แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการมาฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้อากาศแจ่มใส ท้องฟ้าโปร่ง พวกเราสบายใจ เพราะไม่ต้องกลัวว่าฝนจะตก ฝนก็ตกเป็นเวร่ำเวลาดี ตกกลางคืนคนมันนอนกัน กลางวันก็ทำงาน ไม่ควรจะตก โดยเฉพาะวันอาทิตย์ ตกที่อื่นไม่ว่า วัดชลประทานอย่ามาตกเป็นอันขาด เพราะญาติโยมจะมาทำบุญกัน อย่ามาขัดคอกัน วันนี้แจ่มใส เมื่อวานวันศุกร์ไปปักษ์ใต้ ก็ไปเทศน์กลางคืน ฝนมันตั้งเค้ามา ทำท่าจะตก ก็บอกว่าอย่าตกก่อน ค่อยตกเวลาเขาฉายหนัง เวลาพระเทศน์อย่าตกแล้วก็ไม่ตกเหมือนกัน เรียบร้อย เมื่อวานก็ไปเทศน์ที่สงขลา พอจะขึ้นเทศน์มันก็ตกเค้าขึ้นมาเหมือนกัน เลยบอกว่า ขอให้ไปตกในทะเลดีกว่า บนบกอย่ามาตกเลย คนเขาจะฟังธรรมกัน ก็ไม่ตกเหมือนกัน เรียกว่าเรียบร้อย เป็นปกติดี
ไปที่พัทลุงได้ฟังเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องบวชลูก แม่จะบวชลูกชาย แม่บอกว่า บวชอย่าทำอะไรเลยลูกเอ้ย อย่าเลี้ยงเหล้าเลี้ยงอะไรกันนะ บวชให้มันสบายได้บุญล้วนๆ พอถึงพรุ่งนี้จะบวช คืนนี้ เพื่อนมากันใหญ่ ลูกชายก็งัดเหล้าออกมาเลี้ยงเพื่อน เลี้ยงกันแล้วมันเมาเอะอะ คุณแม่เสียใจมาก ห้ามลูกไม่รู้เรื่อง เลยกินยาปราบแมลง เรียบร้อย เรียกว่าตายไป อันนี้ลูกมันทรพี เขาเรียกว่าลูกทรพี คือไม่รู้จักกตัญญูกตเวทีต่อแม่บังเกิดเกล้า ไม่เชื่อแม่ ไปรักเพื่อน เพื่อนที่รักก็ไม่ได้ดีเด่อะไร เป็นเพื่อนที่ไม่เข้าเรื่องทั้งนั้น จึงเกิดเป็นปัญหาน่าคิด
อีกเรื่องเขาก็บวชนาคเหมือนกัน เลี้ยงเหล้าอะไรกันพอสมควรที่บ้าน มาที่วัดไม่เลี้ยง แต่มีญาติของนาคคนหนึ่งมาจากอำเภอหัวไทร มาที่พัทลุงเขาเรียกว่าลำปำ อยู่ใกล้ทะเลสาบ พวกเด็กสาวๆ มันมากัน ๙ คน ๑๐ คน ไอ้หนุ่มคะนองแถวนั้นก็เมา ก็ไปแซวสาว เวลาบวชสาวมันก็ทนได้ มันก็นั่งเฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ บวชนาคเสร็จแล้วจะกลับบ้าน มันก็เดินมา น้องจะกลับแล้วเหรอ ไม่ลองดูพี่บ้างเหรอ ไปเรือไหนพี่จะพลอยไปด้วย เมาไม่ได้เรื่อง ก็มาถึงที่ต้นโพธิ์ ไม้ที่เขาแห่นาค เขาหามนาคต้องมีไม้ยาวขนาดนี้ เรียกว่าสองคนหัวท้ายหามกันไป เขาเอาไปทิ้งที่โคนต้นโพธิ์หลายอัน กองอยู่ พอมาถึงตรงนั้น เด็กสาวๆ ใจมันเหี้ยมหาญดี น่าชมเชยอยู่เหมือนกัน มันมาถึงหยิบไม้คนละอัน คนละอัน แล้วมันยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ผู้ชายที่มาด้วย เด็กสาวๆ บอกว่า ผู้ชายถอยไปข้างหลัง มันหน้าที่ของฉันที่จะจัดการกับพวกนี้ แล้วมันก็ยืนขยับไม้ แล้วบอกว่า ผู้ชายคนไหนเก่งออกมาสิ ไอ้ผู้ชายคนหนึ่งมันอยากจะอวดความเก่ง เลยออกไปก่อนเพื่อน พอออกไปพอได้ระยะ โพล่งเข้าตรงนี้เลย ตีแสกหน้า โพล่งเข้าแสกหน้า หมัดตรงกับปากครึ่งจมูกครึ่ง ลูกเข่ายันเข้าหว่างเขา ของดีตึงลงไปตรงนั้นเลย มันดีแท้ๆ สาวหัวไทรนี่มันดีแท้ ไอ้บ่าวที่เหลือก็พุ่งเข้าไป พวกนั้นมันตีไอ้บ่าวที่เหลือ ต้องส่งโรงพยาบาล ๗ คน พวกสาวๆ ไม่เป็นอะไร เรียบร้อย วิญญาณคุณหญิงโมมาเกิดไอ้พวกนั้นน่ะ มันต่อสู้ ไอ้อย่างนี้มันก็ใช้ได้ ผู้หญิงเรามันต้องปราบผู้ชายเกเรแบบนั้น เอาให้เจ็บเลย เข้ามาถึงตีแสกหน้า ชกเข้าปากครึ่งจมูกครึ่ง ยกลูกเข่าเข้าหว่างขา หล่นเพียบลงไปเลย มาฟังเจ้าคุณเล่าแล้ว แหม ถ้าอยู่ใกล้ๆ อยากจะให้รางวัลหน่อย แต่นี่อยู่ไกล
ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่อะไรมันเมา ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยเจอของดี ตำรวจก็ไปสอบสวนเรื่อง ไอ้พวกผู้ชายที่ไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เอาเรื่องไหม เท่านี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาอีก ไม่ต้องเอาเรื่องอีก เท่านี้ก็พอแล้ว สมน้ำหน้า เขาเรียกว่าไม่รู้จักฝีมือ มันก็เกิดเรื่องอย่างนี้ นี่เอามาเล่าแล้วก็น่าขำ มันเป็นอย่างนั้น อันนี้เขาเรียกว่าฝืนกฎของคณะสงฆ์ เพราะคณะสงฆ์ที่จังหวัดพัทลุงเขาตั้งระเบียบไว้ ไม่ให้เลี้ยงเหล้ากันในงาน นี่มันเลี้ยงกันก็เกิดเรื่อง เมื่อเกิดเรื่องก็ปิดไม่มิด อุปัชฌาย์จะถูกลงโทษ จะลงโทษห้ามบวชปีหนึ่ง ไม่ให้บวชใครปีหนึ่ง เพื่อจะได้กวดขันในเวลาจะบวช เพราะว่าใครจะบวช อุปัชฌาย์ต้องนัดแนะให้เป็นการเรียบร้อย อย่าให้มีเรื่องเสียหาย มีเรื่องเสียหายขึ้น บาปก็ตกอยู่แก่พระอุปัชฌาย์ด้วย แล้วก็ตกอยู่กับไอ้พวกขี้เมาทั้งหลายด้วย อันนี้เป็นเรื่องที่นำมาเล่าให้ญาติโยมฟังไว้ว่าทำบุญสุนทรมันต้องเรียบร้อย ไม่ยุ่งยาก ไม่เกะกะ ไม่ทำให้เสียหาย จึงจะเรียกว่าเป็นบุญแท้ๆ เราควรจะคิดกันในรูปอย่างนั้น
วันนี้ที่นี่ก็จะพูดต่อไปในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักธรรมะ อันเป็นข้อปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราทุกคน เวลาเราสวดมนต์จะมีคำว่า ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของชาวโลก พระพุทธเจ้าไม่ได้มาถ่ายบาป แต่ว่ามาฆ่าบาป ทำลายล้างบาปให้มันหมดไปจากสังคม จากจิตใจคน เพื่อไม่ให้มันเหลือเป็นเชื้ออยู่ในจิตใจของใครต่อไป แต่ว่าผู้ที่จะได้รับผลจากเรื่องนี้ ต้องเป็นผู้ยินยอมปฏิบัติ โดยยินยอมที่จะปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธเจ้า หลักการที่พระองค์สอนไว้ว่าให้ทำอย่างไร ให้ปฏิบัติอย่างไร เราก็ต้องยอมรับ และพยายามที่จะปฏิบัติตามนั้น บาปนั้นก็จะหายไปจากใจของเรา กิเลสทั้งหลายก็จะหายไปจากใจของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น พระองค์ทรงเห็นทุกข์เห็นโทษอันเกิดจากบาป จากอุปกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจคน และก็ทรงเห็นว่าถ้าคนเรามีบาป เพราะอำนาจของกิเลสบังคับให้ทำ คนนั้นก็จะมีความเศร้าเหมองทางจิตใจ คิดก็เศร้าหมอง พูดก็เศร้าหมอง ทำอะไรก็เป็นเรื่องเศร้าหมอง ตกอยู่ในอำนาจของบาป ชีวิตก็จะเป็นทุกข์ มีความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ คนเราไม่ค่อยมอง ไม่ค่อยคิด จึงไม่เห็นทุกข์เห็นโทษจากการกระทำสิ่งที่เป็นบาป เป็นอกุศล มุ่งเอาแต่เรื่องความสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยไม่ได้คิดว่าหลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ในครอบครัว ในการงาน ตลอดจนถึงส่วนรวมคือประเทศชาติ ไม่มีใครคำนึงถึงเรื่องอย่างนี้ ถ้าคิดเสียบ้าง นึกเทียบเคียงระหว่างการงดเว้นกับการกระทำเสียบ้าง ก็จะเห็นความแตกต่างกันว่า ผลมันต่างกันอย่างไร ถ้าเรางดเว้นแล้วผลจะเป็นอย่างไร ถ้าเราทำผลจะเป็นอย่างไร เราจะได้เห็นชัดด้วยตัวของเรานี้ เมื่อเรารู้เห็นชัดในสิ่งนั้น เราก็ตัดสินใจว่าไม่ทำสิ่งนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่าเรายอมรับหลักการของพระพุทธเจ้าที่พระองค์เสนอให้แก่เราทั้งหลาย
พระพุทธเจ้าไม่ทรงบังคับใครให้ทำตามคำสอนของพระองค์ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ชอบการบังคับ หากพระองค์ให้เสรีภาพแก่การคิดนึกของคน สุดแล้วแต่ว่าเต็มใจทำหรือไม่เต็มใจ แต่พระองค์ชี้แนะ ชักชวน นอบน้อมจิตใจคนฟังให้เลื่อมใสศรัทธา ให้ยินดีในการปฏิบัติ ไม่ใช้ถ้อยคำในเชิงบังคับว่าเจ้าจงทำอย่างนั้นเจ้าจงทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่มีคำขู่เข็ญว่าถ้าไม่ทำแล้วจะตกนรกหมกไหม้ เราไม่บอกอย่างนั้น เพราะการกระทำอันใด ผลมันเกิดขึ้นแก่ผู้กระทำเอง เช่น เราขืนทำชั่ว ผลที่ได้รับก็ตกอยู่แก่ผู้นั้น ถ้าเราทำดี ผลมันก็ได้แก่ตัวผู้กระทำ ตัวผู้กระทำเป็นผู้รับผลของการกระทำอยู่แล้ว ใครประพฤติอย่างใด สะสมสิ่งใดในชีวิต ก็ผลมันปรากฏอยู่ในตัวของบุคคลนั้นแล้ว เช่น คนประพฤติแต่เรื่องต่ำทราม ชอบดื่ม ชอบเที่ยว ชอบสนุก เพลิดเพลิน ใช้เงินเปลือง เมื่อใช้เงินเปลืองมันก็ไม่พอใช้ ไม่พอกิน เป็นหนี้เป็นสิน เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อน อันนี้มันเป็นบาปอยู่ในตัวแล้ว เป็นสิ่งที่เห็นอยู่ในตัวแล้ว แต่ว่าคนนั้นไม่เห็น เหมือนคนตาบอดไม่เห็นสี ไม่รู้ว่าสีมันเป็นอย่างไร แล้วเราจะอธิบายว่าสีมันเป็นอย่างนั้น ไม่สามารถจะอธิบายได้ ไม่สามารถจะอธิบายสีขาว สีแดง สีเหลืองให้คนตาบอดฟัง เพราะไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาไม่เห็นด้วยตัวเขาเอง มันลำบาก แล้วเรื่องบาปบุญคุณโทษที่เกิดขึ้นในใจคนนี้ก็เหมือนกัน พระองค์ไม่ต้องบังคับให้ทำ แปลว่าผู้ใดทำ ผู้นั้นก็เห็นด้วยตนเอง ในธรรมคุณที่เราสวดว่า สันทิฎ ฐิโก อันผู้ศึกษา ผู้ปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง อันนี้สำคัญมาก แปลว่าใครศึกษา ใครปฏิบัติ ย่อมเห็นชัดในสิ่งนั้นด้วยตัวเขาเอง รู้เอง เห็นเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก พระองค์เป็นแต่เพียงบอกทางให้ บอกทางให้ ใครเดินก็รู้เอง ใครเดินก็เห็นเอง ขอให้เดินไปเท่านั้นแหละ ถ้าไม่เดินก็เห็นเหมือนกัน เห็นว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นแก่เรา เราไม่ปฏิบัติธรรมะ เราไม่เชื่อพระไม่ฟังเสียงพระ แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต อะไรจะเกิดขึ้นในครอบครัว อะไรจะเกิดขึ้นในการงานที่เราประกอบ ตลอดจนถึงส่วนรวมคือประเทศชาติ มันเกิดอยู่ตลอดเวลา เราไม่ทำมันก็เกิดผลในทางลบ ถ้าเราทำในฝ่ายดี ก็เกิดผลขึ้นในทางบวกแก่ตัวของเรา คนนั้นแหละเป็นผู้รู้เห็นประจักษ์แก่ใจ เพราะฉะนั้นวิธีการของพระผู้มีพระภาคเจ้าคือไม่บังคับให้ใครกระทำอะไร เพราะว่าการกระทำนั้นมันบ่งอยู่ในตัวแล้ว มันแสดงผลอยู่ในตัวแล้วว่าเป็นอย่างไร ใครคิดชั่ว ใจมันก็เศร้าหมองอยู่ในตัว พูดชั่ว ทำชั่วก็ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนใจอยู่ในตัว มันได้อยู่แล้ว จึงไม่ต้องบังคับว่าไม่ทำจะตกนรก มันตกอยู่แล้ว มันเป็นอยู่แล้ว จากการกระทำนั้นๆ
เมื่อเช้านี้ เสียงพระตันเจตจิตยุทธ (15.28) เรื่องศีล ๕ บอกว่าถ้าล่วงศีลข้อนั้นจะเกิดเป็นนั้นจะเกิดเป็นนี้ ท่านพูดไม่ค่อยชัดเมื่อเช้า ไปเกิดนี้หมายความว่าตายแล้วจึงจะไปเกิดกัน ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ไม่ใช่ตายแล้วจะต้องไปเกิด มันเกิดเป็นในขณะนั้นทันที เช่น เราไปฆ่าสัตว์ เราก็เป็นผู้มีใจเหี้ยมโหดดุร้าย เรากลายสภาพไม่ใช่มนุษย์ แต่ว่าเป็นยักษ์เป็นมาร เป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นมาทันทีในใจของเรา พอเราคิดจะไปฆ่ามันเริ่มสมัครเป็นสัตว์เดรัจฉาน พอเราลงมือฆ่าสำเร็จลงไป หรือขณะทำอยู่ ใจของเรามันก็เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่แล้ว มันโง่อยู่แล้ว แล้วกระทำสิ่งนั้นลงไปด้วยความโง่ความเขลา เราก็กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานไป เราไปลักสิ่งของของคนอื่น เราก็มีผลปรากฏทางจิตใจของเรา คือเรามันมีความยากจนข้นแค้นอยู่ตลอดเวลา คนเป็นขโมยไม่มีความร่ำรวยกับใครๆ ไม่เคยร่ำรวย จะยากจนอยู่ตลอดเวลา เคยไปในคุกบางขวางแล้วก็ถามผู้ต้องขัง บอกว่าเราเป็นอะไรมามากนักจึงตัดสินจำคุกมานานเหลือเกิน ตลอดชีวิตเลย เขาก็บอกว่าผมนี่มันเสือเลิศ หลวงพ่อไม่ได้ยินชื่อบ้างเหรอ ว่าเสือเลิศ แถวปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา แถวนั้นชื่อผมมันดัง ผมเป็นเสือใหญ่ แล้วก็ทำไมเป็นเสือล่ะ ไม่เป็นมนุษย์กับเขาล่ะ บอกว่า ไอ้ที่เป็นเสือเพราะไปเป็นทหาร ไปเป็นทหารมันน่าจะดี เพราะว่าทหารเขาอบรมบ่มนิสัยให้รักชาติ รักประเทศ ให้รักพระศาสนา แกว่าไอ้ที่ดีมันก็มีนะหลวงพ่อ แต่ที่ไม่ดีมันก็มีเหมือนกัน เป็นทหารนี่ทำชั่วง่าย เป็นตำรวจนี่ก็ทำชั่วง่าย เพราะอะไร เพราะว่ามีเกราะป้องกันไว้ ไปทำเสร็จแล้ว กลับมานอนในค่าย ทำกรนฟี้ๆ ตื่นเช้า เขามีเรื่องกัน เรามันอยู่ในค่ายแล้วมันปลอดภัย ไม่มีใครมาตามจับเราหรอก แต่ถ้าว่าเขาสงสัย เขามีหลักฐานจะจับกุม พยานมันเยอะ พยานมันทั้งค่าย เรียกว่าเรือนนอน ๑ มันนอนกันตั้งกองร้อย พยานมีตั้งกองร้อยที่จะไปเบิกความว่าคนนี้มันนอนอยู่ในกองร้อย มันไม่ได้ไปไหน มันนอนหัวค่ำ หัวรุ่งมันก็ยังนอนอยู่ มันอยู่หัวรุ่งมันนอน แต่ระหว่างหัวรุ่งกับหัวค่ำมันหายไป มันไปปล้นเขาแล้วมันแอบมานอนต่อไป ศาลเขาก็เชื่อว่ามันนอนตั้งแต่หัวค่ำจนหัวรุ่ง แต่ไอ้ตอนลุกขึ้นเขาไม่พูดถึง ไอ้พยานมันก็ไม่ได้โกหกอะไร เพราะว่ามันเห็นนอนหัวค่ำ แล้วมันเห็นนอนอยู่หัวรุ่ง แต่ระหว่างรุ่งกับค่ำมันไปไหน พยานหลับเหมือนกันเลยไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เอาตัวรอดปลอดภัย ไม่มีเรื่องอะไร ก็ค่อยไปปล้นมากเข้า ฆ่าเขาบ้าง มันก็ค่อยดังขึ้น จนต้องหนีออกจากความเป็นทหาร เพราะเมื่อไปลักไปขโมย ไอ้ความเป็นทหารมันก็หายไปแล้ว มันไม่มีอยู่ในใจแล้ว
แม้สวมเครื่องแบบก็ไม่เป็นทหาร ถ้าจิตใจไม่ได้เป็น ไปลักไปขโมยเขา ผลที่สุดตำรวจก็จับได้ ทำไมจับได้ เรามันเก่งนี่นา ก็ความเก่งน่ะสิครับ ตำรวจถึงจะจับได้ ทำอย่างไรล่ะ เพื่อนมันถูกจับ ผมเลยอวดเก่งไปเยี่ยมเพื่อนถึงโรงพักเลย ตำรวจก็ว่า เออ มาดีแล้ว จะได้เข้ากรงอยู่กับเพื่อน เขาเอาจับใส่กรงไว้ เลยติดคุกกันมาอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ ก็เลยถามว่าไอ้เราไปเที่ยวปล้นๆ นี่ได้เงินสักเท่าไร บางครั้งก็ได้ไม่มาก พันสองพัน แต่บางครั้งได้ตั้ง ๕-๖ หมื่น เออ ได้มากเอาเงินนี้ไปซื้อสวนทุเรียนแถวปราจีนไว้บ้างไหม ซื้อสวนเงาะไว้บ้างไหม ไปซื้อนาไว้บ้างไหม ไปทำอะไรที่เรียกว่าเป็นหลักเป็นฐานเพราะเงินที่ไปปล้นเขามาบ้างไหม เขาบอกว่าหลวงพ่อเอ้ย ใจมันไม่มีจะนึกอย่างนั้นหรอก เงินมันบาป ของบาปเอามาถึงก็เอาไปกินเหล้ากัน เที่ยวเตร่ สนุกสนานเฮฮาในทางกามารมณ์ ไม่เท่าไรเงินหมด หมดแล้วต้องไปปล้นต่อไป แล้วจนกระทั่งเขาจับได้เอามาขังคุกไว้นี่ เข้าคุกแล้วรู้สึกอย่างไร เวลานี้ผมเรียนนักธรรมแล้ว เข้าคุกนี่เขาสอนให้เรียนนักธรรม มีสอบทุกปีในคุก สอบกันปีหนึ่งหลาย …... (20.58) ในบางขวางนี่ส่งข้อสอบกันไปสอบในคุกเลย พระก็ไปดูแลในการสอบ ผมนี่เรียนนักธรรมชั้นโทแล้วเวลานี้ แล้วทีนี้เขาย้ายไปอยู่เรือนจำเปิดห้วยโป่ง นี่มาอยู่นี่ก็จะเรียนสอบนักธรรมเอกต่อไป มาอยู่ห้วยโป่งนี่น่าจะหนีไปไหนก็ได้ น่าจะแอบไปปล้นใครบ้าง เพราะว่าไปกลางวันไม่มีใครรู้ ไม่มีแล้ว ผมไม่ปล้นใครแล้ว ผมไม่ลักของใครต่อไปแล้ว ไม่ฆ่าใครต่อไปแล้ว เพราะว่าผมรู้แล้วว่าบาปมันเป็นของผม ผมจะเป็นทุกข์ตลอดไปถ้ายังทำชั่วอยู่ เวลานี้ผมเห็นทุกข์เห็นโทษของการทำชั่ว แล้วที่มันร้ายที่สุดที่ผมเห็นทุกข์อันหนึ่งก็คือว่า คุณพ่อผมเป็นหัวหน้าอุบาสกในวัดที่บ้านใกล้ นำคนสวดมนต์ไหว้พระ ประพฤติดีประพฤติชอบ พอรู้ว่าลูกชายเป็นเสือ คุณพ่อตรอมใจตายเลย เท่ากับผมฆ่าพ่อของผมแท้ๆ ผมนึกถึงเรื่องนี้แล้วผมสลดใจมาก เพราะฉะนั้นผมทำชั่วไม่ลงต่อไปนี้ เพราะว่านึกถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เออ อย่างนี้มันก็ยังพอใช้ได้ คนอย่างนี้ใช้ได้ เรียกว่าพอนึกถึงพ่อแม่เลิกทำชั่ว หรือไม่คิดจะทำชั่วต่อไป ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้เหมือนกัน บอกว่าเมื่อใดเราระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ จงกระทำความดีทันที นึกถึงจงทำดีทันที เพราะฉะนั้นเมื่อแกนึกถึงพ่อที่ตายเพราะความชั่ว แกก็สลดใจ เศร้าใจ เสียใจมาก แล้วบอกว่าอันนี้แหละมันสะเทือนใจผมเหลือเกิน ทีหลังก็ออกไปอยู่บ้าน วันหนึ่งก็ไปแถวอำเภอนั้นแหละ อำเภอประจันตคาม แถวปราจีนบุรี ไปถึงในวัดเขาก็มากราบ เรียบร้อย ถามว่าหลวงพ่อจำผมได้ไหม เดี๋ยวนั่งนึกดูก่อน มันนานๆ ภาพมันเลือนๆ ต้องนั่งนึกสักหน่อย ที่ห้วยโป่งไงหลวงพ่อ อ้อ คนนี้ ออกมาอยู่บ้านแล้ว มันสมชื่อหรือยังล่ะเรา เรามันชื่อเลิศ แปลว่าดีว่างาม ดีเลิศ ผมเรียบร้อยเวลานี้ เข้าวัดเข้าวา ทำหน้าที่แทนพ่อ เป็นอุบาสกนำคนสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เมามาย ไม่เล่นการพนัน ไม่ประพฤติเหลวไหลเลย อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นไปเองตามธรรมชาติ จิตใจมันนึกได้ นึกได้ว่าเราชั่ว ไม่ดี แล้วเราจะไม่ทำสิ่งนั้นต่อไป อันนี้เขาเรียกว่า ปัจจัตตัง แปลว่าเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตัว มันเกิดขึ้นในใจ เกิดเองนี่ดีกว่าคนอื่นสอน คนโบราณเขาพูดว่า นายเกิดนี่มันดีกว่านายสอน นายสอนนี่ต้องสอนกัน ต้องย้ำกันไม่รู้จักจบจักจำ ไม่รู้จักทำกันสักที ไม่ดี สู้นายเกิดไม่ได้ นายเกิดมันเกิดความคิดขึ้นในใจ ถ้ามีสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจ เพราะเหตุการณ์ เพราะเรื่องอดีตที่ผ่านมา แล้วมานั่งตรึกตรองทบทวน มองดูประวัติศาสตร์ของตัวเอง แล้วมันเกิดความคิดแจ่มจ้าขึ้นในใจว่า แหม มันเต็มไปด้วยความมืด เต็มไปด้วยความดุร้าย ภาพคนถือดาบ ถือปืน ไปเที่ยวเข่นฆ่าคนอย่างนั้นอย่างนี้ เรียกว่าฉายหนังเก่าดู ดูแล้วก็สลดใจ สลดใจก็เกิดความกลัวขึ้นมาในใจ ก็เลยคิดว่าเลิกกันทีไอ้เรื่องชั่วเรื่องร้าย ก็เลยตัดสินใจเลิก อย่างนี้เขาเรียกว่า ออกจากมืดมาสู่ที่สว่าง หรือเหมือนกับดวงจันทร์ที่พ้นจากเมฆบังบดออกมาส่องแสงให้ชาวโลกได้สบายใจ ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตคนเรามันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคท่านจึงสะกิดบอก บอกให้รู้ ให้เพ่งด้วยตัวเอง ให้มองด้วยตัวเอง ให้พิจารณา ศึกษาตัวของตัวเองว่าเราคือใคร เราประพฤติอย่างไร เราทำอะไร เราคิดอะไร การงานเป็นอย่างไร การเงินเป็นอย่างไร ความเป็นอยู่เป็นอย่างไร เราคิด เราค้น คิดค้นไปมันก็มองเห็น มองเห็นก็รู้สึกตัวว่าไม่ไหว ไอ้ที่ผ่านมามันเละเทะ มีแต่ภาพสกปรก มืดมัว เร่าร้อน ไอ้ส่วนที่เหลือต่อไปนี้จะให้มันสดใส รุ่งเรืองเสียหน่อย แล้วก็เลยเปลี่ยนชีวิตเข้าหาความงามความดีต่อไป
มีคนไม่ใช่น้อยที่พระองค์สะกิดด้วยถ้อยคำสั้นๆ เกิดกินใจ นึกกลับจิตกลับใจเข้าหาสิ่งถูกต้องทันที เพราะว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำ เลยกลับมาได้ เป็นคนดีคนเรียบร้อย อยู่ในศีลในธรรม หรือว่าดีอยู่แล้ว เรียบร้อยอยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติที่สูงขึ้นไปกว่านั้น เมื่อมีใครมาพูด ประทับใจเข้า มันฟูขึ้นมา ถ้าเหล็กดีๆ หินดี เอามาตีทีเดียว มันก็ลุกเป็นไฟ ติดทันที เรียบร้อย สว่างโพลง เดินไปตามแสงสว่างนั้น ไม่ลดละ ติดตามต่อไป ก็ไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้ พระพุทธเจ้าของเราทรงมีลักษณะ คุณสมบัติในการที่จะสะกิดใจคน ให้เกิดความสำนึกรู้สึกตัว ให้เห็นผิดเป็นชอบ ให้เห็นชั่วเป็นชั่ว ดีเป็นดี ทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข เข้าใจถูกต้อง แล้วมันก็ดีขึ้น พระเจ้าปเสนทิโกศล พระมเหสีที่พระองค์รักถึงสวรรคต เศร้าโศกเสียพระทัยมาก ไม่เป็นอันทำอะไร ไม่ออกสั่งงานสั่งการ อยู่แต่ในห้อง เศร้าใจ ระทมใจ พระองค์ก็เสด็จไปหา แต่ไม่ขึ้นบนตำหนัก โน่น...ไปอยู่ที่โรงรถ โรงรถสมัยก่อนไม่ใช่โรงรถเหมือนสมัยนี้เขาเก็บรถสวยๆ แต่โรงรถสมัยก่อนมันใกล้พิพิธภัณฑ์ เพราะรถสมัยก่อนมันเป็นรถทำด้วยไม้แกะสลักสวยงาม เทียมด้วยม้าคู่หรือม้าเดี่ยว พระราชาประทับนั่ง สารถีก็ขับไป รถเหล่านั้นมันเก่าก็เก็บไว้ พระองค์ก็ไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่ที่นั่นเพื่ออะไร เพื่อหาแบบสาธิตชีวิตให้แก่ พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงกระทำเช่นนั้นเพราะมีจุดหมาย มหาดเล็กก็ไปกราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมา พระราชาก็ถามว่า เวลานี้อยู่ที่ไหน บอกว่าอยู่ในโรงรถ ทำไมไปอยู่ในโรงรถ ที่เก็บรถไม่สมกับพระเกียรติของพระผู้มีพระภาค ไม่ได้ เราจะต้องไปหา อัญเชิญพระองค์ขึ้นมาบนตำหนัก แล้วก็ไปเฝ้า พอไปเฝ้าบอกว่าขออัญเชิญพระผู้มีพระภาคไปประทับบนตำหนัก ท่านก็บอกว่าที่นี่ก็สบายดีแล้ว ได้ดูรถทั้งหลายเหล่านี้ด้วยว่ามันมากมายหลายคัน ก็เลยชวนพระเจ้าปเสนทิโกศลดูด้วยกัน ดูแล้วก็ถามว่ารถคันนี้สร้างสมัยไหน โอย คันนี้เก่าแก่มาก สร้างตั้งแต่สมัยพระเจ้าปู่ แล้วก็เป็นรถเก่า คันต่อมา สมัยเสด็จพ่อ อะไรก็ว่ากันไปโดยลำดับ แล้วก็ซักถามเรื่องรถ ไอ้รถนี่มันอยู่ตรงไหน ชี้ให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายมันปรุงแต่ง ไม่มีเนื้อแท้ ชี้ไปที่ล้อ อันนี้เรียกว่าล้อ ไอ้โน่นเรียกว่าตัวถัง ไอ้นี่เรียกกรรม อันนี้เรียกกง เรียกอะไรต่ออะไรไป แยกเป็นส่วนๆ แล้ว แล้วคำว่ารถมันอยู่ตรงไหน
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ว่า รถมันก็รวมสิ่งเหล่านี้เข้า จึงเป็นรถขึ้นมา ถ้าถอดสิ่งเหล่านี้ออกหมด รถจะมีหรือไม่ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็บอกว่า รถมันก็ไม่มี เพราะคำว่ารถ เกิดจากการผสมของส่วนต่างๆ ที่เอามาคลุมกันเข้า ถ้าถอดออกหมด รถก็ไม่มี รถจริงๆ มันก็ไม่มี มันมีแต่เรื่องสมมติเท่านั้น ร่างกายคนเรานี่ก็เป็นอย่างไร ถามให้ตอบเป็นเรื่องๆ ไป เพื่อให้เกิดปัญญา ก็ถามไปตอบไป ถามไปตอบไป พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เข้าใจด้วยว่าสิ่งทั้งหลายมันล้วนแต่เป็นของผสม ไม่มีเนื้อแท้ การผสมนั้นมันคงตัวอยู่ได้ เมื่อส่วนผสมพร้อมเพรียง ถ้าส่วนผสมขาดตกบกพร่อง มันก็ไปไม่ได้ รถที่เราใช้ มันก็มีไฟ และก็มีน้ำมัน ถ้าว่าไฟไม่ดี แบตเตอรี่ไม่ดี สตาร์ตไม่ติด น้ำมันมันมี แต่มันล้นไป เขาเรียกว่ามันท่วม พอท่วมมันก็สตาร์ตไม่ติดเหมือนกัน มันขาดส่วนผสม เพราะฉะนั้นเลยขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถวิ่งไปไหนมาไหนได้ พอมันวิ่งไม่ได้เราพูดว่าอย่างไร เราพูดว่ารถตาย รถตาย วิ่งๆ ไปมันหยุดปุ๊บ เพื่อนถามเป็นไง รถมันตาย มันตายเพราะอะไร เพราะส่วนประกอบมันไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ มันก็ตายไป คนเรานี่ก็เหมือนกัน เมื่อส่วนประกอบมันขาดตกบกพร่อง มันก็ต้องตาย ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนต้องเป็นอย่างนั้น พระเจ้าปู่ตายไปแล้ว พระเจ้าย่าตายไปแล้ว เจ้าพ่อเจ้าแม่ตายไปแล้ว แล้วก็พระองค์ก็จะเป็นเหมือนกัน จะต้องถึงเข้าสักวันหนึ่ง เมื่อพูดไปพูดมามันโพล่งขึ้นในใจของพระเจ้าปเสนทิโกศลว่าอ๋อ...ไอ้ความตายนี่เป็นเรื่องธรรมดา เลยไม่คิดเรื่องพระนางมัลลิกาถึงแก่สวรรคต ก็เลยคลายไปจากความคิด ความเดือดร้อนใจ พระผู้มีพระภาคไปแนะวิธีให้ ให้คิดเอาเอง ให้นึกเอาเอง แล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งด้วยพระองค์เอง นี่แหละคือวิธีการของพระพุทธเจ้า
วิธีการของพระพุทธเจ้าคือ ชี้แนะชัดเจน โน้มน้าวจิตใจให้เกิดปัญญา ไม่มีการบังคับให้ทำ ไม่มีการบังคับให้เชื่อ เพราะถ้าบังคับ ปัญญามันจะไม่เกิด ยอมรับเสียแล้ว ไม่ยอมรับก็กลัว มันก็ไม่เกิดปัญญา ไม่เกิดความคิดความอ่าน อันนี้ให้ญาติโยมจำไว้เป็นหลักว่า พุทธศาสนาของเรานั้นเป็นศาสนาแห่งปัญญา วิธีการของพระพุทธเจ้าคือวิธีการเพาะให้เกิดปัญญา ให้รู้จักคิด รู้จักอ่าน รู้จักค้นคว้าในสิ่งทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในเรื่องนั้น เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดแสงสว่างขึ้นในใจของบุคคลผู้นั้น จึงไม่มีการบังคับให้เชื่อ ไม่มีคำพูดว่า ถ้าไม่เชื่อจะตกนรก ไม่ว่าอย่างนั้น แต่ว่าจะตกนรกก็ต่อเมื่อผู้นั้นไปทำเข้า เกิดร้อนอกร้อนใจ ร้อนอกร้อนใจก็เรียกว่ามันตกนรกอยู่แล้ว เพราะความร้อนอกร้อนใจนั่นแหละ ความร้อนอกร้อนใจคือนรกแห่งโลกปัจจุบันนี้ หรือว่านรกตามภาษาธรรมะ ไอ้นรกใต้ดินที่เขาแบ่งเป็นขุมๆ เหมือนรางหมากขุมนั้นมันเป็นนรกภาษาคนธรรมดา นรกภาษาธรรมะคือความร้อนอกร้อนใจที่เกิดขึ้นเพราะความโง่ ความโง่เกิดจากเดรัจฉาน แล้วเราก็ทำไปก็ร้อนอกร้อนใจ ความไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ก็เกิดเป็นเปรตขึ้นมา ดื่มเหล้านี่ไม่รู้จักอิ่ม ดื่มเอาๆ ดื่มใหญ่ พวกดื่มเบียร์นี่ก็ไม่รู้จักอิ่ม มันเป็นเปรตขึ้นในขณะดื่มนั่นเอง
เคยพบคนโดยสารรถไฟคนหนึ่งในรถไฟไปใต้ จะไปลงสุราษฎร์ พอรถออกจากบางกอกน้อย สมัยนั้นไม่มีรถด่วน เพราะเป็นสมัยสงคราม แกก็เปิดเบียร์ดื่มเหล้า อาตมานั่งมุมนั้น แกนั่งตรงนี้หันหน้าไปทางนั้น นั่งชำเลืองดูแกดื่ม พอเบียร์หมดเรียกดื่มๆ กว่าจะมืดค่ำขวดหลายขวด ตั้งโหลแล้วแกดื่มเข้าไป พอเย็นเข้ามาไม่ดื่มเบียร์แล้ว สั่งแม่โขงมาดื่ม พอสั่งแม่โขงมาก็เรียกคนข้างเคียง แจกให้เพื่อนดื่ม ก็มานั่งล้อมวงกันดื่มกันเมากัน เอะอะโวยวาย อาตมานั่งดูภาพเหล่านั้นแล้วก็รู้สึก เอ...มันอะไรกัน จนกระทั่งรถเสบียงปิด เขาบอกรถเสบียงปิดแล้วครับ หมดเวลาดื่มเวลากิน เขาบอกขออีกหน่อยนะไอ้น้องชาย หมดแล้วครับ ไม่มีขาย ดึกแล้วเวลานี้ ก็ขึ้นไปนอนข้างบน นอนก็ไม่เป็นสุข ซ้อมมวยเรื่อยไป เท้าขวาเตะ เท้าซ้ายเตะ มือก็ชกนั่นชกนี่ เอะอะมะเทิ่ง ไอ้ของที่ใส่เข้าไปก็ล้นออกมาทางปาก ลงมาถูกคนข้างล่าง คนข้างล่างก็มองขึ้นไปข้างบน พูดภาษาที่แกฟังไม่ได้ พูดหยาบว่างั้นเถอะ เช้าถึงสุราษฎร์ คนอื่นลงหมดแล้ว แกก็ยังนอนอยู่ในรถไม่ตื่น นึกในใจว่านักเลงดีคงต้องช่วยยกกระเป๋าแน่ ก็ลองศึกษาดูว่าเป็นใคร ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นข้าราชการ แล้วไปทำงานที่นิคมสร้างตนเอง เป็นหัวหน้านิคมสร้างตนเอง ไอ้หัวหน้ายังไม่รู้จักสร้างตัวเองให้เป็นมนุษย์เลย เมาไม่ได้รู้เรื่องอะไร แล้วจะไปสร้างตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสร้างคนอื่นได้อย่างไร มาทำอย่างนี้ ได้พบแล้วก็พบแล้ว ภาพสัตว์เดรัจฉานมันก็เกิดขึ้นในขณะนั้นคือความโง่ ภาพสัตว์นรก มันก็เกิดขึ้นในขณะนั้น เกิดความร้อนไปหมดทั้งตัว เหงื่อไหลไคลย้อย จิตใจแกมันอาจจะไม่ร้อน มันชินเสียแล้ว เหมือนตัวหนอนในพริกมันไม่ร้อน คนน่ะมันอยู่ไม่ได้ในพริก แต่หนอนในพริกมันไม่ร้อน ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น แล้วก็เป็นเองอยู่ในตัว เพราะสั่งมากินตั้งโหลแล้วยังไม่พอ กินจนกระทั่งเพื่อนเลิกแล้วก็ยังขอตังค์อีก นั่นคือลักษณะเปรต กินไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ เละเทอะไปหมด แล้วอาเจียนรด เพื่อนเขาว่าไอ้ผีไหน กลายเป็นผีไป มันเต็มไปหมดขณะนั้น
ขณะเราทำอะไรก็เกิดเป็นอบายขึ้นในใจของเรา อบายคือสภาพที่ไม่สบายใจ ไม่เป็นสุขใจ ไม่ดี ไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้าในทางสูงส่ง ได้แก่ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ผี อย่างนี้เขาเรียกว่าอบาย อบายภูมิมันก็อยู่ในใจเรานั่นแหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่ที่เขาเขียนเป็นภาพเพื่อให้เห็นง่าย คนก็เลยนึกว่าตายแล้วไปตกนรก ตายแล้วไปเป็นเปรต ตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ความจริงยังไม่ตายมันก็เป็นแล้ว เริ่มเป็นอะไรก่อน เริ่มเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือความโง่ ความโง่คือสัตว์เดรัจฉาน โง่ไปดื่มเหล้า โง่ไปเล่นการพนัน โง่ไปทำอะไรต่ออะไรขึ้นมาแล้วมันก็ร้อนอกร้อนใจเพราะความโง่ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรกขึ้นมา แล้วก็เป็นเปรตขึ้นมา เป็นอสุรกาย เป็นผี มันเป็นหมดแหละ มันครบอยู่ในตัวคนนั้นแหละ อุบาทว์จัญไรทั้งหลายทั้งปวงมาสุมหัวอยู่ในตัวคนนั้นแหละ ไอ้คนที่โง่แล้วก็ทำความชั่วนั้นแหละ มันกองอยู่ที่นั่นหมด มันตกอยู่ในใจของผู้นั้น มันกองอยู่ คนที่เห็นก็รู้ แต่ว่าคนไม่เรียนธรรมะมันก็ไม่รู้ ไม่เรียนธรรมะก็เหมือนกับว่าคนแก่ไม่มีแว่นจะอ่านหนังสือได้อย่างไร อ่านไม่ได้ ไม่ได้ใส่แว่น นี่เราไม่มีธรรมะ มองอะไรมันก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นธรรม อันไหนเป็นอธรรม อันไหนเป็นบุญ อันไหนเป็นบาป อันไหนเป็นประโยชน์ อันไหนไม่เป็นประโยชน์ มองไม่รู้ เพราะไม่มีแว่นขยาย เลยไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมาหาแว่นไว้ เพื่อเอาไปมองไปเพ่งดู ดูให้มันเข้าใจชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ดูรู้ว่าอันนี้บาป อันนี้บุญ อันนี้เป็นกุศล อันนี้เป็นอกุศล อันนี้เป็นประโยชน์ อันนี้ไม่เป็นประโยชน์ อันนี้ทำแล้วเสี่ยง อันนี้ทำแล้วเกิดความเจริญก้าวหน้า อันนี้ทำแล้วคนทั้งหลายพลอยสบายใจ อันนี้ทำแล้วคนทั้งหลายพลอยเดือดเนื้อร้อนใจ เรารู้เพราะมีแว่น คือธรรมะ ที่เรามาศึกษาจากพระสงฆ์องค์เจ้าที่บอกให้เรา อาตมาพูดออกไปเรียกว่ามอบแว่นให้แก่ญาติโยม แว่นขยาย เพื่อจะไปส่องดูตัวเอง ส่องดูเพื่อนบ้าน ลูกหลานในครอบครัวให้รู้ว่ามันเดินอยู่ทางไหน มันทำอะไร มันคบใคร มันทุกข์อยู่ในเรื่องอะไร มันไปไหนแล้วมันเอาอะไรกลับมา จะได้ส่องให้เห็นชัด แล้วจะได้จัดการแก้ไขปรับปรุง ธรรมะชะล้าง ล้างด้วยอะไร ต้องเอาธรรมะเข้าไปล้างอีก เอาธรรมะเข้าไปพูดจาชี้แจงแสดงเหตุผลให้เขาเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เพื่อให้เขาทำลายมันเอง
พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ฆ่าบาปและอุปกิเลสของโลก ฆ่าบาปและอุปกิเลสในน้ำพระทัยของพระองค์ก่อน พระองค์รู้ทาง รู้เหตุผลของความดับทุกข์ เห็นชัดด้วยพระองค์เอง สิ่งนั้นมันก็หายไป เหมือนมืดอยู่ แต่พอไฟสว่าง ความมืดก็หายไป ห้องมืด เราเข้าไปคลำพบสวิทซ์ไฟ กดปุ๊บไฟสว่าง พอไฟสว่างความมืดก็หายไป ไอ้ความสว่างความมืดมันก็อยู่ที่เดียวกัน อยู่ในห้องนั้นแหละ แต่ว่าเมื่อไม่มีความสว่าง ความมืดมันก็อยู่ แต่พอสว่างปั๊บ มืดหายไปทันที โดยที่เราไม่ทันเห็น มันหายไปทันทีเพราะความสว่างเกิดขึ้น จิตใจเราก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีญาณญาณกับปัญญามันก็พวกเดียวกัน แปลว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งอะไรถูกต้องตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ เรียกว่ามันมืด มืดแปดด้าน มืดอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไร เรื่องชีวิต เรื่องการงานในสังคม ถ้าเรามืดแล้ว เดือดร้อน เพราะไม่รู้ในเรื่องนั้น คนที่ถูกเขาหลอกเขาต้ม เพราะความมืด คือไม่รู้ ไม่ทันคน ไม่ทันเหตุการณ์ เขาจึงต้มเอาได้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต เสียทรัพย์สินเงินทองมากมาย เพราะเรามันมืด ไม่รู้เท่าทันคน แต่ถ้าเรารู้ทัน เราฟังแล้วเรายืนยิ้ม ลูกไม้มันมากไอ้นี่ เราฟังไปยิ้มไป เรารู้เท่าทุกคำพูด รู้เท่าทุกกิริยาท่าทาง เราก็ไม่ถูกหลอกไม่ถูกต้ม อารมณ์ที่มาจากเราก็เหมือนกัน มันมาหลอกเราต้มเรา เรามองเห็นรูปว่าสวย ฟังเสียงว่าเพราะ รสอร่อย สัมผัสที่น่าจับต้อง นี่เรียกว่าเราถูกหลอก ถูกหลอกให้หลงใหลเมามัวอยู่ในสิ่งนั้น ความมืดยังปรากฏอยู่ในใจ ปัญญายังไม่มี เพราะเราไม่ได้เรียน ไม่ได้รู้ว่าในใจคนเรานั้นมันไม่ใช่มีแต่ความมืด มันมีความสว่างด้วย ไม่ใช่มีแต่ความไม่รู้ แต่ความรู้มันก็มีเหมือนกัน แล้วทำอย่างไรจึงจะให้มีความรู้ ให้มีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจของเรา เราต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายนั้น ท่านได้เริ่มออกจากวังไปอยู่ป่า เพื่อแสวงหาธรรมะ ไม่ใช่ธรรมอยู่ในป่า แต่ว่าไปหาความสงบ ไม่ให้มีเรื่องวุ่นวาย อยู่ในวังน่ะมันวุ่น เรื่องเยอะ ไม่มีเวลาสงบใจ ก็ออกไปอยู่ในป่า มันจะได้นั่งสงบจิตสงบใจ ตัวคนเดียว อาหารก็ทานแต่น้อยๆ เครื่องนุ่มห่มก็มีสักชุดหนึ่ง ไม่ต้องเก็บไม่ต้องพับ ไม่ต้องรักษา ไม่มีสมบัติที่จะดูแล มันสบายขึ้นสักเท่าไร คนเราถ้าของมันน้อย มันก็สบายขึ้น ของมากภาระมันก็มากขึ้น ต้องหยิบชิ้นนั้นหยิบชิ้นนี้มากวาด เช่น เครื่องประดับบ้านมีหลายชิ้น ต้องถูทุกชิ้น ขี้ฝุ่นมันลงทุกชิ้น ต้องกวาดในตู้ กวาดนั่นกวาดนี่ เสื้อผ้าหลายตัวก็ซักกันทุกวัน เพราะมันมีมาก ก็ต้องซักกันเปลี่ยนเรื่อยไป หลายปัญหา อาหารกินหลายอย่างมันก็ยุ่ง คนหลายคนมันก็ยุ่ง งานเยอะมันก็เพิ่มความยุ่งขึ้น พระองค์เห็นว่า ต้องออกไปไม่ให้มันยุ่ง จะได้มีเวลาว่างๆ จะได้นั่งคิดปัญหา เรียกว่าออกไปแสวงหาธรรม แสวงหาความพ้นทุกข์ เป็นการออกที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลก ไม่ใช่ออกไปเพื่อเรื่องอื่น แต่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลาย ด้วยการแสวงหาสิ่งอันจะช่วยให้คนพ้นไปจากความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็ไปนั่งทรงค้นคว้า คิดละเอียดลึกซึ้งลงไป จนว่ามันประจักษ์แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งหลายมันเกิดเป็นสายมาอย่างไร ดับมาอย่างไร มองเห็นส่วนเกิด มองเห็นส่วนดับ มองไปมองมาชัดเจนแจ่มแจ้ง ความมืดที่มีหายไป ความหลงผิดความสำคัญผิดทั้งหลายทั้งปวงหายไปหมด เหมือนกับว่าเมฆหายไป แสงแดดส่องจ้า โลกก็สว่างไสว พระพุทธเจ้าเราก็เป็นเช่นนั้น ได้สว่างด้วยปัญญา ญาณเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น แสงสว่างเกิดขึ้น จักษุเกิดขึ้น ที่ได้ฟังพระสวดในธรรมจักรว่าเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ล้วนแต่เป็นไปเพื่อความรู้ชัดเห็นชัดในเรื่องนั้นๆ ตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ เวลานี้เรารู้ไม่จริง เรารู้แต่ผิวเผิน แล้วก็ไปติดอยู่ในสิ่งเป็นมายา มายาหมายความว่าปรุงแต่งขึ้น เราเห็นใบไม้สีเขียว เห็นดอกไม้หลายสี นั่นมันมายา มันปรุงแต่งด้วยแสงอาทิตย์ มันมาปรุงแต่งดอกไม้ให้เป็นสีนั้นสีนี้ ดอกไม้ที่บริสุทธิ์นั้น มันคายสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกหมด มันเหลือเป็นสีขาว ดอกไม้บางอย่างสีไม่ขาว เพราะว่ามันยังมีของอะไรเจือปนอยู่ ขับออกไม่หมด จึงเป็นสีต่างๆ คนเราชอบสีต่างๆ ชอบสีชมพู ชอบสีแสด สีเหลือง หลายๆ สีเหมือนกับเสื้อผ้า เราก็ใส่ชุดนั้นบ้าง ชุดนี้บ้าง สีนั้นบ้าง สีนี้บ้าง นี่เขาเรียกว่าติดอยู่ในสีของเสื้อผ้า สีของเสื้อผ้าก็เกิดจากย้อม จากการปรุงแต่ง เส้นด้ายมันก็สีขาว แล้วเอามาย้อมสีแดง ย้อมเป็นสีเหลือง ย้อมเป็นสีแสด ย้อมเป็นสีชมพู แล้วเอามาทอสลับกันเข้าให้มันเป็นรูปต่างๆ สีต่างๆ
คนบางคนแต่งกายกระโปรงกับเสื้อเหมือนติดเศษผ้ามาผสมกันอย่างนั้น มันหลายสี ขาวก็มี เงินก็มี ลายก็มี สีชมพูก็มี เอามาดูแล้วแหมหนูคนนี้แกฉลาดจริงๆ ไม่ทิ้งเศษผ้า เอามาปะกันเป็นเสื้อจนได้ แต่ความจริงมันไม่ใช่เศษผ้า เรื่องประดิดประดอยมันเป็นอย่างนั้น ให้มันแปลกๆ อย่างนั้นเอง คือเราติดในสีเหล่านั้น ติดในมายา อาหารก็เหมือนกัน เราติดรส รสเปรี้ยว รสหวาน รสมัน รสเค็ม รสกลมกล่อม อะไรต่างๆ ผสมเติมนั่นนิด เติมนี่หน่อย เพื่อให้รสต้องลิ้น ลิ้นนั้นก็เป็นทาสของมายา ของรสอาหาร ติดกลิ่นนั้นกลิ่นนี้ ติดสีนั้นสีนี้ รูปนั้นรูปนี้ สภาพดินฟ้าอากาศอย่างนั้นอย่างนี้ นี่คือการติด ติดเพราะอะไร เพราะว่าเรายังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เรากินอาหารเพื่ออะไร เรากินอาหารเพื่อเอาส่วนสำคัญของอาหาร ในภาษาพระว่าโอชะของอาหาร โอชะ คือส่วนที่เป็นเนื้อแท้ของอาหาร นั่นแหละเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ไอ้ส่วนที่ไม่ใช่เนื้อแท้ก็เป็นกาก กินไปถ่ายออกมาเป็นกากเป็นเดนไป เรากินเท่านั้น กินส่วนนั้น กินส่วนนั้นก็กินให้เป็นประโยชน์ กินให้เป็นคุณแก่ร่างกาย ไม่ได้กินให้เป็นทุกข์แก่ร่างกาย ไม่ใช่กินเพื่ออร่อย ต้องไปกินที่ภัตตาคารนั้น ก็เขาลือว่าตั้งใหม่ ลองไปดูรสชาติมันเป็นอย่างไร แล้วก็ต้องไปหาซื้อกินอีก ต้องไปนั่งกินในเรือบินที่เขาเอาซากมาไว้ เรียกว่าศพเรือบิน เรือบินมันตายแล้ว เอาศพมาวางไว้ในร้านภัตตาคาร คนก็ไปนั่งกินในศพเรือบิน ศพรถไฟ ซากรถไฟที่ใช้ไม่ได้แล้ว ไปซื้อมาจากองค์การรถไฟ เอามาตั้งไว้ เราไปนั่งกินในศพรถไฟ กินในศพเรือบิน มีอย่างเดียว ไม่ได้ขุดรูลงไปกินใต้ดินเท่านั้นเอง ขุดรูลงไปกินกันในอุโมงค์ เรื่องอะไร ชอบสิ่งแปลกๆ แผลงๆ เรียกว่าเครื่องประกอบที่ทำให้เราหลง ให้เรามัวเมาไปในเรื่องอย่างนั้น ถ้าเราไม่ได้คิดเอาแต่เนื้อแท้ของสิ่งนั้นว่ามันคืออะไร ในโลกนี้ก็มีห้องอาหารใต้ดิน เคยไป ที่กรุงโรม เขาพาไปฉันเพล เข้าไปในตึกแล้วลงไปอีก ลงไปใต้ถุน ไปนั่งกินกันใต้ถุนตึก ถ้าเป็นบ้านเรามันร้อนตาย แต่ที่โรมไม่ร้อนเพราะอากาศมันหนาว ไปอยู่ใต้ถุนแท้ๆ ใต้ถุนตึก แล้วก็กลายเป็นภัตตาคารที่สำคัญไป ไปกินมักกะโรนี เอามาร้อนๆ เลย กินก็ไม่ได้ มันร้อน ต้องนั่งรอให้มันเย็นสักหน่อย คนมันชอบอย่างนั้น ไปกินกันอย่างนั้น ไปที่นั่น ไปที่นี่ ตามการโฆษณา การโฆษณานั้นคือการชวนให้หลง ไม่ว่าเรื่องอะไร ชวนให้หลง ชวนให้มัวเมา ชวนให้เกิดความอยากได้ เช่น โฆษณาว่ากินสิ่งนั้นแล้วเก็บฉลากไว้ส่งมา จะได้มีการจับฉลากรางวัล ๙๐ ล้าน คนก็แหม มันต้องกินหน่อยไอ้นี่ ต้องเอารางวัล แต่กินเสียจนหงอมแล้วก็ยังไม่ได้รางวัลสักที อย่างนี้ก็เรียกว่า เขาตีลงไปเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้เราหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น เราไม่รู้ชัดในสิ่งนั้นตามที่เป็นจริง เราจึงยังฆ่ามันไม่ได้ ถ้าไม่รู้เราก็ฆ่ามันไม่ได้
ทศกัณฐ์กว่าจะตายนี่แหม...รบกันนาน แต่ทศกัณฐ์มันเป็นแม่ทัพ มันไม่ค่อยตาย แต่ว่าพวกยักษ์นี่ตายกันไปเยอะ ไม่ได้ตายแต่ยักษ์กรุงลงกานะ ไอ้ยักษ์เกาะอื่นมันก็มาพลอยตายด้วย มันไปบอกยักษ์สหาย ไปสั่งสหายมาว่าช่วยหน่อยเรามันแย่แล้ว ไอ้สหายก็แห่กันมาตาย ตายกันไปเยอะ ไม่รู้จะทำอย่างไร หมดสหายแล้ว หมดเมืองแล้ว ทศกัณฐ์ออกรบ แผลงศรไปปักอกมันก็ไม่ตาย ทำอะไรมันก็ไม่ตาย เอ...ไอ้ยักษ์นี่มันอะไร มันไม่ตาย เรียกว่ายังไม่มีปัญหาที่จะฆ่าทศกัณฐ์มันก็ไม่ตาย ต้องไปถามพิเภก เขากำลังแสดงอยู่ที่ศิลปากร ไปถามไอ้เจ้าพิเภกบอกว่าทำไมมันฆ่าไม่ตายไอ้ทศกัณฐ์ ยักษ์ไม่มีหัวใจฆ่าไม่ตาย มันจับหัวใจไม่ได้ มันก็ไม่ตายสิคนเรา แล้วหัวใจทศกัณฐ์เอาไว้ที่ไหน โน่นไว้กับฤาษี ใส่กล่องไปฝากไว้กับฤาษี ยักษ์นี่มันถอดหัวใจได้เอาไปฝากไว้กับฤาษีแล้ว คราวนี้ต้องไปเอากล่องนั้นมา แล้วต้องใช้ใคร ต้องหนุมาน หลอกคนเก่งไอ้นี่ หนุมานก็ไปอาสาเป็นลูกศิษย์พระฤาษี คอยปฏิบัติฤาษี ฤาษีกำลังนอน หนุมานร้องโอยๆๆ ฤาษีบอกห้องนิดเดียวนอนไปได้ไง ตัวมันนิมิตตัวให้ใหญ่คับห้องนอนไม่ได้ แล้วมันก็ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ฤาษีไม่ได้หลับได้นอนกัน แล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ฤาษีชอบใจ ถามอะไรฤาษีบอกทั้งนั้นแหละ ถามว่าอาจารย์นี่เขาว่าเป็นอาจารย์ทศกัณฐ์เหรอ เออ ข้านี่แหละเป็นอาจารย์ทศกัณฐ์ ไอ้ยักษ์ทศกัณฐ์มันลูกศิษย์ข้า ฤาษีชักจะเมาคำพูดหนุมานแล้ว เพราะว่าได้เป็นอาจารย์ทศกัณฐ์นี่มันใหญ่ สมมติว่าคนใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี ใครเป็นอาจารย์ก็อดคุยไม่ได้ เมื่อเด็กๆ มันอยู่กับผม ต้องการอวดหน่อยว่าฉันเป็นอาจารย์นายกฯ หรือเป็นอาจารย์รัฐมนตรี ฤาษีก็อวดเหมือนกัน อวดว่าฉันเป็นอาจารย์ทศกัณฐ์ แล้วหลวงพ่อสอนอะไรทศกัณฐ์บ้างล่ะ หนุมานมาล้วงเอาตับแล้ว คุยเพลินไปจนบอกว่าไอ้ทศกัณฐ์ฆ่ามันไม่ตาย เพราะว่าหัวใจมันอยู่กับข้า ข้าซ่อนไว้ หนุมานโอย...หลวงพ่อเก่งมาก ถอดหัวใจยักษ์ได้ แล้วเอามาไว้อย่างไรดวงใจ ใส่โหลไว้เหรอ ดองไว้อย่างไร นี่ใส่กล่องไว้ ยกมาให้หนุมานดู หนุมานบอกแหมเอามาลองดูสิหัวใจยักษ์มันโตขนาดไหน หนักขนาดไหน มีน้ำหนักเท่าไร ฤาษีตอนนี้โง่แล้ว ก็ส่งหัวใจให้หนุมาน หนุมานพอได้หัวใจก็กระโดดออกทางหน้าต่างไปแล้ว ฤาษีนั่งบ่นพึมพำ วานรชิบหาย มันหลอกเอาหัวใจไปแล้ว พอรุ่งขึ้นพยายามยกกองทัพออกรบ เอากล่องหัวใจไปด้วย พอสั่นหัวใจ ทศกัณฐ์ก็สั่นสะท้าน เอากล่องหัวใจตอกโป๊ก ยักษ์ก็ล้มตึงอย่างกับเสียงฟ้าผ่า ตายเลย ฆ่ากันนานไม่ตาย เพราะขาดปัญญา ไม่ได้ฆ่าให้มันถูกเอง
ไอ้กิเลสคนเราก็เหมือนกัน เราไม่รู้มันเกิดอย่างไร มันอยู่ได้อย่างไร มันจะเป็นอย่างไรเราไม่รู้ ฆ่าไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านรู้ รู้มาตั้งแต่ต้นทางว่ามันเกิดตรงนั้น มาโดยลำดับๆ ต้องฆ่าตรงนั้น พระองค์จึงฆ่ามันได้ ฆ่าของพระองค์แล้ว ก็มาช่วยบอกทางให้ชาวโลกฆ่าของตนเองต่อไป พระองค์จึงได้ชื่อว่า ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก ผู้ฆ่าเสียซึ่งบาปและอุปกิเลสของชาวโลกทั้งหลาย อันนี้เราก็ต้องหัดฆ่ามั่ง อะไรมันอยู่ในตัวเรา ฆ่ามันเสีย อย่าเอาไว้ ต้องศึกษามันให้ละเอียด ทำลายให้หมด บดให้เป็นผงเอาไปทิ้งน้ำทะเล ไม่เอามันไว้ต่อไป เราก็จะเป็นสุขในชีวิตประจำวัน อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ นำมาพูดกับญาติโยม พอดีหมดเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้