แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้เลยเวลาแสดงมาสองนาที เพราะว่าเครื่องไม่ค่อยเรียบร้อย เครื่องไม่ค่อยเรียบร้อยนี่มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา ทีนี้ก็เครื่องมันสอนเราบ้าง ให้รู้ว่ามันไม่เที่ยง อย่าไปเป็นทุกข์กับมัน อย่าไปทำใจให้ไม่สบาย แต่ว่าอะไรเกิดขึ้นเราก็ถือเอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน เป็นข้อเตือนใจ มองในแง่ธรรมะ มองอะไรมองในแง่ธรรมะนี่มันไม่ยุ่ง แต่ถ้ามองในแง่โลกๆนี่มันยุ่ง คือมองด้วยกิเลสมัน ยุ่ง มองด้วยใจที่สะอาด สงบ สว่างแล้วมันก็ไม่ยุ่ง ใจสบาย
บัดนี้ ในบริเวณนี้ก็คงจะได้ยินแล้ว แต่ว่าในสนามนั้นจะไม่ได้ยิน ญาติโยมก็คงจะนั่งเป็นทุกข์อยู่ว่า ทำไมเจ้าคุณเสียงแห้งมากหรือจึงไม่ได้ยิน มันแห้งนิดหน่อยนะไม่ได้มากมายอะไร คือถ้าไปเมืองนอกกลับมาแล้วมันก็เกิดปฏิกิริยาทางเสียงนิดหน่อยเพราะการกระทบของอากาศ เวลาไปอยู่ประเทศอังกฤษนั้นอากาศมันหนาว หนาวไม่มากแล้วเวลานี้ สำหรับชาวอังกฤษเขาว่าเริ่มร้อน แต่ว่าคนไทยเรามันยังหนาวอยู่นั่นเอง ไม่ร้อนกับเขาหรอก ถึงเวลากลับมาเมืองไทยนี่มาถึงก็ร้อนวูบวาบ มันเปลี่ยนจากสภาพเย็นมาเป็นร้อน ร่างกายมันหมุนไม่ทัน ก็เกิดเป็นหวัด คัดจมูก ไม่ถึงกับน้ำมูกไหล อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นอยู่อย่างนั้นแหล่ะ เป็นธรรมดาแล้วก็เลยไม่ได้นึกเรื่องอะไรมาก แต่นึกว่าถ้าเสียงมันแห้งแล้วมันก็จะลำบาก ญาติโยมจะไม่ได้ฟังธรรมะที่ควรจะฟัง วิตกเรื่องนั้นเรื่องเดียว นอกนั้นก็ไม่มีอะไร
วันนี้ก็ใคร่ที่จะพูดเล่าให้ฟังหน่อยว่าไปที่ต่างประเทศนี่ ไปทำอะไร ไปทำไม มีอะไรจะมาเล่าให้ญาติโยมฟังบ้าง คือว่าการไปประเทศอังกฤษนี่ไปหลายครั้งหลายหน ญาติโยมอาจจะนึกว่า แหม หลวงพ่อนี่ไปอังกฤษบ่อย ไม่ค่อยไปประเทศอื่น อาจจะนึกอย่างนั้น หรืออาจจะนึกว่า เอ๊ะ ทำไมจึงไปบ่อย มีอะไรที่น่าพิสมัยมากนักหรือถึงได้ไปบ่อยๆ ก็อยากจะบอกว่ามันมีเรื่องที่น่าพิสมัยอยู่บ้างเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องของดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่เรื่องของบ้านเมืองเขาสวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่เรื่องนั้น แต่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พระที่โน่นได้ปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวัน พระที่ได้ปฏิบัติงานอยู่ในชีวิตประจำวันนี่คือพระที่วัดป่าจิตตวิเวก วัดป่าจิตตวิเวกอยู่ที่หมู่บ้านน้อยๆอยู่ในจังหวัดพิทเฮิร์ทส์ (03.33 เสียงไม่ชัดเจน) อยู่ในซัสเส็คส์ (Sussex) ตะวันตกห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ ๕๐ ไมล์ นั่งรถประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นานหรอก เพราะว่าถนนเขาดี ทางสบาย สองข้างทิวทัศน์สวยงาม นั่งดูเพลินไป ไม่เหนื่อย คนขับอาจจะเหนื่อยบ้างเพราะต้องจับพวงมาลัย แต่ว่าคนนั่งนี่ไม่เหนื่อย นั่งสบายๆ
ที่นั่นมีวัดแบบวัดป่า แต่ว่าไม่ใช่เป็นป่าหรอก มันเป็นทุ่งหญ้า แต่มีต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วก็ห่างออกไปจากวัดก็มีป่า (04.15 เสียงไม่ชัดเจน) ที่เขาสร้างขึ้นประมาณเนื้อที่ก็สัก ๒-๓๐๐ ไร่ มีต้นไม่ใหญ่ มีหนองน้ำ มีทำนบกั้นน้ำให้น้ำไหลลงสู่ห้วยไปที่อื่น ไปคราวนี้มีเรื่องคือปลาตาย ปลาในหนองซึ่งเคยสนุกสนานอยู่กับหนองนั้นเกิดตายขึ้นมา ได้เห็นความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่อังกฤษว่าดีเหลือเกิน คือเมื่อมีปลาตายเกิดขึ้น พวกพระพวกแม่ชีที่อยู่ที่นั่นก็เกิดความวิตกกังวล สงสารปลาที่ตาย ก็เลยโทรศัพท์ไปบอกเจ้าหน้าที่ฝ่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่เขานี่ไวเหลือเกิน เอาใจใส่มาก บอกไปตอนหัวค่ำ พอตอนดึกเขามาแล้ว เขามานี่กลางคืนนะ ถ้าเป็นเมืองไทยบอกอ้าวไม่ใช่เวลาทำงานนี่ เวลานอนเก็บไว้ก่อนก็ได้ แต่ที่โน่นเขาไม่ว่าอย่างนั้น พอรู้เขาก็ไปกันทันที ไปดูบริเวณ ตักน้ำมาพิสูจน์ว่ามันเรื่องอะไร ก็ได้ความว่าออกซิเจนมันน้อยไป ปลาถึงได้ตาย เรียกว่าอากาศ ออกซิเจนไม่พอ แต่ว่าเขาค้นสาเหตุว่าทำไมมันจึงไม่พอ เขาทำการค้นคว้า เขาก็รู้ว่ามันมีสารพิษอยู่ในน้ำ สารพิษนี่มาจากไหน ต้องมีใครสักคนหนึ่งอุตริเอาหญ้าแห้งหรือเอาเศษอะไรทิ้งลงไปในห้วย แล้วมันก็ไหลไปสู่น้ำนั้นปลาจึงตาย เขาก็เดินทวนน้ำขึ้นไปตามบริเวณห้วย เขาไปเจอหญ้าเน่าๆที่ชาวไร่เขาเอาไปทิ้งไว้ริมห้วย แล้วฝนตกมันก็ไหลลงไปในห้วย ก็พบว่านี่แหล่ะตัวการใหญ่มันอยู่ตรงนี้ และตัวการใหญ่ก็อยู่ที่คนทิ้งลงไป เขาก็ไปบ้านคนนั้นแล้วเรียกให้มาดู แล้วก็บอกว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง ทีหลังอย่าทำ ทีหลังอย่าทำต่อไป แล้วก็หมดเรื่อง
แต่ว่าเรื่องเจ้าหน้าที่ยังไม่จบ เขาเห็นว่าปลาตายเสียเป็นจำนวนมาก เขาก็เลยเบิกเงินมาให้แก่วัด เพื่อให้วัดไปซื้อปลาใหม่มาปล่อยต่อไป ถ้าบ้านเราล่ะก็ไม่ได้เงินสักสตางค์หนึ่ง ถ้าได้ก็ต้องเดินกันจนเกือบขาดถึงจะได้เงินมาสักจำนวนหนึ่ง อันนี้ไม่ต้องเขาจัดให้เรียบร้อย เขามีหน้าที่ๆจะต้องจัดต้องทำมีระเบียบที่จะต้องจัดต้องทำอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ประชาชนไปขอร้อง เขาให้เลย โดยไม่ต้องร้องขอ อันนี้เอามาเล่าให้เราฟังกันเสียหน่อยว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในประเทศอังกฤษที่เขาเป็นประเทศเจริญ ปกครองเมืองขึ้นจนอาทิตย์ไม่รู้จักตกนี่เขาทำอย่างไร คนเขารักงาน เอาใจใส่ในหน้าที่ อะไรที่เป็นหน้าที่แล้วเขาไม่ละเลยเพิกเฉย แม้เป็นเวลานอกราชการเป็นเวลาหลับนอน เขาก็ไม่หลับไม่นอน เขาจะต้องไปทำงานตามหน้าที่ อันนี้ประทับใจ เอามาเล่าให้ญาติโยมฟังไว้สักหน่อย เผื่อว่าจะได้เอาไปบอกใครๆที่เขาทำงานๆกันอยู่ว่าให้เอาอย่างฝรั่งเขาบ้าง เรามันชอบเอาอย่างฝรั่งนี่ ฝรั่งไว้ผมยาวรุ่มร่าม ก็เลยเอาอย่างมันบ้าง รุ่มร่ามไปตามๆกัน ไม่น่าดูเลย เมื่อเช้ามีเด็กคนหนึ่งขึ้นไปรายงานตัวบอก ผมมาอาศัยวัดอยู่หลายวันแล้วยังไม่ได้มาหาหลวงพ่อ ถามว่าเธอทำอะไร กำลังเรียนต่อ เรียนที่ไหน เรียนต่อที่สถาบันแห่งหนึ่ง บอกว่านี่เราเป็นนักศึกษาผู้ใหญ่แล้ว ตัดผมตัดเผ้าให้มันเรียบร้อยสักหน่อยไม่ได้หรือ นี่เธอเดินขึ้นมาฉันนึกว่าคนบ้าที่ไหนขึ้นมาบนกุฏิฉัน คือมันบ้าตั้งแต่บนหัวลงมาเลย เวลาเห็นผมแล้วนึกว่าคนบ้าทุกที มันรุ่มร่าม คนไทยเราไม่เคยเห็นลักษณะอย่างนั้น เห็นแต่การหวีเรียบร้อย หวีขึ้นบน แสกกลาง แสกข้าง มันเรียบร้อย ทีนี้คนหนุ่มสมัยใหม่นี่เขาไม่หวีนะ เขาปล่อยให้รุ่มร่ามตามชอบอกชอบใจ เห็นทีไรนึกว่าคนบ้าทุกที เขาเลยบอกว่าเห็นจะต้องไปตัดให้มันสั้นสักหน่อย ว่าอย่างนั้นนะ ค่อยยังชั่วหน่อย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ นี่เอาอย่างฝรั่ง ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่ว่าเรื่องของฝรั่งดีๆมีมากเราไม่ค่อยเอา ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนา ไปเป็นนักศึกษาเล่าเรียนวิชาการ ของดีจริงๆไม่เอามา เอาแต่ของเรียกว่าไม่ค่อยจะดีมา แต่ว่ามันก็เป็นธรรมดาคนเราอย่างนั้นแหล่ะ ไอ้ของดีนี่มันทำยากสำหรับคนที่ไม่ดี แต่ว่าของชั่วนี่ทำง่ายสำหรับคนที่มันชั่วๆ ทีนี้ถ้าเราไปเอาอย่างของไม่ดีก็แสดงว่าเรามันไม่ค่อยจะดี แต่ถ้าไปเอาอย่างสิ่งที่ดีก็แสดงว่าจิตใจเราดีขึ้น อันนี้ก็เป็นข้อที่น่าคิดประการหนึ่ง เอามาแทรกเล่าให้โยมฟังเสียหน่อย ว่าต่อไป
เวลานี้วัดป่าจิตตวิเวกนี่เจริญขึ้น คือว่าพระมากขึ้น เวลานี้พระที่อยู่ในวัดป่าหรือว่าในประเทศอังกฤษทั้งหมดที่เป็นพระฝรั่งชาวตะวันตก แต่ว่าหลายชาตินะ อเมริกัน อังกฤษ ฮอลแลนด์ อิตาเลียน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์ หลายชาติ รวมทั้งหมดเวลานี้ ๑๙ รูป มีอยู่แล้ว ๑๙ เดือนกรกฎาคมนี่จะบวกเพิ่มขึ้นไปอีก ๒ แล้วก็จะกลายเป็น ๒๑ รูป ครบจำนวนที่จะทำสังฆกรรมบางประเภท โดยเฉพาะการต้องอาบัติ สังฆาพิเศษของพระ มีอยู่องค์หนึ่งต้องอาบัติอยู่ อยู่กันมาจะครบสองปีแล้วเพราะว่าไม่มีพระครบจำนวนที่จะออกอาบัติได้ เดือนกรกฎาคมนี้ก็จะได้ครบจำนวนตามที่ต้องการ ก็เรียกว่ามีพระเพิ่มขึ้น
การเพิ่มขึ้นของพระในเมืองอังกฤษนั้น ไม่ใช่เพิ่มเหมือนกับแบบน้ำขึ้น แต่ว่าค่อยๆขึ้น เพราะใครจะมาบวชเป็นพระนี่เขาไม่บวชให้ง่ายๆ ต้องมาอยู่เป็นอุบาสกนุ่งผ้าขาว โกนหัว แบกบาตรเหมือนคนจะบวชสองปี เรียกว่าเป็นผ้าขาว นี่เอามาจากเมืองไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเค้าเรียกผ้าขาว เมืองเหนือเค้าเรียกพ่อขาว แม่ชีในเมืองเหนือเค้าเรียกว่าแม่ขาว ต้องเป็นอุบาสกนุ่งขาวห่มขาวสองปี ครบสองปีแล้วจึงจะให้บวชได้ ในระยะสองปีที่อยู่วัดนี่ก็ทำการศึกษาอบรมบ่มนิสัย แล้วก็ลดอัตตา คือความคิดความเห็นเข้าข้างตัว ทิฏฐิมานะ ลดด้วยการทำงาน เค้าทำงานทุกอย่าง กวาดขยะ ทำงานซ่อมกุฏิ ถางหญ้ารดต้นไม้ถ้าจำเป็นจะต้องรด แล้วก็ทำทุกอย่างทุกประเภทที่เป็นงานประจำวัน แม่ชีก็ทำงาน พระก็ทำงาน แล้วก็ทำกันอย่างพร้อมเพรียง อาตมาดูเห็นแม่ชีที่ทำงานนะ รู้สึกว่าแม่ชีนี่แกเอาการเอางาน คนที่มาเป็นแม่ชีนี่ไม่ใช่ลูกคนจนนะ ไม่ใช่เหมือนพวกศาสนาคริสต์มาสอนเมืองไทย เอาแต่คนจนๆคนบ้านนอกเข้าไปเป็นศาสนิกของเขา
ไอ้ของเรานี่มันไม่อย่างนั้นหรอก คนที่มาบวชเป็นชีเป็นอุบาสกนี่เป็นคนมีสตางค์ ลูกคนดีก็มี บางคนเค้ามีฐานะดี อยู่บ้านใหญ่โต มีความสุขความสบายทุกอย่าง แต่เค้าไม่สบายทางจิตใจ เลยนี่มาหาวัด แล้วก็มาหาความสบายทางจิตใจ มีเด็กสาวคนหนึ่งยังสาวกว่าใครๆทั้งหมด เลยถามว่าหนูคนนี้มีอะไรถึงได้มาบวชที่วัดนี้ เพราะว่านี่ไม่ใช่คนธรรมดานะ พ่อเค้าเป็นท่านลอร์ดนะ แต่ท่านลอร์ดเมืองอังกฤษนี่มันเจ้าพระยาบ้านเรา ไม่ใช่คนธรรมดา แล้วเจ้าพระยาเขานี่สืบสกุลกัน พ่อเป็น ลูกเป็น หลานเป็น เหลนเป็น เป็นกันเรื่อยไปเลย เรียกว่าสืบสกุลกันตามลำดับ ท่านลอร์ดนี้แกก็เป็นคนสนใจในทางพระพุทธศาสนา สนใจในศิลปะอะไรต่ออะไร ลูกสาวแกอยู่บ้านแกก็คงจะไม่สบายใจ ด้วยความมั่งคั่ง ด้วยความเป็นอยู่ในบ้านแบบนั้น แกก็เลยมาอยู่วัด เห็นแกไปนั่งดายหญ้า นั่งตัดต้นไม้ แต่งต้นไม้ ใส่เสื้อผ้าเก่าๆแบบเครื่องแบบทำงาน อาตมาเห็นแล้วก็นึกว่า แหม น่าชมจริงๆที่แม่หนูคนนี้แกมาอยู่ได้ แกไม่คิดถึงบ้านช่องที่เคยอยู่สบาย วันหนึ่งอาตมาเดินเข้าไปใกล้แล้วก็ถามว่า เธอสบายดีหรือที่มาทำงานอย่างนี้ เขายิ้มแล้วก็บอกว่า สบายมาก นี่แสดงว่าเขาพูดออกมาจากใจของเขาว่าเขาสบาย สบายด้วยความพอใจในสภาพแวดล้อม ในความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน กินอาหารเพียงวันละมื้อ นอนง่ายๆ อยู่ง่ายๆ แต่เขารู้สึกว่าเขามีความสุข ดีกว่าอยู่บ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของพ่อแม่ คุณแม่ก็มาเยี่ยมบ่อย มาเยี่ยมแล้วก็มาพูดให้สึกเถอะ แต่เขาไม่ยอม เขายังอยู่อย่างนั้นต่อไป อันนี้คือเป็นเครื่องให้เห็นว่า ธรรมะช่วยให้คนมีความสุขอย่างแท้จริง เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติธรรมแล้วย่อมเห็นผลของธรรมะ
เวลานี้แม่ชีที่วัดนั้นมีสองชั้น คือชีธรรมดานุ่งขาวห่มขาว ถือศีลแปด แต่ว่าเมื่อถือศีลแปดนานแล้วเลื่อนชั้นขึ้นไปหน่อย เรียกว่า ทะกะศีลอุบาสิกา (15.12) แปลว่า อุบาสิกาถือศีลสิบ ก่อนนี้ถือแปดเลื่อนขึ้นมาเป็นสิบข้อ เวลาถือศีลสิบจะได้เปลี่ยนเครื่องแบบ คือใช้ผ้าสีกรักแก่ๆ สีคล้ายกับโต๊ะหมู่นี่แหล่ะ สีอย่างนั้นแหล่ะเป็นเครื่องนุ่งห่ม แล้วก็แม่ชีเหล่านั้นเวลานี้มีอยู่ทั้งหมดสิบคน ที่ไม่พอแล้ว ที่เราเต็มแล้ว ทางวัดต้องคิดขยายงาน คือทำงานมันต้องคิดขยาย ไม่คิดขยายมันก็ไม่เจริญหรอก นี่ต้องขยายงาน ขยายไปอยู่ที่ใหม่ ที่ใหม่นี้อยู่ใกล้ลอนดอนเข้าไป คืออยู่ห่างจากใจกลางลอนดอนประมาณ ๒๐ ไมล์ ไปมาสะดวก คนเหนือเมืองแมนเชสเตอร์ เมืองเบอร์มิงแฮมอะไรต่ออะไร ถ้าว่ามาลอนดอนแล้วไปพิทเฮิร์ทส์ (16.14) นี่เขารู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน ไกลเพราะอะไรล่ะ ไกลเพราะต้องฝ่าความหนาแน่นของจราจรในกรุงลอนดอนจึงจะไปถึงวัดพิทเฮิร์ทส์ได้ (16.24) แต่ว่าพอออกมาอยู่ที่ใหม่ซึ่งให้ชื่อเพราะว่า “อมราวดี” อมราวดี แปลว่า แดนที่ไม่รู้จักตาย สถานที่ที่ไม่รู้จักตาย เขามาสะดวก มาจากแมนเชสเตอร์มาถึงก่อน มาจากเบอร์มิงแฮมก็มาถึงก่อน มาจากนิวคาสเซิลซึ่งเป็นทางเหนือก็มาถึงที่นี่ ไม่ต้องฝ่าการจราจรคับคั่งไปพิทเฮิร์ทส์เพราะพิทเฮิร์ทส์มันอยู่ใต้ลอนดอน อันนี้มันอยู่เหนือ เขามาก็สะดวกขึ้น แล้วที่ๆจะไปอยู่ใหม่นี่ก็กว้างขวาง มีเนื้อที่ตั้ง ๒๘ เอเคอร์ เอเคอร์หนึ่งมันสองไร่ครึ่ง ก็พอใช้ มีอาคารสำหรับใช้ได้ทันที เข้าไปถึงอยู่ได้ทันที มีจำนวนทั้งหมดหกหลัง แล้วมีบ้านพัก มีโรงครัว มีสนามหญ้าใหญ่ ซึ่งต่อไปก็คิดฝันกันไปว่าจะสร้างโบสถ์ไว้สักหลังหนึ่ง แต่ไม่ได้สร้างหรูหราแบบโบสถ์ไทยนะ มันแพงเกินไป สร้างให้สำเร็จประโยชน์ เป็นที่ประชุมทันสมัย เป็นศูนย์กลางของพุทธบริษัทในกรุงลอนดอนในประเทศอังกฤษต่อไป เวลาประชุมใหญ่ก็ประชุมในสถานที่นั้น บริเวณนั้น มีที่พักที่อะไรพร้อม
ทำไมจึงต้องขยายกิจการ เพราะว่ามีคนสนใจมาศึกษามากขึ้น สนใจปฏิบัติมากขึ้น ที่พิทเฮิร์ทส์หรือจิตตวิเวกนี่มันไม่พอ เรือนหลังเดียวนี่พระอยู่ก็เต็มห้องแล้ว ให้คนมาอยู่ก็ไม่ได้ ทีนี้คนแสดงความจำนงมา จะมาอยู่ ๑๐ วัน จะมาอยู่ ๑๕ วัน จะมาอยู่ ๗ วันทั้งหญิงทั้งชาย เขาต้องการมาศึกษาปฏิบัติธรรมะเพื่อให้มีชีวิตเป็นสุขขึ้น ที่มันไม่พอ เมื่อที่ไม่พอ ไอ้เราจะนั่งงอมืองอตีนอยู่ในที่ๆไม่พอนั้นมันก็ไม่ได้แล้ว ก็มาคิดว่าต้องขยาย พอดีกับสถานที่ๆกล่าวนี้เขาจะเลิกกิจการ เพราะก่อนนี้เขาใช้เป็นโรงเรียนสอนเด็กปัญญาอ่อน แต่เด็กปัญญาอ่อนมันน้อย จำนวนนิดหน่อย เปิดสอนไปมันไม่คุ้มกับค่าไฟ ค่าอะไรต่ออะไรที่จะต้องใช้จ่าย ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่เขาก็คิดว่าจะเอาเด็กไปรวมที่อื่นแล้วจะขายที่นี้ ขายให้ใครเขามีข้อแม้ ผู้ที่จะซื้อสถานที่นี้ได้ต้องทำกิจการด้านมนุษยธรรม ด้านมนุษย์สงเคราะห์ หรือด้านศาสนา เมื่อเขาเปิดข้อแม้ไว้อย่างนั้น มูลนิธิสังฆะแห่งประเทศอังกฤษเห็นว่าเราควรจะเข้าไปติดต่อขอซื้อ ก็เลยเข้าไปติดต่อขอซื้อที่นี้ ยืดเยื้อกันมาตั้งแต่อาตมาไปครั้งก่อนจนกระทั่งครั้งนี้ เวลานี้เรียกว่าจะสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เดือนกรกฎาคมนี้แม่ชีก็จะไปอยู่ที่นั่น แม่ชีนี่เขาเข้มแข็งนะ เขาจะเดินไปนะโยม เขาจะเดินธุดงค์มา เดินธุดงค์ไปอยู่ที่ใหม่ ไม่ไปรถ เขาจะเดินธุดงค์ไป ชวนกันเดินธุดงค์กันไป ผลัดกันเดินไป กลุ่มนี้ไปเดินไป กลุ่มนั้นไปเดินต่อไปเหมือนกับผลัดวิ่งเปรี้ยวอะไรนะ จะไปคณะเดียวก็ไม่ไหว เดินไป อาตมาบอกจะเดินไปไหวหรือ ผู้หญิงนี่เดินไหวหรือ เอ้า เดินได้
เมื่อปีที่แล้วมีพระองค์หนึ่งเดินธุดงค์ ชื่อว่าพระอมโร อมโรแปลว่าผู้ไม่ตาย แกเป็นคนอังกฤษแท้ แกก็ออกธุดงค์จากวัดป่าจิตตวิเวกขึ้นเหนือ ต้องผ่านลอนดอนแล้วก็มาพักที่ริชมอนด์ปาร์คที่กวางมากๆน่ะ พักในสวนกวางนะ เหมือนกับพระพุทธเจ้าพักที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ญาติโยมก็มาใส่บาตร ให้ขบให้ฉันแล้วก็เดินทางต่อไป เดินสามเดือนจากป่าจิตตวิเวกไปเมืองอานัม (20.45) อานัมนี่มีวัดอีกแห่งเป็นวิหารของพุทธศาสนาซึ่งเป็นสาขาของจิตตวิเวก อานัมนี่อยู่ใกล้เมืองนิวคาสเซิล ห่างจากนิวคาสเซิล ๑๕ ไมล์ อยู่ในทุ่งแต่บนเนินเขา สถานที่ดี สวย แต่ว่าเช่าเขายังไม่ได้เป็นวัดแท้ เช่าเขาอาทิตย์ละ ๑๐ ปอนด์แต่ว่าเช่าระยะยาว คือเช่ากัน ๕๐ ปี ๕๐ ปีนี่เจ้าของที่ดินต้องตายก่อนแน่ เพราะว่าแก่เต็มทีแล้ว ต้องตายก่อนหมดเวลาเช่า ทีนี้ถ้าแกตายแล้วลูกหลานจะมาแย่งไม่ได้ เพราะว่าสัญญามันยังมีอยู่ตั้ง ๕๐ ปี นี่ก็ต้องซ่อมแซมอะไรต่ออะไร
พระที่เดินนี่มีอุบาสกนุ่งขาวห่มขาวเดินตามหลังด้วยคนหนึ่ง ติดเครื่องหลัง ไม่ได้แบกกลดเหมือนบ้านเราหรอก คือติดเครื่องหลัง เหมือนกับฝรั่งเดินเมืองไทยที่มีเครื่องหลังแต่ว่าเครื่องมันน้อยกว่านั้นหน่อย มีน้ำหนักรวมก็ตั้ง ๒๐ กิโลนะ เครื่องหลังนี่ ใส่หลังแล้วก็เดินไป ไปพักตามที่ต่างๆ การขบฉันไม่เป็นไรมีคนเขาให้ แต่บางแห่งนั้นเขาไม่ได้ให้อาหาร เขาให้ปัจจัย ให้อุบาสกไปซื้ออาหารใส่บาตรพระ ก็เรียกว่าเดินได้ มีคนช่วยเหลือในการแบกธุดงค์นั้น เป็นการทดสอบ อาตมาไปก็พบท่านอมโรนี้เหมือนกันที่อานัม (22.18) อันนี้แสดงว่าเดินได้ ทีนี้แม่ชีแกก็อยากเดินมั่ง เดินไปสู่สถานที่ใหม่ สถานที่ใหม่นี้จะเปิดรับคนทั่วไป หนุ่มสาว เฒ่าแก่ที่ปรารถนาจะมาปฏิบัติชั่วระยะ ๑๕ วัน ๗ วัน ก็มาได้ เพราะมีที่พักให้พักผ่อน สะดวกสบาย แล้วมีแม่ชีอยู่ มีพระมาอยู่ด้วยเหมือนกัน ในพรรษานี้ท่านสุเมโธ ท่านปภาจโรแล้วพระอื่นอีกสองจะไปจำพรรษาที่นั่น เพื่อเป็นศูนย์เผยแผ่พุทธศาสนาแก่คนที่มาติดต่อและสะดวกสบายต่อไป
นี่เป็นความก้าวหน้าในทางหนึ่งของพุทธศาสนาส่วนนี้ แต่ว่าสถานที่ที่จะไปอยู่ใหม่นี่มันต้องซื้อเขา ราคามันก็ไม่แพงสำหรับเมืองอังกฤษแต่มันแพงสำหรับเมืองไทย คือราคามันตั้ง ๒๐๕,๐๐๐ ปอนด์ คิดเป็นเงินไทยแล้วมันก็เกือบสิบล้าน ไม่ใช่เล็กน้อย อาตมาลองถามท่านสุเมโธว่าแล้วจะเอาเงินที่ไหนให้เขาตั้งมากมายก่ายกองอย่างนี้ ไม่ต้องนั่งปวดกบาลมากหรือ ไม่ต้องหรอกหลวงพ่อ ยืมเงินธนาคารให้เขาก่อน ยืมธนาคารเวสต์มินสเตอร์แบงก์ ยืมเงินธนาคารเอาอะไรไปเป็นประกันล่ะ ก็เอาวัดป่าจิตตวิเวกไปเป็นประกันไว้ก่อน มีโฉนดนี่ เลยเอาวัดไปประกันไว้ก่อน แล้วก็ต้องเสียดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเดือนละพันปอนด์ก็เสียเรื่อยไปจนกว่าจะเอาทุนให้ธนาคารหมด นี่คือปัญหา อาตมาได้ฟังแล้วก็พลอยกลุ้มใจไปด้วยเหมือนกัน กลุ้มใจว่าก้อนมันใหญ่นะ แต่ว่าไม่เป็นไรก็ต้องช่วยกันไป ตามเรื่องตามราว เมืองไทยก็ต้องหาทางช่วยกันต่อไป ในกาลต่อไปข้างหน้าเราก็ต้องช่วยต่อไป ในคราวนี้ที่ไปนี่ก็ได้เอาติดไม้ติดมือไปช่วยเขาบ้างเหมือนกันคือไปคราวนี้ได้ไป ๗,๓๖๔ ปอนด์ เป็นดราฟท์ไปจากธนาคารเอาไปมอบให้ เขาเขียนคำอนุโมทนาเหมือนกันเมื่อสักครู่ไม่ได้เอามา อยู่ที่กุฏิใส่กรอบเรียบร้อย เอามาเพื่อให้ญาติโยมดู ความจริงนั้นเอาไปให้สองหนแล้ว ไปครั้งก่อนก็เจ็ดพันปอนด์กว่า หมื่นกว่าแล้วที่เอาของญาติโยมพุทธบริษัทในเมืองไทยไปให้ แต่ว่ามันยังไม่พอ ต่อไปถ้าจะไปอีกก็จะบอกอีก แต่ว่าวันนี้ไม่เอา ค่อยบอกวันหลัง จะไปเมื่อไหร่ก็ค่อยบอกทางโทรทัศน์ทางวิทยุ ญาติโยมเขาพร้อมที่จะช่วยกัน เรื่องนี้ต้องช่วยกัน เขาทำดีเราก็ต้องช่วย อันนี้ไปช่วยแต่ประเทศอังกฤษนี่เวลานี้มันคล้ายกับว่ามีแฟนสองคนขึ้นแล้ว อาตมามีแฟนสองแล้ว องค์หนึ่งก็นู่นแน่ะอยู่ออสเตรเลีย เวลานี้ท่านก็มาเยี่ยมเมืองไทย มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ท่านชาคโร เอ้า ยืนให้โยมดูหน่อย ท่านชาคโร ยืนให้โยมดูหน่อยเดี๋ยวก็ขึ้นมาพูดกับโยมหน่อย
ท่านชาคโรองค์นี้ไปอยู่ออสเตรเลีย ไปอยู่ที่เมืองเพิร์ธ เพิร์ธนี่อยู่ด้านตะวันตกของออสเตรเลีย ใกล้ทะเล อากาศสบาย ไม่หนาวเหมือนอังกฤษหรอก ท่านก็เคยจดหมายมาเล่าข่าวคราวให้ฟังอยู่ แล้วในใจคิดอยู่เหมือนกัน คิดว่าจะไปเยี่ยมสักทีแต่ว่ายังไม่ได้ไปสักทีแล้วท่านก็มาเยี่ยมก่อน ที่นี้มาเยี่ยมแล้วก็ต้องไปเยี่ยมท่านบ้างในกาลต่อไปข้างหน้า ไปเยี่ยมท่านให้ท่านสบายใจ เพราะว่าไปทำงาน ไปสร้าง เวลานี้ก็ไปสร้างวัด เหมือนกันคือวัดในป่า แต่ว่าไปอยู่ในเมืองก่อน ตั้งสำนักในเมืองให้คนมาศึกษามาปฏิบัติแล้วก็ไปเอาที่ในป่านี่ แหม ใหญ่โต เนื้อที่ ๒๐๐ ไร่ ป่า ๒๐๐ ไร่ มีสระน้ำ มีห้วย มีอะไรต่ออะไรสวยงาม แล้วก็จะสร้างวัดขึ้นที่นั่น เอากุฏิไปไว้ตามป่า ตามธรรมชาติ ฝรั่งนี่เขาอยู่ในตึกสูงๆใหญ่ๆอึกทึกครึกโครม เขาอยากจะสงบเหมือนกัน แต่ว่าไม่รู้จะไปสงบที่ไหน แต่ถ้ามีวัดป่าแบบนี้ขึ้น ฝรั่งชาวออสเตรเลียก็จะไปทำบุญที่นั่น ไปอยู่สงบศึกษาธรรมะในทางพระพุทธศาสนาต่อไป ก็เป็นกิจที่น่าอนุโมทนา ในใจนั้นอนุโมทนาอยู่ในใจนานแล้ว แต่ว่าไม่ได้ไปด้วยตัวเอง วันนี้มาพบท่าน ท่านมาพบอาตมา ก็เอามาให้ญาติโยมได้เห็นว่า รูปนี้ก็ไปทำงาน ท่านก็บวชมารุ่นๆกับท่านสุเมโธนั่นแหล่ะ เรียกว่าอยู่รุ่นเดียวกัน ท่านสุเมโธไปอังกฤษ ท่านชาคโรนี่ไปออสเตรเลีย ไปคนละด้าน คนหนึ่งไปเหนือ คนหนึ่งไปใต้ แล้วก็ไปทำงานเผยแผ่ธรรมะในทางพระพุทธศาสนาต่อไป นี่เป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจ
ในงานวิสาขบูชาที่ประเทศอังกฤษนี่ ที่ไปคราวนี้เขาก็นิมนต์ให้ไปร่วมในงานวิสาขบูชา เพราะว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง แต่ว่าวิสาขบูชาในอังกฤษนี้ไม่ได้ทำตรงกับวันเพ็ญเดือนหกหรอก เพราะมันไม่สะดวก ราชการก็ไม่ได้หยุดงานให้เรา ชาวพุทธมันกลุ่มน้อย เขาหยุดงานวันเสาร์วันอาทิตย์ตามปกติ แล้ววันวิสาขะปีนี้วันที่ ๑๔ มันเป็นวันจันทร์ เราจะไปทำวันจันทร์ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเลือกเอาวันใดวันหนึ่งในเดือนวิสาขะ เรียกว่าเดือนวิสาขะเดือนหกนี่มันเป็นวิสาขะทั้งเดือนในประเทศอังกฤษ ทำที่นั่น ทำที่นี่ โดยเฉพาะในวัดป่าจิตตวิเวกนี่ทำวันที่ ๒๐ พฤษภาคมซึ่งเป็นวันอาทิตย์ อาตมาไปก็ไปร่วมในวันวิสาขะ ไปทำกันในกรุงลอนดอน เขาไปเช่าที่ห้องประชุมใหญ่เรียกว่า แคมป์เบลฮอลล์ หรือแคมป์เบลล์เซ็นเตอร์ อะไรนี่ เป็นที่เช่า ห้องประชุมใหญ่ อาตมาไปถึงตอนเช้า ไปดูห้องประชุมแล้วไม่สบายใจ ไม่สบายใจว่าคนจะโหรงเหรง มันไม่คุ้มกับห้อง ตกใจอยู่ในใจว่ามันจะโหรงเหรง คนจะไม่มาก พอสิบโมงนี่ฝรั่งเขามาตามเวลา ไม่เหมือนบ้านเราหรอก ไปไหนก็ค่อยๆทยอยกันไปเรื่อยๆ ไปตามแบบไทยๆ ของเขาเขามาตามเวลา เช่นนัดสิบโมง พอถึงสิบโมงนี่ก็พรึ่บเข้าไปแล้ว พอสิบโมงนี่เข้าไปนั่งเต็มหมดเลย คนเต็มห้องเลย สบายใจแล้ว คนมากมายนั่งเต็มห้อง แล้วคนที่มากนั้นเป็นฝรั่งส่วนมาก ฝรั่ง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ ส่วนชาวเอเชียก็มีไทยบ้างไม่กี่คน สิงหลบ้าง จีนบ้าง ส่วนใหญ่ฝรั่งทั้งนั้น ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งคนเฒ่าคนแก่มากันมากมาย เขาไม่ให้นั่งเก้าอี้หรอก ให้นั่งกับพื้น เพราะว่าต้องนั่งสมาธิ ฝึกสมาธิด้วย ในคำโฆษณาให้ไปนี่บอกให้เตรียมเบาะที่นั่งไปด้วย ทำไมฝรั่งต้องเอาเบาะไปด้วย ฝรั่งนั่งขัดสมาธิแบบเรานี่นั่งลำบาก เพราะฉะนั้นต้องมีเบาะรองก้นให้สูงขึ้นไปหน่อยแล้วก็นั่ง เขาก็พากันไปแล้วเอาของกินไปคนละนิดคนละหน่อย แต่ว่าคนไทยเราก็มีส่วนช่วยเหลือ โยมคนไทยที่เป็นผู้ช่วยเหลือแข็งแรงนี่เกรงว่าอาหารจะไม่พอ เลยไปสั่งอาหารมาจากร้านอาหารไทยหม้อใหญ่ๆ แต่ว่าเขากินกันจนหมดเหมือนกัน ฝรั่งเขามีระเบียบ ของมีเท่าใดต้องกินให้หมด อย่าให้เหลือเอาไว้ แล้วก็กินกันจนหมด กินกันช่วยกัน กินกันช่วยกันกิน กินกันทุกคน
ทีนี้เรื่องงานทำอย่างไร เขาจัดโต๊ะหมู่บูชาเรียบร้อย มีพระพุทธรูปองค์ขนาดนี้วางไว้ มีดอกไม้เยอะ คนนั้นเอามา คนนี้เอามา ดอกไม้เมืองฝรั่งหน้านี้มันเยอะ ไปไหนก็เจอดอกไม้บาน นั่งรถไปสองข้างถนนดอกไม้ตามธรรมชาติ สีขาว สีเหลือง สีชมพู สีแดง มันขึ้นตามธรรมชาติเต็มไปหมด นั่งดูแล้วก็ชื่นใจ เขาก็เก็บมาบูชาพระพุทธเจ้ากันมากมาย เริ่มต้นก็ด้วยพิธีสวดมนต์ก่อน สวดมนต์แบบที่เราสวดนี่แหล่ะ ญาติโยมเคยถามว่า พระฝรั่งสวดมนต์ได้หรือ สวดมนต์เก่งนะ เก่งเหมือนพระไทยที่สวดเก่งๆ แต่สวดเก่งกว่าพระที่สวดไม่ได้นะ สวดเจ็ดตำนาน สวดสิบสองตำนาน สวดธรรมจักรอะไรก็ยังได้ สวดปาติโมกข์ยังเก่งเลย ปาติโมกข์นี่ต้องสวดทุกคน พระฝรั่งนี่สวดปาติโมกข์คล่องเลย เขาเรียน เขาสวดได้เหมือนกัน ก็สวดมนต์ก่อน ให้ศีล สวดมนต์เสร็จแล้วก็ตักบาตร ตักบาตรตอนนี้คือว่าคนมากเหมือนกับตักบาตรวันอาทิตย์ของเรานะ กับข้าวปูปลามันเยอะ แต่ว่าจะให้ใส่ในบาตรหมดมันก็ไม่ไหว ก็ใส่นิดหน่อยก็เอามือปิดแล้วก็บอกว่าพอแล้วพอแล้ว ส่วนที่เหลือก็ พระนั่งแถวหนึ่ง วันนั้นมี ๑๙ องค์ มีพระไทยสองคืออาตมากับสีลานันทะ (32.56) นอกนั้นก็เป็นพระฝรั่งทั้งนั้น ๑๗ องค์ พระฝรั่งทั้งหมด แล้วก็มีแม่ชีนั่งด้านหนึ่ง แล้วก็มีผ้าขาวนั่งอีกด้านหนึ่ง แล้ววันนั้นก็มีฝรั่งแต่บวชพระญี่ปุ่นสองคน ทั้งหญิงทั้งชาย เขาคงจะอยู่ด้วยกันนั่นแหล่ะ เพราะพระญี่ปุ่นเขาอยู่ด้วยกัน เขาก็มากันทั้งคู่นะแล้วก็นั่งใกล้กันด้วย คนก็ไปใส่บาตร พอคนใส่บาตรแกก็ยกมือ ใครใส่บาตรนี่ก็ยกมือไหว้ทุกคน ไหว้ชาวบ้าน พระญี่ปุ่นนี่เขาไหว้ชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ต้องไหว้พระ เขาไหว้ก่อน ก็ถือว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในคนนั้นด้วยก็ไหว้พระพุทธเจ้าที่อยู่ในคนนั้นด้วย ว่าอย่างนั้น
ทำบุญตักบาตรเสร็จก็มีฉันอาหาร พระฉันไป ญาติโยมก็เข้าไปในบริเวณเก็บอาหารรับประทานกันไปตามเรื่อง เสร็จแล้วก็พักนิดหน่อย ให้คนเขาสังสรรค์กัน คุยกันคือว่าเวลาพักนี่ พอพักปุ๊บคนก็พุ่งเข้ามาหาพระเลย มาคุยกับองค์นั้น มาคุยกับองค์นี้ คุยกับแม่ชี คุยกับผ้าขาว แสดงว่าเขากระหายธรรมะ อยากจะฟังธรรมะจากผู้ที่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมะ เพราะฉะนั้นมานั่งเป็นหย่อมๆคุยกับพระ อาตมาเขาก็เข้ามาคุย มาถามปัญหาอะไรต่ออะไร ตอบให้เขาฟังให้ชื่นอกชื่นใจ เสร็จแล้วก็มีปาฐกถา อาตมาปาฐกถา พูดไทย จะพูดอังกฤษก็ไม่ไหว มันไม่คล่องเหมือนกับพูดไทยหรอก เลยพูดไทยดีกว่า พูดไทยแล้วท่านปสันโนที่ไปด้วยท่านก็แปล แล้วทำวีดิโอเทปไว้ด้วยนะ ยังไม่มา โยมชลอมาก็ยังไม่ได้เอามา คงจะไม่เรียบร้อย เมื่อใดวีดิโอเทปมาก็จะเอามาฉายให้โยมดูว่าเขาทำอย่างไร เป็นภาพน่าดูพอสมควร ถ่ายไว้แล้ว ถ่ายวีดิโอเทปตลอดรายการจนกระทั่งเลิก พอปาฐกถาจบแล้วหนึ่งชั่วโมง อาตมาพูดหนึ่งชั่วโมง แล้วท่านสุเมโธพูดต่อ ท่านสุเมโธพูดจบแล้วพักผ่อน พักผ่อนก็เข้ามาคุยกันเอง คนนั้นก็เข้ามาคุยกับพระ เป็นกลุ่มๆ มาคุยสนทนาธรรมะกัน เสร็จแล้วก็นั่งภาวนา ทุกคนนั่งสงบเงียบ ภาวนา นั่งขัดสมาธิฝึกสมาธิกันหนึ่งชั่วโมง แล้วก็ไปเลิกเอาโน่นแน่ะ ห้าโมงเย็น เริ่มตั้งแต่สิบโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น คนที่มานั่นก็ไม่ถอย เรียกว่านั่งกันประชุมกันไปจนกระทั่งห้าโมงจึงเลิกกลับไป คนมาประชุมทั้งหมดนี่ ให้คนลองนับดูคร่าวๆได้ประมาณสี่ร้อยกว่าคน ก็น่าชื่นใจ คนเมืองอังกฤษแต่ว่าสนใจพระพุทธศาสนาแล้วมาชุมนุมกันในวันวิสาขบูชาถึงสี่ร้อยนี่น่าชื่นใจ ก็เลยถามคนที่เขาอยู่มาก่อนๆ ฝรั่งพวกพุทธสมาคม ถามว่าปีก่อนกับปีนี้เป็นอย่างไร บอกปีนี้คนมากกว่าปีก่อนเยอะแยะ คือปีก่อนๆนี้ไม่มีพระเข้าไปร่วมด้วย มีแต่ชาวบ้าน นายคริสมัน (36.36) แกเป็นนายกพุทธธรรมสมาคมแล้วแกก็นำเขาทำวิสาขะ คนมันน้อย แต่ว่าเวลานี้มีพระมาเป็นผู้นำขึ้น คนมาก แสดงว่าคนเขาเลื่อมใสนักบวชอยู่พอสมควร ก็ถือว่าพระเป็นผู้นำของเขา เขามาประชุมกันมากกว่า ตลอดเวลาก็เรียบร้อยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกคนที่ได้พบกันแล้วก็บอกว่า แหม วิสาขะวันนี้ชื่นใจจริงๆ สบายใจจริงๆ เขามาร่วมกันอย่างนั้น
อาตมาก็พลอยสบายใจกับเขาด้วยเหมือนกันว่าเขาทำกันอย่างเรียบร้อย นี่แห่งหนึ่ง แล้วก็ยังไปทำที่อื่นอีก คือเดินทางไปทางเหนือออกจากวัดป่าจิตตวิเวกนี่ก็เดินทางไป โน่นเลย นิวคาสเซิล เมืองนิวคาสเซิลนี่ก็เป็นเมืองที่มีถ่านหิน ฝรั่งเขาจึงพูดว่า อย่าเอาถ่านหินไปให้ชาวเมืองนิวคาสเซิล เหมือนเราพูดว่าอย่าเอามะพร้าวไปให้ชาวเกาะสมุยอย่างนั้นแหล่ะ เพราะว่าที่นั่นมะพร้าวมันเยอะ ที่เราพูดว่าอย่าเอามะพร้าวไปขายสวนนะ ที่นั่นก็เหมือนกัน อย่าเอาถ่านหินไปขายชาวเมืองนิวคาสเซิล เพราะว่ามันขุดที่นั่นบ่อถ่านหิน แต่ว่าเดี๋ยวนี้คนงานถ่านหินสไตรค์หยุดงานระยะยาวกันเลยทีเดียว หยุดงาน ไม่รู้จักพอ มนุษย์ที่ไม่รู้จักพอ ค่าจ้างขุดถ่านหินมากกว่าค่าจ้างใดๆ รายได้มากแต่ก็ไม่รู้จักพอ ยังต้องการเพิ่มขึ้นอีก รัฐบาลก็ไม่ง้อ หยุดก็หยุดไป ไม่มีถ่านหินก็ไม่เป็นไร น้ำมันทะเลเหนือยังเยอะแยะเอามาใช้ได้ เขาไม่ง้อ มันหยุดๆไปนานๆก็ไปทำเอง ก็ไม่มีจะกิน มันหยุดดีนัก รัฐบาลเขาแข็งไว้ ก็นั่งรถไป คนขับต้องสองคน ระยะทางขนาดจากกรุงเทพถึงเชียงใหม่ มันจะไกลเสียกว่าเพราะถนนเขาดี ถนนเขาที่โน่นแปดเลน สองข้างมีเกาะตรงกลาง รถที่โน่นไม่เก่ง สู้รถเมืองไทยไม่ได้ รถเมืองไทยมีเกาะกลางอย่างนั้น มันกระโดดไปชนกันได้ รถบ้านเรามันเก่ง รถเมืองอังกฤษนี่ไม่เก่ง สู้รถบ้านเราไม่ได้ ที่โน่น มันไม่กระโดดไปชนกันอย่างนั้น เขาขับไปตามเลนเขาเรียบร้อย ไม่ยุ่มไม่ย่าม เรียบร้อยดี ก็นั่งรถไปก็ต้องเปลี่ยน ไประยะครึ่งทางก็เปลี่ยนคนขับ สองคนช่วยกันขับ ไปใช้เวลาก็เกือบเจ็ดชั่วโมง ไปถึงฮานัม (39.22) ฮานัมนี่ก็เป็นให้เช่าบ้าน บ้านของคนแก่คนหนึ่งไม่มีภรรยา ตายไปแล้ว ลูกเต้าก็ไม่มี อยู่กับพี่สาว แต่พี่สาวแกก็มีลูกเหมือนกัน แล้วก็คนแก่คนนี้แหล่ะ แกเล่าให้ฟังว่าแกได้บ้านนี้มาอย่างไร อันนี้โยมจำเอาไว้เล่าต่อก็ได้ อันนี้ดีมาก
คือว่าบ้านนี้เดิมเป็นของคนร่ำรวย สืบสายสกุลลงมาหลายชั่วคน ร่ำรวยเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณนั้นประมาณ ๔๐๐-๕๐๐ เอเคอร์ ตั้งพันกว่าไร่ แล้วบ้านนั้นมีหินทั้งนั้นเลย หินเป็นก้อนๆอย่างนี้เลย ไม่มีอิฐเอาหินมาซ้อนๆๆขึ้นเป็นเรือน แล้วก็หลังคาก็หินนะ เอาหินมาวางๆทำเป็นหลังคา อยู่ในหิน อาตมาไปนอนนี่เหมือนกับนอนในถ้ำเลย หัวนอนปลายตีนเบื้องขวาเบื้องซ้ายมันหินทั้งนั้น แล้วเจ้าของบ้านหลังนี้แกได้มาอย่างไร แกบอกว่าพ่อของแกเป็นคนใช้ในบ้านนี้ เป็นลูกจ้างเขา แต่ว่านายจ้างของแกขี้เมาหยำเปไม่เอางานเอาการแล้วก็ทรัพย์สมบัติก็ค่อยขายไปเรื่อยๆ ทีนี้พ่อแกขั้นแรกก็ซื้อตรงนั้นแปลงหนึ่ง แล้วก็ทำมาหากินแล้วไปซื้ออีกแปลงหนึ่ง ซื้อมาจนหมดเลย เรียกว่าแกซื้อของนายแกมาจนหมดเลย แล้วนายก็ตายไป ที่ดินนั้นก็ได้เป็นของลูกจ้าง ลูกจ้างนี่เป็นคนประพฤติธรรม รู้จักทำมาหากิน เก็บหมอรอมริบ ไม่ประพฤติในอบายมุข ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพของมึนเมา ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่คบคนชั่ว ไม่มั่วสุมในสิ่งสนุกสนานไม่เข้าเรื่อง ไม่ขี้เกียจการงาน สร้างเนื้อสร้างตัวเป็นหลักเป็นฐาน ผลที่สุดก็ซื้อที่ดินของนายหมดเลย แล้วก็ได้ขึ้นไปอยู่บ้านนายนะ คนใช้ได้ขึ้นไปอยู่บ้านนายนี่เพราะอะไร เราต้องคิดไว้ เพราะประพฤติธรรมนั่นเอง คนเราถ้าประพฤติธรรมแล้วมันเจริญขึ้น ทีนี้นายเป็นเจ้าของบ้านเจ้าของที่ดินเสื่อมเพราะอะไร เพราะไม่ประพฤติธรรม เมื่อเราทิ้งธรรมะเมื่อใด ชีวิตมันตกต่ำเมื่อนั้น ความเป็นมนุษย์มันไม่มีในจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมหมด อันนี้ก็เป็นตัวอย่าง
แล้วก็ แกให้เช่าระยะยาว ๕๐ ปีก็ซ่อมแซมไป ตอนหนึ่งในเรือนอาคารหลังนั้นมีชาวบ้านอยู่ พระก็ไปอยู่ อยู่สามรูป องค์หัวหน้าชื่ออานันโท เป็นคนอเมริกัน มาบวชอยู่ที่อุบลเหมือนกัน แล้วก็ไปช่วยทำงานกัน แล้วท่านอมโรเป็นชาวอังกฤษ อีกองค์หนึ่งชื่อเขมะธัมโม คนอังกฤษเหมือนกัน อยู่กันสามรูป เราไปสองกลายเป็นห้า ถึงวันวิสาขะคือวันที่ ๑๔ จริงๆ วันวิสาขะวันนั้น ก็เริ่มวิสาขะกันแต่เช้า ตกแต่งบริเวณอะไรต่ออะไรพอสมควร แล้วไปขออนุญาตบ้านติดกันว่าวันนี้จะเดินเวียนบ้านหน่อย เดินเวียนเทียน เวียนรอบบ้านนะ เขาก็ไม่ขัดข้องอะไร เวลาประชุมกันประมาณเก้าโมงเช้า ก็มีคนมาประชุมกันประมาณร้อยคน ที่มันจุได้เท่านั้นเต็มแน่นแล้ว อัดแน่นแล้วร้อยคน มีคนไทยไปหกคน คนไทยที่ไปนี่ไม่เคยไปวัดเลยเพราะไม่มีวัดจะไป คนหนึ่งแกไปแต่งงานกับฝรั่งมีลูกอายุ ๑๗ ปี อยู่เมืองนิวคาสเซิลมา ๑๗ ปียังไม่เคยไปวัดไหน สีลาก็ถามว่าแล้วไม่เคยไปลอนดอนหรือ เคยไป อ้าว แล้วไม่ไปวัดพุทธประทีป แกไม่รู้ว่าวัดพุทธประทีปมันอยู่ตรงไหนเลยไม่ไป ก็ได้มาวัดนี่อยู่อังกฤษมา ๑๗ ปีได้มาวัดวันนั้นแหล่ะ ได้มาทำบุญสุนทาน เลยบอกทีนี้รู้แห่งแล้วก็มาเยี่ยมพระบ้างนะ มาทำบุญร่วมกับพระบ้าง ส่วนนอกนั้นก็เป็นฝรั่ง ทั้งหญิงชาย ผู้ใหญ่มากัน แต่ว่าที่ประชุมในกุฏิในวัดมันไม่พอ เลยขออนุญาตใช้โรงเก็บข้าว เก็บหญ้าอะไรต่ออะไร แต่ว่ามันเป็นสองขั้น ชั้นบนก็รกรุงรังเชียว ชาวบ้านเขาก็มากัน ช่วยกันทำความสะอาดปัดกวาดก่อนวันวิสาขะ แล้วก็ประดับไฟฟ้าเข้า ติดอะไรต่ออะไรให้มันดูผิดปกติขึ้นหน่อย อาตมาขึ้นไปดู เอ นี่คนมากๆนั่งได้หรือ พระก็บอกลงไปดูใต้ถุนสิ ...ใหญ่ๆ (44.24 เสียงไม่ชัดเจน) บอกว่านั่งได้ ก็บรรทุกข้าวเต็มอย่างนี้มันยังไม่พังเลย คนขึ้นมาจะพังก็ให้มันรู้เรื่องไปสิ ไม่เป็นไร ไม่พัง และก็ได้ใช้สถานที่นั้น มีงานก็ทำบุญ สวดมนต์นิดหน่อยแล้วก็ตักบาตรถวายอาหารพระ เสร็จแล้วก็มีการแสดงธรรม อาตมาก็แสดงอีกเหมือนกัน ให้ท่านปสันโนแปล แปลเสร็จแล้วก็มีการเปิดโอกาสให้ถามปัญหาที่ข้องใจ ก็มีคนถามหลายคน แต่มีคนหนึ่งถามน่าสนใจ แกบอกว่าแกเป็นคริสเตียนแล้วแกจะมานับถือพระพุทธเจ้าด้วย มาปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยจะได้หรือไม่ อาตมาบอก ไม่เป็นไร ได้ ใช้ได้ เพราะว่าธรรมะนี่เหมือนกับน้ำ เมื่อเป็นน้ำที่สะอาดแล้วก็ดื่มได้ทั้งนั้น ใครๆก็ดื่มได้ คนอังกฤษก็ดื่มได้ ฝรั่งเศสก็ดื่มได้ แขกดำในอาฟริกาก็ดื่มได้ ไม่เสียหาย เป็นน้ำทิพย์ ให้คุณ แต่ถ้าเป็นของไม่ดีละก็ไม่ได้ เช่นว่าเครื่องดื่มที่เป็นพิษนี่ดื่มไม่ได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เป็นพิษกับใคร แต่เป็นคุณกับผู้ปฏิบัติ ท่านเอาไปปฏิบัติเถิดแล้วท่านจะเห็นผลด้วยตัวของท่านเอง แล้วท่านจะเรียกตัวเองว่าเป็นอะไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเอาไปปฏิบัติก็แล้วกัน แกก็ดีใจว่าแกจะเข้าไปปฏิบัติ แกปฏิบัติไปๆแกก็เป็นของแกเองนะ เพราะอะไร เพราะธรรมะเป็นสัจจะ เป็นความจริง เป็นสิ่งที่ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติ โดยผู้ปฏิบัติรู้แจ้งด้วยตัวของตัวเอง ก็บอกแกอย่างนั้น แกก็ดีใจ ไม่ขัดข้อง ไม่เสียหายที่แกจะเป็นอะไรอยู่ แล้วมาฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราแนะแกอย่างนั้น ไม่ใช่เราบอก ไม่ได้ คุณเป็นคริสเตียนไม่ได้ คุณต้องเลิกเป็นคริสต์แล้วมาเป็นพุทธ มันก็ฝืนกันเกินไป เรียกว่าไปขู่เข็ญกันมากเกินไปมันไม่สมควร ไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เรียกว่าให้เขามาทดสอบก่อน เอาไปปฏิบัติก่อน แล้วเขาก็เป็นของเขาเอง หรือเขาไม่เป็นอะไรเลยก็ยังได้ เพราะว่าเราไม่จำเป็นจะให้เขาเป็นนั่นเป็นนี่ การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานั้นปฏิบัติเพื่อไม่เป็นอะไรเลย มันว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นนั่นความเป็นนี่ แล้วมันยุ่งน้อยลงไป ไอ้คนเราที่มันยุ่งอยู่ทุกวันนี้เพราะว่าเป็นกันมากเกินไป ฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่ แล้วก็ยังมีหัวโขนที่เขาสวมให้เป็นอีกหลายเรื่อง เป็นกันจนยุ่ง ที่นี้ถ้าเราเป็นน้อย ไม่เป็นอะไร ใจมันก็สบาย นี่คือวิธีการ นโยบายเป็นอย่างนั้น เขาก็พอใจในการโต้ตอบปัญหา
พักอยู่ที่วัดนั้นสี่คืน แล้วก็วันหนึ่งเดินทางไป คือว่ามีพวกทิเบตเขาไปตั้งหลักๆเผยแผ่ศาสนาเหมือนกัน พุทธศาสนาแบบทิเบต เขามีชื่อว่า มัญชุศรี มูลนิธิมัญชุศรี มัญชุศรีนี่เป็นชื่อพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี่ไม่มีตัวจริงอะไรหรอก เป็นตัวสมมติที่ตั้งขึ้น ฝ่ายมหายานเขาตั้งพระโพธิสัตว์ขึ้น มัญชุศรีโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ เยอะแยะโพธิสัตว์มีมากมาย โพธิสัตว์นี้เกิดขึ้นแทนเทพเจ้าของอินเดีย เพราะว่าอินเดียมีเทพเจ้ามากมายจนนับไม่ถ้วน และพวกมหายานก็นึกว่าคนยังต้องการผู้ช่วยเหลือทางจิตใจ เลยก็ต้องให้มีโพธิสัตว์ ใครต้องการก็ไปหาโพธิสัตว์นั้นโพธิสัตว์นี้ ทีนี้รูปพระโพธิสัตว์นั้นมือก็มากหน้าก็มากแสดงว่าเก่ง คนก็เข้าไปไหว้ เหมือนกับกวนอิมโพธิสัตว์ของอาซิ่มอาเจ้ทั้งหลาย กวนอิมเขาทำให้รูปสวย หน้าสวยเป็นผู้หญิง อาเจ้ทั้งหลายก็ไปนั่ง ไปขอหวยกับกวนอิมนี่ นี่โพธิสัตว์ในรูปอย่างนั้น ทีนี้เขาก็มีพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ของทิเบต เขาไปซื้อบ้านเก่าๆใหญ่โตสี่ชั้นดูแล้วเหมือนกับปราสาท บ้านหลังนั้นใหญ่โตมาก บริเวณเนื้อที่รอบปราสาทตั้ง ๗๐ เอเคอร์อยู่ใกล้ทะเล แต่ทะเลเมืองอังกฤษนี่ไม่น่าเดิน มันมีแต่หินนะ เมืองอังกฤษนี่มันเมืองหินนะ พอเปิดหน้าดินลงไปก็เจอหินทั้งนั้น เกาะนี้จึงแข็งแรง หินมันมาก หินทั้งนั้น สร้างตึกที่โน่นไม่ต้องเปลืองเสาเข็ม เราจะไปปลูกไม้สนเพื่อทำเสาเข็มนี่ขายไม่ออกหรอก เพราะเขาไม่ต้องใช้เข็ม มันแข็งนะดินข้างล่างพอขุดลงไปก็เทคอนกรีตขึ้นมาเลย ตึกสูง ๒๐ หรือ ๕๐ ชั้นก็ไม่เป็นไรเพราะว่ามันแข็ง หินมันมากเมืองนั้น เพราะฉะนั้นก็ไปตั้งอยู่นั่น ก็ไปเยี่ยมเขา ก็ไปถึงก่อนเพล ไปนั่งสนทนากัน คนทิเบตจริงๆมี ๔ เท่านั้นเอง ๔ ก็เรียกว่าลามะของทิเบต ลามะก็พระ พระชาวทิเบตมี ๔ คน นอกนั้นก็เป็นฝรั่งทั้งนั้น ฝรั่งชาวอังกฤษเป็นผู้จัดการ เป็นเลขานุการ เป็นเหรัญญิก เป็นผู้ช่วย ห้องออฟฟิศเขาใหญ่ ห้องทำงานใหญ่ครึ่งห้องประชุมของเรา มีโต๊ะเต็มไปหมด มีเครื่องมือเครื่องใช้ พิมพ์ดีด เครื่องอัดโรเนียว เครื่องอะไรต่ออะไรสมบูรณ์ เรียกว่าเป็นสำนักงานที่สมบูรณ์พอใช้ แล้วก็ตึกมันใหญ่แต่ว่ามันผุมันพัง ซ่อมบ้างแล้วแต่ยังไม่เรียบร้อยสวยงาม ของเก่านี่ซ่อมให้เหมือนเก่านี่ต้องใช้เงินเป็นหลายแสนเป็นล้านปอนด์ เขาจึงหาวิธีว่าจะหาเงินได้อย่างไร
เขาคิดเงินกับคนที่ไปปฏิบัติ ใครจะไปปฏิบัติวันหนึ่ง ๔ ปอนด์ อาทิตย์หนึ่ง ๒๘ ปอนด์หมายความว่ามาอยู่กินนอนให้อาหารเสร็จ อาทิตย์ละ ๒๘ ปอนด์ คิดทุกคน แม้พระจะไปอยู่ก็ต้องคิดเหมือนกัน เพราะว่าเรือนต้องซ่อมอีกมาก ต้องคิดเงินจากทุกคน เลยไปดูๆแล้วก็นึกว่าเป็นสำนักงานค้าขาย เพราะว่าต้องการเงินจากทุกคนที่ไปที่นั่น แต่เราไปเยี่ยมไม่ต้องเสียเงิน เขาเลี้ยงอาหารมื้อหนึ่ง เลี้ยงข้าวผัดสีเหลืองๆ ผัดแล้วมันเหลืองคล้ายกับข้าวเหนียวเหลืองบ้านเรา เอามาถึงตักใส่จานแล้วก็ฉันกัน แล้วก็เดินชมบริเวณ มีห้องสำหรับภาวนาอยู่ชั้นบน ชั้นที่สอง ชั้นบนเป็นห้อง ห้องภาวนาสมัยก่อนเป็นบ้านเอกชน ห้องนั้นเป็นห้องสำหรับเขาเล่นไพ่รัมมี่อะไรต่ออะไรตามแบบคนมีสตางค์เขาไม่มีเวลาที่จะไปทำอื่นก็ไปนั่งเล่นไพ่ กินเหล้าเบียร์กันไปตามเรื่อง เวลานี้ก็เปลี่ยนเป็นห้องภาวนา มีรูปพระมัญชุศรี แล้วก็มีที่พระทิเบตนั่งข้างบน มีล่ามนั่งข้างล่างต้องอธิบาย พระทิเบตพูดอังกฤษยังไม่ได้ต้องมีล่ามแปล ล่ามก็เป็นคนทิเบตเหมือนกันที่มาอยู่ก่อนแปลให้ฟัง วันนั้นอาตมาไปเขาเห็นว่าพระไทยไปก็ต้องให้เทศน์กันหน่อย ก็เลยต้องเทศน์ให้ฟังเหมือนกัน มีรูปถ่ายเหมือนกัน แต่ว่าคนถ่ายรูปถ่ายแต่พระเทศน์ ไม่ถ่ายคนฟัง ดูรูปแล้วเหมือนกับว่านั่งบ้าเทศน์อยู่องค์เดียวนะ ไม่มีคนฟังเลย เรียกว่าถ่ายไม่มีเทคนิคเลยไม่เห็นคนฟัง ก็เลยนั่งเทศน์ไปตามเรื่อง ก็ใช้แปลเหมือนกันเพราะฝรั่งทั้งนั้น ฝรั่งมีทั้งหญิงทั้งชายและไปอยู่ที่นั่นต้องแต่งตัวแบบทิเบต แต่งอย่างไร ใช้ผ้าหนาๆ ผ้าขนสัตว์สีแดงเป็นผ้านุ่ง นุ่งคล้ายกับเป็นถุง แล้วก็มีเสื้อเป็นเสื้อกั๊ก แล้วก็มีผ้าห่มพาดเฉวียงบ่าแบบทิเบต ผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงฝรั่งก็เยอะไปอยู่ สาวๆอะไรก็มีไปอยู่ มาจากเมืองโน้นเมืองนี้มาอยู่ต้องเสียค่าเช่าทั้งนั้นอยู่ที่นั่น ก็มีห้องให้พัก แต่ว่ามันยังซ่อมไม่หมด ซ่อมหมดนี่ห้องพักมีถึง ๓๐๐ ห้อง แล้วก็มีโรงพิมพ์ มีสำนักงานแล้วมีป่าสวยงาม แต่ดูๆแล้วเป็นฝีมือฝรั่งทั้งนั้น ไม่ใช่ฝีมือทิเบต ทิเบตนี่ก็เป็นตัวเชิดอยู่เท่านั้นเอง ส่วนการดำเนินงานนั้นฝรั่งทั้งหมดเขาจัดธุรกิจของเขา แล้วทิเบตนี่คอยสอนคอยบอก ก็ได้คุยกับพระทิเบตพอสมควร แสดงธรรมจบแล้วก็เดินชมบริเวณอันใหญ่โตนั้น พอสมควรก็เดินทางกลับ แล้วก็กลับมาที่วัดป่าจิตตวิเวกต่อไป
โยมที่วัดป่านี่ปกติเขาก็ทำวัตรตอนเช้าตอนเย็น ตอนเช้านี่ก็ตีสี่ลุกขึ้น ระฆังมันอยู่หน้าห้องที่อาตมานอน อาตมานอนไม่หลับเท่าไหร่ หลับตีสามตื่น ทุกที มานี่มันนอนไม่ค่อยหลับเสียอีก เวลามันไปเปลี่ยน มันไม่ตรงกันนะ มานี่ตีหนึ่งแล้วมันก็ยังไม่ง่วง มันยังไม่ปรับตัว ยังไม่ถูก อยู่นี่ก่อนไปกลางวันฉันเพลแล้วเคยนอน มาที่นี่แล้วมันไม่ง่วงอะไร มันไปเปลี่ยนที่นู่น ไม่ง่วง ฉันเพลแล้วไม่ต้องนอนก็ได้เพราะมันไม่ง่วง มันไปง่วงเอาตอนใกล้รุ่งโน่น ตอนดึกโน่น เลยนอนสายไปทุกทีเวลานี้ พอมาถึงนอนตื่นสาย บางทีระฆังตีฉันข้าวแล้ว อ้าว เลยเวลาไปแล้ว เวลามันไม่เหมือนกันมันต่างกันตั้ง ๗ ชั่วโมง เลยผิดกันไปหน่อย อยู่วัดนั้นเขาก็ทำวัตรเช้า ตีสี่ตื่น แต่ว่าทำวัตรตีห้า ทำวัตรเสร็จแล้วก็นั่งสมาธิ หกโมงครึ่งจึงเลิก แล้วก็พอเลิกนี่ทำงาน พระก็ต้องทำงานพระ พระก็ไปถูนั่นเช็ดนี่ กวาดนู่นกวาดนี่ ทำทุกองค์ ทุกองค์ทำงาน ไม่ต้องมีใครใช้ ไม่ต้องมีใครบอก ทุกองค์รู้หน้าที่ของตน ทำงาน อยู่กันน่ารัก อาตมาเรียกว่าไปติดอกติดใจ ไปถูกเสน่ห์ของสำนักงานนั้นเข้าเสียแล้วเวลานี้ ไปรักเขาเสียเหลือเกิน คือว่าเขาเรียบร้อย น่ารักน่าเอ็นดู ทำงานกัน พอเวลาเจ็ดโมงก็ฉัน เครื่องดื่ม อาหารเช้า ต้มมาเป็นหม้ออะไรก็ไม่รู้ใส่ลงไป กล้วยบ้าง แอ็ปเปิ้ลบ้าง แป้งบ้างอะไรบ้างใส่กันจนเละเลย พอเละแล้วก็ตักใส่แจกกันคนละถ้วยองค์ละถ้วย แจกพระ แจกผ้าขาว แจกแม่ชี ฉันกัน อาตมาเขาให้นั่งพิเศษหน่อย เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้เฒ่ามีอายุพรรษาสูงกว่าเขาก็จัดใส่ถาดมาให้ ฉันนิดหน่อย แล้วก็เขาฉันน้ำชากัน กาแฟ อาตมาไม่พิสมัยทั้งสองอย่าง น้ำชาก็ไม่ฉัน กาแฟก็ไม่ฉัน ก็ฉันของนมใส่มาในนั้นแหล่ะ ฉันเสร็จแล้วก็พระไปบิณฑบาต บางองค์ไปบิณฑบาต พวกไม่บิณฑบาตก็ทำกิจวัตรอื่นต่อไป บิณฑบาตนี่ก็ไปอย่างนั้นแหล่ะก็ใช่ว่าได้อะไรมาก แต่ว่าไปตามหน้าที่แล้วก็ไปเยี่ยมญาติเยี่ยมโยม ไปคุยกับเขา แล้วก็เดินไปให้คนรู้ว่า พระในพุทธศาสนาทำอย่างนี้ คนเขาจะได้รู้แล้วก็จะได้เป็นมิตรกันมากขึ้น
ไอ้ไปอยู่ใหม่ๆนั้น คนเขาไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ เขาสงสัยว่าพวกนี้แต่งตัวไม่เหมือนใคร มาอยู่ทำอะไร เดี๋ยวนี้เรียกว่ามีมิตรมากขึ้นรอบๆ มีมิตรทั่วไปแล้ว คนเขารู้จัก เขามาเยี่ยมมาเยียน พระก็ไปเยี่ยมเขาบ้าง อาตมาฉันเช้าแล้วถ้าวันไหนฝนไม่พรำก็ออกเดิน เดินออกกำลังกายไปกับท่านสุเมโธบ้าง ไปกับท่านปสันโนบ้าง องค์อื่นบ้าง เดินไปคุยกันไป ฟิตภาษาไปด้วยในตัว กลับมาก็ฉันเพลโน่นล่ะ ๑๑ โมง ฉันเพลก็บิณฑบาตนะ บิณฑบาตในครัว ก็ถือบาตรไปยืน เขาก็ตักข้าวใส่ แกงใส่ คลุกลงไปในบาตรนั้น แล้วก็มานั่งฉัน ตอนเย็นเจ็ดโมงก็ทำวัตรเย็น ทำวัตรเย็นเสร็จก็นั่งทำภาวนา นั่งภาวนาจบก็มีคนอาราธนา (58.25) พรหฺมาจโร …… อาตมาไปนั่งอยู่ก็ต้องรับหน้าที่เทศน์บ่อยๆ เทศน์กลางคืนให้ญาติโยมฟัง พระฟังด้วย แล้วก็ตอนจะกลับนี่ก็ต้องเทศน์เป็นกัณฑ์สุดท้ายกับที่ประชุม พูดกับพระเฉพาะอีก มีการแปลสู่กันฟังจนกระทั่งกลับ วันที่ ๕ เดินทางกลับ ไปเรือบินไทยทุกเที่ยว ได้รับความสะดวกสบาย เขาเลื่อนชั้นให้ แต่ขากลับเที่ยวนี้ไม่ได้เลื่อนชั้น ถามพวกนั้นก็ว่าทำไมมาคราวนี้ถึงไม่ได้เลื่อนขึ้นไป เขาบอกกัปตันคนนี้กวดขันมาก ทีนี้พอเสียงกัปตันว่า ขณะนี้กัปตันชื่อชูศักดิ์ กัปตันชูศักดิ์นี่ก็ว่าคุ้นกันนี่นา แต่ว่าก็ไปเดินดูก่อนว่ามันมีที่ไหม ไอ้ชั้นหนึ่งมันว่างหรือเปล่า ไปเดินดูเสร็จแล้ว โอ้ ไม่ว่างเลย ไม่มีที่ว่าง เลยอย่าไปคุ้นเลย นั่งไปเงียบๆดีกว่า ไปนั่งชั้นสองนี่ ชั้นธรรมดาเขาเรียกว่าชั้นอีโคโนมี มันอึดอัด มันแคบ นั่งบีบตัวอยู่อย่างนั้น นั่งสี่คนท่านปสันโน อาตมา ฝรั่งออสเตรเลียแล้วก็ภรรยาเขา ฝรั่งคั่นกลางไว้ แต่ฝรั่งก็ดี คุยกันอะไรกันรู้เรื่องกันดีก็สบาย แล้วก็ให้ไปนั่งใกล้ ข้างหน้าเป็นฝา แล้วเป็นจอหนังติดเลย แล้วเขาฉายหนังจะไม่ดูก็ไม่ได้ มันอยู่ใกล้เหลือเกิน อึดอัด เราก็ แหม เมื่อไหร่หนังนี้มันจะจบเสียที มันอยู่ติดตา ห่างศอกเดียว มันรำคาญ แทนที่จะเพลิดเพลินมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร นั่งมาตลอดเรียกว่า แล้วก็ไม่ได้ฉันอาหารกลางวัน ก็ฉันมาจากที่บ้านพัก เสร็จแล้วก็นึกว่าจะมาฉันเพล เรือบินมันออกสิบโมงสิบห้านาทีกว่า แล้วก็พอเรือบินออก เอาแซนด์วิชมาให้สองชิ้น น้ำส้มนิดหนึ่ง เสร็จแล้วเราก็นึก เดี๋ยวเขาเลี้ยงเพล เรือบินออก ออกไปแล้ว ไปถึงฝรั่งเศสมันก็สิบเอ็ดโมงกว่า เจ้าหน้าที่แทนที่จะนึกว่าพระสององค์ต้องฉันก่อนเที่ยง มันสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ตรงนั้น เจ้าหน้าที่เปลี่ยนใหม่ พวกมาใหม่มันก็ขลุกขลัก ก็ไม่ต้องฉัน เอาอาหารเช้าพอ นึกในใจ แล้วก็ พอถึงเวลาเขาเลี้ยงกันนะ อีหนูคนนั้นมาถึงก็ ท่านฉันอะไร อาตมาก็นั่งเฉยๆ ไม่พูดดีกว่า โบกมือ ฉันอะไรตั้งบ่ายโมงแล้วจะมาฉันอะไร ไม่รู้เรื่อง แล้วก็ พอตื่นเช้าขึ้น อากาศก็สว่าง แสงสว่าง ตื่นแล้ว มันก็เลี้ยงอาหารเช้า มาถึง ฉันได้ไหม กระซิบกับท่านปสันโนว่า ทำไมต้องถามว่าฉันได้ไหม แสดงว่ามันไม่รู้เรื่อง นี่ไม่ได้พบผู้อำนวยการนะ บอกทีหลังอบรมเจ้าหน้าที่ พาไปอบรมเสียบ้างมันจะได้รู้ว่าพระกินเวลาไหน ทำอย่างไร มันไม่รู้ว่าพระฉันเวลาไหน แล้วยังจะถามอีกว่าฉันได้หรือเปล่า ทำไมจะฉันไม่ได้ ก็เรียกว่าเป็นเรื่องขำดีเหมือนกัน
นี่คุยเสียเพลิน ก็ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน