แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ท่านอยู่ในความสงบ ตั้งอกตั้งใจให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้ ทางทีวีช่องสามได้มาทำการถ่ายทอดเป็นเทปเพื่อจะนำไปออกในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ซึ่งถือกันว่าเป็นวันแม่แห่งชาติ เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นนี้ก็จะได้พูดเรื่องเกี่ยวกับวันแม่เป็นเวลาซัก ๑๘ นาที (00.50 หลวงพ่อเว้นวรรคคำว่า “18” นาที ซึ่งไม่ยืนยันว่า หมายถึง 10, 8 นาที หรือ 18 นาที) แล้วเขาก็หยุดการถ่ายวีดีโอ แล้วจะได้พูดเรื่องอื่นกับญาติโยมต่อไป
วันแม่ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีได้คิดจัดทำขึ้น การที่ได้คิดจัดทำเรื่องวันแม่ขึ้นก็เพื่อจะให้ประชาชนได้มีความสำนึกว่าเรานี้เกิดจากพ่อแม่ เราไม่ได้เกิดจากโรงไม้ ไม่ได้เกิดจากดอกบัว หรือไมได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เกิดจากพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด พ่อแม่ที่เกิดเรามานั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องความสนุกแล้วผลพลอยได้คือลูกออกมา ไม่ใช่อย่างนั้น พ่อแม่ทั้งหลายมีความปรารถนาที่จะมีลูก ว่าแต่งงานแล้วทุกคนก็อยากจะมีลูกไว้สืบทั้งนั้น ที่ต้องการมีลูกไว้ก็เพื่อจะไว้สืบสกุลไม่ให้พันธุ์มนุษย์นี่ต้องสูญหายไปจากโลกนี้ อันนี้คือความหวังของพ่อแม่ทั่วไปที่ต้องการจะมี ถ้าไม่มีก็รู้สึกว่ามีความทุกข์ ได้พบพ่อแม่มากมายที่แต่งงานอยู่กินกันแล้วไม่มีลูก ก็มีความทุกข์อยู่ในจิตใจ ทุกข์ว่าเราไม่มีลูก ตายแล้วไม่รู้จะเอาสมบัติให้ใคร หรือว่าเราแก่ชรา ไม่รู้ว่าจะให้ใครดูแลรักษา เจ็บไข้ได้ป่วยก็จะเกิดเป็นปัญหา จึงได้เกิดความทุกข์
ในประเทศอินเดีย เขามีเขียนไว้ในตำราศาสนาของศาสนาพราหมณ์ว่าครอบครัวใดไม่มีบุตรชาย ครอบครัวนั้นตายแล้วตกนรก เรียกว่าตกนรกขุมที่เรียกว่าปุตระนรก นรกลูกน่ะ ไปตกนรกขุมนั้นเพราะไม่มีลูกชาย ชาวอินเดียนี่ถือว่าลูกชายเป็นสำคัญของครอบครัว ของสกุล เช่น เวลาพ่อแม่ตาย นี่ลูกชายต้องจุดไฟเอง ไฟอันไฟแรกที่จุดนั้นไม่ใช่ผู้มีเกียรติ ไม่เหมือนบ้านเราที่เที่ยวมองหาผู้มีเกียรติมางานศพเพื่อจะให้จุดไฟแต่ชาวอินเดียไม่ต้องหา คือลูกชายนั่นแหละจะเป็นคนจุดไฟเผาพ่อแม่ตนเอง แล้วก็คนอื่นก็จุดตามๆกันมา เพราะฉะนั้น ลูกชายได้ทำหน้าที่บำเพ็ญบุญอุทิศเปตพลี (03.40 : เสียงไม่ชัดเจน) ให้แก่พ่อแม่ที่ตายไป รวมทั้งปู่ ตา ย่า ยายด้วย ถ้าไม่มีลูกชายก็ไม่มีใครจะทำกิจกรรมอันนี้ จึงได้มีความทุกข์เพราะไม่มีลูก ความทุกข์ที่ไม่มีลูกนี่เป็นนรกอยู่ในใจของคนผู้นั้น เรียกว่า นรกขุมปุตระ คือการไม่มีลูกนั่นเอง เพราะฉะนั้นทุกคนก็อยากมีลูกไว้สืบแซ่ สืบสกุลด้วยกันทั้งนั้น ก็ถ้ามีลูกออกมา จะเป็นหญิงก็ตาม ชายก็ตาม ท่านก็ถือว่าเป็นลูกของท่าน ทะนุถนอม เลี้ยงดู รักษา เอาใจใส่ ได้ทำหน้าที่สมบูรณ์เรียบร้อน เช่น ห้ามไม่ให้ลูกกระทำความชั่ว แนะนำให้ลูกกระทำความดี ให้ได้มีการศึกษาวิชาการตามสมควรแก่ฐานะ หางานให้ทำ หาคู่ครองที่สมควรให้ มอบทรัพย์ให้ในสมัยที่ควรจะมอบให้ เพื่อเอาไปตั้งเนื้อตั้งตัวต่อไป อันนี้เป็นเรื่องของพ่อแม่ของทุกครอบครัว ทำตามฐานะที่ท่านจะทำได้ ยากจนก็ทำตามฐานะคนยากจน คนมั่งมีก็ทำตามฐานะคนมั่งมี
เราทั้งหลายที่เป็นผู้ใหญ่ขอให้คิดดูสักเล็กน้อย ถ้าเราไม่มีคุณพ่อคุณแม่เลย เราจะเกิดมาได้อย่างไร หรือเราเกิดมาแล้วท่านไม่เลี้ยงเรา ท่านเอาไปทิ้งซะที่กองขยะหรือเอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านคุณหญิงเพียร เวชบุล เราจะได้รับความทุกข์ขนาดไหน จะเดือดร้อนอย่างไร เราจะกลายเป็นเด็กกำพร้า อนาถา ไม่มีใครเลี้ยงดู แต่คุณพ่อคุณแม่ท่านมีน้ำใจ คือมีพระอยู่ในใจ พระนั้นก็คือพระเมตตา พระกรุณา พระมุทิตา พระอุเบกขา เมื่อท่านมีครบทั้ง ๔ เมตตา ปรารถนาความสุขสมบูรณ์แก่ลูก,กรุณา ทนไม่ได้เมื่อเห็นลูกได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน เราได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ผู้ที่ช่วยเราเป็นคนแรกก็คือพ่อแม่ของเรานี่แหละ ช่วยเป็นคนแรก ในพ่อกับแม่นั้น แม่น่ะมาก่อน แม่วิตกกังวลกับลูกมากกว่าพ่อ เอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ถ้าเกิดเหตุเภทภัยอะไรขึ้น แม่ต้องนึกถึงลูกก่อนแล้วเข้าไปอุ้มลูกไว้ทันที แม้ไฟไหม้บ้าน ไฟกำลังลุกโพลงอย่างร้อนแรงที่สุด แต่ว่าลูกตกอยู่ในกองเพลิงนั้น แม่ต้องฝ่าเปลวเพลิงอันร้อนเข้าไปอุ้มลูกออกมา อันนี้คือน้ำใจของคุณแม่ที่มีความรักลูกเหลือล้น แล้วก็ดูแลเอาใจใส่ ลูกจะเอาอะไร สิ่งใด เอ่ยปากขอ แม่จะหามาให้ แม้ไม่มีก็ไม่บอกแต่ว่าต้องหาให้ลูกจนได้ ถ้าลูกมีความต้องการด้วยสิ่งนั้น น้ำใจที่รักเราอย่างแท้จริง ช่วยเหลือเราอย่างแท้จริงนั้นจะหาได้จากหญิงคนใด นอกจากแม่ของเราเท่านั้นเอง แม้เราเติบโตขึ้นจะมีคนรักเราแต่ก็รักไม่เหมือนแม่รักเรา มันรักคนละแบบ แม่รักเรานี่รักอย่างแท้จริง รักด้วยน้ำใจ รักร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีความเกลียดชังเกิดขึ้นในใจลูกแม้แต่น้อย เว้นไว้แต่คนมีจิตผิดปกติเป็นโรคทางประสาท ที่เราได้ยินข่าวว่าแม่ฆ่าลูก อันนั้นมันผิดปกติทางจิตใจ มีโรคกลุ้มรุมแล้วกระทำไปด้วยอาการโรคร้ายบังคับ แต่โดยปกติแล้วแม่จะไม่ทำอะไรแก่ลูก ไม่ทำให้ลูกเดือดร้อน ถ้าเห็นว่าลูกจะเดือดร้อน แม่ต้องรับภาระนั่นหมด เอามาแบกไว้เสียคนเดียว อันนี้คือเรื่องของคุณแม่ที่มีต่อลูกทั้งหลาย เราทั้งหลายต้องนึก พิจารณาไม่ใช่เฉพาะแค่วันแม่ แต่เราต้องนึกทุกค่ำเช้าเข้านอน
คนโบราณเขาสอนว่าให้กราบหมอน หรือให้กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กราบพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ทุกวันเวลาจะเข้านอน ตื่นขึ้นจะไปทำงานก็ให้นั่งสงบใจ ระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ครูบาอาจารย์ พระเจ้า พระสงฆ์ อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นสถาบันที่เราเคารพสักการะ เราจะต้องนึกถึงสิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา คนที่หมั่นระลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่จะไม่ทำชั่วเป็นอันขาด ทำไมถึงทำชั่วไม่ได้ เพราะรักแม่มากเหลือเกิน คนรักแม่นี่ทำชั่วไม่ได้ ทำไมจึงทำไม่ได้ เพราะกลัวแม่จะเดือดร้อนใจ กลัวแม่จะเป็นทุกข์ เขาจึงไม่กระทำความชั่ว ความเสียหาย อันนี้ก็คือความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาผู้บังเกิดเกล้า เป็นเกราะเพชรเจ็ดชั้นกันไฟก็ว่าได้ ไม่ให้เราตกไปสู่อบาย ไม่ให้เราเป็นคนชั่ว คนร้าย เพราะความรักที่มีต่อคุณแม่นี้มันขวางทาง ไม่ให้เราคิดผิด พูดผิด ทำผิด ไม่ให้ไปสู่สถานที่ผิดได้เป็นอันขาด จึงถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่เราจะต้องนึกคิดกันบ่อยๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เรายังมีชีวิตอยู่ เราจะต้องตอบแทนท่าน ด้วยการเลี้ยงท่าน รักษาท่านเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยทำกิจการงานให้แก่ท่าน เมื่อท่านต้องการอะไร ต้องหาสิ่งนั้นมาให้ท่านบ้างตามความปรารถนาของท่าน สนองความต้องการ ให้ท่านได้รับประโยชน์สมความตั้งใจ เอาใจใส่ดูแลในเรื่องการกิน การอยู่ ทุกประการให้เรียบร้อย ให้เหมือนกับเมื่อเราเล็กๆ คุณแม่เลี้ยงเราอย่างไร คุณพ่อดูแลเราอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้นกับท่านอีกทีหนึ่ง แล้วเวลาท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว เราก็ทำบุญกุศลตามธรรมเนียม อุทิศบุญไปให้แก่ท่าน อันนี้เป็นเรื่องการสมนาคุณหรือการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ผู้ได้เลี้ยงดูเรามา บุตรธิดาคนใดสำนึกอยู่ในใจว่าพ่อแม่เป็นเทพเจ้าของเรา เป็นพระของเรา เป็นครูของเรา เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเรามาก่อนใครๆทั้งหมด แล้วเราก็รักท่าน เคารพท่าน บูชาท่าน ปฏิบัติดีต่อท่าน ไม่ให้ท่านเดือดเนื้อร้อนใจ คนอย่างนี้มีแต่ความเจริญ มีแต่ความก้าวหน้า จะไม่มีความเสื่อมโทรมในชีวิตเป็นอันขาด
เพราะฉะนั้น ในวันแม่นี้ขอให้เราทั้งหลายได้เริ่มต้นชีวิตในทางคิดถึงบุญคุณของพ่อแม่ แล้วพยายามประพฤติ ปฏิบัติในสิ่งถูกต้องเพื่อสนองบุญคุณของท่าน ให้ท่านได้รับแต่ความสบายใจ อย่าประพฤติสิ่งใดเหลวไหล นอกลู่นอกทาง คนใดไปประพฤติอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรอยู่บ้างก็ให้กลับจิตกลับใจเข้าหาพระคุณของแม่ เหมือนเรามาอยู่ในอ้อมอกของคุณแม่ต่อไป ให้ท่านได้อุ่นใจ ได้สบายใจ เมื่อใดนึกถึงลูกให้ท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดี ไม่ใช่พอนึกถึงลูกแล้วน้ำตาไหลนองหน้า ต้องเอาผ้าซับน้ำตากลัวคนอื่นจะเห็น อันนี้เพราะว่าลูกมันไม่เอาไหน ไม่คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงแต่ตัว เอาแต่ใจตัว เป็นคนที่เรียกว่าใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ เพราะคนที่ดีนั้นต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดา ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีบุญคุณแก่เราแม้เล็กน้อย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ใครทำอะไรแก่เราแม้นิดหน่อย เราต้องจำเรื่องนั้นไว้ เราทำอะไรแก่ใครแม้โตใหญ่เท่าภูเขา ไม่ต้องไปจำให้เสียเวลา แต่ว่าให้จำเรื่องที่คนอื่นทำกับเรา แล้วเราก็ทำการตอบแทนเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะพูดกันในสมัยนี้ให้มากๆอยู่เหมือนกัน เพราะคนเราในสมัยนี้ชักจะลืมพ่อแม่ ลืมปู่ ตา ย่า ยาย ไม่รู้ไปเอาระบบนั้นมาจากไหน จิตใจห่างเหินจากผู้ที่มีพระคุณทุกวันทุกเวลา แล้วจิตใจก็จะเสื่อม สังคมก็จะเสื่อม ชาติก็จะเสื่อมเพราะไม่มีหลักเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจโดยอาการดังที่กล่าว จึงใคร่ขอฝากมายังพี่น้องทั้งหลายที่มีแม่มีพ่อ มีย่ามีตามียายอยู่ในบ้านหรืออยู่ห่างบ้าน ในวันนี้ควรไปหาท่าน เอาดอกไม้ไปสักการะ เอาผ้าห่มไปให้ เอาเสื้อไปให้ หรือเอาของกินไปให้ท่าน ไปกราบให้ท่านชื่นใจซักหน่อย ว่าลูกยังคิดถึงแม่อยู่ ยังคิดถึงพ่ออยู่ ยังคิดถึงคุณตา คุณย่า คุณยาย วันนี้เป็นวันที่เขาสมมติว่าเป็นวันแม่ ก็ไปกราบให้แม่ชื่นอกชื่นใจ อย่างนี้จึงจะเป็นการถูกต้อง
