แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๙ เดือนเมษายน พรุ่งนี้ก็ ๓๐ สิ้นเดือนแล้ว เวลานี่มันเร็วเหลือเกิน ขึ้นปีใหม่เมื่อเร็วๆ นี้เอง มาถึงเดือนที่ ๔ เมษา(ยน) และเดือนเมษากำลังจะสิ้นไป ก็ขึ้นเดือนพฤษภา(คม)ต่อไป พฤษภา (มี) ๓๑ วัน ก็แพล็บเดียวเดี๋ยวก็หมดอีกแล้ว เดี๋ยวก็เข้าพรรษา เดี๋ยวก็ออกพรรษา เดี๋ยวก็สิ้นปี เอ้า มันไวอย่างนี้
เวลาที่ผ่านไปนี่ไม่ได้ไปแต่เวลาเฉยๆ แต่ทำตัวเราแต่ละคนนั้นให้ได้มีอายุเพิ่มขึ้น การเพิ่มอายุก็คือเพิ่ม ความแก่ นั่นเอง อายุมากก็เรียกว่า แก่มากขึ้น อายุน้อยก็เรียกว่า แก่น้อย (อายุ)เรามันมากขึ้นก็เรียกว่าเพิ่มความแก่ เพิ่มไปทีละวินาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี แล้วก็ผ่านไปโดยลำดับ ทำให้สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป เพราะสิ่งทั้งหลายมันขึ้นกับเวลา นอกจากพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านอยู่เหนือเวลา เวลาไม่มีพิษสงกับท่าน ท่านเป็นผู้อยู่เหนือสิ่งนั้น เราเรียกว่า (อยู่) เหนือเวลา เหนือสถานที่ จิตของท่านอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น เพราะท่านไม่ยึดมั่นด้วยเรื่องอะไรๆ ทั้งหมด ชีวิตท่านก็มีความสงบ
แต่พวกเราชาวบ้านนั้นยังขึ้นอยู่กับเวลา ชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไป ใจก็พลอยไปยึดมั่นถือมั่น จึงได้เกิดความทุกข์จากเรื่องการยึดถือ ถ้าเราไม่ยึดไม่ถือ มันก็ไม่ทุกข์ เหมือนเราไม่ถือของ มันก็เบา แต่ถ้าเราถือของ มันก็หนักมือ แบกไว้บนบ่าก็หนักบ่า ทูนไว้บนหัวก็หนักหัว เอามือจับไว้ก็ยังหนักอยู่ ยังยึดอยู่ว่าเป็นของฉัน มันก็ต้องพลอยเป็นทุกข์เรื่อยไป แต่เมื่อใดเราปล่อยได้วางได้ เราก็สบาย
การศึกษาธรรมะก็เพื่อเอาเครื่องมือมาใช้สำหรับปล่อยวางในสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ อะไรก็ตามที่มันทำให้เราเป็นทุกข์ เราก็คิดว่าควรจะปล่อยจะวาง ปล่อยวางนี่มันต้องใช้ปัญญา ไม่ใช่ปล่อยเฉยๆ ปล่อยแล้วจับอีก แล้วก็ปล่อยอีก จับอีก วนเวียนไม่รู้จบไม่รู้สิ้น แต่ถ้าเราปล่อยด้วยปัญญา เราก็ไม่เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น มีก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่มีก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ได้ก็ไม่เป็นทุกข์ เสียไปก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่มันสบาย มันสบายตรงนี้
ทีนี้เราส่วนมากจิตมันยังไม่ถึงจุดนั้น จึงยังเป็นทุกข์เพราะเรื่องคนนั้น เพราะเรื่องคนนี้ เช่นว่า สุภาพสตรีก็ทุกข์เรื่องลูก ทุกข์เรื่องผัว สุภาพบุรุษก็ทุกข์เรื่องเมีย ทุกข์เรื่องลูก ทุกข์เรื่องการงาน ทุกข์เรื่องคนบริวารของเรา ทุกข์ไปถึงประเทศชาติ ว่าเวียดนามมันจะบุกเมื่อไรอีก นี่มันแบกกันไว้ มันก็ทุกข์เรื่อยไป เพราะเราเข้าไปยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา ถ้าปล่อยวางเสียได้ สบายใจ คือไม่ใช่ของเราแล้วก็สบายใจ
แต่ว่าไม่ใช่ปล่อยวางแล้วไม่ทำอะไรนะ คนบางคนบอกว่า “ผมปล่อยวางแล้ว ไม่ทำอะไรแล้ว” ไม่ได้เรื่อง มันไม่ใช่ปล่อยวางแบบพระพุทธศาสนา เขาเรียกว่าปล่อยวางแบบคนขี้เกียจไม่ทำอะไร แล้วพูดว่า “ผมปล่อยวางแล้ว ไม่ (มี) อะไรเป็นของผมแล้ว” ไปพูดอย่างนั้นแล้ว...ธรรมะเสียหมด เรียกว่าเสียความหมายของธรรมะไป ความหมายของธรรมะนั้น “ความปล่อยวาง” ไม่ใช่ขี้เกียจ ไม่ใช่เบื่อหน่าย แต่ว่าเกี่ยวข้องกับอะไรด้วยปัญญา เรามีอะไรก็มีด้วยปัญญา ทำอะไรด้วยปัญญา ไม่ได้ทำด้วยความหลงใหลมัวเมา ไม่เป็นทุกข์ เพราะเรื่องมัวเมาหลงใหล
เรามีโดยปัญญามันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเรารู้ว่ามันคืออะไร มันจะเปลี่ยนไปในรูปใด เราเข้าใจตลอดสาย เมื่อเราเข้าใจตลอดสาย เราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นทุกข์ที่ตรงไหน หรือจะไปจับเอาส่วนใดให้มันเป็นทุกข์ก็จับไม่ได้ เพราะเราไม่ได้โง่ เราไม่ได้หลงไม่ได้มัวเมาในสิ่งนั้น เรามองด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญา พูดด้วยปัญญา เราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่จะทำให้เราเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ใจสงบ ใจสบาย
อยู่ในบ้านหลังใหญ่ใจก็สบาย ถ้าต้องย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กก็ใจสบาย อยู่เมืองใหญ่ใจก็สบาย ไปอยู่เมืองน้อยใจก็สบาย มีกินก็สบาย ไม่มีกินก็ไม่เดือดร้อนใจอะไร นั่นแหละ อย่างนั้นเรียกว่า อยู่ด้วยปัญญา ไม่ขึ้น แล้วก็ไม่ลงแล้ว ถ้าเราไม่ได้ใช้ปัญญา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง...เหนื่อย ขึ้นกับลงนี่มันเหนื่อย
เดินมาแสดงปาฐกถาด้วยความรีบร้อนนี่ก็มันเหนื่อย เมื่อตะกี้มันก็เหนื่อย รีบมา ถ้าเดินช้าๆ เดี๋ยวโยมก็ว่า “เจ้าคุณไปไหน วันนี้ไม่มาเทศน์” เลยต้องสาวเท้ายาวๆ หน่อย สาวเท้ายาวๆ หน่อย หัวใจมันก็ต้องทำงานมากขึ้น มันก็เหนื่อยหน่อย เป็นธรรมดา ร่างกายมันก็อย่างนี้แหละ แต่ว่าใจอย่าไปเป็นทุกข์กับเรื่องนั้น ให้มันเป็นแต่เรื่องร่างกาย อย่าให้ใจต้องเป็นทุกข์
แม้เราจะมีอะไรเกิดขึ้น เราก็มองมันด้วยปัญญา มองให้เห็นว่ามันเป็นธรรมดา ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น เช่นว่า การเจ็บป่วยนี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของร่างกาย มีใครบ้างที่ไม่เจ็บไม่ป่วยในโลกนี้ มันมีด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่ามากบ้างน้อยบ้าง เพราะโรคภัยไข้เจ็บนี้เป็นเรื่องเลือกไม่ได้ เรื่องเกิด เรื่องเจ็บไข้ เรื่องความตาย เลือกไม่ได้ เรื่องอื่นพอเลือกได้ เลือกเรียนหนังสือ เลือกที่เราชอบได้ เลือกทำงานที่เราพอใจได้ เลือกไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ เลือกซื้อข้าวซื้อของก็ได้ แต่ เลือกเจ็บนี่เลือกไม่ได้ เลือกตายนี่ก็ไม่ได้ เลือกว่าจะไปตายที่นั่น ตายอย่างนั้น ตายอย่างนี้ ไม่มีใครเลือกได้หรอก มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ธรรมดามันมีกฎไว้แล้ว แล้วสิ่งทั้งหลายก็ขึ้นอยู่กับกฎเหล่านั้น เราจะไปเลือก ไปเปลี่ยนกฎเกณฑ์เหล่านั้นไม่ได้เพราะฉะนั้น เราจึงต้องนึกว่า ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น
มีอะไรเกิดขึ้นก็รีบพูดกับตัวเองเสียว่า “ธรรมดามันเป็นอย่างนี้” ช่วยให้ใจเรามองเห็นความจริง เมื่อมองเห็นความจริงก็เกิดการวางลงไป ที่เราพูดกันแบบชาวบ้านว่าปลงลงไป “ปลงเสียบ้างเถอะ แม่จำเนียร” ก็ว่าอย่างนั้น อย่างนี้แล้วก็สบายใจ มันไม่ยุ่งใจ ถ้าเราปลงได้แล้วมันก็ไม่ยุ่ง อันนี้มันปลงไม่ได้ เพราะไม่ยอมปลง ไม่ยอมวาง แบกเรื่อยไป อย่างนี้มันก็ไม่ไหว
เมื่อเด็กๆ เคยเห็นคนบ้าคนหนึ่ง ผมนี้เป็น(กระ)เซิงเลย เป็นก้อนอยู่บนหัว ไม่เคยหวีไม่เคยอาบน้ำ เป็นเซิงเป็น(มุ่น)อยู่อย่างนั้น แล้วแบกหินอยู่ก้อน แบกตลอดเวลา...หินก้อนนั้น ไปที่ไหนก็แบกหิน แกชื่อนายเมฆ ชาวบ้านเรียกว่า “ไอ้เมฆแบกหิน” คนบ้าเขาเรียก “ไอ้” ไอ้เมฆแบกหิน แบกเรื่อย แม้เวลานั่งตรงไหนก็ต้องเอาหินมาแบกไว้ เวลานอนน่ะไม่แบก แต่ว่าเอาไว้ใกล้หัวที่สุดเลย ไม่ให้หายไปไหน มือคลำบ่อยๆ แกคงหลงผิดว่าหินนั้นเป็นทองคำก็ได้ เพราะฉะนั้น แกจึงไม่ปล่อยไม่วาง
คนเป็นโรคจิตนี่ เขาอยู่ในโลกแห่งความสมมุติ อยู่ในโลกที่เขาสมมุติขึ้นเอง บางคนมันก็อยู่ในโลกสมมุติที่ร่ำรวย อาตมาเคยเอาคนไข้โรคจิตไปฝากไว้ที่สุราษฎร์ธานีคนหนึ่ง หลายปีก็ไปเยี่ยม เขาจำไม่ได้ จำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่พอเจอหน้า “อ้าว ท่านมาอีกแล้วหรือ” ความจริงก็นานแล้วไม่ได้มา แต่บอกว่ามาอีกแล้ว “ท่านต้องการเงินสักเท่าไร เอาไปสัก ๒๐ ล้านพอไหม ไม่พอเอาไปอีกสัก ๓๐ ล้าน” ให้เงินแจกเงิน หมอขึ้นไปก็แจกเงิน บุรุษพยาบาลขึ้นไปก็แจกเงิน ใครขึ้นไปละแกแจกเงินทั้งนั้นแหละ
ไปพบท่านผู้อำนวยการ คุณหมอสกล (11.15 เสียงไม่ชัดเจน) ไปถึงเล่าว่าคนไข้ที่เอามา(ฝาก)ไว้ เดี๋ยวนี้เขารวยใหญ่ หมอบอกว่าเวลานี้เขามีความสุขที่สุด เป็นความสุขที่สุดแล้วเวลานี้ เพราะว่าเขาไม่จนแล้ว เขารวยมีเงินแจกคนนั้นแจกคนนี้นะ ใครมาไม่ได้แจกบาท ๒ บาท (แจกที) ๑๐ ล้าน ๒๐ ล้าน แจกไม่หมดไม่สิ้น เรียกว่าเขารวย เขาอยู่ในโลกแห่งความรวย ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไร แต่เขารวย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ดุใครไม่ว่าใครแล้ว เพราะเขาเป็นเศรษฐีแล้วเวลานี้ แจกคนไข้ แต่ว่าคนไข้ด้วยกัน พอแจก “บ้า...กูไม่ยุ่งกับมึงอะ”
เออ...ไอ้คนไข้เป็นโรคจิตนี่มันดีนะ มันไม่มีทะเลาะกันเลย ไม่มีทะเลาะ คนที่ไม่เป็นโรคจิตนี่ทะเลาะกันบ่อย สามีภรรยาบางทีขึ้นเสียงเถียงกันดัง ไอ้พวกนั้นไม่มี ไม่มีเลย ต่างคนต่างหันหลังให้กัน แล้วต่างคนต่างว่ากันว่า “ไอ้นั่นมันบ้า อย่าไปยุ่งกับมัน” เลยต่างคนต่างว่าบ้าก็เลยไม่ยุ่งกับใคร เพราะฉะนั้นบุรุษพยาบาลหรือพวกหมอนี่เขาไม่ตกใจกับคนไข้ประเภทนี้ ไม่ดุไม่ว่าใคร แล้วไม่ต้องใส่โซ่ใส่ตรวน เอาไปไว้ที่นั่น อยู่บ้านสิลำบาก เวลาเป็นโรคจิตอยู่บ้านต้องล่ามโซ่ เอาโซ่ผูกเอวไว้ ล่ามไว้กับเสา อยู่กับขี้ฝุ่นนะ เอาอาหารไปใส่ถาดให้กินนะ ไปดูแล้วขออภัย...มันคล้ายกับสุนัข สงสาร แต่ว่าพอพาไปโรงพยาบาลแล้วเขาปล่อยหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องจองจำ ให้อยู่ตามอิสระ อยู่ในห้องยาวอย่างนี้ คนทางนี้ (13.18 เสียงไม่ชัดเจน) ก็หันหน้าเข้าฝา นู่นก็เข้าฝา ไม่มีใครจะมาต่อล้อต่อเถียงกับใคร เพราะต่างคนต่างก็ว่า “มันบ้า อย่าไปยุ่งกับมันไอ้นั่น” เลยไม่ยุ่งกัน เรียบร้อย หลับนอนกันก็เรียบร้อย ใครเอะอะเรื่องใด ก็ไม่มีใครเอาหูใส่ใจฟัง
