แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา วันอาทิตย์นี้ได้พูดไว้เมื่อวันอาทิตย์ก่อน ว่าจะเล่าเรื่องการเดินทางไปประเทศอังกฤษให้ท่านทั้งหลายได้รับทราบ ว่าไปแล้วได้ทำอะไรบ้าง ได้ผลอะไรเป็นอย่างไร เพราะว่าในการไปนั้นญาติโยมได้อนุโมทนาปัจจัยเพื่อไปร่วมในงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ประเทศอังกฤษเป็นจำนวนมากมาย พาไปให้เขาก็ดีอกดีใจกันว่า คนไทยในประเทศไทยนี้เป็นผู้ที่เลื่อมใสในกิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ แล้วก็ไม่ดูดาย ได้ส่งปัจจัยผ่านอาตมาไปช่วยเหลือ ทำให้เขามีกำลังใจในการเผยแผ่ธรรมะมากยิ่งขึ้น
ก่อนอื่นใคร่ที่จะทำความเข้าใจกับญาติโยมทั้งหลายเบื้องต้นว่า ประเทศอังกฤษนั้นเป็นประเทศที่เหมาะแก่การที่จะประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าคนอังกฤษนั้นเป็นคนที่อิ่ม เขามีความสุขความสบายในทางวัตถุพอสมควร การเป็นการอยู่ไม่มีอะไรลำบาก เขาควรจะได้รับคำสอนที่ลึกซึ้งตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้นำไปปฏิบัติแก้ไขปัญหาชีวิต ดับทุกข์ดับร้อนให้มากยิ่งๆขึ้นไป หากพูดถึงเรื่องความทุกข์ในทางวัตถุนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรมากแล้ว เพราะว่าการเป็นอยู่เขาอุดมสมบูรณ์ ถนนหนทาง น้ำประปา ไฟฟ้า การรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็สะดวกสบาย แม้คนที่ไม่มีงานทำ ว่างงานไปบ้าง รัฐบาลเขาก็ให้การสงเคราะห์ เขาเรียกว่ามีการสวัสดิการทางสังคม ให้เงินแก่ผู้ที่เจ็บป่วย คนที่ไม่มีงานจะทำเพราะ (02.46) หมดงานเก่าเมื่อยังไม่ได้งานใหม่แล้ว รัฐก็เข้าไปช่วยเหลือเจือจุน ให้ได้รับความสะดวกสบายอยู่ตามสมควรแก่ฐานะ แต่ว่าการที่รัฐเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องอย่างนี้มันก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน คือทำให้คนเกียจคร้านไม่อยากจะทำงาน ไปทำงานนิดๆหน่อยๆแล้วก็หยุดพักมันเฉยๆ แล้วไปรายงานตัวว่าขณะนี้ว่างงาน รัฐบาลก็จ่ายเงินให้ จะกินไปตามกำหนดที่เขาจะให้ได้ แล้วก็ไปหางานทำต่อไป ทำให้คนไม่สมัครใจที่จะทำงานอย่างเข้มแข็ง จึงมีคนชาวต่างประเทศไปอยู่เพื่อทำงานในประเทศนั้นเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้เกิดความเกลียดชังกันขึ้น ระหว่างคนเจ้าของบ้านกับแขกที่มาทำงานในบ้านของเขา ว่ามาแย่งงานเขา ความจริงไม่ได้ไปแย่ง แต่คนเหล่านั้นไม่ชอบทำงาน คนอื่นเขาไปทำเขาไม่หยุดไม่ยั้ง เขามุ่งที่จะไปหาเงินเลยเป็นที่พอใจของนายจ้างกว่าพวกเจ้าของบ้านที่จะไปทำ นายจ้างก็ไม่ค่อยชอบใจ ก็ทำไปแล้วก็หยุดบ่อยๆ อันนี้เป็นเรื่องที่เป็นอยู่ในสังคมซึ่งเขาช่วยเหลือกันในรูปอย่างนั้น
ในแง่การศาสนา คนในประเทศอังกฤษนั้น ค่อนข้างจะเบื่อหน่ายในศาสนาที่เขานับถือกันมาเก่าๆแก่ๆ ไม่ค่อยจะไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ไม่ค่อยสนใจในเรื่องหลักธรรมในศาสนาที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่า เฉยๆ ไม่เอาเรื่องกับศาสนา ที่เขาเป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาไม่พอใจในคำสอนที่เขามีอยู่ เขาต้องการแสวงหาคำสอนใหม่หลักธรรมใหม่อันจะช่วยให้เขาพ้นจากความยุ่งยากทางจิตใจ
เมื่อเขาค้นไปค้นมาก็ได้พบว่า พระพุทธศาสนาของเรานั้นมีหลักคำสอน มีการปฏิบัติที่ทำคนผู้ปฏิบัติให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้จริง และเป็นคำสอนที่ไม่มีการบังคับให้เชื่อ แต่ว่าให้มีเสรีภาพในการที่จะคิดพิจารณา ในหลักคำสอนนั้นอย่างตรงไปตรงมา เพราะว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นทรงให้เสรีภาพแก่คนผู้ฟัง ไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บอกว่าถ้าไม่เชื่อจะตกนรกหรือจะไปเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย แต่พระองค์มักจะเตือนเวลาจะแสดงธรรมว่าจงทำในใจให้ดี คิดให้แยบคาย เราจะพูดให้ฟัง พูดเตือนเพียงเท่านั้น แล้วคนฟังก็ฟังไป ถ้าเทศน์จบแล้วถ้าพระองค์ถามว่า เชื่อไหมตามคำที่เรากล่าว ถ้าผู้ฟังคนใดคนหนึ่งตอบว่ายังไม่เชื่อ พระองค์ก็จะไม่ขุ่นเคืองอะไร ไม่ได้ลงโทษคนนั้น แต่จะชมเชยคนนั้นว่า ชอบแล้วสัตบุรุษเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่ต้องเอาไปไตร่ตรองค้นคว้า หาเหตุหาผลให้เห็นชัดด้วยตนเองเสียก่อน แล้วจึงจะโน้มใจเชื่อ
หลักการอันนี้เป็นหลักการที่เหมาะกับคนชาวตะวันตกซึ่งหลงใหลในเสรีภาพกันมากเหลือเกิน อะไรที่ไปขัดต่อเสรีภาพทางจิตใจ เขาไม่ค่อยจะยอมรับ แต่ถ้าให้เสรีภาพเขาก็จะยอมรับได้ง่าย ดังนั้นคนหนุ่มๆนี่เขามาสนใจในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ตามโรงเรียน มหาวิทยาลัยใหญ่ๆในประเทศอังกฤษ จึงมีกลุ่มชาวพุทธเกิดขึ้นตามมหาวิทยาลัยนั้นๆ เช่น มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ หรือลอนดอน มหาวิทยาลัยลอนดอนซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ ก็มีกลุ่มเด็กหนุ่มๆที่สนใจในพระพุทธศาสนาได้มารวมตัวกันเข้า ศึกษาพุทธศาสนากัน เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้น ถ้าดูตามสถิติในหนังสือที่เขาพิมพ์ออกมา ถึงเรื่องสมาคมทางพุทธศาสนาที่มีอยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว เวลานี้มีอยู่ตั้ง ๑๗๒ แห่ง เรียกว่าทั่วเกาะอังกฤษมีชาวพุทธที่ตั้งเป็นกลุ่มขึ้นเพื่อการศึกษาเพื่อการปฏิบัติ
แต่ว่าคนเหล่านั้นยังขาดผู้นำอยู่ คือไม่มีพระที่จะไปเป็นผู้นำเขา ให้ได้ศึกษาปฏิบัติอย่างถูกต้องอย่างแท้จริง ยังต้องการพระอยู่เหมือนกับว่าคนที่อยู่ในป่ากำลังหลงทาง เที่ยวคลำหาทางอยู่ แต่ถ้ามีใครมาสักคนหนึ่งมาบอกว่านี่มาทางนี้ ฉันจะนำท่านไปสู่ความสุขความสงบอย่างแท้จริง เขาก็มีความพอใจที่จะมาร่วมมือร่วมใจกับผู้ที่ประกาศว่าจะเป็นผู้นำทางเหล่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีคนอังกฤษเขามาศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วก็มาบวชในประเทศไทย บวชแล้วก็ลองกลับไปอยู่ประเทศอังกฤษ
ครั้งแรกทีเดียวนั้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแล้วก็มาบวชในประเทศพม่า เมื่อบวชเสร็จแล้ว ศึกษาปฏิบัติได้รับผลมีความสุขความสงบทางจิตใจ ก็คิดว่าควรจะเอาธรรมะนี้ไปให้แก่คนที่อยู่ในประเทศอังกฤษ ชั้นแรกก็ยังไม่ไป แต่ว่าเขียนหนังสือออกเป็นราย เรียกว่าเป็นหนังสือรายสามเดือนอะไรอย่างนั้น ส่งไปให้เขาอ่านเขาศึกษากันก่อน แล้วก็ประกาศหาคนที่มีความคิดมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ให้มาร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มีฝรั่งสองสามคนที่มีความรู้ได้มาร่วมแรงกับพระองค์นี้ ร่วมใจกันปฏิบัติงาน แล้วท่านเหล่านี้ชื่ออานันทเมตฐยะ (09.43)
ท่านได้เดินทางไปประเทศอังกฤษ นับว่าเป็นพระในพระพุทธศาสนารูปแรกที่เดินทางไปสู่ประเทศอังกฤษเพื่อเผยแผ่หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เขาบันทึกไว้ว่าท่านองค์นี้รูปร่างสูง สง่าดี แต่ว่าไม่เป็นนักพูด เวลาพูดให้คนฟังนี่ท่านเขียนไปแล้วก็อ่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้แหงนหน้าดูคนฟังเลย นอกจากอ่านหนังสือไปเรื่อยๆไปจนกว่าจะจบเรื่อง ไม่เป็นที่ประทับใจของผู้ฟังเพราะว่าคนพูดไม่ได้แหงนหน้าขึ้นดูผู้ฟังบ้างเลย เขาว่าท่านพูดหรืออ่านให้ฟัง แล้วก็อีกอย่างหนึ่งท่านมีโรคประจำตัวคือเป็นโรคหืด ไปอยู่เมืองนอกนี่มันไม่ถูกกัน ก็อยู่ไม่ได้ แล้วท่านก็เคร่งครัดในทางพระวินัย เช่น ไปพักบ้านเขาถ้ามีสุภาพสตรีอยู่ในบ้านนั้นด้วย ท่านก็ไม่ยอมพัก เพราะผิดหลักพระวินัยในทางพระพุทธศาสนา และเลยต้องไปหาบ้านต่างหาก แล้วคนที่ไปกับท่านก็เป็นอุบาสิกาเศรษฐี ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูในการเดินทาง ในการเป็นการอยู่ ก็ต้องไปเช่าบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ต่างหาก ทำให้เป็นการสิ้นเปลืองเงินทองมากอยู่ เวลาไปไหนก็ต้องมีลูกศิษย์ไปด้วย ไปคนเดียวก็ไม่ได้ นี่ท่านไปทำงานอย่างนั้นแล้วก็อยู่ไม่ได้ก็เพราะว่ามีเรื่องนี้ (11.25) ไม่ใช่มีเรื่องอื่น ผลที่สุดก็กลับมาอยู่ในประเทศพม่าลังกา แล้วก็ถึงแก่กรรมไป
ต่อมาก็มีพระอื่นๆจะพยายามไปเผยแผ่ธรรมะอีกเหมือนกัน เช่น มีพระลังกาสามรูปแต่เดินทางไปในการต่อมา ก็ไปทำการเผยแผ่แต่อยู่ไม่นานก็กลับมาเสียอีก แล้วต่อมาก็มีพระลังกาไปอีกสองรูป ไปอยู่ไม่นานก็กลับอีกเหมือนกัน ยังไม่เป็นล่ำเป็นสันที่จะอยู่กันในประเทศนั้น เพราะมันไม่สะดวกด้วยประการต่างๆ
ที่นี้มีคนอังกฤษมาบวชในเมืองไทย สมัยโน้นมาบวชที่วัดปากน้ำมีชื่อว่า กบิณลวรรตโพ (12.14) บวชแล้วท่านก็กลับไป กลับไปแล้วก็ไม่สะดวกในการเป็นอยู่ท่านก็ลาสิกขาไป แต่ว่าไม่ได้ละเลิกจากความเป็นผู้ประกาศธรรมะ พอลาสิกขาไปแล้วท่านก็คิดว่าพระสงฆ์ที่มาอยู่ประเทศอังกฤษนี้ไม่ได้รับความสะดวก เพราะไม่มีคนสนับสนุนด้วยปัจจัย ที่อยู่ที่อาศัยเพียงพอ ท่านก็ตั้งองค์การขึ้นเรียกตามภาษาเขาว่าสังฆ (12.47) ก็หมายความว่า ถ้าแปลเป็นไทยก็ควรจะเรียกว่า สังฆบุญนินมั๊ง (12.53) สังฆะก็คือพระสงฆ์ สังฆมูลนิธิตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมทุนไว้หาที่ให้พระอยู่ มีปัจจัยบำรุงในเรื่องการเป็นการอยู่ ท่านก็เริ่มทำงานนี้ขึ้น แล้วก็มีสำนักงานอยู่ที่แฮมป์สเตด ในกรุงลอนดอนนั่นแหล่ะ ทีนี้ต่อมาท่านก็ทำงานเรื่อยมาจนถึงแก่กรรมไป งานนี้ก็ยังอยู่
ต่อมาพวกเขานิมนต์พระจากเมืองไทยไป คือ นิมนต์อาจารย์ชาที่วัดหนองป่าพง อำเภอวารินฯ จังหวัดอุบลราชธานี ให้ไปเยี่ยมเยียนพุทธบริษัทที่นั้น ท่านอาจารย์ชานี่ท่านมีพระฝรั่งเป็นลูกศิษย์อยู่หลายองค์ ท่านฝึกฝรั่งให้เป็นคนไทย ให้รู้จักทำอะไรทุกอย่างแบบที่พระไทยเราทำ แล้วก็เป็นอยู่อย่างเคร่งครัด เช่น ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ปฏิบัติแบบพระในป่า เวลาท่านไปท่านก็พาไปด้วย เพื่อจะได้ไปช่วยพูดช่วยจา เพราะท่านเองพูดภาษาฝรั่งกับเขาไม่ได้ เมื่อไปกันอย่างนั้นฝรั่งเขาก็พอใจ ท่านอาจารย์ชากลับก็เลยทิ้งพระรูปนั้นไว้ที่นั่น
พระรูปนี้ก็คือท่านสุเมโธ เป็นคนอเมริกัน เคยเป็นนักรบในสงครามเกาหลีเหนือแล้วต่อมาก็ได้เบื่อโลก (14.29) มาบวชในพระพุทธศาสนา บวชแล้วก็ปฏิบัติเคร่งครัด เคยเดินธุดงค์ในประเทศไทยแล้วต่อมาก็ไปเดินธุดงค์ในประเทศอินเดีย ไปพักอยู่อินเดียหลายเดือน ขณะพักอยู่อินเดียได้ไปเห็นความยากจนความลำบากของคนในประเทศอินเดีย แล้วไปเห็นสถานที่สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น ที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่ปรินิพพาน ที่แสดงปฐมเทศนาและที่อื่นๆที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ท่านก็คิดถึงท่านอาจารย์ชาว่า ท่านทำงานหนักในการเผยแผ่ธรรมะในพระพุทธศาสนา เราควรกลับไปเมืองไทยไปช่วยเหลือท่าน แล้วท่านก็ตั้งจิตอธิฐานว่าในชีวิตนี้จะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แก่คนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วกลับเมืองไทยก็บอกเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ชาทราบ ท่านก็เลยพาไปประเทศอังกฤษทิ้งไว้ที่นั่น
เมื่ออยู่ที่นั่นไม่ได้อยู่องค์เดียวแต่มีพระอยู่ร่วมกันสี่รูป ทำงานเผยแผ่ธรรมะอยู่ที่นั่น แล้วก็ออกบิณฑบาตทุกวัน ใครจะใส่ไม่ใส่ก็ตามใจ แต่ก็เดินไปให้คนเห็น คนใดสนใจก็มาคุยมาถาม คนใดสนใจมากก็ตามมาจนถึงวัด ก็ได้มีโอกาสคุยกัน คือแสดงตัวน่ะไปบิณฑบาตนี่ไปแสดงตัวให้คนได้พบได้เห็น ได้สนใจขึ้น ถ้าเราไปอยู่แต่ในวัดใครมันจะรู้ ว่าพระอยู่ที่ไหน พระคือใคร พระทำอะไร เขาก็ไม่รู้เพราะฉะนั้นไปแสดงตัว ได้พบปะกับคน คนก็ได้มาหามาสู่ อยู่ในที่นั้นมาเห็นว่ามันไม่เหมาะเพราะว่าตึกมันจะพังแล้วเก่าแก่ ก็เลยย้ายที่มาอยู่ที่ใหม่ ที่ซื้อเพิ่ม (16.34) เรียกชื่อว่าวัดป่าจิตตวิเวก มาซื้อบ้านเก่าอายุร้อยสิบแปดปีซ่อมแซมทำเป็นกุฏิที่อยู่ของพระ คือเป็นวัดนั่นเองแต่บริเวณนั้นเป็นสนามหญ้าเป็นทุ่งกว้าง เนื้อที่ประมาณสักหกเจ็ดสิบไร่ แล้วก็มีคนให้ป่าอีกสามร้อยไร่อยู่ใกล้กัน พอเป็นที่พักของพระสงฆ์ในฤดูกาลเข้าพรรษา ฤดูพรรษานี่เป็นหน้าร้อนไปอยู่ในป่าได้ มีพระองค์หนึ่งเมื่อไปพบคราวนี้บอกว่า ผมอยู่ในป่านี้ตลอดสามเดือนในพรรษา ออกบิณฑบาตฉันทุกวันๆ มีคนใส่บาตรให้ฉันพออยู่พอใช้ พอกินพออยู่ ก็รู้สึกว่าสบายใจที่ท่านอยู่อย่างนั้น
แล้วก็พระที่ไปอยู่นั้นท่านเคยออกธุดงค์เหมือนกันในประเทศอังกฤษนี่ เราเห็นพระธุดงค์บ้านเราสะพายย่ามใหญ่ๆ มีบาตร มีกาน้ำ แบกกลดเดินไป ชอบพักใกล้คนเพราะว่าไม่ได้ไปธุดงค์จริงแต่ไปธุดงค์หาลาภหาผล พักให้คนเห็นแล้วคนจะได้มาหามาสู่ แล้วจะได้ขายตะกุดบ้าง พระเครื่องบ้าง เครื่องรางของขลัง อะไรต่างๆ รดน้ำมนต์น้ำพรอะไรไปตามเรื่อง ทีนี้พระฝรั่งนี่เขาไปธุดงค์นี่ แกไปกันกับอุบาสก เพราะที่ป่าวัดป่านี่เขามีอุบาสกเตรียมบวช ใครอยากจะบวชนี่ต้องมานุ่งขาวห่มขาว โกนหัว โกนคิ้ว อยู่อย่างอุบาสกนี่สองปี อยู่สองปีแบบอุบาสกนี่ต้องรับใช้พระทุกประการ ทำงานหุงข้าวต้มแกงต้มน้ำร้อนน้ำชา ปัดกวาดเสนาสนะ ปลูกหญ้าปลูกต้นไม้ รักษาบริเวณ ทำทุกอย่าง ถอนความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนว่ากูเป็นฝรั่งนี้มันลดน้อยลงไปสักหน่อย แล้วสมควรแก่เวลาก็บวชให้ มีคนได้บวชเพิ่มขึ้นในประเทศนั้นหลายคนแล้ว
แล้วก็มีแม่ชีผู้หญิงน่ะ เข้ามาก็นุ่งขาวห่มขาวไปก่อน ขั้นแรกมาก็ไม่ต้องหรอกไว้ผมตามปกติ อยู่ไปๆใจมันเลื่อมใสศรัทธา ก็เลยโกนหัวนุ่งขาวห่มขาวอยู่อย่างอุบาสิกาถือศีล ๘ ต่อมาก็ขยับนุ่งเป็นสีกลัดถือศีล ๑๐ ขึ้นมา เรียกว่า..ศีละ (19:16) อุบาสิกา ถือศีล ๑๐ ประการ อยู่ร่วมกัน แต่ว่าแม่ชีนั้นอยู่ริมป่า พระอยู่ที่กุฏินี้
ทีนี้การทำงานของพระเหล่านี้ได้ผล เพราะว่ามีคนศรัทธาเลื่อมใส เช่น พระออกไปธุดงค์นี่ก็มีคนมาพบมาคุยด้วยมาสนทนา แล้วก็ช่วยเหลือ เดินทางไปธุดงค์นี่ตั้งสองสามเดือน ถามว่าไม่ขัดข้องเรื่องอาหารการขบฉันหรือ บอกว่าไม่ขัดข้องมีคนคอยช่วยเหลือให้ความสะดวก แล้วก็มีคนมาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติกันกลางแจ้งในทุกแห่งที่ผ่านไป แสดงว่าทำงานได้ผล
ทีนี้ปัญหาว่าพระที่ไปอยู่ก่อนนี่ทำงานทำไมจึงไม่ได้ผล คือว่าพระที่ไปอยู่ก่อนนี่ไปอยู่แบบพระบ้าน ไปอยู่แบบพระบ้านก็หมายความว่าไปอยู่ในบ้าน ดำรงชีวิตแบบพระที่อยู่บ้านๆ ส่วนพระที่ไปอยู่วัดป่านี่ ท่านเป็นพระในป่าคืออยู่อย่างพระในป่า อยู่ง่ายๆ มักน้อยสันโดษ ไม่มีอะไรเป็นของตัว ถ้าของตัวไม่มี (20.32) ในห้องที่พักไม่มีของอะไรที่เก็บไว้ในห้องเลยแม้แต่น้อย นอกจากจีวรสำหรับนุ่งห่ม แล้วก็หนังสือบ้าง ก็เท่านั้น ไม่มีเครื่องใช้อย่างอื่น ไม่มีของอะไรเป็นพิเศษ ของอันใดที่คนถวายมา เช่น ถวายสบู่ ถวายผ้า ถวายของกินของใช้ เขามีที่เก็บ เก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ของกินก็เอาไว้แห่งหนึ่ง ของใช้ก็เอาไว้อีกแห่งหนึ่ง เอาไว้เป็นกองกลาง พระมาก็เอามาใช้ได้ เมื่อหมดแล้วก็เอาไปใช้ได้ แล้วพระเหล่านี้ท่านอยู่กันเหมือนกับพี่น้อง อยู่เหมือนพี่เหมือนน้อง อยู่เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเรื่องอิจฉาริษยา ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีเรื่องแย่งนั่นแย่งนี่กัน น้อยอกน้อยใจอะไร ความแก่งแย่งแข่งดีทั้งหลายทั้งปวงนี่มันเกิดเพราะอยากได้อยากมีในเรื่องลาภสักการะ ถ้าเรามันไม่อยากแล้วมันไม่ยุ่งกับใคร ไม่มีเรื่องทะเลาะกับใคร ต่างคนต่างไม่อยากมันก็อยู่กันสบาย
ที่นี้การเป็นอยู่ของพระนั้นท่านเป็นอยู่อย่างไร ถ้าปกติก็ตื่นกันตีสี่ พอตีสี่จะเป็นหน้าหนาวเป็นหน้าร้อนก็ตามใจ ตีสี่เขาก็ตีระฆัง อาตมาก็ไปนอนอยู่ที่นั่นก็ได้ยินเสียงระฆัง แต่อาตมานั่นมันตื่นก่อนตีสี่ทุกทีเพราะว่ามันผิดเวลานอนผิดเวลาอาหาร ตื่นตีหนึ่งตื่นแต่ตีหนึ่งแล้วนอนอีกมันก็ไม่หลับหรอก แล้วก็นอนไปอย่างนั้นล่ะเพราะมันหนาวก็คลุมไปเล่นๆเรื่อยๆไป ได้ยินเสียงระฆังก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำแต่ว่าเขายังไม่ลงไปทำวัดเหรอ ห้านาฬิกาจึงลงไปทำวัด
ตีห้านี่ลงไปทำวัดสวดมนต์เช้า ทำวัดเหมือนกับที่เราทำแต่ว่าไม่ได้แปลเท่านั้นเอง ท่านสวดได้ทุกองค์สวดได้เสียงดังๆ เสร็จจากทำวัดเสร็จแล้วก็นั่งสมาธิฝึกจิตเป็นเวลาถึงหกโมงครึ่ง แล้วจึงเลิก เมื่อเลิกหกโมงครึ่งแล้วทำไร ทุกรูปทำงานหมด กวาดขยะ ถูบันได ถูห้องน้ำ เช็ดนั่นเช็ดนี่ ไม่มีใครนั่งนิ่งไม่มีใครอยู่เฉย แล้วก็ไม่มีใครต้องใช้ใคร ทุกรูปรู้จักหน้าที่ของตัวว่าควรจะทำอะไรบ้าง แล้วท่านก็ทำไป อาตมาก็เดินดูๆ อ้อ องค์นั่นกวาดขยะ องค์นั่นดูดพรม องค์นั่นเช็ดบันได องค์นั้นเช็คอ่างล้างหน้า องค์นั้นไปเช็คห้องส้วมห้องน้ำ ทุกองค์ทำงานหมดไม่มีใครอยู่นิ่ง เห็นแล้วมันก็น่ารัก น่าพอใจว่าฝรั่งนี่เขาเป็นพระนี่เขาเป็นกันอย่างจริงจัง ทำงานทำการกันอย่างเรียบร้อย จนถึงเวลาเจ็ดโมงเช้า
พอเจ็ดโมงเช้านี่ก็เรียกว่าฉันน้ำชา น้ำชานี่บางทีก็มีน้ำชา บางทีก็โกโก้บ้าง ไมโลบ้าง โอวัลตินบ้าง ก็ปนลงไปหมดลงไปในหม้อเดียวกัน ทั้งทุกอย่างนะเทๆปนลงไป มีอะไรก็เอามาใส่ลงไปละลายน้ำร้อนหม้อใหญ่ ขนาดอย่างนี้ ยกมาวางตรงกลาง แล้วก็มีน้ำตาลทราย มีน้ำผึ้ง แล้วก็มีช็อกโกแลตอะไรที่คนเขาเอามาถวาย มีบ้างก็เอามาใส่จานวางไว้ พระมาถึงก็นั่งเรียบร้อย พระก็ไปนั่งอยู่ก่อน อาตมาก็ไป เขาจัดที่ให้นั่งพิเศษเป็นเก้าอี้สูงหน่อย พอไปถึงนั่งนี่พออาตมากราบพระพุทธรูปเสร็จ หันหน้ามาทางพระเขาก็กราบเรียบร้อยสามครั้ง เสร็จแล้วก็เอาของมาถวาย ชั้นแรกอาตมาก็ไปฉันน้ำชาปนโอวัลตินปนไมโลอะไรนี่เข้าไป ท้องมันผูก สองสามวันนี่มันไม่ถ่ายมันผูก ทีนี้สงสัยว่ามันผูกกันเรื่องอะไร ก็เลยว่าเห็นจะเป็นเพราะไอ้ชานี่เอง เลยบอกว่าต่อไปนี้ไม่เอาล่ะน้ำชา น้ำชาปนอะไรหลายอย่างนี่ไม่เอา ท้องมันผูก เลยก็ขอน้ำส้ม น้ำส้มมาแก้วหนึ่งน้ำส้มที่เขาใส่กล่อง ขอน้ำส้มเขาเอาไปต้มซะอีกแล้ว อุบาสกเอาไปต้ม บอกไม่ต้องต้มก็ได้ เปิดกล่องใส่มา ทีหลังก็ไม่ต้มแต่มันเปรี้ยวจัดนะ ส้มเมืองฝรั่งนี่มันเปรี้ยวนะ ไม่เหมือนส้มบางมดของเรา ส้มเมืองไทยนี่มันหวานนะ ส้มเมืองฝรั่งไม่ว่าส้มเล็กส้มใหญ่มันเปรี้ยวทั้งนั้น ก็ต้องใส่น้ำตาลลงไปหน่อย หรือน้ำผึ้งลงไปหน่อยแล้วก็ฉันน้ำส้ม พอฉันน้ำส้มแล้วท้องไส้มันดีขึ้น เป็นปกติ ก็รู้ว่า อ้อ น้ำชา เพราะอยู่เมืองไทยนี่ไม่เคยฉันน้ำชา กาแฟ เลยไปฉันเข้ามันก็ผิดอาการ เลยฉันได้เพียงน้ำส้ม
เมื่อพอฉันเช้าเสร็จแล้วนี่ก็ไปบิณฑบาต เขาไปบิณฑบาตทุกวัน อาตมานี่ไม่ได้ไปบิณฑบาตก็ไปเดิน เสร็จแล้วก็ไปใส่เครื่องอะไรให้มันอุ่นๆร่างกาย สวมอะไรบนหัวเข้าไปหน่อย เรียกว่าไหมพรมถักนะเหมือนกับเด็กใส่ ใส่หัว แล้วก็ใส่ถุงมือ ถือไม้เท้า ชวนพระฝรั่งน่ะ ไปเดินกันหน่อยจะได้คุยกัน เดินไปคุยกันไป คุยกันไปพอสักครึ่งชั่วโมงหรือสี่สิบนาทีก็เดินกลับ เดินกลับมาก็อาบน้ำ พักผ่อนอะไรไป
เขาฉันอาหารกันเวลาสิบโมงครึ่ง เรียกว่าอาหารเพลน่ะ คือมื้อเดียวนะฉันสิบโมง ฉันสิบโมงนี่เมื่อไปคราวก่อนนี่เขาจัดใส่อาหารใส่ถาดมาวางๆประเคนแล้วก็ พระองค์หนึ่งก็ยกไปให้ตักเอาตามชอบใจ ตักเรื่อยไปจนถึงองค์สุดท้าย แต่ว่าไปคราวนี้เปลี่ยนระบบแล้ว ไม่ทำอย่างนั้นไปบิณฑบาตในครัวเลยทีเดียว เรียกว่าไปบิณเอาในครัวเลย ในครัวก็อยู่ในกุฏินั่นแหล่ะ ไปในครัว ไปในครัวเขาก็ตักใส่เอาข้าวใส่ขนมปังผลหมากรากไม้ กับข้าวอะไรก็ใส่ๆลงไป เอาแต่พออิ่มแต่พอฉัน แล้วก็กลับมานั่งเรียบร้อย นั่งรอเวลาให้ทุกองค์มาพร้อมกัน พอมาพร้อมกันแล้วก็ลงมือฉัน ถ้ามีทายก (27.19) ไปก็ให้พรเสียก่อน ทายกเข้าไปถึงรับพรแล้วก็ออกไป ไปรับทานอาหารกัน เพราะว่าอาหารที่พระรับแล้วมันก็เหลืออยู่ในถาดในหม้อ ลูกศิษย์ก็กินกันไปตามเรื่อง พระก็ฉัน อุบาสก แม่ชีฉันด้วยกัน ฉันเสร็จเรียบร้อยก็ลุกขึ้นจากที่ฉันกลับที่พัก เวลากลางวันก็พักผ่อน
เวลาบ่ายโมงก็ตีระฆัง ตีระฆังหมายความว่าปฏิบัติงาน คือมีงานอะไรที่จะต้องทำนี่ แล้วก็มีงานอะไรก็ปรึกษากัน หลังจากฉันน้ำชาตอนเช้าแล้วก็บอกว่ามีงานอะไรบ้าง งานตัดไม้ฟืนต้องเตรียมไม้ฟืนไว้ใช้หน้าหนาว แล้วก็งานต้นไม้ตรงนั้น ไอ้นั่นตรงนั้น อะไรต่ออะไร สั่งกันเรียบร้อยหมด แล้วทุกรูปก็ไปทำงานตามปกติ จนกระทั่งห้าโมงเย็นก็ฉันน้ำชาอีกทีหนึ่ง แบบเดียวกันนั่นแหล่ะน้ำชาแบบเดียวกัน
แล้วก็ทำวัดค่ำเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง หนึ่งทุ่มครึ่งนี่ทำวัด นั่งภาวนา เมื่อนั่งภาวนาจบแล้ว มีอุบาสกอาราธนาขึ้นเชียว พรัหมา จะ โลกาธิปะตี ก็ว่าขึ้น ที่นี้ต้องเทศน์น่ะ ปกติก็ท่านสุเมโธท่านเทศน์เอง เทศน์ทุกคืน คนมาฟังก็มีฝรั่งทั้งหญิงชายเขามากัน คืนหนึ่งก็ห้าคนหกคนแปดคนเก้าคนสิบคนไม่แน่ แต่ถ้าเป็นคืนวันพระหรือว่าเป็นคืนวันเสาร์วันอาทิตย์ก็มีมาก ประมาณสามสิบคนก็มี และก็ต้องเทศน์ ทีนี้อาตมาไปอยู่นั่นมันเป็นผู้ใหญ่ เรียกว่าเป็นพระผู้ใหญ่พรรษามากกว่าเพื่อนนี่ อายุตั้งเจ็ดสิบสามขวบแล้ว แก่กว่าเพื่อน ทีนี้พอเขาว่า พรัหมา ท่านสุเมโธก็ว่าท่านเจ้าคุณเทศน์ เขาให้อาตมาเทศน์ (29.27) อาตมาก็พูดภาษาไทยนะ ถ้าพูดอังกฤษน่ะมันนึกไม่ทันเวลาพูดธรรมะ มันลำบากมันไม่ได้ คุยเรื่องอื่นได้แต่คุยธรรมะมันไม่ทันเพราะว่าต้องพูดไม่ขาดตอนนี่มันก็ลำบาก ก็เลยพูดแล้วท่านปสันโนที่ไปด้วยนี่ เจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติเป็นผู้แปลให้คนเหล่านั้นฟัง ก็เทศน์กันบ่อย เกือบทุกคืนก็ว่าได้ ในที่ประจำ นี่เป็นเรื่องอยู่ประจำ
แล้วก็ ท่านสุเมโธนี่ ท่านก็ไปธุระที่นั่นที่นี่ แล้วคราวนี้ท่านได้รับเลือกเป็นประธานพุทธสมาคมแห่งประเทศอังกฤษ คือพุทธสมาคมนี่เขาตั้งมาตั้งหกสิบปีแล้ว แล้วคนที่เป็นนายกคือนายคริสมาส ฮัมฟรีส์ (30.18) นี่แกเป็นนานที่สุด เลือกที่ไรเขาให้แกเป็นทุกที แกก็เป็น แกก็เป็นคนเสียสละทำงานแก่พระพุทธศาสนา แกเลื่อมใสพุทธศาสนามาตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี พ่อแกเป็นนักกฎหมายมีชื่อเป็นเซอร์มียศ แกก็เรียนกฎหมาย เรียนอักษรศาสตร์ แล้วก็เป็นนายกพุทธสมาคมเรื่อยมา งานอาชีพแกก็เป็นผู้พิพากษา แต่ว่าแกก็ไม่มีลูกมีเต้าอะไร แกก็ทำงานให้แก่พุทธศาสนา เขียนหนังสือมาก ปาฐกถา สนทนาธรรมอะไรอยู่บ่อยๆ แกตายเมื่อปีนี้ ปีนี้ราวเดือนกุมภา ถึงแก่ความตายไป แล้วก็เขาก็คิดกันว่าควรจะให้ใครเป็นนายก ก็เลือกกันว่าให้ท่านสุเมโธเป็นนายก เพราะว่าเป็นพระ นับว่าเป็นพระองค์แรกที่ได้เข้าไปเป็นนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอังกฤษ เมื่อท่านได้เป็นนายกก็ต้องไปทำงานเกี่ยวข้องเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างตามสมควร
วันที่หนึ่งธันวาคมนี่เขามีการประชุมกันที่พุทธสมาคม ท่านสุเมโธบอกว่าท่านเจ้าคุณไปด้วยวันนี้ เขามีการประชุมกันมีการปฏิบัติกัน เขาก็พาไป ขับรถไปถึงสมาคมแล้วก็ขึ้นไป สมาคมเป็นตึกสี่ชั้นแต่ว่าเขาเช่าเพียงสองชั้น ชั้นล่างนี่เป็นห้องสมุดเป็นที่รับแขก ชั้นบนนั้นห้องหนึ่งเป็นห้องพระเป็นห้องบูชาพระ มีพระพุทธรูปแบบไทยนี่ คนไทยส่งไปให้ มีโต๊ะหมู่แบบไทยเหมือนกัน แล้วในห้องหนึ่งเป็นห้องประชุม เป็นห้องยาวๆไม่กว้างเท่าไรตึกในลอนดอนมันก็อย่างนั้น จุได้สักห้าสิบกว่าคน แล้วเขามีอาสนะสี่เหลี่ยมเหมือนอาสนะพระนี่ อย่างนี้เป็นสีชมพู วางเรียงเป็นแถว แล้วก็มีหมอนกลมๆเล็กๆอีกใบหนึ่ง ฝรั่งมันนั่งขัดสมาธิไม่ค่อยได้ เลยเอาหมอนรองก้นไว้หน่อยเวลานั่ง เมื่อมาพร้อมกันแล้วก็จะมีการนั่งทำสมาธิ เริ่มต้นก็ด้วยการนั่งสมาธิยี่สิบนาที พอนั่งสมาธิยี่สิบนาทีแล้วก็มีการพูดให้ฟัง อาตมานี่นึกว่าท่านพาไปดู ไม่ได้พาไปให้พูดหรอก แต่ไปถึงท่านบอกว่าท่านเจ้าคุณนั่งตรงนี้ ก็ไปนั่งที่ประธาน ท่านสุเมโธไปนั่งตรงโน้น พระอื่นก็นั่งต่อๆมา ก็นึกในใจว่า เอ๊ะ เรามานั่งเป็นประธานนี่เขาจะให้พูดนี่ ก็นั่งเตรียมตัวอยู่ว่าจะพูดอะไรดีนี่กับฝรั่งมังค่าเหล่านี้ พอเขานั่งยี่สิบนาทีแล้วก็ให้พูด พูดสี่สิบนาที
อาตมาก็พูดใจความย่อๆว่า ขอแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานในพุทธสมาคมในวันนี้ พุทธสมาคมนี้เกิดมานาน ครั้งหนึ่งเมื่อปี ๑๙๕๔ อาตมาก็เคยมากรุงลอนดอนครั้งแรกและก็มาเยี่ยมพุทธสมาคมเหมือนกัน แต่จำได้ว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ อยู่ที่ตรงอื่นก็เป็นสถานที่แคบๆ และได้พบกับนายคริสมาส ฮัมฟรีส์ (34.05) ได้คุยกันนิดๆหน่อยๆแล้วก็หายไป มาคราวนี้ก็ได้มาเยี่ยมอีก ก็รู้สึกดีใจที่เห็นกิจการของสมาคมเจริญก้าวหน้า เราควรจะได้นึกถึงผลงานท่านฮัมฟรีส์ (34.21) ที่ ได้ทำไว้แก่พุทธสมาคมนี้อย่างมากมาย แล้วก็ดีใจด้วยที่ท่านทั้งหลายได้เลือกนายกใหม่ได้ถูกต้อง ก็ได้เลือกพระมาเป็นนายก พระนี่ควรจะเป็นผู้นำของอุบาสกอุบาสิกา ท่านเลือกได้พระก็นับว่าถูกต้องดีแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย
แล้วก็แนะนำว่าสมาคมนี่มันจะเจริญก้าวหน้าไปได้ทุกคนต้องเสียสละเพื่องานของสมาคม ใครมีหน้าที่อะไรก็ต้องช่วยกันจับช่วยกันทำเพื่อให้งานเป็นไปด้วยดี ก็ได้ทราบว่าท่านทั้งหลายได้ประพฤติดีกันอยู่แล้ว แต่อยากจะให้ข้อคิดบางประการไว้ว่า ในฐานะที่เราเป็นสมาชิกของสมาคม เราควรจะได้ปฏิบัติตามหลักธรรมที่ไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อมของพระพุทธเจ้า คือ หนึ่งต้องหมั่นประชุมกันบ่อยๆ เวลาประชุมก็ต้องพร้อมเพรียงกันประชุม เวลาเลิกประชุมก็ต้องพร้อมเพรียงกันเลิก ช่วยกันทำกิจที่หมู่คณะจะต้องกระทำ ต้องเคารพบุคคลที่เป็นหัวหน้าเป็นประธานในที่ชุมนุมหรือของสมาคม หัวหน้าว่าอย่างไรเราก็ต้องว่ากันไปอย่างนั้น แล้วก็ตั้งระเบียบแบบแผนอันใดขึ้นแล้วให้ประพฤติตามระเบียบแบบแผนนั้น อย่าไปถอนระเบียบแบบแผนเอาเองตามชอบใจ ต้องเคารพระเบียบแบบแผน อย่างนี้จะช่วยให้กิจการของสมาคมก้าวหน้าขึ้น
แล้วก็แนะนำในเรื่องการทำงาน ว่าการทำงานนี่เราต้องทำงานให้สนุก ให้เป็นสุขขณะทำงาน เพราะการทำงานนี่คือการประพฤติธรรมอยู่ในตัวแล้ว เราควรจะช่วยกันทำงาน ทำหน้าที่ จะได้นำธรรมะของพระพุทธเจ้าให้แก่คนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ เราไม่ต้องการจะไปกลับใจใครให้มาเป็นพุทธบริษัท แต่ว่าเราชี้ทางแนวใหม่ให้เขาได้รู้ได้เข้าใจ ให้เขาลองเดินตามดูว่าทางใหม่นี่มันปลอดภัย มันสบายมีความสุข ให้ทุกคนเดินดู เราเพียงแต่ชี้ทางให้เขาเดิน แล้วเขาเดินของเขา เดินแล้วเขารู้เองว่าทางใหม่นี้เป็นอย่างไร แล้วเขาจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของเขา เราไม่ต้องไปขอให้เขาเป็นอะไร ไม่ต้องไปจดทะเบียนว่าเป็นพุทธหรือเป็นไอ้นั้นไอ้นี่ ให้เขาเป็นโดยน้ำใจของเขาเอง จะช่วยให้คนเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วมันไม่มีชื่อ ไม่มีชื่อว่าเป็นอะไรเพราะชื่อไม่มี มีแต่ความสงบใจ สะอาด สว่างในทางจิตใจ พูดอย่างนั้น แนะนำเขาไปในรูปอย่างนั้น
พอสมควรแก่เวลา แล้วก็มีการเปิดโอกาสให้ถามปัญหา คนที่ถามปัญหาไม่ใช่ฝรั่งแต่เป็นสุภาพสตรีไทย ถามว่าเรื่องความกลัวจะแก้อย่างไร อาตมาก็ถามว่ากลัวอะไร ที่กลัวๆนี่กลัวอะไร กลัวผี แกบอกว่าแกกลัวผี บอกว่าแล้วตั้งแต่เกิดมานี่เคยเห็นผีบ้างไหม ว่ารูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไร มันปรากฏตัวอยู่ที่ไหนบ้าง ยังไม่เคยเห็น อ้าว ไอ้สิ่งที่เราไม่เคยเห็นแล้วไปกลัวมันทำไม ถ้าสมมุติว่าผีมีจริง ก็ยังไม่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าผีฉกชิงวิ่งราว ผีเที่ยวปล้นสะดมใครๆ หรือผีทำใครให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน มันยังไม่มีไม่ใช่หรือ แกก็ว่าอย่างนั้น แล้วกลัวทำไม ทำไมถึงต้องกลัวผี ตอบว่าตั้งแต่เด็กๆมา เขาเล่าเรื่องผีให้น่ากลัว แล้วก็กลัวติดมา บอกว่ามันไม่ใช่กลัวผี มันอุปาทานที่เราฝังไว้ในใจของเรา เราก็จะต้องถอนอุปาทานซะ นึกว่าผีไม่มีจะหลอกเรา ถึงมีมันก็ไม่หลอกเรา ผีนี่ถ้ามาหาเรา เราก็ได้คุยกัน ดีเหมือนกันได้คุยกับผีบ้าง ได้ถามผีบ้าง อะไรต่ออะไร แต่กลัวว่ามันจะไม่เจอจริง นอกจากผีหลอกคือมันหลอกในใจของเรา เราสร้างอารมณ์หลอกตัวเอง ขึ้นในจิตใจจึงมีแต่ภาพอย่างนั้น ก็ตอบไปในรูปอย่างนั้น
เมื่อประชุมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว วันนั้นคนมาประชุมก็ราวสักห้าสิบกว่าคนนับดูแล้วเป็นแถว แล้วก็วันนั้นมีคนจรเข้ามาสองคน คือว่าเคยรู้จักกับอาตมา เป็นพวก MRD (39.09) ทนายอาชีพแมคแคนซี่ (39.13) เคยเป็นเลขานุการเอกสถานฑูตอังกฤษประจำประเทศไทย แล้วเป็นคนที่ได้ให้อาตมาไปประเทศยุโรปครั้งแรก เมื่อปี ๑๙๕๔ สองพันสี่ร้อยเก้าสิบเจ็ด ปีนั้นที่ไปเพราะท่านผู้นี้ แกก็มาด้วย มาก็ไปนั่งอยู่ปลายแถว อาตมามอง อ้าว นายคนนี้นี่อาชีพแมคแคนซี่ (39.39) มากับเพื่อนแกคนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นเค้าไปที่วัดป่าด้วยเหมือนกัน ไปถ่ายรูปใหญ่ ถ่ายรูปกับอาตมา ถ่ายท่านั้นถ่ายท่านี้ แอบถ่ายเรื่อย เลยบอกว่าคุณมาจากไหนหรือโยม ผมก็เคยพบกับท่านมาเมื่อก่อน หลายปีมาแล้ว เคยถ่ายรูปท่านไว้ พวก MRA (39.58) อ้าวดีใจ นายอาชีพแมคแคนซี่ (40.01) อยู่ไหนจะโทรศัพท์ไปบอก แล้วจะพามาพบกัน แล้วก็มาพบกันคืนนั้น ก็ได้คุยกันสองสามคำ เพราะว่าแกสำรวมตนดีเหมือนกัน เพราะว่าแกมาในที่แปลกถิ่นของแก แกก็คุยได้นิดหน่อย
แล้วก็ลงมาข้างล่าง เค้าเลี้ยงน้ำชากัน อาตมาก็ไม่ฉันนะ มีน้ำส้มก็เลยฉันน้ำส้ม เสร็จแล้วก็ดูห้องสมุดดูอะไรต่ออะไร เค้าก็ถ่ายรูปพรึบพรับกันไว้ บอกว่าจะเอาลงในหนังสือทางสายกลางของสมาคมซึ่งออกมานานแล้ว เค้าก็ส่งมาให้อ่านอยู่เหมือนกัน เค้าจะได้เอาไปลงรูปว่าได้มาเยี่ยม ได้มาพูดมาสนทนาอะไรกัน นี่เป็นงานที่ได้ไปพบกับพุทธสมาคม
เมื่อก่อนที่จะไปพุทธสมาคมนี่ได้พบกับพระแขกอินเดีย แกก็เคยอยู่เมืองไทยเคยอยู่ไชยา เคยอยู่วัดเบญจะฯ ก็เลยถามว่านี่อยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร ไปดูหน่อยสิ สถานที่อยู่ เค้าก็พาไป เค้าเรียกว่าลอนดอนตะวันออก อีส (41.10) มันเป็นย่านที่ค่อนข้างรุงรังหน่อย ที่แขกไปอยู่ คล้ายกับบ้านเราเรียกว่าสลัมแต่ว่าสลัมเมืองนอกไม่เหมือนกับสลัมคลองเตย สลัมแบบเมืองนอกก็เข้าไป มีบ้านหลังหนึ่งเขียนไว้ว่าพุทธวิหารเหมือนกัน ก็เข้าไปข้างในก็รุงรังนะ รุงรังแบบแขกๆ บอกทำไมมันรุงรังแบบนี้ มันก็อยู่อย่างนี้ นอนอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่ตรงนี้ สำนักงานก็อยู่ตรงนี้ มันจะไม่ให้รุงรังได้อย่างไร มันก็มีเท่านี้ บอกแล้วข้างบนทำอะไร ก็พาขึ้นไปดูข้างบนเป็นห้องพระ ก็เรียบร้อยนะห้องพระ สะอาดสะอ้านเรียบร้อย แล้วไม่มีห้องนอนหรือ ก็มีแต่มันไม่มีฮีตเตอร์ ถ้าจะนอนต้องย้ายฮีตเตอร์ขึ้นมา ยกขึ้นยกลงลำบาก นอนมันตรงนี้ก็แล้วกัน เลยนอนในเก้าอี้รับแขกนั่นเอง แกก็เป็นอยู่ง่ายๆดีนะ พระนาคเสน (42.06) นี่ ท่านสุเมโธก็ไปด้วยไปคุยกันนิดหน่อย พอสมควรแก่เวลา
เสร็จแล้วก็เดินทางกลับผ่านถนนเขาเรียกว่าโรมันโรด ถนนโรมถนนโรมัน ก็มีพุทธสามาคมอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน เค้าเรียกว่าเป็นสมาคมของท่านสังฆรัฐกิจ (42.27) ท่านสังฆรัฐกิจ (42.29) นี่เคยเป็นทหารอยู่สิงคโปร์ชื่อแกชื่อเต็มนิกเร็มวู้ด (42.33) แล้วแกก็เดินทางไปประเทศอินเดีย ไปเสาะหาธรรมะ แกก็ไปคลุกคลีกับพวกสัญญาสี พวกสมามี พวกนักบวชฮินดู อะไรมากมาย แกเที่ยวศึกษา ผลที่สุดก็เข้ามาในวัดพุทธศาสนาเลยบวช ได้ชื่อว่าสังฆรัฐกิจ (42.56) แต่ว่าแกไปอยู่โน้นกาลิมปง สิกขิม กาลิม อยู่ติดชายแดนของพวกทิเบต จิตใจก็เอนเอียงไปทางฝ่ายมหายาน เพราะฉะนั้นเมื่อแกไปอังกฤษนี่แกก็แต่งตัวตามสบาย นุ่งกางเกงบ้าง นุ่งอะไรบ้างไปตามเรื่อง แต่ว่าแกทำงานเผยแผ่พุทธศาสนากับเด็กหนุ่ม ไปถึงที่สำงานแก อุ้ย สวยงาม ห้องประชุมนี่ปูกระดานเรียบร้อย มีพระพุทธรูป แล้วก็มีเบาะอีก เบาะสำหรับนั่งวางเป็นแถว มีเด็กหนุ่มเป็นนายก ก็เข้ามาคุยด้วยว่านี่เป็นประธานของกลุ่มนี้ ก็เป็นเด็กหนุ่มอายุราวสักสามสิบ รูปร่างหล่อ อ้าวคุยกันมีหนังสือสำหรับอ่าน แล้วก็มีภาพเป็นภูเขาหิมาลัยเขียนผาผนัง พวกเด็กมันทำกันเอง คือต่างคนช่วยกันทำช่วยกันจัด หัดคนให้เป็นอย่างนั้น เป็นสมาคมเป็นตึกสามชั้นเหมือนกันทั้งตึกน่ะ แต่ว่าเราไปดูข้างล่าง ก็เป็นที่น่าพอใจก็อยากจะพบท่านสังฆรัฐกิจ (44.05) ประธานบอกว่าเวลานี้ไปอินเดีย ไปอยู่อินเดียเก้าเดือนจึงจะกลับมาอังกฤษอีก หน้าหนาวแกมาอยู่อินเดียมันหนาวน้อยหน่อย มันหนาวเหมือนกันแต่มันไม่หนาวเหมือนเมืองยุโรป ยุโรปหน้าหนาวทำอะไรไม่ได้ก็มาอยู่แถวนี้ ท่านทำงานก็ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน แต่ว่าทำงานในรูปมหายาน ให้เด็กๆหนุ่มๆมาอยู่มาศึกษามาปฏิบัติกัน อะไรต่างๆ แต่เวลาแกกลับอินเดียแกก็นุ่งสบงจีวรเหมือนกับเราอย่างนี้ แกเป็นอย่างนั้นเรียกว่าเข้าไปฝูงหนูก็เป็นหนูไป เข้าฝูงค้างคาวก็เป็นค้างคาวไป แกทำได้ของแกตามชอบใจ ไม่ขึ้นกับใครสำนักงานของแกอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่าเป็นกิจกรรมที่ได้ไปเห็น
ทีนี้เมื่อไปอยู่ที่นั้นนะก็วันหนึ่งได้ไปเยี่ยมสำนักสาขา สำนักสาขานี่มีอยู่สองแห่ง แต่ว่าแห่งหนึ่งไปไม่ไหว มันเหนือไปมากและมันหนาว ขับรถไปมันไกลตั้งสองสามร้อยไมล์ถึงจะไปถึง เค้าเรียกฮาร์นัม เป็นที่สวยงาม บอกว่าน่าไปดู เพราะว่าหน้าร้อนก็ดีแต่ว่าหน้าหนาวไปดูไม่ไหว มันมีหมอกมีอะไรเวลาอยู่ในประเทศอังกฤษนี่ สามโมงครึ่งนี่มันมืดแล้วน่ะ ขับรถไปไหนมาไหนต้องรีบกลับ พอสามโมงครึ่งแล้วมันมืด มืดแล้วมันเป็นปัญหาตรงดูป้ายไม่ค่อยเห็น เวลาจะแยกไปไหนนี่อ่านไม่ค่อยออก อ่านไม่เห็น หลง หลงทาง คุณฉลอ สัมพันธ์ทารัก (45.43) เป็นคนขับรถ หลง หลงจนกระทั่งไปถึงบ้านของแกเข้าให้ อ้าว นี่มันบ้านผมแล้ว หลงจนมาถึงบ้านของตัว คิดดู อยู่ที่แฮมป์สเตดนะ ไปอ๊อกซ์ฟอร์ดนะไปที่วังวินเซอร์ แล้วก็ไปมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ไปเยี่ยมศูนย์พม่า นายอูเนียนซอน (46.04) แต่แกไม่สบาย ไปอยู่โรงพยาบาลก็คุยกันทางโทรศัพท์ ถามอาการอากรอะไรแกไปตามเรื่อง เสร็จแล้วขากลับมาตามถนนเค้าเรียกมอเตอร์เวย์ เอ็มเลขที่เท่านั้นเท่านี้ ขับมาเรื่อยๆพอมาเข้าในเมืองนี่มันหลงไปเป็นเคมบริดจ์ได้ ไปอ๊อกซ์ฟอร์ดกลับมาเข้าเมือง โอ๊ะ สังสัยเคมบริดจ์ เอ๊ะ นี่มันเคมบริดจ์นี่โยม อ้าว หลงแล้ว ผิดทางแล้ว อ้าว ต้องไปหาทางเข้า ขึ้นสะพานลอยเลี้ยวกลับมาใหม่ ไปๆ..เอ๊ะ นี่มันที่ป่าช้าเผาศพแล้วนี่ โอลิมเปีย (46.42) มันเป็นที่เผาศพมีชื่อ โอลิมเปีย (46.46) มานี่แล้ว อ้าวเลี้ยวใหม่ เลี้ยวไปเลี้ยวมา มาออกแฮมป์สเตด อ้าวนี่มาบ้านผมแล้วนี่นา นี่บ้านผมอยู่ตรงนี้แต่ให้เขาเช่า ไม่เป็นไรแล้วถึงนี่ไม่หลงแล้ว อ้าวไปต๊อกแต๊กๆมาถึงวัดได้เรียบร้อย มันเป็นอย่างนี้แหล่ะมันลำบาก ความจริงมาถึงวัดนั้นมันหกโมงเท่านั้นเอง แต่มันมืดตึ๊ดตื๋อแล้ว ถนนเมืองนั้นมันลำบาก วันหนึ่งเค้าจะให้ไปดูโบสถ์อายุเก้าร้อยปี ก็ไปตามถนนสายที่จะไปโรเวอร์ ก็ไม่รู้จะเลี้ยวตรงไหน ขับมาๆ เอ มันยังไกลนี่ นี่มันสามโมงครึ่งแล้ว ไปถึงแล้วจะไปดูอะไรมันมืดแล้ว บอกโยมกลับเถอะอย่าไปดูมันเลย โบสถ์นั้นมันไม่ไปไหนวันหลังค่อยมาดูกันใหม่ก็ได้ เลยก็กลับ กลับวัด อย่างนี้มันไม่สะดวกถ้าหน้าหนาวนี่ ไปไหนไม่สะดวก
นี้วันนั้นก็จะไปที่สเตวอน บอนชาย (47.42) เป็นแหลมยื่นออกไปแล้วก็พระไปอยู่สององค์ ป้ายเขียนว่าเดว่อนวิหาร ก็เป็นบ้านหลังน้อยๆ ซื้อเค้า ๑๕๐๐ ปอนด์ ในบ้านนั้นก็แบ่งส่วนหนึ่งเป็นห้องประชุม พระอยู่ห้องหนึ่ง อุบาสกอยู่ห้องหนึ่ง คือพระไปอยู่ไหนนี่ต้องมีอุบาสกไปอยู่ด้วยสองคน เพื่อเป็นพี่เลี้ยง รับใช้ดูแล มีท่านอุปปันโนกับพวก ท่านอุปปันโนนี่เป็นชาวนิวซีแลนด์ ก็ไปอยู่ที่นั่น ไปถึงเวลาฉัน เค้าก็จัดอาหารถวาย มีฝรั่งมาอยู่ห้าหกคน มาต้อนรับ ก็ฉันแล้วก็นั่งคุยกันกับฝรั่งเหล่านั้นด้วย กับพระด้วย ถามว่าที่มาอยู่นี่ อาหารการขบฉันนี่ไม่เดือดร้อนหรือ โอ้ ฉันสะดวกสบายไม่เดือดร้อนอะไร เค้าเอามาให้ เค้าเอาผักมาให้บ้าง เอาผลไม้มาให้ เอาขนมปังมาให้ และเลยถามบ้านหลังนี้ใคร บาทหลวง บาทหลวงคาทอลิก อ้าว มาอยู่ติดกันอย่างนี้ได้หรือ ท่านดีใจ ดีใจว่าเรามาอยู่ด้วย ใกล้ๆกันนั่น แต่ว่าไปเยี่ยมได้ไหม ท่านไม่อยากพบใคร ท่านแก่แล้ว ท่านอุปปันโนพูดแบบขำๆว่า กลัวแกจะช็อกตายเสียก่อน ไปอยู่ใกล้ท่าน แต่แกก็ดีนะ แกปลูกผัก บาทหลวงนี่มีคนงานปลูกผัก ยังเอาผักมาให้พระเลย บ้านติดกันนี่รั้วติดกันนี่ เอาผักมาให้ แต่แก่แล้วแกบอกว่าดีใจที่มาอยู่ร่วมกัน ก็อยู่ได้สบายพระก็อยู่ได้ ไม่เดือดร้อนอะไรเพราะว่ามีคนช่วยเหลือเจือจุน มีพุทธบริษัทบ้างแล้วคนที่ยังไม่เป็นเค้าก็เรียกว่ามีน้ำใจ คนอังกฤษก็มีน้ำใจดีเหมือนกัน เขายอมรับใจกว้างอยู่พอสมควร พระก็ไปอยู่ได้ ส่วนที่ฮาร์นัมนี่นี่นี่ถ้าไปคราวเดือนหกเดือนเจ็ดนี่จะไปอีกทีหนึ่ง ท่านสุเมโธบอกว่าให้เจ้าคุณมาอีกหน้าร้อน จะได้พาไปดูหลายๆแห่ง ที่ไปตั้งศูนย์ไว้ตามที่ต่างๆ มีอยู่สิบห้าสิบหกแห่ง
แล้วก็มีการที่จะขยายงาน คือว่าไอ้ที่ไปอยู่ชิตเฮิร์ต ซัสเซกซ์ นี่มันไกลจากลอนดอนมาก แต่จะเอาจะถือว่าที่นี่เป็นที่สร้างพระอบรมคนให้เป็นพระ มันต้องหาที่ใกล้ลอนดอนสักหน่อยเพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างคน ให้เป็นคนสมบูรณ์ตามหลักพุทธศาสนา ก็เลยมองหาที่ พอดีกับว่ามีโรงเรียนแห่งหนึ่งเค้าเลิกกิจการ คือเป็นโรงเรียนรัฐบาลเป็นโรงเรียนเด็กปัญญาอ่อน และเด็กมันน้อยถ้ามีไว้มันก็ไม่คุ้ม เรียกว่าคนมันน้อยเขาจะเลิก เมื่อเลิกกิจการนี่เขาอยากจะให้ใครมาเอาสถานที่นี้ไป มาซื้อไปเป็นประโยชน์ในทางส่งเสริมมนุษยธรรม เรื่องของศาสนา เรื่องสังคมอะไรนั้น ทีนี้ทางฝ่ายสังฆมูลนิธินี้ก็ไปขอซื้อ กรรมการนี้ก็แหมพิจารณากันหลายชุด กรรมการก็เยอะ พิจารณากันตกลงว่ายอมขายให้ในราคาสองแสนปอนด์ สองแสนนี่ไม่ใช่น้อยนะ เจ็ดแปดล้านนะ
วันนั้นท่านพาไปดู ดูสถานที่ สวยงาม มีอาคารอยู่แล้วหกหลัง เป็นเรือนยาวห้องนอนหกหลัง และก็มีห้องประชุม มีห้องเรียน มีโรงอาหาร มีบ้านพักครูอาจารย์ ท่านสุเมโธว่า แหม เหมือนเขาสร้างไว้ให้เรามาใช้ที่นี่ แล้วก็มีสนามกว้างเป็นสนามฟุตบอลสำหรับเด็ก แล้วก็มีป่าอีกสิบแปดไร่ เป็นที่เปล่าเอาน้ำเสียไปลง กำจัดน้ำเสียอยู่ในสถานที่นั้น อยู่ห่างจากลอนดอนเพียงยี่สิบไมล์เท่านั้น เรียกว่าใกล้ ใกล้มากทีเดียว นับว่าก็สะดวก ก็ดูแล้วก็พอใจในสถานที่นั้น
สถานที่นี้เมื่อซื้อมาแล้วจะตั้งชื่อว่า อมรวดี อมรวดี วัดอมรวดี จะให้แม่ชีมาอยู่ที่นั่น แล้วก็รับคนหนุ่มสาวให้มาพัก มาปฏิบัติธรรมะ มาอยู่ที่นั่น พระก็มาอยู่ด้วย มาช่วยสอน แต่ว่าบ้านพักนี่แม่ชีอยู่เป็นผู้บริหารงานในสถานที่นั้น รู้สึกว่าดีมาดูแล้วก็พอใจ ก็เป็นภาระผูกพันทางจิตใจ ว่ามันต้องช่วยเหลือเขาอีกเหมือนกันในเร็วๆนี้ ในการต่อไปข้างหน้า ต้องหาเงินจากญาติโยม บอกๆไปคนก็คงให้เองไม่ลำบากเดือดร้อนอะไรมาก
เรื่องเงินทองนี่มันไม่ยาก คราวที่ไปนี่โยมก็เอามาให้ไว้ตั้งสามแสนนะ สามแสนเศษอาตมาเอาไปเพียงสองแสนสี่หมื่น เหลือไว้แสนหนึ่งหมื่นติดไว้ในบัญชี เรียกว่าเป็นบัญชีวัดป่าจิตวิเวก ใครสมทบก็เข้าบัญชีไว้ เข้าบัญชีไว้ อาตมาเข้าบ้าง โยมเข้าบ้าง แล้วก็คราวหน้าไป ก็ประกาศอีกก็คงจะได้ไปช่วยเขา ให้ได้เจริญก้าวหน้าในกิจการส่วนนี้ต่อไป ก็เห็นว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์ ทีนี้ในการไปทอดผ้าป่านี่ อาตมาได้ปัจจัยไปก็เจ็ดพันปอนด์ เป็นเงินเจ็ดพันยี่สิบเจ็ดปอนด์แปดสิบสองเพนนี่ แล้วก็ในวันทอดผ้าป่านี่ได้เงินกว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยสามสิบเก้าปอนด์ ได้เงินเหรียญห้าสิบหกเหรียญ เงินบาทพันห้าร้อยหกสิบบาท รวมยอดก็เก้าพันสามร้อยเจ็ดสิบเก้าปอนด์ ห้าร้อยห้าสิบหกเหรียญ พันห้าร้อยหกสิบบาท
เงินที่ได้ในวันนั้น ที่ได้มากนี่ได้ไปจากเมืองไทยเจ็ดพันปอนด์ แต่ได้ในลอนดอนนิดหน่อย เพราะว่าพุทธบริษัทน้อย แต่ว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารว่า แหม พวกผมภูมิใจเหลือเกิน เห็นฝรั่งมาทำบุญ คนละปอนด์บ้าง สองปอนด์บ้าง มาทำบุญ ฝรั่งนี่เขาไม่ค่อยทำ นี้เขามาทำก็พอใจ แล้ววันนั้นคนที่มาประชุมนั่น ฝรั่งมากกว่าชาวเอเชีย ชาวเอเชียก็มีสิงหล พม่าหล๋อมแหล๋ม แล้วก็ไทยบ้างพอสมควร ไม่ค่อยมากเท่าไร แต่ว่าฝรั่งมาก อันนี้มันชื่นใจตรงฝรั่งมากนี้ ฝรั่งมาตักบาตร เด็กน้อยๆมาใส่บาตรพระ แล้วก็นั่งลงกราบ กราบเรียบร้อยเหมือนกับเด็กบ้านเรากราบนี่ บางคนกราบสวยกว่าเด็กบ้านเราเสียด้วยซ้ำ ไปที่วัดพุทธปทีป พวกทัวร์พุทธมาวัด มาถึงก็ ไหว้พระ เอ มันไหว้ยังงัยนะ แล้วเวลาจะไปก็ อื้ม ไหว้แบบนั้น อาตมาเห็นแล้วก็นี่มันไม่เข้าเท่าเลย แต่ว่าฝรั่งน่ะเขามาถึงเขานั่งกราบเรียบร้อย กราบพระพุทธรูป นั่งกราบเรียบร้อย พอกราบพระพุทธรูปเสร็จหันมากราบพระสงฆ์ เขากราบนิ่มนวลเรียบร้อย นั่งพับเพียบเป็น ขัดสมาธิเป็น และขณะนั่งก็นั่งสมาธิตลอดเวลา ไม่พูดไม่คุยอะไรกัน
อันนี้ล่ะมันน่าชื่นใจ เห็นงามแล้วมันน่าชื่นใจ ทำให้คิดว่าประเทศอังกฤษนี่เป็นนาที่เหมาะจะหว่านพืชพระพุทธศาสนาลงไป เราจึงต้องรับสนับสนุนต่อไป ไม่มีใครสนับสนุนนี่ พระที่ไปอยู่นี่ วัดพุทธปทีปนี่รัฐบาลสนับสนุนลงทุนสร้างโบสถ์สามสิบล้านไว้ แต่ว่าพระที่อยู่นี้ไม่มีโบสถ์ โบสถ์เป็นพื้นดิน แล้วก็อยู่ง่ายๆ แต่ทำงานเป็นประโยชน์ อาตมาเห็นแล้วว่าควรช่วยสนับสนุนกัน เพราะฉะนั้นถึงได้ไปแล้วก็จะไปเรื่อยๆ มีโอกาสก็จะไปให้กำลังใจ เพราะว่าพระท่านก็บอกว่าเจ้าคุณมาอย่างนี้พวกผมสบายใจ อย่างน้อยๆก็พอให้เขาสบายใจไปแล้ว
ทีนี้ในการไปคราวนี้ก็ได้ไปเยี่ยม เวลาจะหมดแล้วขอต่ออีกนิดหน่อย ได้ไปเยี่ยมสถานที่แห่งหนึ่ง คำฝรั่งเขาเรียกว่า....children village (56.37) นี่ ชื่อฝรั่ง เรียกว่าสถานที่สงเคราะห์เด็ก นี่ที่บ้านนี้ เด็กไทยไปอยู่ที่นั่นยี่สิบหกคน ไปอยู่ในบ้านนี้ เขาช่วยทุกอย่าง ผ้านุ่ง ผ้าห่ม อาหารการกิน การเล่าเรียน ให้เรียนถึงปริญญาตรีถึงจะให้กลับบ้าน แล้วหมอสัมพันธ์ ณ ถลาง นี่แกเป็นผู้จัดอยู่เมืองไทย เวลาแกส่งเด็ก แกก็พามาที่วัดทุกทีมาลาอาตมา เห็นอาตมาเป็นคนสำคัญไปได้ เอาเด็กมาลาอยู่เรื่อย แล้วก็ไป
วันนั้นก็มีเด็กไปสี่คน วันอาตมาไป อาตมาไปสององค์กับพระแล้วก็มีเด็กสี่คนไปด้วย เขาก็มารับไป แล้วก็เลยควรไปเยี่ยมเด็กเหล่านี้เพราะว่าเคยไปวัดด้วย ก็ขับรถจากซัสเซกซ์เวสต์ไปอีสเรียกว่าจากตะวันตกไปตะวันออก ขับกันสามชั่วโมง คุณชะลอ ขับไป ไป ผ่านเมืองไบรตันเมืองตากอากาศ แล้วก็ไปชายทะเลไปเรื่อยไป มีพระฝรั่งชาวอังกฤษ ชื่ออาทิต...(57:46)เป็นผู้นำทางคอยบอกเลี้ยวนั้นเลี้ยวนี้ ไปตามถนนนั้น อะไรต่ออะไร ไปถึงทันเวลาฉันเพล
ไปถึงฉันเพลเสร็จ ก็เรียกเด็กมาประชุมกัน เสร็จแล้วก็ให้โอวาท เตือนให้เขารู้ว่าพวกเธอนะมีบุญ มาอังกฤษโดยไม่ต้องลำบาก ฉันกว่าจะได้มาอังกฤษก็แก่แล้วถึงได้มาได้ ไม่ได้มาเมื่อเด็ก คือมาตั้งแต่น้อยๆได้มาเล่ามาเรียน เขาให้ทุกอย่างเพราะฉะนั้นให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อย่าเหลวใหล ให้เอาความรู้กลับไปบ้านให้ได้ สอนเขา บางคนเวลานี้ก็อยู่ในขั้นมหาวิทยาลัยแล้ว ไปอยู่ตั้งแต่เจ็ดปีแล้ว รุ่นแรกนะ ในนั้นมีบริเวณบ้านไทย บ้านอินเดีย บ้านเนปาล บ้านอาหรับ แต่ว่าบ้านชาติอื่นไม่มีเด็กผู้หญิงนะ เขาไม่ส่งเด็กผู้หญิงพวกนั้นมันกักเด็กผู้หญิง เด็กไทยเรามีทั้งหญิงทั้งชาย
แล้ววันนั้นก็พอดีพบผู้อำนวยการสถาบันนี้ เป็นฝรั่งแกก็มาดีอกดีใจ บอกว่าเด็กที่มาอยู่นี่อาหารการกิน เครื่องนุ่งห่มนี่ไม่ลำบากหรอก แต่ยังขัดข้องด้วยเรื่องทางวิญญาณ พระมาช่วยสอนบ้างดี เขาไม่ได้ต้องการเอาเด็กไปเป็นคริสเตียน เขาต้องการสงเคราะห์ให้เด็กมีความรู้ความฉลาด แล้วกลับมาอยู่บ้านของตัวต่อไป นี่เป็นเรื่องดี เป็นน้ำใจของฝรั่งที่เขาทำ สถาบันนี้ก็ไม่ใช่เล็กๆน้อยๆ ผู้ที่เป็นหัวหน้านี่เป็น ดุก ออฟ …… (59.27) เลย เป็นประธานกรรมการ แล้วก็มีกรรมการหาทุน ไปรวมจากคนมีสตางค์เหลือกินเหลือใช้ เอามาให้เด็ก สามปีให้เด็กมาเยี่ยมบ้านทีหนึ่งแล้วกลับไปเรียนต่อ เรียนจนไปปริญญาตรี ส่งกลับบ้าน อันนี้เป็นเรื่องดีอาตมาก็ไปเยี่ยม ไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจแก่เด็กเหล่านั้น
นี่เป็นเรื่องที่เอามาเล่าให้ญาติโยมฟัง เป็นเรื่องการเดินทางว่าได้ไปทำอะไรเป็นประโยชน์อะไรบ้าง ก็สมควรแก่เวลา พอดีแล้ว ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยม นั่งสงบใจ ๕ นาที