แล้วคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็เหมือนกันควรจะได้สำนึกในหน้าที่ ในฐานะที่เราเป็นแม่ เราเป็นพ่อ ว่าเราควรจะทำตนอย่างไร ควรจะประพฤติเป็นตัวอย่างแก่ลูกอย่างไร ควรสอนลูกอย่างไร ควรอบรมลูกของเราอย่างไร เพื่อให้ลูกเราเจริญด้วยคุณธรรมตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ถ้าเราทำได้ดังที่กล่าว เราก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ในการงานตลอดไป ขอพูดเรื่องเกี่ยวกับแม่เพื่อไปออกทีวีในวันที่ ๑๒ สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ แล้วก็ถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย
อาตมาในนามของพุทธบริษัทวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จึงขอตั้งจิตอธิษฐานอ้างเอาคุณพระศรีรัตนตรัยอวยชัย อวยพรให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถและมารดาทั้งหลายในประเทศไทย จงมีความสุข มีความเจริญ มีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงาน ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย ประสงค์สิ่งใดอันเป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบก็ให้สำเร็จสิ่งนั้นๆสมความปรารถนาทั่วกันทุกท่าน ทุกคนเทอญ จบไปตอนหนึ่ง ทีวีเขาจะเอาไปออก โยมค่อยไปดูก็แล้วกันของช่องสาม ช่องสามเขามาบันทึกบ่อยๆ วันมาฆะ วันวิสาขะ วันอะไรก็มาบันทึกไปออกบ่อยๆ เรียกว่าร่วมแรงร่วมใจกันเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า นับว่าเป็นการดี ขออนุโมทนาด้วย ทีนี้เรามาว่ากันต่อไป ก็พูดต่ออีกก็เรื่องแม่เหมือนกันแต่ไม่ใช่แม่เหมือนเมื่อกี้
แม่ที่แท้จริงของเราคืออะไร แม่ที่แท้จริงของเราก็คือธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าพระธรรมนี่เป็นแม่ที่แท้จริงของเรา ที่เราควรจะเคารพบูชาสักการะและเอามาไว้ในชีวิตจิตใจของเรา ทำไมจึงได้พูดว่าพ่อที่แท้จริง แม่ที่จริงคือตัวธรรมะ เพราะว่าธรรมะนี่ทำให้คนเป็น เป็นถูกต้อง ความเป็นอะไรๆของคนเรานั้น เป็นได้ถูกต้องเรียบร้อย ก็ต้องเอาธรรมะมาทำให้เป็น ถ้าไม่มีธรรมะมาทำให้เป็น มันก็เป็นไม่เรียบร้อย
เริ่มต้นตั้งแต่เป็นมนุษย์นี่ก่อน เรียกว่าเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นต้องเป็นด้วยความมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็เป็นไม่ได้ เป็นได้ก็เพียงคนเท่านั้นเอง คนไทยเราจึงพูดว่า คอหยักๆสักแต่ว่าคน คนหยักๆสักแต่ว่าคน คือมีรูปร่างสมมติว่าเป็นคนเท่านั้น แต่ว่าในใจนั้นยังไม่เป็นคนที่สมบูรณ์เพราะใจนั้นยังขาดคุณธรรมหรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่ายังไม่เป็นมนุษย์ มนุษย์กับคนนั้นแตกต่างกัน คือความเป็นคนนั้นเป็นเพราะเกิดมาจากท้องแม่ เรียกว่าเป็นคนแล้ว ร้องได้นี่ก็เป็นคนแล้ว แล้วมันก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ต้องมีคุณธรรมเข้าไปประคับประคองจิตใจจึงจะได้เกิดอีกทีหนึ่ง เรียกว่าเกิดเป็นมนุษย์ ชั้นแรกเกิดเป็นคน เกิดจากท้องแม่นี่เกิดเป็นคน แล้วต่อมาก็เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เกิดจากพระธรรม พระธรรมทำให้เราเป็นมนุษย์
เวลาเราสวดมนต์ตอนเย็นมีคำหนึ่งว่า สัทธัมมะโช สุปะฎิปัตติคุณา ทิยุตโต (17.45) ซึ่งแปลว่าพระสงฆ์ที่เกิดโดยพระสัทธรรม เป็นผู้ประกอบด้วยคุณ มีอรหันต์พระคุณ เป็นต้น พระสงฆ์นั้นเป็นผู้เกิดโดยสัทธรรม โดยธรรมะของพระพุทธเจ้า จึงเกิดมาเป็นพระสงฆ์ พระอริยะสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า หรือเป็นภิกษุ เป็นอะไรนี่เรียกว่าเกิดโดยธรรม ไม่ใช่เกิดโดยโกนหัว กุดคิ้ว นุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น หามิได้ คนโกนหัว กุดคิ้ว นุ่งเหลืองห่มเหลือง ตำรวจเชิญไปโรงพักบ่อยๆ เพราะว่าไม่เป็นผู้เกิดจากธรรมะ แต่เกิดจากความอยากได้อะไรบางอย่างจากพุทธบริษัท เลยปลอมตัวบวชเป็นพระ เขาเรียกว่าพระปลอม พระปลอม
คนปลอมนี่ก็มีเหมือนกันคือไม่เป็นคนแท้จริงตามหลักธรรมะ เขาเรียกว่าเป็นผู้ปลอม เป็นมนุษย์ปลอม ไม่ใช่เป็นมนุษย์แท้ เป็นมนุษย์ที่ปลอมมาในรูปของความเป็นรูปร่างหน้าตาอย่างนั้น แต่งตัวทันสมัย อะไรต่างๆ แต่ว่าจิตใจนั้นไม่ประกอบด้วยคุณธรรม เมื่อจิตใจไม่ประกอบด้วยคุณธรรมเขาเรียกว่าเป็นแต่ภายนอก เปลือกมันเป็น แต่เนื้อในไม่ได้ เหมือนว่าผลไม้บางอย่างเราดูผิวว่าสุกแล้ว แต่ว่าพอปลอกเข้าไปข้างใน มีตัวหนอนตัวใหญ่ๆเข้าไปยึดครองอยู่ เราก็กินผลไม้ผลนั้นไม่ได้ นอกจากว่าโยนทิ้งไป ไอ้โยนทิ้งเพ่นพ่านมันก็เกิดโรคอีกเหมือนกัน ต้องเอาไปฝังเสียเลย ฝังทั้งผลไม้ ทั้งตัวหนอน อย่าให้มันเกิดเพาะเชื้อขึ้นต่อไปจึงจะเป็นการถูกต้อง
ชีวิตคนเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเป็นแต่เพียงภายนอกก็เรียกว่าเป็นแบบจอมปลอม แต่ถ้าเป็นออกมาจากข้างในเรียกว่าเป็นแท้ เป็นมาจากข้างในก็คือใจมันเป็น ใจเป็นก็เพราะมีธรรมะเข้าประคับประคองใจ คนนั้นจึงเรียกว่าเป็นผู้เกิดจากธรรม มีธรรมะเป็นแม่ เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้คุ้มครองรักษา เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ทำให้เจริญ ให้ก้าวหน้าด้วยประการต่างๆ อันนี้คือแม่ที่เราต้องมี เวลาใดเราขาดแม่ธรรมะ เมื่อนั้นเราก็เป็นไม่สมบูรณ์ ไม่เรียบร้อย ชีวิตตกต่ำลงไปทันที เมื่อใดชีวิตตกต่ำ เมื่อนั้นเรามีความทุกข์ มีปัญหา มีความเดือดเนื้อร้อนใจด้วยประการต่างๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าไม่มีแม่หล่อเลี้ยงจิตใจ เราจึงต้องลำบาก เราจึงต้องแสวงหาธรรมะมาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ คุ้มครองจิตใจของเราไว้ เพราะเราเป็นผู้เกิดจากธรรม เกิดจากธรรมะ ธรรมะเป็นผู้ให้เกิด
ธรรมะที่ทำให้เราเกิดนั้นก็คือธรรมะที่อยู่ในใจของมารดาบิดานั่นเอง ความเป็นมารดาบิดาก็เป็นด้วยธรรมะ เป็นด้วยความคิด ปรารถนาที่จะมีบุตร ความคิดอันนี้เรียกว่าเป็นตัวธรรมะ เป็นธรรมชาติที่มันเกิดในใจของบุคคล ที่พอจะมีการ มีลูกได้ ตัวนี้มันก็เกิดขึ้นในใจ แล้วเราก็ทำให้เกิดลูกออกมา ลูกนั้นเกิดมาโดยธรรม ถ้าลูกเกิดมาโดยธรรมมักจะเป็นลูกเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย เติบโตขึ้นก็เป็นคนดี มีประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมือง แต่ถ้าลูกเกิดมาโดยไม่เป็นธรรม คือพ่อแม่ไม่มีใจเป็นธรรม แต่ว่ามีความคิดในทางสนุก ไม่เคารพกติกา ไม่เคารพศีลธรรม ไม่เคารพประเพณี ไม่เคารพระเบียบอะไรทั้งนั้น แต่ว่าความอยากในทางกามารมณ์นั้นเกิดขึ้น แล้วก็ไปประพฤตินอกลู่นอกทาง ทำให้ไม่ถูกต้อง ได้ผลคือมีลูกออกมา ลูกอย่างนั้นไม่ค่อยจะเรียบร้อย จิตใจไม่สวยสดงดงาม มักไม่เป็นคนที่ทำอะไรมีประโยชน์แก่ผู้อื่น อันนี้เพราะว่าเกิดโดยไม่เป็นธรรม ไม่เรียบร้อย คนโบราณเขาจึงสอนพ่อแม่หรือว่าคนหนุ่มสาวที่แต่งงานกันแล้ว ก่อนที่จะอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา เขาให้ทำพิธีไหว้พระ สวดมนต์ ทำจิตใจให้สงบเสียก่อน เขาเรียกว่าสร้างธรรมะให้เกิดขึ้นใจ ให้ใจเป็นธรรมะแล้วก็ไปอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาด้วยความปรารถนาว่าเราจะมีลูกไว้สืบสกุลต่อไป ให้ลูกเกิดมาดี มีปัญญา มีอนามัยสมบูรณ์เรียบร้อย นี่คือความต้องการที่เป็นธรรม ไม่ใช่ ... (22.50) ไม่ใช่ความต้องการที่เป็นกิเลส ถ้าว่าเกิดด้วยความมีกิเลส ลูกนั้นก็จะมีกิเลส แต่ถ้าเกิดมาด้วยความเป็นธรรม ลูกก็มีน้ำใจเป็นธรรม ว่านอนสอนง่าย มีความคิดถูกต้องตั้งแต่เล็กแต่น้อย อันนี้มันเป็นเรื่องเกิดจากน้ำใจของพ่อแม่ที่เราคิดจะทำลูกออกมานั่นเอง ให้สังเกตว่าคนมีลูกหลายแม่ ลูกหลายแม่นี่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ไม่ค่อยจะก้าวหน้าในชีวิตในการงานเท่าใด เพราะว่าพ่อไม่ไดตั้งใจให้เกิดบ้าง และเกิดมาแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจอบรมสั่งสอน ดูไม่ทันหันไม่ทั่วเพราะมันมากเกินไป ลูกก็มักจะไม่ค่อยเรียบร้อย เหลวไหลด้วยประการต่างๆ เว้นไว้แต่ในครอบครัวใหญ่ เช่นในสกุลใหญ่ สืบสกุลของพระราชา พระราชาสมัยก่อนมีลูกมาก แต่ว่าลูกก็ไม่ค่อยจะเสีย แต่ก็มีเสียบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียเอาเสียเลย มีเสียก็มีเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีใครกล้าพูดว่าเสียเท่านั้นเอง เกรงพระราชอาญา แต่ความจริงก็มีเสียออกไปมีเหมือนกัน เป็นเจ้าเกะกะระราน ไม่ค่อยจะเรียบร้อยมันก็มี เป็นธรรมดา ลูกชาวบ้านก็เหมือนกันถ้าจิตใจพ่อแม่เป็นธรรม ลูกก็จะเป็นธรรม ถ้าจิตใจเป็นอกุศล ลูกก็จะมีจิตใจเป็นอกุศล เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญในชีวิตของเราท่านทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะมีลูก ก็ให้มีโดยธรรม ให้เขาออกมาจากธรรมะ มีจิตใจดีงามมาตั้งแต่เริ่มต้น พ่อแม่จะต้องประพฤติธรรม เป็นตัวอย่างแก่ลูกอยู่ตลอดเวลา เลี้ยงลูกให้ดีทั้งกายทั้งใจและเราก็ต้องเสียสละสิ่งไม่ดีไม่งาม ไม่ทำให้ลูกเห็น เช่น เราเคยดื่มสุราเมรัยเมื่อเป็นหนุ่ม พอแต่งงานแล้วเราก็เลิกเสีย เราเคยสูบบุหรี่ เราก็เลิกสูบบุหรี่เสีย
พูดเรื่องบุหรี่ก็อยากจะขอร้องญาติโยมทั้งหลายว่า ขณะมาเดิน นั่ง อยู่ในวัดชลประทานรังสฤษฎ์นี่ให้นึกว่าเรามาเพื่อความอดทน เรามาเพื่อการบังคับตัวเอง เรามาเพื่อการขูดเกลาสิ่งที่มันไม่ดีไม่งามให้ออกไปจากใจของเรา เราต้องการชนะความชั่วความร้าย เราก็ถือคติกล่าวว่า พอเหยียบเข้าสู่บริเวณวัดชลประทานรังสฤษฎ์ แม้เราจะมีบุหรี่อยู่ในกระเป๋าอย่าเอามาสูบ อย่านั่งสูบ อย่าเดินสูบบุหรี่เป็นอันขาด เพื่อบังคับตัวเองให้เอาชนะความอยากในเรื่องอยกาบุหรี่เล็กๆน้อยๆให้หายไป ไอ้ของอื่นนั้นไม่ได้มาแล้ว สมัยก่อนนี้คนเอาเหล้ามาดื่มกันในงานศพ แต่พยายามแก้ไข พยายามเทศน์ พยายามสอนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเอามาดื่มในงานศพวัดชลประทานฯ แม้ว่าดื่มที่อื่นแล้วเขาก็ไม่มาเอะอะมะเทิ่ง เขามาด้วยความสงบใจ แสดงว่าเขาเคารพต่อแผ่นดินของพระพุทธเจ้า เคารพสมภารท่านเจ้าวัด เคารพต่อคณะสงฆ์ เคารพต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีอันงาม เรื่องนี้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ยังอยู่แต่เรื่องบุหรี่ ยังไม่ค่อยที่จะเรียบร้อย คนนึกว่าเรื่องเล็กน้อยแล้วก็สูบ อันนี้สูบแล้วมักจะเที่ยวทิ้งก้นเพ่นพ่านไว้ตามบนถนนบ้างอะไรบ้าง เวลาคนมากๆมาในงานศพ ตื่นเช้าท่านมหาบุญเลี้ยงนี่มีเหล็กอันหนึ่งไปเที่ยวคีบบุหรี่ใส่กระป๋อง