แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ท่านสุเมโธ ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าจิตตวิเวก ที่เมืองอังกฤษ ที่อาตมาเคยไป ดังที่เคยบอกกับญาติโยมไว้ แล้วก็มีตำแหน่งเป็นนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอังกฤษด้วย ได้เดินทางมาพักอยู่ที่วัด มาถึงเมื่อวันที่ ๓ แล้วก็พักอยู่ที่นี่อีกสักนิดหน่อย แล้วก็จะเดินทางไปอุบลฯ ก็เมื่อท่านมาที่วัดนี้แล้ว ก็อยากให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังเสียงท่าน เป็นภาษาไทย ท่านพูดไทยได้ แต่ว่าท่านอาจจะพูดช้านิดๆ หน่อยๆ เพราะว่าไม่ได้พูดนานแล้ว แต่ว่าพูดได้ จะให้นิมนต์ท่านพูดให้ญาติโยมฟังก่อนสัก ๒๐นาที เสร็จแล้ว อาตมาจะพูดกับโยมต่อไป ขอนิมนต์...
ก็ขอโอกาส ก็วันนี้มีโอกาสได้มาพักที่วัดชลประทานอยู่ ๒ วัน ก็ได้มาวัดชลประทานเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนเป็นพระบวชใหม่ วันนี้ก็อยากจะกล่าวถึงการสอนธรรมะในเมืองนอก หลายคนหรือญาติโยมคงจะสนใจ และสงสัยเรื่องการปฏิบัติ การภาวนา และศรัทธาของชาวฝรั่งในเมืองอยู่ห่างไกลจากเมืองไทยนี้ ก็คนไทยส่วนมากก็รู้แล้วว่า พระพุทธศาสนาในแบบเมืองไทยเป็นอย่างไร แต่ทุกวันนี้ในเมืองนอกนี่ เช่น เมืองอังกฤษนี่ จัดได้ว่าอยู่ในเมืองอังกฤษนี่มา ๗ ปีแล้ว รับนิมนต์จากมูลนิธิชาวพุทธอยู่ในกรุงลอนดอน ที่อยากได้พระมาสอนในประเทศอังกฤษนี่มาหลายปี ๒๐ กว่าปีแล้วแต่ไม่ได้ผล แต่เมื่อ ๘ ปีมาแล้วได้โอกาสจะแวะกรุงลอนดอน ๓ วัน ตอนนั้นเราพบกันกับชาวพุทธ คนอังกฤษที่มูลนิธิว่าพุทธศาสนิกชนอยากจะนิมนต์อาตมามาช่วยสอนในเมืองอังกฤษ อยากจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง ว่าหลวงพ่อชา นี่ก็แนะนำให้ไป ไปดูก่อน ไปเห็นวัตรปฏิบัตินี่ก็ได้อย่างมีศรัทธา อยากจะนิมนต์พระไปอยู่เมืองอังกฤษต่อไป อยากจะขอ อยากนิมนต์จากหลวงพ่อชา เราเป็นลูกศิษย์ของท่านก็ตามใจ อย่างไรก็ได้ แต่อยู่ที่นั่นเต็มๆ ๗ ปีแล้วก็เห็นว่ามีประโยชน์มากเลย ทีนี้ก่อนสร้างวัดจิตตวิเวกนี่ เกือบจะเป็น ๕ ปี ครั้งแรกนี่อยู่ในกรุงลอนดอนนี่ก็ อยู่ในบ้านๆ เดิมน่ะ อยู่กลางเมือง มีพระ ๓ องค์พำนักอยู่ แล้วก็จะขยายอีกก็ไม่ได้ มันอยู่ในที่แคบแล้ว ถนนใหญ่อยู่ปลายชิด แล้วก็มีบ้านอยู่ตรงกันข้ามกับวิหาร เห็นว่าไม่เหมาะที่จะอยู่นานมาก แต่เมื่อ ๕ ปีมาแล้วได้พบคนอังกฤษคนหนึ่ง ที่เกิดศรัทธากับเรานะ คนอังกฤษคนนั้นก็มีป่าไม้อยู่ทิศใต้ อยู่จังหวัดชิตเฮิร์สท์ ห่างจากลอนดอนประมาณ ๕๐ ไมล์ แล้วคนนั้นก็เกิดศรัทธาว่าสมควรที่จะเห็นใจของเรา ก็ถวายที่ดินเป็นป่าไม้เป็นที่ดิน ๔ ร้อยไร่ ป่าไม้เป็นที่สงบเงียบ และไม่มีอะไรอยู่ในป่าไม้นี่เลย ต้นไม้เท่านั้น ไม่มีกุฏิ ไม่มีวิหาร และก็มีระเบียบเคร่งครัดในการก่อสร้าง อย่างราชการคงอยากจะรักษาป่าไม้ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นธรรมชาติ ไม่ให้สร้างอะไร ได้ป่าไม้แล้ว ไม่มีที่อยู่ ต่อมาก็มี (05.17) เรื่องของบ้านที่เจ้าของอยากขายเหมือนกับมูลนิธิพุทธศาสนาก็ซื้อบ้านให้เป็นวัดจิตตวิเวก แต่เดี๋ยวนี้มีพระอยู่เป็น ๑๗ รูป ครั้งแรกนี่เมื่อ ๕ ปีมาแล้วนี่พระแค่ ๖ รูปเท่านั้น มันเพิ่มขึ้น นี่ ๑๗ รูปก็ไม่มากสำหรับเมืองไทยนี้ แต่สำหรับเมืองอังกฤษก็มากอยู่จริงๆ
แต่ทุกวันนี้สังคมในเมืองอังกฤษมันยุ่ง เพราะเป็นผลของการนิยมในวัตถุเป็นหลายปี เป็นร้อยกว่าปีแล้วนะ ศาสนามันเสื่อมลงมาก คนนี่ไม่มีศรัทธาในศาสนาอะไร แล้วก็เป็นศรัทธาทางวิทยาศาสตร์ เป็นภายนอก อยากได้ผิดๆ อยากได้ดู (06.26) เป็นภายนอกเป็นอย่างไร อย่างกับช่วยสร้างวัดพุทธอย่างดีแล้ว เรื่องปัจจัยสี่ เรื่องที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า หรือโลก หรือเครื่องจักรต่างๆ ก็มีมากที่สุดแล้ว ไม่อดอะไรทั้งนั้น แต่เรื่องทางจิตใจ มันทำจิตไม่สบาย คนอังกฤษได้พบความทุกข์แล้วทางจิตใจ แล้วก็นี่คนอังกฤษชาวยุโรปส่วนมากนี่คิดว่าถ้าได้วัตถุดีแล้ว จะสบายใจจริงๆ มีเงิน มีทรัพย์สมบัติ มีชื่อเสียง มีอะไรมากแล้ว คงจะมีความสุขตลอดชีวิต ได้แล้วจะเป็นอย่างไร ได้แล้วก็ยังเป็นทุกข์อยู่ทางจิตใจ ร่างกายก็สบายดีแล้ว แต่จิตใจก็ไม่สบาย ก็ไม่รู้จักธรรมะนะ ธรรมชาติก็ไม่รู้เรื่อง เห็นว่าวิทยาศาสตร์ เห็นเป็นภายนอกเป็นธรรมชาติ และรู้เรื่องต้นไม้ ภูเขา (07.44) เรื่องดาวบนท้องฟ้า โลก พระจันทร์ เรื่องพระอาทิตย์ แต่เรื่องอารมณ์ของตัวเองก็ไม่รู้เรื่อง (07.52) ก็ไม่รู้ มันโง่อย่างนั้น คนฉลาดยังโง่ เรื่องสิ่งภายนอกนี่ฉลาดจริงๆ เรื่องภายในก็ไม่...ยังโง่อยู่ โง่อย่างนั้นเรื่องจิตใจ เรื่องอารมณ์ ไม่รู้จักความสงบ ไปหาความสงบภายนอก ไม่ได้ผลอย่างนั้นก็ไป holiday ไปสเปน ไปฝรั่งเศษ ไปที่สวยงามเพื่อจะเล่นสนุกสนาน แต่ไปกลับมาแล้วก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ไปที่ดีที่สงบที่สวยงาม มีความสุขนิดหน่อยแล้วก็กลับมา กลับบ้านก็ยังไม่มีความสุขทางจิตใจ เพราะไม่รู้จักความสงบอยู่ที่ไหน
เดี๋ยวนี้คนอังกฤษนี่ เป็นบางคนเห็นว่า และสนใจต้องกลับไปดูภายในเพื่อจะหาความสงบภายใน เรื่องภายนอกก็หาไม่เจอ ไปที่ไหนก็ไม่มี (09.06) เป็นบางคนก็เกิดศรัทธากับคำสอนของพระพุทธเจ้านะ นี่คำสอนอย่างนี้มันลึกซึ้ง เรื่องทางจิตใจนี้พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จิตของตนอย่างนี้ รู้อารมณ์เป็นอย่างไร ถ้ารู้อารมณ์แล้วก็จะพ้นจากอารมณ์นั้นได้ เพราะมีความยึดถือ ความยึดมั่นถือมั่นทางจิต ทางใจของเรามันทำให้เรามีความทุกข์ มีเงินมากเท่าไรก็ยังมีความทุกข์ คนยากจน คนมั่งมีมีความทุกข์เท่ากันเลยนะ เรื่องจิตใจนี้ ทีนี้ก็เห็นว่าที่ว่าจะทำประโยชน์ให้สังคมต่อไปในยุโรป อเมริกา อยากให้เห็นว่ามีชาวอังกฤษกำลังจะเห็นประโยชน์ให้มีพระสงฆ์อยู่ในประเทศ หลายคนที่มีชาวพุทธอยู่ในเมืองอังกฤษก็เห็นว่าพระว่ามันจำเป็น มีหนังสือแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาอังกฤษแล้ว มีแล้ว อย่างวันนี้โยม มีฆราวาสสอนการนั่งสมาธิ เดินจงกลม ก็ดี ดีแล้ว แล้วก็ถ้ามีความคิดว่าอยากจะทำพุทธศาสนาให้เป็นตามวัฒนธรรมของชาวอังกฤษนี่นะ ก็ยังจองหองเรื่องวัฒนธรรม..ชาวอังกฤษ แต่เดี๋ยวนี้ก็พยายามหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว ทดลองดู เรื่องการสอน เรื่องการปฏิบัติตามวัฒนธรรมของคนอังกฤษ แล้วก็ผลที่ได้นี่ไม่มากเท่าไร อย่างมีความทุกข์ ยังไม่ได้พ้นทุกข์นะ มีศรัทธาเกิดในคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีโอกาสจะทำบุญ ถวายทาน แล้วก็ฟังเทศน์ ฟังธรรม แล้วก็คนที่เอาจริงเอาจังนี่มีความพร้อมที่จะบวชเป็นพระ บวชเป็นสมณะก็ไม่มี...ไม่มีที่อยู่ แต่พอคนไม่มีวัดที่จะอยู่ได้ คนอังกฤษที่อยากบวชนี่ก็ต้องมาเมืองไทยนี้ ต้องบวชในเมืองไทยนี้ เมืองศรีลังกา พม่า หรือญี่ปุ่น แต่ในเขตอังกฤษก็ไม่มีใครสอน ไม่มีพระที่จะบวชให้เป็นสมณะ เป็นพระภิกษุ แต่เดี๋ยวนี้ก็คนอังกฤษ ที่นี่มีพระอังกฤษ หลายๆ ชาติด้วย คนจากทวีปยุโรป จากนิวซีแลนด์ อเมริกา แคนนาดา เป็นนานาชาตินะ เป็น International สังฆะ แล้วก็ผู้หญิงฝรั่งเกิดศรัทธาในการปฏิบัติด้วย อยากจะถวายชีวิตแก่พระธรรมด้วย แต่ครั้งแรกนี่คิดว่านี่ ฝรั่งนี่โกนศรีษะไม่ได้นะ โกนผมออกก็ไม่ได้นะ สังคมจะรังเกียจมาก ฉะนั้นผู้หญิงมันคล้ายกับได้นะ สังคมนับถือ เคารพผู้หญิงที่ทำงานนั้น แต่คนส่วนมากจะกลัวสังคมจะรังเกียจผู้หญิงที่โกนผม แต่ผู้หญิงมีคนขอให้เป็นแม่ชีเมื่อ ๔ ปีมาแล้ว แล้วก็ผู้หญิงทั้ง ๔ ก็อยากโกนศรีษะ ขอให้โกนศรีษะ ถ้ามีศรัทธาอย่างนั้นก็ทดลองดู
ทีนี้ก็อยู่ปฏิบัติเป็นปีๆ แล้ว แล้วก็เห็นว่าคนอังกฤษนี่เคารพในที่พอสมควร ไปที่ไหนก็ไม่ค่อยรังเกียจ ไม่เคยแสดงความรังเกียจแก่พวกนั้นด้วย แต่ไปอยู่เมืองอังกฤษครั้งแรกนี่ คนอังกฤษไม่รู้เรื่องพระ พุทธเป็นอย่างไรนี่ มีแต่ลัทธิแบบฮินดูนะ แต่คนในลัทธิฮินดูเรียกว่า Hinduism Hinduism เป็นคนโกนศีรษะ แต่นี่ก็ยังมีผมนิดหน่อยนะอยู่กลาง ผมก็ยังมี แต่ส่วนมากก็โกนออกนะ แล้วก็ห่มผ้าเหลืองแบบพระ แล้วก็ขายธูป เทียน หนังสือ กลางเมืองลอนดอน บางทีก็เต้นรำ ร้องเพลงตามถนนด้วย ไปอยู่ลอนดอนครั้งแรกนี่ คนอังกฤษเห็นว่าเราเป็นอย่างนั้น แล้วเราออกบิณฑบาตร เอาบาตร...มีบาตรใหญ่แบบวัดป่านะ บาตรใหญ่ คนอังกฤษเห็นว่าเป็นกลองนะ เปิดเพลงให้ทำดนตรีนะ และไปที่ไหนก็มีแต่เสียงเรียก Hinduism Hinduism (15.10) ไปที่ไหนก็คนอยากบอก Hinduism แต่นี่มัน ๗ ปีมาแล้วนะ เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนคนก็ถือว่า นี่ก็เป็นพระในพุทธศาสนานะ แล้วก็คนอังกฤษเดี๋ยวนี้มีความเคารพในพุทธศาสนาพอสมควรนะ ไปที่ไหน ไปมหาวิทยาลัย Oxford, Cambridge ก็ไปที่ไหนก็นักศึกษาก็อยากรู้ อยากฟังเทศน์เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า คนฉลาดนี่ในมหาวิทยาลัยก็เห็นความทุกข์ภายในแล้ว อยากจะรู้ธรรมะ นี่ทำแบบนี้ก็เป็นธรรม ไม่ค่อยมีในภาษาอังกฤษ มีแต่เราพูดธรรมะให้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ต้องมีคำศัพท์ธรรมะจากภาษาบาลี
ก็คนฝรั่งส่วนมากไม่ค่อยรู้จักธรรมะ ไม่ค่อยได้พิจารณาธรรมะ ธรรมชาติเป็นอย่างไร เรื่องวิทยาศาสตร์นี่มันไกล พิจารณาภายนอกให้ดี (16.37) เพื่อจะรู้ถึงภายนอกเป็นอย่างไร แต่ถ้าไม่รู้ธรรมะภายในก็เห็นภายนอกไม่สุดเหมือนกันนะ เห็นอะไรภายนอกก็ยังโง่อยู่ ยังไม่รู้สัจจะธรรม ยังไม่รู้ความจริงของมันเอง ในการปฏิบัติทำจิตอย่างนี้ เราไม่ต้องมีเครื่องจักร ไม่ต้องไปถืออะไรภายนอก เป็นโอกาสให้เราจะนั่ง ยืน เดิน นอน ให้มีสติอยู่ ให้มีสัมปชัญญะ มีปัญญาพอสมควรที่จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดับไป ให้รู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นหลักชนะของสังขารทั้งหลาย พิจารณาอย่างนี้เรื่อยๆ ไป จะได้ผลในการรู้ธรรมะ พบธรรมะ พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เรื่องสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เกิด สิ่งที่ดับไป เป็นอนัตตา ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนนะ นี่เป็นคำสอนแปลกมากสำคัญฝรั่งนะ ฝรั่งถือว่านี่สิ่งที่เกิดขึ้นดับไปเป็นตัวแท้ๆ แต่วันนี้ก็ได้โอกาสมา ก็ขอบคุณมากๆ ท่านเจ้าพระคุณ ท่านได้นำพระเรามาวัดจิตตวิเวก (18.22) ๒ ครั้งแล้ว ๓ ครั้ง ครั้งแรกนี่มาชั่วโมงเดียวแล้วก็กลับกรุงลอนดอนน่ะก็ ท่านช่วยไปอยู่ สองครั้งท่านอยู่ ก็เป็นสองครั้งแล้ว สามครั้งนะ แล้วก็จะนิมนต์ท่านมาปีนี้ด้วย ในฤดู Spring สวยมากน่ะ ดอกไม้ที่นั่นในอีก ๒-๓ เดือนนั้นจะสวยมากเลย แล้วก็ท่านเจ้าคุณช่วยประสาทได้อย่างมีประโยชน์มาก พวกเราเป็นพระฝรั่งก็ได้คำสอนจากพระในเมืองไทยนี้ ที่เราเห็นว่ามันมีประโยชน์มากนะ ช่วยให้เราที่เป็นชาวต่างประเทศได้มาเมืองไทยนี้ ได้รับคำสอนที่มีประโยชน์มากที่สุดนะ ได้อยู่กับพระ อยู่กับพระสงฆ์ในเมืองไทยนี้ก็ อาตมาเองก็เคยอยู่สิบกว่าปีในเมืองไทยนะ ในเวลานั้นก็คนไทยมาถวายทาน ถวายปัจจัยให้อาตมาเองก็ได้โอกาสปฏิบัติ พิจารณาธรรมะ ก็อยากจะแสดงความขอบคุณมากๆ แก่คนไทยทั้งหลาย รัฐบาลก็ช่วยเหลือดีเหมือนกัน พระสงฆ์ก็ช่วย ญาติโยม ฆราวาสก็ช่วย ก็เป็นบารมี เป็นมงคลของชาวไทย แล้วก็ส่งพระไปเมืองนอกเพื่อจะไปเผยแผ่ศาสนาในเมืองนอกก็ดีกว่า นี่ทุกวันนี้สหรัฐอเมริกาก็ส่งอาวุธไป ส่งอาวุธไปเมืองนอก ก็ไม่ดี ส่งพระภิกษุไปเมืองนอกเพื่อจะสอนธรรมะอย่างนี้ดีกว่า แต่พูดกันพอสมควรแล้ว เวลาก็จะหยุดแต่เพียงเท่านี้นะ
อ้าว...เป็นอย่างไร ญาติโยมทั้งหลาย ฟังอาตมามาก็นานแล้ว วันนี้ฟังท่านสุเมโธพูดให้ฟังบ้าง เพราะว่าโยมทั้งหลายที่อยู่วัดนี้ได้ยิน ชื่อเสียงท่านมานานแล้ว ก็เอามาเผยแพร่ มาบอกให้ญาติโยมรู้ แต่ว่าไม่ได้เห็นองค์ ก็วันนี้ก็ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของท่าน แล้วก็ได้ฟังเสียงที่เป็นธรรมะ ญาติโยมก็ฟังด้วยความร่าเริง ชื่นอกชื่นใจ ในสิ่งที่เราได้พบได้เห็น การเห็นสมณะ นี่เป็นความสุขสุดและก็เป็นมงคล ได้ยินเสียงที่เป็นธรรมะ ก็เป็นความสุขเป็นมงคล อยู่ใกล้คนประพฤติดีประพฤติชอบ ก็เป็นความสุขเป็นมงคลแก่ชีวิต อาตมาจึงได้นำข่าวอันนี้มาบอกแก่ญาติโยมเมืองไทยทางโทรทัศน์ ที่วัดนี้เพื่อให้รู้ ก็อาตมาได้เดินทางไปที่ชิตเฮิร์สท์ (22.03) นี่ เรียกว่าไป ๓ ครั้งแล้ว ครั้งแรกก็ไปเยี่ยมนิดหน่อยไปดูว่าสภาพท้องที่เป็นอย่างไร เห็นแล้วก็พอใจ แล้วก็ไปครั้งที่สอง ก็ไปพักเป็นเวลา ๑๐ วัน ครั้งที่สามก็ไปพักถึง ๒๐ วัน ครั้งที่สี่จะไปพักตั้งเดือนหนึ่งนะ เพราะว่าไปแล้วมันสบายใจ ไปอยู่อย่างนั้นมันสบายทุกอย่าง ฝ่ายกายก็สบาย ฝ่ายใจก็สบาย แล้วก็ได้เห็นญาติโยมคนไทยบ้างฝรั่งบ้าง เขามาศึกษามาปฏิบัติ ก็รู้สึกว่าพลอยอนุโมนทนาสาธุด้วยในการกระทำอย่างนั้น แล้วในใจนี่ก็อยากจะช่วยเหลือในกิจการส่วนนี้ตลอดเวลา แต่ว่าลำพังผู้เดียวมันก็ช่วยไม่ได้ คนโบราณเค้าบอกว่าถ้าเหลือกำลังมาก ช่วยออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม ก็เลยมาบอกญาติโยมไป ให้ช่วยไปแบกไปหามในการทำงานในที่นั่นต่อไป เพราะว่างานที่กำลังทำอยู่นี้กำลังก้าวหน้า ถ้าเปรียบต้นไม้ก็เรียกว่ากำลังแตกกิ่ง แตกก้าน ใบดกสวยงาม ผลนั้นก็ปรากฏออกมาเป็นแดงๆ เพราะว่าที่ท่านไปอยู่นี่ไม่ใช่ไปอยู่ที่เดียว แต่ว่าได้เดินทางไปเผยแผ่ธรรมะในประเทศอื่นด้วย บางคราวก็ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์นี่ก็มีคนสนใจมาก แล้วก็มีสมาคมพุทธศาสนา ท่านไปพักอยู่เดือนหนึ่งบ้าง ๑๕ วันบ้างเพื่อไปสอนชาวสวิตฯให้ได้ปฏิบัติธรรมะ
ก็เมื่อเดือนธันวาฯ นี่ก็ไปประเทศสเปน ประเทศสเปนนี่เป็นประเทศคาทอลิกที่รุนแรงสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่รุนแรงแล้ว เพราะว่าประชาชนรุ่นใหม่นี่ไม่ค่อยจะเลื่อมใสในศาสนาคาทอลิก คือไม่เลื่อมใสก็เพราะเห็นว่ามันคล้ายๆ กับเผด็จการ คนสเปนนี่คุ้นกับเผด็จการสมัย (24.23) ฟรังโก และเมื่อฟรังโกตายไปแล้ว เขามามองศาสนาก็คล้ายๆ กับลัทธิเผด็จการ เลยไม่ค่อยชอบใจ พอไม่ชอบก็ไม่รู้จะไปไหน เด็กหนุ่มๆ ก็ไปหากัญชาสูบให้สบายใจ ทำให้เกิดความเสียหาย ทีนี้ที่วัดป่าจิตตวิเวกนี่มีแม่ชีคนหนึ่ง เป็นชาวสเปน มาบวชเป็นแม่ชี เห็นว่าควรจะนำธรรมะไปประเทศสเปน ก็เลยนิมนต์ท่านสุเมไธไป ไปเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม อาตมายังพักอยู่ที่นั่น ท่านก็ไปตามหน้าที่ของท่าน แล้วก็กลับมาคราวนี้พบกันก็ถามว่าไปสเปนนี่เป็นอย่างไร ตอบว่าได้ไปอยู่ก็มีคนสเปนมาปฏิบัติตลอดเวลา ๑๕ วัน มา ๑๘ คน ทีนี้ ๑๘ คนนี่ก็นับว่าน่าชื่นใจแล้ว เพราะว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ครั้งแรกก็มี ๕ คนเท่านั้น ไม่มากอะไร แต่นี่ไปครั้งแรกมันตั้ง ๑๘ คนก็น่าชื่นใจแล้ว กลับไปต่อไปก็คงเพิ่มขึ้น แล้วเขาก็สนใจศึกษา แต่ว่ายังไม่มีผู้ชายชาวสเปนมาบวช ต่อไปข้างหน้าก็คงจะมี เพราะเวลานี้พระที่อยู่ที่วัดป่านั้นมีคนอังกฤษ คนสวิตฯ คนอัฟริกัน แอฟริกาใต้ คนนิวซีแลนด์ คนแคนนาดา คนอเมริกา มีหลายชาติหลายภาษามาอยู่ร่วมกัน การอยู่ในสถานที่นั้น อยู่ได้ ถ้าเรียกตามภาษาธรรมะเรียกว่าอยู่อย่าง (26.06) คืออยู่เพื่อปฏิบัติ ท่านบอกว่าเดือนมกราคมนี่ไม่ไปไหน และก็ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติทุกวันๆ ตลอดทั้งเดือน ในเดือนมกราฯ นี้ก็เป็นหน้าหนาว ไปไหนก็ไม่สะดวก ก็เลยอยู่ที่วัด ก็เลยนั่งภาวนา ทำจริงทำจังกัน เมื่อทำจริงมันก็ได้ผลจริงตามสมควร เพราะฉะนั้นผู้ที่มาปฏิบัติ หรือมาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว เขาก็ได้รับผลคือความสบายใจ ความสบายทางใจนี้คือสิ่งที่เขาต้องการมาก ก็เหมือนที่ท่านกล่าวว่าชาวตะวันตกนี่มีความเจริญในทางวัตถุ ที่เราเรียกว่าด้านเทคโนโลยี มีประการต่างๆ (27.00) ต้องการอะไรก็หันเข้าหาวัตถุ เดี๋ยวนี้คนตะวันตกหายใจเป็นคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว อะไรก็เป็นคอมพิวเตอร์ ตื่นเช้าจะกินอะไรก็ต้องไปถามคอมพิวเตอร์ว่าจะกินอะไร แล้วมันยุ่งกันใหญ่แล้ว ชีวิตมันยุ่งกับวัตถุตลอดเวลา แต่ก็หามีความสุขทางใจไม่ ยังมีปัญหามีความทุกข์ทางใจ และดูเหมือนว่าจะทุกข์มากกว่าคนที่ยังไม่เจริญในทางวัตถุ
ถ้าดูสถิติคนเป็นโรคประสาท ในประเทศตะวันตก ในอเมริกาก็ดี ในยุโรปก็ดี คนเป็นโรคประสาทกันมากกว่าบ้านเรา ที่เค้าเป็นโรคประสาทก็เพราะเมื่อมีความทุกข์แล้วไม่รู้ทางออก ไม่รู้ว่าจะออกทางไหน ก็ออกไปทางวัตถุ ออกไปด้วยการดื่ม ด้วยการเต้นรำ ด้วยการไปเที่ยวชายหาด อะไรไปตามเรื่อง เวลาไปทำอย่างนั้นมันก็เบาความทุกข์ไม่มี แต่ว่าพอกลับบ้านก็เป็นทุกข์ต่อไป จึงเกิดเป็นปัญหาขึ้นในคนเหล่านั้นว่า อะไรจะเป็นเครื่องช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ จะทำให้คลายจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้ ก็เลยไปคิดแสวงหากัน บางทีก็แสวงหาไปในทางที่ผิด คือเอาวัตถุมาแก้ เช่น ไปสูบกัญชา ก็เรียกว่าวิธีการแก้ทุกข์ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนตะวันตกนี่จึงหลงไหลในรสกัญชามาก ดาราภาพยนต์ที่มีชื่อเสียงไปประเทศอังกฤษพกกัญชาเข้าไป ถูกจับขึ้นศาล ถูกปรับ ๑๐๐ ปอนด์ แล้วก็สารภาพกับศาลเลย ปรับ ๑๐๐ ปอนด์ไป นี่เป็นแสดงว่าคนเหล่านั้นมีปัญหาทางใจ แต่ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะทำอะไร อะไรเป็นวัตถุพอแก้ได้ก็แก้กันไปทางวัตถุ
แต่ทีนี้ศาสนาทางตะวันออกนี่ก็ไปทางตะวันตก เหมือนที่ท่านเล่าว่า พวกฮินดูนี่ พวกสาธุ นี่ก็เรียกพวกพระฮินดูนี่เรียกว่าพวกสาธุ โกนหัวแต่ว่ามีไว้หางเปียนิดหนึ่งนี่บนหัว เป็นเครื่องหมาย นุ่งผ้าเหลือง ตีกลอง ร้องเพลง เห่กันไปบนถนนหนวกหูชาวบ้าน เมื่อพระไทยไป จะไปสร้างวัดพุทธประทีปนี่ ท่านทูตที่เป็นทูตอยู่ในสมัยนั้นได้ไปเที่ยวติดต่อทุกบ้านเพื่อบอกให้รู้ว่าพระไทยนี่ไม่ใช่พวกตีกลองร้องเพลง ไปอยู่นั้นก็ไม่หนวกหูอะไร อยู่ได้ เขาก็เลยเห็นว่าให้อยู่ได้ ชาวบ้านก็ไม่คัดค้านในการตั้งวัดไทย แต่ว่าพระเราที่ไปอยู่บางทีก็สร้างความรำคาญให้ชาวบ้านเหมือนกัน เพราะว่าคนไทยที่ไปวัดไม่ได้ไปเพื่อศึกษาธรรมะ แต่ไปเพื่อสนุกกัน เครื่องมือเพื่อความสนุกนี่ไปไว้ที่วัด เช่นมีกลองยาวไปไว้ที่วัดไว้ เวลาวันสงกรานต์ก็เล่นกลองยาวกัน รำ เฉิบๆ ไปรอบบริเวณวัด กลองยาวมันดังหนวกหูไปถึงชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็โทรศัพท์ไปบอกตำรวจ ตำรวจก็มา ตำรวจที่โน่นเรียกง่ายใช้คล่อง ต้องการอะไรก็มาทันใจละ ของเรานี่เรียกยากใช้ยาก ไม่ค่อยมา ไม่เหมือนเขาที่โน่น แต่นี้ก็มาเพื่อ เขาก็มาถามว่าทำอะไรกัน ก็บอกว่าเล่นสงกรานต์ เขาบอกว่ารู้ไหมว่าทำอย่างนี้มันหนวกหูชาวบ้าน หัวเราะแหะๆ แก้เก้อไปตามเรื่อง และก็บอกให้หยุด ก็เลยต้องหยุดไป อย่างนี้เป็นเรื่องของความสนุกสนาน เขาไม่ชอบในเรื่องอย่างนั้น ก็เขามีเหลือเฝือแล้ว เขาต้องการความสงบ ต้องการหาความสุขทางใจแต่เขาไม่รู้ เพราะว่าเขารู้แต่เรื่องข้างนอก รู้ไกล รู้ไปจนถึงโลกพระจันทร์ โลกดาวต่างๆ เวลานี้กำลังเที่ยวออกไปหาดาวดวงนั้น ไปหาดาวดวงนี้ เที่ยวไขว่คว้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เคยตรัสกับภิกษุตอนหนึ่งว่า เธอจะเหาะได้ไปจนถึงยมโลก แต่เธอจะไม่พบทางพ้นทุกข์ที่เธอไปหา ทางที่จะพ้นทุกข์มันอยู่ในตัวของเธอเอง ในกายหนาคืบกว้างศอกหนึ่งนี้ มีใจครอง ความทุกข์อยู่ในนี้ เหตุจะเกิดทุกข์อยู่ในนี้ ความดับทุกข์ก็อยู่ในร่างกายนี้ แนวทางปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ก็อยู่ในร่างกายนี้ อย่าไปหาจากภายนอก มันจะไม่พบ พระองค์ตรัสว่าให้รู้อย่างนั้น แต่ว่าชาวตะวันตกเขายังไม่เข้าใจในเรื่องอย่างนี้ เพราะไม่มีคนไปสอน ไปบอก ให้เขาเกิดความรู้ความเข้าใจ ครั้นเมื่อมีพระไปอยู่ แล้วก็แสดงให้เขาเห็นเช่นว่าการออกไปเดินบิณฑบาตร ความจริงการไปบิณฑบาตรนี่ไม่ใช่เพื่ออาหารนะ เพราะไปก็ไม่ได้อะไรมากมาย ได้กล้วยมาผลหนึ่ง แอบเปิ้ลมาผลหนึ่ง ขนมกรอบแกรบซัก ๒-๓ ชิ้น ก็ไม่พอฉันอะไร แต่ว่าไปเพื่อให้เขาเห็นว่าพระเรานี่อยู่อย่างไร มีชีวิตอย่างไร เผื่อใครพบเขาจะได้ถามมั่ง แล้วก็จะได้คุยกัน หรือว่าไปคุยที่บ้านเขา เขาว่าเราไปเยี่ยมบ้านเขาต่อมาเขาก็มาเยี่ยมบ้านเรา มาเยี่ยมวัด มาเยี่ยมวัดก็จะได้คุยกัน สนธนากัน ให้เขาลองทำความสงบใจดู เขาทำดูเขาก็พออกพอใจ ก็เลยเกิดประโยชน์ขึ้นแก่คนพวกนั้น เขาก็นำไปปฏิบัติ อยากจะปฏิบัติมากๆ ก็มาอยู่วัด เวลานี้วัดป่านี่ที่มันไม่พอแล้ว เพราะว่าฝรั่งที่เขาต้องการเขาก็ส่งจดหมายมาทุกที่เลย มาลองบุ๊ครถไฟ ไปไหนมาไหนมาบุ๊คที่ว่าจะมาอยู่สัก ๗ วัน จะมาอยู่ ๑๕ วันนี่มีที่พอหรือไหม ถ้าตอบไปว่ามีที่ เขาก็มา มาอยู่อย่างคนในวัด แต่ไม่ต้องในวัด แต่ไม่ต้องโกนหัว เพราะว่ายังไม่คิดจะบวช เมื่อไหนคิดจะบวชนี้ต้องโกนหัว นุ่งขาวห่มขาว อยู่วัด ๒ ปีแล้วจึงจะบวชเป็นพระให้ได้
เดี๋ยวนี้พระสุเมโธเป็นพระอุปชา บวชได้แล้ว และบวชที่โน่นนี่บวชง่ายกว่าบ้านเราอีก คือไม่ต้องไปบวชในโบสถ์ เพราะโบส์ถเป็นหลังนี่ไม่มี มีแต่บวชในสนามหญ้า คือเป็นพื้นดินธรรมดา เป็นสนามหญ้า แล้วก็เอาสีมาไปปักไว้ ปลูกพัทธสีมา ปลูกในพื้นดินนี้เอง แต่ถ้าหน้าหนาวนี่จะบวชลำบากหน่อย หิมะมันจะกัด แต่วันที่ไม่มีหิมะนี่ก็ไม่เป็นไร ถึงจะหนาวหน่อยแต่ก็พอบวชได้ ก็บวชกันในสนามหญ้า เป็นสีมาแบบง่ายๆ ก็บวชได้ เวลานี้ก็บวชในอังกฤษก็หลายองค์แล้ว ก็เขาได้ทำชีวิตอย่างพระ และจะได้อบรมบ่มนิสัยให้เป็นครูสอนธรรมะต่อไป การสอนนั้นก็ไม่ใช่สอนด้วยการพูดอย่างเดียว แต่สอนด้วยการวิธีทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างด้วย อันนี้ถูกหลักการของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเวลาส่งสาวกไปประกาศธรรมะนี่ เราบอกว่าจะประกาศภิกขเวจากกรรม (34.41) แปลว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่มหาชน จงประกาศธรรมะอันไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลางที่สุดแก่เขา ด้วยการทำให้เขาดู ด้วยการพูดให้เขาฟัง การทำให้เขาดูก็คือแสดงความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันให้เขาเห็นว่า อยู่อย่างสงบ อยู่อย่างเป็นสุข แม้ไม่มีสมบัติอะไร อยู่ด้วยเครื่องใช้เล็กน้อย มีจีวรกับบาตร อาจจะมีของอื่น ก็คือหนังสือสำหรับศึกษาเล่าเรียน ที่วัดป่าจิตตวิเวกนี่ไม่มีอะไร เพราะว่าโยมฝรั่งนี่เขาไม่ถวายอะไรมาก ไม่เหมือนเมืองไทย โยมเอานั่นมาให้ เอานี่มาให้ มาเป็นสิบปีแล้วเวลานี้มันไม่มีที่จะเดินแล้ว มันรุงรังไปหมด หมอนบ้าง ไอ้นู่นไอ้นี่ ของใช้ได้ก็มี ของใช้ไม่ได้ก็เอามาถวายเหมือนกัน ไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน ก็อันนี้มันเก่าแล้ว ไม่รู้จะใช้อย่างไร เอามาถวายวัดดีกว่า...เอามาถวาย แมวไม่ดีก็เอามาถวายวัด สุนัขไม่ดีก็เอามาถวายวัด ไอ้ลูกเกเรก็เอามาถวายวัดนี่อีกเหมือนกัน ในวัดนี่กลายเป็นที่รับของไม่ดีเลยนะ แล้วมันก็รุงรังไง (36.07) แต่ที่นั่นมันยังไม่มีอะไร ก็เป็นห้องกว้างโล่งๆ นั่งนอนสบาย ไม่มีของรุงรัง ทรัพย์สมบัติก็ไม่ต้องวิตกกังวล ไปไหนก็ไปได้ เหมือนนกนี่ก็ไม่มีของ ก็ไปได้สบายๆ พระที่ไปอยู่นั้นก็มีแต่บาตร มีแต่จีวร ไปไหนก็พาบาตรไปด้วย เพราะว่าฉันในบาตร เขานิมนต์ไปที่ไหน ก็ฉันในบาตร ให้เขาใส่บาตรแล้วก็ฉันกัน เอ้อ...เวลาที่มีการทำบุญ ทอดผ้าป่า ทอดกฐินนี่ เป็นภาพที่น่าดูที่สุด ไม่มีวีดีโอเทปไปถ่าย ไม่ได้เอามาให้โยมดู คือว่าฝรั่งมาใส่บาตรนี่น่าดู เด็กเล็กๆ นี่เหมือนกับบ้านเรา ใส่บาตร ใส่ผลไม้ ใส่ขนม ใส่แล้วยกมือไหว้ นั่งกราบเรียบร้อย น่าดู ไปเห็นแล้วน่าเอ็นดูมากที่เขาทำอย่างนั้น แสดงว่าจิตใจเขาเข้าถึงแล้วในธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องที่เราดูแล้วน่าสบายใจ นี่เป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำแต่แห่งเดียว ขยายวงกว้างออกไป
ในประเทศอังกฤษนั้นมีศูนย์ แบบว่า ศูนย์สำหรับอบรมสั่งสอนการปฏิบัตินี่มากมายหลายแห่ง แต่ว่าบางแห่งก็มีพระไปอยู่ แถวนี้มีพระไปอยู่ก็สองแห่ง ก็เรียกว่า Lord Summerland อยู่สูงขึ้นไป อากาศหนาวมากที่นั่น แต่ภูมิประเทศสวยงาม เมื่ออาตมาไปนี่ก็อยากจะชวนคุณชลอไปดูเหมือนกัน แต่คุณชลอบอกว่าไม่ไหว มันหมอกมาก ขับรถลำบากไปแถวนั้น ค่อยไปดูหน้าร้อน แล้วก็ได้ไปดูแห่ Demon, Demon Shrine (37.52) อยู่ใกล้ทะเลเหมือนกัน ไปดูกุฏิที่เล็กๆ บ้านเล็กๆ พระไปอยู่ ๒ องค์ อุบาสก ๒ คน แล้วบ้านติดกันนั่นเป็นแบบบ้านบาตหลวง ถามว่าบาตหลวงจะไม่สบายใจไหม เรามาอยู่...ก็รู้สึกดีใจ แกยังมาหาเลย เอาผักมาให้เอาผลไม้มาให้ด้วย และบอกว่าดีใจที่จะมาอยู่ใกล้กัน จะได้มีเพื่อนบ้าน บาตหลวงก็ดี เรียกว่าไม่กีดกัน เพราะตัวแกแก่แล้ว และแกนึกว่ากูสอนไม่ไหวแล้ว ต้องให้คนอื่นมาช่วยสอนหน่อย แล้วก็ไม่เรียกร้องอะไร และพระไปอยู่ก็สบายนะ อันนี้มีคน ไปบิณฑบาตรก็มีคนใส่บาตรให้ฉัน ถามพระว่าอาหารการฉันเป็นอย่างไร สะดวกไหม..อือ มีพอฉันพอใช้ ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะว่าพระฉันแต่ละน้อย ไม่ได้ลำบากในเรื่องการเป็นอยู่ แต่นี่ชีวิตในต่างประเทศนี่มันเป็นอย่างนี้
เราที่เป็นคนเมืองไทยนี่ฟังดูแล้วก็จะเห็นว่าฝรั่งนี่ที่เขามานับถือพระพุทธศาสนานี่ เขาเอาธรรมะล้วนๆ ไม่พะรุงพะรัง ของเรานี่ยังพะรุงพะรังเต็มทีเวลานี้นะ เมื่อกี้พาท่านสุเมโธไปที่สถานีโทรทัศน์ ไอ้หน้าสถานีโทรทัศน์น่ะ ด้านหนึ่งนี่มีรูป (39.15) ด้านหนึ่งมีรูปมนุษย์ครึ่งสัตว์ เขาเรียกปวิทเวท หลวงพ่อก็เลยบอกว่า ดูซิ ชาวพุทธเมืองไทยนี่มันยังรุงรังเต็มที เที่ยวแบกอะไรต่ออะไรไว้น่าปวดหัว หนักบ่าไปเหลือเกิน นี่เรียกว่าเราไม่เข้าไปถึงธรรมะของพระพุทธศาสนา แต่ไปเที่ยวไหว้นั้นไหว้นี้ พึ่งโน่นพึ่งนี่ ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ต่อไปข้างหน้า ฝรั่งเขานับถือพุทธมากขึ้น เขามาเมืองไทย เขาจะตกใจ เขาจะตกใจว่า เอ...