แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา ภาวนาธิพรได้สัญญาไว้กับญาติโยมว่า จะเทศน์เรื่องเกี่ยวกับการสวดภาณยักษ์ ที่ได้สัญญากันอย่างนั้น ก็เพราะมีคนส่งโทรเลขมาบอกว่า ให้ช่วยเทศน์เรื่องนี้เสียที คนที่ส่งโทรเลขมานั้นคงจะรำคาญในการที่วัดต่างๆ ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพราะดูแล้วมันห่างไกลจากพระพุทธศาสนา เป็นการกระทำที่เป็นไปในทางไสยศาสตร์ เป็นไปในทางที่ค่อนข้างจะงมงาย หลายเรื่องหลายประการ เมื่อได้รับโทรเลขแล้ว วันอาทิตย์ก่อนจะเทศน์มันก็ไม่ทัน ก็ไม่ได้ดูเข้าเรื่องดั้งเดิมของพระสูตรว่า เป็นมาอย่างไรเมื่อวานนี้วัดก็อยู่ว่างอยู่ก็ไปขอเทปที่เขาเคยทำงานภาณยักษ์ เขาอัดเทปไว้เอามาฟังดูว่าเขาเทศน์ว่าอย่างไร ครั้งเมื่อฟังเทศน์แล้วก็รู้สึกว่า พระที่เทศน์นี่หน้าด้านที่สุดเลย ทำไมจึงได้เรียกว่าหน้าด้าน ก็เพราะว่าในคำเทศน์นั้นไม่มีธรรมะอะไร นอกจากโฆษณาขายลูกประคำสีขาว ลูกประคำสีดำ น้ำมันมนต์เคลือบอะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ แม้จนกระทั้งปลัดขิกก็ประกาศขายอันละ ๒๕ บาท อันนี้พระที่ทำได้เรียกว่าหน้าด้านเต็มทน นั่งพูดอยู่ได้ อาตมาก็ฟังจนจบเทปว่า เขาจะมีบทบาทอย่างไรบ้าง ว่าเรื่อยไป แล้วก็ตอนพระเทศน์ก็มีคนประกาศขายคนหนึ่งแล้ว ความจริงควรจะให้ชาวบ้านเป็นคนประกาศ เรื่องราคาของ แต่พระเกรงว่าจะได้เงินน้อยไปก็เลยเทศน์เสียเองด้วย เป็นพระครูเป็นสมณะศักดิ์ แล้วก็เทศน์อย่างนั้น ไม่น่าฟัง แต่ว่าญาติโยมก็ไปฟังกันเยอะ
เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พุทธบริษัทที่เรียกตัวเองว่า พุทธบริษัทที่ยังโง่อยู่อีกมากเหลือเกิน มีงานหนักอยู่ข้างหน้าที่จะต้องทำต่อไปอีกนาน เพื่อสอนคนให้ฉลาด ให้หายโง่งมงาย แล้วก็พระที่สอนให้ฉลาดก็มีน้อย มีแต่สอนคนให้โง่ เพื่อล้วงสตางค์เอาจากญาติโยม รวมว่าในการเทศน์ภาณยักษ์นั้น จุดใหญ่สำคัญคือเอาสตางค์นั่นเอง ไม่ได้เรื่องอื่น เรื่องจะเอาสตางค์เอาทุกวิถีทางที่จะให้ได้เงินมา แม้ทรายก็ใส่ถุงขาย หัวขมิ้นก็ขาย ขิงก็ขาย ข่าก็ขาย ขายมันทุกอย่างเรียกว่าชอบ ดอกไม้ก็ขาย แล้วที่วัดนั้นไปเชิญสุพรรษา เนื่องจำนง นางเอกหนังมาด้วยให้เดินเพื่อแจกไม้เพื่อจะได้ติดกัณณ์เทศน์กับพระเทศน์ภาณยักษ์ คนมันก็ชอบดูดารา แล้วก็ชอบเอาหน้ากับดาราหน่อย แล้วก็เอาไม้นั้นไปติดกัณณ์เทศน์ ฟังดูแล้วมันไม่ใช่เรื่องเผยแผ่ธรรมะ แต่เป็นเรื่องทำคนให้โง่ ให้งมงาย ให้หลงใหลในเรื่องที่ไร้สาระแก่นสาร แต่ว่าชอบทำกันทุกวัด พระสมภารวัดเหล่านั้นก็ยังโง่อยู่เหมือนกัน เลยไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยจัดงานแบบโง่ๆ เพื่อเอาเงินจากคนโง่อีกเหมือนกัน ถ้าใครเป็นคนฉลาดเขาประกาศสวดภาณยักษ์วัดไหนอย่าไป เพราะถ้าไปแล้วมันจะติดอยู่ในบัญชีคนโง่ไปแล้วคนหนึ่ง อันนี้เราอย่าไปเข้าบัญชีความโง่ คนโง่กับเขาเหล่านั้น เรื่องมันเป็นอย่างนี้
ที่นี้จะเล่าให้ฟังว่า การสวดนี้มันมาอย่างไร เริ่มต้นกันด้วยการเจริญพระพุทธมนต์ เรียกว่า สวดมนต์น่ะ สวดมนต์ตามบ้าน สวดมนต์ตามงานนั้นสวดงานนี้ มันเกิดขึ้นอย่างไร ครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่นั้น ไม่มีการสวด มีแต่การสอนเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ไปทำหน้าที่สอนคนเท่านั้น ไม่ได้ไปทำคนให้หลงให้งมงายด้วยเรื่องอะไรต่างๆ เพราะพุทธศาสนาเป็นคำสอนของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีความเบิกบานแจ่มใส จึงไม่มีเรื่องอะไรที่เรียกว่า พิธีรีตอง อันจะทำคนให้หลงผิดเข้าใจผิด หรือว่าเชื่อไปในทางความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ดังที่เราพุทธบริษัทเชื่อกันอยู่สมัยนี้ ครั้นพุทธกาลไม่มีเรื่องอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อพุทธศาสนาล่วงเลยมานาน สิ่งทั้งหลายก็ค่อยๆ เข้าไปแอบพระพุทธศาสนามากขึ้นๆ เช่น เรื่องการสวดมนต์นี้ได้เกิดขึ้นในประเทศลังกา คือ ประเทศลังกามันมีคนอยู่ ๒ ประเภท เขาเรียกว่า คนสิงหล เป็นคนพื้นบ้านพื้นเมือง แต่ว่าประวัติศาสตร์เขาว่า อพยพมาจากอินเดียเหมือนกัน เพราะลังกามันเป็นเกาะแล้วคนอินเดียก็อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานในเกาะลังกา เรียกว่าเป็นพวกสิงหล เกาะลังกานี่เขาเรียกว่า สิงหลทวีป คือเกาะสิงหล นั่นเอง คนพวกนี้ ถ้าเป็นพวกที่ถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ จึงเรียกว่า สิงห์ พวกสิงห์ แต่มาจากอินเดียเหมือนกัน มาตั้งหลักแหล่งอยู่มีจำนวนคนมากขึ้น ครั้นในสมัยต่อมาก็มีคนอินเดียอีกพวกหนึ่ง อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย อยู่ในแคว้นมัลละ เขาเรียกว่าพวกทมิฬ พวกทมิฬนี้รูปร่างดำๆ พวกนี้ก็อพยพมาอยู่ในเกาะลังกา อยู่มากที่เมืองหนึ่งเขาเรียกว่าเมืองจัฟฟ์นา เมืองจัฟฟ์น่าอยู่ตอนเหนือของเกาะลังกา เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เกิดแก่งแย่งแข่งดีกันในทางการเมือง ยกพวกฆ่ากัน ตายไปหลายร้อย ระหว่างพวกสิงหล กับพวกทมิฬเหล่านี้ พวกทมิฬที่มาอยู่ในส่วนหนึ่งของเกาะลังกา บางคราวก็ก่อกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดินประเทศลังกา แล้วไปยึดครองเมืองได้ พวกทมิฬก็ขึ้นไปเป็นพระมหากษัตริย์ครองเมืองลังกา พวกลังกาที่แพ้ก็ไปซ่องซุ่มผู้คน แล้วก็ยกทัพมาแก้แค้นขับพวกทมิฬออกไป หาไม่ได้ครองเมืองต่อไป ทำอย่างนี้บ่อยๆ
พวกทมิฬนั้นนับถือศาสนาพราหมณ์ แต่ว่าเป็นศาสนาพราหมณ์ชั้นปลายแถว ไม่ใช่พราหมณ์ชั้นต้นแถวทีเดียว คือพราหมณ์ต้นแถวนี่ เขานับถือปัญญาเหมือนกัน มีคำสอนที่ลึกซึ้งที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นเหมือนกัน แต่ว่าพราหมณ์ปลายๆ แถวนั้น ถือเรื่องพิธีการ เรื่องอาถรรพ์ เรื่องบน เรื่องของขลัง เรื่องอะไรไปต่างๆ มันเป็นไปในรูปอย่างนั้น พวกทมิฬ เขามีการสวดพระเวช เช่นว่า สร้างบ้านเสร็จแล้วก็มีเชิญพราหมณ์มานั่งสวดพระเวชในบ้าน ๒-๓ คืน เขาเรียกว่าทำบ้านให้มันอบอุ่น ทำหน้าให้เป็นสิริมงคล ด้วยการสวดคัมภีร์พระเวช ความจริงสวดแล้วบ้านมันก็เท่าเดิมนั่นแหล่ะ ไม่ได้เป็นอะไรขึ้นมา ไม่ได้มีอะไรพิเศษขึ้นมาหรอก แต่ความเชื่อของคนมันเป็นอย่างนั้น ก็เลยนึกว่า ถ้าเชิญพราหมณ์ผู้เฒ่าผู้แก่มานั่งสวดคัมภีร์พระเวชในบ้านแล้วก็จะดีขึ้น ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ดีขึ้นไม่ใช่เพราะการสวด แต่ดีขึ้นเพราะเจ้าของบ้านทำดี ชั่วก็เพราะเจ้าของบ้านทำชั่ว เชิญพราหมณ์มาสวดแล้ว ถ้าเจ้าของบ้านเปิดเป็นบ่อนการพนัน บ้านนั้นมันก็เป็นบ้านกาลกิณีอัปรีย์อยู่นั่นเองหรือว่าเอาเหล้ามาเลี้ยงกันในบ้าน เอาความชั่วมาไว้ในบ้าน สวดเท่าไดๆ มันก็ไม่ดีขึ้นมาหรอก แต่เขาก็สวดตามธรรมเนียมที่เขาถือกันมา ทำกันแพร่หลาย พวกสิงหล อยู่ใกล้บ้านทมิฬ เห็นว่าชาวทมิฬเขาทำอย่างนั้น ตัวก็อยากจะทำมั่งไม่มีหลักประจำใจเพียงพอ ก็อยากจะทำบ้างก็เลยไปปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่ว่า พวกทมิฬเขามีการสวดที่บ้าน พระเราก็น่าจะมีการสวดที่บ้านบ้าง พระท่านก็เห็นว่าคนเขาชอบอย่างนั้น ก็เลยบอก เอ้อ ไม่เป็นไร ฉันจะคัดเลือกเอาพระสูตรต่างๆ มาสวดที่บ้าน การสวดมนต์ตามบ้านก็เกิดขึ้นในประเทศลังกาเป็นแห่งแรก พระท่านก็ไม่คัดเอาข้อความในพระไตรปิฎกเป็นพระสูตรสั้นๆ เช่น มงคลสูตรว่าด้วยเรื่องมงคล ๓๘ ประการ รัตนสูตร กรณียเมตตสูตร แล้วพระสูตรอื่นๆ เรียกว่า ๗ สูตร เรียกว่า ๗ ตำนาน ถ้าสวดยาวออกไปเรียกว่า ๑๒ สูตร เรียกว่า ๑๒ ตำนาน เอาคำเหล่านี้มาสวด เวลาสวดก่อนสวดเพราะว่าพวกทมิฬนี่เขานับถือเทวดา เขาอัญเชิญเทวดา พวกพุทธก็เลยพลอยนับถือเทวดาไปด้วยกับคนเหล่านั้น อิทธิพลที่อยู่ใกล้กันเลยเอาอย่างกันเลียนแบบกัน เพราะมนุษย์นี้ชอบเลียนแบบผู้อื่น เหมือนคนไทยเราเลียนแบบฝรั่ง ฝรั่งไว้ผมยามรุ่มร่าม เราก็ไว้ให้มันรุ่มร่ามแบบฝรั่ง ฝรั่งมันไม่เต็มบาทเราก็เลยไม่เต็มไปกับฝรั่งด้วย เป็นอย่างนี้ สมัยนั้นก็เหมือนกัน เห็นเขาทำอะไรก็เลยทำกับเขามั้ง หน้าก็จะไม่ให้น้อยหน้าของคนเหล่านั้น ก็เลยมีการทำ เช่น อัญเชิญเทวดาก่อนที่จะสวดมนต์ด้วยคำว่า สักเคตามี อะไรอย่างนั้น คำอัญเชิญเทวดา เทวดาจะมาหรือไม่มาก็ไม่รู้เชิญไปเรื่อยไป ก็คือ สวดกันอย่างนั้น
ชาวลังกาสวดบ้านนะไม่ได้สวดน้อยๆ สวด ๓ วัน สวด ๗ วัน สมมุติว่าหลังนี้เป็นบ้าน เขาก็เอามณฑปมาทำรูปเหลี่ยม ๘ เหลี่ยม มาวางเข้ากลางบ้านเลย แล้วนิมนต์พระจำนวน ๙ รูปมานั่งบนมณฑปมานั่งล้อมเป็นวง ไม่นั่งเหมือนบ้านเรา นั่งหันหน้าไปหาชาวบ้าน เขานั่งล้อมกันเป็นวง แล้วชาวบ้านก็นั่งแวดล้อมบริเวณมณฑปนั้น นั่งรอบมณฑป พระถือสายสิน หม้อน้ำมนต์อยู่ตรงกลาง แล้วก็สายสินนั้น ๒ เส้น เส้นหนึ่งพระถือ อีกเส้นหนึ่งดึงออกไปให้ชาวบ้านถือ เวลาฟังพระสวดชาวบ้านทุกคนก็นั่งประนมมือฟังพระสวด พอพระหยุดตีฆ้องตีทีหนึ่งหยุดทีหนึ่ง ชาวบ้านก็ลุกขึ้นไปดื่มน้ำดื่มท่า พอตีฆ้องสัญญาณว่าจะสวดอีก ทุกคนก็มานั่ง สวดอย่างนี้ ๓ คืนก็มี ๗ คืนก็มี แล้วก็ทำบุญเลี้ยงพระ ถวายข้าว ถวายของ อะไรไปตามเรื่อง อันนี้เรียกว่าพิธีการสวดมนต์ตามบ้าน เป็นการเอาอย่างพวกศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดู เลยทำกันแพร่หลาย
พระพุทธศาสนาลังกามาเมืองไทย พระเหล่านั้นก็เอาพิธีกรรมต่างๆ มาฝากไทยไว้ด้วย เราจึงได้มีการสวดมนต์ที่บ้าน สมมุติว่าสร้างบ้านใหม่ก็นิมนต์พระไปสวด ความจริงควรเรียกใหม่ว่า นิมนต์พระไปทำบุญที่บ้าน ไปทำบุญเฉยๆ ไม่มีอะไรก็ไม่ดี เลยต้องมีการสวดมนต์ ตั้งขันน้ำมนต์ขึ้น มีสายสิน มีอะไรต่างๆ เอาใบเงินใบทองมาใส่ในขันด้วย เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาวบ้านรู้จักรักษาเงินรักษาทอง รู้จักเก็บเงินเก็บทอง หาเงินหาทอง แล้วก็ทำพิธีสวด สมัยก่อนนี้เขาสวดมนต์เย็นแล้วไปฉันท์ตอนเช้าหรือฉันท์ตอนเพลนแต่เดี๋ยวนี้ประหยัดเวลา นิมนต์ตอนเช้าเลยทีเดียวสวดมนต์เสร็จฉันท์เพลนเสร็จวันเดียวก็เสร็จเรื่องกันไป นี่พิธีการก็ติดมาถึงบ้านเราเรียกว่าสวดมนต์ตามบ้าน ในวังก็มีการสวดมนต์ใหญ่ๆ นิมนต์พระมากๆ ไปสวดมนต์ เช่น วันเฉลิมพระชนม์พรรษา วันฉัตรมงคล เมื่อวานนี้วันฉัตรมงคลก็นิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ ถ้าเป็นวันสิ้นปีเขาเรียกว่า พิธีปลุกสาด (14.42) เขาก็นิมนต์พระไปสวดมนต์ในวัง มาสวดกัน ๓ วัน ๓ คืนเหมือนกันแล้วก็มีหญ้าคามาทำเป็น เขาเรียกว่า เอามาถักให้เป็นเส้นยาว ไม่ใช่เล็กน้อยนะ วงรอบกำแพงวัง เนื้อที่เท่าไรโยมคิดดู หญ้าคาขึ้นมาเป็นหาบเลย พระวัดสุทัศน์มีหน้าที่ถักหญ้าคา ถักให้เป็นเส้นขนาดหัวแม่มือแล้วเอาไปวงตั้งแต่ประตูวิเศษไชยศรีไปถึงมณีนพรัตน์ สวัสดิโสภา ว่ากันเรื่อยไป จนมาบรรจงที่เดิมเป็นวงหญ้าคาแล้วนิมนต์พระไปสวดที่นั่น ควบคู่กับหญ้าคาก็ต้องมีด้ายสายสินอีกเส้นหนึ่ง เส้นเล็กๆ ไปกับหญ้าคาด้วย เป็นเครื่องกันจัญไรไม่ให้เข้ามาในเขตนั้นให้แค่ออกไป แล้วก็มีการสวดพระเป็นบางวัดก็สวดได้ บางวัดก็สวดไม่ได้ พระสวดได้ก็มีหลายวัด เช่น วัดสระเกษุ วัดสุทัศน์ วัดโพธิ์ พระเหล่านี้เขานี้เขาสวดได้เป็นประจำ สวดให้คล่องแล้วไปสวดกันในวัง ทำพิธีกันอย่างนั้นทั่วๆ ไป เดี๋ยวนี้สวดมนต์ทั่วไปเปิดโรงงานฆ่าหมูก็นิมนต์พระไปสวดมนต์ โรงงานฆ่าสัตว์ก็นิมนต์พระไปสวดมนต์ เขาจะเปิดร้านบาร์หรือไนท์คลับก็นิมนต์พระไปสวดมนต์ด้วยเหมือนกัน เลยสวดเรื่อยไป ไม่รู้ว่าสวดทำไม ไอ้โรงฆ่าสัตว์จะไปสวดทำไมก็ไม่รู้ แล้วไปทำอย่างนั้น เรียกว่าเป็นพิธีที่ชาวพุทธกระทำกันทั่วๆ ไป เพราะว่ามันสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ก็สวดกันมาอย่างนั้น
ส่วนสวดภาณยักษ์เขาสวดเวลาพิธีบ้านพิธีเมือง วันตรุษ วันสงกรานต์ เขาเรียกว่าสวดสะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองมันเกิดทุพภิกขภัย เกิดโรคห่าลงเมืองคนไม่สบายก็ทำพิธีสวดบ้านสวดเมืองกันเสียทีหนึ่ง ต้องสวดที่ใหญ่ๆ เช่น สวดในวังหลวง สวดที่สนามหลวง แล้วก็ทำพิธีกันเป็นงานใหญ่ สวดกันนานๆ การสวดนั้นต้องสวดกันไปตั้งแต่ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน แล้วก็มหาสมัยสูตร ซึ่งยาว แล้วก็สวดภาณยักษ์ ซึ่งเรียกว่า อาฏานาฏิยสูตร เวลาสวดนี้ สมมุติว่ากลางคืนแล้วพระท่านก็สวดไป แต่ว่าไอ้ที่สวดได้ฟังในเทป มันไม่เหมือนกับที่สวดเมื่อก่อน เมื่อก่อนก็สวดเรียบๆ ไป เช่น เขาสวดว่า (17.33 บทสวด) ก็ว่าไปอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้สวดแล้ว ขอภัยเถอะ องค์หนึ่งขึ้นแล้ว อีกองค์หนึ่งร้อง อาตมาฟังแล้วขออภัย นึกว่าเสียงลูกหมาร้อง เรียกว่า สวดเหมือนกับเสียงหมาหอนอะไรอย่างนั้น ฟังเองแล้วมันไม่เข้าท่าเลย มีในเทป ไม่ได้เอาเทปมาเปิดเป็นตัวอย่าง ส่วนอาตมาฟังแล้ว เอ๊ะ อะไร เสียงอะไร เมื่อก่อนเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันงอกออก งอกออกไปให้สนุกตามแผนใหม่คนเขาก็สนุกกัน ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็สนุก แล้วก็สวดไม่เป็นเรื่องเท่าไร ฟังดูแล้วนิดๆหน่อยๆ เอาพิธีมากกว่าพอขายของได้ สมัยก่อนเขาสวดยาวเหยียด แล้วก็สวดกันไปกล่าวถึงบทที่เรียกกล่าวถึงยักษ์ ยักษ์โถวา ยักขิณีวา ยักธิโพธิกา (18.00 บทสวด) ว่าดังๆ ยักษ์โถวา ยักขิณีวา ยักธิโพธิกา เรียกว่าเด็กนอนหลับก็ตื่น ยักษ์มาแล้ว ยักษ์โถวา ยักขิณีวา ยักธิโพธิกา ว่าอย่างนั้น เหมือนในเทปก็ว่าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง เราฟังแล้วได้ยินเสียงก็ว่าอย่างนั้น สำเนียงบาลีมันมี แล้วก็ว่ากลางคืนเด็กตกใจตื่นก็ว่านั้น แต่ชาวบ้านก็ว่าพระขับยักษ์แล้ว คือเข้าใจว่าไล่ยักษ์ออกไป ความจริงมันไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องไล่ยักษ์ออกหาไม่ได้ แต่คนมันว่างั้น เสียงพระขับยักษ์แล้ว อันนี้ถ้าว่า สวดภาณยักษ์ตามวัดต่างๆ นี่ มันมีหน้าม้า ๒-๓ คน ๔ คนบางที พอพระสวดๆ อ้าว ยักษ์เข้าแล้ว อู้ยๆ ดิ้นลงไป ทำดิ้นลงไปเลย ทำดิ้นพรวดๆ อ้าว ที่นี้พระที่นั่งสวดนั้นก็ต้องลุกขึ้นไป เอาทรายคัดบ้าง เติมน้ำมนต์บ้าง อมน้ำพ่นบ้าง คนนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น พระที่สวดบอก เอ้อ ยักษ์ไปแล้วๆ ไอ้นี้ลูกไม้ ลูกไม้ไม่ใช่อะไร เตรียมคนไว้พวกหน้าม้าเป็นยักษ์ดิ้น ดิ้นอะไรต่อไปดิ้นไป ดิ้นหลายคน คนแก่ดิ้นก็มี ไอ้สาวๆ ดิ้น ไอ้สาวๆ ไม่เต็มบาทก็ดิ้นกันไป ไอ้หนุ่มไม่เต็มบาทก็ดิ้นกันไปในงานนั้น เรียกว่าดิ้นหลายคน อาจารย์ก็ต้องลุกขึ้นไปยืนพรมน้ำมนต์เอายาพ่น อะไรนั้นก็ตื่นขึ้นนั่งเรียบร้อย พระที่สวดก็พูดว่า ยักษ์ไปแล้วๆ มันมา มันเข้าสิงคนไม่ดูว่างั้น แล้วก็ต้องปั้นรูปยักษ์ด้วย เวลาสวดปั้นรูปยักษ์ ยักษ์ ๔ ตัว บางทีคนแต่งตัวคน ๔ คน เป็นยักษ์ ๔ ตนมา ให้มาในพิธีด้วย
ซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระ เรียกว่าเป็นยักษ์องค์สัมมาทิฐิ ไอ้ยักษ์ที่เข้าถึงคนนั้นพวกยักษ์มิจฉาทิฐิ อันนั้นมันต้องไล่ด้วยน้ำมนต์ อาตมาว่า น้ำมนต์นี้ไม่ดีต้องไล่ด้วยหวายนั้นดีกว่า เอาหวายเส้นเท่านิ้วก้อย ไอ้ตัวไหนดิ้น ฟาดลงไปเลย ไม่ได้หน้าม้าเดือดร้อนเลยอย่างนั้น หลังลาย โดนเข้าไปอย่างนั้น ก็ต้องเอาเพียงน้ำหมากพ่น น้ำมนต์ทาพอได้แล้ว เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ทำเพื่อความขลัง เพื่อความศักดิ์สิทธิ์เรียกร้องความสนใจ ให้คนที่มีความเชื่ออย่างนั้นมา มากเหมือนกันคนเชื่ออย่างนั้น จะมากกว่าคนที่มาวัดชลประทานด้วยซ้ำไป เพราะว่ามีการสวดซะมากมาย อยากจะได้ทรายสักถุงเอาไปโปรยรอบบ้าน ไม่ให้ยักษ์เข้าบ้านไม่ให้ผีเข้าบ้าน มีอะไรสั่งๆ ของเยอะแยะที่เขาทำขึ้นขายในงานนั้น จุดหมายก็เพื่อเอาสตางค์นั่นเอง แต่ว่าไปทำคนให้หลงให้งมงาย แล้วเอาสตางค์มาใช้ อันนี้มันไม่เหมาะไม่ถูกเรื่อง ควรเลิกได้แล้ว แต่ว่า ไม่มีใครคิดเลิก เถรสมาคมท่านก็ไม่สนใจ กรมการศาสนาก็น่าจะไปจัดการกับเรื่องนี้เสียบ้าง ไม่ให้มีพิธีที่เรียกว่า มันออกนอกลู่นอกทาง เป็นเรื่องไม่ใช่พุทธศาสนา ทำคนให้หลงให้งมงาย แล้วมันขัดกับความคิคคนสมัยใหม่ นักวิทย์ที่เรียนวิทยาศาสตร์ว่า ไปเห็นเรื่องเช่นนั้นเข้า ก็เห็นว่า เอ...พุทธศาสนานี่ของงมงาย ซึ่งความจริงมันไม่ได้เป็นย่างนั้น แต่ว่าเราไปทำให้มันงมงายขึ้น ให้ขลังขึ้น ให้ศักดิ์สิทธิ์ในรูปที่จูงใจคนให้หลงให้เข้าใจผิดกันด้วยประการต่างๆ มันไม่ถูกต้อง ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ถูกต้อง แล้วไม่ควรจะสวดอย่างนั้นต่อไป ควรจะนิมนต์พระไปแสดงธรรมอะไรมากกว่า นั่นก็มนต์เหมือนกัน มนต์แสดง เรียกว่า เทศน์ก่อน องค์อื่นก็ไม่ค่อยเทศน์ต้องนิมนต์ตรงนั้น ชุดนั้นเรียกว่าหากินภาณยักษ์ ๔-๕ องค์นั้น หากินตามภาณยักษ์ วัดไหนนิมนต์ แล้วเวลาเทศน์ยังบ่น แหม ไปเทศน์ที่วัดนั้นนะก็ถวายพระเทศน์เพียง ๑,๐๐๐ บาท พระสวดองค์ละ ๕๐๐ ค่ารถก็เกือบจะไม่พอ ยักษ์แย่ ว่าได้น้อยไป ยักษ์ก็ลำบากต้องขึ้นรถกลับวัดมันลำบาก ก็พูดเลียบเคียงไปในเรื่องจะเอาปัจจัยจากชาวบ้าน ฟังแล้วมันก็กลายเป็นเรื่องน่าขำไป ได้ฟังเมื่อวานนี้ ฟังไปก็หัวเราะไป ทุเรศไปด้วยในตัว ว่าทำไมจึงเทศน์อย่างนั้น จึงทำอย่างนั้น แล้วก็ในตอนสุดท้ายเมื่อสวดจบแล้วนะ คนก็แย่งกันเข้าไปแย่งกันจะเอาน้ำมนต์ ไอ้คนโฆษกบอกไม่ต้องแย่ง น้ำมนต์มีโอ่งใหญ่แจกกันทั่วถึง ทุกคนต้องได้ไม่ต้องแย่งกัน
คนแย่งกันกลัวน้ำมนต์จะหมด ก็เลยนั่งนึกในใจว่า ทำไมไปทำในโอ่ง เอาไปสวดในคลองบางใหญ่ดีกว่า น้ำมันมากดี พูดแล้วบอกกินกันตลอดชาติเลย แล้วก็นึกไปว่า เอ น้อยไปในคลองบางใหญ่ไม่ทั่วประเทศ นิมนต์พระไปที่ต้นปิงดีกว่าที่เชียงใหม่ เรียกว่า ปิงโค้ง ริมถนนสะดวกบริเวณกว้างขวาง เอานิมนต์หลวงพ่อเกจิอาจารย์ทั้งหลาย ไปเสกที่ปิงโค้งเลย ให้น้ำแม่ปิงมันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เชียงใหม่จนถึงสมุทรปราการไปเลย ใครต้องการเอาก็เอาไปเลย น้ำไหนๆ คลองหลอด คลองเทเวศร์ อะไรก็ศักดิ์สิทธิ์หมดเพราะมันไหลมาจากแม่ปิงทั้งนั้น แต่ว่าคลองหลอด คลองเทเวศน์ ใครจะมาชุบหัวคงไม่กล้า เพราะว่าเพียงแต่นั่งเรือผ่านในคลองก็ต้องอุดจมูกแล้วนะ มันเหม็นเต็มทนเลย น้ำมนต์ไม่ไหวแล้วตรงนั้นมันไปไม่ไหว นี่มันเป็นความเชื่อที่เรียกว่าเป็นไปในทางขลังทางศักดิ์สิทธิ์เลยเกิดแก่งแย่งกัน แล้วตอนท้ายบอกว่าสายสินที่ขึงไว้นะ ขึงรอบกันเป็นวงใหญ่ ให้คนนั่งในสายสินนั้น บอกว่ายังไม่จบ ยังไม่จบ อาจารย์พระนิกรที่อยู่เชียงใหม่เดินทางกลับจากลังกาลงเรือบิน ๖ โมงเย็นนี้ ลงเรือบินแล้วก็จะมาที่วัดนี้เลยทีเดียว มาแก้อาถรรพ์ให้แก่ท่านทั้งหลาย อะไรก็ไม่รู้ ไอ้เรื่องอาถรรพ์นี่ มันไม่มีอาถรรพ์อะไรให้พระมาแก้ แต่ว่าพระองค์นั้นมันเป็นคนอาถรรพ์ คนไม่มีอาถรรพ์จะไปแก้อาถรรพ์ได้อย่างไร ก็หากินทางแก้อาถรรพ์ชาวบ้าน ทำพิธี ใครจะทำอาถรรพ์ต้องซื้อดอกไม้ช่อหนึ่ง ซื้อไอ้นั่น ซื้อไอ้นี่ รวมความว่า จัดงานทั้งทีมุ่งหาเงินเท่านั้นเอง แต่ว่าทำคนให้เชื่อผิด ให้หลงผิดไปด้วยประการต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร อาตมานี่ขอติ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ว่างานอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ ไม่เป็นศาสนา ไม่เป็นธรรมะ ไม่ได้เปิดหูเปิดตาคน ทำคนให้หลง ทำคนให้งมงาย ไร้สาระด้วยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่ควรเลิกได้แล้ว ไม่ควรจะจัดขึ้นในรูปอย่างนั้น แต่ถ้าจะเทศน์ก็เทศน์ให้มันเป็นธรรมะธรรมโมดีกว่า
อันนี้เรื่องอาฏานาฏิยสูตรที่มาในพระบาลี อาตมาก็นั่งอ่านเมื่อวานนี้ อ่านดูเรียบร้อยแล้ว ชักจะสงสัยเหมือนกัน สงสัยว่า พระสูตรนี้ ไม่ใช่ที่พระพุทธเจ้าพูดแน่ๆ ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น แต่ว่าเขาว่าไว้อย่างนี้ว่า ครั้งหนึ่งนั่นพระพุทธเจ้าประทับที่เขาคิชฌกูฏ ในเมืองราชคฤห์ แล้วก็มียักษ์ทั้ง ๔ ที่เป็นยักษ์ผู้ใหญ่เรียกว่า ท้าวธตรัฏฐ์ ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหะ ท้าววิรูปักษ์ ยักษ์ ๔ ตนนี้ เป็นยักษ์รักษาโลกในทิศทั้ง ๔ ยักษ์ ยักษ์ตัวหนึ่งรักษาทิศใต้ ยักษ์ตัวหนึ่งรักษาทิศเหนือ ยักษ์ตัวหนึ่งทิศตะวันตก ทิศตะวันออก แล้วก็มีบริวารเป็นยักษ์ควบคุมธรรพ์บ้าง เป็นนาคบ้าง คนธรรพ์บ้าง เป็นบริวารของยักษ์เหล่านั้น ยักษ์เหล่านั้นได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลากลางคืน เรียกว่า ทำให้เขาคิชฌกูฏให้สว่างไสวไปหมด อาตมาเคยไปเขาคิชฌกูฏ นึกว่ายักษ์ที่มานี่จะนั่งตรงไหน คือเขาคิชฌกูฏ นี่มันเล็กนิดเดียว มันเป็นก้อนหินขึ้นไป แล้วรอบนั้นมันกว้าง ยักษ์จะนั่งกันอย่างไร แต่ว่ายักษ์จะนั่งตรงไหนก็ได้เพราะยักษ์นี่นั่งไกลๆ ก็ได้ ยักษ์นั้นนั่งทิศนู้น ยักษ์นี่นั่งทิศนี้ ยักษ์นั้นก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้ามาเฝ้าทั้ง ๔ ยักษ์ ยักษ์ใหญ่ๆ ทั้งนั้น แหม น่ากลัว ถ้าเราไปเห็นก็คงจะตกใจมันจะมากลืนพระพุทธเจ้าหรือเปล่าไม่รู้ แล้วยักษ์นั้นมาถึงถวายบังคมพระผู้มีประภาคเจ้า เมื่อถวายบังคมแล้วก็เลยบอกว่า พวกยักษ์ชั้นสูงก็มี ชั้นกลางก็มี ชั้นต่ำก็มี ยักษ์ก็แบ่งชั้นเหมือนกัน เรียกว่ายักษ์ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ ยักษ์ชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำที่เลื่อมใสพระพุทธเจ้าก็มี ไม่เลื่อมใสก็มีเหมือนกัน ไอ้พวกที่ไม่เลื่อมใสนั้นก็เพราะว่า พระพุทธเจ้านี่สอนให้เว้นการฆ่า ให้เว้นจากการลัก ให้เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ให้เว้นจากการพูดโกหก คำหยาบ คำเหลวไหล ให้เว้นจากการดื่มสุราเมรัย พวกยักษ์ที่ชอบทำอย่างนั้นเขาไม่ชอบ ยักษ์อันธพาลน่ะ เขาไม่ชอบ ไม่ชอบพระพุทธเจ้าเพราะสอนให้งดเว้นจากการฆ่า การลัก การประพฤติผิดในกาม การพูดโกหก การพูดคำหยาบ การดื่มกินของมึนเมา สนให้งดเว้น พวกยักษ์อันธพาลชั้นสูงชั้นกลางชั้นต่ำ อันธพาลก็มีหลายชั้นเหมือนกันนะ อันธพาลชั้นสูงก็มี อันธพาลชั้นกลางก็มี อันธพาลชั้นเบ็ดเตล็ดเที่ยวคุมตามซอยตามซอกอะไรต่างๆ ก็มี ก็เหมือนคนเดี๋ยวนี้แหล่ะ อันธพาลชั้นสูงก็มี อันธพาลชั้นกลางๆ ชั้นเล็กๆ เตี้ยๆ ตีหัว ฉกชิงวิ่งราวอะไรต่างๆ ยักษ์ก็มีแบบอะไรอย่างนั้นเหมือนกัน เขาไม่ชอบพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปอยู่ตามป่า ยักษ์ก็อยู่ในป่า ยักษ์เหล่านั้นจะเบียดเบียนพระสงฆ์ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แล้วยักษ์ก็บอกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ยักษ์เหล่านั้นเบียดเบียนพุทธบริษัท ให้พุทธบริษัทสวดคาถาเหล่านี้
คาถาที่สวดก็ขึ้นต้นว่า วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต ก็เป็นคำนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า ที่เลือกมาแล้วชื่อวิปัสสิส ชื่อโกนาคม ชื่อกังหัสกร ชื่อมากมาย ชื่อพระพุทธเจ้าเก่าๆ อดีตเรียกว่าพุทธที่ผ่านมาสมัยก่อนให้กล่าวคำนมัสการพวกในป่า ยักษ์จะไม่ทำร้าย ใจความสำคัญมีเพียงเท่านั้นแหล่ะ แล้วยักษ์เหล่านั้นก็บอกว่า ตระกูลของยักษ์ไม่มีใครว่าง พร่ำพรรณนาไป ยักษ์นั้นมีลูกมาก ลูกยักษ์นี่ชื่ออินทั้งหมดว่าตะบองมันเล็กนักเลงเห็นมันไม่กลัวตะบองยักษ์ ตะบองมนุษย์มันใหญ่กว่า แล้วก็มีน้ำมันไม่ว่ายักษ์อะไร ท้าวธตรัฏฐ์ ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหะ ท้าววิรูปักษ์ มีชื่อลูกว่าอินทั้งนั้น ชื่ออินบ้าง ชื่อโสมะ ชื่อวรูณัฐ (30.50 บทสวด) เป็นลูกของยักษ์แล้วก็มีอำนาจมีฤทธิ์มีเดช ตามแบบของยักษ์ ยักษ์นี่ก็มีอาวุธมีตะบองเป็นอาวุธ ในงานสวดภาณยักษ์เขามีตะบองยักษ์ขายเหมือนกัน ตะบองยักษ์นี่ขายเอาไปไว้ที่บ้าน แล้วก็ไปไหนถือตะบองไปด้วย เผื่อว่าจะได้ใช้ทุบตีกับใครๆ ได้ แต่เสน่ห์ก็มีขาย บอกว่าแม่ม่ายเอาไปทาไว้ที่หู พูดกับผู้ชายแล้วผู้ชายจะรัก ว่าอย่างนั้น อันนี้ภรรยาที่พ่อบ้านชอบไปอาบน้ำในอ่างที่เขาสร้างไว้ในที่ต่างๆ ไม่ค่อยกลับบ้านให้เอาน้ำมันทาหมอนไว้ พ่อบ้านกลับมาจะนอนกอดหมอนไม่ไปไหนเลยตลอด ๗ วัน ๓ วัน ทาไว้เรื่อยๆ อาตมาฟังแล้วนึกขำในใจว่า เฮ้ย น้ำมันเสน่ห์ทาหมอน ทานั่นทานี่ ให้ทาตรงนั้นให้ทาตรงนี้แล้วก็จะทำให้คนรักคนชอบใจ บอกว่า เอ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร ทาน้ำมัน แล้วก็มีน้ำมันพระครูอะไรศักดิ์สิทธิ์มากเอาไปหยอดตาก็ได้ หยอดหูก็ได้ หยอดอะไรก็ได้ทั้งนั้น มีของวิเศษ ญาติโยมก็ซื้อกันไปคนละขวดๆ ได้ พอเทศน์จบ โยมก็ซื้อ เข้าใจโฆษณา น่าจะไปนั่งเป็นโฆษกโฆษณาขายสินค้าตามวิทยุได้ เพราะว่าพูดเก่ง คนก็ซื้อกันเป็นการใหญ่ ขายดี น้ำมันก็หมด เดี๋ยวประกาศว่า น้ำมันหมดแล้ว ไว้โอกาสอื่นค่อยมาซื้อกันใหม่ เรียกว่าทำน้อยๆ โรงงานผลิตไม่ทัน เพราะว่าคนซื้อหมด อะไรอย่างนี้เป็นตัวอย่าง ก็ทำไปอย่างนั้น
พระสูตรนี้ไม่มีธรรมะ ไม่มีข้อปฏิบัติเลยตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย อาตมาสงสัยว่าไม่ใช่เป็นพระสูตรที่เกิดขึ้นยุคพระพุทธเจ้า แต่เป็นพระสูตรที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งสังคายนาครั้งที่ ๔ ครั้งที่ ๕ คือทำในประเทศลังกา แล้วในลังกาก็มีสวดมนต์แล้ว มีเรื่องอย่างนั้นแล้วก็เลยใส่เข้าไปว่า พระพุทธเจ้าพบกับยักษ์ ยักษ์ได้บอกพระพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้ เวลายักษ์บอกพระองค์นิ่งๆ เฉยๆ ไม่เออออห่อหมกกับยักษ์อะไรหรอก แต่ว่าเมื่อกลางวันยักษ์ไปหมดแล้ว พระไปหาก็คุยให้พระฟัง ว่ายักษ์มันมาหามันว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ได้กำชับว่าให้พระทำอะไร แสดงว่าเป็นข้อความที่เอาไปใส่ในพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าในตอนหลัง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านเกรงเหมือนกันเรื่องอย่างนี้ เกรงว่ามันจะมีอะไรแทรกแซงเข้ามา เขาเรียกว่า ฉัตรธรรมปฏิรูป (34.00) คือธรรมะปลอมๆ เข้ามาในพระพุทธศาสนา พระองค์จึงวางหลักไว้ให้พิจารณา ไม่ให้เชื่อเสมอไปแม้อยู่ในพระไตรปิฎก คำสอนข้อความอันใดที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎก พระองค์ก็บอกยอย่าไปเชื่อก่อน ให้พิจารณาเทียบเคียงเหตุผลต้นปลาย จากเรื่องจากหลักการ ให้เรียบร้อยให้เห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจึงจะโน้มใจเชื่อ อีกแห่งหนึ่งเรียกว่าให้หลักไว้ สำหรับตัดสิน ว่าอะไรเป็นธรรมะวินัย อะไรไม่ใช่ธรรมะวินัย เป็นหลักดีทั้ง ๘ อย่างสำหรับพิจารณาตัดสินสิ่งต่างๆที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นการณ์ไกลว่า ต่อไปข้างหน้าเมื่อพระองค์เสด็จนิพพานไปนานแล้วหลายร้อยปี หรือเป็นพันปีอาจจะมีใครเอาอะไรๆ มาใส่ไว้ โดยอ้างว่าเป็นพุทธวัจนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์เกรงเหมือนกันว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในกาลต่อไปข้างหน้า ฉะนั้นจึงวางหลักไว้ว่า ควรจะพิจารณาอย่างไรควรเชื่ออย่างไร ไม่ใช่ว่าเราเห็นว่าอยู่ในคัมภีร์ใบลานหรืออยู่ในพระไตรปิฎกแล้วก็จะเชื่อไปทั้งหมดเช่นนั้นหามิได้ พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พุทธบริษัทเป็นคนเชื่อง่าย งมงาย ไร้ปัญญา ไม่ต้องการอย่างนั้น ฉะนั้นจึงวางหลักให้พิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ซึ่งเรามีสิทธิ มีเสรีภาพที่จะคิดจะตรอง พุทธศาสนานี้ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ ไม่บังคับให้ใครรับอะไรง่ายๆ แต่ว่าให้ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองรอบคอบ แล้วจึงจะรับสิ่งนั้นว่า เป็นสิ่งที่ควรนำมาปฏิบัติ
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะให้พระสารีบุตรฟัง ครั้นว่าท่านเทศน์จบลงไปแล้ว พระองค์ได้ตรัสถามว่า สารีบุตรเชื่อไหมในคำที่ตถาคตได้กล่าวนี้ พระสารีบุตรท่านตอบว่า ยังไม่เชื่อพระเจ้าค่ะ พระองค์ชมเชยบอกว่า สมควรแล้ว ผู้มีปัญญาไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ควรจะจำเอาไปคิดไปตรองให้รอบคอบ เขาพูดอะไรให้เราฟังเราไม่รับไม่ปฏิเสธ แต่ว่าจำไว้เอาไปคิดพิจารณาเทียบเคียงกับสิ่งที่มีมาในพระสูตรนั้นพระสูตรนี้ เทียบเคียงกับหลักวินิจฉัยที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแสดงไว้ เราก็จะเกิดความเข้าใจถูกต้อง ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ เกินไป เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทเราโดยทั่วไปนั้น เรียกว่ามีเปอร์เซ็นต์สูงเป็นคนเชื่อง่ายเกินไป เชื่ออะไรๆ โดนไม่ได้คิดไม่ได้ตรอง ที่เป็นเช่นนี้จะโทษญาติโยมก็ไม่ได้ แต่ว่าควรโทษพระ ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของประชาชนพุทธบริษัท ไม่สอน ไม่บอกให้เขาเกิดความรู้ความเข้าใจ อะไรที่เขาทำอยู่ผิด มันก็ไม่บอกว่ามันผิด ไม่ถูกต้องก็ไม่บอก ให้ทำอยู่อย่างนั้นแหล่ะ แล้วก็คล้อยตามใครจะมาขอให้ทำอะไร ซึ่งมันไม่ถูกต้องไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ขัดคอเพราะเห็นแก่ลาภ เห็นแก่สักการะเล็กๆ น้อยๆ ที่จะได้จากพิธีรีตองเหล่านั้น อันนี้เรียกว่าเราไม่เป็นฝักฝ่ายของธรรมะ แต่ฝักฝ่ายของอธรรม เป็นฝักฝ่ายส่งเสริมความโง่ความเขลาของชาวพุทธบริษัท แล้วพุทธศาสนามันจะเจริญไปได้อย่างไร ถ้าเราส่งเสริมความโง่ความเขลากันอยู่ หรือว่าเราต้องการหาปัจจัยมาก่อสร้างอะไรต่ออะไร ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากมายหลายล้าน ที่วัดนั้นทำพิธีสวดแล้วบอกว่า ยังต้องการเงินอีก ๓ ล้าน ก็สวดภาณยักษ์กันอีกหลายสิบหน ถึงจะได้เงินพอ ไอ้ที่มามันก็ไม่พอได้มาได้เท่าไรกับเงินที่ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องทำสิ่งที่คนหลงคนเข้าใจผิดให้คนไปยึดไปถือในสิ่งเหล่านั้น เป็นการไม่ถูกต้อง ผู้ใหญ่ก็ทำผู้น้อยก็ทำ ทำกันทั่วๆไป โดยไม่คิดว่าไอ้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นเนื้อหนาบังตาพุทธบริษัท ไม่ให้เข้าถึงสัจธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น
ติดอยู่ในวัตถุ ความงมงายด้วยประการต่างๆ แม้พิธีอะไรที่เราทำกันทั่วๆ ไป เช่น พิธีพุทธาภิเษก อันนี้วิสาขบูชา ก็มีวัดหนึ่งประกาศลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ บอกว่า ให้ทุกคนที่อยากจะมีความสุขความเจริญ เอาดวงชะตามาบรรจุในยันต์แล้วก็ลงรูปยันต์ไว้ด้วย ยันต์นั้นก็เขียนไว้ด้วยอักษรเขมร อาตมาก็เคยพูดว่า อักษรเขมรนี้ใช้ไม่ได้ เพราะอักษรนี้ช่วยชาติไม่ได้ ช่วยประเทศก็ไม่ได้ ช่วยพุทธศาสนาในเมืองเขมรก็ไม่ได้ เวลานี้เขมรเป็นอย่างไร ล่มจมไปแล้ว เขมรเวลานี้ ไปเป็นขี้ข้าเวียดนาม สมัยหนึ่งเป็นขี้ข้าฝรั่งเศส แล้วก็หลุดจากฝรั่งเศสมาเป็นขี้ข้าเวียดนามต่อไป พระสงฆ์องค์เจ้าก็หลีกหนี ถูกขับออกจากในเมืองไปตายในทุ่งในนา เป็นจำนวนร้อยๆ วัดร้าง หมาสักตัวก็ไม่เหลือแล้วในวัดเวลานี้ไม่รู้จะกินอะไร แล้วยันต์เขมรจะเอามาใช้ได้อย่างไร เอามาเชื่อได้อย่างไร ใช้ยันต์ที่เชื่อว่ายังศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกว่าโง่เต็มที ไม่ลืมตาดูโลกกับเขาเสียบ้างว่าโลกเวลานี้มันก้าวหน้าไปขนาดไหน เอายันต์นั้นมาใช้ เอายันต์นั้นมาสักไว้ตามเนื้อตามตัว เด็กหนุ่มๆ มาบวชนี่สักกันหลายคนบอกว่า สักทำไม มันโง่ครับหลวงพ่อ สมัยก่อนมันโง่ เห่อไปตามเขา เขาสักก็เลยสักไป บางคนสักไว้กลางกระหม่อมเวลากราบฉันเขกโปก โอ๊ย เจ็บหลวงพ่อ อ้าว นึกว่าสักแล้วไม่เจ็บ สักไว้ทำไมตีแล้วเจ็บมันจะได้เรื่องอะไร สักแล้วตีหัวไม่แตกสิมันจะใช้ได้ อันนี้สักแล้วก็ยังหัวแตกอยู่ เรามีลูกมีหลานสอนมันเสียบ้าง สอนอย่าให้มันโง่งมงาย เด็กมันไปคบเพื่อน เพื่อนไปสักมันไปสักกับเขาบ้าง แสดงว่าเอาความโง่มาไว้กับเนื้อกับตัว เอาสิ่งไม่ถูกต้องมาไว้กับเนื้อกับตัว สอนมันเสียใหม่เวลานี้ อย่าให้มันไปเที่ยวสักอะไรต่างๆ พวกอาจารย์สักก็อยากสักไม่ใช่เรื่องอะไรหาพรรคหาพวก ไม่ได้อะไรหรอก หาพรรคหาพวก
ที่จังหวัดสุโขทัยครั้งหนึ่งอาตมาไปเทศน์ที่นั่น เขามีโจรกลุ่มใหญ่ที่ ต.ทุ่งยางป่ากรุงเปาะ (41.35) มีโจรใหญ่ ผู้ว่าการจังหวัดในสมัยนั้น ชื่อ เฉลิม อยู่ปานนท์ แกออกอุบายปราบโจร คือแกไปพักตามวัด เวลาพักแกดับไฟหมด ที่แกพักแกไม่ตามไฟเลย (41.51) แล้วคนมาหา ชาวบ้านมาหา ตอนสว่างมันไม่กล้ามา คนจะเห็นว่าคนนั้นมาหาผู้ว่าคงจะมาเล่าเรื่องโจรผู้ร้ายให้ฟังเดี๋ยวก็ถูกทำร้าย ฉะนั้นแกดับไฟหมดในบริเวณนั้น แล้วแกนั่งอยู่ เดินอยู่แถวนั้น คนก็แอบมาหา มาเล่าให้ฟังเวลานี้โจรอยู่ที่นั่นที่นี่ แกยกตำรวจไปปราบได้เลยด้วยวิธีการอย่างนี้ ปราบได้หมด ไอ้กลุ่มโจรกลุ่มนั้นเด็กหนุ่มทั้งนั้น เด็กหนุ่มๆ เขาจับไปไว้ในคุก อาตมาไปเทศน์นัดกับพัศดีเรือนจำไว้ว่า ไอ้โจรหนุ่มๆ บ้านทุ่งยางเอาไว้ข้างหน้า คือว่าเทศน์แล้วจะได้ถามมันง่ายหน่อย เอามาไว้ข้างหน้า อาตมาก็เทศน์ไปว่าไปๆ มันร้องนะ ไอ้เสือมันร้องไห้ น้ำตาไหล ร้องก้มหน้า พอเทศน์จบแล้วบอกร้องทำไมไอ้เสือ เสียใจอะไร ผมเสียใจว่ามันผิดไปเสียแล้ว ว่างั้น อ้าว ดีสิ เสียใจว่าผิดก็นับว่าดีมาก เราจะได้กลับใจเป็นคนถูกต่อไป แล้วมันผิดอย่างไร มันไปคบกับอาจารย์เขมรคนหนึ่งเข้า เป็นคฤหัสถ์แล้วก็สัก ลงเลขเสกยันต์สักกระหม่อม เอายาน้ำมันทาเนื้อทาตัว บอกว่านี่แหล่ะอยู่ยงคงกระพันแล้ว ฟันไม่เข้าแล้ว อะไรต่ออะไรนะ แล้วก็ลองฟันกันนะ เอามีดทื่อๆมาฟันมันก็ไม่เข้าน่ะสิ วิธีฟันเทคนิคเขามีอาจารย์ฟันเอง ยกสูงแต่เวลาลงค่อยๆ ก็เหมือนชกกันในภาพยนตร์นะ ถ้าชกถูกหน้าบวมไปตามๆ กัน มันไม่ชกถูกกันหรอก ดูในหนัง เปรี้ยงหลบไปแล้ว เวลาชกเราเห็นว่าถูกทุกที ความจริงมันไม่ถูก ไม่ได้ถูกหน้าหรอกเป็นเทคนิคการชก ที่นี้ฟันก็เหมือนกันยกสูงนะแต่ฟันค่อยๆ แล้วมีดมันก็ทื่อๆ มันก็ไม่เข้า ที่นี้มันก็เชื่อรวมพวกรวมหมู่กัน พอได้หมู่มากอาจารย์ก็สั่งลูกน้องให้ไปปล้นล่ะที่นี้ กลายเป็นแก็งค์เสือขึ้นมา ผลที่สุดทางการต้องไปปราบ นี่ก็เพราะว่าคบอาจารย์ชั่ว พวกมิจฉาทิฐิมีความเชื่องมงาย ในเรื่องคาถาอาคม เครื่องรางของขลัง เป็นไปอย่างนั้น
ที่จังหวัดหนองคาย เมื่อวันก่อนไปอาจารย์ตั้งตัวเป็นผีบุญ (44.00) คนมาอยู่ แล้วก็ปั้นรูปเลอะเทอะไปทั้งบริเวณ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ถูกจับไปอยู่ในคุกเวลานี้ ถามพวกนั้นที่มาหามาสู่ก็มาด้วยความโง่ทั้งนั้น ไม่รู้อะไร มายอมตัวเป็นศิษย์เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ไม่ได้โทษคนเหล่านั้นนะ เจ้าคณะจังหวัดไปด้วยบอกว่า เนี่ย เจ้าคุณคิดให้ดีนะ พระเราบกพร่องมาก ไม่สอนคนให้ฉลาด ไม่สอนคนให้รู้เข้าใจพระพุทธศาสนา ครั้นมีผีบุญเกิดขึ้นมีผู้ศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้น อ้างตนว่าในนามพระพุทธศาสนา เช่นว่า พวกอาจารย์ไอ้พวกสำนักน่ะ สำนักปู่สวรรค์ สำนักนั้นสำนักนี่ มันก็อ้างในนามพุทธศาสนา ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ แต่ชาวบ้านไม่รู้ไม่เข้าใจก็หลงใหลมัวเมาไปทำบุญสุนทานหาเงินได้เป็นแสนเป็นล้านมากมายก่ายกองจากความโง่ของประชาชน พระเราไม่ตื่นตัว ไม่มองเห็นอันตรายที่จะเกิดขึ้นและทำลายสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่สั่งสอนแก้ไขปัญหาเหล่านี้กับประชาชนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ คนก็ไปหลงใหลมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น ว่าจะได้นั่นจะได้นี่จะสำเร็จนั่นสำเร็จนี่ อะไรต่างๆ นี่คืออันตราย ที่มีอยู่ทั่วไป ชาวบ้านทำก็มี พระทำเสียเองก็มี ก็เพราะว่าพระขาดการศึกษา ไม่มีปัญญาในพระพุทธศาสนา เรียนนิดๆหน่อยๆ นักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก เรียนเผินๆ แต่เรียนไม่ลึกซึ้ง จึงไม่รู้ว่าพุทธศาสนาที่แท้คืออย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกเป็นอย่างไรไม่เข้าใจ ติดอาจารย์ วัดไหนเคยทำอย่างไรลูกศิษย์ก็ทำอย่างนั้นต่อไป โยมสังเกตสิ วัดไหนสมภารเป็นหมอดู ลูกศิษย์เป็นหมอดูหมด เป็นหมอดูกันไปหมดทุกวัน วัดไหนมีชื่อทางหมอดู ลูกศิษย์เป็นหมอดู วัดไหนอาจารย์เป็นผู้ขลัง อยู่ยงคงกระพัน ทำอะไรแปลกๆ ลูกศิษย์เป็นอย่างนั้น มีเชื้อ เช่น วัดมะขามเฒ่า อาจารย์หลวงพ่อมะขามเฒ่าก็ทำกันมาอย่างนั้นแหล่ะ ตลอดเวลา วัดนั้นวัดนี้ในกรุงเทพนี้ก็เยอะ อาจารย์เป็นอย่างไรลูกศิษย์เป็นอย่างนั้น คือว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น จะเจริญด้วยลาภ ด้วยสักการะ คนยังมาหาอยู่ยังเอาของมาให้ฉันท์ เอาเงินมาให้ แต่ว่าไม่ละอาย ใจไม่ละอายว่า ไอ้ที่ได้มานี่ได้มาอย่างไร
เงินเหล่านี้มาจากอะไร มาจากความโง่ของคน หรือมาจากความฉลาด มาเพื่อบุญหรือมาเพื่ออะไร ไม่ได้คิด ไม่นึกละอายแก่ใจในเรื่องอย่างนั้น ก็จึงยินดีในลาภในสักการะนั้นที่ตนจะพึงมีพึงได้จากสิ่งเหล่านั้น ทำกันไปอย่างนั้น บางวัดนี่เรียกว่าวางแผนหลอกประชาชนยิ่งใหญ่เลยทีเดียว หลอกทำพิธีกันใหญ่โตมโหฬารให้ดูมันแปลกๆ ครึกครื้นด้วยประการต่างๆ ก็ดึงคนประเภทอย่างนั้นเข้ามา ได้คนประเภทที่ปัญญาอ่อนว่างั้นเถอะ เข้ามานับถือ ปัญญาอ่อนนี่ไม่ใช่ว่าเป็นคนไร้การศึกษานะ บางคนก็ได้ปริญญา สำเร็จมหาวิทยาลัย เป็นนายตำรวจผู้ใหญ่ เป็นนายทหารผู้ใหญ่ก็มีเหมือนกัน แต่ก็ยังโง่อยู่ เพราะไม่เข้าวัดที่ถูกต้อง ไปเที่ยวหลงใหลอาจารย์ขลังๆ อาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ ต้องการแต่อะไรน้ำมนต์ น้ำพร พระเครื่องรางของขลัง เอามาช่วยตัวให้พ้นภัย ไม่เข้าหาธรรมะ นับถือศาสนาแต่ไม่เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ไปเชื่อไอ้สิ่งเหลวไหลอย่างนั้น ไปกันมาก บางคนก็เป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ศึกษาเรื่องพุทธศาสนาให้เข้าใจ ก็ถูกพระเหล่านี้เข้าไปใกล้ ยุให้ทำอย่างนั้นยุให้ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องเหลวไหลส่งเสริมสิ่งชั่วร้าย มีเคราะห์มีอะไรก็ให้ไปสะเดาะเคราะห์ ให้ไปปั้นศิวลึงค์ไว้เต็มวัดเต็มวา เหมือนที่แปดริ้วที่เขาลงข่าว ด้วยความเขลา ดึงคนไปในทางเขลา ไม่ดึงคนเข้าหาธรรมะ ไม่ดึงคนให้ฉลาด พระศาสนาจะไปได้อย่างไร อันนี้น่ากลัว อาตมารำคาญไอ้สิ่งเหล่านี้ เห็นแล้วมันทนไม่ค่อยได้ มักไปพูดจาตามวิทยุบ้างอะไรบ้าง แต่วิทยุพูดแรงนักก็ไม่ได้ เพราะพวกโง่ๆ มันยังใหญ่อยู่หลายคนเหมือนกันในวิทยุ พลาดท่าเสียที อ้าว หยุดได้แล้วก็ไม่ได้พูดกันต่อไป เอ้อ มันไม่รู้อะไรเป็นอะไร เราพูดให้คนฉลาดมันกลับไม่ชอบ ชี้ทางถูกกลับไม่ชอบ แต่ทางหลงทางผิดล่ะก็เอากันไปต่างๆ นานาเป็นอย่างนี้ แล้วโยมสังเกตเวลางานใดเขาทำพิธีปลุกเสก คนไปกันมากมายทีเดียว ไปหาของอย่างนั้น เอาพระเครื่องเอามาห้อยคอ เอานั่นเอานี่ที่เขาปลุกเสกกันไว้ ไปอย่างนี้ มันมีมากมายอย่างนี้ทั่วไป
ครั้งหนึ่งไปเจอกันที่สงขลาลัยไอ้พวกหลอกชาวบ้าน ยกฟ้องไปตั้ง ๒๐ กว่าคน ไปทำพิธีใหญ่ พิธีการเขาดี ขั้นแรกก็ส่งหนังไปก่อน หนังไปเที่ยวฉายตามบ้านนอก สมภารที่สงขลาองค์หนึ่งแกสร้างโบสถ์ ๓๐ ปียังไม่เสร็จ เลยก็ว่าไอ้นี่ก็หาเงินได้ ไม่รู้ว่าจะถูกต้ม ไปเที่ยวฉายหนังให้คนดู นัดวันวันนั้นแหล่ะ อาจารย์วิเศษจะมาแล้ว ก็ชาวบ้านธรรมดาไม่ได้อะไรนักหนา ไปรถไฟขบวนเดียวกันเสียด้วยวันนั้น พอลงจากรถก็เห็นเจ้าคณะจังหวัดมาก็นึกว่า เอ๊ะ มารับใคร มารับเราแล้วมั้ง นึกในใจ ความจริงเปล่าแกมารับไอ้พวกบ้าๆ เหล่านั้นไปที่วัดของแก ก็ไปศึกษาเรื่องราวเสร็จ คืนนั้นโจมตีเลย เทศน์ที่วัดแจ้ง เขาทำที่วัดแหลมฉาย เทศน์ที่วัดแจ้ง ใครอยากฉลาดมาวัดแจ้ง ใครอยากโง่ไปที่วัดแหลมฉาย เราเลยเทศน์กันใหญ่เลย เทศน์ดังเลย เทศน์เครื่องขยายเสียงเลย ดัง พอเทศน์จบนายตำรวจ ชื่อ ลิมพิศสัจจะ (50.46) อะไรน่ะ นามสกุล ตอนนี้ยังอยู่สงขลา มากรุงเทพหรือยังไม่รู้ มาถึงกราบบอก หลวงพ่อพูดครับ ดีเลยพรุ่งนี้ผมจะจับพวกนี้ให้หมดอย่าให้มันทำพิธีต่อจะได้ดูมันทำอย่างไร พอทำพิธีได้สักครึ่งชั่วโมง สั่งจับเลยจับหมดขนไปหมดเลย แหม ท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นโกรธ หัวฟัดหัวเหวี่ยง ไอ้ปัญญานี่มันมาทีไรแล้วมันทำเรื่องทุกที โกรธใหญ่เลย ให้โกรธไปก่อนๆ อย่าเข้าใกล้ตอนนี้ ตาลุกเป็นไฟ อย่าเข้าใกล้เดี๋ยวจะเผาไหม้ ช้าๆ วันหลังไปเจอไปกราบ กราบแล้วมอง ผมมาวันนี้มาสารภาพผิดนะ ว่าผมได้พูดอะไรคราวนั้น แต่ว่าที่ทำผิดนี่เพื่อความถูกนะ ไม่ใช่ผิดเพื่ออะไร แกล้งทำผิดเพื่อความถูกต้อง ผมสงสารไต้เท้า ไต้เท้านี่มันที่หนึ่งในเมืองนี้ ไม่เคยมีใครมาต้มไต้เท้าได้ ผมรักไต้เท้านับถือไต้เท้า ไม่อยากให้ไต้เท้าถูกหลอกถูกต้ม ไอ้พวกที่มากันนี่มันจะต้มไต้เท้า ไต้เท้าได้อะไรมั่ง ชี้แจงรายละเอียดให้ฟัง ได้สักเท่าไร โอ่งกี่ใบจะเท่าลงทุนซื้อ ค่าโลงประลำเท่าไร อาหารต้องเลี้ยงให้พวกเหล่านี้ แล้วพวกนี้มาทำถี่ๆ มันให้อะไร มันขายตระกุด ขายพระเครื่อง ขายนั่นเขานี่ มันเอาเองทั้งนั้น วัดได้ค่าดอกไม้ช่อละบาท จะได้สักกี่บาท ไอ้พวกนั้นไอ้เท่าไร ผมเห็นแล้วผมไม่สบายใจ ก็ความเคารพในไต้เท้า ผมไม่อยากให้ไต้เท้าเสียชื่อจึงพูดอย่างนั้น อ่อนลงไปเลย ขอบใจ แหม ผมไม่ได้นึกเลยว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ไอ้เราก็มีลูกไม้เหมือนกันนะ เรียกว่าไปยอท่านก่อนยอเรียกว่าเป็นที่ ๑ ในรุ่น คนเรามันชอบยอทั้งนั้น ยอเสียก่อน ยอเสร็จแล้วอธิบายให้ฟัง ผมรักไต้เท้าไม่อยากให้ไต้เท้าเสียชื่อ ไม่ให้ใครเขาเลื่องลือว่า เจ้าคณะเมืองสงขลาถูกให้พวกนั้นมันต้ม ผมรู้เรื่องอะไรต่ออะไร ผมรักไต้เท้าจึงทำอย่างนี้ แกก็บอก อือ จริง ขอบใจมากที่ได้ช่วยไว้ว่างั้น แล้วก็ไม่โกรธตั้งแต่นั้นมา ไปที่ไหนก็จับไม้จับมือดีอกดีใจ
ปัญญามันรักเราได้ช่วยเราไว้ แต่ครั้งแรกก็ต้องโจมตีไปเหมือนกัน ค่อยว่ากันทีหลัง มันไปต้มไง แล้วก็จับแล้วบอกว่าต้องออกจากเขต ๙ เขตตำรวจนครศรีธรรมราช ออก พรุ่งนี้ออกกันหมด แล้วอย่าโผล่มาอีกทีหลัง ถ้าขืนโผล่มาอีกจับขึ้นศาลกันเลย ตั้งแต่นั้นพวกนั้นไม่กล้าไปต้มแถวนั้นต่อไป มันก็ได้ผลเหมือนกันนะ อาตมาไปเจอเข้าต้องเข้าไปเล่นงานไอ้ของอย่างนี้ เรามันต้องกล้า ไม่ต้องกลัวไอ้พวกนี้ พวกที่ทำไม่ถูกต้องนี้ต้องโจมตี ทั้งพระทั้งชาวบ้าน ต้องว่าให้คนเข้าใจ เพื่อให้รู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร นี่ว่า วันนี้เราอัดวิดีโอเทปไว้ด้วยเอาไปออกที่ไหนๆ ก็ได้ จะได้รู้อะไรเสียบ้าง วัดไหนมีงานสวดภาณยักษ์แล้วพาไปถ่ายเลย ไปถ่ายก่อนถ่ายหน้าวัดนั้นเลย ออกถ่ายให้คนรู้ว่า เออ ท่านปัญญานี่โจมตีแล้ว ไปวัดไหนเขาทำอะไรเห็นก็โจมตีเฉพาะหน้าเลย สมภารนั่งหน้าม้าน นึกว่าเราให้เทศน์ ก็ให้มาเทศน์สิไม่ได้มาส่งเสริมความโง่ ก็บอกเหมือนกันว่าวันนี้มาเทศน์นะมาสอนคนนะ ไม่ได้มาส่งเสริมความโง่ความเขลาที่กำลังทำกันอยู่ในวัดนี้เนี่ย ว่ากันอย่างนั้นเลย หน้ากัณฑ์เทศน์ไม่ให้ไม่ว่าอะไร แต่ให้ได้ว่าให้เต็มที่หน่อยก็แล้วกัน ก็ว่าไปเสียหมดท่า เวลาเสร็จแล้วสมภารหน้าไม่สบาย ไอ้เรามันต้องแก้นะ เห็นอะไรไม่ดีต้องแก้ แก้เฉพาะหน้า เราเลี้ยงสุนัข ถ้ามันทำอะไรผิดต้องตีทันที พ้นนั้นแล้วตีมันไม่รู้เรื่อง มันว่าตีทำไม มันไม่รู้ ต่อไปมันจะเยี่ยวตรงนี้ ตีไม่ให้เยี่ยวทีหลังมันไม่เยี่ยวตรงนี้ เพราะว่าถูกตี มันรู้ว่าถูกตีเพราะเยี่ยวตรงนี้ ถูกตีเพราะอึไว้ตรงนี้ มันไม่อึตรงนั้นต่อไป แต่ถ้าพ้นไปแล้ว เรียกมันตีหมามันรู้ภาษาคนเมื่อไร ที่เราพูดกับมัน มันไม่เข้าใจ แล้วมันจะหยุดได้เมื่อไร ตีทันที มันหยุดทันที อะไรไม่ให้กินตีแล้วมันก็ไม่กินทีหลังมันรู้ว่าถูกตี อึมันก็หยุดทันทีมันรู้แล้ว เพราะฉะนั้นเราสอนคนก็เหมือนกัน สอนเฉพาะหน้า เรื่องพ้นแล้วจะไปสอนยังไง มันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปไหนไปเทศน์เฉพาะหน้า เขาว่า เอ๊ะ นิมนต์เจ้าคุณมาด่าพวกเรา หาว่าด่าไปอีก แนะนำหาว่าด่า ฟังไม่เป็นเลยกลายเป็นด่าไป ท่านปัญญาจึงกลายเป็นนักด่าที่สร้างความถูกต้องให้แก่วงการพุทธบริษัท ไม่เป็นไร ทำอย่างนี้เป็นการถูกต้อง มีญาติโยมรู้แล้ว เขาสวดภาณยักษ์กันวัดไหนอย่าไป อย่าไปติดบัญชีความโง่กับวัดนั้นต่อไป เรามันคนฉลาดมาวัดชลประทานแล้ว มันต้องฉลาดขึ้นหน่อย อย่าไปเชื่อไอ้สิ่งงมงาย เขาปลุกเขาเสกเขาทำพิธีอะไรที่ไหน ไม่ต้องไปให้เสียสตางค์ต่อไป มันไม่ได้อะไรสิ่งทั้งหลายอยู่ในตัวเรา เราเสกตัวเราได้สร้างตัวเราได้ ทำตัวเราให้ดีขึ้นได้ไม่ต้องไปเชื่อสิ่งเหลวไร พวกหมอดู พวกปลุกเสก พวกทรงเจ้า พวกเข้าผี พวกอะไรต่ออะไรนี่ พุทธบริษัทไม่เดินผ่านเข้าไปในวงเหล่านั้น ไม่เฉียดกับมันเพราะสิ่งนั้นไม่ใช่พุทธศาสนา เป็นความโง่ความงมงาย ให้โยมเข้าใจไว้อย่างนี้ คนที่โทรเลขมาไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนก็เอาเถอะคงจะมาซื้อเทปไปฟังก็แล้วกัน อ้าว พูดแล้วให้รู้เรื่อง ก็สมควรแก่เวลาพอดีแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที