แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่าเดินไปเดินมา นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แจ่มแจ้ง แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์คือปัญญา ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมะ อันจะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๙ เดือนมกราคม อีก ๒ วันก็สิ้นเดือนนี้แล้ว ปีใหม่ผ่านมา ได้ ๒๙ วัน แล้วอีก ๒ วันก็จะสิ้นเดือนไป วัน คืน เดือน ปี ย่อมหมุนเวียนไปตามจักรราศี แล้วก็ไม่มีการหยุดยั้ง วันมันผ่านไปเท่าใด ชีวิตของเราก็พลอยผ่านไปด้วย ผู้ที่เป็นเด็กก็จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ก็จะลดลงไปสู่ความแก่และความเจ็บไข้ได้ป่วย หนที่สุดจะต้องดับชีวิตจากโลกนี้ไป อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่จะเกิดจะมีขึ้นแก่ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นสิ่งของที่เราสรรค์สร้างมันขึ้น มันหนีกฎเวลาไปไม่ได้ เขาเรียกว่า อยู่ใต้อำนาจของเวลา สรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นอยู่กับเวลา เวลาเป็นเครื่องกำหนดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นนานเท่าใด คนนั้นเกิดมากี่ปี กี่เดือน กี่วันแล้ว กำหนดได้ด้วยเวลา
เวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตที่เราจะต้องคิดถึงอยู่บ่อยๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงสอนให้เราพิจารณาบ่อยๆ ว่า วันเวลา ล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ที่พระองค์เตือนเช่นนั้น ก็เพื่อจะให้เราได้คิด แล้วก็จะได้ใช้ชีวิตเสียให้เป็นประโยชน์ ประโยชน์ที่เราควรจะทำนั้นก็มี ๒ ประการ เรียกว่า ประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
ประโยชน์ตน กับประโยชน์ผู้อื่นนั้น ย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะชีวิตของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ผู้เดียวในโลก แต่เราต้องอยู่กับเพื่อนมนุษย์ อย่างน้อยๆ เราก็อยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง กับปู่ย่าตายาย ในครอบครัวของเรา ข้างบ้านเราก็มีเพื่อนบ้านอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มนุษย์นี่เป็นสัตว์เมือง หมายความว่า อยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ คนที่อยู่ร่วมกันนั้นย่อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน จะแยกออกไปอยู่โดดเดี่ยวตามลำพังหาได้ไม่ เพราะชีวิตของคนเรานั้นต้องอาศัยผู้อื่น เรารับประทานอาหาร เราใช้เสื้อผ้า เรามีบ้านเรือนอยู่อาศัย เรามีหยูกยาสำหรับแก้ไข มียวดยานสำหรับไปไหนมาไหน อะไรๆ ต่างๆ นั้น เกิดขึ้นจากน้ำมือของคน คนช่วยกันสร้างกันขึ้น แล้วอีกคนหนึ่งก็เอาไปใช้ตามฐานะที่จะพึงใช้ได้
บางคนก็มีของใช้มากจนเหลือเฟือ บางคนก็มีน้อย บางคนเกือบจะไม่มีเลย อันนี้มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอันเป็นเครื่องอำนวยให้เรามีเราได้ ถ้าปัจจัยมีมากเราก็มีอะไรหลายอย่าง ปัจจัยน้อยก็ต้องมีน้อยๆ ไม่มีปัจจัยเราก็ไม่มีอะไรที่จะกินจะใช้ เรียกว่าเป็นคนลำบากยากจน นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีอยู่ในหมู่คนเรา เพราะคนเรามันไม่เท่าเทียมกัน ที่ไม่เท่าเทียมกันนั้นเพราะการกระทำเป็นเครื่องจำแนกให้แตกต่างกัน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กัมมัง สัตเต วิภะชะติ ยะทิทัง หีนัปปะณีตะตายะ แปลว่า กรรมจำแนกคนให้แตกต่างกัน ว่าเป็นคนมั่งมี เป็นคนยากจน เป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนอย่างนั้น เป็นคนอย่างนี้ กรรมเป็นผู้สร้างสรรค์จำแนกชีวิตของคนเราให้แตกต่างกัน เราจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จะอยู่โดยไม่ต้องอาศัยใครนั้นหาได้ไม่ เช่น ว่าคนบางคนจะพูดว่า ผมไม่ต้องอาศัยใคร มันก็อยู่ไม่ได้มันต้องอาศัยกันทั้งนั้นแหละ ไม่ได้อาศัยกันก็อยู่ไม่ได้
เมื่อคนเราต้องอาศัยกัน เกี่ยวข้องกันก็ต้องมีอะไรสักอย่างเป็นเครื่องประสานการเป็นอยู่ในหมู่คนให้อยู่กันด้วยความสุข ไม่สร้างปัญหาให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน สิ่งที่จะประสานคนให้อยู่เป็นสุข ให้มีความรัก มีความสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น ก็คือ ศาสนานี้เอง เพราะฉะนั้นคนเราจึงต้องมีศาสนา ถ้าเราคิดดูว่าตั้งแต่คนเกิดมีขึ้นในโลกนี้ คนก็เริ่มมีศาสนาแล้ว แต่ว่าศาสนาแรกเริ่มเดิมทีนั้น เป็นศาสนาตามธรรมชาติ มีกันไปตามเรื่องตามราว ไปไหว้สิ่งที่เห็นด้วยตา มีอะไรบ้างก็ไหว้กันไป เช่น ไหว้ต้นไม้ ไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้วัตถุที่มันใหญ่ โดยคนไหว้นึกว่ามันเก่งมันถึงใหญ่ แล้วก็นึกว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถจะช่วยตนให้พ้นภัยได้ จึงเข้าไปกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น
แต่ว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มันมีกฎอยู่อันหนึ่ง คือว่าสิ่งทั้งหลายย่อมมีการพัฒนา ที่เราใช้คำว่า พัฒนา หมายความว่า มันหมุนไป มันไม่หยุดนิ่ง การพัฒนาก็คือการเปลี่ยนแปลง ที่จะให้เกิดความดีขึ้น เจริญขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ในทุกแง่ทุกมุม ในสิ่งที่เป็นวัตถุ เราก็จะเห็นได้ว่ามันมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง
ในชีวิตคนเรานี้ ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก็จะเห็นว่าแรกเริ่มเดิมที มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์นี่ไม่ได้นุ่งผ้า ไม่มีบ้านเรือนอยู่อาศัย ไม่มีการหุงหาอาหารรับประทาน เป็นอยู่กันอย่างง่ายๆ อยู่ตามป่า ตามภูเขา ตามถ้ำ ตามต้นไม้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแสดงความเจริญทางวัตถุ ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า civilization หรือว่า ความเจริญทางอารยธรรม มันยังไม่มี อยู่กันตามเรื่องตามราว อยากจะกินอะไรก็ไปขุดมันมากิน เช่น ขุดเผือก ขุดมัน เอามากินดิบๆ ไปจับสัตว์มาได้ก็กินมันทั้งดิบๆ เท่านั้นเอง ไม่มีการเผา การจี่ หรือการหุง การต้ม เพื่อให้มันสุก
มนุษย์ในสมัยนั้นฟันแข็งแรงมาก กินอะไรๆ ก็ได้ แล้วก็อยู่ตามธรรมชาติ อยู่กันมาอย่างนั้นเรื่อยๆ มา แต่ว่าสิ่งทั้งหลายย่อมมีความเปลี่ยนแปลง จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงมาในรูปที่เราเห็นเป็นอยู่ในสมัยนี้ กว่าจะเป็นเหมือนที่เราเป็นนี่ ใช้เวลาเป็นพันๆ ปี ถ้าศึกษาจากโบราณวัตถุซึ่งได้ขุดพบตามสถานที่ต่างๆ ในโลกนี้ ก็จะพบว่า มนุษย์นี่เริ่มเปลี่ยนแปลงมาใช้สิ่งต่างๆ อะไรมากขึ้นๆ ตามปัญญา ตามความสามารถของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนแปลงได้
เราจึงได้เห็นว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรที่อำนวยความสะดวกให้แก่เรามากมาย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากสมองของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้คิด เป็นผู้ค้นในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วก็ทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ไป แต่ว่ามนุษย์นี่แหละทำให้เกิดความเจริญจนทำลายตัวเองไปก็มีเหมือนกัน
ที่ว่าทำลายตัวเองนั้น ก็คือ คิดเลยเถิดไปในเรื่องที่ไม่จำเป็น ไม่เป็นประโยชน์แก่การสร้างสรรค์ เช่น คิดอาวุธร้ายๆ ให้เกิดขึ้น แล้วก็เอามาใช้ประหัตประหารกัน เบียดเบียนกันด้วยประการต่างๆ ถ้าเราฟังข่าวทางวิทยุ โทรทัศน์ ก็จะพบว่ามีอาวุธประเภทร้ายแรง เช่น ลูกระเบิดลูกเดียวนี่ ยิงกัน ทำลายเรือรบ ราคาตั้งสี่ห้าร้อยล้านให้จมไปในวินาทีเดียว เพราะระเบิดลูกนั้น นี่มนุษย์มันคิดไปในทางทำลายสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น
เดี๋ยวนี้เรามีสิ่งที่เป็นผลของการคิดค้นของมนุษย์ที่เป็นไปเพื่อความทำลายนี้มากมายเหลือเกิน จนกระทั่งว่ามนุษย์นี่กลัวต่อสิ่งนั้น นี่ก็คือความเลยเถิดของการคิดค้น ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยับยั้งชั่งใจ ให้หยุดคิดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เงินทอง ความรู้ความสามารถ ที่เราได้มีอยู่นั้น เอาไปใช้ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ ปีหนึ่งจำนวนเป็นหมื่น แสนล้าน ไม่ใช่ของเล็กน้อย
ถ้าเราเอาเงินเหล่านั้นมาใช้ในทางสร้างสรรค์ สร้างที่อยู่ให้คนได้อยู่ได้อาศัย สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สร้างถนนหนทางเพื่อการไปการมาของมนุษย์ สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้น แต่ว่ามนุษย์เรานี่มันเลยเถิดไป ก็เนื่องจากว่ามีการแข่งขันกันในระหว่างคน ในระหว่างพวก ในระหว่างชาติ ที่ใดมีการแข่งขันที่นั่นมีกิเลส เพราะการแข่งขันนั้นมันจะต้องใช้กิเลส ต้องยุให้มีการคิดแข่งขันเพื่อเอาชนะ
ไม่ต้องอะไร ดูไปเล่นกีฬากันก็แล้วกัน เวลาไปเล่นกีฬานี่ก็มีคนประเภทหนึ่ง เขาเรียกว่ากองเชียร์ กองเชียร์นั่นคือไปยุเพื่อนให้เล่นให้ชนะ อย่าให้พ่ายแพ้ ให้เอาเกียรติ เอาชื่อเสียงมาให้แก่สำนักแห่งตน แห่งตน อันนี้มันเป็นเรื่องของการแข่งขันที่ใช้กิเลส ใช้ความมานะ ใช้ทิฐิ เอาตัวเข้าไปใช้ เอาตัวเข้าไปใช้มันก็มีฉันมีเขา มีเรามีท่าน มีอะไรขึ้นมา แล้วการแข่งขันก็รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น ก็ต้องคิดทำลายกัน ตัดทอนกันด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้คนที่เป็นฝ่ายปรปักษ์ของตนนั้นต้องพ่ายแพ้ไป บางทีก็ใช้วิธีการที่เลวทรามที่สุดเพื่อกีดกันคนที่ตนหวังว่าจะเป็นคนต่อสู้ทำให้ตนพ่ายแพ้ ใช้วิธีการหลายอย่าง ดังที่เราเห็นเป็นไปในหมู่มนุษย์ในปัจจุบันนี้
ท่านเคยอ่านเรื่องพงศาวดารจีนหรือไม่ เดี๋ยวนี้เขาเอามาทำเป็นหนัง เรื่องหนังจีน เด็กๆ ชอบ เพราะว่ารบกันเหลือกัน ฟังรบ เสียงรบ ฉิ่งฉั่ง ฉิ่งฉั่ง เรารบกันมาก แต่ว่าในเรื่องนั้นมันก็มีคติเป็นเครื่องเตือนใจ มีคำพูดที่คมๆ อยู่ในตัวเรื่องนั้นมากมายเหมือนกัน แต่ว่าคนดูไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องอย่างนั้น เด็กดูแต่ผู้ใหญ่ไม่ได้ดูด้วย ไม่ได้เอาสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์จากเรื่องนั้นๆ มาพูดจาอธิบายให้เด็กเข้าใจ เด็กก็ติดเรื่องการรบกัน ติดเรื่องการเบียดเบียนกันในรูปต่างๆ เขาไม่ได้คติธรรมจากเรื่องนั้นๆ
ถ้าเราดูด้วยตา ใช้ปัญญา ดูเพื่อธรรมะจากเรื่องนั้นๆ แล้ว ก็จะได้พบว่า สิ่งสำคัญที่มีอยู่ในเรื่องนั้น ปรากฏเด่นชัดที่สุดก็คือความริษยากัน ตัดรอนกันด้วยประการต่างๆ เช่น ในราชสำนักของประเทศจีนนี่มีฮ่องเต้ คือ พระเจ้าแผ่นดินเขาเรียกว่าฮ่องเต้เป็นผู้ใหญ่ในกิจการด้านการปกครองบ้านเมืองด้วยประการทั้งปวง ในราชสำนักนี่มีคนประเภทหนึ่งที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินมากที่สุดคือพวกขันที พวกขันทีนี่เป็นพวกที่ใกล้ชิด แล้วก็มีโอกาสที่จะเพ็ดทูลพระเจ้าแผ่นดินในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ขันทีบางคนเรียกว่าเป็นคนที่กลับกลอก หน้าไหว้หลังหลอกที่สุดเลย แล้วเห็นประโยชน์แก่ตัว ต้องการแสวงหาอำนาจมาใช้ ต้องการหาพวกมาเพื่อให้เข้ากับพวกของตัวด้วยประการต่างๆ
บางเรื่องอ่านแล้วนึกก็ว่า แหม, ฮ่องเต้นี่เต็มที หูเบา เชื่อง่าย ขาดวิจารณญาณ ไม่มีปัญญาที่จะคิดจะกรองอะไรเสียเลย สุดแล้วแต่พวกขันทีจะกราบทูลอย่างใดก็ทรงเชื่อไปเสียทั้งนั้น แล้วก็สิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นในทางเลวร้าย พวกฝ่ายขันทีนั้นเป็นพวกกังฉิน คือ พวกฝ่ายไม่ดี พวกชอบคอรัปชั่น กินสินบาทสินบนกันด้วยประการต่างๆ
สมมติว่ามีคนดี มีความซื่อสัตย์ ตั้งใจจะทำงานแก่ประเทศชาติ บ้านเมืองอย่างแท้จริง เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน พวกเหล่านั้นก็ต้องกีดกันไม่ให้เข้าเฝ้า เช่น สมมติว่าพระเจ้าแผ่นดินรับสั่งว่า เอ้า, พรุ่งนี้ เวลาสองโมงเช้า ให้คนนั้นเข้ามาเข้าเฝ้า พวกขันทีและคณะของตนรู้ว่าคนนี้เป็นคนสำคัญ มีฝีมือ มีความฉลาดปราดเปรื่อง แล้วก็เป็นคนที่สุจริต คิดแต่เรื่องดีเรื่องงาม ถ้าให้คนนี้เข้ามาอยู่ในราชสำนัก หรือได้มาปฏิบัติหน้าที่การงานแล้ว พวกตนซึ่งเป็นคนกังฉินนี่จะลำบาก จะเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ก็ต้องหาวิธีว่าไม่ให้คนนี้ได้เข้าเฝ้าตามเวลาเป็นอันขาด มีผู้นำเข้าเฝ้า ก็หาเรื่องให้คนที่จะเข้าเฝ้านั้นไม่ต้องได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ด้วยการส่งคนไปคอยดักทำร้าย
แต่ความจริงคนๆ นั้นเขาเก่งในทางการรบ มีฝีมือ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไปทำร้ายก็ทำไม่ได้ จะไปทำอะไรก็ทำไม่ได้แต่มันเสียเวลา ไม่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินตามเวลาที่ได้นัดหมาย พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกได้เวลาแล้ว คนนำก็ยังไม่มาถึง คนที่จะเข้าเฝ้าก็ไม่มาถึง พวกขันทีก็ได้โอกาส กราบทูลว่า นี่หละ คนนี้หละเป็นคนเหลวไหล นัดหมายว่าจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ถึงเวลาแล้วก็ไม่มา คงจะไปกินเหล้าเมายา เที่ยวสนุกสนานที่ไหนเสียจนลืมเนื้อลืมตัว ไม่ได้เข้ามาเฝ้า เป็นคนที่ใช้ไม่ได้
พระเจ้าแผ่นดินก็พูดกับพวกนั้นว่า เออ, ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นแหละ แล้วคนนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปรับใช้ราชการงานเมืองกับพระเจ้าอยู่หัว ที่เป็นฮ่องเต้ก็ต้องน้อยอกน้อยใจ เพราะมีเรื่องอย่างนั้นเข้ามาขัดขวาง สิ่งนี้เป็นอุบายในการที่จะกีดกันคนดีไม่ให้เข้าไปอยู่ในราชสำนัก ไม่ให้ได้ทำงานทำการ ที่ได้กีดกันนั้นก็เพราะว่ามีกิเลส ๒ ตัวอยู่ในจิตใจของคนเหล่านั้น
กิเลสตัวหนึ่งก็คือความตระหนี่ อีกตัวหนึ่งก็เรียกว่าความริษยา ความตระหนี่กับความริษยานี่ มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นตัวการให้เกิดการเบียดเบียนกัน ประหัตประหารกัน ทำร้ายกันด้วยวิธีการต่างๆ เพราะความตระหนี่ และก็ความริษยา
ตระหนี่นั้นหมายถึงอะไร หมายถึง หวงแหนผลประโยชน์ของตน ไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งผลประโยชน์ของตนไป ตัวมีตัวได้อะไรอยู่แล้ว ก็อยากจะมีจะได้สิ่งนั้นต่อไป ไม่อยากให้คนอื่นเข้ามามีส่วนแบ่ง หรือไม่อยากให้ใครที่มีความเก่งกล้าสามารถ มีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญา และมีความสุจริตอยู่ในจิตใจว่าเข้ามาทำงานแล้วก็คงจะใช้ไหวพริบ สติปัญญาเพื่อพิจารณาว่าเรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็คงจะมีการจับคนทุจริตเอาไปสอบสวน เอาไปลงโทษ พวกเหล่านั้นก็หวงแหนในประโยชน์ของตนที่ตนเคยมีเคยได้ เช่น ตนเคยเป็นใหญ่ เคยมีอำนาจ เคยมีพวกพ้องที่มีรสนิยมตรงกัน แล้วก็ได้ผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
ถ้าให้คนดีมีปัญญา และมีน้ำใจเป็นธรรมเข้ามาทำราชการ คนดีมีปัญญานั้นก็จะทำงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ แล้วเขาก็คงจะรู้ว่าไอ้เรื่องอย่างนี้มันเกิดการทุจริต คิดมิชอบเกิดขึ้น เขาก็ต้องสอบสวน สืบสวนว่าสิ่งชั่วร้ายนี่มันมาจากใคร พวกตัวมันก็รู้ดีว่าตัวไม่ดี มีความชั่วร้ายประจำจิตใจ กลัวเขาจะจับได้ไล่ทัน จึงต้องคิดตัดต้นเรื่องเสีย เรียกว่าตัดไฟหัวลม ไม่ให้มันลุกลามต่อไป ก็หาวิธีกีดกันคนนั้นไม่ให้เข้าไปทำงานทำการ เพราะความตระหนี่ในลาภ ในยศ ในความสุข ในความสรรเสริญที่ตนได้รับด้วยประการทั้งปวงนั้นแหละเป็นเหตุให้กระทำอย่างนั้น
ตัวความตระหนี่มันเป็นตัวชั่วร้ายที่สำคัญ เราอย่านึกแต่เพียงว่าตระหนี่ทรัพย์สมบัติที่ตนมีตนได้แล้วไม่กินไม่ใช่ ไม่เอาไปทำอะไรให้มีความสบายด้วยการมีเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น แต่เราจะต้องคิดให้ไกลไปว่าทรัพย์สมบัตินี้มันเกิดมาจากอะไร เกิดจากการปฏิบัติงานในหน้าที่ เกิดจากสิ่งซึ่งได้พิเศษจากการงานในหน้าที่นั้น เช่น ตำแหน่งต่างๆ นี่ เขามักจะพูดกันว่าเป็นตำแหน่งเงินทอง ว่าอย่างนั้น ที่ว่าเป็นตำแหน่งเงินทองนั้นก็คือว่ามันเป็นตำแหน่งที่จะมีรายได้เป็นพิเศษจากการได้เงินเดือนอยู่แล้ว ไอ้ตำแหน่งอย่างนี้คนพิสมัยนัก อยากจะไปอยู่ อยากจะไปได้กัน
เหมือนเขาเล่าว่า ตำรวจนครบาลนี่ สมัยก่อนนี้ใครๆ ก็พยายามวิ่งเต้นเพื่อไปอยู่สถานีตำรวจจักรวรรดิ ตำรวจจักรวรรดินี่มันอยู่ในเขตติดสำเพ็ง ในเขตสำเพ็งนั้นมีคน พี่น้องชาวจีนอยู่มาก คนจีนนั้นเขาเก่งในทางจิ้มก้อง เพราะว่าติดนิสัยมาตั้งแต่โบรมโบราณเขาชอบจิ้มก้อง คือ เอาของไปกำนัลคนนั้นคนนี้
ไอ้จิ้มก้องนี่มันเกิดจากอะไร ก็เกิดจากเพื่อแสวงหาประโยชน์ของตนนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร เพื่อให้ตนได้รับความสะดวก แล้วจะได้ปฏิบัติสิ่งที่ตนจะมีจะได้คล่องเนื้อคล่องตัว เขาก็ไปติดต่อกับผู้ที่เป็นหัวหน้า สารวัตรสถานีนั้นเพื่อความสะดวกบางประการ คนมันไม่ใช่น้อย ในสำเพ็งนี่คนมันมาก คนนั้นก็มาหา เขามาไม่มือเปล่าหรอก เขาเข้าใจจิตใจคน เขารู้จิตวิทยา ว่าคนเราถ้าจะไปพูดจาอะไรกันด้วยมือเปล่าๆ นี่ มันคงพูดกันยาก แต่ว่าก่อนจะพูดอะไรนี่ส่งอะไรให้เสียก่อนเล็กๆ น้อยๆ หรือว่าส่งไว้ล่วงหน้า เวลาพูดมันก็สบาย เพราะว่าคนเรามันอยากมีทั้งนั้น อยากได้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ อันนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า เป็นปกติธรรมดา เมื่อใครมาทำอะไรให้ตนมี ตนได้ เขาก็พอใจ เมื่อพอใจในคนนั้น คนนั้นจะขออะไรก็จะให้ดังที่ต้องการ อันนี้แหละเรียกว่าเป็นลาภพิเศษ ใครๆ ก็อยากจะมีจะได้ จึงอยากจะย้ายไปอยู่สถานีตำรวจจักรวรรดิ
แต่ว่าสถานีนั้นเขาเรียกเวลานี้นี่ก็ตกไปแล้วไม่ค่อยจะสำคัญเท่าใด เวลานี้ใครๆ ก็อยากจะไปอยู่สถานีตำรวจพญาไท เพราะว่า พญาไท นี่เขตมันกว้างกว่าจักรวรรดิ แล้วในเขตพญาไทนี่มีอะไรมาก มีโรงแรมมาก มีอาบอบนวด มีโรงม่านรูด มีอะไรเยอะแยะ เรียกว่ารายได้พิเศษนี่ใครๆ ก็อยากจะมีจะได้ แล้วก็อยากจะไปกัน ไปที่นั้น จึงวิ่งเต้นติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อให้คนได้ไป ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ถ้าจะไปพูดเฉยๆ มันก็ไม่ได้เหมือนกัน มันก็ต้องหอบอะไรไปให้ท่าน ให้สม่ำเสมอ ไปหิ้วของเอาไปให้ทีเดียวมันก็ไม่ได้แล้ว แต่ว่าต้องไปบ่อยๆ ให้บ่อยๆ วันปีใหม่ วันเกิด วันนั้น วันนี้ หรือว่าไปไหนมา กลับมาก็ต้องมีของไปให้ อันนี้มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น
คนที่ได้ประโยชน์อะไรก็หวงแหนประโยชน์นั้น ไม่อยากให้มันหลุดลอยไป อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นความตระหนี่ในตำแหน่ง ในหน้าที่ที่ตนจะมีจะได้ คนจะไปเป็นรัฐมนตรี บางทีก็เกี่ยงจะเอากระทรวงที่สำคัญๆ เพราะว่ากระทรวงใหญ่นี่คนมันมาก ผลประโยชน์มันก็มาก ก็อยากจะได้กระทรวงเหล่านั้น จึงมีการเกี่ยงกัน ถ้าหลายพรรครวมกันเป็นรัฐบาล กว่าจะตั้งลงได้นี่ใช้เวลาหลายวัน เพราะว่าเกี่ยงกัน การเกี่ยงกันนี่ไม่ใช่ว่าเกี่ยงจะไปทำงาน แต่ว่าเกี่ยงเรื่องว่าประโยชน์ที่ตนจะมีจะได้จากตำแหน่ง จากหน้าที่นั้นๆ มีประโยชน์เป็นเครื่องนำทาง ถ้าทำอะไร แล้วเอาประโยชน์ไปข้างหน้ามันก็เกิดกิเลสมากขึ้นทุกวันเวลาแล้ว เพราะนึกถึงประโยชน์ตัว
ประโยชน์ตัวนี่ถ้าคิดมากมันก็เกิดกิเลสรุนแรง แต่ถ้าคิดถึงประโยชน์ตนน้อย แต่ว่าคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมให้มากเป็นพิเศษ ก็จะดีขึ้น คนเรานี่จึงต้องรู้ว่าประโยชน์ตนนั้นก็ต้องมีบ้าง ประโยชน์ผู้อื่นก็ต้องมี การแสวงหาประโยชน์กันนั้นต้องหาโดยความเป็นธรรม คือ ให้ได้มาโดยธรรม ไม่ใช่ได้มาโดยสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เช่นว่าทำงานมีเงินเดือน ก็เรียกว่าได้มาโดยธรรม แต่ถ้าได้มาโดยไม่ใช่เป็นเงินเดือน เป็นการได้พิเศษจากเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งเขาต้องการให้เราปฏิบัติในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วเขาก็เอาเหยื่อมาอ่อยให้แก่เรา เราก็ติดเหยื่อเหล่านั้น แล้วก็ทำให้เขา เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการ
คนนั้นอยู่เขาก็ได้ประโยชน์ ถ้าคนนั้นจะไปจากที่นั้น เขาก็ไม่ยอมให้ไป เขาจะต้องหาพรรคหาพวกมาทำการวิงวอนขอร้อง บางทีถึงกับเดินขบวนกันเพื่อไม่ให้ย้ายคนนั้นคนนี้ไป พิจารณาดูให้ดีแล้ว มันเป็นเรื่องประโยชน์ทั้งนั้นหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร ตัวมีตัวได้เรื่องในอันนั้นจากคนนั้นก็อยากให้อยู่กันต่อไป เหตุการณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นจากความตระหนี่ที่มีอยู่ในจิตใจในเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ทั้งนั้น และเป็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นเรื่องที่ร้ายอยู่ประการหนึ่งเหมือนกัน
อีกประการหนึ่งความตระหนี่ของคนเรา ไอ้ตระหนี่ทรัพย์สมบัตินั้นก็มี ไม่อยากให้ทรัพย์สมบัติหมดไป สิ้นไป อยากจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ คนเราที่มีรายได้ สมมติว่าได้อยู่เดือนละพัน ก็อยากจะได้เป็นเดือนละสองพัน ได้สองพันแล้วอยากจะได้เดือนละสามพัน สี่พัน ได้ขึ้นไปเรื่อยๆ การใช้จ่ายเงินทองที่ตนหามาได้นั้น มันเพิ่มขึ้นตามความอยากที่ตนจะมีจะได้ เพราะฉะนั้นคนเราแม้จะมีเงินเดือนมากแต่ว่าไม่ค่อยจะพอกินพอใช้
ไอ้เรื่องไม่พอกินพอใช้นี่ถ้าคิดดูให้คิดแล้ว เรากินส่วนเกินมากไป ใช้ส่วนเกินมากไป เมื่อกินเกิน ใช้เกิน ดื่มเกิน เที่ยวเกิน อะไรมันเกินๆ หลายเรื่องหลายประการ มันก็ไม่พอหรอก เงินที่เรามีอยู่นั้นมันไม่พอใช้ เมื่อไม่พอใช้ก็ต้องหาเพิ่มเติม หาในทางสุจริตไม่ได้ก็ต้องหาในทางที่ทุจริต คือทำผิดกฎหมาย ทำผิดศีลธรรม เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ เพราะความอยากมันรุนแรงขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เรียกว่ามีอยู่ในสังคมมนุษย์ทั่วไป ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ในประเทศตะวันตกมันก็มีกันทุกประเทศ ทุกชาติ มันมีเรื่องเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น
ประเทศตะวันตกที่ออกมาแสวงหาเมืองขึ้นก็เรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้นหละ เพราะในเมืองขึ้นนั้นมีทรัพยากรธรรมชาติ มีวัตถุดิบที่จะเอาไปป้อนโรงงานในประเทศของตัว ประเทศของตัวมันมีเนื้อที่น้อย วัตถุมันก็น้อย บางอย่างมีแต่บางอย่างไม่มี ก็ออกเรือไปเที่ยวแสวงหา เอาบ้านอื่นเมืองอื่นมาเป็นเมืองขึ้นของตัว ได้ไว้แล้วก็หวงแหน ชาติอื่นจะมาเอาบ้าง เกิดรบรากัน เราจึงศึกษาได้จากประวัติศาสตร์ของโลกว่า ประเทศหนึ่งไปได้ประเทศหนึ่งไว้แล้ว อีกประเทศหนึ่งก็อยากได้ ก็ส่งกองเรือมาขึ้นไปยึดเอาชายฝั่ง แล้วก็ทำการรบราฆ่าฟันกัน
ในประเทศอินเดีย สงครามระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ก็รบกันไป หนที่สุดมันก็แพ้อังกฤษ เพราะอังกฤษมันใหญ่มีอิทธิพลมากก็เลยได้ไว้ทั้งประเทศ ประเทศอื่นก็ต้องถอยร่นไป ได้ไปนิดหน่อย ฝรั่งเศสก็ได้นิดหนึ่ง โปรตุเกสได้ไว้นิดหนึ่ง จนไม่ปรากฏว่าอยู่ในแผนที่ คือ เมืองที่ได้มามันน้อยเหลือเกิน เป็นเมืองชายทะเลเท่านั้นเอง ใครได้อะไรไว้ก็ต้องส่งกองกำลังมาคุ้มครองรักษา ไม่ให้คนอื่นเข้ามาแก่งแย่งแข่งดีกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบรมโบราณมา แม้ว่าคนยังไม่เจริญในทางเครื่องมือเครื่องใช้ มันก็ต่อยกันด้วยหมัดด้วยมวย
เรื่องผลประโยชน์กันทั้งนั้น ดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่แย่งผลไม้กัน แย่งที่ดินกัน แย่งสาวงามกัน แย่งสัตว์เดรัจฉานกัน เช่น แย่งช้าง แย่งม้า แย่งสิ่งที่ตนจะมีจะได้ ก็ต้องใช้กำลังกันหน่อย คนใดกำลังมากคนนั้นก็ชนะไป คนใดกำลังน้อยก็ต้องพ่ายแพ้ อันนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่คนต้องการ มันไม่จบหรอกเรื่องอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ก็ยังแสวงหาประโยชน์กันอยู่โดยวิธีการต่างๆ เช่นว่า การแสวงหาเมืองขึ้นนี่ เราคงจะนึกว่า เออ, คงจะจบกันแล้ว เสร็จสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่ประเทศต่างๆ ก็ได้รับการปลดปล่อย การแสวงหาเมืองขึ้นก็คงจะไม่มีแล้ว มันไม่จบหรอก ยังมีการแสวงหาอีกต่อไป แต่แสวงหาโดยวิธีอื่น
โดยวิธีเอาประเทศนั้นๆ มาร่วมในลัทธิเศรษฐกิจเดียวกัน ในระบบการเมืองอันเดียวกัน โดยสมัครใจบ้าง โดยไม่สมัครใจบ้าง ไอที่เข้าโดยสมัครใจนั้นมันน้อยหรอก เพราะว่าทุกชาติทุกประเทศก็อยากเป็นอิสระ แต่ว่าต้องฝืนใจไปอยู่ด้วยเพื่อประโยชน์บางอย่าง ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น ประเทศเวียดนามนี่เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาตั้งนานแล้ว ดิ้นรน ต่อสู้ รบกัน สงครามเดียนเบียนฟูเรียกว่ามีชื่อ รบกันจนชนะหลุดมาจากฝรั่งเศสได้
ก็ดีใจว่า เออ, เราปลดแอกได้แล้ว แต่ว่าหาได้ภูมิใจอะไรไม่ในเวลานี้ เพราะว่าแอกฝรั่งเศสหลุดไปจริง แต่ว่าแอกรัสเซียมันหนักกว่าของฝรั่งเศสเวลานี้ เข้ามายึดครองอยู่ในประเทศเวียดนาม ใช้คนเวียดนามให้ยึดครองลาวต่อไป ให้ยึดครองประเทศเขมรต่อไป ถ้าใครไม่เข้มแข็งมันก็จะเดินลอยชายเข้ามายึดครองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกของประเทศไทย เพื่อให้อยู่ในอิทธิพลของเขา
เขาใช้คนนั้นแหละ คนในประเทศนั้นแหละปกครองกันเอง แต่ว่าต้องได้รับคำบงการจากเจ้านายเหนือหัวที่ใหญ่ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนเข้าไปยึดครองอาฟกานิสถาน คนอาฟกานิสถานนั่นแหละเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี แต่ต้องรับฟังเสียงจากมอสโคว์ เวียดนามก็ต้องฟังเสียงจากมอสโคว์ ลาวก็ต้องฟังเสียงเวียดนาม เขมรก็ต้องฟังเสียงเวียดนาม ก็เรียกว่าบังคับกันมาเป็นชั้นๆ
ระบบเมืองขึ้นมันยังไม่สูญหาย ยังมีอยู่ ถ้าใครไม่อยากจะเป็นเมืองขึ้นก็ต้องเข้มแข็ง ต้องหนักแน่น ต้องมีความรักความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ต้องกำจัดความตระหนี่ออกไปจากจิตใจ อย่าให้มีความตระหนี่เหลืออยู่ในใจ ให้มันน้อยลงไป น้อยลงไป แล้วเราจะเอาตัวรอด ความรอดพ้นของสังคมนั้นมันอยู่ที่ว่าทุกคนประพฤติธรรม เมื่อเราประพฤติธรรมเราก็รอดพ้นจากความตกต่ำทางจิตใจ พลเมืองในชาติมีการประพฤติธรรมทั่วหน้า ชาตินั้นก็หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส เมื่อหลุดพ้นจากอำนาจกิเลส ความเห็นแก่ตัวมันก็น้อยลงไป
เมื่อไม่มีความเห็นแก่ตัวการทำอะไรตามใจความอยากก็น้อย การเสียสละก็เกิดขึ้น ประโยชน์สุขส่วนรวมมันก็มีมากขึ้น คนในประเทศนั้นก็อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่ต้องใช้เอ็มสิบหกตัดสินปัญหา ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในบ้านเมืองของเราในสมัยนี้ ที่ฆ่ากันตาย เรื่องความตระหนี่เป็นพื้นฐาน เพื่อประโยชน์มันจึงฆ่ากัน ทำลายกัน แล้วฆ่ากันแล้วมันจบเมื่อไหร่
ฝ่ายหนึ่งมาฆ่าฝ่ายนี้ ฝ่ายนี้ก็ต้องเจ็บแค้น หาเรื่องฆ่าฝ่ายนี้ต่อไป แล้วก็ฆ่ากันไปฆ่ากันมา เรียกว่าแพ้ทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครชนะเลยสักคนเดียว เหมือนกับทำสงคราม ไม่มีประเทศใดชนะหรอก มีแต่ความสูญเสีย ทรัพย์สิน ผู้คน อะไรๆ ที่ได้สะสมกันมาไว้ สร้างกันมาไว้ พังพินาศสันตะโรไปหมด อันนี้คือความพ่ายแพ้ที่เป็นเหมือนกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ได้อะไร แต่ว่าคนเรามันไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอย่างนี้ให้ละเอียดหรอก มันคิดแต่เรื่องว่าตนจะได้ในสิ่งที่ตนจะมี แต่ไม่ได้คิดว่าตนจะเสียอะไรไปบ้าง อันนี้คือปัญญามันไม่มี มันมีแต่ความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำจิตใจ จึงได้เกิดความเสื่อมความเสียหายกันด้วยประการต่างๆ อันนี้โยมพิจารณาดูก็จะเห็นว่าตัวปัญหามันอยู่ที่ตัวอย่างนี้ คือความตระหนี่ในทรัพย์สมบัติ ในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ
ในประเทศอินเดียนั้นเขามีคนถือวรรณะ เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร มันก็มีเรื่องตระหนี่อีกเหมือนกันหละพวกนี้ ตระหนี่ไม่อยากให้พวกของตนไปสังคมกับคนพวกอื่น กษัตริย์ก็ต้องอยู่กันแต่ในหมู่กษัตริย์ แต่งงานกันแต่ในพวกกษัตริย์ด้วยกัน ไม่ไปแต่งกับพวกพราหมณ์ ไม่ไปแต่งกับพวกพ่อค้า ไม่ไปแต่งกับคนชั้นศูทรซึ่งเป็นชั้นกรรมกรอย่างนั้น ก็ต่างคนต่างอยู่ แบ่งกันไว้เป็นก๊กเป็นเหล่า อย่างน้อยก็ ๔ ก๊กแล้ว กษัตริย์ก๊กหนึ่ง พราหมณ์ก๊กหนึ่ง เวศย์ พ่อค้าก๊กหนึ่ง ศูทรก็กรรมกรก๊กหนึ่ง
ในหมู่พวกพราหมณ์ก็ยังต้องแยกไปอีก กษัตริย์ก็ต้องแยกไปอีก แยกออกเป็นกษัตริย์ชั้นหนึ่ง กษัตริย์ชั้นสอง กษัตริย์ชั้นสาม พราหมณ์ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม พ่อค้าก็แยกไปเป็นสกุลพ่อค้า พวกค้าเหล็กก็อยู่แต่พวกเหล็ก พวกค้าผ้าก็อยู่แต่พวกค้าผ้า พวกค้าเนื้อ พวกค้าอะไรต่ออะไร มันก็อยู่กันในหมู่พวกตัว ไม่ไปเกี่ยวข้องกันในทางแต่งงาน ไม่สัมพันธ์กันในเรื่องการเป็นการอยู่ ก็ทำให้เกิดการแตกแยก แตกร้าวเป็นก๊กเป็นเหล่า เป็นเสี่ยงๆ ออกไปมากมายก่ายกอง
พระพุทธเจ้าของเราเกิดขึ้นในประเทศนั้น ทรงมองเห็นว่านี่แหละคือสาเหตุของการแตกร้าว จึงได้สอนให้คนทั้งหลายว่าคนเราไม่ใช่ดีเพราะชาติ ไม่ใช่เลวเพราะชาติ ไม่ใช่ดีเพราะเกิดเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ ไม่ใช่ชั่วเพราะเกิดเป็นพวกศูทร ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่ามันดีชั่วอยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่การเกิด แต่มันอยู่ที่การกระทำ พระองค์สอนให้เขาเข้าใจอย่างนั้น
แล้วยกตัวอย่างว่า ดอกบัวมันเกิดในน้ำสกปรก ในโคลนในตม แต่ว่าคนเก็บดอกบัวมาบูชาสักการะ หรือว่าคนบางคนเกิดในตระกูลต่ำ แต่ว่าตั้งหน้าประพฤติธรรมก็เป็นที่ยกย่องของพระราชา มหากษัตริย์เหมือนกัน อย่างนี้มันก็มี จึงไม่ได้ถือว่าชาติสำคัญ การเกิดเป็นเรื่องสำคัญ มันสำคัญอยู่ที่กรรม ที่ตัวได้กระทำกันมาโดยลำดับ ได้สะสมอะไร ได้มีอะไรไว้ในชีวิต
ถ้าเกิดในตระกูลสูง สมมตินะ สมมติว่าเป็นตระกูลสูงนะ แต่ว่าไม่ประพฤติธรรม ไม่สร้างคุณงามความดี มันก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ ต่ำลงไปจนกระทั่งว่าไม่ได้เรื่องได้ราว แต่คนเกิดในตระกูลธรรมดา เป็นชาวนา ชาวสวนหรือเป็นกรรมกร แต่ก็สำนึกว่าเราควรจะยกฐานะของเราให้สูงขึ้น แล้วเขาก็ตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียนหาความรู้ใส่ตัว ตั้งใจประพฤติดีประพฤติชอบ แสวงหาสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็ค่อยเจริญขึ้นจนได้รับเกียรติ ได้รับการสรรเสริญจากสังคม เป็นคนดีคนหนึ่ง
มันดีด้วยอะไร ก็ดีด้วยการกระทำของตัว ไม่ใช่ดีเพราะว่าเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร กษัตริย์ก็อาจตกต่ำได้ พราหมณ์ก็อาจจะเสียคนได้ พ่อค้าก็อาจจะเสียคนได้ พวกศูทรก็อาจจะเสียคนได้ ถ้าประพฤติไม่ดี พระพุทธศาสนาจึงถือว่าอยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่อยู่ที่อะไรทั้งหมด อยู่ที่การกระทำของเรา
การเกิดในครอบครัวใด ในตระกูลใดนั้นไม่สำคัญ แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราทำอย่างไร เราคิดอย่างไร เราพูดอย่างไร เราดำเนินชีวิตอย่างไร ถ้าเราคิด พูด ทำ ในทางเสื่อม มันก็ต้องเสื่อม ชาติช่วยไม่ได้ ตระกูลก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเราคิด พูด ทำ ในทางดี การคิด พูด ทำ ในทางดี หรือว่ากุศลกรรม หรือกรรมดีที่เรากระทำอยู่นั่นแหละ มันช่วยยกฐานะจิตใจ ความเป็นอยู่ให้สูงขึ้นโดยลำดับ และเมื่อสูงขึ้นไปแล้ว ถ้าเราประมาท ไม่ประพฤติธรรม ก็ตกต่ำลงไปอีกเหมือนกัน
ก็ดูคนเรานี่ที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดี พ่อแม่มั่งมีทรัพย์สมบัติ มีเงินมีทอง มีเกียรติมีชื่อเสียง แต่ว่าลูกไม่ได้ประพฤติธรรม เอาเงินทองไปใช้เหลวไหล ไปเล่นการพนันเป็นหนี้เป็นสินงอมแงม จนพ่อต้องไปเที่ยวตามจ่ายหนี้ของลูก จนจ่ายกันไม่ไหว มันมีหนี้มากเหลือเกิน ไม่ใช่หนี้เพียงน้อยๆ เป็นหนี้เขาตั้งสิบล้าน ยี่สิบล้าน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้เหล่านั้น ก็ลำบากเดือดร้อนเป็นทุกข์ อยู่เมืองไทยไม่ได้ก็ส่งไป เนรเทศ ก็เนรเทศเหมือนกันหละ ไม่ใช่ว่าทำผิดรัฐบาลเนรเทศอย่างเดียว พ่อเนรเทศลูกก็มีเหมือนกัน ส่งกันไปอยู่เมืองเสียเลย จะได้พ้นมือเจ้าหนี้ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก แต่ถ้าไปอยู่เมืองนอกแล้วไม่เปลี่ยนจิตใจ ยังดำเนินชีวิตผิดทาง ยังชอบผีร้ายคือการพนันอะไรอยู่ มันก็ไปไม่รอด ก็ต้องตกต่ำต่อไป จะไปตกต่ำเมืองนอกต่อไป เพราะไม่เปลี่ยนภาวะทางจิตใจ ไม่ไล่ผี คือ ความชั่วออกไปจากใจ คนนั้นก็ดีขึ้นไม่ได้ มีถมไป เรียกว่าต่ำลงไปเรื่อยๆ เงินทองที่พ่อแม่หาไว้ให้ ที่ดิน บ้านช่องมากมายฉิบหายหมดไปเลย
เราดูสิ บางตระกูลเรียกว่า ทรัพย์สมบัติมากมาย ที่ดินไม่ใช่เพียง ๒-๓ ไร่ในกรุงเทพฯ เป็นร้อยไร่ ถ้ารวมกันแล้วเป็นร้อยไร่ เป็นกว่าร้อยไร่ด้วยซ้ำไป เป็นแถบไปเลย แถวนี้ ตรงนี้เป็นของคนนั้นทั้งหมด ตรงนี้เป็นของคนนั้น แต่ว่าเหลวไหล ไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ ไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ก็ค่อยขายไป ขายไป จนกระทั่งว่าขายหมด ไม่มีอะไรเหลือแล้ว เพราะว่าตัวประพฤติไม่เรียบร้อย ชอบดื่มสุราเมรัย ชอบผู้หญิง ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ มีเงินก็ไปใช้แต่เที่ยวสนุกสนานไม่เข้าเรื่อง ค่อยหมดไป สิ้นไป เอาไปจำนำจำนองเขา ธนาคารยึดไป จนกระทั่งต้องขายบ้านที่ตัวอยู่ตัวอาศัย ชื่อบ้านเพราะๆ ทั้งนั้นหละ แต่ว่าต้องขายแล้วทีนี้ แต่ว่าบางทีก็ขายให้ราชการไป ก็ยังเอาไปเป็นของคนไทยต่อไป บางทีก็ต้องขายให้คนต่างประเทศไป พวกอาหรับมาซื้อไปบ้าง พวกฝรั่งมาซื้อไปบ้าง
คิดดูนะ ทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่หาไว้ให้แล้วเราก็ต้องขาย มันไม่ถูกต้อง ขายไปไม่ถูกต้อง เรียกว่าขายดินนี่มันขายหมดแล้วนะ คนเราถ้าขายดินนี่หมดแล้วนะ เพราะว่าดินนี่เป็นทรัพย์คงที่ติดอยู่กับพื้นที่ ไม่ไปไหน ถ้าเราขายจนกระทั่งขายดินมันก็หมดแล้ว ขายบ้านก็หมดแล้ว แล้วจะไปอยู่ที่ไหนถ้าขายบ้านหมดแล้ว ก็ต้องไปอยู่โรงแรม แล้วอยู่ได้สักเท่าไร เอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่าโรงแรม ผลที่สุดมันก็หมดเนื้อหมดตัว เอาตัวไม่รอด
อันนี้ความตกต่ำเกิดขึ้นเพราะอะไร เกิดเพราะไม่ประพฤติธรรม ไม่เข้าหาพระ ไม่เข้าหาธรรมะ แต่ไปหาเหล้า หาการพนัน หาความสนุกสนาน ชอบเลี้ยงอีหนูไว้เยอะๆ แยะๆ อย่างนี้มันฉิบหาย ก็ตัวนั้นมันจะไปรอดได้เมื่อไร ถมไป ในเมืองใหญ่ๆ มีถมไป เชียงใหม่ก็มี กรุงเทพฯ ก็มี สงขลา หาดใหญ่มันก็มีทั้งนั้นแหละ ค่อยเสื่อมไปสิ้นไป ไม่มีอะไรเหลือ หมดเลย
บางคนไม่มาก ๒ คนเท่านั้น พี่กับน้อง ๒ คนเท่านั้น แต่ว่าพี่กับน้องนี่มีความประพฤติแบบเดียวกัน ชอบการพนันเหมือนกัน ชอบสุราเมรัยเหมือนกัน ชอบสนุกเหมือนกัน คบเพื่อนชั่วเหมือนกัน แหม, ทรัพย์สมบัติที่พ่อหาไว้ให้ ถ้ากินเป็น ใช้เป็นนะ เจ็ดชั่วโคตรมันก็ไม่หมด ทรัพย์สมบัติที่มีนี่กินไม่หมด แต่ว่าไม่ต้องถึงเจ็ดชั่วคนหรอก ไอ้ในชั่วคนเดียวมันก็หมดแล้ว ขายหมดแล้ว แล้วก็เหลือแต่ตัว ชื่อเสียงก็ไม่มี นี่แหละเขาเรียกว่าธรณีสูบไปแล้ว
คนที่ธรณีสูบก็คือคนที่ไม่เอ่ยถึงมันต่อไป หายไปแล้ว จมดินไปแล้วนะ แม้มีชีวิตอยู่ ก็เพื่อนไม่เอ่ยถึงแล้ว เขาเรียกว่า ธรณีสูบไง ไม่ใช่ว่าแผ่นดินมันอ้าเป็นรู แล้วก็จมลงไป ไม่ใช่อย่างนั้น ธรณีสูบ หมายความว่า ในสังคมไม่เอ่ยชื่อคนนั้นต่อไป ไม่พูดถึงพระเทวทัตต่อไป ไม่พูดถึงนางจิญจมานวิกาที่มาประทุษร้ายพระพุทธเจ้าต่อไป แผ่นดินมันสูบไปแล้ว
ก็ในสมัยนี้คนถูกแผ่นดินสูบไปก็ตั้งเยอะแยะ ไม่มีใครเอ่ยถึงในสังคมต่อไป เป็นคนที่อยู่ชนิดที่ว่าเอาปี๊บคลุมหัวแล้วก็เดินไป ไม่ใช่เอาปี๊บใส่คลุมไป ไม่ใช่ คือเดินไปก็ไม่มีใครเห็นหน้าตัวต่อไป ไม่ใคร ไม่ใครนิยมชมชอบในบุคคลนั้นต่อไป ก็เรียกว่าเหมือนปี๊บคลุมหน้า คือคนไม่เห็น ที่ไม่เห็นเพราะอะไร เพราะเบื่อ พอเห็นหน้าก็เมินไปแล้ว ก็เมินไปทางนั้น เขาไม่อยากจะดูหน้าคนนั้นต่อไป โลกไม่นิยมต่อไป นี่เขาเรียกว่าจมดินไปแล้ว คนอย่างนี้จมไปเพราะความชั่วที่ตัวได้กระทำไว้ อย่างนี้ มีตัวอย่างอยู่ถมไป
จึงควรจะได้เป็นคติสอนใจลูกๆ หลานๆ ของเราไว้ ให้ดูตัวอย่างครอบครัวนั้น ตระกูลนั้น มีเงินมีทองมากมาย ต้องขายสิ่งที่มีค่า แผ่นดินมีค่ามีราคาในใจกลางกรุงเทพฯ ไม่น่าจะขายก็ต้องขาย ทำไมจึงต้องขาย ก็คนไม่เอาไหน ไม่เอาเรื่องราว ไม่รู้จักรักษาทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ครอบครัวใหญ่ ตระกูลใหญ่ เรียกว่ามั่งคั่งตั้งอยู่ไม่ได้นาน เพราะเหตุ ๔ อย่าง หนึ่ง ไม่แสวงหาของที่หายแล้ว อะไรหายก็ช่างหัวมันไป ไม่ซ่อมแซมของเก่าเพื่อให้มันคงคืนอยู่ในสภาพเดิม ตั้งตัวประพฤติตนไม่ดี เรียกว่า ไม่รู้จักใช้สอยทรัพย์สมบัติที่ตนมีตนได้ไว้ แล้วก็คนในครอบครัวนั้นประพฤติทุศีล ไม่มีศีลไม่มีธรรมประจำจิตใจ มัวเมาหลงใหลในความสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง เพลิดเพลิน ลืมตัวลืมตนจนกระทั่งว่าหมดเนื้อหมดตัว อันนี้หละเป็นทางเสื่อม
เราลองคิดดูเถิด คนเราถ้าของอะไรหาย ไม่แสวงหา ของเก่าไม่ซ่อมชอบซื้อของใหม่ใช้ มันก็ไปไม่รอดหรอก ซื้อเรื่อยเอาเงินที่ไหนมาซื้อ แล้วก็ประพฤติตนนอกศีลนอกธรรม มีอบายมุขเต็มบ้านเต็มเรือน เป็นกันทั้งครอบครัว ผัวก็เล่นการพนัน เมียก็เล่นการพนัน ผัวก็กินเหล้า เมียก็กินกินเหล้า ผัวไปเต้นรำ เมียก็ไปเต้นรำ มันก็ไปกันหมด ไม่ได้เรื่องอะไร
ดูละครเรื่องหนึ่ง ไอ้ลูกสะใภ้ตื่นสาย ตื่นสายแล้ว กางเกงก็ทิ้งไว้ ผ้าปูนอนก็ทิ้งไว้ อะไรๆ ก็ทิ้งไว้ ทิ้งให้แม่ผัวจัดทั้งนั้น แม่ผัวบอกลูกว่า ตั้งแต่แกได้เมียคนนี้มา แม่เป็นคนใช้แล้วเวลานี้ ลูกชายบอก แล้วแม่ไปทำทำไม ทำไมไม่ให้คนอื่นทำหละ อ้าว, ให้คนอื่นทำมันก็ไปโพนทะนาสิ คนใช้ทำมันก็ไปพูดกับคนใช้บ้านอื่น อุ๊ย, บ้านฉันแย่มากมาย นอนตื่นสาย ถอดกางเกงลิงทิ้งไว้ ถอดเสื้อนอนทิ้งไว้ ไอ้นั่นทิ้งไว้ กูต้องไปเก็บทุกวัน ทุกเวลา แล้วแม่ผัวก็เสียหน้าสิลูกสะใภ้ไม่ดีอย่างนั้น ก็ขายหน้า เป็นอย่างนี้
แล้วไม่กินอาหารที่บ้าน พอตื่นเช้าชวนผัวไปกินตามภัตตาคารต่างๆ เย็นก็ไปกินภัตตาคาร ไม่ได้กินอาหารที่บ้าน ชอบซื้อเครื่องแต่งตัว ชอบเที่ยวตามร้านดีพาร์ทเมนท์สโตร์ อะไร ต่างๆ ซื้อข้าวซื้อของ เอาเงินที่เอาจากผัว ผัวก็ไปรีดแม่อีกนะ เอารีดจากคุณแม่ วันนี้ผมขอเงินหน่อย เท่าไร เอาสักหมื่น แหม, แม่จะเป็นลมแล้ว ลูกขอวันละหมื่น จะเป็นลมตาย แต่ต้องเอาไปให้นะ เพราะว่าเมียมันขู่ อันนี้ผัวจะไม่ให้ก็ไม่ได้ แม่ก็รำคาญ บอกว่าถ้าฉันจะเอาบ้านไปให้แกอยู่กัน ๒ คน แล้วอย่ามายุ่งกับฉันต่อไป อย่ามาขอสตางค์ฉันนะ ถ้าทำอย่างนั้น เมียมันก็ทิ้งลูกชายเท่านั้นเอง แล้วจะอยู่ทำไม มันไม่มีเงินได้ มันก็ไปหาผัวอื่นต่อไป
ไอ้พวกนี้มันหาผัวง่ายเหมือนกับหาผักบุ้งในหนองนี่ เขาเรียกว่า หาผัวเหมือนกับหาผักอย่างนี้ มันก็เรียกเอาก็ได้ มันก็เละเทะกันเท่านั้นเอง ครอบครัวอย่างนี้ มันไปไม่รอดหรอก ลูกชายแบบนี้มันก็ไปไม่รอด และลำบากเดือดร้อน
นี่วันก่อนมีรายหนึ่งมานิมนต์อาตมาให้ไปเทศน์ อบรมหลานชาย แกว่าพ่อนี่ตายไปแล้ว พ่อเรียบร้อย ตายไปแล้ว เป็นนายตำรวจนะแล้วก็ตายไป แล้วลูกชายนี่ก็เรียนรามคำแหง แต่ไม่ไปโรงเรียน รถพ่อมีก็ขับรถ ขับรถพาแฟนไปเที่ยว แฟนใช้แล้วแหม พอแฟนกวักมือเท่านั้นวิ่งปร๋อไปรับใช้ แม่เรียกสิบคำลูกชายไม่ได้ยินเลย รู้ไว้นะมึงจะฉิบหายนะ มันรักแฟนของมันมากเหลือเกิน พอแฟนเรียก แล้วก็บริการแต่แฟนนะ คุณแม่จะไปไหน มันไม่ว่าง แล้วพอกับแฟนเรียกมันก็ไป แล้วก็แม่ของแฟนก็เป็นเจ้าของบ่อนการพนัน เปิดบ่อนในบ้าน สามีไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด ไอ้เมียอยู่บ้านก็เปิดบ่อน ถูกตำรวจจับไปบ้างแล้ว ก็ยังไม่เข็ดไม่หลาบ ไอ้ลูกสาวนั้นก็เรียกไอ้หนุ่มนั้นมารับใช้ ไปโน้นไปนี้ จนแม่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ก็ปรารภกับญาติผู้ชายคนหนึ่ง บอกว่า ไปนิมนต์เจ้าคุณปัญญามาสักทีเถอะ เพื่อจะได้มาเทศน์ให้ลูกชายฟัง อาตมาว่า อาตมาไปมันจะฟังเทศน์เหรอ มันอาจจะเกรงใจเจ้าคุณก็ได้ เลยตกลงวันกันแล้ว พอบอกวันเสร็จแล้วกลางคืนโทรศัพท์บอกว่า มีเหตุขัดข้องบางประการขอให้งดไว้ก่อน ขัดข้องอะไร ขัดข้องตรงลูกชายมันไม่มารับพระไปบ้าน มันรู้ว่าพระจะไปสอนแล้วมันก็ไม่เอา ไอ้คนหันหลังให้พระอย่างนี้ แล้วมันจะไปได้อย่างไร มันไปไม่ได้ จะให้ไปเทศน์ได้อย่างไร มันหันหลัง มันไม่ฟัง เอาสำลีอุดหูไว้แล้ว แล้วจะไปฟังได้อย่างไร มันเอนโอนไปในทางเสื่อมตลอดเวลา
อันนี้มีมากนะ พ่อแม่เป็นข้าราชการ แล้วก็ลูกนี่สบาย คนชั้นพ่อนี่อยู่วัด อยู่วัด อยู่กับพระ กินข้าวก้นบาตร ศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งได้เป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง หรือว่าเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ พอชั้นลูกมันเกิดมาสบายแล้ว พ่อสบาย มีรถยนต์ให้ลูกนั่ง พาไปส่งโรงเรียน ต้องการอะไรได้ดังใจ มันไม่รู้ว่าพ่อนี่สร้างตัวมาอย่างไร ลูกไม่รู้ พ่อก็คงไม่เล่าประวัติให้ลูกฟังบ้าง เล่าเสียบ้างเรามาอย่างไร ว่างๆ เรียกลูกมาประชุมเลคเชอร์ให้มันฟังเสียบ้างว่านี่พ่อที่ได้มาอยู่อย่างนี้ได้มาด้วยอย่างไร ชีวิตของพ่อเป็นอย่างไร ลำบาก เรียนหนังสือลำบากนาเป็นอย่างไร ให้ลูกได้รู้เรื่องเสียบ้าง ลูกก็จะฟังว่า อ้อ, แหม, พ่อนี่ลำบากมาอย่างนั้น เราจะเล่นตัวสบายนักก็ไม่ได้ แล้วก็ถ้าพ่อถึงแก่กรรมไป ลูกชายนี่มันไม่ฟังแม่แล้ว มันฟังเพื่อน เพื่อนที่สนุก เพื่อนที่เฮฮา ไปโรงเรียนก็ให้รถบรรทุกเพื่อนไปเต็ม ไม่ตั้งใจเรียน เลิกโรงเรียนก็บรรทุกเพื่อนไปเที่ยว ไปนั่นไปนี่ ใช้จ่ายเงินเติบ แล้วมันก็จะก้าวหน้าไปได้อย่างไร
จึงไม่ดีกว่าพ่อ ลูกอย่างนี้ไม่ดีกว่าพ่อ แต่ว่าพ่อที่ประพฤติตนดีแล้ว อบรมสั่งสอนลูกให้ดีด้วย เอาตัวรอด ลูกเจริญก้าวหน้า เรียนหนังสือเก่ง ต่อไปก็เป็นคนดีต่อไปมันก็มีเหมือนกัน ไออย่างนี้มันมีน้อยๆ ไอ้ที่ชั่วอย่างนี้ แต่ว่าที่ดีเขามีเยอะเหมือนกัน เป็นอย่างนี้
อันนี้เป็นความบกพร่องของพ่อแม่ แล้วก็ปล่อยลูกมากเกินไป จึงไม่ได้ก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียน นี่วันนี้เด็กๆ น้อยๆ เป็นนักเรียนมานั่งฟังอยู่ใต้ต้นไม้เยอะแยะ ก็อยากจะบอกหนูๆ ทั้งหลายไว้ว่า อย่าเอาความสบายเมื่อเป็นเด็กมากไป เพราะถ้าเราสบายเมื่อเด็กโตขึ้นจะลำบาก พ่อแม่เลี้ยงลูกให้สบายนี่เหมือนกับทำลายลูก แล้วลูกที่เอาแต่ความสบายเหมือนกับทำลายตัวเอง เพราะชอบแต่ความสบายเลยไม่คิดก้าวหน้า นึกว่ากูสบายแล้ว มีสตางค์ ขอพ่อก็ได้ ขอแม่ก็ได้ แล้วก็ขอไม่ให้พร้อมกัน ขอแม่เวลาหนึ่ง ขอพ่อเวลาหนึ่ง พูดกับพ่อก็ว่า แหม, คุณแม่ให้นิดเดียว หนูไม่พอใช้ พ่อก็สงสารให้ แล้วไปขอแม่ว่า แหม, คุณพ่อขอทีไรแล้วหน้าบึ้งทุกที ไม่ให้หนู แม่นี่ใจดี แน่ะ, หยอด คุณแม่ชอบใจก็ให้ไป มันก็ยิ้ม แหม, กูต้มได้ทั้ง ๒ คนวันนี้
ยิ่งพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดนี่ ลูกต้มสบายมาก เขียนจดหมาย ๒ ฉบับ ถึงคุณพ่อ อย่าบอกให้คุณแม่รู้นะ แม่จะไม่สบายใจ แล้วเขียนให้แม่ว่า แม่อย่าบอกให้คุณพ่อรู้นะ เดี๋ยวคุณพ่อจะโกรธหนู หนูจะลำบาก ไอ้พ่อแม่ก็ แหม, ช่วยกันปิดนักหนาจดหมายลูกทั้ง ๒ คน แล้วแอบไปส่งธนาณัติให้ลูกคนละฉบับเลย ลูกก็ได้รับสบายใจ ใส่กระเป๋าป๋อ พาเพื่อนเที่ยวเตร่ เรียนหนังสือ ๕ ปีไม่ได้อะไร ได้เมียไปคนหนึ่งให้พ่อแม่เลี้ยงต่อไป อย่างนี้มันก็มีเยอะแยะ พ่อแม่มันก็โง่ไม่รู้ว่าลูกไปอยู่ทำอะไร พอกลับมาก็ได้เมียมาฝากคนหนึ่ง ถามว่าเป็นอย่างไรลูกชายไปเรียนกรุงเทพฯ สำเร็จอะไรมา มันเอาเมียมาให้กระผมเลี้ยงคนหนึ่ง อย่างนี้มันก็ไม่ไหวนะ
เราเป็นเด็กๆ นี่ต้องคิดก้าวหน้า ในการศึกษาเล่าเรียน อย่าเที่ยวอย่าเตร่ อย่านึกสนุก ให้นึกว่าต่อไปเมื่อโตขึ้นนี่เราจะทำงานอะไร เราจะกินอะไร เราจะใช้อะไร เราจะอยู่อย่างไร ต้องตั้งปัญหาถามทุกวัน ๆ ว่าเรานี่โตขึ้นจะทำอะไร แล้วเราต้องมีอะไรสำหรับที่จะเอาไปใช้ในการดำเนินชีวิต ต้องมีวิชาความรู้ ต้องมีความสามารถในการใช้ความรู้ ต้องมีความประพฤติดีเป็นพื้นฐานทางจิตใจ จึงจะเอาตัวรอด แต่ถ้าเราเป็นคนขี้เกียจ เหลวไหล ไม่สนใจในการศึกษาเล่าเรียน ชอบเที่ยวชอบสนุก กลางคืนก็ชอบดูหนังดูโทรทัศน์ไม่อ่านหนังสือ เวลาไปสอบก็สอบไม่ได้ หรือว่าสอบได้นิดหน่อย ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าพอผ่านพ้นไป แล้วจะไปเรียนต่อที่ไหนก็สอบไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเที่ยววิ่งไปฝากโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้
พ่อแม่นี่ต้องไปเที่ยววิ่งฝากลูกนี่ขายหน้า ก็แสดงว่าลูกเรานี่มันขี้เกียจ เหลวไหล ไม่เอาถ่าน จึงต้องไปวิ่งฝาก มันก็ไม่สบายใจ อย่าให้พ่อแม่เป็นทุกข์ด้วยเรา เราต้องเรียนให้พ่อแม่ได้หน้าได้ตา เรียนให้ดี เรียนให้ก้าวหน้า สอบไล่ได้คะแนนดีๆ แล้วก็ประพฤติดี ประพฤติชอบอยู่ในระเบียบ ในวินัย ฟังเสียงพ่อแม่ ฟังเสียงครูบาอาจารย์ แล้วเราก็จะได้เป็นคนดี มีหน้ามีตา พ่อแม่ก็สบายใจ
อยากจะขอฝากหนูๆ ที่มาฟังวันนี้ก็มาหลายโรงเรียน มานั่งฟังอยู่โน่น ไม่ได้ขึ้นมานี่ เพราะที่มันไม่พอ ครูจะพามาฟังนี่ มาวันอื่นก็ได้ วันเสาร์นี่ดีนักนะ เอามาเป็นชั้น มาฟังกันเฉพาะ แต่ว่ามาวันนี้ก็เรียกว่ามาฟังร่วมๆ กันไปกับคุณย่าคุณยายทั้งหลาย มาฟังให้ได้ประโยชน์เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นเหตุให้เกิดความสุขกายสบายใจในกาลต่อไป
ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องมีไว้ใช้ในชีวิตของเรา คนมีธรรมะแล้วสิ่งอื่นมันก็จะเกิดตามมา ขาดธรรมะแล้วจะขาดทรัพย์ ขาดชื่อเสียง ขาดอะไรหมดหละ ไม่มีธรรมะมันก็ขาดหมด เพราะทรัพย์ข้างในไม่มี ทรัพย์ข้างนอกมันก็เกิดไม่ได้ จึงต้องสร้างคุณค่าทางจิตใจ เพื่อให้เป็นคนสมบูรณ์ แล้วความสุขจะได้สมบูรณ์ทุกประการ ดังแสดงมาในวันนี้ ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที พวกหนูๆ ทุกคนนั่งสงบใจ นั่งตัวตรง หลับตาเสีย แล้วก็กำหนดลมหายใจ หายใจเข้ารู้ หายใจออกกำหนดรู้ อย่าให้จิตไปคิดเรื่องอื่นเป็นเวลา ๕ นาที