหรือไม่ ถ้าเบรคไม่ดีละก็ เขาไม่จดทะเบียนให้เป็นอันขาด เว้นไว้แต่ว่าได้กินสินบนไปเท่านั้นจึงจะจดให้ การกินสินบนอย่างนั้นก็เหมือนกับร่วมใจกันฆ่าคนนั้นเอง ถ้าเขาเอารถที่เบรคไม่ดีไปใช้ มันก็เกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุแล้วไม่ใช่ตายคนเดียวแต่คนขับ คนอื่นโดยสารก็พลอยตายไปด้วย เพราะฉะนั้นการทำอะไรสะเพร่า ในเรื่องเกี่ยวกับรถนั้น ก็คือการเป็นอาชญากรฆ่าคนอย่าเลือดเย็นนั้นเอง เป็นบาปหนัก เป็นบาปหนา เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้สำหรับผู้มีสติปัญญา เรื่องรถต้องมีห้ามล้อฉันใด ชีวิตของคนเรามันก็ต้องมีห้ามล้อไว้ ห้ามล้อก็คือเรื่องศาสนาที่เราเอามานับถือ เรานับถือพุทธศานา ก็มีพระพุทธเจ้าเป็นหลักใจ มีพระธรรมคำสอนเป็นหลักใจ มีพระอริยสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เป็นหลักใจของเรา เราจะคิดจะพูดจะทำอะไร ก็เอาหลักนี้ยึดไว้เป็นมาตรฐาน เช่นเราจะคิดอะไร เราก็นึกถึงว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราคิดอย่างไร สิ่งที่พระองค์สอนนั้นอยู่ที่ไหน ก็อยู่ในพระธรรม อันเป็นหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เรานึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน แล้วเราก็นึกถึงพระธรรม คำสั่งสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าสอนเรื่องนี้อย่างไร เราควรจะปฏิบัติตนอย่างไรในเหตุการณ์เช่นนี้ ในบุคคลนี้ ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ เราควรจะคิดอย่างไร ควรจะนึกอย่างไร ควรจะพูดอย่างไร เพื่อให้เอาตัวรอดปลอดจากอันตรายไป คนที่รู้จักใช้ธรรมะ เขาก็ใช้อย่างนี้ เมื่อใช้ธรรมะอยู่ในรูปอย่างนี้ ความสงบมันก็มีอยู่ในใจ ไหวพริบก็เกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น การจะทำอะไรที่จะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย มันก็ไม่เกิดแก่ชีวิตของเรา เราก็อยู่อย่างปลอดภัย ไปไหนก็ไม่มีเรื่องกับใคร ถ้าเรามีพระพุทธเจ้านำทาง มีพระธรรมเป็นแผนที่บอกทางชีวิต มีพระสงฆ์เป็นพี่เลี้ยง คอยเตือนจิตสะกิดใจเราอยู่ตลอดเวลา อันนี้จะช่วยให้เราปลอดภัย คนเราบางทีอาจจะคิดไขว้เขวไป เพราะเป็นคนสมัยใหม่ มีการศึกษาอะไรต่ออะไรมากมาย ได้ความรู้ความเข้าใจ แต่ไม่ค่อยสนใจธรรมะ ไม่ศึกษา ไม่ทำความเข้าใจ ไม่เอาไปใช้ ในชีวิตประจำวัน เพราะนึกว่า เรามีความรู้หาเงินใช้ได้ ก็พอแล้ว เขาคิดเพียงง่ายๆ แต่ไม่ได้คิดต่อไปว่า ชีวิตมันไม่ใช่มีเพียงเท่านั้น มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตของเรา ที่ความรู้แบบนั้นมันยังช่วยแก้ไม่ได้ เงินทอง ช่วยแก้ไม่ได้ เพื่อนฝูงมิตรสหาย ที่ขาดความรู้ในทางธรรมะ ก็ช่วยแก้อะไรเราไม่ได้ แล้วเราจะใช้อะไร เราก็ต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ ธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองเราไม่ให้ตกต่ำ เป็นเครื่องที่จะช่วยให้เราแก้ไขปัญหาอะไรได้ เรียกว่าธรรมะนี้ใช้ได้ทั้งสองอย่าง ใช้ในการป้องกันก็ได้ ใช้ในการแก้ไขก็ได้ ธรรมะที่ใช้ในการป้องกัน มันก็คล้ายๆกับวัคซีน ที่เราฉีดป้องกันโรค ฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค วัคซีนป้องกันไข้ไทฟอย ไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคอย่างวัณโรค ที่เราฉีดให้แก่เด็กๆ พอรุ่นขึ้น โตขึ้นหน่อยต้องไปให้หมอฉีดวัคซีนป้องกันโรควัณโรค ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแก่เด็กๆก็ได้ บางครั้ง บางคราว มีโรคระบาด เช่นอหิวาตกโรคเกิดขึ้น เราก็ไปฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค ฉีดวัคซีนป้องกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลายอย่าง หลายประการ ใช้ในคนก็ได้ ใช้ในสัตว์เดียรัจฉานก็ได้ เช่นเลี้ยงวัวไว้ เลี้ยงหมูไว้ เลี้ยงไก่ไว้ มันก็มีโรคเหมือนกัน เขาก็มีวัคซีนสำหรับป้องกัน ไม่ให้สัตว์เป็นโรค ไม่ให้ตาย ไม่ให้ขาดทุนแก่ผู้เลี้ยง นี่เรื่องเครื่องป้องกัน ธรรมะก็เป็นเช่นนั้น ถ้าเราเอามาประพฤติ ปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน ธรรมะก็ช่วยคุ้มครองป้องกัน ไม่ให้เราต้องตกต่ำ ไม่ให้เสียผู้เสียคน จะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นธรรมะ ช่วยป้องกันไม่ให้เราถึงความยากจน ธรรมะช่วยป้องกันไม่ให้เราถึงความยากความจนหมดเนื้อประดาตัว ธรรมะช่วยไว้อย่างไร คือเราเป็นอยู่อย่างประหยัด ตามแบบธรรมะ
พระพุทธเจ้าสอนให้กินอยู่อย่างประหยัด ให้อดออมในการจับจ่ายใช้สอย อย่านึกว่า เงินทองเยอะแยะ ใช้ไม่หมดไม่สิ้น คนบางคนได้รับมรดกตกทอด มาจากบรรพบุรุษ คือพ่อแม่ ปู่ตา ย่ายาย เงินไม่ใช่น้อย แต่ว่าเป็นคนประมาท ใช้เงินไม่เป็น เอาเงินไปกิน ไปเล่น ไปสนุกสนาน ตามาสถานเริงรมย์ต่างๆในกรุงเทพ สถานเริงรมย์ในกรุงเทพนี่มันมีมากมาย ถ้าเราจะไปเที่ยวคืนหนึ่งสักสองสามแห่งเท่านั้นแหละ ทรัพย์ก็จะหมดไปซักเท่าไหร่ เดี๋ยวไปที่ชิมที่นั่น เดี๋ยวไปชิมที่โน่น ไปเต้นรำที่นี่ ไปเต้นรำที่โน่น แล้วก็จ่ายไม่อั้น ทำตัวเป็นเศรษฐีรับมรดก ไม่ใช่เศรษฐีที่สร้างเนื้อสร้างตัว ด้วยการแสวงหาทรัพย์ ด้วยการรู้จักเก็บ รู้จักใช้ ไม่ใช่อย่างนั้น เรียกว่าเป็นเศรษฐี เพราะได้ไปเกิดในตระกูลเศรษฐี รับมรดกมา แต่ไม่รู้จักกิน ไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักทำให้เงินทองเจริญงอกงามต่อไป ไม่เท่าใดเศรษฐีนั้นก็กลายเป็นกระยาจก เที่ยวเดินต๋อย อยู่ตามถนนหนทาง เพื่อนก็ไม่มีแล้ว แมลงวันก็ไม่ตอมคนนั้นแล้ว เพราะไม่มีอะไรจะตอม มันตกต่ำถึงขนาดอย่างนั้น มีตัวอย่างถมไป ในเมืองใหญ่ๆ เมืองกรุงเทพ เมืองเชียงใหม่ เมืองหาดใหญ่ เมืองภูเก็ต เศรษฐีตกยากมีถมไป พอผลาญทรัพย์สมบัติพ่อแม่จนหมดสิ้น เพราะอะไร เพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องห้ามล้อจิตใจ ไม่ไปหาพระ ไม่เข้าใกล้พระ ไม่ฟังเสียงพระ ถ้าจะไปหาบ้างก็ไปหาพระหมอดู หาหมอสะเดาะเคราะห์ สะเดาะโสก ไปให้ช่วยรดน้ำมนต์ให้หายซวยซะที รดน้ำมนต์หมดไปสามโอ่งแล้วยังไม่เลิกกินเหล้า ยังไม่เลิกเต้นรำ ยังไม่เลิกเที่ยวกลางคืน ยังไม่เลิกเสี่ยงโชคทางการพนัน รดให้หมดแม่น้ำเจ้าพระยามันก็ไม่หายไอ้คนอย่างนั้น คือมันรดไม่ถูกที่ ไอ้คนรดมันก็โง่ ไอ้คนถูกรดมันก็โง่ คนโง่กันคนโง่มาเจอกันแล้วมันจะล้างอะไรกันได้ นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่ก็เพราะไม่ศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะเลยประพฤติตนอย่างนั้น เสียผู้เสียคนกันไปตามๆกัน เพราะขาดคุณธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ ไม่สนใจเข้าวัด ไม่สนใจเรื่องศาสนา ที่จะเอาไปใช้ ในชีวิตประจำวัน ชีวิตก็ตกต่ำ ลงไปทุกวัน ทุกเวลา คนเราจะมีความเจริญ มีความก้าวหน้าในชีวิตได้นั้น ต้องอยู่อย่างมีระเบียบ ตั้งแต่เริ่มต้น มีระเบียบควบคุมจิตใจ ไม่ให้ไหลเลื่อนลงไปทางชั่วทางต่ำ เพราะงั้นเราจึงมี เขาเรียกว่าประเพณี วัฒนธรรมของชาติ ซึ่งเป็นเรื่องระเบียบของสังคมทั้งนั้น ประเพณีต่างๆ ที่คนโบราณเขาตั้งขึ้นไว้ มันไม่ใช่เป็นของครึ ไม่ทันสมัย แต่เป็นเครื่องห้าม กันจิตใจ ไม่ให้ทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินไป แต่ให้นึกถึงขอบเขต ถึงประเพณี อันดีอันงาม ว่าเราควรจะทำอย่างไร ถ้าเราทำอะไรตามขอบเขตประเพณี เราก็ไม่ออกไปนอกลู่นอกทาง ชีวิตก็จะเรียบร้อย หรือว่าวัฒนธรรมต่างๆ ที่ชาตินั้นๆ ได้สร้างสมมาตั้งแต่เริ่มต้น คนไทยเราก็มีวัฒนธรรมของคนไทย ซึ่งถ้าจะไปเปรียบกับชาวโลกทั้งหลายแล้ว เราไม่แพ้เขาหรอก ในเรื่องวัฒนธรรม อะไรนั้น เราไม่แพ้เขา ไม่ว่าวัฒนธรรมในแง่ไหน ในทางภาษา ทางวรรณคดี ทางขนบธรรมเนียม ประเพณี ศาสนา ที่คนไทยเรามีอยู่นั้น อวดชาวโลกได้ อวดชาวโลกได้ ฝรั่งเสียอีกบางทียังสู้เราไม่ได้ ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อย ดูเก้งก้าง ในท่าทางต่างๆ แต่เขาไม่ถือ เพราะว่าเขานิยมอย่างนั้น แต่ถ้ามาทำในเมืองไทยจะเห็นว่า แหม ไม่เข้าท่าเลย อันนี้เป็นตัวอย่าง
คนเราไปเห็นฝรั่งมังค่าบางทีก็ถ่ายทอดสิ่งที่มันไม่ค่อยดีมาใช้ ของดีเค้ามี เราไม่ค่อยเอา เพราะว่าคนดีนี้จะรับแต่ของดี คนใจต่ำก็จะรับแต่ของต่ำๆ มันเอื้อมไปไม่ถึง ในเรื่องความดีความงาม จึงรับสิ่งที่ไม่เข้าเรื่องมาใช้ เช่นคนบางคนไปเรียนเมืองนอก ติดเบียร์งอมแงมมา อยู่เมืองไทยกินเบียร์เป็นน้ำไปเลย บางคนก็ติดเหล้างอมแงม มาอยู่เมืองไทยก็ไม่กินเหล้าไทย กินไม่ได้ ต้องกินเหล้าฝรั่งราคามันแพงจะตาย แล้วก็กินจนเป็นตับแข็งตายไป อะไรเรียนวิชามาก็ใช้ไม่ได้ นี่คือไปรับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่สารมาใช้ แต่ถ้าเราไปพิจารณาด้วยสติปัญญา เรารับแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณ เป็นค่าเอามาใช้ ฝรั่งเค้ามีเยอะแยะ ไอ้เรื่องดีๆ งามๆ ถ้าเรารับเอามาถ่ายทอดให้แก่อนุชนของเรา หรือว่าทำให้เป็นตัวอย่าง แก่คนเราในประเทศไทย ว่าฉันไปเมืองฝรั่งนี้ ฉันได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา เอามาปฏิบัติให้เห็น เช่นความรักงาน ความซื่อตรงต่อเวลา อะไรต่างๆนี้เค้ามีดี ของเรามันไม่ค่อยมีในเรื่องอย่างนั้น เราก็ถ่ายทอดเอามาใช้เป็นตัวอย่าง เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ให้คนอื่นได้เห็นว่า คนที่ไปเรียนสูงๆเขาทำตนอย่างนี้ ประพฤติตนอย่างนี้ คนเหล่านั้นก็จะได้ถ่ายแบบ เดินตาม ก็จะมีความสุขความเจริญกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่ขอฝากให้คิดไว้ประการหนึ่ง ว่าสิ่งที่เรียกธรรมะ ต้องมีประจำจิตใจไปตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เราเป็นนักเรียนไป เราจะเรียนอะไรก็ตาม เช่นเรียนเป็นหมอ ถ้าไม่มีธรรมะ ก็จะเอาวิชาหมอไปใช้ในทางที่ผิด มีความเห็นแก่ตัว ไม่เสียสละ อะไรต่างๆก็ใช้ผิดได้ เรียนในทางอื่นก็เอาไปใช้ผิดได้เหมือนกัน ทำให้เกิดความเสียหายทั้งนั้น เพราะขาดคุณธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ แต่ถ้ามีคุณธรรมเป็นหลักเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ เป็นคนมีความเชื่อมั่นในศาสนา รักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม รักพระสงฆ์ ซื่อตรงจงรักภักดี ต่อสามสิ่งนี้ไว้ แล้วก็ประพฤษปฏิบัติ ในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการของพระพุทธเจ้า เราก็จะมีชีวิตจำเริญก้าวหน้า ไปในทางที่ถูกที่ชอบต่อไป โดยเฉพาะนักศึกษานี้ควรจะประพฤติตนอย่างไร นักศึกษาควรจะงดเว้นจากสิ่งที่ไม่สมควร เช่นงดเว้นจากสิ่งเสพติดด้วยประการต่างๆ สิ่งเสพติดนี้ มันทำให้คนเสียหาย เช่นชอบสูบบุหรี่ก็ทำให้เกิดความเสียหาย ชอบดื่มของมึนเมา สุราเมรัย กัญชา หรือว่าเรียนชั้นสูงขึ้นไปหน่อยก็เรียกว่า ติดผงขาว งอมแงมไป การเรียนก็จะตกต่ำ เราเป็นนักศึกษานี้ ต้องประพฤติตน เขาเรียกว่าเป็นเหมือนกับพรหมจารีย์บุคคล
คนโบราณเขาเรียกนักศึกษาว่าพรหมจารีย์ ผู้ประพฤติพรหมจรรรย์ พรหมจรรรย์ก็คือการดำรงชีวิตเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ มีความระมัดระวัง การคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคม ไม่ให้ตกต่ำไปในทางชั่วทางร้าย มีจุดหมายชีวิตแน่วแน่ว่า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อให้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ให้เป็นประโยชน์แก่ตนแก่ท่านอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย และเมื่อเราต้องการชีวิตที่สมบูรณ์ เราก็ต้องแกะสิ่งที่มันไม่สมบูรณ์ออกไป เหมือนเราจะกินผลไม้ ต้องปอกเปลือกทิ้ง แล้วกินแต่เนื้อใน เมล็ดเราก็ไม่กิน เช่นเมล็ดมันกินไม่ได้ เราก็ไม่กิน เพราะมันขมมาก เราก็แกะเอาแต่เนื้อ แล้วก็กินเนื้อนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย สิ่งใดดีมีประโยชน์ เราก็หมั่นทำสิ่งนั้น ทำบ่อยๆ ทำด้วยใจรัก ทำด้วยความขยัน ทำด้วยความสำนึกในหน้าที่อันเราจะต้องทำ เราก็จะมีนิสัยโน้มเอียงไปในทางที่มีคุณธรรมประจำจิตใจ เด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ ถ้าเริ่มสร้างคุณธรรมไว้แก่ตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต คนนั้นจะไปได้ไกลมาก ชีวิตจะเป็นประโยชน์แก่สังคม แก่ประเทศชาติได้มาก เวลานี้ประเทศชาติของเราต้องการคนประเภทนี้ คือต้องการคนดี มีปัญญา มีความสามารถ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองต่อไป เพราะคนดีเรามีไม่ค่อยพอใช้ มีเหมือนกันแหละ แต่มันไม่ค่อยพอใช้ ก็เพราะว่ามันน้อย อันนี้เราที่เป็นคนอยู่ในวัยศึกษา ให้อธิษฐานใจทุกวัน ทุกเวลา ว่าเราจะอยู่อย่างคนดีมีศีลธรรมประจำใจ เราจะเป็นคนละอายบาป เราจะเป็นคนกลัวบาป เราจะไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจไปกับอารมย์และสิ่งแวดล้อม
เรื่องหนึ่งซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราเสียคนได้ง่าย คือเรื่องการคบเพื่อน การคบหาสมาคมนี้เป็นเรื่องสำคัญ พระพทธเจ้าจึงสอนไว้ในมงคลสูตร เริ่มต้นมงคลนี้เขาว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา (อะเสวะนา จะ พาลานัง ปันดิตานันจะ เสวะนา) (49.08) บอกว่า อย่าคบคนพาล ให้คบหาสมาคมด้วยบัณฑิต นี้เริ่มต้นทีเดียว สอนไว้อย่างนั้น ทำไมจึงเอาไว้เป็นเบื้องแรก เพราะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดกันก่อน คนเราจะดี ก็เพราะเพื่อน ชั่วก็เพราะเพื่อน ที่มันจูงกันไป เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ถ้าพูดถึงปัจจัยภายนอก ที่จะทำให้เราดี เราเสียแล้ว ไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่าการคบหาสมาคม การคบหาสมาคม มันทำให้คนดีก็ได้ เสียก็ได้ ถ้าเราไปคบกับคนดี เราก็ดีขึ้น ถ้าไปคบกับเพื่อนชั่ว เราก็เสียหายลงไป เพราะฉะนั้นเพื่อนของเราเนี่ย ทำลายเราก็ได้ สร้างเสริมชีวิตเราก็ได้ เราจึงต้องเลือกคบ คนที่เขามีปัญญา มีความดี พระพุทธเจ้าท่านตรัสย้ำอีกว่า ถ้าไม่ได้เพื่อนที่ดีกว่าเรา อยู่คนเดียวประเสริฐกว่า เพราะอยู่คนเดียวมันไม่ยุ่ง แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนชั่ว มันคอยยุให้เราไปทำชั่ว ไปคบคนขี้เมา มันก็ชวนเราไปดื่มเหล้า คบคนเสพย์ติด มันก็ชวนเราไปเสพย์สิ่งเสพย์ติด คบนักการพนันก็ชวนเราไปเล่นการพนัน คบไอ้พวกเที่ยวกลางคืน มันก็พาเราไปเที่ยว คบคนที่ขี้คร้าน มันก็ชวนเราให้ขี้คร้าน คบคนเช่นใด มันเป็นเช่นคนนั้นแหล่ะ โรคทางใจมันติดกันได้ง่ายกว่าทางกายด้วยซ้ำไป โรคทางกายติด รักษาง่าย แต่โรคทางใจ ติดแล้วมันรักษายาก เพราะฉะนั้นจึงต้องป้องกันไว้ อย่าเข้าใกล้คนเป็นโรค ซึ่งเรียกว่า พวกปัญญาอ่อน พวกอันธพาล อันธพาลก็คือพวกปัญญาอ่อน ไม่มีปัญญารู้จักรักษาตัวรอดปลอดภัย ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปกับสิ่งชั่วร้าย มันเสียหาย จึงควรเลือกคบ คนบางคนเจอกันก็ทักกันนิดหน่อยให้รีบไป บางคนยืนคุยกันได้กลางถนน บางคนก็พาไปคุยที่บ้านได้ แต่จะเอาไปกินนอนไม่ได้ บางคนก็พาไปกินข้าวได้ นอนด้วยกันได้ มันหลายชั้น เราต้องรู้ว่า คนไหนคบกันเพียงบนถนน คบกันเพียงหน้าประตูบ้าน คบกันพอไปนั่งใต้ถุนบ้านได้ คบกันพอขึ้นพาไปบนบ้านได้ กินข้าวด้วยกันได้ ทำอะไรด้วยกันได้ มันหลายชั้น
อันนี้มันต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา เด็กๆ อาจจะไม่มีปัญญาในเรื่องนี้ ผู้ใหญ่คือพ่อแม่ต้องคอยสอดส่องว่าลูกไปคบกับใคร แล้วคอยตรวจดูการพูดการจา เพราะการพูดจามันแสดงออกซึ่งความรู้สึกในทางจิตใจ เขาคุยเรื่องอะไร เรื่องไหน ถ้าเขาคุยเรื่องเหลวไหล เราก็บอกลูก คนนี้ไม่ได้ คุยเรื่องไม่ถูกต้อง คนเชียงใหม่มีประเพณีต้อนรับแขกดี เด็กหนุ่มๆภาคกลางเราไปเชียงใหม่ บอกเขาดีจังเลย เราไปนี่ เขาให้ลูกสาวออกมาต้อนรับเลย แล้วเขาหลบเขาไปในบ้าน นึกว่าเขาหลบไปไหน เขาไม่ได้ไปไหน เขาไปนั่งอยู่หลังม่าน นั่งอยู่หลังฝา คอยเอี้ยวหูฟัง เอี้ยวหูฟังดูว่าไอ้หนุ่มนี่คุยอะไรกับหญิงสาว ถ้าว่าคุยเรื่องไม่เข้าท่า พอลงบันได บอกไอ้นี่ใช้บ่ได้ลูกเอย มันพูดแต่เรื่องเหลวไหล บ่ได้เรื่องได้ราว อย่าคบมันต่อไปเลย อย่าเข้าใกล้ ต้องระมัดระวังตัว ไม่ใช่เขาตัดหางลูกสาวปล่อยให้เราไปทำเล่นตามชอบใจ เขาคุม เขานั่งฟังอยู่ข้างใน และคอยเตือนทีหลัง ไม่ใช่เขาปล่อย ไอ้เราไม่รู้ธรรมเนียมคนบ้านเหนือ เพราะเราไปใหม่ ก็คิดว่าดี เราไปคุยได้ตามชอบใจ เป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่ เขาระมัดระวังอยู่เหมือนกัน พ่อแม่จึงต้องคอยดูลูกว่าไปคบกับใคร พาเด็กนั่นมาบ้าน ต้องดูว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถ้าเห็นว่าเป็นคนไม่เหมาะ เตือนให้เขารู้ อย่าถลำตัว อย่าเพลิดเพลินไปกับคนนั้นมากเกินไป ก็จะไม่เกิดเป็นปัญหา แล้วก็ต้องคอยเตือนคอยบอก ครูก็ต้องคอยเตือนเหมือนกัน เป็นพี่เลี้ยงเตือนจิตสะกิดใจ ถ้าเป็นเด็กในโรงเรียน คนไหนที่มันใจไม่ค่อยจะดี ก็ต้องเรียกมาเตือน มาสอน ชี้แนะอบรมบ่มนิสัย ไม่ใช่ให้เรียนแต่วิชา เราต้องให้ปัญญา ให้สติแก่เขาด้วย เพื่อจะได้เป็นคนดีมีประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ขอฝากเป็นของขวัญ แก่นักศึกษาอาชีวะ ที่มาจากนครราชสีมา ญาติโยมฟังแล้วก็เอาไปใช้ได้เหมือนกัน พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที