แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อนี้ไปขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่๒ของปีใหม่ ปีใหม่มันเก่าไป ๗วันแล้ว ถ้าเก่าไปเรื่อยๆ เก่าไปจนกระทั่งครบ ๓๖๕วัน แล้วก็เป็นปีใหม่กันต่อไป มันเป็นกันโดยสมมติว่าเก่าว่าใหม่ อะไรมาใหม่ก็เรียกว่าเป็นของใหม่ พอใช้ๆไปมันก็เป็นของเก่าไป เช่นเสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอย ถ้าซื้อมาก็เรียกว่าเป็นของใหม่ พอใช้ไปไม่เท่าใดก็กลายเป็นของเก่า พอเก่าแล้วก็ชักจะเบื่อต้องหาของใหม่ใช้ต่อไป ชีวิตของคนเรามันก็อยู่ในรูปอย่างนั้นน่ะ เพราะว่าหาใหม่มาเรื่อยๆเปลี่ยนเรื่อยๆเพื่อสนองความต้องการของจิตใจ
ความต้องการของใจนั้นก็เรียกว่าเป็นตัวตัณหา คือตัวความอยาก อยากมีอย่างนั้น อยากได้อย่างนี้ อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ พอเป็นไปนานๆแล้วมันก็ชักจะเบื่อ ไม่อยากจะเป็นต่อไป แต่ว่าอยากจะเป็นอื่นต่อไปอีก จึงเรียกว่ามันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ชีวิตของคนเรามันเป็นกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา จึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ ความทุกข์เกิดจากความต้องการ และเมื่อไม่ได้สมหวังก็เป็นความทุกข์ เมื่อได้มาแล้วมันก็รู้สึกเบื่อต่อสิ่งนั้น ก็ไม่อยากจะมีสิ่งนั้น ไม่อยากจะได้สิ่งนั้น มันก็เป็นความทุกข์ต่อไปอีกเหมือนกัน ชีวิตของคนเราที่ไม่เข้าถึงธรรมะ ไม่มีปัญญาเป็นหลักประคับประคองจิตใจ ยังอยู่ด้วยความทุกข์ อยู่ด้วยความไม่สบายใจตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องแสวงหาธรรมะเพื่อเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ต้องนั่งเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ เดินเป็นทุกข์มากเกินไป
เพื่่อให้จิตใจได้เบาได้โปร่ง ไม่หนักด้วยความเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอะไรต่างๆ เพราะความยึดถือในสิ่งใดก็ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น เป็นทุกข์เพราะความยึดถือด้วยความหลงผิด ด้วยความเข้าใจผิด ก็เรียกว่าเป็นความทุกข์ทางใจ อาจจะเกิดขึ้นแก่เราเมื่อใดก็ได้ คือเมื่อใดเราเผลอไปเราประมาทไป เราไม่เข้าใจสิ่งต่างๆตามสภาพที่เป็นจริง มันก็เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
แต่ถ้าเมื่อเรามารู้ชัดในสิ่งนั้น ตามสภาพที่เป็นจริง คือรู้ว่ามันเป็นอย่างไร มีสภาพมีลักษณะเป็นอย่างไร เราเข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็ไม่หลงใหลมัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น เพราะรู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่มีอะไรที่เป็นของคงทนถาวร มันเป็นของที่เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ไหลไปไม่หยุดเหมือนกับกระแสน้ำ ที่ไหลเรื่อยไปไม่มีการหยุดกั้นฉันใด สิ่งทั้งหลายที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน มันก็มีอาการเช่นนั้นแต่ว่าคนเราไม่ได้ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาในสิ่งเหล่านั้น ก็ถูกโมหะ คือความมืดเข้าครอบงำจิตใจ จึงเข้าไปหลงใหลมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น สำคัญว่ามันเป็นของเที่ยง เป็นของแท้ เป็นสิ่งที่ถาวร แล้วเราก็ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น
แต่สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป เราก็มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่า ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ในชีวิตของเรา อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่จบไม่สิ้น
อันนี้แหล่ะที่พระท่านเรียกว่าเป็นสังสารวัฏ สังสารวัฏคือการเวียนว่ายอยู่ในกระแสของความทุกข์ ความวุ่นวายใจ เป็นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราสังเกตจิตใจของเราในชีวิตประจำวันแล้วเ ราก็จะพบว่ามันซ้ำซากอยู่ด้วยเรื่องต่างๆ อันเป็นเหตุให้เกิดปัญหา เกิดความร้อนอกร้อนใจ แต่เราไม่คิดแก้ไขสิ่งเหล่านั้นเพราะว่ามันเกิดแล้วมันก็ดับไปตามธรรมชาติ เมื่อมันดับไปแล้ว เราก็นึกว่ามันพ้นไปแล้ว แต่ว่ามันไม่ได้พ้นไปอย่างเด็ดขาด มันมีโอกาสกลับมาเกิดขึ้นในจิตใจของเราต่อไป เพราะว่าจิตใจของเรายังเข้าไปพัวพันอยู่กับสิ่งนั้น ยังพอใจสิ่งนั้น หลงอยู่ในสิ่งนั้น สิ่งนั้นมันก็มาสะกิดใจเรา ให้เกิดความคิดในเรื่องที่จะมีจะได้ในเรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา เราก็มีความทุกข์ทางใจเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไมรู้จักจบไม่รู้จักสิ้น
ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไป เรียกว่าเป็นผู้มีความสนใจในการศึกษาเรื่องชีวิต เพื่อให้เข้าใจสิ่งต่างๆถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง ท่านก็ค่อยรู้เรื่องอะไรๆขึ้นโดยลำดับ เมื่อมีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องนั้นขึ้นทีละน้อยๆ ความมืดก็ค่อยหายไป เหมือนกับว่าในห้องมืดของเรา ถ้าเราจุดไม้ขีดไฟขึ้นก้านหนึ่ง มันก็สว่างเท่าที่แสงนั้นจะอำนวยให้ได้ ถ้าเราจุดเทียนขึ้นมันก็สว่างเพิ่มขึ้น เทียนดวงเดียวสว่างในเนื้อที่จำกัดของรัศมีของไฟที่จะให้แสงสว่างได้
แต่ว่าเราจุดขึ้นเป็น ๒ดวง ๓ดวง ๔ ดวง ๑oดวง ๑ooดวง ห้องนั้นก็จะสว่างจ้า เราสามารถจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เพราะแสงสว่างมันมีมากขึ้นฉันใด ในจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน ตัวปัญญาเป็นแสงสว่างสำหรับชีวิต เมื่อมันเกิดขึ้นมาน้อยก็มีสิ่งสว่างน้อยๆ ถ้าเกิดมากขึ้นๆแสงสว่างทางจิตใจก็มีมากขึ้น สามารถจะบรรเทาความหลงผิด ความเข้าใจผิด ความงมงายอะไรต่างๆที่มีอยู่ในใจของเรานั้นให้หายไป เหมือนกับแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป แสงสว่างทางปัญญาเกิดขึ้น ความเข้าใจผิด ความโง่ความงมงาย ทิฏฐิร้ายๆต่างๆที่มีอยู่ในใจเรา ก็ค่อยหายไปจากจิตใจของเรา เราก็มีชีวิตอยู่ด้วยแสงสว่าง ความเข้าไปยึดถือในเรื่องอะไรต่างๆค่อยลดน้อยลงไป อันนี้เป็นความก้าวหน้าทางจิตใจของบุคคล ผู้สนใจในการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต และมีความรู้เพิ่มขึ้นๆเป็นชั้นเป็นขั้น ขึ้นไปตามลำดับ เช่นว่า ถึงขั้นพระโสดาบันก็มีแสงสว่างจางๆประเภทหนึ่งเกิดขึ้น พอขึ้นถึงขั้นต่อไปสกิทาคามี อนาคามี จนถึงพระอรหันต์
พอถึงพระอรหันต์นี้ก็เรียกว่า เป็นแสงสว่าง ๑oo % มองเห็นอะไรชัดแจ้งไปหมด ไม่หลงผิดไม่เข้าใจผิดในเรื่องต่างๆอีกต่อไป ความยึดถือในเรื่องอะไรต่างๆที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ มันก็จางหายไปด้วยอาศัยปัญญาชั้นสูงในทางพระพุทธศาสนา คนนั้นจะไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อนใจต่อไป แต่จะอยู่ด้วยจิตใจที่มีปัญญา มีสติกำกับรู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งทั้งหลาย ตามสภาพที่เป็นจริงอยู่ตลอดเวลา นั่นคือชีวิตที่เข้าถึงธรรมะ ๑oo % มีความรู้ มีความเข้าใจในเรื่องอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง ท่านจึงไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจต่อไป
แต่ว่าเราทั้งหลายที่เป็นปุถุชน คำว่าปุถุชนนั้นหมายความว่า จิตใจยังไม่สว่างไสวด้วยปัญญาเหมือนกับพระอริยบุคคล แต่ยังมีความยึดความติดอยู่ในเรื่องอะไรต่างๆมากมายเหลือเกิน สติก็น้อย ปัญญาก็น้อย จึงไม่เข้าใจในเรื่องอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ ด้วยปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา คนอย่างนี้เรียกว่าเป็นปุถุชน คนที่ขาดสติขาดปัญญา สติมีไม่ติดต่อ ปัญญามีก็ไม่ติดต่อ มันมีขึ้นบ้างเป็นครั้งๆคราวๆกระท่อนกระแท่น คือเมื่อใดจิตใจสงบมันก็มีการความควบคุมตนเองได้ มีสติ มีปัญญาอยู่ แต่เมื่อใดจิตใจวุ่นวาย เพราะขาดสติ ขาดปัญญา ก็เข้าไปหลงใหลมัวเมาอยู่ในสิ่งต่างๆอันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อนใจในปัญหานั้นๆมากขึ้น ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง เรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
การเข้าไปจับฉวยอะไรด้วยมือ หรือว่าทางร่างกายมันไม่นานเท่าใด จับนานๆมันก็เมื่อยมือ แบกนานๆก็เมื่อยบ่า แบกกระเดียดไปมันก็เหนื่อยในร่างกาย แต่ว่ามันมีอาการเหนื่อยทางร่างกาย พอเหนื่อยเราก็วางได้ เช่นเราหิ้วของไป หิ้วเดินไปๆมันก็หนักเพิ่มขึ้น ชั้นแรกมันมีน้ำหนักสมมติว่า ๑o กิโลเราหิ้วไป แต่วเมื่อหิ้วไปๆน้ำหนักมันเพิ่มขึ้น ความจริงน้ำหนักมันเท่าเดิม แต่ว่าความอ่อนเพลียทางกายมันเกิดขึ้น เมื่อความอ่อนเพลียเกิดขึ้นกับเรา เรารู้สึกว่าของมันหนักมากขึ้น เมื่อหนักมากจนเมื่อยล้าเราก็วางของนั้น เป็นการพักผ่อนทางร่างกาย เราแบกอะไรหนักๆ แต่ถ้าเรายกลงมาวางเสียบ้างก็จะรู้สึกเบาขึ้นทันที แต่ถ้าเราแบกเข้าอีกมันก็หนักอีกต่อไป
ปุถุชนนั้นเป็นคนประเภทอย่างนั้น ประเดี๋ยวแบกเดี๋ยววาง เดี๋ยวแบกต่อไป แบกไว้นานๆไม่ยอมปลงไม่ยอมปล่อยสิ่งเหล่านั้น จึงต้องแบกต้องหามกันเรื่อยๆไป ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่พระอริยบุคคลนั้นท่านรู้ว่าแบกแล้วมันหนัก ท่านก็วางมันลงไปเสีย ท่านก็ไม่ต้องแบกขึ้นมาอีก เมื่อวางสิ่งนี้แล้วท่านไม่เอาอันอื่นเข้ามาแบกให้หนักต่อไป ท่านก็เป็นคนเบา สามารถจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ เพราะไม่ต้องแบกของหนักๆไป เราเดินทางถ้าแบกภาระหนัก เดินทางมันช้า แต่ถ้าเราไปตัวเปล่าไม่แบกอะไรไม่ถืออะไร การเดินทางก็จะรวดเร็วขึ้น
ในการเดินทางของจิตใจนี้ก็เหมือนกัน ไอ้ความจับฉวยทางใจนั้น มันหนักกว่าทางร่างกาย เพราะร่างกายนี้ มันมีปกติเมื่อย เหนื่อยล้า แล้วมันก็วางโดย ธรรมชาติ แต่ว่าใจนั้นมันไม่รู้จักวาง มันแบกอยู่ตลอดเวลา แบกหนักอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้จักพัง ดูเหมือนว่ายิ่งแบก ก็ยิ่งชอบใจ ยิ่งพอใจในสิ่งนั้นๆ เพราะฉะนั้นจึงทนหนักเรื่อยไป ตามเรื่องของคนวางไม่เป็น จึงได้เกิดปัญหา คือความทุกข์ ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ แต่ว่าผู้ที่มีจิตใจรู้จักปลง รู้จักวาง เขาวางเสียบ้างในบางครั้ง ก็เบาใจไป โปร่งใจไปหน่อยนึง กลับมาฉวยเข้าอีกมันก็หนักต่อไป สลับสับเปลี่ยนกันอยู่อย่างนี้ ชีวิตจึงเป็นทุกข์ไม่รู้จบ แต่ถ้าเรามีปัญญาเราวางลงไปให้หมด เราก็สบายใจ
ที่พูดว่าวางให้หมดนั้นอย่า อย่าเข้าใจผิด คืออย่าเข้าใจว่าเราไม่ทำอะไรเลย บางคนเป็นพุทธบริษัทแต่ว่าเข้าใจเขวไป ไม่ทำอะไรเลยเพราะว่า เข้าใจว่าไปทำแล้วมันก็เป็นการแบกภาระ พระพุทธเจ้าสอนให้ปลงให้วางเลยไม่ทำอะไร อยู่มันเฉยๆ แม้อยู่บ้านอยู่เรือนก็ไม่ค่อยสนใจในหน้าที่การงาน อันตนจะพึงกระทำ อยู่มันเฉยๆไปเรื่อยๆ ได้เท่าไหร่ก็กินเท่านั้น พอใจเท่านั้น อันนี้มันก็ไม่ถูกต้องตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราเป็นคนเกียจคร้าน ไม่ได้สอนให้เราไม่ทำงาน แต่ว่าสอนให้ทุกคนรู้จักใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ด้วยการปฏิบัติงานตามหน้าที่อันตนจะต้องกระทำ ไม่ละลายต่อหน้าที่ เพราะการปฏิบัติอะไรตามหน้าที่นั้น ก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน หน้าที่มันก็คือธรรมะ ธรรมะมันก็คือหน้าที่ เมื่อเราทำงานตามหน้าที่ ก็เรียกว่าเราประพฤติธรรม แต่ว่าในการทำงานนั้น ท่านให้ทำด้วยปัญญา ไม่ได้ทำด้วยความโง่ ความหลง ความยึดมั่น ให้ทำด้วยปัญญารู้เท่า รู้ทัน ต่อสิ่งนั้นๆ
พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีอะไรได้ แต่ให้มีด้วยการไม่เป็นทุกข์ มีแล้วเป็นทุกข์เป็นการมีที่ไม่ถูกต้อง มีเงินมีทอง มียศฐาบรรดาศักดิ์ มีทาสคนบริวาร ก็ต้องมีด้วยปัญญา มีไม่ให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนทางจิตใจ ถ้าเรามีแล้วเรานั่งเป็นทุกข์เพราะความมีนั้น มีลูกก็เป็นทุกข์เพราะลูก มีเงินก็เป็นทุกข์เพราะเงิน มีทองมีอะไรก็เป็นทุกข์อยู่ด้วยเรื่องนั้น มียศก็เป็นทุกข์ด้วยยศ มีความเป็นใหญ่ก็เป็นทุกข์ด้วยความเป็นใหญ่ การมีอย่างนั้นมันเป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเรา เพราะมันทำให้เราเป็นทุกข์เพราะความมีนั้น นั่นมันเป็นเรื่องที่ผิดไปจากแนวทางของพระพุทธศาสนา
คือทางพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีอะไรได้ทุกข์อย่าง ในเมื่อสิ่งนั้นมันเกิดมาโดยธรรม เช่น เรามีงานทำ เราก็มีเงินมีทองเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติงานในหน้าที่ เรามีสิ่งนั้น แล้วก็เรามีปัญญากำกับอยู่ในสิ่งนั้น ปัญญาที่เข้ามากำกับอยู่ในสิ่งนั้นก็คือปัญญาในแง่ที่ว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นแต่เพียงเครื่องประกอบในการดำรงชีวิต ไม่ใช่เนื้อแท้ของชีวิตของเรา แต่ว่าชีวิตมันต้องอาศัยสิ่งนี้ เช่นชีวิตต้องอาศัยอาหาร เราก็ต้องมีปัจจัยสำหรับหาอาหาร ชีวิตต้องอาศัยเสื้อผ้าเราก็ต้องมีเสื้อผ้าเพื่อใช้สอย ชีวิตต้องมีเหย้าเรือนเป็นที่อยู่อาศัย เราก็ต้องมีบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ชีวิตมันเจ็บไข้ได้ป่วยในบางครั้ง เราต้องมียาไว้สำหรับแก้ความเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ต้องหายานั้นมากินมาใช้ อันนี้เป็นเครื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เราจะต้องมี
แล้วการที่จะมีสิ่งนี้ได้ก็ต้องอาศัยการทำงาน เพราะการทำงานนั้นได้ปัจจัยสำหรับเป็นเครื่องประกอบที่จะให้มีสิ่งนั้นต่อไป เช่นเราทำงานเราก็ได้เงิน เมื่อได้เงินเราก็เอาไปซื้ออาหาร ไปซื้อเสื้อผ้า ไปซื้อไม้มาสร้างบ้านสร้างเรือน ไปซื้อยามารักษาร่างกายในเมื่อเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเราใช้จ่ายในเรื่องที่จำเป็น สำหรับชีวิตของเรา สำหรับเพื่อนมิตรของเรา สำหรับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา เราก็ต้องมีปัจจัยไว้สำหรับจับจ่ายใช้สอยในเรื่องนั้นๆ เราจึงต้องไปหา
การแสวงหาอะไรนั้น ต้องแสวงหาโดยธรรม ให้ได้มาโดยธรรม ในคำถวายทานที่เค้าพูดกัน ถวายกันมาตั้งแต่โบราณนั้น ผู้ถวายมักประกาศว่าข้าพเจ้าขอถวายสิ่งนี้ที่ข้าพเจ้าได้มาโดยธรรม คำว่าได้มาโดยธรรมก็คือว่า ได้มาโดยไม่ทำใครให้เดือดร้อน ไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น เราหาทรัพย์มาได้โดยอาชีพที่ชอบ เช่นการทำนา ทำสวน การค้าขาย ทำราชการ หรืออะไรก็ตาม เราทำงานในหน้าที่นั้นโดยความชอบธรรม เช่นเราทำนาเราก็ทำโดยชอบธรรม เราไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเพราะการทำนาของเรา เราค้าขาย เราก็ไม่เบียดเบียนใครในทางค้าขาย เราขายของที่มันเป็นประโยชน์แก่ชีวิต ไม่ขายสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยแก่เพื่อนมนุษย์ เช่นเราไม่ค้าขายน้ำเมา ไม่ค้าขายยาพิษ ไม่ค้าขายเครื่องประหัดประหาร อาวุธประเภทต่างๆ เราไม่ค้าขายสัตว์ที่จะเอาไปฆ่าเป็นอาหาร เราไม่ค้าขายคนเอาไปขายให้เป็นทาสหรือเป็นอะไรก็ตามใจเราไม่ค้าขายสิ่งเหล่านั้น
เงินที่ได้มาจากการค้าขายที่ชอบธรรมนั้น ก็เรียกว่าได้มาโดยธรรม และที่ได้มาโดยธรรมนั้น งานที่เราทำนั้นมันไม่สร้างปัญหาขึ้นในสังคม ไม่สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ใครๆ อันนี้เรียกว่าได้มาโดยธรรม ได้มาโดยชอบ เมื่อเราได้มาโดยชอบธรรมอย่างนี้ เราสบายใจ เมื่อหาอยู่ก็สบายใจ มีอยู่ก็สบายใจ เวลาจะใช้ทรัพย์ส่วนนั้นเราก็สบายใจ เราหยิบเงินขึ้นมาใช้ ๑๐ บาท เงินนี้ได้มาโดยชอบธรรม เราสบายใจในเงิน ๑0บาทที่เราใช้
แต่ถ้าเรามีเงิน๑oบาทแต่เราไปช่อคนอื่นมาไปโกงเค้ามา หรือไปเบียดเบียนใครๆมา ได้เงินมา ๑๐ บาท ดึงมาใช้จิตสำนึกมันบอกตัวเราเอง ว่าเงินนี้เราได้มาโดยไม่เป็นธรรม เราเบียดเบียนเค้ามา เราไปโกงเค้ามา หรือว่าไปยึดเขามาด้วยวิธีการต่างๆ ใจเรามันไม่เป็นสุข ไม่สบายใจ เพราะมันขัดกับความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่ามันขัดกับมโนธรรม คือใจที่มีความสำนึกในธรรมะ เราก็ไม่สบายใจ เราจะเอาไปซื้ออะไรมากินมาใช้ เราก็ไม่สบายใจเพราะมันเป็นสิ่งที่คอยบอกเราให้รู้ว่า เราได้มาโดยไม่ชอบธรรม จิตใจไม่เป็นสุข มีความทุกข์ความเดิอดร้อนส่วนหนึ่ง แล้วก็อาจเกิดปัญหาอีกประการหนึ่งในกาลต่อไปก็ได้
เราจึงหลีกเลี่ยงจากการแสวงหาปัจจัยที่ไม่เป็นธรรม มีอาชีพมีการงานหลายอย่างที่มันไม่เป็นธรรม เช่นว่าคนตั้งบ่อนการพนัน ได้เงินมาก็ไม่เป็นธรรม เพราะว่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น ให้คนที่มาเล่นการพนันนั้นต้องเสียทรัพย์ ต้องเป็นทุกข์เพราะเรื่องการแพ้ ได้ความสบายใจนิดหน่อยเมื่อชนะ แต่ว่าเกิดฮึกเหิมใจ แล้วพอไปเล่นบ่อยๆ แพ้เข้าก็ไม่สบายใจ ต้องจำนำข้าว ต้องขายนาขายสวน เพื่อเอาไปเล่นการพนัน ผลที่สุดก็ล่มจม หมดเนื้อหมดตัว
เพราะฉะนั้นคนที่เปิดบ่อนการพนัน เพื่อหารายได้จากการพนันนั้น เงินที่ได้มานั้นชื่อว่าเป็นเงินที่ไม่ชอบธรรม เราได้มาโดยไม่ถูกธรรมะ เป็นสิ่งสร้างปัญหาขึ้นในสังคม บ่อนการพนันทุกประเภท จะเป็นของหลวงของราช มันก็เหมือนกัน เช่นสนามม้าอย่างนี้เป็นตัวอย่าง มันก็ไม่ได้ทำมาโดยชอบธรรมนัก เพราะว่าเงินที่ได้มานั้น ได้มาจากคนที่ไปติดการพนัน แล้วก็เขามีการแพ้ มีการชนะ มีความทุกข์ ความเดือดร้อนเกิดขึ้น คนบางคนต้องฆ่าตัวตาย เพราะไปเล่นการพนันแพ้ หมดเนื้อหมดตัวแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เจ้าหนี้มากไม่ให้เขา เขาก็จะฆ่า เลยฆ่าตัวเองเสียก่อน นี่ก็เป็นเรื่องที่เราเปิดสิ่งที่ไม่เป็นธรรมขึ้น ให้คนลงไปตกในสิ่งนั้น
ให้เราขุดบ่อล่อปลาไว้ ปลามันก็มาตกลงไปในบ่อ แล้วเราจับปลานั้นไปฆ่าให้ตาย ทำร้ายชีวิตของบุคคลผู้อื่น เป็นการแสวงหาที่ไม่เป็นธรรม สิ่งที่ได้มาโดยไม่เป็นธรรม ไม่ยั่งยืนไม่ถาวร ตระกูลใดครอบครัวใด ที่ตั้งเนื้อตั้งตัวมาได้จากทรัพย์สมบัติที่ไม่เป็นธรรม ตระกูลนั้นครอบครัวนั้น ยั่งยืนถาวรไม่ได้ มีทรัพย์มั่นคงไม่ได้ เพราะมันได้มาในทางไม่เป็นธรรม ก็ต้องหมดไปสิ้นไป
ให้เราดูตัวอย่าง คนที่หาทรัพย์โดยทางไม่เป็นธรรม เช่น เป็นเจ้าของบ่อนการพนัน ที่สุดก็ล่มจม แล้วไม่ได้ล่มจมคนเดียว จะทำให้ลูกหลานพลอยล่มจมไปด้วย เพราะลูกหลานเกิดมา เราเลี้ยงด้วยเงินที่ได้มาจากการพนัน เลี้ยงด้วยอาหารที่ได้มาจากการพนันให้เสื้อผ้ามันนุ่งห่ม ก็ได้มาจากการพนัน อะไรๆก็ได้มาจากการพนันขันต่อทั้งนั้น เด็กเหล่านั้นก็จะมีนิสัยโน้มเอียงไปในทางการเป็นนักพนัน แล้วเขาก็จะเป็นนักเล่นการพนัน เขาก็ไม่สามารถจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ครอบครัววงศ์ตระกูลก็ล่มจม เพราะการแสวงหาโดยไม่ชอบธรรมนั้น
อันนี้มีตัวอย่างอยู่ถมไป ในบ้านเมืองใหญ่ๆโตๆเราก็พอจะพบได้เห็นอยู่ น่าจะเอามาเป็นเครื่องประกอบการพิจารณา แล้วเราก็ไม่ส่งเสริมอาชีพประเภทอย่างนั้น หรือว่าคนที่ทำอาชีพประเภทที่ทำคนให้หลงใหลมัวเมาด้วยการต่างๆเช่น เปิดบาร์ เปิดไนท์คลับ ยั่วให้คนมาสนุกทางเนื้อทางหนัง ขายของแต่ว่าให้คนหลงในของนั้น ให้มัวเมาในของนั้น คนก็มา มาด้วยความหลงใหลมัวเมา เราปิดหูปิดตาคนไม่ให้เห็นแสงสว่าง คล้ายกับเอาผ้าพันตา แล้วเราจูงไปปล่อยไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งเขาก็ไม่รู้จักทางออก บ่อนประเภทต่างๆ บาร์ไนท์คลับ สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี ก็ได้เงินมาโดยไม่ชอบธรรม ครอบครัวนั้นจะตั้งตัวไม่ได้ แล้วลูกหลานก็จะเสียผู้เสียคน เพราะได้อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ปัญญาในทางถูกไม่มี มีแต่ปัญญาในทางชั่วทางผิด ชีวิตก็จะตกต่ำเอาตัวไม่รอด อันนี้มีตัวอย่างอยู่ถมไปในสังคมของมนุษย์เรานี้
เพราะฉะนั้นเราควรจะรังเกียจปัจจัยที่ได้มาโดยทางที่ไม่ชอบธรรม เราควรจะพอใจในสิ่งที่ได้มาโดยธรรม ไอ้สิ่งที่ได้มาโดยธรรมบางทีมันช้าหน่อย แต่ว่ามั่นคงดี สิ่งที่ได้มาโดยไม่เป็นธรรมนั้น มันรวดเร็วแต่ว่ามันก็ล่มเร็วหมือนกัน เจริญเร็วมันก็ไม่ดี เหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ใดที่โตเร็ว เนื้อไม้ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ต้นไม้ที่โตช้าตั้งเนื้อตั้งตัวไมค่อยจะได้(30:28) สิ่งใดได้ง่ายมันก็ใช้ง่าย สิ่งใดได้ยากมันก็ใช้ยาก
เช่น คนทำงานอาบน้ำต่างน้ำ ได้ปัจจัยมา เขารู้ว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน จึงได้สิ่งนี้มา เขาก็เก็บหอมรอมริบไม่ค่อยใช้ ทรัพย์เขามั่นคง แต่คนที่ได้มาคล่องๆ เช่นไปถึงแทงถั่ว แทงปู ได้เงินมาร้อยสองร้อย ช่างง่ายเหลือเกินเขาก็ใช้หมดบ่อย เพราะมันได้มาง่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เกิดง่ายหายเร็ว แต่สิ่งที่เป็นธรรมนั้นเกิดช้า มั่นคง อยู่กับเรานาน เราจะเลือกเอาทางไหน เอาข้างที่เป็นธรรมดีกว่า แม้จะช้าหนอยมันก็มั่นคงดี แต่คนเราใจมันร้อน อยากรวยทางลัด เลยฉิบหายไวไปตามๆกัน เพราะอยากรวยทางลัดนั่นเอง เลยเอาตัวไม่รอด
อย่าคิดรวยทางลัด อย่าเรียนทางลัด แต่ให้ไปทางที่เรียกว่า อดทน หนักแน่น แล้วมันก็ค่อยก็เป็นขึ้นโดยลำดับมันก็เจริญเติบโตได้ เหมือนกตัวปลวก มันสร้างรังของมัน มันคาบดินนิดเดียวไปวางลงๆๆ จนกลายเป็นปลวกใหญ่ ดินแข็ง คนไปพังมันต้องใช้เวลาหลายวัน ถึงจะพังมันหมดทั้งจอมปลวก มันค่อยเป็นค่อยไป มั่นคงการสร้างเนื้อสร้างตัวนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราค่อยๆสร้างมาแล้ว มั่นคงทั้งนั้น
ครอบครัวใดที่สร้างตัวโดยธรรม ครอบครัวนั้นตั้งมั่นถาวร แต่ครอบครัวใดสร้างตนไม่เป็นธรรม ก็ล่มจมไปตามๆกัน อันนี้เป็นความจริง เพราะฉะนั้นลาภสักการะอันใด ที่ได้มาโดยธรรม เป็นสิ่งถูกต้องในวงการพระศาสนาเรานั้น พระสงฆ์องค์เจ้า พระผู้มีพระภาคก็สอนว่าให้พอใจในอาชีวที่บริสุทธิ์ คือสิ่งที่ได้มานั้นต้องเป็นของบริสุทธิ์ สิ่งที่บริสุทธิ์ก็ได้มาด้วยการบิณฑบาตร หรือได้มาด้วยการที่ญาติโยมเขาเอามาถวายด้วยศรัทธา เขาถวายด้วยศรัทธา ไม่ใช่ถวายด้วยความหลง ความมัวเมาในเรื่องบางสิ่งบางประการ ลาภอันนั้น สักการะอันนั้นถือว่าเป็นธรรม เอามากินมาใช้ ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้มาโดยไม่เป็นธรรม
เช่น ได้มาโดยวิธีการหลอกลวงเขา ทำให้เขาหลง ให้เค้างมงาย ให้เขาเชื่อไปในทางที่ผิด แล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นจะช่วยเขาได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นทรัพย์โดยไม่เป็นธรรม สิ่งที่ได้มาโดยไม่เป็นธรรมนั้น พระอริยบุคคลท่านรังเกียจ ท่านไม่อยากจะกินจะใช้สิ่งนั้น เพราะถือว่าสิ่งนั้นไม่เป็นธรรม แต่สิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยธรรม ท่านก็พอใจในสิ่งนั้น อันนี้เป็นเครื่องแสดงว่า น้ำใจของพระอริยบุคคลนั้น ท่านชอบสิ่งที่เป็นธรรม ส่งเสริมสิ่งที่เป็นธรรม สอนคนให้ปฏิบัติธรรม ท่านเองก็ทำเป็นตัวอย่างในด้านธรรมะแก่คนเหล่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เป็นความก้าวหน้าในชีวิคประการหนึ่ง
อันนี้เป็นข้อคิดที่อยากจะขอฝากไว้ให้ญาติโยมทั้งหลายได้จำเอาไปคุยกับใครๆบ้าง เพราะว่าคนเราในสมัยนี้มีความต้องการรุนแรง เห็นเงินเป็นใหญ่ เห็นวัตถุเป็นใหญ่ ไม่ถือธรรมะเป็นใหญ่ ไม่เอาเรื่องใจเป็นเรื่องสำคัญ แต่เอาเรื่องวัตถุเป็นเรื่องสำคัญจนถึงกับพูดว่า มีเงินซะอย่าง สบายไปสิบอย่าง นี่แสดงว่าจิตใจไปติดอยู่ในเงินท่าเดียว ติดอยู่ในวัตถุเรื่องเดียว เป็นวัตถุนิยมมากเกินไป จึงคิดแสวงหาแต่ให้ได้มาซึ่งวัตถุเท่านั้น จะได้มาโดยทางใดก็ตามไม่คำนึงถึง จึงเป็นเหตุให้กระทำอาชีพที่ขัดประโยชน์กัน แย่งกันหากิน แล้วก็ทำลายล้างกันด้วยประการต่างๆ
เราจะได้เห็นข่าวว่ามีการยิงกัน ทำร้ายกัน ยิงกันกลางวันแสกๆ เช่นว่าคนคนหนึ่งนั่งรถยนต์ไปติดไฟแดง แล้วก็มีรถมอเตอร์ไซค์แอบเข้าข้างยิงเปรี้ยงๆๆ คนนั้นตาย รถนั้นมันก็วิ่ง วิ่งหนีต่อไป อันนี้ก็เรื่องไม่มีอะไร ขัดผลประโยชน์กัน คนนึงต้องการทำอะไรซักอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็ไปขัดไม่ให้กระทำ จึงฆ่ากันด้วยการขัดประโยชน์กัน คนที่ทำลายกันเพราะการขัดประโยชน์กันนั้น ก็เรียกว่าเป็นพวกนิยมในด้านวัตถุ ถือเอาวัตถุเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิต แต่ไม่ถือธรรมะเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิต
ในนิทานเก่าๆเขาเล่าไว้ ว่ามีพระฤาษีอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีองค์หนึ่งกระทำความผิดในบางเรื่อง องค์หนึ่งก็เป็นฤาษีที่มีฤิทธิ์มีเดช แล้วบอกว่าเราจะทำลายคุณธรรมในใจของท่านให้หมดไปอย่างหนึ่ง กับเราจะทำลายชีวิตของท่านให้ตายไป ท่านเลือกข้อใด ฤาษีองค์ทำผิดบอกว่าเรายอมให้ท่านฆ่าตัวเรา มากกว่าที่จะให้ฆ่าคุณธรรมในจิตใจของเรา อันนี้เป็นเครื่องชี้ว่า คนในสมัยโบราณนั้นเขาส่งเสริมความมีคุณธรรม ไม่ส่งเสริมทางวัตถุ ตัวกระทำความผิดแล้วท่านผู้หนึ่งจะทำลายชีวิตกับทำลายคุณธรรม ท่านยอมให้ทำลายชีวิต ไม่ให้ทำลายคุณธรรมที่มีอยู่ในใจของท่าน ยอมตาย หมายความว่า ยอมตายแต่จะไม่ประพฤติสิ่งชั่วร้าย หรือไม่ทำลายคุณค่าทางจิตใจ แม้ตัวจะตายก็จะยอมแต่จะไม่ยอมกระทำสิ่งชั่วร้ายเป็นอันขาด
อันนี้เป็นเครื่องแสดงถึงน้ำใจที่สูงส่ง ที่เขาบูชาธรรมะ มากกว่าบูชาวัตถุ คนที่บูชาธรรมะนั้น ไม่เห็นแก่เล็กแก่น้อย ไม่เห็นแก่สิ่งที่เป็นอามิสที่ใครๆเขาจะเอามาให้ แต่ว่าเห็นแก่ธรรมะ เขาจะไม่ยอมรับสิ่งนั้นเป็นอันขาด เพราะถือว่าสิ่งที่เป็นวัตถุนั้น ถ้าเรายอมรับให้สิ่งนั้นจะทำลายจิตใจของเรา ทำลายความเป็นธรรมให้หมดไปจากใจ เขาไม่ยอมรับ เพราะกลัวจะเสียธรรมะ คนอย่างนี้เขาเรียกว่ารักธรรมะยิ่งกว่าชีวิต ยิ่งกว่าวัตถุที่ตนจะมีจะได้ อันคนที่รักธรรมะนั้น จะไม่ยอมทำชั่วแม้เล็กๆน้อยๆ จะมีความละอายที่สุด มีความกลัวที่สุดในการที่จิตใจของตนจะขาดคุณธรรม ความงามความดีไป ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อรักษาคุณธรรมไว้
อันนี้พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสไว้ว่าเสียสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะไว้ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แต่มาพูดถึงธรรมะต้องเสียสละทรัพย์ อวัยวะ ชีวิตทั้งหมด เพื่อให้ธรรมะคงอยู่ ท่านสอนไว้อย่างนี้ ก็เพื่อจะให้เราทั้งหลายยอมเสียสละของภายนอกเพื่อรักษาสิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือคุณค่าทางจิตใจ ที่เราเรียกว่าคุณธรรม คุณธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะรักษาไว้ อย่าทำลายเสียเป็นอันขาด แต่ถ้าเราเห็นแก่ทรัพย์ เห็นแก่อะไรบางสิ่งบางประการ เราก็ทำลายคุณธรรมของเรา
เพราะในขณะใดจิตใจไปติดในวัตถุคุณธรรมมันก็หายไป แต่เมื่อใดจิตใจอยู่กับธรรมะ วัตถุนั้นก็จะเป็นของที่ไม่มีค่า ไม่มีราคาอะไร เห็นทองคำเป็นความแห้งไป เพราะเขาเห็นว่าไม่ใช่สิ่งมีค่าถ้าได้ทองคำนั้นมาแล้ว จิตใจเราตกต่ำ ทำให้คุณค่าทางใจตกไป เขาจะไม่ยอมรับทองคำ แต่เขาจะรักษาคุณค่าในจิตใจไว้ หรือว่าจะมีเพชรเม็ดหนึ่งราคาเป็นล้านเป็นสิบๆล้าน แต่ว่าเพชรนั้นถ้าได้มาแล้ว จะทำลายคุณค่าทางจิตใจ คนที่มีความรักในคุณธรรมจะไม่ยอมรับเพชรเม็ดนั้น เพราะถือว่าสิ่งนั้นมันจะทำลายคุณค่าทางจิตใจ
คนอย่างนี้เรียกว่าเป็นคนแท้จริง เป็นคนเห็นแก่ธรรมะ รักธรรมะ บูชาธรรมะ ต้องการให้ธรรมะมั่นคง อยู่ในโลกต่อไป เขาจึงไม่เห็นแก่อะไรๆเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นเรื่องใหญ่ๆที่ตนจะมีจะได้ พระบรมครูทั้งหลาย เช่นพระพุทธเจ้าของเราเป็นต้น ท่านทรงเสียสละสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหมด ออกไปเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อนำธรรมะไปสอนแก่ชาวโลกต่อไป ให้เราลองคิดดูสักเล็กน้อยว่า พระองค์อยู่ในฐานะเป็นเจ้าฟ้าชาย อยู่ในฐานะมกุฎราชกุมาร จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนพ่อเมื่อพระองค์สวรรคต แล้วก็มีความสุขในทางวัตถุสมบูรณ์ บริบูรณ์ทุกประการ ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง คำว่าไม่มี นี่ไม่เคยได้ยิน แปลว่าต้องการอะไรก็ต้องได้ทั้งนั้นแหล่ะ ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่มี หรือยังไม่มานี่ไม่มี สั่งได้ทุกอย่าง สะดวกสบายตามความต้องการ แต่ว่าพระองค์ไม่ได้หลงใหลมัวเมาในสิ่งนั้น ทรงเห็นว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่เรื่องที่สำคัญนั้นคือเรื่องออกไปแสวงหาสัจธรรม เพื่อนำมาใช้เป็นยาสำหรับรักษาจิตใจชาวโลกให้้หลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนต่อไป พระองค์จึงเสียสละหมดทุกอย่าง ที่พระองค์จะมีจะได้และมีอยู่แล้วก็สละหมด นี่คือน้ำพระทัยที่เห็นแก่ธรรมะอย่างแท้จริง จึงเสียสละวัตถุในโลกทั้งหมด ออกไปอยู่กับธรรมะ ไปทำการศึกษาค้นคว้าแสวงหาสัจธรรม จนได้พบสิ่งนั้น แล้วก็ไม่ได้หวงไว้เฉพาะพระองค์ผู้เดียว ได้นำมาประกาศแก่ชาวโลกให้ชาวโลกได้เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมะนั้น และได้หลุดพ้นไปจากความทุกข์ตามๆกัน
นี่คือความเสียสละของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้บูชาธรรมะ แสวงหาแต่สิ่งที่ถูกต้องเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เราทั้งหลายเป็นลูกศิษย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ควรจะถือหลักนี้เป็นอุดมการณ์ประจำจิตใจไว้ รู้ว่าเราเกิดมาต้องอาศัยของวัตถุบ้าง แต่ว่าวัตถุนั้นเราจะต้องได้มาโดยธรรม เราจะไม่แสวงหาสิ่งที่เป็นวัตถุโดยทำลายธรรมะ เพราะถ้าเราทำลายธรรมะก็เท่ากับทำลายตัวเรา ทำลายโลกที่เราอยู่อาศัย ทำลายหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วมันจะมีอะไรที่เรียกว่ามีค่าแก่ชีวิต เราจึงไม่คิดจะทำลายสิ่งเหล่านั้น
แต่เราหาวัตถุโดยถูกต้อง โดยธรรมะไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ก่อปัญหาให้ใครเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนจากการเป็นการอยู่ของเรา อันนี้เรียกว่าเราเป็นอยู่โดยชอบ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้กับสุภัททปริพาชกในเวลาที่พระองค์ใกล้จะนิพพานว่า ตราบใดที่ชาวโลกยังดำรงชีวิตโดยชอบ โลกนี้จะไม่ว่างเปล่าจากพระอริยบุคคล คือพระอรหันต์ ที่ว่าดำรงค์ชีวิตโดยชอบก็คือปฏิบัติตนตามมรรคอันมีองค์๘ของพระพุทธเจ้า
อริยมรรคมีองค์๘ เป็นเส้นทางที่จะนำเราไปสู่ความบริสุทธิ์ ยุติธรรมอย่างแท้จริง ผู้ที่ดำรงชีวิตโดยชอบ ก็คือผู้ที่ปฏิบัติตนตามอริยมรรคมีองค์๘ นั่นแหล่ะโลกจะไม่ว่างเปล่าจากพระอรหันต์แปล่วาคุณธรรมชั้นสูงที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ คือพระอรหันต์นั้น เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ ถ้าเราดำรงชีวิตอยู่โดยชอบ เราทำมาหากินโดยชอบ เราคิดโดยชอบ เราทำโดยชอบ เราพูดโดยชอบ เรามีความคิด ความเห็นในทางที่ถูกที่ชอบประกอบไว้ตลอดเวลา ชีวิตก็จะไม่ตกต่ำไปสู่ความชั่วความร้าย เราก็จะกลายเป็นคนประเสริฐ อยู่ห่างไกลจากข้าศึก คือกิเลสด้วยประการทั้งปวง
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับสังคมในยุคปัจจุบันเรานี้ เพราะว่าสังคมในยุคปัจจุบันนี้ คนมันเดินออกไปในทางที่ไม่ถูกต้องมากขึ้นๆ แข่งขันกันกระทำความชั่่ว ไม่แข่งขันกันสร้างคุณงามความดี ไม่กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง อันเป็นหลักคำสอนในทางพระศาสนา แต่ว่าเห็นแก่ประโยชน์และความสุขในทางวัตถุ จึงกล้าทำลายธรรมะ ทำลายศาสนา รบราฆ่าฟันกันเอง ยืดเยื้อเป็นเวลานานๆ จิตใจไม่ได้นึกถึงความเสื่อม ความเสียหาย ทั้งตนและบุคคลอื่นเลยแม้แต่น้อย
อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นประจักษ์พยานปรากฏอยู่ตลอดเวลา เราทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจึงควรจะได้คิดนึกในทางที่ถูกต้องให้มากยิ่งขึ้น สิ่งใดที่จะเป็นพิษเป็นภัย สิ่งใดที่จะส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายให้เกิดขึ้นในหมู่ของมนุาย์ เราก็ไม่ควรจะคิดเรื่องนั้น พูดเรื่องนั้น ทำเรื่องนั้น ไม่ควรจะคบหากับบุคคลที่มีความคิดและการกระทำในเรื่องเช่นนั้น เราจะรังเกียจสิ่งชั่วรสิ่งร้าย ไม่ดีไม่งามด้วยประการทั้งปวง แล้วเราจะเดินอยู่ในเส้นทางที่เหมาะที่ควร อันเป็นทางส่งเสริมความงาม ความดีในโลกนี้ ช่วยสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์เท่าที่เราจะสามารถจะกระทำได้
ตื่นเช้าต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าวันนี้ ข้าพเจ้าจะอยู่โดยธรรม จะคิดโดยธรรม จะพูดโดยธรรม จะทำอะไรจะไปไหนจะคบหาสมาคมกับใคร จะต้องเป็นไปเพื่อธรรมะ อย่าเป็นไปเพื่อความสุขสนุกสนนานทางกิเลส แต่ให้เป็นไปเพื่อสร้างเสริมธรรมะให้เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจ ในสังคมในครอบครัว ตลอดจนถึงประเทศชาติของเรา
ถ้าเราช่วยกันคิดช่วยกันทำในรูปอย่างนี้ สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้น อาตมาจึงขอฝากแนวคิดนี้ไว้กับญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายทั่วกัน วันนี้พูดมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจกำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อย่าให้จิตฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่นเป็นเวลา ๕ นาที