ไอ้ที่เรานับถือ กับที่เมืองไทยนับถือนี่ไม่เหมือนกันนี่ ไอ้ต้นเดิมกับที่เอาไปปลูกมันไม่เหมือนกันนะ เรียกว่าต้นเดิมมันเป็นอื่นไปซะแล้ว เหมือนกับว่าเป็นบ้องกัญชาไปเสียแล้ว แต่ว่าที่เอาไปปลูกมันยังเป็นไม้ไผ่อยู่ อะไรอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วมันจะน่าขายหน้านะ ญาติโยมทั้งหลายคิดซิ เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าในสิ่งเหล่านั้นนะ ฉะนั้นเราควรจะริดรอนอะไรต่ออะไรที่มันไม่ถูกต้อง ความเชื่องมงาย ความเชื่อที่ไม่เข้าเรื่อง ที่รับตามๆ กันมา ถือตามๆ กันมา พ่อแม่ถือ ลูกถือตาม โดยไม่ได้คิดว่าถือทำไม ถือเพื่ออะไร สิ่งนั้นมันจะช่วยอะไรเราได้บ้าง เราไม่ได้คิดในรูปลักษณะนั้น ทำตามกันมาเลยเถิดเป็นเวลานาน เมื่อวานนี้ อ่า...เมื่อวานซืนนี่ นายกเทศมนตรีบางบัวทองมาหา บอกว่าจะนิมนต์เจ้าคุณไปเทศน์หน่อย เทศน์กับใคร เทศน์กับพวกครู...มีเรื่องอะไร บอกว่าที่โรงเรียนนั้นน่ะ ผมเอาพระพุทธรูปไปทำเป็นซุ้มไม้ พวกครูมันบอกว่าไอ้นายกนี้มันทำอะไรไม่เข้าท่า ก็สนามหญ้าโรงเรียนก็ต้องมีศาลพระภูมิ ไอ้นายกฯนี่มันคนอะไรไม่นับถือพระภูมิเจ้าที่ ก็บอกว่า จะให้ไปเทศน์อะไร ท่านไปเทศน์ให้ไอ้พวกนั้นมันเข้าใจเสียที ว่าควรจะมีอะไรไว้ในสนามหน้าโรงเรียน เนี่ย ครูนี่ก็แย่เหมือนกัน คือว่านำเด็กเนี่ยไปนับถือสิ่งไม่เข้าเรื่อง คราวก่อนไปปักษ์ใต้พบครูใหญ่ ผู้อำนวยการเลยนะ มาถึงบอกว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้จักอะไรต่ออะไร ผมอยากจะทำอะไรจูงใจเด็กสักหน่อย ถามว่าครูจะทำอะไร ผมจะทำเป็นศาลแล้วเอารูปพระพิฆเนศมาไว้ ก็อ้าว...ครู ครูนี่นับถืออะไร ว่านับถือพุทธศาสนา แล้วพระพิฆเนศนี่มันเกี่ยวข้องกับพระรัตนไตรตรงไหน เราว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธรรมัง สรณัง คัจฉามิ แล้วไม่ได้ว่า พิฆเนศคัง สรณัง คัจฉามิ สักหน่อย แล้วครูนี่อุตริ้อย่างไร จะทำให้เด็กให้รู้ นี่หนักเข้าไปอีกน่ะ แกก็ แกดันของแกไปตามเรื่องว่าที่ไหนๆ ก็มีทั้งนั้น อ้าว...นี่เรียกว่าโง่ตามเขา พูดไม่รู้เรื่องครูคนนั้น แกไม่เข้าใจ เป็นท่านผู้อำนวยการโรงเรียน ยังไม่เข้าใจความหมาย ยังไม่รู้เรื่อง ก็เรียกว่าลำบากพอใช้เหมือนกันนะอย่างนี้ แต่ต้องพูดกันอีกนานนะ
ความจริงก็พูดกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ว่าคนที่ยังไม่รู้ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่ได้ว่าไม่ได้ ไปเที่ยวติดในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นจะต้องมีหลักการ คือต้องริดรอนในความเชื่อเหลวไหล เขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส ออกไปจากจิตใจ แล้วจิตใจจึงจะสูงขึ้น หลักการว่าต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีความเชื่อมั่นคงในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั่นแหละ แล้วก็ต้องพยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป ตัดความเชื่อ แบบเหลวไหลออกไปจากจิตใจให้หมด จึงจะเรียกว่าเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา เป็นผู้เข้าถึงกระแสธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้เข้าถึงกระแสธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่าเป็นแบบเดินเรียบอยู่ริมฝั่ง หรือว่าไปเดินปากอ่าวมองดูแม่น้ำ ดูกระแสธรรมที่ไหลไป แต่ไม่ลงไปกินน้ำ ไม่ลงไปอาบน้ำ ไม่ใช้น้ำธรรมะนั้นให้ทำประโยชน์ แล้วเราจะมีศาสนาไว้ทำอะไร ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น อันนี้นี่ต้องคิดแล้วในสมัยปัจจุบัน มันต้องคิดในเรื่องอย่างนี้
อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ว่าที่ประเทศอเมริกามีวัดไทยไปอยู่ ที่เมืองลอสแองเจลิส (43.52) แล้วก็ทางการลอสแองเจลิสนี่ได้ส่งคำสั่งมาหลายข้อด้วยกัน ว่าที่วัดนี้ไม่ได้ทำตามกติกา สัญญา ข้อกำหนด หรือหลักการที่ทางวัดว่าจะทำอะไร ไม่ได้ทำตามนั้น มีการจัดงานสนุกสนานเฮฮา เปิดลำโพงกระจายเสียงดังไปในบริเวณนั้น เขาหนวกหูกัน ทั้งบริเวณเขาส่งเรื่องไปให้เจ้าหน้าที่ราชการรับรู้ ราชการก็เลยส่งหนังสือบังคับน่ะ บอกว่าให้เปลี่ยนหลักการ ถ้าไม่เปลี่ยนหลักการทำอยู่อย่างนี้ จะปิดวัดกันเลยทีเดียว ไม่ให้เปิดเป็นวัดต่อไปเพราะทำไม่ถูก นี่เกิดปัญหาละ อ่า..ทำไมจึงเป็นปัญหา เพราะว่าคนไทยเราไปวัดนี่ไม่ได้ไปเพื่อศึกษาธรรมะ ไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมะ แล้วพระที่อยู่นั่นก็เหมือนกัน ไม่สอนธรรมะแก่ประชาชน ไม่พูดธรรมะให้คนเข้าใจ ทำในเมืองไทยอย่างไรก็จะไปทำที่เมืองนอกอย่างนั้น เคยปฏิบัติที่วัดในกรุงเทพฯ อย่างไร ก็ไปทำอย่างนั้น ไม่ไปเปลี่ยนจิตใจคนซึ่งจากเมืองไทยไปแล้ว ให้มีจิตใจสูงขึ้นสักหน่อย ไม่ได้ทำอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไปกว่ามีวัดไว้ให้คนไปเล่น ไม่มีอะไร ไปสนุก ไปร้องรำทำเพลง ไปทำบุญก็คือไปสนุกกัน ก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ได้ประโยชน์ในทางพระศาสนา วัดในเมืองไทยเรานี่ก็เหมือนกัน นี่ตอนนี้ก็มีงานประจำปีที่นั่นที่นี่ เมื่อตะกี้นี้คุณสุพจน์ โพธิสว่าง แกก็ประกาศว่าพระธาตุพนมมีงานตั้งแต่วันที่ ๑๑ ถึงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ เป็นเวลา ๗ วัน ขอเชิญพ่อแม่ไปเที่ยว ออกมาจากสถานีแล้วอาตมาไปคุยกับท่านสุเมโธว่า นี่ไหว้พระธาตุนี่ไม่เห็นพระธาตุเลย ไม่ได้พบพระธาตุเลยคนไปไหว้นี่ พบอิฐเท่านั้นเอง อิฐที่ก่อเป็นองค์พระธาตุนี่ก็ไหว้ไปเท่านั้นเอง แล้วก็พระก็ไม่ได้สอนธรรมะให้คนฟัง มีงานออกร้าน มีลิเก มีหนังต่อยอด (46.08) มีมโหรสพ หมอลำ หมอลาเล อะไรก็ไม่รู้ เต็มไปหมดทั้งบริเวณ ลำโพงหนวกหู หลวงพ่อก็ไม่รู้เรื่องนะ อาตมาเคยไปพักคืนเดียวแล้วก็หนีเลย บอกอยู่ไม่ไหวที่นี่มันหนวกหูเหลือเกิน นี่คือจัดงาน เขาเรียกว่างานไหว้พระธาตุ แต่ไม่เห็นพระธาตุ งานไหว้พระแต่ไม่มีให้คนมาพบพระ เหมือนกับงานไหว้พระกรุงเทพฯ งานไหว้หลวงพ่อโตฯ เหมือนคนไม่ได้รู้จักหลวงพ่อโตฯ สักที เพราะว่างานสนุกก็เท่านั้น งานไหว้พระปฐมเจดีย์ งานไหว้พระบาท ไม่ค่อยได้ยินเสียงธรรมะ ได้ยินแต่เสียงว่า เชิญมาซื้อนั่น เชิญมาซื้อนี่ ลิเกโรงนั้นกำลังแสดงแล้ว หนังที่นั่นกำลังฉาย คนไปก็ได้แต่ขี้ฝุ่นเต็มจมูก ไม่ได้อะไร โยมจะไปไหว้พระบาทนี่ขอแนะนำอย่าไปไหว้เวลาเขามีงาน เพราะว่าที่ส่วนมากแล้ว อาตมาเคยไปดู ไม่ใช่ดูอะไร ไปดูว่าเขามาทำงานอย่างไร แต่ว่าแหม...ดูแล้วเดินจามไปตลอดทาง ขี้ฝุ่นเข้าจมูก แหม...มาบอกว่ามาไหว้พระนี่ได้แต่ขี้ฝุ่นกลับบ้าน ไม่ได้อะไรเพราะไม่มีหลักการในการเผยแผ่ธรรมะให้แก่ประชาชน มุ่งแต่จะหาเงิน
ไอ้เรื่องเงินนี่ก็ต้องการเหมือนกัน อาตมาก็ชอบเหมือนกันเงิน เอามาสร้างโน่นสร้างนี่ สร้างวัดนี้ จะได้เอาไปช่วยวัดประเทศอังกฤษบ้าง ก็ต้องการ แต่ไม่อยากได้จากความโง่ของญาติโยม อยากจะได้เงินที่โยมฉลาดและรู้จักให้ รู้จักทำให้เกิดประโยชน์ และก็สอนคนนั้นให้ฉลาดด้วย อันนี้เป็นหลักการซึ่งถือมานานแล้ว ตั้งแต่เริ่มเทศนาสอนประชาชนมาก็ยึดหลักการนี้ จะทำคนให้ฉลาดแล้วจึงจะสร้างสิ่งที่เป็นวัตถุ ถ้าคนยังไม่ฉลาดจะไม่เอาเงินจากญาติโยมเป็นอันขาด สอนให้ฉลาดก่อน ถือเป็นหลักการตลอดมา แต่นี่ไม่ได้ถือหลักการอย่างนั้น คิดหาเงินกันท่าเดียว มุ่งแต่ความสนุกสนาน นี่ถ้าหาบุญสร้างโบสถ์ที่วัดนี้นี่ จะไปงานผูกพัทธสีมาที่หลังสวน งานมีตั้ง ๗ วัน ๗ คืน เลยบอกว่า ๗ วัน ๗ คืนนี่วัดเน่าหมดเลย ทำไมถึงเน่า...ขออภัยนะ...คนมาเยี่ยวใส่วัด มาขี้ใส่วัด แล้วก็ ๓ คืนเดินไม่ได้แล้ว วัดเหม็นหมดไปเลย ทำอะไรกันมากมายอย่างนั้น มันหลายคืนเกินไป บอกว่าเขาจัดสนุก เขามีหนังมีละคร มีเรื่องอะไรต่ออะไร แล้วคุณจะไปทำอะไร จัดงานอย่างนั้นมันต้องไป (48.46) ก็ไม่ได้เรื่องอะไร งานนี่มันไม่มีอะไรก็ได้ เคยจัดลองดูหลายทีแล้ว อาตมาไปจัดนี่จัดโดยไม่มีมโหรสพเลยเอาแต่สอนธรรมะ ก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร ได้เงินตั้งสี่ห้าแสน ทำงานที่ระนองนี่ก็ได้ สี่ห้าแสน ไม่มีอะไร คนมาเราก็เทศน์ตอนเช้า เทศน์ตอนบ่าย เทศน์กลางคืน เทศน์เรี่อยไป ไอ้ตอนไปฝังนี่อาตมาเทศน์เองเลย อ่า...เทศน์คนก็มานั่งเต็มบริเวณที่นั่งฟัง เทศน์ให้ฟังว่า เวลาฟังนี่อย่าไปแย่งด้ายสายสิญจน์กัน อย่าไปแย่งหวายผูกลูกสิญจน์กัน มันไม่ได้เรื่องอะไรหวายนี่ ถ้าสาวไปยาวๆได้ นี่ก็เอาไปตีแมวได้เท่านั้นของมันไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่ขลัง ไม่ได้ศักดิ์สิทธิอะไร ต้องเอาธรรมะไปเทศน์กัน ได้ผลเลย พอเวลาเทศน์จบแล้ว ฝังลูกนิมิตเสร็จแล้วไม่มีใครสนใจเรื่องด้ายสายสิญจน์ ไม่มีคนสนใจเรื่องหวายต่อไป เลยหวายขายไม่ออก บอกว่าอย่าขาย ให้เอาสตางค์จากทางโน้นนี่ก็ไม่เอาๆ ได้ห้าแสนพอแล้ว ได้ทำวัด (49.54) เขาก็ได้เงินทำศาลาต่อไปในวัดนั้น ทำได้ พระมาดูกันเยอะแยะ แล้วก็เห็นผล แต่ว่าพระนี่แพ้ชาวบ้าน เพราะมีงานนี่มีกรรมการ ทีนี้กรรมการมันเป็นแบบวัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง เหมือนกับเพลงที่เขาร้องนะ ทีนี้กรรมการก็คิดใหญ่ มันคิดว่าต้องมีหนัง ต้องมีลิเก มีดนตรี ดนตรีนี่คืนหนึ่งมันเอา ๒๐,๐๐๐ นะ ไม่ใช่เล็กน้อย เก็บค่าผ่านประตู วัดเป็นขี้ข้าพวกดนตรีทั้งหลาย หาเงินให้พวกนั้นใช้ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้อะไร แล้วก็ถาม ว่าวัดได้อะไรจากการจัดงาน ได้ ๒ เปอร์เซ็นต์ ร้อยละ ๒ นะ ได้ไม่เท่าไร ร้อยละ ๒ พันได้ ๒๐ บาท หมื่นหนึ่งก็ได้ ๒๐๐ แสนหนึ่งได้ ๒,๐๐๐ แล้วมันจะได้อะไร พอทำเสร็จแล้วขาดทุนนะหลวงพ่อ คราวนี้ไม่ได้อะไรเลย ไอ้ ๒ เปอร์เซ็นต์นี่มันยังไม่ให้มันบอกเป็นค่าพื้นที่ด้วยซ้ำไป ไอ้พวกกรรมการ มันไม่ใช่เอาครึ่งหนึ่งเลย บอกว่าแล้วทำไมทำอย่างนั้นล่ะ ไม่ทำพวกกรรมการมันไม่ยอม เป็นเรื่องนั้น แปลว่ามันใหญ่กว่าเรานะ กรรมการน่ะ อันนี้ทำไมกรรมการใหญ่กว่า จะบอกให้นะ ก็เราไม่มีคุณค่าเอง คือไม่สร้างคุณค่าตัวเองให้สูงขึ้น ไม่สอนธรรมะ ทีนี้คนมันก็ไม่สนใจ นึกว่าพระมีไว้เฝ้าวัดเท่านั้นเอง แล้วก็ทำอะไรให้ชาวบ้านดู
นี่คือความเสื่อมที่เป็นอยู่ในเวลานี้ อาตมามองเห็นนี่แต่ไม่รู้จะพูดกับใคร นี่วันที่ ๑๔ นี่ แหมก็ทางกองทัพบกจะให้มาเป็นคู่กับเจ้าคณะภาคเชียวนะ ว่าแหมจ้องนานแล้วไม่ได้พูดซักที คราวนี้เรียกว่าเจ้าภาพต้องเขม่นกันไปนานล่ะคราวนี้ เรียกว่าพูดคราวนี้ฉิบหายแน่ พวกผู้ใหญ่ตัวดี พระทั้งหลายก็จะถูกท่านบรรยาย เพราะว่าหาโอกาสพูดไม่ค่อยได้ ไอ้เราไปพูดต่อหน้าก็ไม่ได้ ท่านไม่ฟังนะ แต่นี่เขาให้มานั่งฟัง มาเลย นิมนต์มา มันยังน้อยไปนะ ต้องเชิญเถระสมาคมมานั่งฟังด้วยนะ มาด้วย สังฆราชนั่งเป็นประธาน ท่านสัญญาพูดสักทีน่ะ ก็แหม เห็นจะลำบาก เอาเจ้าคณะภาคก่อน ผู้ใหญ่มานั่งฟังกัน วันที่ ๑๔ นี่ ๑๔ มีนา อีกหลายวัน คงจะป่วยหลายองค์ล่ะวันนั้น หาเรื่องป่วย ท้องเสียมั่ง อะไรมั่ง เป็นไงพอรู้ว่าเจ้าคุณปัญญาพูดนี่จะพูดอะไรนี่ก็รู้แล้ว นี่คงจะมีท้องเสียมั่งล่ะ คอยดู ใครท้องเสียมั่ง อันนี้ก็ต้องไปพูดกันให้ได้รู้ว่ามันต้องแก้อะไร สังคมในเมืองไทยนี่ต้องแก้อะไร จิตใจคนนี่มันต้องแก้ด้วยวิธีการอย่างไร วัดวาอาราม พระสงฆ์องค์เจ้า พุทธบริษัทนี่ต้องแก้อย่างไร ต้องแก้มันเหมือนกัน สม่ำเสมอกัน ไม่ได้ทำวัดเดียว ทำวัดเดียว พูดอยู่องค์เดียวก็ไม่ไหวนะ อาตมาพูดๆ มันถึงซักวันนี่นะ อาตมาก็พูดไม่ได้แล้ว แล้วใครจะทำต่อนะ มันก็หยุดก็เท่านั้นเอง มันทำให้เหมือนกันทุกวัด ผู้ใหญ่จะต้องสั่งการลงไปว่า ต้องมีนโยบายอย่างนี้ ทำงานต้องอย่างนั้นๆๆ ลงไปแก้ไขปรับปรุงให้มันดีขึ้น เพราะเวลานี้ที่พระธรรมของพระพุทธเจ้ากำลังแพร่หลายไปต่างประเทศ เขาเอาแต่เนื้อ เปลือกเขาไม่เอา ไอ้เรานี่เอาเปลือกเนื้อไม่ค่อยกิน แล้วกินมะพร้าวทั้งเปลือก ได้มะพร้าวมาถึงกินเปลือกนั่งเคี้ยวอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เป็นอะไร แล้วมันจะได้อะไรนี่ ลองคิดดู กินเปลือกมะพร้าวนี่มันไม่ได้เรื่อง กินกะลาก็ยังไม่ได้เรื่องด้วยซ้ำไป มันต้องปลอกเปลือกต่อยเอากะลาออกแล้วขูดเอาเนื้อมะพร้าว แล้วก็เอาไปคั้นเอาแต่น้ำกะทิ กินแต่น้ำมันมันถึงจะได้
พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องการให้เราเข้าถึงแก่นสิ่งที่เป็นสาระ ต้องเข้าถึงสิ่งที่เป็นสาระ เดี๋ยวนี้พูดกับญาติโยมตรงไปตรงมาว่า ยังไม่ค่อยถึงแก่น นี่โยมที่มาวัดชลประทานนี่เรียกว่าเข้าถึงพอสมควรแล้ว ละแล้วก็หลายเรื่องแล้ว ไอ้เหลวๆ ไหลๆ ใช่ไหม แต่ว่าที่อื่นมันยังไม่มี ต้องพูดกันอีกต่อไป เทศน์กันต่อไป ไม่ช่วยกันแก้ไขปรับปรุง เราจะขายหน้าคนที่เลื่อมใส เช่น คราวหนึ่งนี่ชาว (54.40) มาเมืองไทย นาย คริสมาส ฮัมฟรีส์ ก็มีการจัดถวายอาหารพระ พุทธสมาคมมันก็ผู้ใหญ่ทั้งนั้น ตอนถวายเสร็จแล้วก็ฉันอาหาร ฉันของหวาน ฉันน้ำ เอาหมากบุหรี่เข้าไปประเคน นายฮัมฟรีส์ ก็ว่านั่นอะไร ก็บอกว่าบุหรี่น่ะ (54.51) ท่านก็บอกว่าทำไมพระสูบบุหรี่ด้วย ฝรั่งที่ถือพุทธศาสนาเขาไม่สูบบุหรี่แล้วนะโยม เขาเลิกสูบบุหรี่นะ เขาเลิกของเสพติดนะ เขาเคร่งครัดแล้วนะพอมานับถือ เขาก็สงสัยว่าทำไมเอาไปถวายด้วย พวกนั้นก็บอกธรรมเนียมเขาทำมาอย่างนี้ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็ต้องแก้ไปอย่างนั้น แล้วคราวหนึ่ง คนเยอรมันเป็นคณะฑูตสันถวไมตรี มาเมืองไทย มีชาวพุทธมา ๒ คนในหมู่นั้น แล้วพุทธสมาคมเชิญเลี้ยง ใครๆ เชิญเลี้ยงหลายแห่ง ๒ คนนั้นไม่ดื่มของมึนเมาเลย ดื่มแต่น้ำผลไม้ ส่วนของมึนเมาก็คนไทยก็ดื่ม ฝรั่งที่ไม่ได้เป็นพุทธน่ะ เขาก็ดื่ม ดื่มเหล้า หรืออะไรตามที่เขาเลี้ยงนะ แต่ ๒ คนนั้นไม่ดื่ม ไม่ดื่มก็ถามว่าคุณเป็นฝรั่งทำไมไม่ดื่ม ก็บอก โอ้ ผมถือพุทธครับ แต่คนไทยถือพุทธดื่มอ้อกแอ้กๆ เชียวนะ แล้วไม่ขายหน้าตายเหรออย่างนี้นะ มันน่าขายหน้านะอย่างนี้มันขายหน้า แล้วก็คราวหนึ่งนะ ฑูตพม่ามาเมืองไทย มาตั้ง ๑๐ คน รัฐสภาเชิญเลี้ยง รัฐสภาเวลานั้น คุณเกษม บุญศรี เป็นประทาน คุณเกษมนี่แกไม่ดื่มเหล้า แต่ว่าในฑูตพม่านี่ทุกคนไม่ดื่มเหล้า มีอยู่คนหนึ่งไม่รับประทานอาหาร เป็นหัวหน้าฑูตด้วยคนนั้น เป็นฑูตสันถวไมตรี ไม่รับประทานอาหาร เจ้าคุณมาก็ถามว่า อาหารไทยไม่อร่อยหรือ ท่านจึงไม่รับประทาน ตอบว่าอร่อยทุกอย่าง น่ากินทั้งนั้น แต่เสียดาย เพราะวันนี้เป็นวันอุโบสถ ผมถือศีลอุโบสถเลยไม่สามารถจะกินอาหารได้ แล้วก็คนอื่นทุกคนที่เป็นฑูตพม่าไม่ดื่มของเมา แต่ว่าของไทยนั้นว่ากันเต็มคราบเลย นี่ก็บอกว่าฉันนี่มันเก่ง ชาวพุทธเก่งกว่าสามารถที่จะดื่มเหล้าได้ว่างั้นล่ะนะ นี่มันขายหน้านะอย่างนี้นะ เรื่องอย่างนี้มันมีบ่อยๆ น่าขายหน้า
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะกล่าวไว้ในที่นี้ว่า เราจะต้องเปลี่ยนแล้ว พุทธบริษัทในเมืองไทยนี่มันต้องเปลี่ยนเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องมีความเชื่อถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง มีการพูดการทำที่ถูกต้องตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ไม่มีสิ่งอะไรเหลวไหลไร้สาระ งมงายอยู่ในบ้านของเรา อยู่ในที่ ที่เราเกี่ยวกับพุทธศาสนา เขามาเห็นแล้วเขาจะไม่สงสัยแคลงใจ เขาจะเห็นว่าคนไทยนี่ถือพุทธมานาน จิตใจเข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า นับว่าใช้ได้ หลักการเป็นอย่างนี้ เอ้า วันนี้เอากันเพียงเท่านี้ ก็หมดเวลาแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจ นั่งตัวตรง หลับตาสักหน่อยจะได้ไม่ยุ่ง กำหนดลมหายใจเข้า กำหนดรู้เวลาหายใจเข้า หายใจออก กำหนดรู้ คอยคุมสติให้อยู่ที่ลมเข้าลมออก อย่าได้ไปคิดเรื่องอื่นเป็นเวลา ๕ นาที