แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้วันอาทิตย์ที่ ๒๑ เดือนมกราคม อีกอาทิตย์เดียวก็หมดเดือนอีกแล้ว วันเวลานี่ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วตามธรรมชาติของเวลา เราทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในโลก ก็ต้องหมุนไปตามเวลา เพราะเวลาที่ผ่านไปนั้น ไม่ได้ไปแต่เวลาเฉยๆ แต่มันลากเราไปด้วย ลากไปอย่างชนิดถูลู่ถูกังไปตามเรื่อง เราจะเต็มใจไม่เต็มใจ เวลามันก็ลากเราไป คือทำให้เราเปลี่ยนไป ในทางที่เจริญขึ้นบ้างเจริญลงบ้าง ถ้าเป็นเด็กก็เรียกว่าเจริญขึ้น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็เรียกว่าเจริญลง คือเป็นเด็กนี่เติบโตขึ้นตามเวลา เวลาเพิ่มขึ้นอายุเด็กก็เพิ่มมากขึ้น เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่เรานั้น ยิ่งเวลาล่วงไปๆ เราก็ทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ สังขารร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปโดยธรรมชาติแล้วผลที่สุด เราก็ถึงที่สุดของชีวิต เรียกว่าที่สุดของความเปลี่ยนแปลง เมื่อถึงที่สุดของความเปลี่ยนแปลง เราก็อยู่ไม่ได้ หมดลมหายใจหมดความรู้สึก นอนนิ่งดุจท่อนไม้ท่อนฟืน อันนี้เป็นเรื่องหนึ่งของธรรมชาติที่จะต้องเป็น เราชอบก็ตามไม่ชอบก็ตาม มันก็ต้องเป็น คือเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายนั้นไม่คงที่ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และความเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดของความเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะแตกดับ คล้ายกับไฟที่เราใส่ไม้ฟืนเข้าไป ไฟมันก็ไหม้เชื้อเพลิง ไหม้ไปๆเชื้อเพลิงหมด เชื้อเพลิงหมดไฟก็ดับไป เหลืออยู่เป็นถ่าน ไม่มีเปลว แล้วต่อไปถ่านนั้นก็ดับสนิท กลายเป็นถ่านไฟไป ซึ่งเอาไปใช้เรื่องอื่นได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าเป็นขี้เถ้าก็เอาไปใช้ทำปุ๋ยได้ ทุบกะดินให้ต้นไม้กินต่อไป
อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้เป็นวัตถุสิ่งของที่เราสร้างสรรค์มันขึ้นมา แม้เรื่องของพื้นโลกที่เราอยู่อาศัย มันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ถ้าเราสังเกตดูในที่ๆเราเคยอยู่อาศัยจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เช่นกรุงเทพเรานี้ มีพวกธรณีวิทยาคือผู้ที่มีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับดิน แผ่นดิน เขาบอกว่ามันทรุดลงไปเรื่อยๆ ทรุดทีละน้อยๆ เพราะฉะนั้นน้ำจึงเอ่อท่วมกรุงเทพได้ง่ายเพราะกรุงเทพมันทรุดลงไป ทรุดเพราะอะไรก็ไม่รู้ อาจจะทรุดเพราะหนักตึกก็ได้ เพราะเราไปสร้างตึกใหญ่ๆสูงๆ แผ่นดินมันก็ทานไม่ไหว ก็ค่อยทรุดลงไปเรื่อยๆ อาจจะทรุดหายไปในทะเลก็ได้
บ้านเมืองบางเมืองในสมัยโบราณ จมหายไปในแม่น้ำก็มี ตัวอย่างเช่นเมืองปาตลีบุตร ซึ่งในสมัยนี้เขาเรียกว่าเมืองปัตนะ ในประเทศอินเดีย เป็นนครหลวงของพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกมหาราชได้สร้างเมืองปาตลีบุตรเป็นนครหลวง อยู่ใกล้กับแม่น้ำคงคา แล้วเมืองนี้ได้หายไปกับกระแสน้ำ คือแม่น้ำมันท่วมเซาะเมืองหายไปทั้งเมือง ยังเหลืออยู่นิดหน่อย แล้วเขาขุดพบซากเสาหินใต้ดิน เสาไม่ใช่ต้นเล็กๆ วัดวงกลมได้ตั้งสองเมตรสามเมตร เป็นหินทั้งก้อนเอาไปฝังลงในดินเอาไปฝังเป็นรากอาคาร เขาขุดพบก็ขุดให้ล่อไว้อย่างนั้น เป็นตอหิน ให้คนได้ดูว่าคนสมัยก่อนยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดไหนแต่ว่าจะใหญ่สักเท่าไหนมันก็หนีความเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ผลที่สุดเมืองปาตลีบุตรก็จมไปในแม่น้า จมหายไปในแม่น้ำ
เมื่อสองปีก่อนนี้ ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดพัทลุง จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดเพราะว่าน้ำที่มาท่วมมันไม่ได้ไหลตามลำห้วยที่มันเคยไหล แต่มันทำห้วยขึ้นใหม่ ทำคลองขึ้นใหม่ ทำไปยาวตั้ง๑๐กม แล้วมันเซาะพังเอาบ้านเรือนหายไป หาไม่เจอเลย ไม่รู้ว่าเรือนเป็นหลังๆมันหายไปไหน จมดินไปหมดเลย หาไม่พบ ก็เป็นวัตถุจมดินต่อไป ในสมัยต่อไปข้างหน้าอาจจะมีคนไปขุดไปพบเข้า ก็คงจะนึกว่าเอ๊ะมันไม้ทำบ้านแล้วมันมาอยู่ได้อย่างไร คนสมัยนั้นก็คงจะไม่รู้สภาพของธรรมชาติที่มันเปลี่ยนแปลงไป ในสภาพอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลาเขาขุดลงไปในดิน บางทีก็ขุดพบสมอเรือ จมอยู่ในดินลึกมาก พบเชือกสำหรับผูกเรือจมอยู่ในดิน หรือพบซากสัตว์ตัวใหญ่ๆ เช่นช้างเป็นต้น จมอยู่ในดินก็มี ซากปลาจมอยู่ในดินในหิน เป็นภาพประทับไว้ในหินที่เขาเรียกว่าฟอสซิล มันติดอยู่ในหินนั้นเป็นรูปปลาเลยทีเดียว แสดงว่าสมัยก่อนมันยังไม่เป็นหินนะ แต่ว่านานเข้าๆ มันก็เป็นหินขึ้นมา ต้นไม้ที่จมอยู่ในดินนานๆมันกลายไปเป็นหินได้
ไปเที่ยวเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย เข้าไปในพิพิธภัณฑ์เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งกะประมาณ ๑๕ เมตร มีกิ่งด้วยนะ ไม่ใช่ลำต้นเฉยๆมีกิ่งด้วย ยาว กองอยู่ ข้างๆ พิพิธภัณฑ์ ก็นึกว่าต้นไม้อะไรเขายกมาไว้ที่นี้ เข้าไปใกล้ เอามือเคาะดู มันไม่ใช่ต้นไม้แต่มันเป็นหิน เป็นหิน ต้นไม้ดูแล้วมันก็ต้นไม้ ถ้าเราดูแต่ไกล สภาพมันก็คือต้นไม้ แต่ว่าพอเข้าใกล้คลำดูมันกลายเป็นหินไป เป็นหินที่จมอยู่ในดินตั้งสามร้อยล้านปี เขาเขียนบอกไว้อย่างนั้น ประมาณเอา ไม่มีใครนับได้ ประมาณเอาว่าสามร้อยล้าน มันก็จมเป็นก้อนหิน เขาขุดมาได้ อันนั้นเป็นต้นใหญ่ ไอ้เป็นท่อนเป็นอะไรที่เขาขุดๆมาเยอะแยะที่มันจมอยู่ในดิน อันนี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของพื้นแผ่นดิน ทำให้ทำให้เกิดอะไรจมอยู่ในนั้นมากมาย ให้เราได้ไปพบไปเห็น
ที่ประเทศอิตาลีเขาเรียกว่ามีเมืองอยู่ทั้งเมืองทีเดียว เกิดภูเขาไฟระเบิดในเมืองนั้น แล้วซากภูเขาไฟที่เขาเรียกว่า เถ้าถ่านมันไหลมาท่วมเมืองทั้งเมือง ทั้งเมืองจมอยู่ในดินหมด แล้วก็ไปทำการขุดค้น คนนอนอยู่ สองคนสามีภรรยานอนอยู่บนที่เดียวกันก็มี นอนคนเดียวก็มี ซากไก่ ซากเป็ดซากแกะซากสัตว์เป็นตัวๆที่ถ่านไฟมันหุ้มอยู่ ขี้เถ้าจากภูเขาไฟมันไหลมาห่อหุ้มไว้ สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไป กลายเป็นเมืองพิพิธภัณฑ์ไปทั้งเมือง ที่มันจมลงไปนั้น
อันนี้คือความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นว่ามีอยู่ทั่วๆไป สมัยเมื่อเป็นเด็ก บริเวณใกล้ภูเขาแห่งหนึ่งที่จังหวัดพัทลุง ถ้าควายลงไปในนั้นลงไปในโคลนถึงท้อง ลงไปในโคลนถึงท้อง มีต้นกกขึ้นงาม เวลาเขาจะไปทำนา เขาไม่ต้องไปไถไปอะไรให้มันยุ่ง ไปตัดต้นกกออกแล้วเอาข้าวไปดำไว้เท่านั้น ต้นข้าวโตขนาดอย่างนี้ เรียกว่าโตเท่าชามที่เรากินข้าว ต้นข้าวมันโตอย่างนั้นเป็นโคลนลึกอย่างนั้น ปลิงก็ชุมในโคลนเหล่านั้น เคยเอาควายเข้าไปเลี้ยง มันลงไปในโคลนนั้นแล้วขึ้นยากเต็มที มันลึกทับถมกันอยู่นานแล้วก็ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปหมดไอ้ที่เป็นโคลนเป็นตมนั้น มันแห้งไปหมดเป็นทรายไป ก่อนนี้ไม่ต้องไถนา เอาข้าวไปปักลงในโคลนมันก็งามแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องไถแล้ว แล้วดินแถวนั้นก็แห้งไปหมด มันเปลี่ยนแปลงไป ในลำห้วยลำคลองบางแห่ง เมื่อก่อนเขาเรียกว่าเป็นวัง น้ำลึกน้ำเย็น จระเข้อยู่ได้ เดี๋ยวนี้ มันไม่มี มันแห้งตื้นเขินกันไปหมดเพราะดินที่ลงมาจากภูเขาในหน้าฝนมาทับถม ทำให้ที่ลุมกลายเป็นที่ดอนขึ้นมา ที่ดอนบางแห่งก็เป็นที่ราบไปเพราะคนไปขุดมาถมที่ลุ่ม ถมกันใหญ่ เหมือนกับเมืองนนท์เขาขุดดินไปถมกรุงเทพ ขนทุกวันเลย เมืองนนท์ตามทุ่งนาก็กลายเป็นบึงหนองไป ใครมาซื้อดินก็ต้องหาดินมาถมกันต่อไปอีก นี่คือการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่มันเป็นไปในรูปต่างๆ
สมัยก่อนนี้ ป่าใหญ่ๆถ้าเราเดินเข้าไปในป่า เย็นเงียบ ได้ยินแต่เสียงเรไรร้องหรีดหริ่งๆ ดังก้องไปไกลๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ป่าใหญ่ๆเหล่านั้นมันหายไปหมด คนตัดหมด แล้วก็กลายเป็นสวนยางพาราบ้างสวนอะไรต่ออะไรบ้างจนหมดไป ทางไปจังหวัดเลย เขาเรียกว่าป่าลานใหญ่ ต้นลานนี่มากที่สุด เขาตัดใบลานที่นั่นมาจานหนังสือ สมัยก่อนเอามาทำหมวกทำอะไรขาย เวลานี้ต้นลานหายหมดเลย คนตัดหมดเลย แล้วก็ทำสวนอะไรต่างๆต่อไป อันนี้เอามาพูดให้ฟัง ให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนแปลงไปเหลือเกิน เปลี่ยนแปลงไปจนเราจำไม่ได้ ในอายุของเรานี่ก็มีการเปลี่ยนแปลง ต่อไปก็มีการเปลี่ยนแปลงต่อไปอีก
โยมญาติโยมเคยไปเที่ยวเมืองสุโขทัย เก่าไม๊ เข้าไปแล้วจะเห็นว่าเมืองสุโขทัยนี่๘๐๐ปีแล้ว เวลานี้ ๘๐๐ ปี เขาไปทำการบูรณะซ่อมแซมของเก่าๆ แล้วที่วัดเขาเรียกวัดมหาธาตุ ซึ่งมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สวยงาม พระพุทธรูปองค์นั้นมาอยู่ที่กรุงเทพ อยู่ที่วิหารที่วัดสุทัศน์ ที่ไปวัดสุทัศน์ฯแล้วด้านที่หันหน้ามาทางเทศบาลเขาเรียกว่าวิหาร โบสถ์ตึกขวางอีกทีหนึ่ง ในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยสวยงามมากอยู่องค์หนึ่ง แต่ว่าวางไว้สูงเกินไป เวลาไหว้ก็เห็นแต่รูจมูกของท่านเท่านั้นเอง เพราะว่ามันสูง ไหว้แล้วต้องนั่งเหงนคอตั้งบ่าจึงจะเห็นหน้าหลวงพ่อ แต่ไม่เห็นหน้าเห็นจมูก ไว้สูง ไม่เหมือนกับคนสมัยก่อน คนสมัยก่อนเขาสร้างพระอย่างนั้น เขาไม่วางสูง แต่เขาวางระดับเหมาะแก่สายตา เช่นหลวงพ่อพุทธชินราชที่ พิษณุโลกเป็นต้น เขาวางไม่สูง คนเดินเข้าไป พอเหยียบประตูเท่านั้นแหละ เห็นหน้าหลวงพ่อ เดินเข้าไปๆตามองหลวงพ่อจะสวยงามมาก แล้วก็ทำเสาบังคับสายตาไว้ มีเสาเป็นแนวไปให้เราต้องพุ่งไปที่หลวงพ่อท่าเดียว จึงเห็นหลวงพ่อพุทธชินราช สวยงามตั้งแต่เริ่มเข้าไป จนเข้าไปใกล้ชิด เดินถอยหลัง ตาจับอยู่ที่พระพุทธรูปก็ยังงามอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าคนชั้นปู่ทวดของเราทั้งหลายนั้นฉลาด ดูเหมือนจะฉลาดกว่าพวกเราด้วยซ้ำไป ในบางแง่นะ แต่ว่าบางแง่ เรามันเก่งกว่าเพราะเรามีคอมพิวเตอร์สมัยนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์ แต่เขาวางพระให้เหมาะแก่สายตาดูได้สวยงาม
หลวงพ่อที่เอามา เขาเรียกว่าพระศรีศากยมุนี เอามาไว้วัดสุทัศน์ ดูแล้วไม่เจอความงามเพราะดูแล้วไปเห็นแท่นที่นั่ง ไม่เห็นองค์พระ ถ้าเห็นองค์พระต้องแหงนแล้วเจ็บคอ ดูพระแล้วปวดคอดูไม่ไหว ศิลปะเนื้อที่มันคับแคบ นั่นแหละหลวงพ่ออยู่วัดมหาธาตุ กรุงสุโขทัย เราไปเข็นมาเอามาไว้กรุงเทพ วัดนั้นก็เลยร้างไป ร้างไปเป็นเวลาตั้ง ๖-๗ ร้อยปี ใครไม่ค่อยสบาย มีเสียงหาวดังๆ เป็นลมเหรอ
อันนี้ก็ ดินที่มันทับถม ทับถมๆลงไป สูงตั้งเมตร เขาเอารถเข้าไปกวาดดินข้างบนออก ไปเห็นอิฐที่เขาปูไว้บนพื้นดิน อิฐแผ่นอย่างนี้ อิฐทำด้วยดิน อิฐหน้าวัวเขาเรียก ใหญ่อย่างนี้ วางไว้ ยังอยู่เรียบร้อย กวาดออกไปแล้ว ที่มันทับถมๆสูงขึ้นมาสูงขนาดไหน นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นได้ง่าย
โบสถ์วัดคูหาสุวรรณ ที่ริมแม่น้ำยมเมืองสุโขทัย ถ้าไปเห็นแล้วเราคงจะนึกว่าเอ๊ะคนโบราณนี่มันสร้างโบสถ์อะไร หน้าต่างเสมอดิน หน้าต่างเสมอกับพื้นดิน ถ้าเราไปเห็นก็คงเถียง เอ๊ะ ออกแบบอะไรหน้าต่างเสมอแต่ดิน คนเดินเข้าไปได้สบายๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ดินแม่น้ำยมที่มันพัดมาทุกฤดูฝน มาทับถม ถมจนกระทั่งสูงเสมอหน้าต่างของโบสถ์ มันสูงขนาดไหน เราดูโบสถ์ทั่วๆไป หน้าต่างอย่างน้อยก็สูงเมตรครึ่งจากพื้นดิน แต่นั่นดินถมขึ้นไป
ถ้าเราไปมองศรีสัชชนาลัยซึ่งเป็นเมืองเก่า ที่สมัยวงศ์พระร่วงท่านตัดถนนจากสุโขทัยไปศรีสัชนาลัย ไปกำแพงเพชร วัดศรีสัชชนาลัย วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มีเจดีย์ทำด้วยศิลาแลง กำแพงก็ทำด้วยศิลาแลง เวลาเราเข้าไปในเจดีย์ต้องก้มเข้าไป คนสมัยนี้บอก เอ๊ะ พระร่วงคงจะไม่ใหญ่ เพราะว่าซุ้มประตูมันเล็ก เราเดินยังต้องก้มเลย แม้คนเตี้ยก็ยังต้องเดินก้ม พระร่วงคงจะเล็ก พระร่วงไม่ได้เล็กอย่างนั้น แต่ว่าดินที่มาทับถมในวัดนั้น เพราะมันอยู่ใกล้แม่น้ำยม ทำให้สูงขึ้นๆจนจะปิดประตูเจดีย์ไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศมันก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น นี่เรื่องพื้นดินมันเปลี่ยนแปลงไปมากมายก่ายกอง
คราวนี้พูดถึงอุตุลมฟ้าอากาศมันก็เปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เวลานี้ในประเทศอเมริกาหนาวที่สุด เรียกว่าในรอบ ๔๐ปีไม่มีความหนาวเท่าปีนี้ มันเปลี่ยนไปอย่างนั้น หนาวที่สุด ปรอทที่วัดอุณหภูมิ มันลงไปใต้ศูนย์ตั้ง ๓๐ ๔๐ ปกติมันอยู่บนศูนย์ นี่มันลงไปจนหมดปรอทแล้วไม่รู้จะลงไปตรงไหนหนาวถึงขนาดอย่างนั้น น้ำแข็งเต็มไปหมด หิมะสูงสามฟุตสี่ฟุต โยมลองนึกดูถ้าโยมไปยืนอยู่กลางถนน แล้วหิมะมันจะถมโยมของเราทั้งหมด จมหายไปในหิมะ กลายเป็นน้ำแข็งไปเลย
รถยนต์วิ่งไปๆ หิมะมันท่วม ตกๆๆๆท่วมลงไปในรถ รถนั้นก็เปิดเครื่องไป เปิดไปเปิดมาก็ไม่ได้แล้ว มันเกิดอากาศเสีย คนในรถนั้นจะตายถ้าไม่ทิ้งรถ ถ้าทิ้งรถก็ต้องวิ่งเหยียบหิมะสูงถึงเข่า เรียกว่าสูงถึงกลางขา ถ้าถึงกลางขาแล้วมันเดินไม่ไหวแล้ว ถลำไปแล้วยกไม่ขึ้น ก็ได้นอนแช่หิมะเท่านั้นเอง กลายเป็นศพกองหิมะเท่านั้นเอง มันเปลี่ยนแปลง หนาวที่สุด ในบางรัฐของอเมริกาไม่เคยหนาวรุนแรงเช่นรัฐฟลอริดา ไมอามี ฟลอริดา มันร้อน อบอุ่น เขาเรียกว่าอยู่ในเขตอบอุ่นเพราะมีมะพร้าว มีมะม่วง มีพืชเมืองร้อน มันมีอยู่ในที่นั่น แต่ปีนี้หนาว มีลมหนาวแรง พืชผักเสียหายมากต้องรีบเก็บ ไม่เก็บแล้วจะเสียหาย นี่คือความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศที่มันเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ประเทศอังกฤษก็หนาวเหมือนกัน แต่ปีนี้ไม่กลับรุนแรงเท่าไหร่ วันคริสต์มาสเขาถือว่าเป็นวันที่ต้องมีหิมะไม่มี กลับไม่มีแต่กลับไปหนาวหนักในอเมริกา หนาวอยู่ในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นหนาวมาก หิมะตกเหมือนกัน เปลี่ยนแปลงไป
ในเมืองเรา ความเปลี่ยนแปลงทางอากาศไม่รุนแรง หนาวก็ไม่มาก ร้อนก็อย่างนั้นแหละ ถ้าเอาไปเทียบกับประเทศอื่นที่เขาร้อน เรายังสบายใจกว่า ยังภูมิใจว่า เราไม่ร้อนเกินไปไม่หนาวเกินไป เมืองไทยนับว่ามีบุญ ที่มันไม่รุนแรงในเรื่องธรรมชาติดินฟ้าอากาศ พอดิบพอดีที่เราจะอยู่กันได้สบายๆ แต่ว่าเพราะอยู่กันสบายมากเกินไป เราก็ประมาท แล้วก็ถ้าทำอะไรที่ผิดพลาดเสียหาย สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้น เพราะการกระทำของมนุษย์มีมากมาย อันนี้จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้น