มันเป็นจำนวนมากมาย ถ้าคิดเงินแล้ว เป็นเงินหลายร้อยเป็นพันที่เอามาสูบทิ้งไว้ๆใต้เก้าอี้ ใต้ที่นั่งนอกศาลา ในศาลาไม่มีแล้วเวลานี้ ในศาลานับว่าดีแล้วไม่มีใครเข้าไปนั่งเพราะเกรงใจสูบไม่ได้ ยิ่งอาตมาไปเทศน์แล้วไม่มีใครกล้าพ่นควันออกมาเป็นอันขาด เขาก็ไม่สูบกัน นี่ข้างนอกยังสูบอยู่ ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อยเพราะว่าคนเหล่านั้นยังไม่อยากจะเป็นไท ยังไม่อยากเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ยังไม่อยากจะเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องก็เลยยอมเป็นทาสเขาต่อไป เป็นทาสบุหรี่เขาต่อไป ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นทาส ยังเป็นไทไม่ได้แต่ว่าเมื่อมายืน เดิน นั่งอยู่ในวัดชลประทานรังสฤษฎ์ก็อย่าไปเอามาอวดใครๆในเรื่องการสูบบุหรี่เป็นอันขาด
มีญาติโยมเห็นว่าพระที่มาวันอาทิตย์นี้สูบบุหรี่ อาตมาบอกว่าพระนั้นไม่ใช่พระวัดชลประทานฯ เพราะว่ามาเดินนี่ไม่ใช่พระวัดชลประทานฯ พระวัดชลประทานฯนั่งเรียบร้อย พอจะขึ้นเทศน์นี่มาแล้ว เดินมาแล้ว พระใหม่มาทั้งหมด เดินเป็นแถวโยมเห็นไหม พระเดินมาเป็นแถวเป็นระเบียบสวยงาม แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่หินโค้งทั้งหมด เวลานี้ไม่มีพระองค์ไหนเดิน แต่ทุกรูปนั่งสงบจิตสงบใจฟังปาฐกถา จึงไม่มีใครสูบยา เพราะพระที่วัดนี้เขาเลิกสูบกันแล้ว ถ้ายังมีสูบอยู่บ้างสักองค์หนึ่งแต่ก็ได้จับได้แล้วก็บอกว่าให้เลิก บวชหลายปีแล้วองค์นั้นยังไม่เลิกสูบอยู่ แพ้อยู่ ยังขี้แพ้อยู่ เลยวันนั้นจับได้คาหลังคาเขา อ้าว คุณนี่มันบวชกี่พรรษาแล้วยังแพ้อยู่ ยังไม่รู้จักชนะ ท่านก็เลยหน้าม่อย ยังแพ้เขาอยู่ ว่าเขาอย่างนั้น แต่ว่าที่จะเดินมา เอ้ามาเดินสูบก๋านี่ไม่ใช่ พระมาจากที่อื่น มาจากวัดอื่น ไม่รู้ แต่ถ้ารู้ก็ไม่กล้าเหมือนกัน เคยเห็นเวลาอาตมาไปวัดไหน พระสูบบุหรี่พอเห็นอาตมาปุ๊บ ซ่อนทันที ซ่อนทันที มาแล้ว มาแล้ว เจ้าคุณปัญญามาแล้ว ซ่อนทันที ไม่กล้าสูบให้เห็น ความจริงอาตมาก็ไม่ได้ว่าหรอก เพราะไม่ใช่พระของอาตมา แต่เขารู้เพราะเขาฟังเทศน์บ่อยๆว่าอาตมาติเรื่องนี้อยู่ แล้วก็สอนญาติโยมว่าอย่าถวายแก่พระ อย่าถวายบุหรี่แก่พระ หมากเมี่ยงอะไรก็อย่าไปถวาย ถวายแต่ของที่เป็นประโยชน์
วันก่อนนี้ก็ได้รับข่าวน่าชื่นใจ คนป่าไม้เขามาวันเกิดท่านอดีตอธิบดี คุณรัศมีอะไร เปรมอะไรอยู่ตรงนี้ เมืองนนท์นี่ คุณรัศมี ใช่หรือไม่ใช่? คุณถนอม เปรมรัศมี(หัวเราะ) ไปเอาสกุลข้างหลังมา เดี๋ยวนี้จำมันไม่ค่อยเรียบร้อย ชื่อคุณถนอม เปรมรัศมี อันนี้ก็แกทำบุญวันเกิด เขาก็มาบอกว่าผมมาทำบุญอดีตอธิบดี วันเกิด ทั้งท่าน เห็นไม่เห็นถวายหมาก ถวายบุหรี่ และผมสงสัยก็เลยถามขึ้นว่า อ้าว ทำไมท่านอธิบดีไม่ถวายหมากบุหรี่ล่ะ ท่านบอกว่าที่บ้านนี้นิยมชมชอบท่านเจ้าคุณปัญญา วัดชลประทานฯ ท่านสอนไม่ให้ถวายหมาก ไม่ให้ถวายบุหรี่แก่พระ เลยไม่ถวาย ความจริงพระที่ไปนั้นคอหมาก คอบุหรี่กันทั้งนั้นแหละ ... (30.24) แต่ว่าอธิบดีก็ไม่ถวาย อย่างนี้เรียกว่าเป็นแนวร่วม เป็นแนวร่วมท่านปัญญา ท่านคุณถนอมนี่เป็นแนวร่วมท่านปัญญา ไม่ถวายหมากพลูบุหรี่แก่พระ ญาติโยมนี่ก็เหมือนกันแหละ มาอยู่วัดชลประทานฯ ฟังธรรมอยู่เสมอนี่ นิมนต์พระไปทำบุญที่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องถวายของอย่างนั้น ถวายแต่อาหารคาวหวาน น้ำท่าก็พอแล้ว บุหรี่ หมากไม่ต้องถวาย ถ้าพระท่านถามว่า “เออ โยม เปรี้ยวปากเหลือเกิน ทำไมไม่ถวายหมากมั่ง” “ผมทำตามเจ้าคุณปัญญา วัดชลประทานฯ ท่านแนะนำไม่ให้ถวาย” พระแกคงเขม่นอยู่ในใจ ก็แหม องค์นี้ล่ะทำให้เราเดือดร้อนทุกที (หัวเราะ) อาจจะนึกอย่างนั้น แต่ไม่เป็นไร ถ้าเพราะว่าเราสอนให้ท่านชนะ ไม่สอนให้ท่านแพ้ เป็นประโยชน์ต่อไปในกาลข้างหน้า อันนี้ขอฝากไว้ด้วยในกัณฑ์เทศน์กัณฑ์นี้ เพื่อจะได้ ใครอ่านก็จะได้รู้ว่า อ๋อ ควรจะทำอย่างนั้น
ก็เพราะฉะนั้นเมื่อเราพ่อแม่นี่ ถ้าจะว่าสอนลูกในเรื่องใด ต้องทำเป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น เช่น สอนลูกไม่ให้ใช้ พูดคำหยาบ เราต้องพูดคำสุภาพกับลูกตลอดเวลา แม้จะโกรธจะเคืองอะไรก็ต้องใช้คำสุภาพ พูดอ่อนหวาน เรียบร้อย นี่ถ้าจะสอนลูกให้พูดเรียบร้อย ถ้าเราพูดคำหยาบให้ฟังบ่อยๆ ลูกก็จำคำหยาบ เด็กนี่จำง่ายจริงๆ อะไรมันประทับใจเด็ก เร็วทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องดีเรื่องเสีย ประทับเร็วมาก เพราะฉะนั้นเราต้องระวัง ไม่ให้ภาพเสียประทับอยู่ในฟิล์มของเด็กเป็นอันขาด ไม่ให้เด็กจำภาพเหล่านั้นไว้ ต้องสำรวม ต้องระวัง เรียกว่าพ่อแม่นี่ต้องประพฤติธรรมอยู่ตลอดเวลา ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อรัตนตรัย ต้องมีการบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง ต้องมีความอดทนเป็นพิเศษ แล้วก็ต้องมีความเสียสละในสิ่งที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก ลูกก็เห็นพ่อแม่ทำอย่างนั้น มันก็ฝังลงไปในจิตใจ การทำให้ดูล่ะคือการสอนที่มีค่าที่สุด เราทำให้ดูบ่อยๆก็เท่ากับว่าสอนให้ทำอย่างนั้น เมื่อสอนอยู่อย่างนั้นบ่อยๆ เด็กมันก็จำไป แล้วอะไรที่เด็กจำตั้งแต่เด็กนี่ถาวรมาก ติดไปจนแก่จนเฒ่าไม่ลืมไม่เลือน ไอ้สิ่งที่ใหม่ๆนี่ชักจะเลือนได้ แต่ของจำมาตั้งแต่เด็กนี่ไม่ลืมเป็นอันขาด นี่อันนี้ต้องระวัง เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยระมัดระวัง ต่อหน้าลูกก็ไม่ระวัง บางทีพ่อแม่เถียงกันหน้าดำตาแดงให้ลูกเห็น มันไม่ได้ อย่างนั้นไม่ได้ ต้องเกรงใจลูกหน่อย เดี๋ยวว่ามันจะติดไปเป็นนิสัย โกรธกันซักเท่าใด ก็เข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว อมอะไรๆไว้ในปาก อมน้ำก็ได้ อมน้ำไว้ในปาก มันจะได้สบายใจ เหมือนกับแม่หญิงคนหนึ่งแกเป็นคนขี้บ่นขี้ว่ากับผัว อันนี้ก็ผัวก็มาบอกพระ บอกพระว่า “แหม ทำยังไงนะจะให้แม่บ้านของผมเป็นคนพูดน้อยซักหน่อย ผมพอถึงบ้านแล้วแหม….พ่นใส่ไม่มีหยุดเชียว พ่นพิษใส่ทุกวันทุกเวลา”
พระท่านบอกว่า “ให้มาหาหน่อยสิ วันหลังจะได้ให้ของดีแก่เขา” อันนี้พระท่านฉลาดนะ เรียกว่าฉลาดมีอุบาย แม่หญิงคนนั้นก็มาหา มาหาท่านก็ถามว่า “เรานี่เป็นคนหึงสามีหรือเปล่า หึงหวงสามีหรือเปล่า”, “อ้าว หึงหวงสิ ของดิฉันก็ไม่อยากให้ใครมายุ่ง” “อ๋อ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ มันต้องมีของดีไว้ประจำตัว สามีจะได้รัก ได้ชอบ” แม่หญิงแกก็ชอบใจสิ ก็ว่าอย่างนั้น”ทำยังไงล่ะ” “ก็ไม่ยาก ฉันจะเสกน้ำให้สักขวด เอาไปไว้นะ ก็เสกน้ำไป เอาไปไว้ใช้” “จะใช้เวลาไหนล่ะ” “ตอนเห็นสามีเข้าบ้านต้องอมน้ำไว้ อมน้ำไว้ พอสามีเข้าบ้านแล้วอมน้ำมนต์นี่ไว้ อมไว้ ทีนี้อมน้ำไว้จะไปด่าก็ไม่ได้ จะไปบ่นก็ไม่ได้” สามีก็สบายใจเพราะว่าได้ของดีคืออมน้ำไว้แล้ว พูดไม่ออก อม...ยืนเฉยเลย แม้จะโกรธจะเคืองก็ตาเขียวๆเท่านั้นแหละ แต่ว่าพูดไม่ได้ เพราะว่าพระท่านว่าอย่าพูดอะไรเด็ดขาด ต้องอมไว้ อมไว้สักครึ่งชั่วโมง มาถึงนั่งคุยอะไร อย่าไปคุยกันก่อน อมไว้ก่อน แกก็ทำตามนะ แกก็ดีนะว่านอนสอนง่าย เชื่อพระอยู่ ก็ได้ประโยชน์นะ ไว้อมน้ำหลายๆวันเข้า ก็ไม่พูดไม่จาก็คลาย นิสัยพูดจามันก็คลายไป ทีหลังก็เรียบร้อย สามีมาก็ไม่พูดหยาบต่อไปเพราะว่ามันเท่ได้อมน้ำมาตั้งเดือนแล้ว น้ำกว่าจะหมดขวดมันก็นานนะ อมทีไม่มาก ไม่ใช่กินนี่เพียงแต่อมเฉยๆ มันก็ไม่หมดซักทีน่ะน้ำนะ พอสามีเข้าบ้านรีบอมทันที อมแล้วก็ยืนยิ้ม พอวันไหนไม่พูดไม่จา สามีก็นึกขำอยู่ในใจว่าทำไมพูด ก็รู้อยู่แล้วว่าลูกไม้ของตัว ก็คิดกับพระไว้แล้วก็เลยยิ้มๆ ผลที่สุดก็เรียบร้อย นี่ก็คือพระท่านให้บังคับตัวเอง ให้อดทน ให้เสียสละนั่นเอง แต่ว่าให้ทำก็มันลำบาก ต้องให้แบบสาธิตไปหน่อย เลยให้อมน้ำไว้ และเรื่องมันก็เรียบร้อย อย่างนี้เป็นตัวอย่าง
เพราะฉะนั้น เมื่อเราอยู่ต่อหน้าลูกจะทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรไม่ได้ เพราะลูกมันเปิดปากกล้องไว้ตลอดเวลา คอยถ่ายภาพคุณแม่ วีดีโอเทปนะ ลูกนี่คือวีดีโอเทปธรรมชาติ คอยถ่ายคุณแม่มั่งคุณพ่อมั่ง ถ่ายไว้เรื่อยนะ ให้เราสังเกตสิลูกคนไหนชอบแม่มาก เหมือนแม่ ชอบพ่อมากล่ะก็เหมือนพ่อ ตลอดล่ะ กิริยาท่าทาง การพูดการจา การนั่งการเดิน เหมือนทุกอย่างเพราะเขาชอบ เขาชอบคุณพ่อก็ทำเหมือนพ่อ ถ้าชอบคุณแม่ล่ะก็ทำเหมือนแม่ นี่มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เราจะต้องแสดงภาพที่ไม่เสียหายแก่ลูกตลอดเวลา ให้ลูกจำแต่ภาพที่สวยสดงดงามไว้ในใจ ลูกก็จะไม่มีเรื่องเสียหาย อันนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เรียกว่าตัวอย่างในครอบครัว อาจจะเป็นเหตุให้ลูกจำไปได้ เสียผู้เสียคนได้ และนอกจากตัวอย่างในครอบครัวแล้ว ตัวอย่างจากสิ่งแวดล้อม เด็กอยู่ในที่ไหน อยู่ในที่เรียกว่าย่านชุมนุมจอแจ ชุมนุมหนาแน่น เรียกว่าย่านชุมชนหนาแน่น เขาไม่เรียกว่าสลัมแล้วเวลานี้ เขาใช้ภาษาไทยว่าย่านชุมชนหนาแน่น ชุมชนหนาแน่นคนมันมาก แล้วไอ้คนหมู่มากนี่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เรียบร้อยอยู่ไม่ได้ล่ะ มันต้องเหมือนกันไปหมดล่ะ พูดดังเหมือนกัน กิริยาท่าทาง ปึงโปงโค้งคว้าง เด็กที่เกิดมาในย่านนั้นมันก็ติดนิสัยของคนที่มันเห็นอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นไปในสภาพเช่นนั้นเหมือนกัน เราก็ต้องคอยเตือนคอยบอกลูกของเราว่าอย่าเอากิริยาอย่างนั้น อย่าเอาตัวอย่างแบบนั้น แบบนั้นไม่ดี ไม่สวย ไม่เรียบร้อย ไม่อ่อนหวาน ไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดู คอยชี้เอาไว้ คอยค้านไว้ไม่ให้ลูกได้รับสิ่งนั้น ให้เหตุให้ผลไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ความเสียมีปริมาณมากเท่าใด เราต้องเอาความดีเข้าต้านทานให้สูงกว่านั้น เช่น เสีย ๕๐ นี่ ต้องเอาความดี ๘๐ ไปข่มไว้ ถ้าดีน้อยมันข่มไม่ได้ มันก็ลำบากเหมือนกัน ทำให้เกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้นต้องเอาความดีใส่ไว้ ในการที่จะใส่ให้ลูกอย่างนี้ เราก็ต้องหมั่นอบรมบ่มนิสัย กลางคืนเราต้องสอน อบรม พูดจา ทำความเข้าใจในข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆที่เด็กจะทำอยู่ตลอดเวลา เราต้องคอยสอน คอยเตือน คอยแก้ไข อย่าปล่อยให้นาน ปล่อยนานไม่ได้ เพราะปล่อยนานแล้วมันก็เสียเหมือนสนิมเหล็กเกิดน้อยๆ ขัดผิวถูเสีย ทาน้ำมันเสีย เหล็กก็ไม่เสียหาย แต่ถ้าเราปล่อยไว้เดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน สนิมเจาะลึกลงไป เวลาเราขัดเอาสนิมออก เนื้อเหล็กมันก็ถูกขูดถูไปด้วย พลอยเสียไปด้วยฉันใด ในเรื่องคนเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเขากระทำความผิดแต่เราเฉยๆ แล้วก็นิดหน่อย ไม่เป็นไร ไอ้นิดหน่อยไม่เป็นไรนั่นแหละ ต่อไปมันจะเป็นอะไรขึ้นมา เพราะเราไม่แก้ตั้งแต่หัวที เราไม่สอนไม่เตือน แล้วลูกก็อาจจะคิดว่า เอ้..ไม่เห็นคุณแม่ว่าอะไร ไม่เห็นคุณพ่อว่าอะไร เราทำอย่างนี้ท่านก็ไม่ได้ดุได้ว่านี่ เขาก็นึกว่าถูกต้องแล้วก็เลยก็ทำเรื่อยไป ทำเรื่อยไปจนเป็นนิสัย พอเป็นนิสัยแล้วนี้แก้ยาก ความจริงมันก็แก้ได้แต่ว่าเราไม่มีความอดทนพอ ขยันพอที่จะแก้ไข แล้วเด็กก็ไม่มีความตั้งใจที่จะแก้ไขเพราะเขาไปอย่างนั้นเสียแล้ว เขาชอบใจอย่างนั้นเสียแล้ว ผลที่สุดก็เสียคน
เวลาลูกเสียไปนี่ แม่มักจะมาบ่นให้ฟัง บอกว่าลูกมันไม่ดีค่ะ เออ มาบ่นกับอาตมาบ่อย ลูกไม่ดี...อย่า อย่าไปว่าอย่างนั้น แม่มันไม่ดีไม่ใช่ลูกไม่ดี อย่า อย่าไปว่าว่า ไม่ใช่ลูก เขาเรียกแม่ไม่ดี พ่อไม่ดี มันถึงเป็นอย่างนั้น
วันหนึ่งมากันสองคนผัวเมียนะ แม่บอกว่าลูกมันไม่ดีเจ้าค่ะ พออาตมาบอกว่าแม่มันไม่ดี “เอ่อ จริงๆๆ จริงเหมือนท่านว่าว่างั้น” เรียกว่าผสมโรงเลย พ่อบ้านผสมโรงว่าจริงๆๆ เหมือนท่านว่าเอานะนั่น ทีนี้คุณแม่ก็ถลึงตา ถลึงตาเจ้าประคุณสามีเข้าให้ แหม พอได้ทีก็ขี่แพะไล่ใหญ่เชียว ... (40.45) คือว่ามันเสียที่คุณแม่ มันเสียอย่างไร ตามใจมากไป คือรักนะดีไม่ใช่เรื่องอะไร รักเกินขอบเขต รักจนมากไป จนไม่กล้าสอน ไม่กล้าเตือน ไม่กล้าบอกอะไรทั้งนั้น กลัวว่าลูกจะช้ำใจ นี่เป็นอย่างนี้ เรียกว่าลูกเปื้อนก็ไม่ขัดกลัวลูกจะเจ็บเนื้อแล้วก็เปื้อนใหญ่ มันต้องขัดหน่อย มันต้องตีหน่อย ถ้าว่ามันสกปรกมากก็ต้องขัดแรงๆ การขัดแรงๆก็ทำให้สะอาดเรียกว่าการขัดเกลา ทั้งขัดทั้งเกลา หรือขูดเกลา มันต้องนิดหน่อย ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่ว่าต้องหมั่นขูดหมั่นเกลา หมั่นขัดหมั่นขูด มันต้องค่อยดีขึ้น ส่วนมากไม่ได้ขัดขูดก็จะตามใจ เดี๋ยวนี้มีข้อเสียอยู่อันหนึ่ง คือเราหลงใหลคำพูดอยู่คำหนึ่ง พูดว่าเสรีภาพ ให้เสรีภาพเขาบ้าง สมัยนี้มันเป็นสมัยเสรีภาพ แล้วพ่อนี่กับแม่นี่แต่ส่วนมากแม่นะไม่ใช่พ่อ แม่นี่ให้เสรีภาพแก่ลูกมากไป ปล่อยให้ลูกทำอะไรตามใจตัวตามใจอยาก ปล่อยจนเหลิงล่ะ จนเสียผู้เสียคนไปเลยล่ะ ก็ปล่อยมากเกินไป ครั้งเมื่อเป็นเด็กเราปล่อย เป็นหนุ่มเราก็ปล่อยอย่างนั้น แล้วพูดไม่ฟังแล้วเพราะว่านิสัยมันเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว เราปล่อยมาก ปล่อยมาก ก็ลูกก็อยากได้นั่นอยากได้นี่ แม่เคยให้ ถ้าไม่ให้ลูกก็จะไม่กินข้าวล่ะ จะนอนมันเฉยๆ ไม่ให้ล่ะ ก็เรียกว่าทำท่าเพื่อให้ได้ดังต้องการ เรียกว่าลองใจคุณแม่ว่าจะแข็งขนาดไหน
ผลที่สุดแม่ก็อ่อน กินข้าวนะจ๊ะลูก ต้องการอะไรกับแม่ก็จะจัดให้ มันก็ไปกินตั้งสองชามเพราะไม่ได้กินมาสองมื้อแล้ว กินใหญ่เลย พอกินเสร็จแล้ว แม่ ไอ้ที่ว่าตะกี้เมื่อไหร่จะจ่ายล่ะ ไปกระเซ้าอย่างนี้ คุณแม่ก็ต้องให้ แล้วก็พาไปซื้อข้าวซื้อของ ซื้ออะไรต่ออะไร คนมีสตางค์มากๆ ซื้อรถยนต์ให้ลูกชายขับเล่น ลูกชายขับรถธรรมดามันไม่เก๋ มันไม่เท่ มันต้องเอาไปแต่งใหม่ ทำล้อให้ใหญ่ ปรับเครื่องอะไรบางอย่างให้มันดีเป็นพิเศษ ขับแล้วให้มันเสียวไส้ไปตามๆกัน เขาเรียกว่า”รถซิง”ไงสมัยนี้ ไอ้รถซิงนี้มาจากคำว่าเรซซิ่ง คำว่าเรซซิ่งแปลว่าการแข่งรถ เขาแข่งกันเยอะเมืองนอก เขาแข่งในสนาม ไอ้เราไม่มีสนามจะแข่ง เลยเด็กมันจัดสนามของมันเอง มันแข่งกัน แข่งถนนรัชดาภิเษก แข่งถนนวิภาวดีรังสิต หรือออกไปนอกเมืองแข่งที่นู่นแหน่ะ ชลบุรี สายชลบุรี อำเภอแกลง บ้านบึงนู่น ถนนมันกว้างดี เขาก็ไปแข่งกัน คนอื่นเขาจะนอนไอ้พวกนี้ก็ไปตะเบ็งเสียงให้คนไม่ได้หลับได้นอน ไอ้ชาวบ้านก็นอนแช่งชักหักกระดูกมันเลยไปแหละ เมื่อไหร่พวกนี้มันจะตายโหงตายห่าซักทีวะ มันแช่งทุกวันๆ มันตายซักวันนะ อย่าเที่ยวนึกว่ามันไม่เป็นนะ ไอ้คนมันแช่งบ่อยๆต้นไม้ยังตายนะ คนแช่งบ่อยๆ ร้อยคนพันคน ต้นไม้นี้เมื่อไหร่จะตาย ต้นไม้นี้เมื่อไหร่จะตาย และมันก็เหี่ยว เหี่ยวจนมันตายน่ะ ความต้องการของคนมากๆ แช่งคนให้ตาย อันนี้ตายก็เพราะใคร เพราะแม่นั่นแหละที่ทำให้ลูกตาย เพราะไปซื้อรถไปให้เขาขี่เล่น ไม่ให้ขี่ไปทำงาน ไม่บังคับมาแต่เล็กแต่น้อยจึงเสียผู้เสียคนไป ถ้าเราคอยตะล่อมกล่อมเกลาไว้เรื่อยๆ ไม่ปล่อยคือไม่ปล่อย คอยบังคับ คอยควบคุม ทะนุถนอมเขาไว้ให้ดีให้งาม ไม่เสีย ไม่มีเด็กคนไหนเสียถ้าเราคอยพูดคอยจา
การบังคับควบคุมเด็กก็ไม่ใช่ว่าจะดุกันตลอดไป ไม่ใช่ว่าอย่าอย่างนั้น อย่าอย่างนี้ ไม่ได้ ไอ้นั่นมันมีแต่อย่า เด็กมันไม่รู้ว่า เอ๊ะ ทำไมต้องไม่ให้ทำ ทำไมจะต้องไม่ให้ทำ และมันดันล่ะทีนี้ ยิ่งห้ามยิ่งเหมือนมันก็ยิ่งยุเขาว่า มันดันให้ได้ จะแกล้งคุณแม่ทีนี้ คุณแม่ห้ามเราต้องทำ ทำแล้ว คุณแม่ห้ามได้แล้ว ทำอันนี้ ห้ามแล้ว ทำอันนี้ อุดรูนี้มันออกรูนู้น อู้ย..ไปกันใหญ่ทีนี้ ไปกันใหญ่ นี่มันเป็นความผิดเพราะเราไปห้ามอย่างเดียว เราไม่ให้เหตุผล ไม่พูดให้เขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เด็กมันต้องการเหตุผลนะ ต้องการความเข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาพูด เวลาพูดนี่ต้องเรียกเข้ามานั่งใกล้ๆ มีขนมก็ให้กินขนมเสียก่อน แล้วก็เราลูบหน้าลูบหลังมัน แล้วว่าเอามาหอมแก้มสักทีหนึ่ง อู้ย..แม่คิดถึงลูก เด็กมันก็สบายใจ แหม ลูกรักแม่ เอ้ย แม่รักลูก มันสบายใจ พอสบายใจแล้วบอกว่า แหม แม่อยากจะพูดอะไรกับลูกสักหน่อยวันนี้ อะไรคะแม่ แม่จะพูดอะไร ถ้าเป็นลูกหญิงก็ทำอย่างนั้น ถ้าเป็นลูกชาย มีอะไรครับแม่ พูดเถอะ ผมยินดีรับฟังคุณแม่พูดเสมอ มันรักลูก ลูกมันรักแม่ เพราะแม่แสดงความรักลูก อันนี้เราก็ค่อยพูดอธิบายเหตุผลให้เข้าใจว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นอย่างไร อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรเหมาะอะไรไม่เหมาะ อย่างนี้ต้องอธิบายให้เข้าใจ พูดแล้วก็ถามว่าลูกเข้าใจไหมที่แม่พูดนี่ ถามอย่างนั้นก็ได้ เด็กก็บอกเข้าใจ เข้าใจแล้วแม่ขอนะ วันหลังอย่าได้กระทำอย่างนี้ต่อไป อย่าให้ทำให้แม่ต้องเสียใจ หนูรักแม่ไหม แล้วก็กอด รักแม่ไหม ก็จูบซักที หอมแก้มเขาซักทีหนึ่ง เด็กมันก็ชื่นใจ ถ้าแม่ทำอย่างนั้นมันก็ชื่นใจแหละ แล้วมันก็บอก เอาล่ะ หนูจะไม่ทำ สัญญาแล้วนี่ คำว่าหนูจะไม่ทำนี่คือสัญญาแล้ว ถ้าเด็กทำ อ้าวลูกลืมเสียแล้วสัญญาให้กับแม่
ลูกผู้ชายก็ตาม ลูกผู้หญิงก็ตาม ต้องถือคำมั่นสัญญา คำมั่นสัญญานี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเครื่องหมายของคนใจดีใจงาม ถ้าเราได้สัญญากับใครแล้วไม่ทำตามสัญญามันก็เสียหาย แต่ว่าสัญญานั้นต้องเป็นประโยชน์ด้วย ดีด้วยนะ ไม่ใช่สัญญากับเพื่อนว่าคืนนี้ไปเที่ยว ต้องไปตามสัญญา ถ้าไม่ไปเดี๋ยวมันเสียสัญญา อันนี้ไม่ไปก็ได้ เพราะไปแล้วมันเสียหาย หรือว่าจะทำอะไรแต่มันไม่ถูก ไม่ชอบไม่ควร แม้เราจะขัดขืนก็ได้ ค่อยอธิบายกับเพื่อนทีหลังว่า ที่ไม่ไปนั้นเพราะคิดได้ว่าไม่ถูกต้อง คุณแม่ของอั๊วะเคยสอนว่าทำอะไรต้องทำแต่เรื่องถูกต้อง สัญญาต้องเป็นสัญญาที่ถูกต้อง ถ้าสัญญาที่ไม่ถูกต้องก็ไม่ชื่อว่าเป็นสัญญา เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง ผิดหลักเกณฑ์ ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะไม่ทำตาม เพราะฉะนั้นขอโทษที่ไม่ทำตาม แล้ววันหลังเพื่อนอย่ามาขอคำมั่นสัญญากับเราต่อไปในเรื่องที่มันไม่ถูกต้อง เพราะฉันนี่รักความถูกต้องตามที่คุณแม่สอนไว้ จะไม่ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องเป็นอันขาด เพื่อนก็จะรู้นิสัยว่า อ๋อ คนนี้เขารักแม่ เขาเคารพแม่ เขาทำสิ่งที่คุณแม่ต้องการให้ทำ ทำสิ่งที่คุณพ่อต้องการให้ทำ เพื่อนจะเกรงใจลูกของเรา เพราะลูกเราเป็นคนมีศีล มีสัจจะประจำจิตใจ แล้วอาจจะไปดึงเพื่อนมาเป็นคนดีได้อีกนะ ถ้าเราสอนให้เขาเป็นคนดีไว้อย่างนั้น เราต้องให้เหตุผลให้เขาเข้าใจ เด็กจะกินอะไร จะขออะไรต้องพูดกันก่อนให้เข้าใจ อย่าให้เมื่อมันรบเร้าเซ้าซี้จะเอาให้ได้เราไม่ให้ แต่ว่าพูดกันก่อนให้เข้าใจเรื่อง พอเข้าใจเรื่องแล้ว ไม่ต้องซื้อให้ก็ได้ แล้วต่อไปจะไม่ถูกเด็กรบกวนขอนั่นขอนี่ไอ้เรื่องไม่จำเป็นต่อไป เพราะเราให้เหตุผลทีละน้อยๆ เขาค่อยเข้าใจ เช่นว่าเด็กอยากได้ลูกโป่ง เอามาทำอะไรลูกโป่ง ถือเล่นๆ ลอยไปอย่างนั้น ถ้าหากลูกโป่งมันลอยเราลอยขึ้นไปด้วย ลอยไปถึงโลกพระจันทร์ เออ แม่จะซื้อให้ซักพวงใหญ่จะได้ไปโลกพระจันทร์ ไม่ได้ไปแต่ลูก แม่จะคอยเกาะไปด้วย ไปเดินเล่นดงขี้ฝุ่นโลกพระจันทร์กันหน่อย แต่นี่มันไม่ได้ลอยไปไหน ลูกโป่งดึงไปดึงมา ดังโป๊ะ อ้าวแตกแล้ว แล้วลูกหนึ่งกี่ตังค์ หลายสตางค์ ไอ้สตางค์เดียวไปซื้อลูกโป่งนี่ ถ้าเอาไปซื้อนมตราหมีกินจะดีไหม ได้กำลังร่างกายแข็งแรงหรือว่าเอาไปซื้ออะไรเป็นประโยชน์จะดีไหม เราถามให้เขาตอบ เขาว่าดี อ้าว ดีแล้วจะซื้อทำไมลูกโป่ง เอ้าแม่เก็บสตางค์นี้ไว้ เดี๋ยวจะไปซื้อนมสักกล่องหนึ่งให้ลูกดูดเล่น ดีกว่าเล่นลูกโป่งเป็นไหนๆ เราค่อยพูดอย่างนั้น ค่อยทำความเข้าใจ ถ้าพูดกัน ทำความเข้าใจกันบ่อยๆ เด็กจะเชื่อ แล้วจะไม่ดื้อ แล้วแม่ก็ไม่ต้องลำบากใจที่จะต้องซื้ออะไรให้แก่ลูกโดยไม่จำเป็น อันนี้ก็ต้องอาศัยเหตุผล ต้องอธิบาย ชักจูง โน้มน้อมจิตใจเรื่อยๆไป แล้วก็ให้เขามีหลัก คือให้มีความเชื่อไว้ในใจ เชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไว้ ให้มีหลักศาสนาประจำใจ
เรื่องศาสนานี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เด็กจะต้องมี ให้มีตั้งแต่เล็กๆไปแล้วจะมั่นคง พอโตขึ้นมักชักจะรู้มาก มันรับไม่ค่อยได้ แล้วมันก็ยุ่งล่ะทีนี้ เรื่องมันมาก มันพูดกันยาก เพราะฉะนั้นเราต้องสอนให้เขาไปตั้งแต่เบื้องต้น วันละเล็กวันละน้อย ค่อยสอนไป หัดให้ไหว้พระ สวดมนต์ ให้ท่องจำพุทธภาษิต … (50.35) จำได้ก็ให้รางวัลเล็กๆน้อยในฐานที่จำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ อันนี้คือการช่วยตะล่อมกล่อมเกลาเด็กของเราให้เข้าหาทางถูกทางชอบตามหน้าที่ของพ่อแม่ที่ทำที่บ้าน ส่วนโรงเรียนนั้นมอบให้ครูเขาไป ครูก็ยังไม่ค่อยจะเรียบร้อยกันเท่าใดเวลานี้ ยังจะต้องแก้ไข เวลาใดเขาวนไปเทศน์กับครูก็ต้องว่ากันตามเรื่องตามราว ช่วยกันแก้ไขปรับปรุงกันต่อไป เพื่ออนาคตของสกุล ครอบครัว ตลอดจนถึงประเทศชาติของเรา สำหรับวันนี้ พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้