แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ่อ ... ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี อย่าเดินไปเดินมาพลุกพล่าน นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากลำโพงขยายเสียงได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วจงตั้งใจฟังให้ได้ประโยชน์จากการฟัง คือได้ความรู้ ได้ความเข้าใจ สามารถจะนำเอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น เอาชนะความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันได้ จึงจะเรียกว่าได้ประโยชน์จากการมาฟังธรรมอย่างแท้จริง ญาติโยมทั้งหลายที่ได้มาฟังธรรมอยู่เป็นประจำเพราะว่ามีเราความทุกข์ มีปัญหาในชีวิตประจำวัน อยากจะแก้ปัญหาเหล่านั้นให้มันหมดไปสิ้นไป จึงได้มาวัดเพื่อรับเอาข้อธรรมะอันเป็นหลักปฏิบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่พระองค์ได้ทรงใช้เวลาเป็นเวลานาน เพื่อค้นคว้าศึกษา แล้วก็ได้พบสิ่งนั้น ปฏิบัติด้วยพระองค์เองจนพ้นทุกข์อย่างแท้จริง แล้วนำมาประกาศให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจต่อไป
หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่หลักคำสอนที่เพิ่มขวัญ แต่เป็นหลักคำสอนที่ใช้ “ปัญญา” เป็นเครื่องพิจารณา แล้วไม่ได้ใช้เวลาน้อย คือใช้เวลานาน ค้นคว้าศึกษามาโดยลำดับจนได้สำเร็จเป็นพุทธะ คือเป็น “ผู้รู้” เป็น “ผู้ตื่น” เป็นผู้มี “ความเบิกบานแจ่มใส” ในศาสนาอื่นนั้น เขามีหลักคำสอนที่เขาอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้สอน ส่วนคำสอนในศาสนาอื่นนอกจากของเขานั้นว่าเป็นคำสอนที่มนุษย์พูดเอาเอง อันนี้เรียกว่าพูดได้สำหรับกับคนที่ยังไม่เจริญยังไม่ก้าวหน้าในทางปัญญา พูดกับพวกแม้ว พวกอีก้อบนภูเขาละก็ได้ แต่ถ้าพูดกับคนในเมืองอย่างนั้น ผู้สอนศาสนานั้นยังโง่อยู่ ยังไม่รู้อะไรและยังนึกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขาจะโง่เหมือนตนจึงได้พูดออกไปอย่างนั้น แต่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเรานั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงรับรองอย่างมั่นคงว่าสิ่งที่พระองค์รู้ เข้าใจ นำมาสอนนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการคิดการค้นและรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เรียกว่าเป็น “สยัมภู” ผู้รู้เองในโลก ไม่มีใครมาบอกให้รู้แต่รู้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ อันนี้ก็เป็นเครื่องแสดงถึงความสามารถของคนว่าสามารถที่จะเรียน ที่จะรู้ ที่จะเข้าใจในเรื่องอะไรอะไรต่างๆได้ อันนี้เป็นหลักสำคัญอันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาที่เราควรจะได้สนใจไว้ แล้วก็รู้ไว้ว่าเป็นคำสอนที่เกิดจากปัญญา ไม่ใช่คำสอนที่เพิ่มขวัญ ไม่ใช่คำสอนที่รับคำสั่งจากอำนาจเบื้องบน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน เพราะใจสงบ สะอาด สว่าง แล้วจึงมองเห็นสิ่งนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง เอามาใช้ได้ผลจึงประกาศแก่บุคคลอื่นต่อไป นับว่าเป็นคำสอนชั้นเลิศที่เราได้รับไว้
คนไทยเรานั้นได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาตั้งแต่นานแล้ว ก็เป็นเวลาเกือบจะสองพันปีเข้าไปแล้วที่เรานับถือพระพุทธศาสนา เรานับถือพระพุทธศาสนานี้ขอให้ได้คิดให้ละเอียดว่าพระพุทธศาสนานี้เป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมืองของเราอย่างไร ทำให้เราอยู่กันด้วยความสุขความสงบอย่างไร ญาติโยมทั้งหลายถ้าสนใจในการฟังข่าวต่างประเทศทางสถานีโทรทัศน์ ทางวิทยุ หรือว่าอ่านจากหนังสือพิมพ์ ก็จะเห็นว่ามีการแตกแยก แตกร้าว รบราฆ่าฟันกันในหมู่คนที่เรียกตนเองว่าเป็นผู้นับถือพระศาสนานั้นๆ ตัวอย่างเห็นได้ง่ายเช่นประเทศเลบานอน ประเทศเลบานอนนี้เป็นประเทศที่อยู่ติดกับฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นประเทศที่มีคนชอบมาเที่ยวมาก เพราะอากาศอบอุ่นสบาย ในหน้าหนาวไม่หนาวเกินไป ชาวตะวันตกก็มาเที่ยวมาสนุกสนานกันที่นั่นเพราะมีหาดทรายยาวสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ได้ผลจากการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แต่เวลานี้คนในประเทศเลบานอนไม่สามารถจะอยู่ด้วยความสงบสุขได้ เหตุที่ไม่สงบนั้นเกิดจากอะไร? ก็เกิดจากว่าคนในประเทศเลบานอนนับถือศาสนา ศ. (05.54 เสียงไม่ชัดเจน) สองศาสนา คือพวกหนึ่งนับถือศาสนาคริสเตียน พวกหนึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาทั้งสองนี้สอนให้คนยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป แล้วก็เป็นเหตุให้ดูหมิ่นพวกอื่นไม่พอใจพวกอื่น เข้ากันไม่ได้ทั้งเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน ภาษาเดียวกัน วัฒนธรรมอันเดียวกัน แต่เพราะศาสนาที่ตนยึดถือไว้นั้นแตกต่างกันเลยรบกันไม่ยอมกัน จนบัดนี้ก็ยังไม่จบไม่สิ้น คนตายทุกวันทุกวัน นี่ประเทศหนึ่งที่เราเห็นว่าเกิดความยุ่งยากในเรื่องทางศาสนา
ในประเทศไอร์แลนด์ตอนเหนือของอังกฤษเรียกว่าไอริช คนพวกนั้นก็เรียกว่าพวกไอริชอยู่ทางตอนเหนือ เป็นเกาะออกไปหน่อย เวลาไปก็ต้องไปเรือมีเมืองเบลฟาสต์เป็นนครหลวง ที่นั่นก็รบกันอยู่ตลอดเวลา ลอบทำร้าย ลอบทิ้งระเบิด ลอบฆ่าคนที่ต่างศาสนา คนในเกาะนั้นนับถือคริสต์เหมือนกัน ต่างกันโดยชื่อว่าพวกหนึ่งเป็นคาธอลิก พวกหนึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ ความจริงเขานับถือคาธอลิกมาก่อนแต่ว่าพระในศาสนาคาธอลิกในสมัยนั้นประพฤติตนไม่ค่อยจะเรียบร้อย ประชาชนตื่นตัวมีเหตุมีผลมีปัญญาขึ้น แล้วก็ยังไม่มีศาสนาอื่นเข้าไปเพื่อจะได้รับเอาไปนับถือ เขาก็คิดว่าควรจะปฏิรูปศาสนาของตัวที่มีอยู่แล้วให้มันได้เหมาะแก่กาลแก่สมัยมากขึ้น จึงได้เกิดโปรเตสแตนต์เป็นพวกฝ่ายค้านในการศาสนาขึ้นมา แล้วก็นับถือมาก อันนี้เมื่อมีมากขึ้นพวกหนึ่งก็เป็นชนกลุ่มน้อย พวกหนึ่งก็เป็นชนกลุ่มมาก ไม่ลงรอยกัน ทั้งๆที่ถือพระเจ้าก็องค์เดียวกัน คัมภีร์ก็อันเดียวกัน มีความหมายตรงกันแต่ใจคนกลับไม่ตรงตามหลักธรรมะในศาสนา จึงรบราฆ่าฟันกันอยู่ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น นี่ที่เราได้ยินมานานแล้วหลายปีแล้วยังไม่หยุดไม่ยั้ง
คราวสดๆร้อนๆในประเทศอินเดีย คนอินเดียนั้นถ้าไม่ใช่พวกนับถือศาสนาอิสลามเขาเรียกว่าเป็นคนฮินดู ชาวฮินดูนี้คือคนอินเดีย แต่ถ้าเรียกตามภาษาโบราณเขาเรียกว่าชาว “ภารตะ” ประเทศอินเดียน่ะก็เรียกตัวเขาว่า “ภารตวัตน์” (08.52 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ชื่อของบริษัทมีคำว่า “ภารตะ” ขึ้นหน้า เช่นเรือบินสมัยก่อนก็เรียกว่า “ภารตะแอร์เวย์” เดี๋ยวนี้ก็เขียนเป็นอักษรอินเดียก็เขียนอย่างนั้น เขียนว่า “ภารตะแอร์เวย์” แต่ถ้าเขียนเป็นอังกฤษเขาว่า “แอร์อินเดีย” แต่ตัวที่เป็นอักษรอินเดียเขาว่า“ภารตะแอร์เวย์” คนในชาตินั้นก็เป็นชาติเดียวกัน ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นภายหลังเมื่ออิสลามเข้ามารุกรานประเทศอินเดีย เพราะอิสลามก่อกรรมทำเข็ญให้แก่ชาวฮินดูมากเรื่องมากประการ คนกลุ่มหนึ่งจึงคิดว่าต้องต่อสู้ คราวนี้การต่อสู้นั้นคำสอนในศาสนาฮินดูไม่เหมาะกับการต่อสู้ เพราะฮินดูสอนเรื่องการไม่เบียดเบียนกัน จิตใจคนไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นนักรบเพียงพอ ก็มีคนที่ฉลาดคนหนึ่งตั้งลัทธินักรบขึ้นมาเรียกว่าลัทธิ “ซิกข์” นี่ “ซิกข์” นี่เป็นนักรบไปไหนต้องมีดาบติดตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีกำไลเหล็ก มีกางเกงสั้นอยู่ชั้นใน รูปร่างนั้นก็ถอดตัวนอกทิ้ง เอาแต่ตัวข้างในได้ แล้วก็ไว้ผมยาวไม่โกนผมเหมือนกับฮินดูทั่วๆไป เป็นพวกที่เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านอิสลามนั่นเอง แล้วก็ค่อยเจริญก้าวหน้ามาโดยลำดับ
เดี๋ยวนี้คนที่เป็นคนนำทางศาสนาไม่นำทางศาสนาอย่างแท้จริงเสียแล้ว แต่ว่าไปนำการเมืองขึ้นในศาสนา เอาวิหารที่คนเคารพบูชาเป็นป้อมเป็นปราการ ต่อสู้กับรัฐบาลต้ … (10.44 เสียงไม่ชัดเจน) ... กับรัฐบาลกลางในประเทศอินเดีย เมื่อพูดกันไม่รู้ภาษาก็ต้องพูดกันด้วยดาบด้วยปืน ตอนนี้ศึกก็คนตายไปเยอะแยะ คนซิกข์ที่อยู่ในประเทศไหนๆก็รู้ก็ชวนกันเดินขบวนคัดค้านรัฐบาล เมื่อก่อนทำไมไม่เดินขบวนคัดค้านพวกอาจารย์ทั้งหลายที่ออกไปนอกเรื่องนอกราว เอาศาสนาไปใช้ในทางการเมืองให้เกิดความยุ่งยาก เขาไม่ทำอย่างนั้น ครั้นรัฐบาลปราบเข้าก็หาว่าทารุณเหี้ยมโหด ดุร้าย มันเป็นเช่นนี้ เลยเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง และในประเทศอินเดียศาสนาฮินดูกับอิสลามนี้เป็นขมิ้นกับปูนกันอยู่ตลอดเวลา มีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยๆ บางทีก็เกิดจราจลฆ่ากัน ระหว่างสองศาสนา ฆ่ากัน ๗ วัน ๗ คืน คนตายเป็นจำนวนไม่ใช่น้อย เด็กกำพร้าเหลืออยู่มากมาย สมาคมทั้งหลายก็ต้องเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเหล่านั้นต่อไป นี่มันเป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องของธรรมะหรือ เป็นเรื่องของศาสนาหรือ เป็นเรื่องของจิตใจที่เข้าถึงตัวเนื้อแท้ของพระศาสนาหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราเพ่งมองกันในส่วนลึกจากธรรมะแล้วก็จะพบว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนา ติดอยู่ที่เปลือกผิวของศาสนา ติดอยู่ในรูปวัตถุในพิธีรีตอง ในเรื่องอะไรอะไรต่างๆ แล้วก็ทำเสมือนเป็นคนแปลกจากคนอื่นเลยเข้ากันไม่ได้ เป็นเหตุให้เกิดรบราฆ่าฟันกัน
เราที่นับถือพระพุทธศาสนาถ้าจะพูดกันไปแล้ว มีเรื่องที่น่าภูมิใจอยูในเรื่องนี้ เพราะว่าการรบราฆ่าฟันที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาเรา เพราะคนนับถือพระพุทธศาสนาแม้จะทำสงครามกันก็ไม่ใช่เรื่องศาสนา เช่นพม่ารบกับไทยนี้ไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องของกษัตริย์อยากจะเป็นใหญ่ อยากจะมีอำนาจ อยากจะให้ชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นผู้ชนะสิบทิศ ก็เลยเตรียมพลพยุหโยธายกทัพมารุกรานประเทศไทย ไทยเราก็ต้องลุกขึ้นต่อสู้เหมือนกัน รบกันไปตามเรื่อง เรารบเพียงในบ้านของเราขับข้าศึกออกไปจากบ้าน พอข้าศึกพ้นบ้านแล้วเราก็ไม่ไปรังแกเขาต่อไป เพราะว่ามันพ้นบ้านแล้ว เหมือนกับเสือเข้าบ้านเรากันชวนไล่เสือออกจากบ้าน ไล่สุนัขป่าออกจากบ้าน ไล่โจรผู้ร้ายออกจากบ้าน เมื่อพ้นเขตบ้านไปแล้วเราก็ไม่ไปตามฆ่าตามผลาญ เราไม่ก่อกรรมทำเข็ญอย่างนั้นแล้วก็ไม่โกรธเกลียดกันจนเข้ากระดูก เช่นเรากับพม่านี้ไม่ได้โกรธเกลียดกันอย่างนั้น เวลานี้ก็เรียกว่าอยู่กันได้ด้วยความสุขความสงบเพราะว่าคนที่รบกับเรานั้นเขาตายไปนานแล้ว กระดูกกลายเป็นดินไปหมดแล้ว แต่พวกที่เกิดมารุ่นหลังนี้มันไม่รู้เรื่องอะไรว่าเคยรบกับใครเคยชนะอะไรก็ไม่เคยรู้ เพราะในสมัยอังกฤษครอบครองนั้นเขาไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์ของตนเองว่าพม่าเก่งอย่างไร เขาไม่ให้เรียน เรียนแล้วเดี๋ยวมันหยิ่งขึ้นมาว่ากูเคยรบนี่หว่าแล้วมันจะรบอังกฤษมัน เพราะอย่างนั้นอังกฤษเขาไม่ให้เรียน เขาไม่ให้รู้
หลวงวิจิตรวาทการนี้เป็นนักประวัติศาสตร์ เวลาไปเมืองพม่าก็ไปคุยกับชาวพม่าที่เป็นผู้รู้มีการศึกษา เขาไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้เรื่องกษัตริย์อลองพญา ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องอะไรต่ออะไรที่เป็นผู้ใหญ่ในการทัพในพม่ามารบไทยกี่ครั้งเขาไม่รู้เรื่องเลย เขาไม่ได้เรียน เขาไม่ได้รู้ เขาจึงไม่ยุ่งยากอะไรเท่าใด แล้วในพม่านั้นก็เป็นคนนับถือพุทธศาสนาทั่วทั้งประเทศ เขาไม่มีความยุ่งยาก มีความยุ่งระหว่างคนต่างชาติเพียงส่วนน้อยที่มีอยู่ในพม่า เช่นพวกกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงนี้เดิมมันก็เป็นคนป่า สมัยเด็กๆเราอ่านหนังสือแบบเรียนแนว (15.17 เสียงไม่ชัดเจน) เล่มหนึ่งว่า “กะเหรี่ยงป่าผ้าโสร่งที่บางโฉลงเขาโพงน้ำเข้านาโขง” (15.19 เสียงไม่ชัดเจน) ก็รู้ว่ากะเหรี่ยงนี่เป็นคนป่าแต่ว่าฝรั่งเข้าครอบครอง ฝรั่งนี้ฉลาดเอากะเหรี่ยงนี่ไปเป็นคริสเตียนแล้วก็ไปให้เป็นทหาร เป็นตำรวจ คอยปกครองคนพม่าต่อไป คือเขายุให้มันแตกไว้ปกครองง่ายตามนโยบายของเขา ครั้นเมื่อได้รับอิสรภาพฝรั่งก่อนจะทิ้งเมืองพม่าก็เอากะเหรี่ยงมาสั่งสอนอบรมไว้ ว่าเธอนั้นมันเป็นชาติหนึ่งนะไม่ใช่พม่านะควรจะตั้งตัวเป็นอิสระ ฝรั่งก็รับคำสอนคำอบรมมาอย่าง กะเหรี่ยงก็รับคำสอนมาอย่างนั้นเลยยุ่งอยู่จนกระทั่งบัดนี้ไม่เป็นอันทำมาหากินเป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา ปัญหาในโลกที่เกิดจากเรื่องศาสนามีอยู่หลายที่หลายแห่ง แต่บ้านเรานั้นไม่มีหรอก แม้ว่าจะมีคนศาสนาอื่นเข้ามาทำการเผยแผ่ศาสนาของเขาในประเทศไทย คนไทยเราก็ไม่ได้รังเกียจไม่ได้ไปว่ากล่าวเขาไม่ได้ทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ เพราะเราถือว่าเป็นเสรีภาพที่จะมาสอนได้ แม้ตั้งแต่สมัยโบราณเราไม่มีรัฐธรรมนูญที่พูดเรื่องเสรีภาพแต่ว่าจิตใจคนไทยนั้นมีธรรมนูญทางใจมาตั้งแต่โบราณ ไทยนี่เคารพเสรีภาพ รักสงบ
นี้เป็นสันดานดั้งเดิมของคนไทยเรา มีมาตั้งแต่นานแล้วเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่รังแกเขา เพราะอย่างนั้นพวกศาสนาอื่นก็มาสอนตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกว่ายุคพระนารายณ์มหาราชเราเปิดบ้านเปิดเมืองต้อนรับชาวต่างประเทศให้มาทำมาค้าขาย ฝรั่งชาวโปรตุเกสก็มาค้าขายนำศาสนาคาธอลิกมา พวกฮอลันดาก็นำมา พวกฝรั่งเศสก็นำมา แต่ว่าชาติไหนก็ไม่เท่าฝรั่งเศส ฝรั่งเศสนี่ส่งมามาก ฝรั่งเศสนั้นเอาศาสนาเดินหน้าแต่ว่าทหารเดินตามหลังคู่กันกับพ่อค้า ส่งบาทหลวงมาก่อน บาทหลวงนั้นถือคัมภีร์ไว้ข้างหน้าแต่เหน็บดาบไว้ข้างหลังตลอดเวลา พลาดท่าเสียทีก็ต้องยึดเอาเมืองนั้นเป็นเมืองขึ้น ประเทศญวนก็เคยเป็นเมืองขึ้นก็เพราะใคร? อ่านประวัติศาสตร์ดู เขมร ลาว ไปเป็นเมืองขึ้นก็เพราะอะไร? แต่ว่าคนไทยนั้นมีบุญ มีบุญตรงที่มีพระมหากษัตริย์ฉลาดแหลมคมรู้จักรักษาตัวรอด จึงเอาตัวรอดมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ เราจึงไม่มีปัญหาในเรื่องคนต่างศาสนา แม้ว่าในทางภาคใต้ของประเทศไทยจะมีพี่น้องชาวมุสลิมอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีเรื่องอะไรเพราะว่าคนไทยนั้นเรายิ้มกับเขาอยู่ตลอดเวลา มีปัญหาอะไรเราก็ช่วยกันแก้ไขปรับปรุงอยู่กันฉันท์พี่น้อง เวลาเขามีงานอะไรคนไทยก็ไปกินกับเขาด้วย ไปช่วยเขาด้วย สมมุติว่าเขาสร้างมัสยิดอันเป็นสถานทางศาสนาไม่เสร็จสักที พระไทยคนไทยก็ดูไม่ได้ก็เลยจัดขบวนผ้าป่าเอาไปทอดที่มัสยิด ให้เขาได้เงินซ่อมสร้างให้มันสำเร็จเรียบร้อยต่อไป เวลาเราทำอะไรเขาก็มาหาเหมือนกันแต่เขาไม่พูดว่ามาทำบุญ ทำบุญไม่ได้มันขัดกับหลักศาสนา คือเขาไม่รู้ความหมายของภาษาว่าบุญมันคืออะไร ถ้าเอาของมาให้นี่เขาไม่เรียกว่าทำบุญนะเขาว่าเอามาให้เพื่อน ว่าอย่างนั้น ถ้าเอามาทำบุญแล้วมันเป็นบาปไป ว่าอย่างนั้น นี่คือไม่รู้เพราะว่าผู้สอนศาสนาก็ไม่สอนให้คนเข้าใจในอย่างนั้น กลัวคนจะเข้าใจมากขึ้น ผู้สอน รักษาผลประโยชน์ของตัวไว้มาก จึงพยายามสอนอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ให้คนเข้าใจถูกต้องเลยก็เป็นประโยชน์ของตัวต่อไปแต่ก็อยู่กันได้ด้วยความเรียบร้อย
อาตมาไปจังหวัดสตูล ไปปาฐกถา พี่น้องอิสลามเมืองสตูลน่ะเขาพูดภาษาไทยเขาไม่ได้พูดภาษามาเลเซีย แต่ว่าทางราชการกรุงเทพนี่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร พูดทีไรก็ ๔จังหวัดทุกที "๔ จังหวัดภาคใต้" เอาสตูลไปรวมกับตัวปัญหา ซึ่งความจริงสตูลไม่มีปัญหาอะไร มีปัญหาก็ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ๓ จังหวัดเท่านั้น สตูลไม่มีแต่ก็พยายามผนวกสตูลเข้าไปด้วยทุกทีล่ะ อันนี้พูดบอกมาหลายครั้งหลายหนแล้วแต่ว่ายังไม่มีใครแก้ไขว่าอย่าเอาสตูลซึ่งเป็นเมืองสงบเรียบร้อยประชานอยู่กันอย่างดีไปปนกับปัตตานี ยะลา นราธิวาส มันจะเกิดปัญหาในกาลต่อไป จัดอะไรก็มักเอาสตูลไปรวมกับทางโน้น ซึ่งมันไกลไป จะทางก็ไกล เอามารวมกับพัทลุงก็ยังใกล้ ตรังก็ยังใกล้ กับสงขลาก็ยิ่งใกล้ใหญ่แต่ชอบเอาไปปัตตานี คือว่าเอาเรื่องศาสนาเข้าไปรวมแต่ว่าคนสตูลเขาไม่ยุ่ง เขาพูดภาษาไทย พระไปเทศน์ก็มานั่งฟัง ฟังอย่างนี้ ฟังสงบเรียบร้อย ต่างนิดหนึ่งที่เขาไม่พนมมือเท่านั้นเอง แต่ฟังสงบ พูดตั้งสองชั่วโมงเขาก็ไม่หนี เขานั่งฟังอยู่อย่างนั้น ไม่ลุกขึ้น ไม่กระโตกกระตาก ในบางแห่งชาวพุทธไม่มีเลยมีแต่พวกเขาทั้งนั้น เขาก็มานั่งฟังกันด้วยความสงบ จบแล้วเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านกันไปเป็นแถว นั่นเหตุการณ์ในจังหวัดสตูล แต่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เขาฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เขาจึงไม่มาฟัง แต่ถ้าคนใดฟังได้เขาก็มานั่งฟัง ด้วยความตั้งอกตั้งใจเหมือนกันไม่มีอะไร
(21.39) คนไทยที่นับถือพุทธศาสนานี่เข้ากันได้กับคนในศาสนาอื่นไม่ยุ่งยากเท่าใด แต่เวลานี้มันก็เริ่มมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น คือนักสอนศาสนาที่มีความโลภมากอยากได้เกินไป พยายามที่จะรุกรานเจ้าบ้านด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยการเขียน ด้วยการพูดด้วยการกระทำเพื่อจะให้คนเข้าใจผิด แล้วก็ไปยึดศาสนาของเขา ครั้นเมื่อคนพวกเขามากขึ้น ต่อไปจะเป็นปัญหาเพราะว่าคนในศาสนานั้นแม้เป็นนักบวชเขาก็เล่นการเมืองได้ เขาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เป็นรัฐมนตรีได้ ดูประเทศไซปรัสสิ บาทหลวงใหญ่นั่นกลายเป็นนายกรัฐมนตรีไปเลยทีเดียว เพราะเขาไม่มีข้อห้ามในทางอย่างนั้น แล้วพระของเขาก็ไม่เหมือนพระของเรา พระของเขากินเบียร์ก็ได้ ดื่มไวน์ก็ได้ ไม่ได้เสียหายอะไร ถือปืนไปยิงนกตกปลาก็ยังได้ ไม่บาปไม่เวรอะไร บางทีเขาก็ว่างๆ ฮอลิเดย์เขาก็ถือปืนไปในทุ่ง ไปเที่ยวยิงนกอะไรก็ได้ซึ่งมันไม่เหมือนกับพระในพุทธศาสนา ซึ่งทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ได้ ดื่มของมึนเมาอะไรก็ไม่ได้ อะไรหลายอย่างมันผิดแผกกัน แตกต่างกัน ทีนี้เมื่อมีคนเขามากขึ้นมันเกิดเป็นสองพวกสามฝ่าย ก็จะเกิดเป็นปัญหาในสังคมในกาลต่อไปข้างหน้า อาจจะไม่เกิดในยุคของพวกเราเพราะว่าพวกเรามันแก่ๆ กันแล้ว แต่ว่าอาจเกิดในยุคต่อไป เมื่อมีมากขึ้นก็จะเรียกร้องสิทธิอย่างนั้น สิทธิอย่างนี้ ทำให้เกิดเป็นปัญหา ทำให้เกิดแตกก๊ก แตกเหล่า เป็นพวกนั้นเป็นพวกนี้ นั่นพวกพุทธ นี่พวกคริสตัง แล้วก็จะเกิดปัญหารบราฆ่าฟันกัน ต่างคนต่างมีกิเลส เอากิเลสมาใส่กันมันก็เกิดเป็นปัญหา ประเทศชาติก็จะมีความวุ่นวายสับสนด้วยประการต่างๆ เหมือนประเทศเลบานอน ประเทศไอร์แลนด์เหนือของอังกฤษ หรือหลายๆ ประเทศที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ นั่นคือภัยที่จะเกิดขึ้นในกาลต่อไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นเราคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่จึงควรจะคิดว่าบรรพบุรุษของเรานั้นได้รับสิ่งนี้ไว้ ทะนุถนอมมาด้วยดีตลอดเวลา จนกระทั่งถึงพวกเราทุกวันนี้ สิ่งนี้ต้องมีดีมีประโยชน์เป็นคุณค่าแก่ชีวิตแก่การบ้านเมืองของเรา เราก็ควรจะได้ศึกษาทำความเข้าใจเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ก่อนที่เราจะหันหน้าไปอื่น
ลองหันหน้าในบ้านของตัวก่อน ดูของที่มีอยู่ในบ้านว่ามีอะไรบ้าง เช่นเราจะซื้อของ แต่ก่อนที่เราจะไปซื้อของต่างประเทศเราก็ต้องมองดูว่ามีอะไรผลิตขึ้นในบ้านเมืองของเราบ้าง แม้คนต่างประเทศมาผลิตมันก็ผลิตในบ้านเรา กากเดนวัตถุมันก็ตกแก่คนภายในบ้าน อย่างน้อยคนไทยได้เป็นกรรมกร เป็นผู้จัดการ เป็นผู้ค้าผู้ขาย ผลประโยชน์ก็เกิดแก่บ้านเมืองของเราเหมือนกัน ดีกว่าที่จะไปซื้อของจากต่างประเทศเอามาใช้ เพราะเงินมันออกไปนอกประเทศ อันนี้มันเหลืออยู่ในประเทศ ฉันใด ในเรื่องธรรมะในเรื่องศาสนานี่ก็เหมือนกัน เราก็ควรจะพิจารณาว่าหลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราได้ศึกษาได้ปฏิบัติกันมาแต่โบราณนั้นมีอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ศึกษาให้เข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนานั้นเอาไปใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักอะไร เป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นพ่อค้า เป็นนักการเมือง หรือแม้ในทางการเมือง เลือกเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใช้ได้ ใช้แล้วมันเจริญ มันก้าวหน้า ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมันมากเหลือเกิน พระองค์มีชีวิตยืนนานกว่าครูบาอาจารย์ใดๆ ที่สอนศาสนาในโลกนี้ คืออยู่ยืนถึง ๘๐ปี แล้วก็อยู่อย่างง่ายๆ อยู่ตามป่าตามใต้ต้นไม้ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว พระพุทธเจ้านี่ฉันอาหารมื้อเดียวไม่ได้ฉันหลายมื้อ แล้วก็อยู่ง่ายๆ ท่านก็อยู่นานถึง ๘๐ปี ชีวิตของพระองค์เรียบร้อยไม่มีอะไรเป็นปัญหา แม้จะมีผู้คิดร้ายบ้างแต่ว่าก็ยอมจำนนแก่พระองค์ ไม่สามารถเอาชนะพระองค์ในทางร้ายได้ เช่นเทวทัตนี่ตัวการใหญ่ ก็เรียกว่าได้โด่งดังอยู่องค์เดียวในวงการของศาสนาที่คิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า แต่ผลที่สุดก็สารภาพผิดชีวิตตกอับถึงแก่มรณะไป ก็จบกันเพียงเท่านั้น คนอื่นก็มีบ้างที่คิดประทุษร้ายแต่ว่าแพ้ความดีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า "อสาธํ สาธุนา ชิเน" พึงชนะความไม่ดีด้วยความดี ชนะความโกรธด้วยความสุข ชนะความตระหนี่ถี่เหนียวด้วยการให้ ชนะคนพูดพล่อยๆ ด้วยการพูดคำจริงบ่อยๆ คนนั้นก็จะละอายใจ มาเอาตัวอย่างพูดจริงทำจริงกับเราบ้าง อย่างนี้เป็นวิธีการเอาชนะของพระพุทธองค์ เรานำไปใช้ได้ ท่านจะเป็นพ่อค้าเป็นอะไรเอาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาไปใช้ได้ทั้งนั้น และที่ใช้ได้สำคัญที่สุดเป็นหลักสากลคือ “ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือสำหรับแก้ไขปัญหาชีวิต” เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาชีวิต เรามีปัญหาชีวิตไม่ว่าเรื่องอะไร เราใช้เครื่องมือคือธรรรมะเอาไปแก้ได้ แต่ว่าการใช้เครื่องมือมันต้องศึกษาเหมือนเราเป็นเครื่องพวกช่างยนต์กลไก ช่างอิเลคโทรนิคส์ อะไรต่างๆ มันต้องเรียนรู้ว่าจะใช้อย่างไร ใช้ไม่เป็นมันก็ไม่ได้ประโยชน์ เกิดทุกข์เกิดโทษ แต่ถ้าเราเรียนรู้เรื่องที่เราจะใช้ ใช้เป็น เครื่องมือนั้นก็เป็นประโยชน์ ทำให้แก้ปัญหาขัดข้องของเครื่องไปได้ฉันใด ในชีวิตประจำวันของเรานี้ก็เหมือนกัน เรามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเราก็ใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ แก้ได้โดยความสะดวกสบาย
เมื่อคืนนี้มีคนหนึ่งโทรศัพท์มากลางคืน โทรศัพท์มาบอกว่า ดิฉันนี่มีความสำเร็จทุกอย่าง มีเงินมีทองใช้ มีลูกก็เรียนดีได้เป็นถึงดอกเตอร์อะไรต่างๆ แต่ว่าดิฉันนี่มันยังโกรธอยู่เหลือเกิน ก็ถามว่าโกรธทำไม โกรธเรื่องอะไร โกรธคนที่มันพูดจาถากถาง ดูหมิ่นดิฉัน ของที่ดิฉันใช้มันมอหรือมันว่าของอย่างนี้มันไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ความจริงของมันก็ดีละ ราคามันก็แพง แต่พวกนั้นก็ถากถาง คนบางคนก็มีการศึกษาแต่มาคุยด้วยแล้วก็ถากถางทุกทีในเรื่องนั้นเรื่องนี้ จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้โกรธ ก็บอกไปว่า "ก็หยุดโกรธกันเสียบ้างซิ อย่าไปโกรธเขา" "แล้วทำอย่างไรจึงจะหยุดโกรธได้?" แกก็ถามมา ก็บอกว่า “ให้นึกว่าไอ้คนที่มันพูดน่ะมันเลวกว่าเราก็แล้วกัน” คือคนที่พูดด่าว่าเรา ถากถางเรา นินทาเรา ทำเราให้เจ็บช้ำน้ำใจ เป็นคนที่เลวกว่าเรา เมื่อเขาเป็นคนเลวกว่าเรา เราจะไปตอบเถียงกับคนเหล่านั้นได้อย่างไร คนโบราณเขาว่า "อย่าเอาทองไปถูกับกระเบื้อง" "อย่าเอาเนื้อไปแลกหนัง" "อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ" อะไรอย่างนี้ เราก็ถือว่าเราเป็นคนมีค่ามีราคา มีความรู้ มีเงินมีทองใช้ มีลูกดีๆ และคนเหล่านั้นมันยังมีความตกต่ำทางจิตใจ จึงมาพูดคำเช่นนั้นกับเรา เราควรจะนึกสงสารเขา เอ็นดูเขา อย่าไปโกรธไปเคืองกับเขา" แกก็บอกว่า "มันเอ็นดูไม่ลง พอมันว่าทีไรก็วิบ ขึ้นมาทันที" บอกว่า "ก็หัดโกรธมาเสียนานนี่ มันจึงเป็นอย่างนั้น ทีนี้เราหัดเป็นคนไม่โกรธเสียมั่งซิ หัดใจเย็นๆ เวลาใครจะมาคุยด้วยก็เตือนตัวเองเสียก่อนว่าอย่าใจร้อนอย่าใจเร็วนะ อย่าไปหุนหันกับเขา เขาจะพูดอะไรก็อย่าไปโกรธเขา ให้เห็นเป็นของขำของขัน เป็นเรื่องน่าหัวเราะแล้วก็หัวเราะไปเสียก็หมดเรื่อง ให้คิดอย่างนั้น เขาจะพูดอะไรก็อย่าไปโกรธเขา ให้เห็นเป็นของขำของขัน เป็นเรื่องน่าหัวเราะแล้วก็หัวเราะไปเสียก็หมดเรื่อง ให้คิดอย่างนั้น ให้เตรียมตัวไว้อย่างนั้น" แกบอกว่า “มันเตรียมไม่ทัน มันมาก่อนทุกที" "ก็เพราะว่าหัดอย่างนั้นมาเสียนานนี่ ไม่ได้หัดอย่างนี้นี่ ต่อไปนี้หัดใหม่ หัดไม่โกรธ หัดไม่เกลียดใคร หัดเป็นคนสงสาร หัดมีเมตตากับคนเหล่านั้น” พูดกันหลายนาทีน่ะ โทรศัพท์มา แล้วก็บอกว่า “มาวัดบ้างซิ โทรศัพท์มาไม่เห็นหน้าเห็นตาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
วันหลังมาวัดบ้าง มาฟังเทศน์เสียบ้าง เอาเทปไปฟังที่บ้านบ้าง อ่านหนังสือธรรมะเสียบ้าง เพื่อระงับจิตใจไม่ต้องให้โกรธ เพราะโกรธทีไรมันก็เผาตัวเองทุกทีน่ะ ทำให้ใจร้อน เหงื่อไหลไคลย้อย บางทีโกรธมากเป็นลมเป็นแล้งไปเลย มันไม่ดีนะเรื่องความโกรธนี่ หัดใจเย็นดีกว่า ทำใจให้สงบให้สบายเสียดีกว่า” ก็พูดแนะนำไปพอสมควร แล้วแกก็บอกว่าจะพยายาม ว่าอย่างนั้น พยายามระงับเรื่องอย่างนั้นต่อไป อันนี้เป็นตัวอย่างเอามาเล่าให้ฟังว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น ถ้าเรามีธรรมะน่ะเอาไปแก้ได้ คำสอนมีมากมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในที่ต่างๆ เราต้องหยิบมาอ่านมาศึกษา มาทำความเข้าใจแล้วก็เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราได้เอาหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาเรา เราจะเห็นคุณค่าของพระธรรมขึ้นมา เห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้า เห็นคุณค่าของพระสงฆ์ซึ่งเป็นสรณะเป็นที่พึ่งทางใจ ที่เราไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ใช้เราก็ยังไม่เห็นคุณค่า เหมือนยาที่เราไม่ใช้เราก็ไม่รู้จักคุณค่าของยา อาหารบางอย่างเราไม่ได้รับประทานเราก็ไม่รู้จักคุณค่าของอาหารนั้นฉันใด ธรรมะนี่ก็เหมือนกัน ตัวศาสนานี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้เอาไปใช้เราก็ไม่ได้เห็นคุณค่า แล้วบางเราทีเรานึก เอ! มีไว้ทำไม พระนี่มีไว้ทำไม วัดนี่มีไว้ทำไม อาจจะคิดวุ่นวายไปถึงขนาดนั้น เพราะเราไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับสังคมอย่างไร เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไร เราคิดไม่ได้ คิดไม่ออก เพราะไม่ได้เคยคิดถึงปัญหาเหล่านั้น
เหมือนกับคนที่อยู่กับพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กมานี่ก็มีแต่ขอจากพ่อแม่ ขอสตางค์ ขอเสื้อ ขอผ้า ขอนั่น ขอนี่ ไอ้เด็กๆ มันก็ขอเล็กๆ น้อยๆ แต่พอโตขึ้นมันก็ขอรถยนต์ ขอรถยนต์ ขอรถมอเตอร์ไซค์ แล้วมันจะขอบ้านจากคุณแม่สักหลังเพราะว่าไปพบแฟนเข้าแล้วแต่ไม่มีบ้านจะอยู่ มันจะขอให้คุณแม่สร้างบ้านให้มันด้วย มันขออย่างเดียว ขอเอา ขอเอา แต่ไม่เคยคิดว่าท่านเจ้าประคุณพ่อแม่นี้ เป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไร ทีนี้เมื่อต่อไปก็มีลูกขึ้นมา เลี้ยงลูก เมื่อเช้านี้ก็ครอบครัวหนึ่งก็เอาเด็กน้อยมา เด็กเกิดหนึ่งเดือนนะเอามาให้ตัดโกนผมให้หน่อย "ตัดผมไฟ" เขาว่าอย่างนั้น ก็ต้องตัดให้เขาหน่อย ก็ไม่เป็นไร ตัดฉับแล้วก็ขอให้ตั้งชื่อให้ แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อแล้วหรอกเด็กมันก็ร้อง พ่อก็อุ้มไปทำอะไรไปตามเรื่อง เลยก็บอกว่า “นี่! เธอเคยนึกบ้างไหม เวลาเธอดูแลลูก เอาใจใส่ลูกนี่ ว่าเมื่อเธอเด็กๆก็เหมือนกับลูกคนนี้ ร้องกวนคุณแม่ คุณแม่นอนไม่ได้นอน เสียง..แว้! ต้องลุกขึ้นแล้ว คุณพ่อก็ได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นเหมือนกันละ แต่ลุกขึ้นแล้วก็บอก "ลุกขึ้นดูซิ ลูกมันร้องทำไม" แล้วคุณพ่อก็นอนต่อไป …… (35.12 เสียงไม่ชัดเจน) คุณพ่อไม่ได้ลุกขึ้นไปดูหรอกแต่บอกแม่ให้ไปดู คุณพ่อนอนต่อ แต่คุณแม่ต้องลุกมาดูว่าอะไรมันออกมา มดกัด หรือว่าอะไรกัดก็มาดูจุดตะเกียงดูเรียบร้อย วางให้นอนก็ต้องกล่อม ต้องไกวเปล ต้องเอามือลูบขาลูบสะโพกอะไร ลูบอะไรรับความอบอุ่นจากผิวหนังของคุณแม่ก็นอนหลับไป แม่ก็หลับไป หลับก็ไม่สนิทเพราะว่าจิตคิดถึงลูกอยู่ตลอดเวลา แล้วเธอมีลูกนี่เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?” ก็เป็นอย่างนั้น ให้นึกถอยหลังไปเสียบ้างว่าคุณแม่เราน่ะเอาใจใส่ ดูแลเรา พ่อเอาใจใส่ ดูแลเราอย่างไร แล้วก็ให้กราบ กราบ ขอบพระคุณท่านบ้าง เอาใจใส่ท่านบ้างเวลาท่านเป็นคนแก่ อย่าละเลยเพิกเฉยให้ท่านน้อยเนื้อต่ำใจว่า เออ! ลูกพอโตแล้วมันก็มีปีกกล้าขาแข็ง งอกหางงอกปีกแล้วก็บินปร๋อไป มันไม่เคยเยี่ยมรังเก่าเลย ไม่เคยหาตัวหนอนมาให้คุณแม่สักตัวหนึ่ง นกมันเป็นอย่างนั้น แต่เรามันไม่ใช่นกนะเราเป็นคนนะ ต้องเอาใจคนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเอาธรรมะไปใช้ คิดได้ในแง่ธรรมะว่า พ่อแม่มีบุญคุณกับเรา ครูอาจารย์มีบุญคุณกับเรา คนนั้นคนนี้มีบุญคุณกับเรา เราก็สำนึกในบุญคุณของคนเหล่านั้น เราไม่ประพฤติสิ่งอันจะเป็นพิษเป็นภัยแก่คนเหล่านั้น ไม่ทำร้ายจิตใจคนเหล่านั้น ไอ้ทำร้ายทางกายนี่มันเรื่องหยาบที่สุดแล้ว เป็นนิสัยของสัตว์เดรัจฉาน แต่คนเรามักทำร้ายผู้อื่นทางจิตใจ การทำร้ายทางจิตใจน่ะเป็นการทำร้ายที่ทารุณเหี้ยมโหดมากที่สุด เพราะฉะนั้นเราจะไม่ทำร้ายจิตใจใครๆ สามีไม่ทำร้ายจิตใจภรรยา ภรรยาก็ไม่ทำร้ายจิตใจสามี ลูกไม่ทำร้ายจิตใจพ่อแม่ เพื่อนไม่ทำร้ายจิตใจเพื่อน ศิษย์ไม่ทำร้ายจิตใจครูบาอาจารย์ แต่คอยสนองน้ำใจต่อกันว่าควรจะอยู่กันอย่างไร เอาธรรมะไปใช้ ก็เรามีเมตตาปราณีไปใช้ ให้มีน้ำใจเมตตาต่อกัน รักกัน เอ็นดูกัน คอยช่วยเหลือกัน นึกว่าถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เราอยู่กันอย่างนี้มันก็สบาย มันไม่มีปัญหา เพราะอาศัยหลักธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครอง
ในแง่ของประเทศชาติ ถ้าเรานึกให้ดีแล้ว เราจะเห็นคุณค่าของธรรมะ ว่าที่เราอยู่รอดปลอดภัยมาได้ ไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นของชาวตะวันตกที่มาแสวงหาเมืองขึ้นนี่มันเพราะอะไร? เราต้องคิดให้ดีว่ามันเพราะอะไร? แต่เวลานี้เรามักจะพูดกันไปในแง่อื่น เช่นพูดว่า "พระสยามเทวาธิราชช่วยชาติไทยไว้" อย่างนี้ทำให้คนไม่นึกถึงธรรมะอันเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยชาติไทย แต่ไปนึกถึงรูปปั้นเทวดาองค์หนึ่งซึ่งคนสร้างขึ้นว่าเป็นผู้ช่วยชาติไทย ไม่เข้าถึงเนื้อแต่ไปติดเปลือกของวัตถุอีกเหมือนกัน อาตมาจึงอยากจะพูดว่า "ธรรมะนี่ล่ะช่วยชาติไทย ช่วยเมืองไทย ให้ได้อยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้" และถ้าเราคนไทยทุกคนได้รู้จักใช้ธรรมะต่อไปก็จะทำให้ชาติเจริญกว่านี้ ก้าวหน้ากว่านี้ แต่ถ้าเราไม่นึกถึงธรรมะ เราไปนึกถึงว่าเทวดาคงจะช่วย อะไรคงจะช่วย เราจะไปไม่รอด เพราะเราไม่คิดถึงตัว ไม่ช่วยตัวเอง ไม่พึ่งตัวเองตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก สิ่งนั้นสิ่งนี้ให้มาช่วยมันก็ไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ว่าธรรมะช่วยเรา เราก็หันมาศึกษาธรรมะ ค้นคว้าทางธรรมะ เพื่อนำธรรมะมาเป็นเครื่องประกอบในการช่วยตัวเองให้เกิดความเจริญก้าวหน้าต่อไป จะพูดให้เข้าใจง่ายๆว่าธรรมะช่วยชาติไทยอย่างหนึ่ง ธรรมะอยู่ที่ใคร? ที่มาช่วยชาติไทย ธรรมะที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินไทย เพราะเมื่อก่อนนี้อะไรๆ ก็อยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน ท่านทรงอำนาจเด็ดขาด ที่เขาเรียกว่า "สมบูรณาญาสิทธิราช" มีสิทธิสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ในการจะทำอะไรทุกอย่าง ประชาชนนั้นยังขาดการศึกษา ยังไม่มีปัญญาอะไรหรอก เรียนบ้างนิดๆ หน่อยๆ เรียนหนังสือตามวัดพออ่านออกเขียนได้ เรียนสมัยก่อนนี่เขาเรียนเพื่อจะบวชเท่านั้นนะ ให้เรียนหนังสือไปเพื่อจะได้บวช จะได้อ่านหนังสือพระได้ จะได้บวชได้เรียนในพระศาสนา ไม่ได้เรียนเพื่อเอาไปใช้เป็นอาชีพอะไร เพราะอาชีพของคนไทยสมัยก่อนมันก็ไม่มีอะไรนอกจากอาศัยพื้นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เพียงแต่เอาวัวเทียมแอกเข้าให้มันลากไสไป แล้วก็ถือหางยามไว้ให้มันไถไปตามปกติ พลิกดินขึ้นมาแล้วก็เอาคราดมาลาก เอาข้าวมาหว่าน มันก็ขึ้นงอกงาม กอใหญ่ๆ ออกรวงเยอะแยะ กินไม่หมดไม่สิ้น ธรรมชาติมันช่วย ไม่ต้องใช้หลักวิชาอะไรไม่ต้องทำอะไรมันก็ไปได้ แต่ว่าบ้านเมืองมันต้องพัฒนา
ในหลวงท่านก็มองเห็นว่าต้องมีการศึกษาจึงได้เปิดโรงเรียนอะไรขึ้น นี่ก็น้ำพระทัยที่เต็มด้วยธรรมะ สงสารประชาชนที่ยังไม่ฉลาด ยังไม่มีความรู้ ก็ต้องตั้งโรงเรียนขึ้น แต่คนสมัยนั้นก็ไม่ใช่ชอบเรียนในโรงเรียนอะไรนักหนา ดังนั้นต้องตั้งในวังก่อน ให้ลูกเจ้าลูกนายมาเรียนเป็นตัวอย่าง ลูกข้าราชการมาเรียนเป็นตัวอย่าง แล้วก็เกิดความนิยม พอเกิดความนิยมก็ไปเปิดในวัดให้พัฒนาโรงเรียนในวัดต่อไปแล้วค่อยขยายจนเป็นโรงเรียนมากมายตามที่เราเห็นเป็นอยู่ในสมัยนี้ นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินที่มีความหวังดีต่อประชาชน ปกครองประชาชนเหมือนพ่อปกครองลูก ต้องการให้ลูกอยู่เย็นเป็นสุข เจริญก้าวหน้า คนทำราชการสมัยก่อนเขียนหนังสือได้ก็ใช้ได้ แต่ว่ามันไม่พอ ต้องไปเปิดโรงเรียนข้าราชการให้เรียนมากขึ้นไป เรียนเรื่องอะไรต่างๆ อบรมบ่มนิสัย เรียนเมืองไทยไม่พอ หาตั้งทุนให้ไปเรียนเมืองนอก เรียนแล้วกลับมาทำงานเป็นข้าราชการในประเทศไทยต่อไป ท่านทำอย่างนั้น มีพระกรุณาปราณีต่อประชาชนซึ่งเรียกว่าเป็นคุณธรรมนะ คุณธรรมที่อยู่ในน้ำใจของพระเจ้าแผ่นดินนี่ทำให้เกิดอะไรเจริญก้าวหน้าในเรื่องการศึกษา การแพทย์ การคมนาคม การอะไรต่างๆ ที่ทรงดำริทำขึ้นนี่เนื่องในน้ำใจของพระเจ้าแผ่นดินทั้งนั้น โดยลำดับมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน เราลองศึกษาว่าท่านเหล่านั้นเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นท่านจะต้องคิดถึงธรรมะว่าควรจะทำอย่างไร เช่นนิมนต์พระไปแสดงธรรม เช่นในหลวงรัชกาลที่ ๕ เมื่อฝรั่งเศสอุกอาจนำเรือรบเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ป้อมพระจุลฯ ที่อยู่ปากน้ำน่ะ ไอ้เรือรบนี้มันเข้ามาอย่างนั้นก็ต้องยิงเล่นๆนะ โครม! เข้าให้ เกิดความเสียหาย มันหาเรื่อง! ไอ้พวกอันธพาลนี่ มันหาเรื่อง หาเรื่องให้เรายิงนะ แล้วมันจะได้หาเรื่องต่อไป จะได้รุกรานต่อไป นี่เขาเรียกว่าเป็นอันธพาลชั้นใหญ่ ไอ้อันธพาลในซอยนี่มันตัวเล็กๆ จับใส่คุกได้ ไอ้อันธพาลใหญ่ๆ นี่ไม่มีคุกจะขังมัน ต้องไปง้อมันหน่อย ก็พูดกันต่อไป เราก็พยายามโอนอ่อนผ่อนตาม พูดจากันดีๆ ไม่ใช้ความโกรธ ไม่ใช้ความรุนแรง
แต่น้ำพระทัยเป็นทุกข์มากเดือดร้อนมาก ก็ทรงท้อพระทัย ไม่เป็นอันเสวย ไม่เป็นอันบรรทม น้อยพระทัยหลายเรื่อง จนกระทั่งว่าน้องๆ นะ กรมพระยาดำรงฯ กรมพระยาเทวะวงศ์ฯ กรมพระนริศ (44.17 อาจหมายถึง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือไม่) น้องๆก็เข้าไปพูดจาปลอบโยนทำความเข้าใจกัน แล้วก็บอกว่า เรือมีกัปตันเป็นหัวหน้า ถ้ากัปตันกระโดดน้ำเสียแล้วเรือมันจะไปได้อย่างไร เรือก็คงอยู่ไม่ได้ ทรงก็ (44.36 อาจหมายถึง "ก็ทรงมีน้ำพระทัยเข้มแข็ง") มีน้ำพระทัยเข้มแข็งนิมนต์พระมาเทศน์ พระที่ไปเทศน์ก็คือน้อง พระมหาสมณเจ้าเป็นน้องนะ แต่ก็ท่านถือว่าเป็นพระ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยความรู้ในทางศาสนา ก็เอาไปเทศน์ เอาเรื่องชาดก เรื่องธรรมะไปพูดประเล้าประโลมจิตใจ เกิดความเข้มแข็ง เพราะได้น้ำธรรมมาชโลมจิตใจ ดีกว่าน้ำมนต์ที่รดลงไปบนหัวเป็นไหนๆ ก็เลยใจก็เข้มแข็งขึ้น เมื่อเข้มแข็งขึ้นก็ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไรจึงเอาบ้านเอาเมืองรอดได้ จะสู้กับมันก็ไม่ได้ มันน้ำหนักต่างกัน มวยคนละชั้น ขืนไปชกมันก็น็อคเรายกแรกเท่านั้นเอง ทีนี้ต้องหาอุบาย ใช้อุบายไปต่างประเทศ ไปหามิตร ผลสรุป (45.25 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ตกลงกันได้ ด้วยธรรมะที่มีอยู่ในน้ำพระทัย คือธรรมะที่รู้จัก “อัตตัญญุตา” ความรู้จักตน “มัตตัญญุตา” รู้จักประมาณ รู้จักประมาณคน ประมาณทรัพยากรในพื้นแผ่นดิน แล้วทหารของเรามีเท่าไหร่ อย่าไปทำอุกอาจต่อสู้เอาโมโหโทโสเข้าไปใช้ มันก็จะเสียหาย เพราะยึดมั่นในธรรมะจึงทำอะไรอย่างชนิดผ่อนปรน ผ่อนผัน สั้นยาว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ระยะยาวค่อยว่ากันต่อไป ผลที่สุดเรียบร้อยไม่มีเรื่องอะไร
เราศึกษาจากสิ่งเหล่านี้จะเห็นว่าพระราชามหากษัตริย์ท่านใช้ธรรมะเป็นหลักคุ้มครองชาติบ้านเมืองตลอดมา จึงเรียกว่าธรรมะนั่นแหละรักษาชาติไทย รักษาเมืองไทย แต่เป็นธรรมะที่อยู่ในน้ำใจพระเจ้าแผ่นดิน มาในสมัยนี้พระเจ้าอยู่หัว แม้จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ภายใต้กฏหมายรัฐธรรมนูญ แต่น้ำพระทัยของพระองค์นั้นเหมือนกับพระเจ้าแผ่นดินสมัยก่อนๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ยังมีความเมตตาปราณีต่อประชาราษฎร์ เสด็จไปเยี่ยมไปเยียน ถามสารทุกข์สุกดิบ ไปดูว่ามีอะไรควรจับ ควรทำ ควรแก้ไข ตั้งโครงการของในหลวงขึ้นมากมาย นี่คือน้ำพระทัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกรุณาต่อประชาราษฎร์ ชาวตะวันตกที่เขาได้ดูวีดีโอเทปที่บีบีซีเขามาทำชีวิตของพระเจ้าแผ่นดิน เขาทำละเอียด ในหลวงไปที่ไหนก็ตามไปถ่ายเอามาหมด ทำการถ่ายเข้าไปถึงในวัง ในห้องทรงงานของพระเจ้าแผ่นดิน เราไม่เคยเห็นว่าทรงงานเป็นอย่างไร อังกฤษก็เอามาให้ดู วีดีโอนี้ไม่ได้มาเมืองไทย เขาฉายที่โน่น ออกฉายที่ทางโทรทัศน์ของประเทศอังกฤษ ฝรั่งมังค่าเขาดูแล้วเขายกนิ้ว เขาชมว่า แหม! พระเจ้าแผ่นดินไทยนี่เป็นพ่อของประชาชนจริงๆ มีน้ำพระทัยรักประชาชน อุตส่าห์ไปตามที่ต่างๆ ไปดูแลประชาชน ของเขาไม่ต้องไปอย่างนั้นหรอก แต่ว่าเมืองอังกฤษไม่ไปก็ไม่เป็นไรบ้านเมืองเขาเจริญแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะไปบ้างแต่ท่านก็ไม่ไป ท่านอยู่แต่ในวังบั๊คกิ้งแฮม ย้ายบั๊คกิ้งแฮมก็ไปอยู่วังอื่นต่อไป ไม่เหมือนของเรานะ เรานี่ไปเรื่อย ไปตะวันออกเฉียงเหนือ ไปโน่น ไปนี่ ไปช่วยเหลือประชาชน นี่ก็เพราะว่าธรรมะคือความเมตตากรุณาอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ยึดมั่นในทศพิธราชธรรมของพระพุทธเจ้า จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้น
เมื่อวันที่โป๊ปมาเมืองไทย ในหลวงท่านมีพระดำรัช ตรัสต้อนรับยาวนะ แต่ว่ามีข้อความตอนหนึ่งว่า คนไทยประพฤติดี ประพฤติชอบ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย พูดมีน้ำหนักมาก ในหลวงพูดมีน้ำหนักมาก มีน้ำหนัก มีเนื้อ มีความหมายลึกซึ้งเกินจิตใจ โป๊ปฟังแล้วก็เรียกว่าถ้าฟังเป็นก็สะดุ้งโหยงเหมือนกัน คำพูดในหลวงนี้คือพูดหมายความว่าคนไทยเขาดีอยู่แล้ว เขาปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศานาประจำชาติไทย เขาดีอยุ่แล้วไม่ต้องเอาศาสนาอื่นมาให้ก็ได มีดีอยู่แล้วไม่ต้องเอามาให้ก็ได้ ถ้าคนมีปัญญาตีความแล้วต้องเสียวสันหลัง แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่คิดอะไร อันนี้เป็นข้อความที่น่าฟังมาก อาตมาก็ไม่ได้อยู่ฟังหรอกตอนนั้นก็ไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่ว่าเจ้าคุณที่อยู่วัดไทยพุทธคยาแกมาพักอยู่แกพิมพ์เป็นเล่มน้อยๆ เลยไปคุยกันว่านี่ก็มาดู โอวาทของในหลวงนะย่อๆสั้นๆ แล้วไม่ใช่ขององค์เดียวนะ รัชกาลที่ ๕ ก็มี รัชกาลที่ ๖ ก็มี องค์ก่อนๆก็มี พูดเรื่องเกี่ยวกับธรรมะเกี่ยวกับศาสนากับชาวต่างประเทศ ให้เขาได้รู้ได้เข้าใจว่า คนไทยนั้นเขามีของดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเอามาให้ก็ได้ ของดีน่ะไม่ต้องเอามาให้ แต่ว่าคนไทยอาจจะขาดแคลนวัตถุเท่าที่จำเป็น จะเอามาให้บ้างก็ได้แต่ว่าของดีมีประโยชน์ทางจิตวิญญาณนั้น เรามีพอ เราไม่ใช่ชาติยากจนในสิ่งมีค่าเหล่านี้ ท่านพูดมีความหมายลึกซึ้งมาก ญาติโยมลองศึกษาธรรมของในหลวงดูเถอะ ว่ามีความหมาย คมคาย พูดกับผู้ใหญ่ทางศาสนาของเขาที่มาปฏิบัติงานอยู่เมืองไทย บอกให้รู้ว่าของฉันดีแล้ว ท่านไม่ต้องเอามาให้ก็ได้นะ ในเชิงอย่างนั้นแต่ว่าก็ต่างถ้อยคำแต่ว่าสุภาพที่สุด พูดว่าคนไทยได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทยอยู่‑แล้ว มันลึกซึ้งนะ ฟังแล้วแหม! ลึกซึ้งมาก ในหลวงนี่คมมากทีเดียว ศัพท์อะไรคมคาย ออกไปแต่ละคำนึงเป็นคำคมคาย เรียกว่าเฉือนเนื้อเข้าไปเลยทีเดียว ไม่ใช่คมเฉยๆนะคนเฉือนเนื้อเลยที่เดียว อันนี้น่าคิด ท่านจะจบไปในรูปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงควรคิดให้รอบคอบว่าหลักธรรมคำสอนที่เรามีนี่ดีแท้ ประเสริฐแท้เราควรสนใจ ชาวต่างประเทศเสียอีกเขากลับสนใจนักหนาเวลานี้ เรียกว่าชาวตะวันตกนี่หันมาสนใจของเรา เราไปเผยแผ่นี่เราไม่มีอะไรให้เขาหรอก ไม่มีการแจกของ ไม่มีการสังคมสงเคราะห์ในทางวัตถุเพราะไม่จำเป็นอะไร แล้วคนเหล่านั้นมันปัญญาชนมีการศึกษามีปัญญาทั้งนั้นเราก็ให้สิ่งประเสริฐแก่เขาเป็นคุณค่าทางจิตใจ เขามาอยู่ทดลอง มาปฏิบัติแล้วเขาได้ผล เมื่อได้ผลแล้วเขาก็ประกาศตัวเองว่าเขาเป็นอะไร
เขาเป็นพุทธะ พุทธะนี่เรียกว่าเป็น"ผู้รู้" เป็น"ผู้ตื่น" แล้ว เป็นผู้มีใจเบิกบานแจ่มใสแล้ว ไม่ได้สังกัดในอะไร คำว่าพุทธะนี่ไม่ได้สังกัดอะไรแต่สังกัดอยูในความเป็น"ผู้รู้" ในความเป็น"ผู้ตื่น" ในความเป็นผู้มีใจเบิกบานแจ่มใส" รู้อะไร รู้ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาชีวิตรู้ว่าชีวิตคืออะไร มันเกิดมาอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้น มีอะไรตั้งอยู่ มีอะไรดับไป แล้วมันให้คุณให้โทษอย่างไร เราควรจะแก้ไขสิ่งนั้นอย่างไร รู้ชัดแจ่มแจ้งในเรื่องของตัวเองแล้วก็ไม่ต้องไปเที่ยวแหงนดูฟ้าขอให้ใครมาช่วยต่อไป ช่วยตัวเองได้ มองในตัว ช่วยตัวเองได้ ไม่ต้องไปมองฟ้าแล้วก็กราบวิงวอนว่าโอ! พระบิดาในสรวงสวรรค์จงช่วยข้าพเจ้า พระบิดาไหนจะมาช่วย มันต้องช่วยตัวเอง ต้องพึ่งตัวเองจึงจะเอาตัวรอด แต่ว่าหลักธรรมเขาไม่ได้สอนให้พึ่งอย่างนั้น เพราะว่าไปอิงไว้กับอำนาจเบื้องบนในสรวงสวรรค์ ทำให้เกิดความเชื่ออย่างนั้น แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในตัวของเธอ นรก สวรรค์อยู่ในตัวของเธอ พระนิพพานอยู่ในตัวของเธอ” “เธอต้องเป็นผู้ทำเอง ถึงจะไปถึงจุดหมาย” เหมือนเราเดินทางนี่จะให้คนเดินอุ้มมันไม่ได้ เราต้องเดินไป เว้นไว้แต่คนขาพิการก็ให้นั่งรถเข็นไป แต่ถึงอย่างนั้นรถเข็นเขาก็ให้ช่วยตัวเองไง หมุนไป ๒ข้างเขาให้หมุนได้แต่ว่าให้ใช้มือใช้ไม้บ้างตามสมควร ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป่าพรวดแล้วก็ลอยไปอยู่ตรงนั้นหรือว่าทำให้ไปสวรรค์ ไอ้อย่างนั้นมันไม่ได้ หลักธรรมให้ช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง และถ้าเราเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้เป็นหลักให้ช่วยตัวเองให้พึ่งตัวเอง เราก็ยืนด้วยขาของเราได้
ท่านที่มีลูกหญิงลูกชายต้องพูดให้ฟังเสียบ้างว่าแม่พ่อนี่เป็นที่พึ่งเล็กน้อย แต่ว่าตัวหนูนี่เป็นที่พึ่งของหนูอย่างสำคัญ หนูต้องเรียนหนังสือเอง ต้องทำการบ้าน ต้องท่องใส้ (54.25 เสียงไม่ชัดเจน) จำ ต้องไปสอบไล่เพื่อให้ได้เข้าต่อไป พ่อแม่จะไปช่วยไม่ได้ เวลานี้เด็กมันเพ้อฝันจะให้คุณพ่อไปช่วยให้คุณแม่ไปช่วย ยิ่งพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลด้วยแล้ว มันไปเบ่งกันกันกับครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆให้ฝากลูกด้วย ฝากไปแล้วลูกมันไม่เรียนไม่เอาใจใส่ เรียนปีเดียวเขาก็คัดชื่อออกไป พ่อใหญ่ ก็บอกอย่าคัดออกให้มันเรียนต่อ เป็นตัวอย่างคนเหลวไหลในห้องนั้นต่อไป ไม่ได้เรื่อง เพราะพ่อไม่ใช้หลักการของพระพุทธเจ้า ไม่หัดลูกให้ช่วยตัวเองให้พึ่งตัวเองในชีวิตประจำวัน เราต้องสอนลูกให้ช่วยตัวเองบ้าง เมื่อมันล้างจานได้ให้มันล้างของมันบ้าง กวาดบ้านได้ให้กวาดบ้าน ถูเรือนได้ให้ถู อย่านึกว่าเอ..นี่งานคนใช้ ลูกฉันทำไม่ได้หรอก ให้มันเป็นคนใช้ก่อนแล้วมันจะไปเป็นนายที่ต่อไปข้างหน้า แต่ถ้าให้เป็นนายไปตั้งแต่เด็กโตขึ้นมันเป็นนายดีไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เรื่องอะไรกวาดบ้านก็ไม่เป็น ล้างจานก็ไม่เป็น ซักผ้าก็ไม่เป็น มีแต่คนคอยป้อนให้ มันเป็นเทวดากินของทิพย์ตลอดเวลา เทวดานี่ไม่ได้เรื่องหรอก ไม่ได้ออกกำลังเลย นึกจะกิน..อิ่มแล้ว! นึกจะทำอะไร..อิ่มแล้ว! ไม่ได้เรื่องอะไร มันน่าอยู่ที่ตรงไหนเป็นเทวดา ไม่น่าอยู่อะไรละ มันต้องเคลื่อนไหวมั่งไปหยิบมาอะไร...มันจึงจะเพลิดเพลินสนุกสนาน เป็นมนุษย์ดีกว่าอย่าไปเป็นเทวดาเลย อันนี้เราเป็นมนุษย์มันต้องรู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง ธรรมะที่เราเอามาใช้ช่วยนี้จะช่วยเรา เพราะช่วยตัวเองด้วย แล้วธรรมะช่วยเรา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้น อยู่ที่เรานำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันแล้วเราก็จะประสบความสุขความสงบในชีวิต สมความตั้งใจ
นี่..การพูดในวันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า ความมั่นคงของชีวิตครอบครัวตลอดจนถึงประเทศชาติอยู่ที่เราประพฤติ ถ้าเราไม่ประพฤติธรรมแล้วเอาตัวไม่รอด นะ..ขอให้ญาติโยมเข้าใจอย่างนี้ พูดมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ อ้อ..ลืม! ไม่ได้เอานาฬิกาอันนี้มา หมุนมาแล้วก็ดังกิ๊งน่ะ เอาไว้วันอาทิตย์หน้าเอาที่โยมซื้อมาให้แล้ว …… (57.02 เสียงไม่ชัดเจน) เอ้า! ตอนนี้ไปก็ขอให้นั่งสงบใจ ๕ นาที