ร่างกายของเรามันก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออก มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่เขาชมเราบางคนว่าดูยังไม่แก่ ไม่จริงหรอก มันแก่ทุกนาทีแก่ลงไปๆ แต่ว่าบางคนมันแก่ช้า แก่ช้าเพราะว่าเครื่องปรุงแต่งร่างกายนั้นมันสมบูรณ์ ได้รับร่างกายนี้มาจากคุณพ่อคุณแม่ที่สมบูรณ์ ร่างกายของเราจะดี จะเป็นอย่างไรนั้น มันขึ้นที่คุณพ่อคุณแม่ ผู้ให้ชีวิตแก่เรา คุณพ่อคุณแม่ท่านให้ชีวิตแก่เราสมบูรณ์ เพราะว่าตัวท่านสมบูรณ์ ท่านไม่ค่อยมีโรคเบียดเบียนไม่มีโรคเบาหวาน ไม่มีโรคอะไรที่มันเกิดติดต่อกันเป็นกรรมพันธุ์ บางโรคเรียกว่ามันต่อกันไป พ่อเป็นลูกเป็นหลานเป็น เป็นโรคประจำตระกูล เช่นบางตระกูลเป็นโรคลม ลมชัก ก็เป็นต่อกันมา เป็นวัณโรคก็ต่อกันมา หรือว่าเป็นโรคทางประสาท พวกไม่ค่อยเต็มบาทบ้าๆบวมๆ มันก็ต่อกันเหมือนกัน พ่อแม่เป็นโรคบวมๆอย่างนั้น ลูกก็เป็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะไปเอาใครมาเป็นสมาชิกในครอบครัวต้องดูให้ดี เช่นจะไปเอาลูกสะใภ้หาลูกสะใภ้ต้องดูให้ดี อย่างดูเพียงรูป ต้องดูไปถึงแม่ถึงพ่อปู่ย่าตายาย ที่มาผสมเป็นผู้นั้นขึ้นมา ส่วนผสมมันเรียบร้อยไม๊ ถ้าส่วนผสมมันไม่ค่อยเรียบร้อยมีเชื้อมีโรค มีนิสัยประจำครอบครัวต้องระวัง มันจะถึงระยะหนึ่งที่จะเกิดโรคอย่างนั้นขึ้น แล้วมันก็จะเป็นไปอย่างนั้น อันนี้คนโบราณเขาเลือกมาก เขาเพ่งเขาพิจารณารอบคอบ ไม่ใช่คนโบราณไม่รู้อะไรนะ เขารู้เขาพิจารณาละเอียดลออ กว่าที่จะมีลูกเขยสักคนหนึ่ง มีลูกสะใภ้สักคนหนึ่งเขาไม่มักง่ายหรอก คนโบราณเขาศึกษาสอบสวนกรรมพันธุ์สืบสวนวงศ์ตระกูลเรียบร้อย จึงจะไปสู่ขอเอามาไว้ในครอบครัว เดี๋ยวนี้พ่อแม่ไม่ค่อยมีส่วนหรอก เพราะทำกันเอง เขาพอใจกันรักใคร่กัน แล้วก็ไม่ค่อยจะได้ไต่สวนให้ลึกซึ้งดูแต่รูปร่าง นิสัยใจคอที่ผิวเผินไม่ได้ดูอย่างลึกซึ้งไม่ได้ดูละเอียด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า …… (24.05) ศีลจะรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกันนานๆ คนเราพบกันใหม่ๆเขามีมายาแสดงออกได้ ในรูปต่างๆ แต่ถ้าอยู่ไปนานๆจะเห็นว่านิสัยดั้งเดิมเป็นอย่างไร เรื่องเดิมเป็นอย่างไร ดูได้ว่าเป็นอย่างไร
เคยอ่านเรื่องนิทานสมัยเด็กๆ ว่ามีคนชอบทำจารกรรม ปลอมตัวเข้ามาในบ้านเมืองนั้นแล้วพูดภาษาคนท้องถิ่นนั้นได้ดีมาก สำเนียงชัดถ้อยชัดคำ ใช้ภาษาถูกต้อง ใครๆก็ไม่รู้ว่า ดั้งเดิมของคนๆนั้นเป็นชาติอะไร พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ อำมาตย์คนหนึ่ง ชื่ออำมาตย์ธีรพลท่านเป็นผู้ฉลาดในการที่จะทดสอบคน เพื่อให้รู้สถานะดั้งเดิมจิตใจดั้งเดิม สภาพดั้งเดิมของคนนั้นว่า เป็นอะไร ท่านก็ให้คนไปแอบซุ่มอยู่ในข้างทาง แล้วคนนั้นเดินออกมาๆ ก็ออกมาตะคอกขู่ให้ตกใจ ทำให้ตกใจ เหมือนเราไปแอบซุ่มอยู่ แล้วคนเดินมาก็ทำขู่วู้ ให้ตกใจ พอตกใจก็ต้องพูดภาษาเดิม พูดในสิ่งที่มันเคยพูด แล้วก็รู้ว่าเป็นคนภาษาอะไร เพราะว่าพอตกใจก็เปล่งภาษาเดิมออกมา สมมุติว่าคนปักษ์ใต้ตกใจ มันต้องพูดภาษาใต้ เพราะมันเคยพูดมานาน คนเหนือตกใจก็ พิโธ่พุทถัง อะไรออกมาตามที่เคยว่า มันแกล้งทำไม่ได้เวลาตกใจนี่ มันต้องว่าออกมาตามธรรมชาติ ก็เลยจับได้ว่าอ้อนี่เป็นคนอะไร ก็เลยจับได้ทันที วิธีการเขาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นของเดิมมันมี คนเรามันมีของดั้งเดิมอยู่
อันนี้เราจะต้องศึกษาว่าเดิมมันเป็นอย่างไร ศึกษาให้ละเอียด อย่ารีบร้อนต้องใจเย็นๆ ดูกันนานๆหน่อย จึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถูกต้อง คนโบราณเขาเก่ง เราอย่านึกว่าคนโบราณไม่ได้เรื่อง เขาเก่ง ถ้าไม่เก่งก็รักษาบ้านเมืองให้เราอยู่ไม่ได้หรอก สร้างอะไรดีงามไว้ให้เราชมได้ตั้งมากมาย ฝีมือคนสมัยปัจจุบัน ถ้าเอาไปเปรียบกับคนสมัยก่อนแล้ว สู้เขาไม่ได้ ความละเอียดความประณีตความมั่นคง อย่าไปแข่งๆ ไม่ต้องอะไร ดูอาคารที่สร้างสมัยใหม่ จะเอาไปแข่งกับโบสถ์วัดพระแก้ว โบสถ์วัดโพธิ์ โบสถ์วัดสุทัศฯ อย่าไปแข่งเลย ของเขามั่นคง ไม่มีคอนกรีตไม่มีเหล็ก แต่ว่าเขาก่ออิฐซ้อนกันไป สองต่ออย่างนี้ ไม่มีแตกไม่มีร้าว แตกหน่อยก็แค่ผิวๆ กระเทาะแล้วก็พอกใหม่เรียบร้อย ไอ้ที่พอกใหม่สู้ปูนสมัยเก่าเขาไม่ได้ มันผิดกันอย่างนี้ เราอย่าเที่ยวหยิ่งผยอง ว่าเราเก่ง ยังไม่เก่งเท่าบรรพบุรุษเราหรอก ท่านเก่งหลายเรื่องหลายประการ เราสิไม่เก่งเท่า เรามันผิวเผิน ของท่านมันลึกซึ้ง อะไรๆมันลึกซึ้งละเอียดอ่อน ของเรานี่มันผิวๆไปเท่านั้นเองไม่ได้เก่งกาจอะไร
ที่ไชยามีพระธาตุอยู่ วัดพระธาตุ เขาเรียกวัดพระธาตุไชยา อิฐที่เอามาก่อนี่แข็งเหลือเกิน แข็งมากแล้วก็เชื่อมระหว่างอิฐนี่สนิท ต้นโพธิ์ต้นไทรขึ้นคลุมเจดีย์ คลุมไปหมด ไม่มีโอกาสที่จะเจาะเข้าไปในระหว่างอิฐก้อนใดเลย ไม่แตก ไม่มีช่องที่จะเจาะเข้าไปได้เลย ท่านเจ้าคุณพระไชยาพิวัฒน์ เจ้าคณะจังหวัด ท่านมาซ่อม ตัดต้นไม้ออกก็ดึงรากไม้ออกมาเท่านั้นเอง เหมือนเราลอก.... ที่ติดตามฝาเท่านั้นเอง อิฐไม่มีเสียหายเลย ยังเรียบร้อยทุกประการ เราสมัยนี้ทำได้ไม๊ อิฐอย่างนั้น ก่ออิฐอย่างนี้ได้ไม๊ ดูช่างก่ออิฐเดี๋ยวนี้ปูนวางห่างๆแตกๆร้าวๆ ไปไม่เท่าไหร่อิฐแตกแล้ว มันไม่มั่นคง อันนั้นมันตั้งพันกว่าปีแล้วยังไม่แตกเลย เขาทำยังไง แล้วก็เจ้าหน้าที่ฝ่าวิชาการทั้งหลายก็ไปเซาะเอามา แยกธาตุพิจารณาก็แยกไม่ออกไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร แสดงว่าเราเก่งสู้เขาไม่ได้
ที่เมืองสุโขทัย มีวัดอยู่วัดหนึ่งเรียกว่า วัดพระเชตุพน ขุดเป็นคูแล้วก่อกำแพง สร้างวิหารไว้ในเกาะ ทางที่จะไปสู่วิหารนั้นเอาหินมาก้อนหนึ่ง ทั้งก้อนเลย ยกมาทำเป็นสะพาน ยกมาทั้งก้อนเอามาทำเป็นสะพานให้คนเดินไปสู่วิหาร แล้วซุ้มประตูวิหารมีหินก้อนอย่างนี้ เอามาปิดฝาวัดอย่างนี้ วาหนึ่งพอดี สูงท่วมหัวยื่นมือขึ้นไปอีก หินก้อนนั้นความสูงกว้าง ๑วา สูง ขนาดอย่างนี้ เรียบร้อย ทั้งก้อนเลยยกมาอย่างไร แล้วก็มีหินเหลืออยู่ก้อนหนึ่ง กองอยู่บนถนน เจ้าหน้าที่ศิลปากรที่ไปบูรณะเมืองเก่านั้น ยังไม่สามารถจะยกหินก้อนนั้นออกจากถนนตรงนั้นได้เลย แล้วปู่ทวดย่าทวดสมัย ๗๐๐ ปีท่านยกมาอย่างไร เอามาจากตรงไหนก็ไม่รู้หินนั่นน่ะ เอามาไกลเอามาอย่างไรท่านไม่มีเครื่องทุ่นแรงไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอะไร ท่านยกมาได้ แล้วมาชั้นเหลนโหลน หินมันขวางทางอยู่ยกไม่ได้ ต้องให้รถวิ่งอ้อมไปทั้งสองข้างก้อนหินก้อนนั้นแหละ
ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ศิลปากรว่า แล้วทำไมไม่ยกไป ยกไม่ไหว มันใหญ่เหลือเกิน อ้าวแล้วคนสมัยพระร่วงยกมาได้อย่างไร ใครเก่งกว่าใครเราคิดดู เราเก่งสู้ท่านไม่ได้ ยังยกออกไม่ได้เวลานี้หินก้อนนั้น แสดงว่าเราสู้ท่านไม่ได้ คนโบราณเขาเก่ง เขายกมาอย่างไรหินก้อนโตๆอย่างนั้น เหมือนกับ ปิรามิดในอียิปต์ หินก้อนใหญ่ๆเขาสร้าง แต่นั้นมันไกล มองไม่เห็นแล้ว ไปดูสุโขทัยก็เห็นแล้วว่า เขายกมาอย่างไร เขาตั้งขึ้นได้อย่างไร ไม่มีเครื่องทุ่นแรงเหมือนสมัยนี้ แต่เขาทำได้ นี่แสดงว่าเขาเก่งเหมือนกัน เราอย่าไปนึกว่าเราเก่ง สู้ไม่ได้หรอก สู้คนโบราณไม่ได้ ความเก่งของท่านมันเก่งกาจ แต่ว่าในบางเรื่องน่ะเราอาจเก่งกว่า เพราะในสมัยนั้นมันไม่มี เทคโนโลยีท่านไม่เก่งหรอก แต่ว่าท่านทำอะไรใหญ่โตมโหฬารเก่งเหมือนกัน อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด ที่เราจะต้องนึกว่า อ้อ บรรพบุรุษของเรานี่ไม่เลว ท่านเก่งกาจ ท่านมีความสามารถหลายแง่หลายมุม เราไม่ควรจะนึกดูถูกดูหมิ่นคนสมัยก่อนๆ แต่นึกว่าเออน่าบูชา ที่เขาคิดทำอะไรขึ้นมา หลายสิ่งหลายอย่างเป็นบทเรียน เป็นเครื่องสอนใจ ให้เราได้รู้ได้เข้าใจ
สมัยนี้ในหลวงท่านเสด็จไปไหน ท่านก็ไปสร้างอ่างเก็บน้ำไว้ตามที่ต่างๆ ยุคพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพ่อขุนรามคำแหง ท่านก็มีความคิดอย่างนี้เหมือนกัน เพราะเมืองสุโขทัยมันอยู่ไกลแม่น้ำ ไกลแม่น้ำเหลือเกิน ระหว่างเมืองสุโขทัยกับแม่น้ำยมเป็นทะเล เป็นบึง ในศิลาจารึกว่าเบื้องตีน (32.34) …… ของเมืองสุโขทัยเป็นทะเลใหญ่ รึเป็นทะเลเป็นบึงใหญ่ ลึก ปลาชุมสุโขทัยในน้ำมีปลาในนามีข้าว ปลามากสมัยนั้น เดี๋ยวนี้ปลาเมืองสุโขทัยก็ยังมีมากอยู่เหมือนเดิม ปลาช่อนคำริ้วใหญ่ๆมีเยอะ หน้าแล้งก็จับมากินกัน ยังมีอยู่ เมืองสุโขทัยมันเป็นที่ดอน ไกลน้ำ แต่ว่าไม่ลำบากเรื่องน้ำ เพราะว่าขุดกะพังโกยสี กะพังเงินกะพังทอง น้ำใสจืดสนิทเหมือนน้ำแม่โขงเมื่อแล้ง แม่โขงหน้าแล้งมันใส แม่โขงหน้าฝนโอ๊ยไม่ไหวกินไม่ลง ตักน้ำมาขันหนึ่งแล้วทิ้งไว้ ตะกอนครึ่งขัน แม่โขงหน้าฝนตะกอนครึ่งขัน
เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่เมืองหนองคาย น้ำแม่โขงที่มาท่วมในวัด เอาดินมาถมวัดสูง๒เมตร มีวัดหนึ่งเรียกว่าวัดหงายสูบ อยู่ติดแม่น้ำเลย แม่น้ำเอาไปเยอะแล้ว ไปถึงสมภารบอก เจ้าคุณดูสิ กุฏิโบสถ์อะไรมันเต็มไปด้วยดิน เขาเอามาชดเชย แต่ว่าแม่น้ำเอาของวัดไปหลายปีแล้วก็เอามาให้ชดเชย ชดเชยแบบนี้ขนกันไม่ไหว เอามาให้มามายเหลือเกิน ตะกอนมันมาก แต่พอถึงหน้าแล้งน้ำใสจืดสนิท จืดเหมือนแม่โขงเมื่อแล้ง จารึกไว้ในศิลาอย่างนั้น น้ำกระพังเหล่านั้นเดี๋ยวนี้ก็ยังได้กินได้ใช้ แต่ว่าไม่พอหรอก พ่อขุนท่านก็ไปทำสรีดภงส์ สรีดภงส์นี่ คือว่า เป็นอ่างเก็บน้ำใหญ่ อยู่ใกล้ภูเขาเก็บน้าฝนไว้กินไว้ใช้ แล้วขุดเหมืองเข้ามาในเมือง วิชาด้านวิศวะชลประทานนี่ไม่ใช่ว่าพึ่งเกิด มันเกิดมานานแล้ว สมัยสุโขทัยก็ทำแล้ว วิศวะโยธาตัดถนนท่านก็ทำแล้ว ทำถนนยาวจากสุโขทัยไปศรีสัชชนาลัย จากสุโขทัยไปถึงเมืองกำแพงเพชร แต่ว่ามันรกเป็นป่าไปเสียไม่มีใครต้อง แล้วไม่การทำต่อ ถนนมันก็ขาดวิ่นหายไป พอเหลือเป็นเนินดินให้รู้เห็นไว้ว่า อ้อนี่ถนนพ่อขุน เขาเรียกว่าถนนพ่อขุนรามคำแหง ก็ยังมี ถนนพระร่วง เขาเรียกถนนพระร่วงก็ยังมีอยู่ แสดงว่าท่านก้าวหน้าเหมือนกัน ทำอะไรได้ใหญ่โต
ศิลปะอย่างหนึ่งที่เราสู้ไม่ได้ คือการหล่อพระ หล่อพระพุทธรูปนี่สุโขทัยหล่อเก่งมาก บาง ทองเหลืองบางมาก แต่ว่าสวยงาม พระพักตร์อิ่มเอิบ ยิ้ม ถ้าใครไปดูพระพักตร์สุโขทัยแล้วหายกลุ้ม หายกลุ้ม แหม่มคนหนึ่ง แกมีพระเศียรพระพุทธรูปสุโขทัยไว้ในห้องห้องหนึ่งในบ้าน พอเวลาแกกลุ้มใจ แกเข้าห้องนั้น แกไปนั่งดูพระพุทธเจ้า เขาถามว่าไปนั่งทำอะไร ไปนั่งดูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านยิ้ม ท่านไม่มีทุกข์กับใครเลย พระพุทธรูปที่เขาปั้นให้ยิ้ม เพราะเมืองสุโขทัยเป็นเมืองที่มีความสุขไม่มีข้าศึกไม่มีศัตรูมากรุกราน ไม่มีปัญหาเศรษฐกิจการเมืองการสังคมอะไรที่ยุ่งยาก คนมีแต่ความอิ่มเอิบจิตใจยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างพระเขาก็สร้างเป็นภาพที่ออกมาจากใจ สร้างพระพระพักตร์อิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะไม่มีศัตรูมารุกราน บ้านเมืองเป็นสุข
พระสมัยกรุงศรีอยุธยาหน้าตึงๆทั้งนั้น เพราะรบพม่าบ่อย พอหน้าแล้งพม่ามาชวนต่อย แล้วจะไปสร้างพระงามได้อย่างไร รีบสร้างเดี๋ยวพม่าจะมา เลยไม่สวยสักองค์หนึ่ง พระพักตร์ไม่สวย สู้สุโขทัยไม่ได้ อันนี้ถ้าเราดูแล้ว เราสู้ไม่ได้ เราหล่อพระเดี๋ยวนี้หนา ทองเหลืองก็ไม่ดี ของเขาบาง แต่ว่าบางนี่ทำให้ขโมยสบาย หักคอง่าย หักคอพระง่าย หักไปขายฝรั่ง บางทั้งนั้น เราดูแล้ว อ่อคนสมัยนี้ทำให้เหมือนของคนสมัยสุโขทัยไม่ได้ เขาเก่งกว่า เขาทำได้เก่งกว่า มันเก่งหลายเรื่องนะ คนสมัยก่อนนี่ ถ้าเราศึกษาดูให้ดีแล้ว พวกเราในสมัยปัจจุบันนี้ ยังน้อยหน้าในสติปัญญาความสามารถกว่าคนในสมัยนั้น แต่ว่าเราเจริญในบางด้าน
สมัยนั้นไม่มีบาร์ไม่มีไนต์คลับ ไม่มีเหล้ามากมายมาให้เราดื่มกันอย่างสมัยนี้ ไม่มีคดีอุกฉกรรจ์มหันตโทษมากเหมือนสมัยนี้ คนก็รักกันสามัคคีกัน อยู่กันฉันท์พี่น้อง แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เรียกว่าอยู่กันอย่างพี่อย่างน้องอย่างแท้จริง มีความสุข เดี๋ยวนี้เราอยู่กันอย่างไรนี่คือปัญหา ที่เราพอจะมองเห็นได้ว่าสมัยก่อนนั้นดีหลายแง่หลายมุม สมัยนี้มันก็ดีเหมือนกันแต่มันคนละเรื่อง วัตถุเจริญ แต่ว่าจิตใจเสื่อมลงไปทุกวันเวลา เพราะต่างคนต่างก็มุ่งแสวงหาแต่วัตถุโดยไม่คำนึงถึงจิตใจทั้งนั้น จะเอาให้ได้ในเรื่องอะไรต่างๆ บางมีก็ต้องฆ่าคนไปเพื่อสิ่งที่ตนได้ ฆ่าคนเสียสองสามคนเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ หรือว่าใครมาขัดประโยชน์กันก็ต้องทำลายกัน ฆ่ากัน ฉะนั้นการฆ่าจึงมีบ่อยๆ การฆ่ากันบ่อยๆนั้นศึกษาดูแล้ว เขาพบว่าเป็นเรื่องขัดผลประโยชน์กันทั้งนั้น เรื่องประโยชน์ทั้งนั้น แล้วก็ต้องทำลายอีกคนหนึ่ง เพื่อให้ตนได้ สิ่งที่ตนได้มานั้นจะทำให้ตนเป็นสุขรึเปล่า เพราะว่า คนที่ถูกฆ่าตายนั้นไม่ใช่ตัวคนเดียว มีลูกมีหลานมีว่านมีเครือ เขาก็ต้องโกรธ เขาก็ต้องคิดแก้แค้น พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต คนชนะก่อเวร คนแพ้นอนเป็นทุกข์ แพ้เป็นทุกข์ ชนะก่อเวร ใครไปฆ่าเขาได้ ไม่ใช่ว่าจะสบายใจ ต้องมานอนเป็นทุกข์ เดินเป็นทุกข์ นั่งเป็นทุกข์ ไปไหนต้องมีมือปืนไปด้วย ป้องกันตัว แต่ว่ามือปืนที่มีไปด้วยนั้นไม่ใช่ว่าจะช่วยได้เมื่อไหร่ คนมันถึงเวลาจะตายแล้ว ไม่มีทางหรอก มันก็ต้องยิงตายจนได้ ตายกันไป กรรมสนองกรรม หนีผลแห่งกรรมที่ตนกระทำไว้ไม่ได้ แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้เป็นสุข อยู่ในบ้านหลังใหญ่ มีแต่ความทุกข์ นอนหวาดระแวง ตื่นบ่อยๆ โผล่หน้าต่างไปดู พวกมือปืนมันเดินอยู่แถวนั้นหรือเปล่า สะดุ้งทุกเวลา ไปไหนก็สะดุ้ง ถ้าบอกว่าไปสามโมง ไปเอาสี่โมง เพื่อให้คนอื่นที่มันรู้มันจะได้มาไม่ถูก บอกว่าไปทางนี้ ดันไปทางนู้น ไม่ไปในทางที่มนุษย์เดินกันแล้ว ต้องเดินในเส้นทางที่เขาไม่เดินกัน คนอย่างนั้นมีความสุขหรือเปล่า ไม่มีความสุขเลย นั่งอยู่บนสนามนอนอยู่บนหนาม กินก็เหมือนกับกินน้ำเหล็กแดงเข้าไป กินไม่เป็นสุข มีความทุกข์
อัยการคนหนึ่งเขาเป็นคนพัทลุง ไปอยู่เมืองเพชร วันหนึ่งคนที่มั่งมีเมืองเพชรคนหนึ่งเชิญไปกินข้าวที่บ้าน นั่งกินๆเดี๋ยวเจ้าของบ้านลุกขึ้นมองหน้าต่าง กินๆลุกขึ้นมองหน้าต่าง เลยถามว่าทำไมคุณต้องลุกขึ้นมองบ่อยๆ ลุกขึ้นดูว่าไอ้พวกนั้นมันตระเวนอยู่แถวนั้นรึเปล่า ดูสิ กินนี่ก็ไม่เป็นสุข ต้องคอยดูว่ามือปืนมันอยู่แถวนั้นรึเปล่า นี่มันเป็นสุขตรงไหน กินข้าวก็ยังหวาดระแวง นอนก็ยังหวาดระแวง ไปไหนก็ระแวง นั่งรถไปไหนปืนเต็มรถ แล้วก็มีพวกห้อมล้อมอีก เปล่า พอถึงวันที่จะตาย ไอ้มือปืนทั้งหลายก็ยืนอยู่รอบๆนอกนั่นแหละ ไอ้คนที่ถูกยิงตาย นั่งกินข้าวต้มอยู่ในร้าน กระสุนมาจากไหนไม่รู้โป้งเข้าให้ ทะลุไปที่คนขัดรองเท้าพลอยตายไปด้วยอีกคนหนึ่ง ไอ้นั่นเรียกว่ารับส่วนแบ่ง รับส่วนแบ่งจากพ่อ มือปืนช่วยไม่ได้ เงินทองที่ตนเอาเปรียบใครๆมา ก็ช่วยไม่ได้อะไรๆก็ช่วยไม่ได้ คนมันถึงเดนที่จะตายแล้ว อะไรก็ช่วยไม่ได้ ถึงที่ตายมันช่วยไม่ได้
เรื่องโบราณ พระเจ้าสุปปพุทธะ ความจริงก็เป็นบิดาของพระนางพิมพา บิดาของเทวทัตด้วยนะ แต่ไม่ชอบพระพุทธเจ้า โกรธพระพุทธเจ้าว่าทำให้ลูกสาวเป็นหม้าย พระพุทธเจ้ามาก็ไม่ไปต้อนรับ นินทาว่าร้ายตลอดเวลา และพระพุทธเจ้าจะไปไหน ก็ไปสร้างเครื่องกีดขวางไว้ไม่ให้ไปเอาหนามไปวางไว้ เอาอะไรไปขวางไว้ ไม่ให้เดินทางนั้น พระพุทธองค์ท่านก็ไปทางอื่นได้ ทางมันเยอะแยะ ไม่เป็นไรหรอก ทำบ่อยๆหลายเรื่องหลายประการ ผลสุดท้ายพระผู้มีพระภาค บอกกับพระอานนท์ว่า อานนท์เราสงสารท่านสุปปพุทธะเหลือเกิน แต่ไม่มีทางจะโปรดได้เพราะไม่ยอมให้โปรด อีก๗วันท่านผู้นี้จะถึงแก่กรรมแล้ว คนก็มาบอก บอกว่าถึงแก่กรรมด้วย จมลงไปในดินเสียด้วยนะ เขาเรียกว่าธรณีสูบ ท่านบอกว่าเฮ้ยกูจะไม่ลงมาเหยียบดินแล้วใน๗วันนี้ ขึ้นไปอยู่บนปราสาทชั้นบน วางอำมาตย์แข็งแรงไว้ทุกประตู ถ้าฉันลงมาแล้วดันขึ้นนะ อย่าให้ฉันลงมาเป็นอันขาด ดันไว้อย่าให้ลงไป ท่านก็ไปนั่งเสวยความสบายใจอยู่บนปราสาทชั้นบน มีม้าตัวโปรดตัวหนึ่ง วันที่ท่านจะตายมันร้อง ม้าตัวนี้ถ้าร้องแล้วคนอื่นมามันก็ไม่หยุดร้อง ต้องท่านสุปปพุทธะมาลูบหัวมัน มันถึงจะหยุดร้อง แล้วมันร้องอยู่อย่างนั้น ร้องตั้งแต่เช้า ร้องมาสองสามชั่วโมงแล้วมันไม่หยุดสักที มันหาเรื่องให้นายมันตาย ร้องอยู่อย่างนั้น สุปปพุทธะได้ฟังมานานานแล้วบอกแหมสงสารมัน ต้องให้มันหยุดร้องเสียหน่อยก็ลงมา นายประตูที่ยืนอยู่นั้น แทนที่จะห้าม มันเฉย มันไม่ห้าม ลงผ่านมาโดยลำดับจนกระทั่งออกจากปราสาทเหยียบแผ่นดิน พอถึงเท้าขวาเหยียบลงบนแผ่นดินท่านั้น ดินแยกจมหายไปเลย เขาเรียกว่าธรณีสูบไป คนนี้มันบาปหนักถูกธรณีสูบ ถึงเวลามันก็ต้องไปอย่างนั้นหนีไม่พ้น อันตรายมันต้องเกิดแก่คนที่สร้างเหตุให้เกิดอันตรายไว้ สร้างเหตุให้เกิดทุกข์ไว้ทุกข์มันก็ต้องเกิด มันหนีไม่พ้น
อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะฉะนั้นในชีวิตของคนเรานี่ ถ้าอยู่กันด้วยความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน มันก็สบาย เห็นใครก็แผ่ความเมตตาไปให้เขา เออเป็นสุขๆเถอะ อย่ามีเวรอย่ามีภัยกันเลย อย่าเบียดเบียนกันเลย ขอให้ดำรงตนอยู่ในทางที่ถูกที่ชอบเถิด นึกอย่างนั้น เรียกว่านึกในใจแผ่เมตตาไปยังคนเหล่านั้น มีอะไรพอจะช่วยให้คนเหล่านั้นพ้นทุกข์ได้บ้าง เราก็ช่วยกัน เท่าที่จะช่วยได้ อันนี้คนไทยเราพอใช้ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ช่วยกันอย่างแข็งแรง น้ำท่วมไฟไหม้ เกิดพายุใหญ่ มีอันตรายเกิดขึ้นเรียกว่าสาธารณภัยเกิดขึ้น น้ำใจไหลมาสู่จุดรวมเข้าไปช่วยเหลือกันเป็นการใหญ่ อันนี้นับว่าดีเหลือเกิน เป็นน้ำใจดีของคนส่วนมาก คนส่วนน้อยหรอกที่ทำเรื่องอื้อฉาวกันอยู่ ฆ่ากันเบียดเบียนกัน นี่คนส่วนน้อย แต่ว่ามันเหมือนจุดดำในผืนผ้าขาว ผ้าขาวทั้งผืนมันขาวทั้งนั้น มีดำอยู่หน่อยหนึ่ง มันเด่น จุดดำบนผืนผ้าขาวมันเด่น หนังสือพิมพ์ก็เอาเป็นข่าว เรื่องก็งั้นๆ เราก็นึกว่าแหมมันมากเต็มที ความจริงมันก็ไม่มากเกินไปหรอก ถ้าเทียบส่วนเปอร์เซ็นต์กัน คนตั้งสี่สิบล้าน ไอ้ที่ชั่วอย่างนั้นมันไม่ถึงล้านคน ไม่ถึงแสนด้วยซ้ำไป คิดเปอร์เซ็นต์แล้วมันน้อย แต่มันดัง มันเป็นจุดดำในผืนผ้าขาว มันเด่น ไอ้ผ้าขาวธรรมดามันก็ไม่เด่น ความจริงผืนนั้นมันขาวทั้งผืนแต่มันดำอยู่นิดหนึ่ง คนมองเห็น แล้วก็มองไอ้ตรงดำนั่นแหละ ไอ้ตรงขาวมันไม่มองคนเรามันแปลก เรียกว่ามันจุดเด่นที่คนควรมอง เหตุการณ์การฆ่าการประหารการเบียดเบียนกัน มันเป็นจุดดำในรูปเหมือนที่ในผ้าขาว มันเด่น คนจึงเอาไปเป็นข่าวเอาไปพูดไปคุยกัน แต่จริงนั้นดีมากกว่า แต่ว่าก็ไม่ดี ถ้ามันมีอยู่บ้างมันก็ไม่ดี แล้วจะมีมากขึ้น เหตุที่มีมากขึ้นนั้นก็เพราะว่า การประกาศสิ่งถูกต้องให้คนได้ยินได้ฟังยังน้อยไป คือการพูดธรรมะให้คนได้ยินได้ฟังนี่มันยังน้อยไป มันมีแต่เรื่องยั่วยุอารมณ์ ให้เกิดราคะโทสะโมหะ ด้วยประการต่างๆ เสียงที่ออกไปทางวิทยุ ภาพที่ออกไปทางโทรทัศน์ ข่าวที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์มันเป็นเรื่องเร่งเร้าอารมณ์ ให้เพิ่มความโกรธความเกลียด ความขัดเคือง ความลุ่มหลงด้วยประการต่างๆ จึงได้เกิดปัญหานานาประการ อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด
เมื่อวานนี้มีครูคนหนึ่ง แกเป็นครูโรงเรียนฝึกหัดครูทางเหนือ มานั่งคุยแล้วก็บอกว่า ผมจะต้องไปทำหน้าที่บริหารคน อยากจะทราบทัศนะของพระคุณเจ้าว่า การบริหารคนนี่พระคุณเจ้าจะให้ทัศนะอย่างไร ตอบว่าฉันมีทัศนะว่า ผู้เป็นหัวหน้าต้องช่วยยกระดับจิตใจคนที่อยู่ใต้ปกครองให้สูงขึ้น อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องแรก เป็นเรื่องพื้นฐาน ถ้าเราไม่ยกระดับจิตใจคนที่อยู่ใต้ปกครองให้สูงขึ้น งานก็จะดีได้อย่างไร ความเป็นอยู่ของคนนั้นก็ไม่ดี ของครอบครัวก็ไม่ดี ของสังคมที่เขาเข้าไปอยู่ด้วยมันก็ไม่ดี ไม่ดีหมด เพราะฐานมันไม่ดี ฐานทางจิตใจไม่ดี อะไรมันก็ไม่ดีหมด
เวลานี้ความไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเกิดจากอะไร เกิดจากจิตใจคนไม่มีฐานอันมั่นคงทางธรรมะ ไม่มีธรรมะเป็นฐานทางจิตใจ แต่มันมีความต้องการทางวัตถุเป็นฐานทางจิตใจ ใครๆก็ร่ำร้องจะมีไอ้นั่น จะได้ไอ้นี่ทั้งนั้น แต่หารู้ไม่ว่าไอ้สิ่งนั้นมันจะเกิดอย่างไร เราไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นฐานมันไม่ดี เมื่อฐานไม่ดี สิ่งที่ออกจากฐานไม่ดีก็คือความไม่ดี เป็นทุกข์เดือดร้อน การปกครองก็ลำบากเพราะคนไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารคน ต้องพยายามดึงคนเหล่านั้น ให้เกิดการก้าวหน้าในทางจิตใจ ช่วยยกระดับจิตใจของเขาให้สูงขึ้น แต่ว่าก่อนที่เราจะไปยกระดับจิตใจคนอื่นนั้น เราจะต้องทำตนให้เป็นตัวอย่าง ยกระดับจิตใจเราให้สูงเป็นตัวอย่างแก่เขา เราอย่าเป็นนักดื่ม อย่าเป็นคนเที่ยวกลางคืน อย่าประพฤติเหลวไหล ให้อยู่ในศีลในสัตย์ ตั้งมั่นในสุจริตธรรม ทำอะไรก็ตรงไปตรงมาตามตัวบทกฎหมาย คนผิดก็ว่าไปตามผิด คนถูกก็ชมไปตามถูก เรียกว่าข่มที่ควรข่ม ชมคนที่ควรชม แล้วก็ต้องหมั่นเรียกมาพบปะกันบ่อยๆ เพื่อพูดจาชักจูงแนะนำโน้มน้อมจิตใจ ให้เข้าหาคุณธรรมความงามความดี คนไหนมันดำมาก เอามาถูบ่อยๆเอามาขัดบ่อยๆ มานั่งคุยกัน พาไปไหนต่อไหนแล้วก็ทำอะไรให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง ให้เดินตามเราต่อไป มันก็ดีขึ้น อันนี้แหละจะช่วยให้สิ่งทั้งหลายดีขึ้น ให้การปกครองคนสบายขึ้น เพราะคนดีเราก็ปกครองสบาย แต่ถ้าเราปกครองคนร้ายเราก็เป็นทุกข์ หลักมันเป็นอย่างนี้ สังคมในปัจจุบันมันต้องอย่างนั้น ต้องช่วยกันชักจูงโน้มน้อมจิตใจให้คนดีขึ้น เราอยู่กับใครก็ตามต้องช่วยให้เป็นคนดีขึ้น เช่นเราอยู่ในครอบครัว พ่อบ้านก็ต้องโน้มน้าวจิตใจแม่บ้านลูกทุกคนให้ดีขึ้น ให้บ้านเรานั้นเป็นบ้านตัวอย่างทางศีลธรรม ให้เป็นบ้านที่ชนะการประกวด เป็นบ้านดีมีศีลธรรมประจำใจ เขายังไม่ได้ประกวดบ้านแบบนี้ มาประกวดแต่แบบอื่นกัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเขาจะจัดงาน เขามีบ้าน บ้านนาง (52.30) บ้านขาวดี เรียกว่าวัตถุทั้งนั้น จิตใจนิดหน่อย ยังไม่ได้ถึงขนาด ทีนี้เราต้องพยายามปรับปรุงบ้านเราให้ เป็นตัวอย่างทางศีลธรรม ให้อยู่กันสงบ ไม่มีเสียงร้ายดังออกไปนอกบ้าน ไม่มีสิ่งไม่งามออกไปนอกบ้านให้ใครได้เห็น บ้านนี้บ้านเราแล้วเขาชมบ้านนี้เขาเรียบร้อย ใช้ได้อยู่กันอย่างนั้น อยู่มีความสุขไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย อันนี้เป็นข้อคิดที่อยากจะฝากให้ญาติโยมนำไปพิจารณา
ในตอนสุดท้ายนี้ก็ใคร่จะบอกข่าวสลดใจนิดหน่อยคือว่า ปกติโยมจะเห็นคนๆหนึ่งเดินถือไม้เท้า ขาข้างหนึ่งไม่ดี ผอมๆ ลงรถยนต์ตรงนั้น แล้วก็เดินก๊อกเก๊กๆมา แล้วก็มานั่งตรงนี้ มาฟังเทศน์เป็นประจำทุกอาทิตย์ ไม่ค่อยไปไหนหรอก ฟังเป็นประจำ คนนี้ชื่อ คุณอนุพงษ์ อินทรคันชิต เป็นข้าราชการบำนาญของสรรพากร เวลานี้ท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว เมื่อคืนวันที่ ๒๐ แต่ถ้าพูดสมัยใหม่ก็เป็นวันที่๒๑ เพราะถึงแก่กรรมเวลา๑นาฬิกาเศษ ที่รพพระมงกุฎเกล้า แล้วก็เอาศพมาตั้งไว้ที่วัดนี้ ก็บอกให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า สหายทางธรรมะของเราผู้หนึ่ง ได้ถึงแก่กรรมไป เราก็ควรจะแสดงความเสียใจ คือว่าปลงธรรมสังเวช ปลงธรรมสังเวชว่าเออร่างกายไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปสู่ความแตกดับ แล้วเราจะทำอะไรเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงท่านผู้นั้นก็ทำได้ การเผายังไม่ได้นอน (54.39) แต่จะเผาไป ไว้๗วันแล้วจะเผา เมื่อวันเผาก็จะบอกให้ญาติโยมทราบเพื่อที่จะช่วยกันไป เผาศพสหายผู้ร่วมธรรมะ มานั่งตรงนี้ทุกวันใกล้กุฏิ ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วตามธรรมชาติของสังขารร่างกาย ต่อนี้ไปก็เชิญญาติโยมให้นั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที