แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสานาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงนี้ได้ แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒ ของฤดูการเข้าพรรษา เมื่อวัน ๑๕ ค่ำมันเป็นวันเพ็ญสำคัญทางพุทธศาสนา และวันแรมค่ำ ๑ เดือน ๘ ญาติโยมทั้งหลายก็ได้มาทำบุญกันคับคั่ง ก็เกือบทุกวัดในประเทศไทย ญาติโยมก็ไปทำบุญสุนทานกันตามประเพณีที่ได้ทำกันมาตั้งแต่โบราณ เป็นการกระทำที่เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาไว้ การรักษาพระพุทธศาสนานั้น เราจะต้องรักษาไว้ในจิตใจของเรา ไม่ใช่รักษาไว้แต่เพียงวัตถุภายนอก วัตถุของพระศาสนานั้นมีหลายอย่าง เช่น วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร เจดีย์ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นวัตถุในทางศาสนา หรือเรียกว่าวัตถุธรรม เป็นสิ่งภายนอก เป็นเครื่องเตือนใจให้เราได้นึกถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สิ่งเหล่านั้นก็ต้องรักษาไว้เหมือนกัน รักษาไว้เพื่อเป็นโบราณวัตถุ หรือเป็นอนุสรณ์เครื่องเตือนใจให้เราได้มองเห็นแล้วคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เช่นเรามองเห็นพระพุทธรูป เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรมคำสอนของพระองค์ มองเห็น เจดีย์เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เห็นอะไรๆที่เป็นวัตถุทางศาสนาก็ให้นึกถึงสิ่งทั้งสามประการนั้น เพื่อจะได้นำสิ่งทั้งสามประการนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา ว่าธรรมะนั้นเป็นตัวแท้ของพระศาสนา เป็นสิ่งที่เราจะต้องรักษาไว้อย่าให้สูญหาย คัมภีร์พระธรรมะเช่นคัมภีร์ใบลานสมัยก่อน เดี๋ยวนี้พิมพ์ลงในกระดาษเรียกว่าภัมภีร์พระไตรปิฎก อันเป็นคัมภีร์จารึกคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เรียกว่าเป็นวัตถุในทางศาสนา วัตถุนั้นมีอักษรเป็นเครื่องหมายให้เราอ่านรู้เรื่องเข้าใจ แล้วจะได้นำมาปฏิบัติต่อไป
ตัวธรรมะที่แท้อยู่ที่ตัวปฏิบัติ อยู่ที่ตัวการหลุดพ้นการความทุกข์ อยู่ที่ตัวความสะอาด สงบ สว่างทางจิตใจ เมื่อเรามีสิ่งเหล่านี้ก็เรียกว่ามีพระธรรมอยู่ในใจของเรา พระธรรมอยู่กับเรา พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา พระสงฆ์อยู่กับเรา เมื่อเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจ เราก็มีแต่ความสงบ สะอาด สว่างทางใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหารบกวนจิตใจ มีชีวิตเป็นสุข ไม่ว่าจะอยู่บ้านอยู่วัด หรือไม่ว่าเราจะประกอบกิจการงานอะไร ถ้าเรามีพระดังที่กล่าวประจำใจ เราก็มีแต่ความสุขใจ สงบใจในชีวิตประจำวัน
เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะทำความเข้าใจ และควรจะได้อัญเชิญมาใส่ไว้ในใจของเราตลอดเวลา ให้ตัวพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแนบสนิทอยู่ในจิตใจของเรา แม้ออกไปจากใจก็เหมือนกับว่าแสงไฟ ถ้าเราดับเมื่อใดมันก็มืด เช่นเรานั่งอยู่ในห้องกลางคืนนี้ต้องอาศัยแสงไฟ หรือกลางวันถ้าแสงมันไม่ชัดเราก็ต้องเปิดไฟ เมื่อใดมีไฟอยู่ความสว่างก็ยังมีอยู่ และเราสามารถเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เป็นประโยชน์ให้โทษอย่างไร เราก็จะได้หลีกจากสิ่งให้โทษไปอยู่กับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อไปฉันใด ธรรมะก็เป็นแสงสว่างสำหรับของเราเหมือนกัน เป็นแสงสว่างที่จะต้องลุกโพลงอยู่ในใจของเราอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดใจเราขาดธรรมะเมื่อนั้นใจมืด ใจบอด ไม่รู้เรื่องอะไรตามที่มันเป็นจริงๆ
ทำไมคนเราจึงได้วิวาทกัน เถียงกันจนหน้าดำตาแดง ทำไมจึงทะเลากันทุบตีกันจนหัวร้างข้างแตก หรือทำร้ายร่างกายกันด้วยประการต่างๆ เพราะในขณะนั้นใจเรามืดบอด เราไม่มีแสงสว่างประจำใจ เราไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว อะไรเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมความเจริญ เราไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็ทำลงไปตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อมที่ยั่วยุ การกระทำอย่างนั้นพระท่านเรียกว่าทำด้วยความประมาท ความประมาทก็คือการขาดสติ ขาดสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจนั่นเอง จึงได้ทำอย่างนั้น
และเมื่อทำเช่นนั้นแล้วเราเป็นอย่างไร เราก็นั่งเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ ไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ที่ไม่สบายก็เพราะว่าเราขาดแสงธรรมส่องใจ เราไม่มีธรรมะอยู่กับตัวของเรา อยู่กับใจของเรา เราจึงได้คิด พูด ทำ ในรูปที่มันทำให้เสียหาย ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาด้วยประการต่างๆ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสร้างเสริมธรรมะให้อยู่ในใจของเราตลอดเวลา เรียกว่าอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เผลอไม่ได้ เผลอเมื่อใดเกิดเรื่องเมื่อนั้น เกิดเรื่องเป็นเรื่องราคะ ความกำหนัดบ้าง โทสะ ประทุษร้ายบ้าง โมหะความหลงบ้าง ริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร เรื่องเยอะ ที่จะเกิดขึ้นในใจของเรา ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น
เรื่องไม่ดีนี่เรียกว่าเป็นเรื่องอกุศล มันมีกิเลสครอบงำใจ ใจเศร้าหมอง ใจมืด ใจบอด ใจไม่รู้อะไรว่าอะไรเป็นอะไรถูกต้อง จึงได้เกิดปัญหาขึ้นมา แล้วเราก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน การนี้ก็เพราะว่าเราขาดธรรมะเป็นหลักครองใจ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเราไม่มีพระพุทธเจ้า เราไม่มีพระธรรม เราะไม่มีพระสงฆ์อยู่ในใจของเรา เราไปเก็บไว้ที่ห้อง พระธรรมก็อยู่ในคัมภีร์ พระสงฆ์ก็อยู่ที่วัด เราไม่เอามาใส่ไว้ในใจของเรา เลยเกิดปัญหาด้วยประการต่างๆ
การสร้างพระธรรมนั้น ใน ๓ อย่างคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราสร้างอะไรก่อน เราก็สร้างด้วยการปฏิบัติ ตัวปฏิบัตินั้นคือพระสงฆ์ หรือพระสังฆคุณ สังฆคุณหรือพระสงฆ์ก็คือตัวการปฏิบัติ เวลาเราสวดมนต์เราสวดสรรเสริญพระสงฆ์ว่า สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี แล้วก็ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติเพื่อออกไปจากความทุกข์ ปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าเป็นตัวพระอริยสงฆ์ ถ้าปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ตรง ปฏิบัติไม่เป็นธรรม ปฏิบัติมิใช่เพื่อออกจากทุกข์ แต่ปฏิบัติเพื่อเพิ่มทุกข์ ปฏิบัติเพื่อลาภ เพื่อสักการะ เพื่อความดัง ความเด่น อะไรต่างๆ เรียกว่าไม่ก้าวไปใกล้พระสูตร เราเลียนแบบเท่านั้นเอง เป็นการอวดการโชว์นิดๆหน่อยๆ เหมือนหน้าต่างหน้าห้างร้านที่เขาแต่งสวยๆ เรียกว่า Window Show แล้วเอารูปอะไรๆมาวางไว้ให้คนเดินสะดุดตา สะดุดใจ แล้วจะได้เข้าไปดูในร้านเพื่อจะดูอะไรต่อไป
การปฏิบัติเพียงเพื่ออวดคนอื่นนั้น ยังไม่เป็นการปฏิบัติที่แท้จริง การปฏิบัติที่แท้จริงนั้นไม่ต้องการอวดใคร เราปฏิบัติเพื่อให้ใจของเรามันสะอาดขึ้น ให้ใจเราสงบ สว่างขึ้น และเราจะต้องรู้ด้วยตัวเราเองว่ามันสะอาดขึ้นขนาดไหน สงบขนาดไหน มีความสว่างอยู่ด้วยปัญญามองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดไหน วัดด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปให้ใครวัดให้ เครื่องวัดก็คือผลที่เกิดจากการปฏิบัตินั่นแหละ เมื่อปฏิบัติอย่างไรผลมันปรากฏอยู่ในใจของเรา ตัวผลนั้นเป็นมาตรสำหรับวัดอยู่ในตัวว่าเราได้ปฏิบัติขนาดไหน จิตใจเรามีสภาพเป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม
ลองคิดไปถึงเมี่อก่อนว่าเมื่อเราไม่ได้เริ่มปฏิบัติธรรมะ ยังไม่ได้เอาพระสงฆ์มาเป็นแนวทางปฏิบัติ สภาพจิตใจเป็นอย่างไร ใจร้อนไหม ใจเร็วไหม อะไรกระทบนิดไม่ได้กระทบหน่อยไม่ได้ เป็นฝืนเป็นไฟ อะไรต่างๆ เรามีสภาพอย่างนั้นหรือไม่ หรือว่าเรามองคนอื่นแล้วริษยาเขา ไม่ยินดีกับความเจริญความก้าวหน้าของเขา สิ่งเหล่านี้มันมีหรือไม่ เรียกว่ากิเลสตัวเล็กๆน้อยๆที่คอยมากัดตอดจิตใจของเราเหมือนกับปลาซิวปลาสร้อย มันมีอยู่หรือไม่ เมื่อก่อนมันมีบ่อยๆ มีมากๆ แต่เมื่อเรามาเริ่มปฏิบัติธรรมะ เราก็มองเห็นว่ามันลดน้อยลงไป จิตใจดีขึ้น สงบขึ้น มีปัญญารู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงมากขึ้น ก็ไม่หวั่นไหวโยกโคลงไปกับอารมณ์ที่มากระทบ
เมื่อก่อนเราเหมือนกับธงปลายเสา ลมพัดนิดหน่อยก็แกว่งไปแกว่งมาอยู่ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้เรามั่นคงขึ้น ไม่เป็นธงแล้วแต่เราเป็นเสาธง ธงมันแกว่งได้ พัดโบกไปตามกระแสลมได้ แต่ว่าเสาธงนั้นมันไม่โบกไปตามกระแสลม ลมพัดเท่าใดมันก็ไม่โยกไม่คลอน คงยืนนิ่งอยู่ฉันใด จิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเริ่มเข้าปฏิบัติชั้นแรกก็มันยังกวัดแกว่ง หวั่นไหว ใครมาพูดอะไรทำอะไร กระทบกระเทือนก็หวั่นไหวไปกับสิ่งนั้น แต่ว่าต่อมาเราไม่หวั่นไหว เราเฉยได้ ไม่ใช่เฉยเพราะไม่รู้อะไร ไม่ใช่เฉยเหมือนก้อนหิน หรือว่าเสาที่เขาปักไว้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เฉยเพราะมีปัญญามาทันท่วงที มีสติมาทันท่วงที ตัวสติคือความรู้ทันมาก่อน แล้วปัญญารู้เท่าตามมา พอรู้ปั๊บปัญญาก็ตามมาคิดอะไร มาจากไหน ควรจะเกี่ยวข้องในรูปใด มันตามมาทันที พอตัวปัญญาตามมา ตัวสติมั่นคงขึ้น อย่างนี้เราก็ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆ
รูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น กายได้สัมผัสถูกต้องอะไร เราก็ไม่หวั่นไหวโยกโคลงไปกับสิ่งนั้น สงบนิ่งคงที่ เหมือนตัวแมลงมุมที่ชักใยแล้วไปเกาะอยู่ตรงกลาง ถ้ามีอะไรมากระทบมันก็ต้องพุ่งปร้าดไปทันที เพื่อไปดูว่ามีอะไรกระทบ แต่ว่าเมื่อไม่มีอะไรมันก็กลับมาอยู่ตรงกลางอีก แต่ว่าบางทีมันก็ไม่ไปตามสิ่งที่มันกระทบ มันสงบอยู่ ใจเราก็เป็นอย่างนั้น เดี๋ยววิ่งไปที่ตาเพื่อดู วิ่งไปที่หูเพื่อรับเสียง วิ่งไปที่จมูกเพื่อรับกลิ่น วิ่งไปที่ลิ้นเพื่อรับรส วิ่งไปที่กายประสาทเพื่อรับรู้ในเรื่องกระทบทางกายประสาท นี่เรียกว่ามันวิ่งไป มันแส่ไป พลุ่งพล่านไปกับสิ่งเหล่านั้น เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้อบรม ไม่ได้ฝึกฝนจิตใจให้รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งเหล่านั้นตามสภาพที่เป็นจริง เราก็เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เหน็ดเหนื่อยในการที่วิ่งไปวิ่งมา ตามเรื่องนั้นตามเรื่องนี้ ไม่รู้จบไม่รู้สิ้นกันสักที นี่แหละเขาเรียกว่า สังสาร หรือเรียกเต็มหน่อยก็ว่าสังสารวัฏ
สังสารวัฏ ก็คือการเวียนอยู่ในอำนาจของกิเลส เวียนอยู่ในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง ในความริษยา พยาบาท อาฆาตจองเวร ถือเนื้อถือตัวแข่งดี ข้าไม่น้อยหน้าใคร ข้าไม่ยอมใคร อะไรต่างๆ เวียนอยู่ในกองกิเลสเหล่านั้น กิเลสเหล่านั้นผุดขึ้นมาทำให้เราเต้นแร้งเต้นกาประจำ เราเป็นหุ่นให้กิเลสเชิด ตัวกิเลสมันเหมือนคนถือรูปหุ่น แล้วมันก็พากย์ไปตามเรื่อง ตัวเราก็เป็นอย่างนั้นถูกกิเลสมันเชิด เชิดให้โกรธหน้าดำตาแดง เชิดให้อยากได้แล้วก็กระทำความผิดไปฆ่าเขา ไปลักของเขา ไปล่วงเกินเขา ไปพูดจาหลอกลวงต้มตุ๋นเขา อะไรต่างๆ นี่ก็เรียกว่าถูกกิเลสมันชักใย เรากลายเป็นหุ่นเชิดไป ไม่เป็นตัวเอง
ตัวเองนั้นหมายความว่า สะอาด สงบ สว่าง เรียกว่าเป็นตัวเอง ตัวเองนั้นคือบริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นตัวเอง เราอยากเป็นตัวเองกันทั้งนั้นแหละ แต่เป็นทีไรแล้วก็ยุ่งทุกที เพราะไม่รู้หน้าตาดั้งเดิมของตัวเองว่ามันเป็นอย่างไร พอเป็นทีไรก็ยุ่งทุกที แล้วมักจะพูดว่า เอ้อ, แกไม่รู้จักข้าเหรอ ไปตู่ เขาเรียกว่าไปตู่เอากิเลสมาเป็นตัว เอาของชั่วมาเป็นตัว แล้วก็เป็นตัวทีไรก็เกิดเรื่องทุกที ร้ายทุกที มืดทุกที บอดทุกที นี่มันเป็นอย่างนี้เพราะไม่เข้าใจในเรื่องนั้น นั่นมันเป็นเรื่องสมัยหนึ่งในชีวิตของเรา เรียกว่าเป็นอดีตไปแล้ว แต่ว่ามาเราเข้าวัด รักษาศีล ฟังธรรม รักษาศีลก็คือเอาศีลมาไว้ในใจของเรา ฟังธรรมก็เพื่อให้รู้ทางเดินของชีวิตว่าควรจะเดินอย่างไร เดินอย่างไรเป็นทางกุศล เดินอย่างไรเป็นทางอกุศล เราคิดเรานึก เรียนรู้เข้าใจ เอาไปใช้เป็น ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
อย่างเราเรียนการเรือน ขั้นแรกก็เรียนทางหนังสือ ผมเผ้าทำยังไง ล้างข้าวสารให้สะอาดใส่ลงไปในหม้อ เอาน้ำใส่ ยกขึ้นวางบนอั้งโล่ ใส่ไฟให้มันพอดีๆ แล้วก็คอยเปิดดูน้ำเดือด เอาช้อนคนสักหน่อย ให้มันทั่ว เสร็จแล้วก็น้ำแห้ง หรี่ไฟสักหน่อย อังไว้ให้น้ำแห้งหมด ข้าวสุก กินได้ เรารู้อย่างนั้น แต่ว่ายังไม่เคยหุงสักที เคยแต่กินข้าว แต่ไม่เคยหุงข้าว เลยไม่รู้ว่าข้าวมันเป็นอย่างไร
พูดเรื่องข้าวเรื่องอาหารนี่ พวกศากยะหนุ่มๆเขาเคยคุยกัน พวกศากยะ เจ้าชายน่ะ พวกเจ้าชายเขาสบายกันทั้งนั้น อันนี้วันหนึ่งก็คุยกันว่า ข้าวนี่มันเกิดที่ไหน ตั้งปัญหาขึ้น คนหนึ่งบอกว่ามันเกิดในจาน แปลว่าคนนั้นรู้จักข้าวเมื่อมันสุกแล้วอยู่ในจาน ชื่ออนุรุทธนี่แกตอบว่าข้าวอยู่ในจาน อีกคนหนึ่งว่าข้าวมันอยู่ในยุ้ง เคยเห็นข้าวกองอยู่ในยุ้ง อีกคนหนึ่งว่า ข้าวมันอยู่ในนาสิ เขาปลูกในนา แต่ว่าเห็นกันไม่เหมือนกัน คนหนึ่งว่าอยู่ในจาน คนหนึ่งว่าอยู่ในยุ้งข้าว คนหนึ่งว่าอยู่นาข้าว คนที่รู้ว่าข้าวอยู่ในนาได้สัมผัสกับการทำนา แต่คนที่รู้ว่าข้าวอยู่ในยุ้งเพราะเดินผ่านยุ้งข้าว แต่รู้ว่าข้าวมันอยู่นี้ แต่คนที่พูดว่าข้าวอยู่ในจานนั้นไม่เคยเห็นอะไร นอกจากเห็นข้าวอยู่ในจานเท่านั้น
เป็นกษัตริย์กุมารชาติ ละเอียดอ่อน ไม่เคยทำอะไรที่นอกเหนือไปจากกินเล่นสนุกหลับนอนพักผ่อน รู้เท่านั้น เลยก็ วันหนึ่งให้คนไปเอาขนมจากแม่ ขนมมันไม่มีแต่ว่าแม่ก็เลยกลัวลูกจะไม่รู้ว่าความไม่มีคืออะไร เพราะไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มี เลยก็เอาจานมามีฝาครอบ เอาไปเถอะ เอานี่ไปให้ลูก ขนมอยู่นี่ ไม่มี ทีนี้คนใช้ก็เอาไปถึงบอกว่านี่ขนมไม่มี เจ้าชายอนุรุทธก็เปิดจานขึ้น อ้าว, ไม่มีขนม เทวดามายุ่งอะไรตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไร เทวดานี่ชอบมายุ่งไม่เข้าเรื่อง สมัยก่อน ชอบมาบ่อยๆ สมัยนี้ไม่ค่อยยุ่ง มันรบกันตาย เทวดาไม่ยุ่งเวลานี้ ไม่มาช่วยสักที
สมัยก่อนเทวดามันเยอะ เที่ยวเดินเพ่นพ่าน เห็นอะไรพอจะช่วยใครก็สอดเข้าไปช่วยเลยกลายเป็นขนมมีขึ้น แล้วก็อร่อยเสียด้วย รสชาติดีกว่าขนมธรรมดา ไม่เคยกิน ตั้งแต่นั้นมาก็อยากจะกินแต่ขนมที่ชื่อว่าไม่มีเสียด้วย แม่ก็จนใจเพราะไม่รู้ว่าจะเอามาจากไหน เวลาใดลูกขอขนมไม่มีก็เอาจานเปล่ามาปิดฝาแล้วให้พาไป เอ้อ, มันก็มีขนมให้กินทุกที อันนี้เขาเล่าไว้เพื่อให้เห็นว่าชีวิตคนมันสบาย จนไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร แล้วเวลาปรึกษากันว่าใครจะบวช อนุรุทธนี่ไม่อยากบวช เพราะบวชนี่มันลำบาก อันนี้ว่าไม่บวช พี่ชายบอกไม่บวชมันต้องเรียนการทำนาสิ ทำอย่างไร ก็บอกว่าต้องอย่างนั้นๆๆ เสร็จไปแล้ว ทำอีก จะให้ทำทุกปี ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ไม่เอาล่ะ ฉันจะบวชดีกว่า ว่างั้น เลยไปบวช ไปบวชได้ บวชแล้วก็เลยอยู่ได้ อยู่อย่างลำบากในป่าในดงก็ได้ เรียบร้อยดี นี่ก็เรียกว่าคนมันเคยสบาย
พระฝรั่งที่อยู่วัดป่านานาชาติ ชื่อปสันโน แกอยู่บ้านนี่แกกินยากที่สุด อาหารนี่กินยาก พ่อแม่ก็อึดอัดเรื่องลูกกินของลูกเสมอ พอมาบวชอยู่วัดหนองป่าพงนี่กินทุกอย่าง กินได้ทั้งนั้น พ่อแม่มาเยี่ยมเห็นลูกกินอาหารนี่ แหม, ประหลาดใจ ถ้าอยู่บ้านมันกินไม่ได้ของอย่างนี้ อาหารฝรั่งยังกินไม่ได้ นี่มากินผักต้ม กินน้ำพริก กินแจ่วของเมืองภาคอีสานได้เขาก็ประหลาดใจ ว่าทำไมถึงกินได้ ก็มาฝึกเข้าก็กินได้ อยู่ก็สบาย
ก่อนนี้ก็ฝรั่งอังกฤษมาบวชอยู่ที่นี่ ก็กินขนมปังทุกวัน ข้าวกินไม่ได้ เราก็เอาใจให้กินขนมปังทุกวัน ซื้อมาให้กินทุกวัน อยู่หนึ่งพรรษา พอออกพรรษาก็นึกว่า แหม, ต้องทรมานหน่อย กินแต่ขนมปังกินอย่างอื่นไม่ได้ ต้องพาไปไชยา เอ้า, พาไปไชยา เขาไม่มีขนมปังขายที่นี่ ไม่มีขนมปังให้กิน หิวก็ไม่ต้องกิน เลยกินข้าวได้ กินอะไรได้ทั้งนั้น ไปอยู่ ๓ เดือนกลับมา มาถึงนั่งฉันข้าว เห็นฉันได้ทุกอย่าง โอ้, นี่เปลี่ยนไปเยอะเลย ไปอยู่ไชยากินได้หมดแล้วเวลานี้ กินน้ำพริกยอดสะเดาก็ได้ ไม่ขมแล้ว เปลี่ยนไปได้ มันเปลี่ยนได้ คนเรามันเปลี่ยนได้ เปลี่ยนไปในทางชั่วก็ได้ เปลี่ยนไปในทางดีก็ได้ เปลี่ยนไปในทางต่ำก็ได้ ในทางสูงก็ได้ เปลี่ยนไปในทางสกปรกเร่าร้อนก็ได้ เปลี่ยนไปในทางสะอาดผ่องใสก็ได้ แต่ว่าถ้าเปลี่ยนไปในทางต่ำมันก็ไม่ดี เราก็ควรเปลี่ยนไปในทางสูงขึ้น
จึงควรจะได้สำรวจชีวิตของเรา ว่าเรานี้มีอะไรควรจะเปลี่ยนไปเสียบ้าง อย่าให้มันเหมือนเดิม ให้มันเปลี่ยนจากเดิมไปเสีย เปลี่ยนก็ด้วยการตั้งอธิษฐานไว้ในใจว่าเราจะเอาคุณของพระอริยสงฆ์นี้มาใส่ไว้ในใจ เราจะปฏิบัติดี เราจะปฏิบัติตรง เราจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักธรรมะ เราปฏิบัติเพื่อออกจากความทุกข์ในชีวิตประจำวัน ตั้งฐานไว้ ขีดเส้นไว้ ว่าฉันจะเดินทางนี้นะ เดินดี เดินถูกต้อง เดินเพื่อออกไปจากความทุกข์ เดินอย่างนี้ ทีนี้เราก็ต้องมาคิดว่า ในชีวิตของเรานี่มันมีอะไรเป็นปัญหา มีอะไรเป็นความทุกข์ในชีวิตของเราบ้าง ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ไม่คิดจะออกจากทุกข์ ไม่เห็นเสือเราจะหนีเสือได้อย่างไร มันต้องเห็นก่อน เห็นความทุกข์แล้วจึงจะหนีไปจากความทุกข์ได้
คนที่เขาไปบวชแล้วก็อยู่นานๆ ก็เพราะเขาเห็นความทุกข์ มองเห็นมันเป็นทุกข์ แล้วญาติโยมที่มาคุยแต่ละรายเหมือนกับมาสอน มาสอนพระ อาตมานี่เรียกว่ารับคำสอนจากโยมเกือบทุกวัน โยมมาสอนเหมือนกัน ไม่ใช่อาตมาสอนแต่อย่างเดียว มาสอนอย่างไร มาถึงก็ แหม, ไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ นี่ นี่มาสอน สอนให้รู้ว่าชีวิตของโยมมันเป็นทุกข์ เลยถามว่ามันไม่ไหวอย่างไร อ้าว, ว่าไป ก็เรียกว่าเทศน์ทุกขคาถาให้ฟังทุกวันๆ โยมแต่ละคนที่มาน่ะมาแสดงธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนั่งฟังไม่เบื่อหรอก เอ้า, ว่าไปๆ ว่าให้จบกัณฑ์ก่อน แล้วฉันค่อยเทศน์ให้โยมฟังบ้าง โยมก็บอกว่ามันทุกข์อย่างนั้นมันทุกข์อย่างนี้ ทุกข์เหลือเกิน ก็เท่ากับว่าสอน
พระนี่บอกว่ามันเป็นทุกข์ อยู่เป็นพระก็ดีแล้วล่ะมันไม่ยุ่ง ไม่ต้องออกมาหรอก แต่ว่าคนเราสันดารมันก็อย่างนั้น ไอ้พวกข้างในมันอยากออกข้างนอกมันอยากเข้า เลยอยากไปลองว่ามันทุกข์อย่างไร ก็ออกไป ก็เลยลาสิกขาไป ออกไปแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไรเหมือนกัน เที่ยวเดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่ บางคนก็แกว่งไปแกว่งมาบวชอีกที อ่ะ, บวชต่อ ไปหายไป เรียกว่าสึกไปหายแล้วกลับมาอีก อ้าว, บวชแล้ว บวชที่ไหนล่ะ ไปบวชวัดป่าโน่น บวชใหม่ บวชวัดป่าแล้ว เวลานี้กำลังเรียนอภิธรรมอยู่ แล้วก็ยังบวชถึงจนบัดนี้ บวชใหม่นี้ก็หลายปีแล้ว บวชจนบัดนี้ เรียกว่าออกไปลองดูว่ามันทุกข์ขนาดไหน เดือดร้อนอย่างไร เลยมาบวช
ที่พัทลุงนี่มีอยู่องค์หนึ่ง พอสึกออกไปถึงก็ไปค้าขาย ถูกเขาหลอกเขาต้มเขาโกงให้เจ็บช้ำเรียกว่า เลื่อมไปทั้งตัว ไม่ไหว สู้ไม่ไหว โลกนี้สู้มันไม่ไหว เหลี่ยมมันมากเหลือเกิน ไอ้เรามันอยู่วัดได้รับคำสอนให้ซื่อสัตย์ สุจริต ให้อย่างนั้นอย่างนี้ ออกไปถึง แหม, โลกมันเตะเอาโครงหักไปแล้ว นี่กลับมาไชยา มาอยู่ไชยา อยู่หลายปี มาเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณพุทธทาส อยู่ๆก็เลยบวชใหม่ บวชอีก เดี๋ยวนี้กลับไปอยู่พัทลุงอีก แต่ไม่อยู่ในวัดขึ้นไปอยู่บนภูเขามันเสียเลย อยู่ภูเขามันพ้นความทุกข์กว่า แล้วก็เรียบร้อย นี่ออกไปผจญโลกเสียหน่อย จะได้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร
เรารู้จักพระสังฆราชองค์หนึ่ง ชื่อสังฆราชสา เป็นเปรียญ ๙ ประโยค ไม่ใช่เล็กน้อย เป็นลูกศิษย์ของพระจอมเกล้า ขณะท่านทรงผนวชอยู่ พอพระจอมเกล้าลาสิกขาไปเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็นึกว่าจะไปเป็นข้าราชการกับเขาบ้าง เพราะคุ้นเคยกับพระเจ้าแผ่นดินก็เลยสึกไป แต่สึกไปแล้วไม่กล้าเข้าเฝ้า ไม่กล้าเข้า กลัวถูกดุ เลยเที่ยวหลบไปอยู่วังนั้นวังนี้ ในหลวงท่านประกาศว่าใครเอาไอ้สาไปไว้ เอามาคืนนะ ถ้าไม่เอามาคืนจะลงโทษ ว่าอย่างนั้น สมัยก่อนมันได้เมื่อไหร่ พระเจ้าแผ่นดินลงโทษ เจ็บนี่ พูดอย่างนั้นก็เป็นกฎหมายแล้ว ต้องจูงมือท่านสาไปให้พระเจ้าแผ่นดิน
พระเจ้าแผ่นดินว่าจะเอาใส่แป หรือเอาหวายเฆี่ยนหลังร้อยที หมอบลงกราบ เอาใส่แปพระย่ะค่ะ ไม่เอาใส่แปก็เอาเฆี่ยนหลังร้อยที เลยบวชใหม่ บวชจนได้เป็นสังฆราช อยู่วัดราชประดิษฐ เรียกว่าวัดราชประดิษฐ วัดในหลวงรัชกาลที่ ๔ สร้าง นี่ออกไป แต่ว่ายังไม่เห็นทุกข์ ออกไปก็ยังไม่เห็นทุกข์ เพราะเที่ยวหลบ หลบมันก็เป็นทุกข์อยู่เหมือนกัน เพราะเที่ยวหลบเหมือนเด็กหนีโรงเรียนไง เป็นทุกข์
อาตมาเมื่อเด็กๆ เคยหนีโรงเรียน มีประสบการณ์ว่าเป็นทุกข์จริงๆ เที่ยวหลบแอบต้นไม้ แอบป่า ถ้าเห็นใครเดินมาคล้ายโยม วิ่งซ่อน หมอบเลย …… (30.20) พอพ้นไปแล้วออกมานั่งต่อไป เห็นใครเดินคล้ายครู เอ้า, แอบอีกแล้ว เที่ยวแอบอยู่ ๗ วัน เที่ยวหนีซ่อน สมัยนั้นมันไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่รู้ว่าความทุกข์คืออะไร เที่ยวแอบอยู่อย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์หรอก มาทีหลัง อ๋อ, เราเมื่อเด็กๆ ก็เที่ยวหนีเป็นทุกข์เหมือนกัน มีความทุกข์เพราะเที่ยวหลบหนี คนหลบหนี คนเป็นทุกข์ เช่นผู้ที่ทำอาชญากรรมแล้วหลบหนี เป็นทุกข์มาก อยู่ในโรงพัก ในกรง สบายกว่า เราไม่ต้องกลัวใครจะจับ และก็จับเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ายังทุกข์ว่าเขาจะตัดสินอย่างไร พอศาลอ่านคำพิพากษาว่าตัดสินจำคุกตลอดชีวิต มันโล่ง เฮ่อ, กูไม่ตาย แต่อยู่ในคุกต่อไป มันเป็นอย่างนั้น
มันทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าอะไร คนเรามันต้องผจญกับปัญหา แต่เราไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เราผจญนั้นคืออะไร มันมาจากอะไร แล้วแก้ไขได้ไหม เราไม่รู้ไม่เข้าใจ มีทางออกไหม ไม่รู้ เหมือนกับอยู่ในห้องหนึ่งไม่เห็นแสงสว่างเลย อยู่ได้ อยู่ไปงั้น ก็ไม่ได้เห็นแสงสว่าง ไม่ได้เปรียบเทียบว่าไอ้ความมืดกับความสว่างน่ะมันแตกต่างกัน ไม่รู้ แต่ว่าถ้ามีใครมาเจาะรูให้สักหน่อย พอได้มองเห็นด้วยตาข้างเดียว ก็รู้ว่า อ้อ, มันมีความสว่างคู่กันกับความมืด แต่นี่เราอยู่ในความมืด แต่ความสว่างมันมี พอเห็นความสว่างก็อยากจะได้ความสว่าง อยากจะออกไปจากความมืด แต่ออกไม่ได้ เพราะไม่รู้ทางที่จะออกไปจากความมืดเพื่อให้พบแสงสว่าง เลยก็จมอยู่ในที่มืดต่อไป เวียนว่ายอยู่ในสังสาร คือความทุกข์ต่อไป
พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ได้รู้จักทางออกจากความมืด พระองค์ได้พูดว่าพราหมณ์ แม่ไก่ออกไข่หลายฟองแล้วก็ฟักไข่หลายวัน และขณะฟักอยู่นั้นก็มีลูกไก่ตัวหนึ่งมันเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ เรียกลูกไก่ตัวนั้นว่า ลูกไก่ตัวหัวปลี หรือว่าพี่ใหญ่ พี่เอื้อย อะไรก็ได้มันออกมาก่อน เราตถาคตอยู่ในไข่คือความทุกข์ในกองกิเลส ในสิ่งที่ชาวบ้านเขาชอบอกชอบใจ แต่ว่าเราไม่ได้หลงใหลมัวเมาในสิ่งนั้น เราพยายามหาทางออกว่าจะออกไปได้อย่างไร แล้วก็ออกมาได้ค้นพบความจริง เหมือนไก่ตัวที่ออกมาจากกระเปาะไข่ตัวแรก
พระองค์ออกมาได้ ออกมาแล้วไม่ได้ออกไปเลยคนเดียว ไม่ได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ยังคิดถึงญาติพี่น้อง ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันที่อยู่ในห้องมืด ถูกคุมขังอยู่ด้วยความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ยังไม่มีทางออก และยังไม่รู้ว่าจะออกอย่างไร พระองค์ก็ไปบอกคนเหล่านั้นว่า พบทางออกแล้ว นี่ออกมาทางนี้ สัตว์บางพวกก็ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นที่จะออกไป บางพวกได้ยินแล้วก็เฉยๆ บางพวกไม่ได้ยินเลย อย่างนั้นก็มี พวกที่ได้ยินมันก็ออกไป พวกที่ไม่ได้ยินก็อยู่ต่อไป มันเป็นอย่างนี้
คนเราก็เหมือนกัน คนบางพวกก็ได้ยินธรรมะก็ตื่นเต้น รับเอาไปปฏิบัติ บางพวกได้ยินแล้วก็เฉยๆ ไม่เอาไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เรียกว่ามองเห็นแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์อย่างไร ไม่เข้าใจสิ่งนั้น คนเราในสมัยปัจจุบันนี้ชักจะเพิ่มขึ้นเหมือนกัน เพิ่มคนประเภทที่ไม่รู้จักธรรมะ ไม่เห็นคุณค่าของธรรมะ แล้วไม่เอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีคนมาเล่าให้ฟังเมื่อคืนว่าเขามีการประชุมที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ที่ตรงนี้ถนนพหลโยธิน แล้วก็เชิญ แหม, นักวิชาการ พวกนักวิชาการนี้พวกดอกเตอร์ทั้งนั้น พวกเอาเข็มขัดรัดท้องมาทั้งนั้น กลัวพุงจะแตกเพราะความรู้มันมาก
นี่คำโบราณเขาพูดไว้ ในคัมภีร์พูดว่า มีความรู้มากต้องเอาเหล็กมาคาดพุงไว้ กลัวความรู้มันจะระเบิดออกมา หมายความว่าเป็นคนเบ่งนั่นเอง เบ่งในทางความรู้ว่าฉันมันดอกเตอร์ ฉันมีความรู้อย่างนั้นอย่างนี้ เบ่ง แล้วไม่ค่อยรับฟังของใคร ตัวเก่งคนเดียว หารู้ไม่ว่านั่นกิเลสตัวหนึ่ง คือความถือดี มานะ ถือตัวว่าฉันเก่ง ไปบรรลุมรรคผลไม่ได้ แค่คิดอยู่อย่างนั้น ไปไม่ได้ อันนี้ก็มาแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกัน ท่านดอกเตอร์คนหนึ่งพูดว่าศาสนานี่ช่วยไม่ได้ สถาบันมหากษัตริย์ก็ช่วยไม่ได้ อะไรๆมันก็ช่วยไม่ได้ มนุษย์ที่มันรวมตัวกันได้เพราะความจำเป็น
คือมันมีความกลัวแล้วมันก็รวมตัวกันเข้า เพื่อเอาประโยชน์ตนทั้งนั้น พูดอย่างนั้น และเป็นคำพูดของดอกเตอร์ คนก็ฟัง แล้วก็อาจจะว่าดอกเตอร์มันพูดอย่างนี้ แต่ว่าถูกหรือไม่นั้นไม่มีใครคิด ถูกหรือไม่ถูกไม่มีใครคิด เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่มีใครคิด เขาพูดในแง่ว่ามนุษย์นี่เมื่อมันกลัว มันรวมตัวกันเข้า ไอ้การรวมตัวอย่างนั้นมันเป็นเรื่องของวัตถุ ไม่ใช่เรื่องจิตใจ รวมตัวเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ เหมือนกับรวมตัวกันทำสงคราม รวมตัวกันต่อสู้เพื่อป้องกันประเทศชาติ แต่ละอย่างนี้มันก็รวมตัวกัน
แต่ว่าในการต่อสู้ของคนเหล่านั้น ถ้ามันต่อสู้แบบสัตว์เดรัจฉาน มันจะเป็นขนาดไหน เราลองคิดดู สัตว์เดรัจฉานมันรวมตัวเหมือนกัน รวมตัวสู้เหมือนกัน ที่วัดคูหาสวรรค์ พัทลุง มีเขาสองลูก ทางเดินเข้าตรงกลาง ด้านนี้เขาหนึ่ง ด้านนี้ลูก มีลิงสองพวก อยู่กันคนละฝากภูเขา มันตั้งเขตแดนของมันอย่างไร ไม่รู้ แต่ถ้าล้ำเส้นเมื่อไหร่แล้วเป็นต้องรุมกัน กัดล่ะ ถ้าลิงด้านเขานี้มาด้านนี้ พวกนี้ก็รุมกันต่อสู้ นี่เรียกว่ามันรวมตัวเพื่อต่อสู้ตามสัญชาติญาณ ไม่ได้พิเศษอะไร แล้วถ้าพวกนี้ล้นไปด้านนี้ ก็เหมือนกัน มันก็ต้องกัดกัน กัดกันจนถอย ถอยไปพ้นเขตแล้วมันก็กลับไป นั่งหอบ แฮกๆๆต่อไป นี่คือการรวมตัว สัตว์เดรัจฉานรวมตัวกันต่อสู้ เพราะรู้ว่าไอ้พวกนี้ไม่ใช่พวกกู มันก็ต่อสู้ นั่นมันไม่ใช่เรื่องของธรรมะ แต่เป็นเรื่องสัญชาติญาณของสัตว์
ไม่ว่าคนว่าสัตว์มันเหมือนกัน รวมกันเพื่อต่อสู้เพื่อป้องกันภัย คนเราจึงได้อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพราะสมัยโบราณนี่สัตว์มันเยอะ เสือ สิงห์ กระทิง แรด มันเยอะ ถ้าอยู่โดดเดี่ยวก็หวังว่าเสือจะเอาไปเคี้ยวเล่นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องรวมตัวกันอยู่ เพื่อต่อสู้สิ่งที่เป็นข้าศึกทางร่างกาย ท่านดอกเตอร์นี่คงจะเรียนทฤษฏีทางร่างกาย อาจจะเรียนเรื่องทฤษฏีดาร์วินมาก็ได้ เพราะว่ามันต่อสู้กันอย่างนั้น แต่ว่าไม่ได้นึกว่าการต่อสู้ตามสัญชาติญาณนี้มันรุนแรงขนาดไหน ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องกล่อมเกลาสัญชาติญาณนะ คนมันจะรุนแรง
ไอ้ที่เราอยู่กันได้ไม่รุนแรงนี่ เพราะอะไร เพราะมีคุณธรรมประจำจิตใจ เรายังมีความสำนึกในความเป็นมนุษย์ มีความสำนึกในความเป็นนั่นเป็นนี่ แล้วก็มีธรรมะคือละอายที่จะทำเช่นนั้น มีความกลัวที่จะทำเช่นนั้น มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี อันนี้มันเรื่องธรรมะ ถ้าเพียงแต่รวมตัวกันเพื่อต่อสู้นี่มันไม่มีธรรมะ สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำได้ มนุษย์ถ้ารวมตัวกันต่อสู้โดยไม่มีธรรมะก็เรียกว่าไม่มีกติกาในการชกต่อย มันก็เป็นมวยปล้ำแบบอเมริกา เคยดูมวยปล้ำอเมริกา มันไม่มีกติกา ล้มแล้วมันกระทืบเอากระทืบเอา อกมันจะแตก ดูแล้วสงสาร แต่มวยอังกฤษ พอเพื่อนล้มแล้วก็ยืนเฉย เขามีกติกา เขามีกติกา เขาไม่ซ้ำเติมคนล้ม ให้ลุกขึ้นก่อน ลุกขึ้นโงนเงนเขาก็ยังไม่เอา ต้องทรงตัวได้ก่อนแล้วจึงซัดกันต่อไป
อ้าว, ดูแล้วมันประทับใจว่า คนอังกฤษนี่เล่นมวยปล้ำมีกติกา แต่คนอเมริกันเล่นมวยปล้ำไม่มีกติกา ใครล้มก็ฝาดมันลงไปเลย กระทืบเอา กระทืบเอา รองเท้ามันก็หนักอยู่แล้ว ตัวมันก็หนักอยู่แล้ว นักมวยปล้ำแต่ละคนไม่รู้สักกี่สิบกิโล มันกระทืบจนไอ้นั่นเกือบแบน อกมันจะแตก ตับไตไส้พุงคงจะร่วนไปตามๆกัน แต่พวกนี้มันก็ทนทายาทนะ มันลุกขึ้นเล่นกันต่อไป นี่เขาเรียกว่าไม่มีกติกา
สงครามระหว่างชาติ ถ้าไม่มีกติกาก็ยุ่งกันใหญ่ แต่มีกติกาอยู่บ้าง มีกฎหมายระหว่างปรเทศ มีขนบธรรมเนียม มีประเพณี มีศาสนา มีธรรมะ ที่พูดว่าธรรมะไม่ช่วยหรือไม่จำเป็น นี่มันมิจฉาทิฏฐิแล้ว เป็นคนหลงผิดแล้ว ถ้าเรามีนักวิชาการแบบนี้มากๆ บ้านเมืองมันจะแย่ มันจะจูงคนไปในทางเสื่อมทางเสียหาย เด็กหนุ่มๆเวลานี้ หนุ่มก็ตาม สาวก็ตามมีจำนวนหนึ่ง ก็ไม่มากนัก ชอบสนุกเฮฮา ชอบเต้นรำ แล้วก็ร้องวี๊ดว๊าย วูมวายให้มันดัง รู้สึกว่า แหม, มันสบาย อันนี้มันเอามาจากอะไร โทรทัศน์
ก็โทรทัศน์ก็ไปหาดนตรี ประเภทที่มัน มันเหมือนกับว่าคนเสียจริตอะไรอย่างนั้น อย่าเอาไปล้อนะ ทำท่าทำทาง โอ๊ย, บางทีก็กลิ้งลงไป กลิ้งกระเสือกกระสน เฮ่อ, มันเอามาฉายทำไมไอ้ของอย่างนั้น ไอ้ กบว. ก็ตาม บอดตาใสกันหมด ไม่ได้ดูได้แลอะไร มันไม่ได้แก้ไขสิ่งเหล่านี้ ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คือเพาะสิ่งชั่วร้ายขึ้นในวิญญาณของเด็กๆ หนุ่มสามในเวลานี้ เขาอยากจะเต้นกัน อยากจะให้สนุกกัน ถ้าเอาไปอบรมในทางเรียบ อุ๊ย, ไม่ไหวมันเซ็งเต็มทีแล้ว ไม่ไหว เขาอยากจะเต้นกัน พอได้โอกาสให้เต้น โอ๊ย, มันเต้นกันสุดเหวี่ยงเลย เต้นลงไปดิ้นพรวดพราดเหมือนกับผีเข้าสิงอย่างนั้นแหละ อะไร๊มันอะไร ลูกหลานของเราทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า ถ้ามันเป็นอย่างนั้น โยมก็ต้องพาไปหาหมอประสาทได้แล้ว พาไปปากคลองสาน หรือว่าไปพญาไท หรือไปศรีธัญญา ว่าช่วยเช็คทีลูกข้ามันเป็นยังไงหมู่นี้ นี่มันบ้าๆบอๆขึ้นมาถึงขนาดนี้น่ะ
นี่เอาอย่างชาวต่างประเทศ ฝรั่งเมืองมันหนาว มันเต้นอะไรก็ต้องให้มันเหงื่อออก แต่เหงื่อมันก็ไม่ออกสักที ไอ้เรามันเมืองร้อนเกิน เต้นอย่างนั้นก็จะเป็นลมตาย เท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนี้ นี่คือความนิยมไปในทางเสื่อม ค่อยมากขึ้นโดยลำดับ เด็กหนุ่มๆสาวๆก็ชอบอย่างนั้น ส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด นี่ที่มาวัดนี่ก็หนุ่มสาวเยอะก็เป็นคนเรียบร้อย รู้จักคุณค่าของศาสนาของธรรมะ เพราะเกิดในครอบครัวที่มีธรรมะเป็นหลักครองใจครองเรือนครองบ้าน เขาก็ได้เห็นสิ่งเหล่านั้น
แต่ว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เขาไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ เขาไม่ต้องการ เขาอยากจะสนุกกัน อยากจะเต้นรำกัน อยากจะรับน้องใหม่แบบทุบให้มันตายไปเลย นี่ ไอ้นี่มันเอามาจากอะไร มันเอามาจากสภาพของสัตว์เดรัจฉาน พอเจอกันก็ต้อง แฮ่ เข้าใส่กันเลย กัดกันเลย นี่มันใช้ไม่ได้ แต่ว่ามันกำลังแพร่หลาย ครูบาอาจารย์ก็นั่งดูเฉยๆ ถามว่าทำไมไม่ห้าม อู้ย, เสรีภาพท่านเจ้าคุณ ประชาธิปไตย ชอบอ้างนักเวลานี้ อะไรๆก็ประชาธิปไตยกันทั้งนั้นแหละ จนเละเทะหมดแล้ว ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยมันคืออะไร มันเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งแวดล้อมมันจูงไปในทางผิด ตกอยู่ในความมืดโดยไม่รู้ว่าตัวมืด ไม่รู้ว่าเราอยู่ในความมืด เหมือนนกอยู่ในอากาศมันไม่รู้จักอากาศ ปลาอยู่ในน้ำมันก็ไม่รู้จักน้ำ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันอยู่กันตามธรรมชาติ คนเราก็อยู่ในสภาพทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์ อย่างนี้ลำบาก
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนได้รู้ ได้เข้าใจในเรื่องอะไรต่ออะไรถูกต้อง แล้วจะได้แก้ไขปัญหาชีวิตต่อไป ธรรมะยังจำเป็นแก่สังคมอยู่ ถ้าสังคมยังต้องการความสุขสงบในชีวิตประจำวัน จะอยู่กันโดยไม่ต้องเป็นพิษเป็นภัยแก่กันและกัน เรียกว่าถ้าเรายังต้องการสิ่งถูกต้อง ยังต้องการความสุขที่แท้ อยู่กันโดยไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่กัน เราก็ต้องมีธรรมะ ธรรมะมันเป็นระเบียบเป็นกฏของสังคมให้คนอยู่กันด้วยความสงบสุข นั่นเรียกว่าเป็นธรรมะขั้นศีลธรรม
ที่นี้ธรรมะสูงขึ้นไปเป็นธรรมสัจจะ เป็นธรรมะที่จะช่วยแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ทำให้เราอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเดือดร้อนใจ มันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะเข้าถึงสิ่งนี้ก็ต้องเริ่มศึกษาแล้วปฏิบัติ นี่โยมมาวัดก็เรียกว่ามาศึกษา มาฟัง มารับการปลุกใจ อาตมาเรียกว่าปลุกใจญาติโยมให้ตื่นตัว ให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ให้ท้อแท้อ่อนแอในการดำเนินชีวิตที่ถูกที่ชอบ ญาติโยมรับฟัง รับฟังแล้วก็เอาไปพิจารณา เข้าใจชัดเจนแล้วก็ปฏิบัติ ทำใจของท่านให้มันดี ให้มันตรง ให้มีความเป็นธรรมอยู่ในใจ คือความถูกต้องอยู่ในใจ แล้วก็เราจะไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน การทำอย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นตัวปฏิบัติ ตัวปฏิบัติที่สัทธรรมมันก็อยู่ที่ตรงนี้ ตรงที่ทำกาย ทำวาจา ทำใจให้ดี
กายวาจา มันขึ้นอยู่กับใจ ถ้าเราทำใจให้ดีให้ถูก กายวาจา มันก็ดี ถูก ถ้าทำใจให้ผิด กายวาจามันก็ผิด ถ้าใจร้อน กายก็ร้อน วาจาก็ร้อน ถ้าใจเย็น พูดเย็นทำเย็น สงบเรียบร้อย แล้วเราลองคิดดูว่าไอ้ร้อนกับเย็นอันไหนมันดีกว่ากัน มืดกับสว่างอันไหนดีกว่ากัน เป็นทุกข์กับเป็นสุขอันไหนดีกว่ากัน หรือว่าเป็นทุกข์กับไม่มีทุกข์อันไหนจะดีกว่ากัน พิจารณาเปรียบเทียบ เอามาเปรียบเทียบกันก็จะเห็นว่ามันแตกต่างกัน
เมื่อเห็นว่าแตกต่างกันเราก็ควรจะเอาฝ่ายไหน เอาฝ่ายดีฝ่ายถูก เอาฝ่ายที่มันไม่มีความทุกข์ ถ้าเอาอย่างนั้นก็ต้องมีระเบียบสำหรับชีวิต ต้องตั้งกฏเกณฑ์ลงไปว่าต้องทำอย่างนี้ ต้องพูดอย่างนี้ ต้องสมาคมกับคนเช่นนี้ ต้องประกอบอาชีพอย่างนี้ ได้เงินมาแล้วต้องทำอย่างนี้ คือต้องเก็บต้องใช้ต้องเอาไปลงทุนทำอะไรบ้าง บริจาคทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์บ้าง มีระเบียบสำหรับชีวิต กฏเกณฑ์ทางศีลธรรม และกฏเกณฑ์ทางสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบบัญญัติไว้เป็นระเบียบสำหรับชีวิตให้คนเราได้เดิน
ถ้าเดินตามระเบียบก็เหมือนขับรถถูกเลนส์ มันไม่เกิดอุบัติเหตุ แต่ที่เกิดอุบัติเหตุชนกันนี่เพราะว่ามันไม่เคารพกฏเกณฑ์ มันเที่ยวแซง เที่ยวแทรกเข้าไป เดี๋ยวก็เกิดเรื่อง ชนกันแหลกวินาศไป เพราะคนขับนั้นใจมันไม่มีระเบียบ ไม่เคารพระเบียบ มันก็ยุ่ง คนอยู่กันในครอบครัวถ้าไม่เคารพระเบียบมันก็ยุ่ง วิวาทกัน ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ เอ้า, แยกกันอยู่ เดี๋ยวกลับมาอยู่ร่วมกัน อยู่ๆกัน เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก เพราะใจไม่มีระเบีบบ ไม่มีธรรมะประจำจิตใจ ไม่มีความคิดนึกในทางที่ถูกที่ชอบเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาจิตใจจึงได้เกิดเป็นปัญหา แล้วมันสุขไหมล่ะ ในการที่เป็นอยู่อย่างนั้น
ญาติโยมลองนึกถอยหลังสมัยหนึ่งเราเคยทำอย่างนั้น เคยคิดอย่างนั้น เคยแสดงออกอย่างนั้น แล้วมันเป็นอย่างไร มันไม่มีความสุขใจ เช่นเวลาโกรธนี่มันมีความสุขที่ตรงไหน เวลาเกลียดเขามีความสุขที่ตรงไหน มีความพยาบาทเขามันมีความสุขที่ตรงไหน นั่งริษยาคนอื่นมีความสุขที่ตรงไหน หรือแม้นั่งนินทาคนมันสบายที่ตรงไหนมั๊ย ลองพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้วเห็น เอ๊, ไม่ได้เรื่อง เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน เราไม่มีพระไว้ในใจของเรา เรามีแต่ผีแต่มารเข้ามาสิงสู่อยู่ในใจ จึงทำให้เราพูด ทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ ไปด้วยประการต่างๆ อันเป็นเรื่องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตของเรา
เราก็ต้องเปลี่ยนชีวิต เลี้ยวเข้าทางที่ถูกต้อง เข้าเลนส์ที่ถูกต้อง แล้วก็ตรงไป เรียกว่าตรงไป อุชุปะฏิปันโน ตรงไป ตรงไปตามทางดีทางถูกทางชอบ แม้จะมีอะไรมายั่วยุให้เราเปลี่ยนเส้นทาง เราก็ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะเราถือว่าเดินถูกทางแล้ว มีความสุข มีความสงบในชีวิตแล้ว แล้วจะไปเปลี่ยนเส้นทางทำไม ขืนเปลี่ยนไปมันก็เหมือนเดิมอีก มันไปซ้ำกับรอยที่เราเคยทำมาแล้ว ลองนึกเทียบเคียงไปดูว่าสมัยหนึ่งเราเป็นอย่างนั้น แล้วเป็นอย่างไร เราเคยเล่นการพนัน เราเคยเสพของมึนเมา เราเที่ยวสนุกสนาน เราใช้เงินเปลือง เราสมาคมกับเพื่อนชั่วเพื่อนร้าย เราไม่เอางานเอาการ นี่มันเป็นอย่างไร
พิจารณาก็เห็นแล้วว่า ไม่ไป เราไม่ไป ตรงต่อไป ตรงไปด้วยความซื่อสัตย์ด้วยความอดทน ด้วยการบังคับตัวเอง ด้วยความเสียสละสิ่งซึ่งไม่เหมาะไม่ควรแก่เรา ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา เราไม่เอา เราไม่เอา แม้ใครจะมายั่วยวนชวนใจอย่างไร เราไม่เอา เช่นว่าใครจะให้อะไรแก่เรา แต่มันไม่ดี เราไม่เอา เราไม่ยินดีรับสิ่งเหล่านั้น ไม่พอใจในสิ่งเหล่านั้น
อธิฐานใจว่าขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้พอใจในสิ่งชั่วร้าย อย่าได้พอใจในสิ่งสนุกสนานที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ แต่ให้พอใจในสิ่งถูกต้องเป็นธรรม เพื่อทำตนให้พ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน เราคิดอย่างนั้น นึกไว้ในใจเสมอๆไป ทุกลมหายใจเข้าออก นึกอยู่ตลอดเวลา จะไปไหนจะทำอะไรจะเกี่ยวข้องกับใครก็คอยเตือนตัวเองไว้ในแง่ว่าเราจะทำแต่สิ่งถูกต้อง เราจะไม่ทำสิ่งผิด เราจะไม่หาลาภหาผลจากการทำที่ไม่ตรงตามหลักธรรมะในทางพระศาสนา
เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นการเพิ่มความชั่ว เพิ่มคนชั่วให้เกิดขึ้นในโลก โลกนี้มันก็ทรุดหนักอยู่แล้ว แล้วเราจะไปเพิ่มเข้าอีกทำไม เพิ่มความชั่วขึ้นอีกทำไป เพิ่มสิ่งชั่วร้ายขึ้นอีกทำไม เพิ่มคนชั่วร้ายขึ้นอีกทำไม เลิกมันเสียดีกว่า ตั้งใจอย่างนี้ เราก็อยู่ได้ปลอดภัย ชีวิตเรียบร้อย พระธรรมอยู่กับเรา คุ้มครองเรา รักษาเรา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างปลอดจากอันตรายด้วยประการทั้งปวง อันนี้เรียกว่าเป็นการปฏิบัติในชั้นที่เรียกว่าเพื่อความก้าวหน้าของชีวิตของการงานและความเป็นอยู่ที่สงบสุข ดังได้แสดงมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที เอ้า, นั่งสงบใจ