ดูๆ แล้ว มันก็เหมือนกับคนประพฤติธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าเราไม่รับรองว่ามันเป็นธรรม มันบ้า...แต่ว่าเขาอยู่ในโลกสมมุติอย่างนั้น อยู่สบาย...ไม่มีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้ตายไปแล้ว คนที่เป็นเศรษฐีในโรงพยาบาลตายไปแล้ว ถ้าเราไปเยี่ยมจะเห็นว่ามีคนประเภทแปลกๆ บางคนบ้าความเป็นใหญ่ ใครไปหาแล้วก็ต้องแสดงท่าเป็นใหญ่ มีอำนาจ นั่นบ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าความรู้ บ้าอะไรหลายแบบหลายอย่าง โรคมันเยอะ เรื่องเกี่ยวกับจิตนี่ มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้คนที่เป็นโรคจิตไปอยู่โรงพยาบาลโรคจิตนี่ก็ปลอดภัย แต่คนเป็นโรคจิตที่ไม่เข้าโรงพยาบาลนี่ชักจะยุ่งก็มีมากเหมือนกัน
เราเห็นใครๆ ที่มันผิดปกตินี่ มันก็เป็นโรคจิตด้วยกันทั้งนั้น บางทีเป็นคนใหญ่มีความรู้มีความสามารถก็เป็นโรคจิตได้เหมือนกัน เขาเรียกว่าจิตมันผิดปกติเป็นครั้งๆ คราวๆ ทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ นั่นเป็นอาการของคนจิตผิดปกติทั้งนั้น เหมือนกับว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าววันก่อนนี่ บอกว่าโยมคึกฤทธิ์ ใครๆ ก็นับถือว่าเป็นอาจารย์ทั้งนั้น อาจารย์คึกฤทธิ์ วันเกิดนี่ร่าเริงกับคนนั้นคนนี้ พอเห็นหน้าพวกนักข่าว เปลี่ยนสีหน้าทันที แสดงเก่งเหมือนกัน เปลี่ยนสีหน้าด่ากราดพวกนักข่าว “ไอ้พวกนักข่าวนี่กูเกลียดหน้ามันเหลือเกิน” ว่าใหญ่เลย นักข่าวหนุ่มๆ สาวๆ นี่ถูกด่าแล้วก็ถอยหลังกรู ถอยหมดเลย ไม่มีใครสู้หน้าสักคนเดียว “วันนี้วันเกิดมาให้กูเห็นหน้าเป็นกาลกิณีนี่หว่า” ดูซี่แกว่าไปได้ ขึ้นมาได้ทันท่วงที อาการอย่างนี้มันเป็นขึ้นมา แล้วพวกนั้นไปหมดแล้วก็พึมพำๆ กัน คนที่เห็นก็บอกว่า “มันด่ากูมาหลายวันแล้ว กูด่ามันสักวันไม่ได้หรือ” นี่ท่านว่าอย่างนั้นนะ แล้วว่า “พวกหนังสือพิมพ์นี่ด่าคึกฤทธิ์มาหลายวันแล้ว มันด่าตั้งปี วันเกิดกูขอด่ามันสักทีนี่ไม่ได้เลยหรือวะ”
นี่ก็เรียกว่าความคิดมันผิดปกติ เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว อาจจะเกิดขึ้นแก่ใครก็ได้ คนที่ทำอะไรแปลกๆ นี่มันพวกจิตผิดปกติทั้งนั้น เช่น นโปเลียนมหาราชนี่ ที่รบใหญ่ได้ชัยชนะมากมาย จิตแพทย์เขาวิเคราะห์แล้วว่านโปเลียนนี่เป็นคนผิดปกติ เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง เรียกว่าบ้าระห่ำขึ้นมาแล้วบอกบุกแหลกไปเลยล่ะ รบใหญ่เลย ผิดปกติ เป็นอย่างนั้น บางคนก็หนักไปในเรื่องนั้น หนักไปในเรื่องนี้ มันก็เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แต่ว่าโรคจิตบางประเภทหมอไม่กล้ารักษา เช่นว่าขนาดนโปเลียนนี่หมอไหนจะไปว่าได้ คือไปบอกก็ไม่ได้ ฮิตเลอร์นี่ก็เป็นโรคจิตขนาดหนัก คิดแต่เรื่องจะบุกท่าเดียว บุกมันทุกด้านเลย บุกจนกระทั่งว่าตัวตาย ตายไปด้วยความเศร้าหมองใจ เป็นโรคประสาท ตอนตายนี่เป็นโรคประสาท ปวดหัว มัวตา ใครเข้าหน้าเป็นดุเป็นว่า ผลที่สุดก็ยิงตัวตายไป...หมดเรื่องไป นี่มันเป็นอย่างนั้น
คนที่ทำอะไรแผลงๆ นี่เรียกว่าความรุนแรงทางจิตใจมันมาก เกิดความรุนแรงขึ้นในใจ ในเรื่องราคะ ในเรื่องโทสะ ในเรื่องโมหะ ในเรื่องความพยาบาท ในเรื่องริษยา ฮิตเลอร์นี่แกรุนแรงทางพยาบาท โกรธพวกพันธมิตรที่ตีเยอรมันพ่ายแพ้ โกรธทุกชาติ ต้องแก้แค้น ก็ดำเนินงานวางแผนมาโดยลำดับ สร้างพวก สร้างหมู่ สร้างคณะขึ้นมา จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วคนก็ให้เกียรติยกย่อง เพราะคนเยอรมันน่ะเขามีจิตใจเป็นนักรบมานานแล้ว แล้วชอบความยิ่งใหญ่ เมื่อเขามาทำให้เกิดความยิ่งใหญ่ก็ชอบใจ แต่ว่าความยิ่งใหญ่นั้นมันเลยเถิด คือเกินขอบเขตไป ถ้าเอาแต่เพียงพอดี มันก็ไม่มีอะไร บุกเอาดินแดนเยอรมันที่คนอื่นครอบครองคืนแล้วก็หยุดเสีย...หมดเรื่อง แต่มันหยุดไม่ได้ คนเรานี่ถ้าทำอะไรแบบคนโรคจิตมันหยุดไม่ได้ ไปเรื่อย บุกเรื่อยจนหยุดไม่ได้ เสียผู้เสียคน
ในทางธรรมะจึงสอนว่า ให้รู้จักพอดี ในเรื่องอะไรต่าง ๆ ความพอดีนี่ทำให้สำเร็จประโยชน์ ถ้าเกินไปแล้วมันก็ไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องอะไร ใครทำอะไรที่เรียกว่าเกินขอบเขตแล้วมันก็ยุ่ง ทำงานเกินไป มันก็ไม่ได้ พักเกินไปก็ไม่ได้ กินเกินไปก็ไม่ได้ สนุกเกินขอบเขตก็ไม่ได้ ไม่ได้ทั้งนั้น ต้องให้มี(การ)จำกัดว่า “พอดี” แต่ว่ามันก็ยากอีกนั่นแหละ พอดีนี่จะเอาขนาดไหน
ทุกคนจะต้องตั้งกฎเกณฑ์เอาเองว่า เท่านี้พอดีแล้ว ทำงานเพียงเท่านี้...หยุดพักรับประทานอาหารเพียงเท่านี้...หยุดรับประทาน ดื่มเพียงเท่านี้...หยุดดื่ม ไปเที่ยวก็พอเท่านี้ ตีกอล์ฟ...เอาเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปล้มในสนาม ตีให้พอดีๆ อย่างนี้เรียกว่าพอดี แต่ว่าบางทีมันนึกไม่ทัน มันเพลิน เพลินไป รับประทานเพลินไป เล่นเพลินไป ทำงานเพลินไป จนลืมรับประทานอาหารก็มี
หมกมุ่นกับสิ่งต่างๆ จนลืมกินลืมนอน ลืมโกนหนวดโกนเครา ลืมตัดผม ลืมว่าวันนี้เป็นวันแต่งงาน เหมือนกับเอดิสันเขาแต่งงานน่ะ พอแต่งงานออกจากโบสถ์ เจ้าบ่าวหายไปแล้ว ความจริงเขาจะไปชุมนุมสโมสรกันในลานโบสถ์เลี้ยงอะไรกันน่ะ ออกจากโบสถ์เจ้าบ่าวหายไปแล้ว (เพื่อน) ก็เที่ยวตามหา “เจ้าบ่าวไปไหน” ตามๆ ไป โน่นแน่ะ ไปอยู่ในห้องทดลอง ถอดเสื้อนอกออก แล้วก็วุ่นอยู่กับเครื่องทดลอง เขาถามว่า “เอ้า..ทำไมมานี่” “มันคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ในขณะอยู่ในโบสถ์ ก็ต้องรีบมา” คือว่าจิตใจไม่ได้คิดถึงเรื่องแต่งงาน แกไม่ได้(คิด)ว่าเจ้าสาวของแกสวยอะไรอย่างนั้น แต่แกนึกแต่เรื่องว่า “(ถ้า) ไอ้นั่นผสมไอ้นี่ ไอ้นี่ผสมไอ้นั่นแล้วมันคงจะเกิดเป็นไอ้นั่นขึ้นมา” แกนึกแต่เรื่องการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ แล้วพอนึก(ขึ้นมาได้) ออกจากประตูโบสถ์ก็ไปเลย รีบไป...ไปห้องทดลอง นี่เขาเรียกว่า จิตมันพุ่งที่สุด พุ่งที่สุดในเรื่องเดียว แต่ว่าคนอย่างนี้ก็สร้างอะไรเป็นประโยชน์แก่โลกไม่ใช่น้อย หลอดไฟที่สว่างนี้ (ก็ผลงาน) ของแก อะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะที่แกคิดประดิษฐ์ขึ้นมา ทำให้โลกได้รับแสงสว่างทางวัตถุ วันตายของเอดิสันนี่ อเมริกาเขาปิดไฟ ปิดมืด ๑ นาที ปิดทั้งประเทศเลย มืด ๑ นาที ไว้อาลัยแก่นักคิดประเภทอย่างนี้
แล้วก็นักวิทยาศาสตร์อะไรคนหนึ่ง อยู่ในอ่างน้ำ นอนอยู่ในอ่าง พอคิดได้ขึ้นมา ลุกขึ้นจากอ่าง ไม่นุ่งผ้า รีบไปหาพระราชาเลย ไปเฝ้าพระราชาทั้งๆ ที่ไม่นุ่งผ้าอย่างนั้น เดินโทงๆ วิ่งด้วยนะ วิ่งไปเฝ้าพระราชา พวกนั้นถาม (ก็บอก)ว่า “ฉันคิดได้แล้วๆ” ไปบอกพระราชาว่าคิดได้แล้ว ลืมหมดเลยพวกนี้ ใจมันจดจ่ออยู่ในเรื่องเดียวจนลืมหมดเลย เวลานั้นตัวมันก็หายด้วยเหมือนกัน เรียกว่าความยึดถือในตัวนี่มันหายไป แต่ว่าไปยึดอยู่ในวิชาการ ยึดอยู่ในเรื่องงานที่ตัวกระทำ ยึดแรงจนกระทั่งว่าลืมตัวไปชั่วขณะหนึ่ง ลุกขึ้นจากอ่างน้ำ ไม่นุ่งผ้า วิ่งไปหาพระราชาได้ อย่างนี้เขาเรียกว่ามันเหลือเกินนะ จิตมันพุ่งแรงเกินไป จนไม่นึกถึงวัฒนธรรม ไม่นึกถึงอะไรทั้งนั้น แล้วไม่นึกว่า นี่กูแต่งตัวอย่างไร จะไปเฝ้าพระราชา นึกไม่ออก เพราะใจมันพุ่งไปแรง อย่างนี้แหละในทางพระที่เรียกว่า “สุดโต่ง”
พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์ปฐมเทศนานี่ พอเริ่มเทศน์ก็พูดเรื่องสุดโต่ง ๒ เรื่องนี้ก่อนว่า กามสุขัลลิกานุโยค (และ) อัตตกิลมถานุโยค
กามสุขัลลิกานุโยค คือ การหมกมุ่นในทางกาม ในความสุขทางเนื้อทางหนัง และ อัตตกิลมถานุโยค หมกมุ่นในการทรมานตนให้ลำบาก ไม่มีผลอะไร เรียกว่าเป็นทางสายสุด เอียงซ้ายเกินไป เอียงขวาเกินไป ไม่สมดุล พระองค์บอกว่าไม่สำเร็จประโยชน์ ที่พูดเช่นนั้น ก็เพราะว่าพระองค์เคยทำแล้ว ความสุขแบบ กามสุขัลลิกานุโยค นั้น พระองค์มีแล้ว เมื่ออยู่ในวังนี่สบายในทางวัตถุ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย บริวารทาส คนเต็มไปหมด มีแต่คนคอยรับใช้ เอ่ยปากอะไรไม่ได้ มีคนจะมาช่วยตลอดเวลา
คนคอยรับใช้ เขาเล่าว่า จอมพลสฤษดิ์ ท่านไปยืนอยู่ที่แห่งหนึ่ง ล้วงบุหรี่มาถึงใส่ปาก ไม้ขีดไฟแช็ก ๑๑ อัน วูบๆ วาบๆ พร้อมกันเลย ไอ้คนที่ยืนข้างๆ อุ๊บ …… (24.36 เสียงไม่ชัดเจน) บอก “เฮ้ย จะเผากูรึ” มันเกินไปแล้วตั้ง ๑๑ อัน ไม้ขีดก็รวมด้วย “จะเผากู” ท่านหัวเราะว่า “มึงจะเผากูเสียแล้วนะ” คือทุกคนก็ต้องเอาใจ เข้าไปช่วย สบายเหลือเกิน มีมาก ความสุขในทางวัตถุมีมาก
เจ้าชายสิทธัตถะท่านมีมาพร้อมในเรื่องอย่างนั้น เรื่องวัตถุนี่สมบูรณ์ แต่ว่า มาออกบวชเพื่อแสวงหาความสุขที่ยิ่งกว่านั้น ก็ต้องไปทดสอบตามสำนักต่างๆ ที่เขาทำกันอยู่ ว่ามันจะได้ผลอย่างไร ก็เลยไปทดสอบ ทดสอบอย่างชนิดที่เรียกว่าตึงเครียดเลย ทำจริงจังเอาจริงเอาจัง จนอาจารย์ยกย่องว่า “เธอนี่เก่งกว่าฉันเสียแล้ว มีความรู้มีความสามารถเก่งกว่าฉันเสียอีก อยู่นี่แหละ ช่วยกันสอนศิษย์ต่อไป” แต่พระองค์เห็นว่าไม่ได้เรื่อง มันเพียงแต่ว่ากลบไว้เท่านั้นเอง ยังไม่ถึงที่สุดของปัญหา ยังไม่ถึงที่สุดของความดับทุกข์อย่างเด็ดขาด
สิ่งที่พระองค์ต้องการนั้น มันไม่ใช่ตรงนี้ ไม่ใช่เพียงแต่มาเป็นครูอาจารย์สอนคนกลุ่มน้อยๆ และด้วยเพียงความรู้ขั้นนี้...ไม่ใช่ มันต้องลึกซึ้งกว่านี้ ต้องค้นต่อไป ก็เลยลาออกจากสำนักเหล่านั้น ไปตั้งหน้าตั้งตาค้นคว้าด้วยพระองค์เองอีกแนวหนึ่ง ไม่เอาแนวนั้นแล้ว ผลที่สุดก็สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นำสิ่งที่ทรงค้นพบนั้นสอนชาวโลกต่อไป
สิ่งที่พระองค์ค้นพบนั้นเรียกว่า ไม่ตึง แล้วก็ไม่หย่อน พัวพันในกามนี่หย่อนไป บำเพ็ญเพียรทรมานกายนี่ตึงเกินไป เพราะคนอินเดียที่เชื่อมั่นใน (ทาง) นี้มันตึง ทรมานตน ไม่กินข้าว ไม่ดื่มน้ำ เวลาหน้าหนาวลงไปแช่น้ำ หน้าร้อนติดไฟรอบๆ ตัว นั่งอยู่กลางมันเลย ไฟล้อมอยู่รอบๆ ตัว ทำอะไรแผลงๆ แปลกๆ นอนบนหนาม เอาหนามมาปูเข้านอน ไปนอนบนกรวดบนทราย ทำให้ลำบากที่สุด ให้ทรมานที่สุด แล้วก็ไม่ได้อะไร แต่ว่าคนบางประเภทก็ชอบเหมือนกัน เห็นใครทำอะไรแปลกๆ แล้วก็ชอบ เหมือนเวลาเขาแห่พระ เมืองภูเก็ตนี่แห่พระ ชื่อพระอะไรเป็นภาษาจีน แล้วก็มีการลุยไฟ มีการแทงเข็ม กรีดเลือดกรีดเนื้อ ตัดลิ้นอะไรแปลกๆ คนชอบ...ไปกันใหญ่ ปัตตานีก็มี เจ้าแม่โกเหนี่ยว เขาเรียก ต้องมีอะไรแปลกๆ ที่สีลมนี่ก็มีวัดแขก เขาเรียกวัดแขกสีลม วัดเจ้าแม่อุมาเทวี เทพเจ้าผู้หญิง วันไหนเขาสนุกขึ้นมา แล้ว โอ้ กรีดเลือด กรีดเนื้อ กรีดลิ้นกันอะไรกันให้มันสนุกสนานกันล่ะ คนชอบว่าศักดิ์สิทธิ์ ขลัง ไปอย่างนี้
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ ไม่ได้ชมเชยว่าเป็นความถูกต้องอะไร เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความหน่ายคลายกำหนัด เพื่อนิพพิทา
นิพพิทา คือว่าจิตมันเหนื่อยหน่ายด้วยปัญญา แล้วก็ นิพพาน คือความพ้นทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่ออย่างนั้น บางทีก็มีคนมาขอให้ทำอะไรแปลกๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่แสดง แม้ทำได้...ท่านก็ไม่แสดง ท่านบอกเขาว่า “นั่นไม่ใช่ทางที่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ตถาคตไม่แสดงสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เราจะแสดงเฉพาะเรื่องที่จะช่วยให้พ้นทุกข์” แล้วพระองค์ก็ย้ำว่า “เราสอนเรื่องเดียวที่สำคัญ คือเรื่องความดับทุกข์ได้ เรื่องอื่นนั้นเราไม่สอน” แม้ใครจะมาเคี่ยวเข็ญถาม พระองค์ก็ไม่ตอบในเรื่องอย่างนั้น ที่ไม่ตอบก็เพราะเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ตอบไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เลยไม่ตอบ
สมัยนี้ถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ ท่านคงจะต้องปฏิเสธวันยังค่ำในเรื่องที่คนชอบถามอะไรแปลกๆ ชอบกันจริง เวลาไปเทศน์ที่ไหน ถ้าบอก “เอ้า ถามปัญหาอะไรก็ได้” เขียนขึ้นมา ถ้าดูปัญหาแล้วถามมากที่สุดก็คือว่า ตายแล้วไปไหน นรกมีจริงหรือไม่ สวรรค์มีจริงหรือไม่ เทวดามีจริงหรือไม่ อะไรอย่างนี้มากมาย เป็นปัญหาที่ไม่ได้ประโยชน์แก่การพ้นทุกข์ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ ท่านจะไม่แตะต้องปัญหานี้ คือไม่ตอบปัญหาเหล่านี้ แต่จะเลี่ยงตอบปัญหาอื่นเพื่อให้เป็นทางลัดไปสู่ความดับทุกข์อย่างแท้จริง จุดหมายก็เป็นอย่างนี้
อันนี้ให้จำไว้ด้วยว่า พุทธศาสนานั้นสอนให้เราเข้าใจชัดเจนในเรื่องความทุกข์ และการดับทุกข์ได้ ส่วนเรื่องอื่นนั้นมันเป็นเครื่องประกอบ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อย่างแท้จริง แต่ว่าคนชอบสิ่งเหล่านั้น เพราะว่ามันตื่นเต้นดี ฟังแล้วมันตื่นเต้น คล้ายกับดูหนังผี “ไอ้กลัวก็กลัว แต่สนุกดี” ว่างั้น
นางนาคพระโขนง นี่เด็กดูแล้วเสียว เพราะไส้มันเดินไปได้ เทคนิคการถ่ายเขา เด็กดูแล้วก็เสียว กลัวผีขึ้นมา ไม่น่าจะเอามาออกโทรทัศน์ ไอ้เรื่องผีๆ ทั้งหลายเหล่านี้ เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่ออะไรเลย นอกจากสร้างภาพผีขึ้นในจิตใจเด็ก แล้วเด็กก็กลัวผีต่อไป ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น กบว. น่าจะพิจารณา ไม่อนุญาตให้ฉายหนังประเภทนั้นทางโทรทัศน์ เพราะว่าเป็นการเพาะนิสัยขี้ขลาดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เช่น กลัวผีนี่ไม่เป็นเรื่อง กลัวไปเรื่อยไป ไม่มีปัญญาเมื่อใด ก็ยังกลัวอยู่เมื่อนั้น แต่พอมีปัญญารู้ได้ว่าของมันไม่มีจริง มันของหลอก ถ้าสมมุติว่ามีจริง ก็ไม่ได้มาทำร้ายเรา ไม่ได้มาโขกกบาลเรา หรือมาทำอะไรเรา “ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีจริง ไหนลองมาปรากฏตัวกันสักหน่อยสิ จะได้คุยกันบ้าง” ก็ไม่มีเสียอีก
เคยไปนอนในป่าช้าที่เชิงตะกอนนั่น อุ่นดีตรงนั้น เพราะมันสูงขึ้น ๒ ข้าง บังลมดีด้วย ลมพัดมาด้านนี้ก็บัง ด้านนี้ก็บัง ที่แคบพอดีๆ อุ่นนะ เวลาจะนอนก็บอก “เออ ตรงนี้ถ้ามีใครเป็นเจ้าของก็มาบอกได้นะ ฉันจะขอนอนสักคืนหนึ่ง ถ้าไม่ชอบอกชอบใจก็มาดึงแข้งดึงขาก็ได้ แล้วก็อยากให้มาดึงด้วย เผื่อจะได้รู้จักกันไว้ จะได้คุยกันบ้าง นานๆ ได้เจอกันสักที ก็คุยกันให้มันสนุกหน่อย” กลับไม่มาเสียอีก นอนให้มันดึง มันก็ไม่ดึงเสียอีก เพราะไอ้ตัวจริงมันไม่มี แล้วจะมาได้อย่างไร มันเป็นภาพหลอนที่เราสร้างขึ้นในใจของเรา แล้วก็หลอกตัวเอง
สมัยเด็กๆ นี่กลัวหนักหนา กลัวจริงๆ เวลาขึ้นบันไดนี่พอขั้นสุดท้ายต้องกระโดดทุกที ความคิดว่าผีมันจะมาดึงน่องไว้ เลยต้องกระโดดตรงขั้นนั้น...กระโดดทุกที มันติดอยู่ในใจ เพราะว่าเมื่อเด็กๆ นี่อยู่วัด เขาเล่าแต่เรื่องผีกันทั้งนั้น ผีดุร้ายจับเณรโยนขึ้นไปติดต้นมะพร้าวเลย หักคอเณร หักคอเด็กวัด สาวไส้เด็กวัดเอาไปกินบนยอดไม้ เห็นภาพมันน่ากลัว นอนฝันร้ายทุกที พอได้ฟังเรื่องนี้แล้วนอนตกใจทุกคืน เขาสร้างภาพขึ้นในใจ เป็นภาพหลอกภาพหลอนให้เรากลัว เราก็หวาดกลัวกัน
พ่อแม่อย่าพูดเรื่องอย่างนี้ให้เด็กฟัง คือคำว่า “ผี” นี้อย่าพูดให้เด็กฟัง ถ้าพูดต้องอธิบายให้เข้าใจว่า “ผี” คือความชั่ว ถ้าหนูดื้อนี่ก็เรียกว่ามีผีอยู่ในตัว ซุกซนเหลวไหล ขี้เกียจเรียนหนังสือ ใช้สตางค์เปลือง ไปเที่ยวไหนไม่บอกพ่อแม่ นี่แหละคือผี ให้เด็กมันรู้ว่า ความชั่วนั่นคือ “ผี” ความดีนั่นคือ “พระ”
ผีน่ะเราต้องกลัว คืออย่าทำ พระไม่ต้องกลัว ต้องประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระ ถ้าเราพูดเราสอนในรูปอย่างนั้น เด็กก็จะไม่กลัวผีที่เราเข้าใจกันทั่วๆ ไป แต่จะกลัวความชั่ว กลัวผีการพนัน กลัวผีน้ำเมา กลัวผีเที่ยวกลางคืน กลัวผีเพื่อนชั่ว กลัวผีขี้เกียจ กลัวผีโลภ ผีโกรธ ผีหลง เขากลัว ไม่อยากให้ผีเหล่านั้นมาอยู่ในใจของตัว แล้วก็จะหลีกพ้นไปจากความชั่วได้ เราสอนเขาอย่างนั้น อธิบายเขาอย่างนี้
พาเด็กไปป่าช้าเสียบ้าง ให้ไปดูว่านี่ที่เขาทำไว้นี้ เป็นที่สำหรับเก็บซากศพ ไม่ใช่เป็นที่เก็บผี เพราะผีนั้นเอามาเก็บอย่างนี้ไม่ได้ ผีคือความคิด มันอยู่ในใจของเรา ไม่ได้มานอนอยู่ในที่อย่างนี้ หรือว่าเอาไปดูซากศพที่เวลารดน้ำศพ เอาเด็กไปดู อธิบายให้เข้าใจ เด็กไม่ได้กลัวหรอก เด็กเห็นก็ไม่กลัวอะไรหรอก เคยเอาโครงกระดูกไปไว้ที่วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ เด็กขนาดอายุสัก ๔ ขวบนี่มันเดิน มันคลำเล่น ดึงๆ ไม่มีอะไร ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้กลัวอะไรสักหน่อย คุณยายสิตัวการใหญ่ พอโผล่เข้าไปเห็นหลานไปดึงกระดูก “ตายแล้ว อย่าไปดึง อย่าไปดึง” หลานก็ตกใจ “อะไรคุณยายตายแล้ว” คุณยายบอกว่า “อย่าไปยุ่งนะ...ผี!” เด็กวิ่งหนีเลย วิ่งหนีโครงกระดูกทันที นี่...คุณยายนี่ทำผิดมาก คือว่าไปตกใจแทนเด็กไม่เข้าเรื่อง
ความจริงเด็กไม่ได้กลัวอะไร เขาไปคลำ ไปดู แล้วถ้าเราอธิบายให้เด็กฟังว่า นี่แหละเหมือนกับของหนู นี่ฝ่าเท้า นี่ของหนูไง มีโค้งนะ นี่เนื้อมันหุ้มไว้ นี่หนังมันหุ้มไว้มีเล็บ นี่เล็บไม่มีมันหลุด ก็ไม่มีเนื้อเหลือแต่กระดูก มือหนู ยกมือ นี่เหมือนกับนิ้ว นิ้วนี่นิ้วนั่น อธิบายสรีระร่างกายให้เด็กฟัง เด็กก็จะรู้ว่า “อ้อ ร่างกายเรานี่ข้างในมีแก่นคือ กระดูก แล้วมีเนื้อพอกไว้ แล้วมีเส้นเลือด มีอะไรๆ อยู่ในนี้หลายอย่างหลายเรื่อง” เด็กก็จะไม่กลัวสิ่งเหล่านั้น แต่จะมายืนดูได้สบายๆ ไม่ต้องกลัวอะไร ทีนี้ ผู้ใหญ่นี่รับมานานในเรื่องอย่างนี้ แล้วไม่เปลี่ยนความเชื่อ เอาความเชื่อที่ตนรับไว้ผิดไปใส่สมองเด็กต่อไป เด็กก็เลยกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น
สมมุติว่าอย่างนี้ ในห้องๆ หนึ่ง คนบางคนไปนอนแล้วเห็นผี ผีมาหลอก มาอะไรต่างๆ คนไม่รู้นั่นอย่าเล่าอะไรให้เขาฟัง ให้เขาไปนอน คนนั้นจะนอนหลับสบายตลอดคืน แต่ถ้ารู้แล้วนอนไม่หลับเลย ใจมันยึดถือนี่ว่าห้องนี้มีผี แล้วเดี๋ยวตัวเองน่ะ สร้างภาพผีออกมา แล้วก็จะต้องตกใจ เวลานอนก็ฝัน เพราะว่าก่อนนอนมันคิดเรื่องผีมาก แล้วก็ฝันเรื่องผี ฝันว่าผีมานั่งบนท้องบ้าง มาดึงขาดึงแข้งบ้าง เรื่องฝันทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร แล้วนอนไม่หลับคืนนั้น ต้องตามไฟให้ไว้สว่าง เพราะนึกว่าผีมาเวลามืด ผีไม่จริงมาเวลามืด ผีจริงมันต้องมาแจ้งๆ จะได้เห็นหน้าเห็นตากัน แต่ว่ามันไม่ได้เป็นผีจริง เป็นผีหลอก
คนหนึ่งเขียนหนังสือไว้ว่า “ผีหลอก ช่างผี ตามทีมัน ไอ้คนกัน หลอกกันเอง น่าเกรงนัก” ผีหลอกไม่น่ากลัว ไม่ถึงกับเสียเงินเสียทองเสียทรัพย์สินอะไร แต่คนหลอกนี่แย่ หลอกเอาจนล้มไปตามๆ กัน ล้มกันเสียหายกันใหญ่ เพราะหลอก
เมื่อเช้านี้ฟังข่าววิทยุ ๖ โมง เขาบอกว่าแต่งตัวใส่เครื่องแบบของธนาคาร ธกส. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ที่กำแพงเพชรนู่น แล้วก็ไปเที่ยวบอกคนที่ยืมเงินธนาคาร บอกว่า “ธนาคารเขาจะให้รางวัลแก่คนที่ยืมเงินมานี่ จะมีการจับสลาก ใครจะเป็นสมาชิกเพื่อจะจับสลาก ก็ต้องเสียเงินคนละ ๙๐๐” ไปเที่ยวเก็บเงินชาวบ้าน ชาวบ้านอยากได้รางวัล แล้วก็หายหัวไป (ชาวบ้านพากัน) มาถามที่ธนาคารว่า “เมื่อไหร่จะแจกรางวัลล่ะ” ธนาคารก็งง “เอ๊ะ รางวัลอะไร” “อ้าว ก็เจ้าหน้าที่ไปบอกพวกผมน่ะ เอาเงินผมไปแล้วคนละ ๙๐๐” มันดีนะที่มันไม่เอาครบ ๑,๐๐๐ มันลดไว้ให้ร้อยนึง ไว้สำหรับเดินมาต่อว่าธนาคาร ทำนองว่า “เอาเงินมาแล้ว นี่ผมมาถาม” “อ้าว ธนาคารไม่เคยใช้ ไม่เคยบอก ท่านทั้งหลายนี่ถูกหลอกแล้ว”
ไอ้คนที่จะหลอกคนนี่มันเรียนรู้จิตวิทยา รู้ว่าคนเรานี่ต้องการอะไร เอาความต้องการของคนมาหลอกคน คนอยากได้เงิน อยากได้รางวัล อยากได้นั่นอยากได้นี่ ทีนี้มันก็หลอก เพราะว่าคนมันอยากได้ ถ้าเราไม่อยาก จะไม่ถูกหลอก ใครจะมาพูดยั่วอย่างไร เรายืนกรานว่า “กูไม่เอา” ไม่ถูกหลอก คนนั้นไม่ถูกหลอก ยืนกรานอยู่ในใจว่า “ไม่เอา ไม่เอา ใครจะให้อะไรก็ไม่เอา มีเท่านี้พอแล้ว” คนนั้นจะไม่ถูกหลอกเลย
แต่ถ้าหากว่าพอเขาบอกแล้ว แหม...น้ำลายมันซึมออกมาเชียว อยากขึ้นมา ไอ้คนที่มาหลอกเรา มันก็รู้กิริยาท่าทางเราเหมือนกัน พวกนี้เก่งมาก เขาเก่ง เขาเชี่ยวชาญทางด้านต้มมนุษย์ เขารู้ว่าเราพอใจ ตื่นเต้นแล้ว เดี๋ยวมันยุส่งพักเดียวล่ะ เซ็นชื่อ...เอาไปเรียบร้อย ๙๐๐ (บาท) พันนึง มากกว่านั้นก็ได้ มันต้องพูดให้เราพอใจ ให้เราอยากได้ แล้วก็เลยเอาไป เอาเงินเราไป หายไปเลย นี่เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นใครจะมาบอกว่า “จะมีอะไรให้ ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้” บอกกับตัวเองว่า “อย่าไปเอากับเขาเลย เท่านี้ก็ขี้เกียจรักษาแล้ว เท่านี้ก็พอใช้แล้ว” พอใจเสียเท่านั้น มันก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครมาหลอกมาต้มเราได้ พวกเล่นแชร์นี่ เสียหายกันมากมายนี่ก็เพราะความอยาก อยากได้ดอกเบี้ยมากๆ “โอ๊ย ร้อยละ ๒๐ มากกว่าธนาคาร ธนาคารร้อยละ ๑๐ นี่ ร้อยละ ๑๓” ตอนนี้ร้อยละ ๑๓ ขึ้นๆ ลงๆ สุดแล้วแต่ธนาคารชาติเขาจะตั้งให้ บางทีก็ขึ้นไป ๒-๓ เดือน อ้าว ลงมาอีกแล้ว มันยุ่งเหมือนกัน มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้องค์กรเอกชนที่ตั้งอะไรขึ้นเพื่อหลอกมนุษย์นี่ เขารู้ว่ามนุษย์นี่มีความต้องการมาก อยากได้อะไรมันเหลือๆ หน่อย เอาเลยก็ “ให้ร้อยละ ๒๐” แหม มากเหลือเกิน เรามีเงิน ๑๐๐ บาท เอาไปให้เขา ได้เดือนละ ๒๐ บาท ได้ดอกทุกเดือนๆ พอใจ ทุ่มให้เขาเลย มีสวนยางเอาไปจำนำให้ มีนาเอาไปขายให้เขา เพื่อจะเอาดอกร้อยละ ๒๐ ไม่ได้คิดว่าเขาเอาไปทำอะไร เขาจะหมุนอย่างไรจึงจะได้ดอกมากๆ มาให้แก่เรา คนไม่เคยเรียนรู้เรื่องการเงิน เรื่องธนาคาร เรื่องดอกเบี้ย เรื่องสินเชื่อ เรื่องอะไรต่างๆ ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เลยก็เชื่อ...เชื่อไปค่อนเมือง เลยเสียหายกันไปตามๆ กัน
ขอนแก่นนี่ก็ยุบยับ ลำปางก็ยุบยับ พัทลุงก็ยุบยับ หลายยุบแล้ว ยุบยับไปหลายยุบแล้ว ผู้ว่าราชการพัทลุงโทรศัพท์บอก “เมื่อไรหลวงพ่อจะมาพัทลุงเสียที” บอกว่า “ตอนนี้ยังไม่ไป” คือไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันฉิบหายไปแล้ว ปล่อยไปก่อน ปล่อยให้รู้สึกตัวเอง จะไปเทศน์อะไรก็ยังไม่ได้เรื่อง พวกนั้นมันกำลังเสียใจ ค่อยไปพูดกันทีหลัง มันเป็นอย่างนี้ นี่เพราะว่าความอยากจะมีจะได้ ถูกหลอกถูกต้ม คนที่ถูกหลอกนั้นคือว่าหลอกตัวเองก่อน หลอกในเรื่องจะได้ จะมีนั่นแหละ เอามาให้ คนเอาเงินไปฝากทัก “นี่เพื่อน ดอกมันมากกว่าธนาคาร” นี่เอาไปฝากไว้ ๑ ล้าน ๒ ล้าน ๓ ล้าน ดอกมันมาก จะได้อยู่สักพักหนึ่ง สักปี ๒ ปี ให้ชื่นใจอยู่
พอต่อมาทรัสต์นี่รวนเรแล้ว ชักจะล้มไปบ้างแล้ว ทำท่ามั่ง รากเน่าไปบ้างแล้ว เกิดลมพายุใหญ่พัดก็ขึ้นไปเลย หายหมด ผู้จัดการไปแล้ว สมุห์บัญชีไปแล้ว เหลือแต่เสมียนผอมๆ นั่งเฝ้าทรัสต์อยู่ จะได้แถลงกับเจ้าหน้าที่ว่า “มันมีแต่ตัวเลข เงินมันไปหมดแล้ว ไปอยู่ฮ่องกงบ้าง ไต้หวันบ้าง ไปอเมริกาบ้าง” มันไปก่อนจะล้มมา ไอ้พวกฝากทรัสต์ก็เลยเป็นทุกข์เก่ง ทุกข์นี้เกิดขึ้นจากอะไร โลภมากลาภหาย อยากได้ดอกมากๆ เลยลาภหายไป พวกหนูๆ ทำงานกับทรัสต์ก็มาที่วัดบ่อย มาบอก “หนูเป็นตัวแทนของทรัสต์นั่น ทรัสต์นี่” “มาทำไม” “เงินวัดชลประทานมีบ้างไหม เอาไปฝากทรัสต์ดีค่ะ ดอกมาก” อาตมาบอกว่า “มันดีนะ แต่มันล้มง่าย ฝากธนาคารดีกว่านะ” “ธนาคารไม่ล้มหรือเจ้าคะ” บอกว่า “มันไม่ค่อยล้มธนาคาร ถึงล้มก็ธนาคารชาติเขาค้ำไว้ไม่ให้ล้ม (ไม่ให้) มันเสียหาย แต่ทรัสต์นี่มันล้มง่าย เงินมันไม่ใช่ของฉัน (เป็น) ของชาวบ้าน ถ้าฉันเอาไปฝากแล้วมันล้ม ชาวบ้านจะด่าฉัน ฉันไม่อยากให้คนด่า แล้วไม่ไว้ใจทรัสต์ทั้งหลายทั้งปวงน่ะ” ใส่รายหนึ่ง
เดี๋ยวมาอีกแล้ว มา(แบบ)แต่งตัวดี ขึ้นที่กราบเรียบร้อย (บอกว่า) “หนูเป็นตัวแทนทรัสต์ค่ะ มาติดต่อกับหลวงพ่อให้เอาเงินไปฝากทรัสต์ไว้มั่ง ดอกมันดี” (เรา)บอกว่า “ดอกดี นี่ต้นมันจะตายไว ต้นไม้อะไรดอกมาก ลูกดก มันก็ตายไว” เลยไปอีกล่ะ หมู่นี้ไม่มาแล้ว ไม่มาหาวัดชลประทานแล้วเวลานี้ เพราะว่ารู้ว่าวัดชลประทานนี่เล่นยาก แต่ว่าหลายวัดนะ เงียบเลย เวลาทรัสต์ล้ม วัดเงียบไม่กล้าพูด เฉย พ่อค้าบางคนก็ไปเอาเงินวัดมา พ่อค้าขายหนังสือใบลาน ...... (47.01 เสียงไม่ชัดเจน) วัดโสธร วัดนั้นวัดนี้มา วัดสุทัศน์ก็มี ล้ม...ล้มแล้วสมภารเหล่านั้นเงียบเลย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกใคร คือว่าโง่แล้วไม่กล้าเปิดเผยแล้ว ก็ไม่รู้นะอันนี้ ให้เขาแล้วนี่ เปิดเผยไม่ได้ ทีนี้วันหนึ่งท่านเหล่านั้นในที่สุด พอเอาเงินไปแล้วมานั่งพร้อมหน้ากัน ไอ้เราจะพูดไปมันก็ไม่ดี เรียกว่าเขาล้มแล้วอย่าไปกระโดดข้ามเขาเลย ช่างเขาเถิด แผ่เมตตาไป มาแผ่เมตตาไป แผ่เมตตาหายไปวัดละ ๖-๗ หมื่น “ทีหลังอย่าเป็นอย่างนี้นะ ไม่ได้”
วัดนี่ให้ใครยืมเงินไม่ได้ คือไม่มีให้ยืม มีก็ให้ยืมไม่ได้ บอกว่าไม่ได้ วัดนี่ไม่ใช่ธนาคาร...ยืมไม่ได้ ให้ยืมไม่ได้ ยืมแล้วทวงยาก พระจะไปทวงก็ไม่ได้ เขาไม่ให้ คือเฉยๆ เท่านั้นแหละ คนยืมเงินวัดนี่ “กูไม่ให้แล้วจะทำอะไรกู” มันกวนเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปวัดนะ อาตมาสืบมาหลายวัดแล้ว วัดที่มีรายได้ คนก็มาขอพึ่งหลวงพ่อ หลวงพ่อขี้สงสาร แล้วมันเอาเงินไปแล้วมันเงียบฉี่ อย่าไปเร่ง อย่าไปเตือนนะ มันเฉย ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ไม่มีก็ไม่พูด ไม่ให้ก็ไม่พูด เฉยวางตนเป็นอุเบกขา เป็นหลวงพ่อในโบสถ์เสียเลย สมภารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หายทุกรายยืมไป
บางทีก็ไม่ใช่คนอื่นนะ กรรมการวัดนั่นเอง กรรมการวัดจัดนั่นจัดนี่นะ จัดเสร็จแล้วก็ได้เงินมา (ก็มาบอกว่า) “ผมมันร้อนใจเรื่องเงิน ขอยืมไปใช้ก่อนสัก ๕ หมื่นนะ” เงินมันวางอยู่เฉพาะหน้า สมภารจะปฏิเสธอย่างไร คนเคยใช้เคยสอยกันอยู่ “เอาไปเหอะ ทำสัญญาไว้หน่อย” เขียนไว้ ๒-๓ ตัวว่า “ผมขอยืมเงินวัดไปเท่านั้นหน่อย” พระก็นั่งเก็บไว้ดูเล่น พอไปเรียกมาบอก “เมื่อไหร่จะเอาเงิน(มาคืน)” “ตอนนี้ยังไม่มีหรอกหลวงพ่อ กำลังวิ่งเต้นอยู่” ทีไรก็กำลังวิ่งเต้นทุกที ไม่ได้สักที มันวิ่งยังไม่จบสักที ผลที่สุดก็สมภารตาย สมภารใหม่ขึ้นมาก็พูดไม่ออกแล้ว...สูญไป กรรมการมันรู้แบบนั้น ไม่ได้นะ...อย่าแบ่งให้กรรมการเอาไปใช้ บอกว่า “ไม่ต้อง เงินฝากธนาคารดีกว่า อย่ายุ่ง อย่ายืมใช้นะ มันไม่ได้หรอก วัดให้ยืมไม่ได้ คิดดอกเบี้ยก็ไม่ได้ เป็นบาปเป็นโทษทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่ายุ่งเลย”
ก็ดีไปอย่างหนึ่ง คนก็ไม่ค่อยขอยืม ไม่ลำบาก อาตมานี่ไม่ค่อยให้ใครยืม แม้เงินที่โยมถวายส่วนตัว ใครจะยืมก็ไม่ให้ยืม แต่ให้...ให้ไปเลย เอาไป ถ้ายืมสัก ๕๐๐ ให้ ๒๐๐ “เอ้า เอาไป ไม่ต้องยืม เอาไปเลยๆ” แล้วมาวัดปกติ ไม่ต้องกระดากนะพวกนี้ ถ้ายืมแล้ว (ต่อไป) มันไม่มาวัด มันกระดาก ไม่เอาเงินมาส่งหลวงพ่อ กระดากเลยไม่มาวัด บอก(ว่า) “ไม่ต้องกระดาก เอาไปเลยนะ เอาไปใช้สอย อย่านึกว่ายืมนะ เอาไปเลย หลวงพ่อให้” นี่สบายใจหน่อย ไอ้เราก็สบาย คือไม่ต้องนึกว่ามันจะให้เมื่อไร ให้ไปเลย...ให้ไปเลย สบายใจดี
วันนั้นมีเด็กสาวๆ มายืนอยู่เต็มหน้ากุฏิ อาตมาบอกเลย “อ้าว มีอะไรหนู” (เขาบอกว่า) “แหม หนูจะมาพึ่งหลวงพ่อหน่อย” “เป็นยังไง” “หนูมาจากเชียงใหม่” รูปร่างหน้าตามันไม่ใช่ชาวเชียงใหม่นี่ แหม นึกในใจ แล้วสำเนียงก็มันไม่ใช่ชาวเชียงใหม่ “มันเป็นอย่างไร” “หนูมาหาญาติก็ไม่พบ แล้วถูกล้วงกระเป๋า เงินพันหนึ่งหายหมด บัตรประจำตัวก็ไม่มี” นั่นมันกลัวเราจะขอบัตรประจำตัวดู มันวางแผนแนบเนียนนะ มันบอกว่าบัตรประจำตัวก็หายไปเสียด้วยนะ เออ ไอ้เราจะดูบัตรก็ไม่ได้ มันหายเสียแล้ว แล้วบอกว่าไม่มีค่ารถจะกลับบ้าน จะมาพึ่งหลวงพ่อ อาตมาก็บอกว่า “ไอ้ลูกไม้แบบนี้หลวงพ่อเจอบ่อยหนูเอ๊ย ไม่ได้หรอกแบบนี้นะ เขาเลิกใช้แล้วลูกไม้แบบนี้ ต้องหาวิธีอื่นต่อไป” แล้วก็บอกว่า “หนูไปได้ หลวงพ่อไม่ให้หรอก เพราะลูกไม้แบบนี้มันเก่าแล้ว ต้องหาแบบใหม่นะ” แล้วมันก็ไปนะ
มันอยู่แถวนี่ล่ะ คงจะแถวนนทบุรี แถวบางซื่อ บางซ่อนนี่แหละ แล้วมันก็คงจะขอพึ่งมาหลายวัดแล้วนะ แล้วมันคงจะรู้ว่าอาตมานี่เคยอยู่เชียงใหม่ คงจะสงสารคนเชียงใหม่มั้ง คงจะว่างั้น ไอ้เราสงสารไม่ลง เพราะว่ามันต้มเรา มาทำแบบนั้น ถ้ามาขอตรงๆ ว่า “แหม หนูไม่มีสตางค์ ขอหลวงพ่อใช้สัก ๑๐๐ บาท” เออ ให้มันสัก ๕๐ สตางค์ มันขอร้อยนึง เออ อย่างนั้นค่อยยังชั่วหน่อย ไอ้นี่มันเล่นลูกไม้ว่าถูกเขาล้วงกระเป๋า แล้วบัตรประจำตัวก็หาย เลยบอก “ของเท่านี้รักษาไม่ได้ แล้วจะไปรักษาอะไร หลวงพ่อไม่มีให้หรอก ถึงมีก็ไม่ให้ เพราะลูกไม้แบบนี้มันเก่าเต็มทีแล้ว” เลยมันไป เรื่องมันเป็นอย่างนี้ นี่แหละคนเรามันมีอะไรแปลกๆ ในชีวิต ถ้าว่าอยู่ไป ศึกษาไป สังเกตไป นี่ แหม เยอะแยะ ล้วนแต่เป็นเรื่องช่วยให้เกิดปัญญาทั้งนั้น จะได้พิจารณากันไว้ เอามาเล่าให้โยมฟังเพื่อจะได้จำๆ ไว้บ้าง (เอา)หนังสือ (เอา)เทปไปฟัง แล้วจะได้รู้ไว้บ้าง แล้วจะได้ไม่เสียหาย
เมื่อวานนี้ไปที่สมุทรสงคราม เขา (จัด) งานวัด ๙ วัน ๙ คืน ได้เงิน ๑ ล้าน กับ ๔ แสน จ่ายครึ่งหนึ่งเลย เขียนไว้ในกระดานไม้ จ่ายมากจริงๆ ถามพระว่า “ทำไมจ่ายมากอย่างนี้” ได้ ๒ ล้าน จ่ายไป ๑ ล้าน วัดได้ ๑ ล้านกับเศษนิดหน่อย จ่ายก็มีเสริม (53.41 เสียงไม่ชัดเจน) “จ่ายอะไรมากอย่างนี้” “มีดนตรี” “(แล้วมัน) เรื่องอะไรต้องเอาดนตรีมา แล้วมาจ่ายมากอย่างนี้ ทำไมทำงานโดยไม่ต้องมีดนตรีดู มันจะได้สักเท่าไร ไม่ลองดูมั่ง วัดแคบๆ” อ่านแล้วมันตกใจ เพราะรายจ่ายมันไปครึ่งหนึ่ง ได้มา ๒ จ่ายไป ๑ มันได้ครึ่งเดียว มันเข้าบทเพลง (ที่) ว่ากรรมการครึ่งหนึ่ง วัดครึ่งหนึ่งแล้วอย่างนั้น
เลยเรียกพระมาสัมภาษณ์ดูว่า “ทำไมจ่ายมากอย่างนี้” “โห เรื่องมากครับ ดนตง ดนตรีเยอะแยะ” “อ้าว ไปเอามาทำไม ไปเล่นทำไม เราพูดธรรมะไม่ดีกว่า(หรือ)” ให้คนมาไหว้พระ นี่ไม่ใช่มาสนุก เวลาทำงาน (โฆษณาว่า) งานไหว้พระ ไม่ได้ไหว้หรอกพระ มาดูสายัณห์ สัญญา อะไรก็ไม่รู้ มันไปเรื่องอื่นหมด อย่างนี้เลยจ่ายมาก เสียดาย...อาตมาเสียดายเงิน เสียดายเงินทองของญาติโยมที่เอามาทำบุญ...แล้วจ่ายไปตั้งครึ่ง มันน่าเสียดาย เห็นแล้วมันทนไม่ค่อยได้ ต้องศึกษาเรื่องนี้ ถามพระที่(เป็น)ผู้จัดการว่า “ทำไมถึงจ่ายมาก” เขาบอกว่า “เสียค่าดนตรี ค่านู้น ค่านี้” หาเรื่องให้เสีย มันก็ต้องเสียอย่างนี้
เอ้า สมควรแก่เวลาแล้ว เอ้า ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที