แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวานนี้ฝนตกหนักที่กรุงเทพฯ ที่วัดนี้ก็ตก เมื่อคืนนี้ก็ยังตกอยู่ แต่ว่าตอนเช้านี้ได้เจรจากันแล้ว ทำความเข้าใจกัน บอกว่าวันนี้น่ะขออย่ามาตกที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ (00.50 “วัดชลประทานรังสฤษดิ์”) ไปตกบางเขนหลักสี่ดอนเมือง ที่ไหนก็ตามใจ อย่ามาตกตรงวัดชลประทานฯ ก็แล้วกัน ได้ขอร้องกันไว้อย่างนั้น จะฟังหรือไม่ฟังก็ไม่รู้ แต่ว่านึกๆ ไว้อย่างนั้น อธิษฐานใจไว้ว่าอย่าตกเลย คนเขาจะมาทำบุญสุนทรทานกัน จะมาฟังธรรม มาทำกิจศาสนา ฝนฟ้าก็อย่าตกเลย ว่าไว้อย่างนั้น แล้วก็คอยดูกันต่อไป คงจะไม่ตกล่ะ ครื้มๆ อย่างนี้ดี สบาย อากาศครื้มเราจะได้นั่งฟังกันให้สบายใจ ญาติโยมที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ นั่งอยู่ที่ลานไผ่ ก็ไม่ต้องกลัว อย่ากลัวว่าจะตก แต่ให้นึกว่า “ไม่ตก ไม่ตก” นึกให้มันพร้อมๆ กัน กำลังคนมากๆ กำลังใจนี่มันก็สำคัญเหมือนกัน ทำให้เกิดอะไรได้ก็กำลังใจ เป็นใจหนึ่งใจเดียวกันในเรื่องอะไร เรื่องนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะอำนาจจิตของมนุษย์ เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจว่า “ฝนไม่ตก ฝนไม่ตก” นึกว่าอย่างนั้น แล้วก็ฟังธรรมกันให้สบาย
วันนี้เป็นวันที่ ๗ เดือนสิงหาคม ก็เรียกว่าเป็นวันต้นเดือน เมื่อเช้าก็ไปออกโทรทัศน์ปาถกฐาให้ญาติโยมได้ฟังกันนิดหน่อย ไปออกโทรทัศน์นี่เมื่อเช้านี่เขาจัดดอกบัววางไว้บนโต๊ะที่นั่งปาถกฐา ก็เลยพูดเรื่องดอกบัวให้คนฟัง พูดให้รู้ว่าดอกบัวนี่เป็นดอกไม้ตัวอย่างแห่งความสะอาดของจิตใจ เพราะดอกบัวนี่มันเกิดจากต้นบัว กอบัวนี่เกิดในโคลนสกปรกในน้ำสกปรก แต่ว่าดอกบัวโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ เป็นดอกไม้สะอาด สีสวย ขาดอย่างเดียวคือขาดกลิ่นเท่านั้นเอง ดอกบัวไม่มีกลิ่น ดอกไม้บางอย่างสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น บางอย่างก็มีสีสวยด้วยกลิ่นดีด้วย เช่น ดอกกุหลาบมีกลิ่นหอม ดอกมะลิมีกลิ่นหอม สารภีมีกลิ่นหอม ยี่สุ่นก็มีกลิ่นหอม แต่ดอกบัวนั้นเป็นดอกไม้ที่ไม่มีกลิ่น มีสีดี ผิดกับดอกไม้อื่นซึ่งเกิดอยู่บนต้นไม้สูงๆ แต่ดอกบัวนั้นเกิดในน้ำในโคลน แต่ว่าดอกบัวก็ไม่เปื้อนด้วยโคลนด้วยตม เป็นดอกไม้ที่สะอาดปราศจากคูถ
พระพุทธเจ้ามองดูสัตวโลก พระองค์ก็เปรียบคนเหมือนกับดอกบัว คือคนเรานั้นมันมี ๔ จำพวกทางจิตใจ ร่างกายนี่ท่านไม่แบ่ง แบ่งใจคนออกเป็น ๔ ระดับ คือคนที่พูดอะไรปั๊บเข้าใจทันทีมีอยู่ พวกที่จะต้องอธิบายจึงจะเข้าใจมีอยู่ พวกที่พอจูงไปได้ในทางที่ถูกที่ชอบก็มี พวกที่ดึงไม่ไหวเขาเรียกว่าพวกดอกบัวที่เน่าเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลา เน่าอยู่ในน้ำไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นมารับแสงอาทิตย์มันก็มีอยู่เหมือนกัน คนเราก็เป็นอย่างนั้น
คนพวกที่ดอกบัวเสมอน้ำพร้อมที่จะบานรับแสงอาทิตย์ เหมือนญาติโยมทั้งหลายนี่ ที่มาวัดชลประทานฯ ทุกวันอาทิตย์นี่เรียกว่าดอกบัวเสมอน้ำ พออาทิตย์ส่องก็บานรับแสงอาทิตย์ทันที ทีนี้ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำบานในวันต่อไป หมายถึงคนที่เตรียมจะมา เตรียมจะมา ไม่ได้มาสักที ถ้าเจอว่า “แหม นึกจะไปอยู่ แต่มันไม่ได้ไปสักที” นี่เรียกว่าดอกบัวใต้น้ำ แต่ว่าเตรียมอยู่จะบานแต่ยังไม่บานสักที แต่มีดอกบัวชนิดหนึ่งนั้นพอพูดชักจูงมาได้ ส่วนดอกบัวอีกชนิดหนึ่งนั้นตุ้มน้ำตาย เน่า เป็นเหยื่อเต่า
ที่พระองค์เปรียบว่า “เน่าเป็นเหยื่อเต่า” นี้เป็นความจริง ในที่สระหน้าวัดนั่นเมื่อก่อนมันมีผักตบมาก เขาให้เด็กพัฒนาเอาผักตบขึ้นหมด แล้วก็คอยกวด โผล่หัวขึ้นมาเก็บ โผล่ขึ้นมาเก็บ เดี๋ยวนี้ไม่มี แต่มาอยู่ในหนองข้างหลัง หนองนั้นไม่มี ปลาชุม นั่งอยู่ที่กุฏิมองเหนือๆ ผุด เดี๋ยวผุดๆ ปลามันผุดบ่อยๆ เหมือนกับเรียกแหเรียกอวนมาหา คนจะรู้ว่าหนองนี้มีปลามากแล้วก็จะมาตกเบ็ด นี่แหละเขาเรียกว่า “ปลาตายเพราะปาก” มันจะตายก็เพราะปากที่ผุดขึ้นมานั่นเอง บ้วนขึ้นมาทีไรคนรู้ มาทีไรคนรู้ ไอ้ตัวเล็กบ้วนน้อยๆ ไอ้ตัวใหญ่ “ตุ้ม” ขึ้นอย่างนั้น ถ้ามันดังให้คนได้ยินล่ะ “อุ๊ย” แล้วก็จะได้เอาแหอวนมาจับไป
แล้วก็มีคนอยากจะอายุยืน ชอบเอาเต่ามาปล่อยในสระน้ำ เต่าก็ตัวโตๆ นะ วันนั้นฝนตก ขนาดอย่างนี้ คลานต้วมเตี้ยมๆ ขึ้นมาหน้ากุฏิ อาตมาเห็นก็บอก “เฮ้อ มันเรื่องอะไร ขึ้นมาทำไม ประเดี๋ยวใครเอาไปต้มก็เท่านั้นเอง” เอ้อ เหมือนกับมันได้ยินอย่างนั้นแหละ พอว่าอย่างนั้น ถอยหลัง คลานลงน้ำต่อไป มันก็พอสอนได้นะไอ้เต่าตัวนั้นน่ะ เรียกว่าเป็น เวไนยสัตว์ (07.10 เสียงไม่ชัดเจน) อยู่เหมือนกัน พอตื่นได้เลยลงน้ำต่อไป
อันนี้ไอ้บัวใน (07.17) เมื่อก่อนนี้ดอกบัวเต็ม สวยหลายสี กุ่น โน่นเรวดี ทับทิมทอง เอามาปลูกไว้ ปลูกไว้มันอยู่หลายปี แต่พอผักตบขึ้นเต็มนี่บัวตายหมด ก็นึกว่าปลูกใหม่ เอ้าหาพันธุ์บัวมาปลูก เอาไม้ไผ่ปักกดมันไว้ ปลูกไว้ ไม่มีขึ้นสักต้นเดียว ก็รู้ว่าอะไรไม่ขึ้น เพราะว่ามีต้นหนึ่งหลุดลอยมาใกล้กุฏิ เต่าหลายตัวมารุมกันกินในต้นบัวต้นนั้น “อ้อ ที่ขึ้นไม่ได้ก็เต่ากินนี่เอง” ก็นึกถึงคำเปรียบของพระผู้มีพระภาคว่า “ดอกบัวเน่าเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลา” จริงทีเดียว เต่ามันกินหมด
คนเราที่ชอบปล่อยเต่านี่ ชอบเอามาปล่อยตามวัด บางแห่งนั้นเต่าทรมานเหลือเกิน เช่นที่สระวัดเบญจมบพิตร (08.14) คูเขาทำไว้ดี จุดหมายเขาเพื่อให้มีน้ำ พระจะได้อาบได้ใช้ สมัยก่อนน้ำระบายเข้าออกได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีการระบายเข้าออก เต่ามาอยู่กันหนาแน่น เรียกว่าพลเมืองเต่ามากเหลือเกินในคูนั้น แน่น แล้วก็เต่าสกปรกไม่สะอาด อยู่กันอย่างลำบากเดือดร้อน ทรมาน คนก็ยังเอามาเพิ่มจำนวนลงไปอีกทั้งๆ ที่เต่าลำบากแล้ว ทำไมเขาจึงเอามาปล่อยที่วัด มันปลอดภัย ถ้าปล่อยที่อื่นเกรงจะไม่ปลอดภัย ความจริงปล่อยในแม่น้ำมันก็ปลอดภัยเหมือนกันนะ เว้นไว้แต่มันหาเรื่องไปหาหม้อแกงเอง มันเที่ยวขึ้นมาเขาก็จับเอาเท่านั้นเอง
ปล่อยเต่าให้อายุยืนนี่ยังไม่ดี ต้องปล่อยเต่าให้หมดความโง่ด้วยถึงจะดี เพราะเต่านี่คือตัวโง่ เขาจึงพูดว่า “โง่เหมือนเต่า” คนโบราณเขาเขียนภาพวัว คนขี่หลังวัว แบกเต่าไว้ตัวหนึ่ง เรียกว่าโง่สองชั้น ไม่ดี นั่งบนหลังวัวแล้วยังแบกเต่าอีกเรียกว่าเป็นความโง่สองชั้น ก็เปรียบว่าเต่านี้คือความโง่ ความไม่รู้อะไร โง่เหมือนเต่า เต่านี่มันโง่ ทีนี้ก็เราเอาเต่าไปปล่อยก็อย่าปล่อยแต่เต่า แต่ว่าควรปล่อยความโง่มีในตัวเสียบ้าง เวลาจะปล่อยเต่าก็ไปนั่งพิจารณาที่ริมสระน้ำ พิจารณาว่าโง่ในตัวข้าพเจ้านี้มีอะไรบ้าง ความโง่ความงมงาย ความหลงผิดความเข้าใจผิด เที่ยวเชื่ออะไรไม่เข้าเรื่อง ก็คิดว่าควรจะปล่อยไปกับเต่านี้เสียด้วย บอกว่า “แกเอาไปด้วยเลยไอ้ความโง่ของข้า ที่ข้าจะหลงไหว้อะไรต่ออะไร เชื่ออะไรต่ออะไรไม่เข้าเรื่องไม่เข้าราวเลยมานานแล้ว ยังไม่ยอมฉลาดสักที วันนี้ขอปล่อยเต่าสักทีเถอะ” เลยปล่อยไปกับความโง่ (10.24) เอาความโง่ฝากเต่าไป เต่าก็จะลงน้ำต่อไป ความโง่เราก็จมน้ำไปเสียด้วย เราก็จะมีอะไรดีขึ้น อย่ามุ่งแต่เพียงอายุยืน อายุยืนไม่ใช่ดี ลองไปดูคนแก่ที่แก่มากๆ อยากจะตายวันละหลายหน แต่มันก็ไม่ตายสักที แสดงว่าอายุยืนนี่ไม่ดีหรอก อยู่ไปตามเรื่อง อย่าให้มันยืนเกินไป สุดแล้วมันดีกว่า สุดแล้วแต่ธรรมชาติ จะอยู่ไปได้เท่าใดเราก็อยู่ไปเท่านั้นแหละ
ทีนี้ดอกบัวนี่ เป็นดอกไม้สะอาดเขาจึงปลูกไว้ตามหน้าวัด ก็เพื่อจะเป็นบทเรียนสอนคนที่ไปวัด เป็นบทเรียนสำหรับคนที่อยู่ในวัดด้วย ให้ดูดอกบัวเป็นตัวอย่าง แล้วจะได้ทำจิตใจให้สะอาดปราศจากคูถที่มันจะทำให้ใจเศร้าหมอง อย่างนี้เป็นประโยชน์เขาจึงชอบปลูกไว้ตามบริเวณวัด ในวัดโดยมากก็ปลูกดอกบัวหลวง โดยมากก็เป็นดอกบัวหลวงสีชมพู สีเขียวนี่มีน้อย แต่เดี๋ยวนี้ก็มีแพร่หลาย ปลูกไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ จะได้เก็บดอกบัวไปบูชาพระด้วย
พระพุทธเจ้านั่งบนแท่นมีดอกบัวก็เพราะว่าดอกบัวนี่เป็นดอกไม้สะอาด เอาประดับแท่นฐานที่นั่งของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเครื่องหมายว่าพระพุทธองค์นี่ทรงนั่งอยู่บนความสะอาด ความสงบ ความสว่างของใจ ไม่ได้นั่งอยู่บนความแปดเปื้อน ความมืด ความเร่าร้อน แต่นั่งอยู่บนความสะอาด สงบ สว่าง เราไปเห็นดอกบัวที่ฐานพระ เราต้องนึกว่า “อ้อ นี่เขาทำถูก” ทำดอกบัวเป็นแท่นรองรับพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนที่ได้พบได้เห็น ว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านมีน้ำพระทัยสะอาด มีน้ำพระทัยสงบสว่าง เราก็ควรจะทำใจเราให้สะอาดให้สงบให้สว่างด้วย
ใจสะอาด ใจสว่าง สงบนั้น เป็นจุดหมายของการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา ดอกบัวมันเป็นเครื่องเตือนใจให้เราได้คิดได้รู้อย่างนี้ และเราก็ควรจะทำใจประดุจดอกบัว ไอ้รูปหัวใจคนนี่มันก็รูปดอกบัวเหมือนกัน รูปหัวใจนี่ถ้าเราวาดรูปมันก็เป็นดอกบัว แต่เอาปลายลง มันเรียวลงไปข้างล่าง ข้างบนกว้าง ดอกบัวที่คว่ำ ไม่ใช่ดอกบัวที่ชูขึ้นในรูปอย่างนั้น ก็เป็นรูปดอกบัวคว่ำลงไป เราก็ควรจะทำใจของเราให้เป็นดอกบัวอยู่เสมอ
การที่จะทำใจให้เป็นดอกบัวนั้นก็ต้องรู้ว่ามันเปื้อนเพราะอะไร ใจเรานี่เปื้อนเพราะอะไร เปื้อนเพราะสิ่งใด มาอย่างไรไปอย่างไร นี้ต้องเรียนต้องรู้ ต้องศึกษาเรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนาที่สอนไว้ละเอียดลออในเรื่องอย่างนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ธรรมชาติของใจนั้นก็เคยพูดให้โยมฟังบ่อยๆ ว่าเป็นธรรมชาติที่สะอาดอยู่โดยปกติ คือปกติของใจที่ยังไม่ได้รับอะไรเลยมันสะอาดอยู่ แล้วก็สงบอยู่ สว่างอยู่ด้วยปัญญาเหมือนกัน เมื่อยังไม่ได้พบอะไร
คล้ายๆ กับตัวแมงมุมตัวใหญ่ๆ ที่เราไปในป่าก็จะเห็น อยู่ในกรุงนี่ไม่ค่อยได้เห็น ไปอยู่ป่านี่จะเห็นว่าไอ้ตัวแมงมุมนี่มันขึงตาข่ายของมัน เส้นใยที่มันเอามาขึงนี้ไม่ใช่เล็กๆ นะ กว้างคิดเป็นตารางเมตรตั้ง ๑๐ ตารางเมตร ที่มันขึงออกไปรอบบริเวณ ขึงไปรอบ แผ่รัศมีออกไปเป็นวงกลมวงรอบ แล้วตัวมันก็มาเกาะอยู่ที่ตรงกลาง เกาะอยู่ด้วยความสงบนิ่ง ไม่ใช่หลับแต่ว่ามีสติอยู่ตลอดเวลา มันเกาะอยู่ด้วยความมีสติ คอยจ้องดูว่าสายใยที่ขึงนี้กระเทือนตรงไหนด้านไหน สมมติว่ามีตัวแมลงอะไรบินมากระทบสายใย (15.11) สายมันก็กระเทือนเข้าไปถึงจุดกลาง พอถึงจุดกลางมันรู้ว่าด้านนี้ มันก็พุ่งแผลบออกไปเลย ไปถึงก็ต้องจับตัวแมลงตัวนั้นพ่นพิษใส่ มันมียาพิษที่จะทำให้แมลงสลบถึงแก่ตาย เรียกว่าสลบไปก่อน พอสลบแล้วมันก็พามาที่ตรงกลาง เอามาวางไว้แล้วมันก็เจาะดูดเอาอาหารในตัวสัตว์นั้น เอาเลือดเอาอะไรในตัวสัตว์นั้นมากิน จะเหลืออยู่แต่โครงมัน เราจะไปพบว่ามันมีโครงโปร่งๆ เหลืออยู่ ข้างในมันกินหมดแล้ว มันทำอย่างนั้น เมื่อกินแล้วมันก็นั่งนอนสงบอยู่ต่อไป ถ้ากระเทือนด้านไหนก็ไปต่อไป นี่คือเรดาร์นั่นเอง มนุษย์ทำเรดาร์นี่ก็เอาอย่างสัตว์นั่นแหละ
สัตว์มันเป็นครูเป็นบทเรียน ถ้าทำให้เราเห็นว่ามันทำอย่างไร ก็ทำเรดาร์ดักคลื่นเสียงจากที่ต่างๆ จับคลื่นเสียงได้ เราไม่ได้เอาอะไรมากิน แต่เอาคลื่นเสียง คอยจับคอยดัก ก็เหมือนแมงมุมทำอย่างนั้น สภาพจิตของคนเรานี่ก็คล้ายกัน คือว่าสงบนิ่ง ไม่มีอะไรมายั่วก็อยู่ในสภาพสงบ ทีนี้การยั่วของสิ่งที่จะมากระทบนั่นมันมี มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกายประสาท ใจน่ะเป็นจุดอยู่ตรงกลาง การรับรู้อยู่ที่ใจ สิ่งห้าอย่างนี้ได้เป็นช่องทางเข้ามา ตาก็นำรูปเข้ามา หูก็นำเสียงเข้ามา จมูกนำกลิ่นเข้ามา ลิ้นก็นำรสเข้ามา กายก็นำสิ่งที่กระทบกาย ภาษาเทคนิคทางธรรมะเขาเรียกว่าโผฏฐัพพะ มากระทบร่างกาย กระทบประสาทกาย อะไรมากระทบเรารู้ทันที รู้ว่าเย็นว่าร้อนอ่อนแข็ง หรือว่าอะไรมากระทบเรารู้ มดกัดเรารู้ อะไรผิวหนังกระทบอะไรมันก็รู้ มีประสาทโยงใยไปทั่วร่างกายแล้วก็มารู้อยู่ที่สมองนั่นแหละ ตัวรู้มันอยู่ที่สมอง เป็นผู้สั่งงานอยู่ที่ตรงนั้น เรียกว่าใจ
หัวใจนี่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายก็เท่านั้นเอง แต่ว่าการรับรู้มันอยู่ที่สมอง โยงใยมันอยู่ตรงนั้น ถ้าสมองพิการบางส่วนก็เป็นอัมพาตไป เช่นคนเป็นอัมพาตครึ่งตัวก็แสดงว่าสมองส่วนนั้นสั่งงานไม่ได้ มันพิกลพิการไปเสียแล้ว ร่างกายไม่เคลื่อนไหว ไม่กระดุกกระดิก เพราะว่าสมองไม่ทำงาน คือไม่สั่ง แล้วก็เป็นอัมพาตไป ถ้าหากว่าไม่สั่งทั้งหมดทุกส่วน ก็นอนนิ่งดุจท่อนไม้ท่อนฟืน สักแต่ว่าหายใจเข้าออก ไม่รับรู้อะไรแล้ว รูปกระทบตาก็ไม่รู้ เสียงเข้าหูก็ไม่รู้ กลิ่นเข้าจมูกก็ไม่รู้ ไม่รับทั้งหมด สมองไม่ทำงาน เรียกว่านอนแข็งทื่อดุจท่อนไม้ท่อนฟืน ก็ต้องคอยป้อนอาหารกันไป เลี้ยงกันไปตามเรื่อง จะให้ตายเสียเลยมันก็ทารุณไปหน่อย เลยก็ต้องเลี้ยงไว้ เลี้ยงกันหลายๆ ปีก็มีเหมือนกัน คนเจ็บไม่ทรมานเพราะไม่มีความรู้สึกอะไร แต่คนเลี้ยงนี่ทรมาน เช่นลูกเป็นอย่างนั้น
เหมือนกับลูกสาวของท่านนายพันทหารคนหนึ่ง นอนเฉย คุณแม่ก็เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สะอาดเรียบร้อยแหละ เรียกว่าไม่ได้ไปไหนกับเขาเลยคุณแม่นี่ นั่งเฝ้าลูกสาวที่นอนเฉยๆ เป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่นั่นน่ะ คนก็รู้ข่าวก็ แหม ช่วยกันทั่วโลก คนในเมืองไทยมีหลวงพ่อองค์ไหนศักดิ์สิทธิ์ฤทธิ์เดชอาสาทั้งนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็นิมนต์ตามชอบใจ เอามาทำพิธีกัน ปลุกเสกกันไปเป่ากันไป “อ้าว ๓ วันไม่ได้ท่า” ลา เจริญพรลากลับวัดไป หมอชาวบ้านเข้ามาอาสา มาช่วยกันทำ ทำเท่าใดก็ไม่สำเร็จลากลับไป ในต่างประเทศยังอุตส่าห์ส่งจดหมายส่งหนังสือมาให้อ่าน-อ่านอะไรไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ก็ส่งมา พวกคริสเตียนนิกายต่างๆ อุตส่าห์ส่งมาขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยคุ้มครองรักษา อาตมาคุ้นเคยครอบครัวนี้ไปเยี่ยม เอามาให้ดู นี่จดหมายจากประเทศอเมริกา จากอังกฤษ จากไหนต่อไหน โอ๊ย มากมายก่ายกอง เอามาช่วยให้ฟื้น ให้พูดได้ ลุกขึ้นได้ ไม่มีทาง นอนเฉย ไม่ยิ้มไม่หัว ตาก็มองแต่ว่าไม่แสดงอาการอะไร นี่คือความเสื่อมทางสมอง เพราะมีโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างเข้าไปเบียดเบียนเข้าแล้ว ไม่รู้ว่ามันมาอะไรน่ะ หมอก็ค้นไม่พบเหมือนกัน
หมอเองนี่ก็ไม่ใช่จะรู้ไปหมดทุกอย่างนะ หมอเองก็เป็นเหมือนกัน หมอบางคนก็เป็นโรคอย่างนี้ นอนอยู่นั่นแหละ ยังไม่ตายสักที นอนทรมานไปหลายๆ วัน นี่ก็เป็นได้ เพราะโรคนี้ไม่ได้เลือกว่า “คนนี้เป็นหมอ อย่าเป็นนะ” “คนนี้เป็นนายแบงค์ อย่าเป็นนะ” “คนนี้เป็นนายกรัฐมนตรี เอาไว้ดูเล่นก่อน อย่าเป็นนะ” อ้าว โรคก็ไม่มีการเลือก เป็นอย่างนั้น ให้แก่คนทุกคนเป็นเท่าเทียมกัน เราจึงพูดว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน เกิดเหมือนกัน แก่เหมือนกัน เจ็บเหมือนกัน ตายก็เหมือนกัน มีสภาพเท่าเทียมกันทั้งนั้น หนีไม่พ้น และเราไม่รู้ด้วยนะว่าเราจะเป็นอะไรเมื่อไร ร่างกายแข็งแรง อยู่ดีๆ ปุปปับขึ้นมา อ้าว ได้เรื่องแล้ว เป็นอะไรไปแล้ว เป็นอย่างนี้ก็มี ง่ายๆ ตายง่ายๆ
มีแม่บ้านคนหนึ่งสามีแกตายด้วยโรคหัวใจ แกบอกเขาก็อยู่ดีๆ ทำงานทำการเป็นคนเรียบร้อย แล้วทำไมจึงมาตายอย่างนี้ “อ้าว ไอ้เรื่องตายมันอย่างนี้แหละหนูเอ๊ย มันเรื่องธรรมดา” คนเรามันไม่รู้ว่าเราจะตายวันไหน และด้วยโรคอะไรเราไม่รู้ มันอาจจะเป็นขึ้นเมื่อใดก็ได้ เพราะชีวิตนี่มันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันจะไปสิ้นสุดลงตรงไหนเราก็ไม่รู้ อธิบายให้ฟัง ก็ต้องพูดกันหลายๆ วัน มาบ่อย มาเศร้าโศกเสียใจ ถามโน่นถามนี่ ก็เลยตัดบทว่า “อย่าไปถามเป็นกังวลสำหรับคนตายต่อไปเลย มาถามเรื่องว่าจะอยู่ดีกว่า ว่าจะอยู่อย่างไร จะดำเนินงานต่อไปอย่างไร จะเลี้ยงลูกอย่างไร เพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมีคุณภาพ มีประโยชน์แก่ครอบครัวแก่ประเทศชาติต่อไป” เราคิดเรื่องนี้แหละ เรื่องตายไม่ต้องคิดแล้ว ตายแล้วไม่ต้องคิดมาก เพราะว่าเขาตายไปแล้ว เราจะไปกังวลอะไร เรามาคิดเรื่องว่าเราจะทำใจอย่างไร เราควรจะอยู่อย่างไรจึงจะมีความสงบทางจิตใจพอสมควรแก่ฐานะดีกว่า อธิบายให้ฟังอย่างนั้น ก็ค่อยๆ ผ่อนไปคลายไป ค่อยๆ ผ่อนไปนิด ฉลาดขึ้น ค่อยๆ รู้เรื่อง อะไรเป็นอะไร ถ้ามันเป็นเช่นนี้
ฉะนั้น สภาพจิตใจคนเรานี้ โดยปกติมันก็ไม่มีอะไร แต่มันมีอะไรขึ้นก็เพราะว่าสิ่งทั้งหลายที่เข้ามากระทบ รูปมากระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น กายถูกต้องโผฏฐัพพะ ก็เกิดอารมณ์ขึ้นในใจ เกิดความรู้สึก เขาเรียกว่าเกิดวิญญาณ เกิดความรู้สึกขึ้นในใจ ชอบใจ ไม่ชอบใจ เฉยๆ มันรู้สึกอย่างนั้น พอมีความรู้สึกขึ้นแล้วมันก็ปรุงต่อไป ชอบใจก็อยากจะได้ อยากจะเอามาเป็นของตัว ถ้าความชอบมากก็อยากจะได้ไวไว ใจร้อน ใจเร็ว หุนหันพลันแล่น ชอบในสิ่งที่เราอยากจะได้ ถ้ามีใครมาขัดขวางไม่ให้เราได้สมใจ อ้าว เกิดความโกรธ เกิดความเกลียดบุคคลนั้น หมั่นไส้คนนั้นที่เข้ามาขัดขวางความต้องการของเรา ถ้าไม่รู้ยับยั้งชั่งใจ ไม่บังคับตัวเอง มีอะไรอยู่ใกล้ก็อาจจะประหัตประหารคนนั้นก็ได้ มีปืนอยู่ใกล้ก็จะยิงกัน ดูข่าวที่เขายิงกันบางทีก็เรื่องมันไม่มากมายอะไร แต่ว่ายิงกันตายเพราะว่ามันเกิดอารมณ์ขึ้นมา อารมณ์กุขึ้นมา แล้วก็มีเครื่องประกอบที่จะช่วยให้สำเร็จตามความต้องการของความโกรธ มีปืนอยู่ใกล้ก็ปืนยิงเปรี้ยงเข้าให้ มีมีดก็แทงเข้าให้ มีไม้กระบองก็ทุบลงไปบนกบาล อย่างนี้ มันเกิดขึ้นอย่างนั้น
ใจมันตกไปสู่อำนาจของกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้ใจเศร้าหมอง ทำให้มืดมัวไปเหมือนท้องฟ้ามัวอยู่เวลานี้ มองไม่เห็นแสงอาทิตย์ มันไม่เห็นแสง แต่มันมีแสงแต่ว่าเรามองไม่เห็นว่ามันส่องฝ่าความมืดลงมา มันชัด แต่มันอยู่ข้างบน จ้าอยู่ข้างบน ถ้าเราขึ้นเรือบินบินให้สูงพ้นไอ้สิ่งที่ลอยอยู่นี่ เรือบินมันบินพ้นไป พ้นในหมู่เมฆเหล่านี้ ขึ้นไปข้างบนก็สว่าง แต่พอมองลงมาข้างล่างมันก็มืดบอดไป อย่างนี้ ใจเราก็เป็นอย่างนั้น พอเกิดอะไรมาหุ้มใจแล้ว มองอะไรไม่ชัด ไม่เห็น ไม่เห็นเมื่ออะไรมันครอบงำแล ความโกรธครอบงำก็ทำตามอำนาจความโกรธ ความเกลียดครอบงำทำตามอำนาจความเกลียด ความริษยาครอบงำทำตามอำนาจความริษยา ความรักครอบงำก็ทำไปตามอำนาจความรักความพอใจ มันเป็นเหตุให้ทำชั่วได้ทั้งนั้น
คนทำชั่วเพราะรักก็มี ทำชั่วเพราะเกลียดก็มี ทำชั่วเพราะโกรธก็มี ทำชั่วเพราะความริษยาก็มี ทำชั่วเพราะความพยาบาทเจ็บใจในบุคคลนั้นมันก็มี อันนี้ใจของเรามันเปลี่ยนสภาพไป ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่เป็นตัวเดิม หน้าตาดั้งเดิมถูกฉาบด้วยสีหลายอย่างหลายประการ เหมือนกับตัวละครที่แต้มหน้าแต้มตาออกไปแสดง แต่งหน้ายักษ์แต่งหน้ามนุษย์ แต่งหน้าเป็นคนแก่ คนที่ไม่แก่ก็แต่งให้แก่ได้ ออกมาแล้วผมเผ้าหงอกไปเป็นประปราย ผิวหน้าก็ทำให้เป็นริ้วเป็นรอยอะไรไป ดูเป็นคนแก่ไปได้ แล้วก็ทำท่าทางเป็นคนแก่ไปด้วย เปล่งเสียงก็เป็นคนแก่ไปด้วย นี่เรียกว่าถูกปรุงแต่ง
ใจเราก็ถูกแต่งด้วยสิ่งเหล่านั้น ถูกแต่งด้วยความรัก ถูกแต่งด้วยความชัง ถูกแต่งด้วยความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท อาฆาตจองเวร เก็บไว้ในใจ หรือว่ามีความรู้สึกแข่งดีกับคนนั้น มีมานะ มีเผยตัว “ข้าไม่ยอมใคร” นี่เรียกว่าถูกปรุงแต่งทั้งนั้น ใจที่ถูกปรุงแต่งอย่างนี้มันก็เกิดความมืดบอดขึ้นมา เศร้าหมอง เหมือนกับสิ่งที่สะอาดเราเอามาวางไว้บนโต๊ะ วางไว้หลายวันก็ค่อยสกปรกขึ้นทีละน้อยๆ ขี้ฝุ่นมาจับ จับนานๆ เข้าดูหนาเตอะกลายเป็นสิ่งสกปรกไป แต่ถ้าเอาไปล้าง มันก็สะอาดขึ้นต่อไป เราจึงต้องกวาดบ้าน ต้องซักเสื้อผ้า ต้องอาบน้ำ ต้องเช็ดถูสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา
วัตถุภายนอกนี่เรารักษานักหนา ปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดกันอย่างดีเลย แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ควรจะทำความสะอาด เราไม่ค่อยได้ทำ มักจะละเลยเพิกเฉยไม่สนใจที่จะจัดการกับสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็คือใจของเรานี่ เราไม่ค่อยจะได้ทำความสะอาดใจของเรา ไม่ได้ทำความสะอาดมันก็หมักหมมสกปรกขึ้นทุกวันทุกเวลา ทำให้เกิดความเสียหาย ความหมักหมมของฝุ่นต่างๆ ที่อยู่ในใจของเรานั้น ก็เราเรียกว่าสันดานนั่นเอง ที่เราพูดว่า “สันดานนั้นเป็นอย่างนั้น” ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เดิมมันไม่ได้มีอย่างนั้น แต่ว่าสะสมบ่อยๆ เก็บไว้บ่อยๆ ในเรื่องนั้น เก็บขยะไว้ในบ้าน บ้านมันก็เต็มไปด้วยขยะ เก็บทองไว้มันก็เต็มไปด้วยทอง เก็บเสื้อผ้าก็เต็มด้วยเสื้อผ้า เก็บเพชรนิลจินดามันก็เต็มไปด้วยเพชรนิลจินดาแหละ
ใจเรานี้ก็เหมือนกัน เราเก็บอะไร เราเก็บความโกรธใจเราก็มากด้วยความโกรธ เก็บความริษยาใจก็มากไปด้วยความริษยา เก็บความหลงใจเราก็มากไปด้วยความหลง เก็บความมานะถือตัวเราก็เป็นคนมีมานะถือตัว “ข้ามันก็หนึ่งเหมือนกัน” ไปไหนเป็นลดไม่ได้ ไม่ลงใคร หนึ่งตลอดเวลา นี่เราเก็บสิ่งเหล่านี้ก็เลยมีนิสัยอย่างนั้น มีสันดานอย่างนั้น
เมื่อเช้านี้มีคนหนึ่งมาจากจังหวัดกาญจนบุรี แกก็เป็นข้าราชการนะ เป็นครูใหญ่ผู้อำนวยการโรงเรียนอาชีวะ ก็พยายามทำงานด้วยความตั้งใจ โรงเรียนเมื่อก่อนนี้มันที่มันน้อยมีเพียง ๔ ไร่ ก็เที่ยววิ่งขอเขากราบเขา วิงวอน แกเป็นผู้หญิงนี่ เที่ยวกราบเที่ยวกรานเขา ขอนั่นขอนี่ ได้เพิ่มขึ้นเป็น ๑๔ ไร่ ไอ้ก่อนนี้ก็มีโรงเรียนมุงจะมุงจากมุงฟางคาอะไรไป เรียนกันไปตามเรื่อง ก็วิ่งเต้นพยายามจนได้อาคารมา สร้างขึ้นมาเรียบร้อย แต่ว่าทำอะไรดีก้าวหน้าไป ชาวบ้านก็ร่วมมือ ไปขออะไรเขาก็ให้ ทำทุกอย่างเขาก็ให้ทั้งนั้นแหละ
แต่ว่ามีคนประเภทหนึ่งสันดานมัน มันไม่ชอบคนทำดี ไม่ส่งเสริมความดีของคน ไม่อยากเห็นใครดี ไอ้อย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็นใครดีมันเรื่องอะไรล่ะ คอยที่จะว่าเขาตลอดเวลา คือคนประเภทหนังสือพิมพ์ที่ออกในท้องถิ่น มีอยู่ฉบับหนึ่งก็คอยติทุกวัน หาเรื่องติอาจารย์นั้นทุกวันๆๆ เพื่ออะไร เขาบอกว่า ต้องไปพบกับเขา ไปแถลงความจริงกับเขา เขาจึงจะไม่ลง ถ้าไม่ไปหาเขาก็เขียนอย่างนั้น เขาด่าอย่างนั้น ด่าที่นั่นไม่พอ ยังส่งมาหนังสือพิมพ์ในกรุงเทพฯ ที่ชอบด่าคน ก็ให้เขาด่ากันต่อไป พวกตระกูลด่านี่มันมีอยู่ ร่วมวงไพบูลย์กันอยู่เรียกว่าสกุลด่า ด่าโน่นด่านี่ เรียกว่าวันไหนถ้าไม่ได้ด่าชาวบ้านนี่มันกินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับ จะต้องด่าเรื่อยไป คอยยุคอยแหย่ ให้นักเรียนรังเกียจบ้าง เขียนบัตรสนเท่ห์ถึงผู้หลักผู้ใหญ่ให้ไปสอบสวน “อ้าว สอบไม่มีอะไร” ก็คนไม่ได้ทำชั่วนี่ ไม่ได้กระทำความผิด ตั้งใจแต่จะสร้างความงามความดีให้เจริญก้าวหน้า แล้วเจริญขึ้นทันตา สิ่งทั้งหลายก้าวหน้า แต่ว่าคนบางประเภทเขาไม่ได้ประโยชน์จากความเจริญนั้น เมื่อไม่ได้ประโยชน์จากความเจริญนั้นก็หาทางกัดหาทางทำลายคนที่มันดี
นี่เขาเรียกว่าลูกริษยา ลูกเห็นแก่ตัว กิเลส ๒ ตัวนี้มันมาด้วยกัน เกิดเห็นแก่ตัวก่อน พอเห็นแก่ตัวก็ริษยาคนอื่น ไม่อยากให้คนอื่นดีกว่าตัว เจริญกว่าตัว ทำอะไรก็ต้องให้ตัวร่วมวงไพบูลย์ด้วย เพื่อจะได้แบ่งผลอะไรกันบ้าง ถ้าไม่แบ่งให้ก็หาทางทำลายให้คนนั้นออกไป แล้วจะได้เอาพวกของตัวขึ้นมาต่อไป อย่างนี้มันมีบ่อยๆ ตามจังหวัดต่างๆ บางคนเป็นคนดีเป็นคนเรียบร้อย คนดีเขาชมกันทั้งนั้นแหละ เขาสรรเสริญกันทั้งนั้นแหละ แต่ว่าคนดีชมนี่มันไม่ค่อยดัง ไอ้คนชั่วมันตินี่มันดัง เพราะมันมีหน้ากระดาษของมัน แล้วก็เขียนลงไปก็ดังไป แล้วคนก็อ่านแล้วก็พลอยเห็นด้วย ไม่ได้คิดว่า เอ๊ะ นี่เขาจริงหรือเปล่า ไม่ได้ตั้งกองไปสอบสวนความจริงเหล่านั้น อันนี้คือวิธีการทำลายความก้าวหน้าของคน ให้หมดกำลังใจ ถ้าเป็นคนใจอ่อนก็ “แหม ท้อแท้ อ่อนกำลัง ไม่อยากจะทำ” ก็ลาออกไป แต่ถ้าเป็นคนมีคุณธรรม มีความปรารถนาดีต่อส่วนรวม ไม่ยอม ทำต่อไป ทำไปตามแนวทางที่ถูกที่ชอบ ไอ้พวกนั้นก็คอยกัดคอยแว้งอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้อยู่เป็นสุขได้เลย สงครามประสาท สงครามจิตวิทยา ทำให้เกิดความรำคาญใจ อย่างนี้มีอยู่มากมายก่ายกองในที่ทั่วๆ ไป
ยังไม่มีการรวมตัวของคนดี ที่จะลงโทษคนชั่วๆ ทั้งหลายประเภทอย่างนั้น ให้เกิดความสำนึก เกิดความรู้สึกตัว เพราะอะไร-ก็เพราะว่าคนดีไม่ได้มาพบกัน มันดีอยู่คนละบ้าน ดีคนละที่ อยู่กันคนละแห่ง ความดีไม่ได้มารวมกัน แต่พวกชั่วนั้นมันรวมกันเข้า มันรวมกันเข้าแล้วมันก็ประกาศความชั่วคนอื่น ไม่ได้ประกาศความงามความดี ไม่มีคำชมเชย มีแต่คำติคำว่า เอ่ยทีไรต้องติต้องว่า ราวกับว่าคนๆ นั้นมีความชั่วตั้งแต่หัวถึงตีน ไม่มีอะไรดีสักหน่อย เป็นอย่างนี้ มันมีอย่างนั้นนะ
ญาติโยมบางคนก็อาจจะถูกเรื่องอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าว่าจะมาเกี่ยวกับคนมาก เกี่ยวกับสังคม เช่นเราเป็นข้าราชการ หรือว่าทำงานบริษัทห้างร้าน ถ้าดีขึ้นไปเพื่อนก็คอยจ้องทำลาย เขาเรียกว่า ไม่ชอบคนเด่น ไม่ชอบคนดี เพราะคนเด่นคนดีนี่มันล้ำหน้าเขา เขาไม่ให้ล้ำ ไอ้คนที่ไม่ให้เพื่อนล้ำหน้านี่คือพวกมีความเห็นแก่ตัวเป็นตัวแรก แล้วต่อไปก็มีความริษยา เมื่อริษยาแล้วก็ต้องคิดทำลายต่อไป ทำลายให้ราบไปเลยทีเดียว ให้เสียหายไป
เรื่องทำลายกันนี่มันรุนแรง ในสมัยพระพุทธเจ้าอยู่นี่มีเรื่องที่ทำลายกันอย่างชนิดที่รุนแรงทีเดียว จะเล่าให้โยมฟังหน่อย คือว่านางมาคันทิยานี่ เมื่อก่อนยังไม่ได้แต่งงานก็เป็นสาวรูปสวยขนาดพอจะนำไปประกวดนางงามโลกได้นะ ไอ้พ่อแม่ก็หยิ่งในความสวยของลูกมาก ใครๆ มาขอก็ไม่ให้ บอกว่า “มันไม่คู่ควรกับลูกสาวของฉัน” ทีนี้วันหนึ่งพ่อนี่ออกไปในป่าไปเจอพระพุทธเจ้าเข้า พอเจอพระพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าแต่เห็นว่ารูปร่างดี ก็เลยบอก “อื้มดี ได้เจอแล้ว ลูกเขย คนนี้แหละควรจะเป็นลูกเขยของเราได้ คู่ควรกับลูกสาวเรา” ก็เลยบอกว่า “อยู่นี่นะ อย่าไปไหน ฉันจะไปเอาลูกสาวมาให้ ลูกสาวฉันสวยมาก ใครๆ ก็อยากได้แต่ฉันไม่ให้ มาเห็นท่านนี่ฉันอยากจะให้แล้ว” พระพุทธเจ้าก็ยืนเฉยๆ ยืนเฉยๆ ทีนี้ก็ตาคนนั้นก็ไปบ้านบอกแม่ยาย บอกแม่ว่า “พบแล้วๆ แหม หาตั้งนาน วันนี้พบแล้ว” บอกลูกสาวแต่งตัวไวไว จะนำไปแล้ว ก็พาไป
พอไปตรงนั้น พระพุทธเจ้าท่านหายไปแล้ว ไปแอบอยู่ตรงอื่นแล้ว แต่ท่านเหยียบรอยไว้ เหยียบรอยไว้ที่คลายออก เหยียบไปเป็นรอยไว้ แม่ของลูกสาว ภรรยา ก็ไปเห็นรอยเข้า “อุ๊ย แกนี่มันไม่ได้เรื่องเลย ไม่รู้จักลักษณะคนนี่ คนเท้าแบบนี้คนไม่มีกิเลส เราจะเอาลูกสาวไปให้เขาได้อย่างไร” ตาก็บอก “แกละก็แหมเป็นคนช่างทำนาย ทำนายเหมือนเห็นจระเข้ในโอ่งน้ำอย่างนั้นแหละ” แต่ว่าเห็นจระเข้ในโอ่งน้ำก็ทายได้ว่านี่จระเข้นะ เพราะว่ามันเห็นชัดนี่” ก็บอก “อ้าวก็คอยดูไปสิ ประเดี๋ยวก็เจอตัว” ไปหาสิ หาก็เจอพระพุทธเจ้า พอเจอก็บอกว่า “นี่แหละ เอามาให้แล้ว” พระพุทธเจ้าท่านทราบนิสัยของผัว (38.13) ตากับยายว่าเป็นดอกบัวที่พาไปได้ ไม่ใช่ดอกบัวใต้น้ำที่มันเน่าเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลา ก็เลยบอกว่า “ลูกสาวของท่านที่ว่าสวยน่ะ อย่าว่าฉันจะจับด้วยมือเลย แม้เอาเท้าแตะก็ยังไม่สมควร” เออแน่ะ แหม
ตากับยายฟังแล้วได้ปัญญาได้ความรู้ แต่ว่าลูกสาวฟังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ที่ไม่รู้เรื่องเพราะอะไร-เพราะความยึดมั่นในรูปของตัวว่า สวยเหลือเกิน งามเหลือเกิน แม่นึกอย่างนั้น พอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าว่าอย่าว่าเอามือแตะเลย เท้าก็ยังแตะไม่ได้ “แหม เจ็บใจ คนๆ นี้ว่าเราขนาดอย่างนี้นะ เอาเถอะ เราจะต้องพยาบาทอาฆาตกัน ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นไปก็แล้วกัน ถ้าฉันได้มีบุญวาสนาขึ้นเป็นใหญ่แล้วต้องเล่นงานผู้นี้ วันหนึ่งต้องเล่นงานกันแน่ๆ เลย” เอาแล้ว เกิดโกรธพระพุทธเจ้า พยาบาท เพราะความหลงผิด
ก็เลยต่อมาก็ได้ไปเป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนในกรุงโกสัมพี พระเจ้าอุเทนนี่มีพระมเหสีเก่าอยู่แล้ว คือพระนางสามาวดี เป็นผู้ที่มีความสุภาพเรียบร้อยสมควรแก่ตำแหน่งราชินีทุกประการ แต่ว่าพระเจ้าอุเทนก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็อย่างนั้น สมัยก่อนน่ะ เห็นคนสวยก็ไม่ได้ตาเป็นมัน เลยก็เอานางมาคันทิยาเข้าไปเป็นพระสนม นางมาคันทิยารู้ว่า “โอ้นี่ พระนางสามาวดีนี่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เราเล่นงานพระพุทธเจ้าไม่ได้ก็เล่นลูกศิษย์” แน่ะ เล่นงานลูกศิษย์ ก็หาวิธีการทำลายด้วยประการต่างๆ
พระเจ้าอุเทนนี่ชอบดีดพิณ มีฝีมือในการดีดพิณ ตอนนี้ก็ นางนี่สั่งคนใช้ว่า “เอาพิณนี่ไปไว้ในห้องพระนางสามาวดี เอางูพิษใส่ไว้ในพิณด้วยสักตัวหนึ่ง” อันนี้พระเจ้าอุเทนไปถึงก็ดีดพิณด้วยความสนุกสนาน เสียงดัง โหน่งเหน่งๆ งูก็เหมือนรำคาญหูมันน่ะ มันก็เลื้อยออกมา พอเลื้อยออกมาพระเจ้าอุเทนก็ตกใจทิ้งพิณเลย พอทิ้งพิณก็โกรธ โกรธหาว่านางสามาวดี ก่อนจะโกรธนี่ก็มีนางมาคันทิยามาแอบดูอยู่แล้ว พอพระเจ้าแผ่นดินวิ่งหนีก็โผล่หัวออกมาทันที บอกว่า “นี่แหละ หม่อมฉันห้ามแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับแม่คนนี้ จะมีพิษอันตราย นี่เขาคิดจะทำลายพระองค์ เอางูพิษมาใส่ไว้ในพิณที่พระองค์ชอบเล่น แล้วจะให้พระองค์ตาย พระราชาก็เรียกว่า โห มันชักจะเอียงไปทางแม่รูปสวยคนนั้น ไอ้เมียน้อยกับเมียหลวงนี่ เสียงเมียน้อยมันดังกว่า เมียหลวงไม่ค่อยดังหรอก อันนี้ก็เอียงไปก็ชักจะโกรธ โกรธก็เลยไม่เสด็จไป
ไม่เสด็จไปก็ยังหาเรื่องอีก หลายอย่างหลายประการ เช่นว่า สั่งให้คนใช้ไปบอกว่าพระเจ้าอุเทนต้องการเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยไก่ ก็ส่งไก่ไปให้ นางสามาวดีกับบริวารไม่ฆ่าไก่เพราะถือศีล ไม่ฆ่าไก่ ไม่ฆ่าไก่ก็เลยไม่ปรุงอาหารไก่ถวาย นางมาคันทิยาพอพระเจ้าแผ่นดินเสวยพระกระยาหารก็บอกว่า “แหม วันนี้อาหารคงจะไม่อร่อย เพราะว่าต้องการจะแกงไก่ถวาย แต่ว่าหม่อมฉันให้พระนางสามาวดีแกงให้ พระนางสามาวดีไม่มีความรักในพระองค์เลย ไม่แกงไก่ถวาย” น่ะ หาเรื่องแล้ว หาเรื่องเรื่อยเลย หาเรื่องมากมายก่ายกอง แต่นี่คราวหนึ่งเรียกว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คอยหาคอยจี้เรื่อย
คราวหนึ่งพระเจ้าอุเทนเสด็จไปคล้องช้างในป่า ท่านชอบล่าช้าง ไปล่าช้าง ไปหลายวัน เมื่อไปหลายวันก็ นางมาคันทิยานี้ก็จัดแจงให้คนใช้เข้าไปเตรียมของปราสาท คือเข้าไปทำท่าว่าตกแต่งปราสาทเพราะมันเก่าแล้ว จะขัดจะถูทำความสะอาด แต่ว่าเอาน้ำมันเชื้อเพลิงไปทาไว้ ทาเสา ทาฝา ทาไว้ทุกหนทุกแห่ง แล้วพอได้เวลาก็จุดไฟ เผาเลย เผาปราสาท พระนางสามาวดีกับบริวารก็ถูกคลอก ตายหมด ไม่มีเหลือเลยสักคนเดียว พระเจ้าอุเทนกลับมา พอกลับมาถึงก็ เขากราบทูลเรื่องให้ทราบ ท่านฉลาด พระเจ้าอุเทนนี่ไหวพริบดีมาก พออย่างนั้นบอก “แหม ใครหนอที่ทำให้พระนางสามาวดีตายนี่ ฉันสบายใจเหลือเกิน เพราะว่ามันรำคาญมานานแล้วนะแม่คนนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ช่วยทำให้ตายซะนี่ฉันสบายใจ ฉันอยากจะรู้เหลือเกินว่าใครเป็นเจ้ากี้เจ้าการในเรื่องนี้ จะได้ปูนบำเหน็จรางวัลให้สาสมกับความดีความชอบหรอก”
แม่เอ๊ย นางมาคันทิยาก็เสนอตัวก่อนเพื่อน “หม่อมฉันเองล่ะเพคะที่จัดการเรื่องนี้” ไอ้คนนั้นก็ “หม่อมฉันด้วยเพคะ” “หม่อมฉันด้วยเพคะ” ไอ้พวกผู้ชายก็ “เกล้ากระหม่อมด้วยพะยะค่ะ” ตอนนั้นก็ แหม ไอ้พวกอยากตายมียั๊วเยี๊ย เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบว่า หม่อมฉัน หม่อมฉันเอง เรียบร้อย มีเยอะแยะไอ้คนที่มันอยากได้ความชอบ นี่แหละเขาเรียกว่า มันหลง เขาเอาความดีมาล่อ เลยหลงลงไป เหมือนกับล่อให้กินขนม พวกปลาติดเบ็ด พระเจ้าอุเทนก็รับสั่งว่า “เออ ดีแล้ว ท่านทั้งหลายได้กระทำเรื่องอย่างนี้ ฉันจะให้รางวัลอย่างงาม” สั่งทหารไปขุดหลุมพอกับคนเหล่านั้น เสร็จแล้วก็ฝังลอดแต่คอ ฝังลอดแต่คอ มีนางมาคันทิยาเป็นหัวหน้าเรียกว่าหลุมแรก ฝังแล้ว ฝังเสร็จแล้วเอาช้างมาเหยียบ เอาช้างมาเหยียบในบริเวณนั้น เหยียบ แล้วก็เอาไถมาไถชนคอไป พวกนั้นก็ตายเกลี้ยงเรียบร้อยไปเลยทีเดียว นี่คือความริษยา
ผลที่ได้ทดสอบก็คือว่าถึงแก่ต้องฆ่าตายเพราะความริษยา อาฆาตพยาบาทกัน มันเป็นอย่างนี้ คนเรานี่เหมือนกัน อยู่ร่วมกันมานี้ก็เกิดความ (45.28) ประโยชน์ขัดกันก็คอยทำลายกันด้วยความริษยา มีคนมาคุยบ่อยๆ ว่าทำงานกับเพื่อนฝูงนี่ บางคนเขาริษยา ก็บอกว่า “อย่าไปสนใจในความริษยาของใครๆ” เราตั้งหน้าตั้งตาทำงานไป ทำไม่รู้ไม่ชี้ในความริษยาของคนเหล่านั้น แล้วก็เอาดีเข้าว่า พอเห็นหน้าเขาก็เข้าไปทักทายปราศรัย มีอะไรก็แบ่งให้เขากินแบ่งให้เขาใช้ เอาชนะกันด้วยความดี ไอ้เรื่องอะไรเราไม่รู้ ใครจะมาพูดให้ฟังก็ฟังไปอย่างนั้นแหละ แต่อย่าไปยึดถือเป็นอารมณ์ อย่าไปแสดงอาการโกรธอาการเกลียดต่อคนนั้น เอาความดีเข้าสู้ เอาความเย็นเข้าสู้ กับคนเหล่านั้น บางคนก็รับเอาไปปฏิบัติ แต่บางคนก็ “แหม มันยากเจ้าค่ะ ทำอย่างนี้มันยาก มันเคืองกันมานานแล้ว” อ้าวก็ ก็แก้กันใหม่ซิ แก้เรื่องโกรธให้กลายเป็นเรื่องไม่โกรธเสียบ้าง แก้เรื่องเกลียดให้กลายเป็นเรื่องรักเสีย แก้เรื่องริษยาให้กลายเป็นมุทิตาไป พลอยยินดีกับเขาเสียบ้าง
อย่างไอ้คนที่มาทำลายเรานี่เป็นคนน่าสงสารนะ น่าสงสาร มันมีโรคอยู่ เขาเรียกว่า มีโรคทางจิต พวกจิตทรามน่ะจิตเสื่อม คนเหล่านั้นน่ะ เราอย่าไปโกรธคนเหล่านั้น อย่าไปเกลียดคนเหล่านั้น แต่ควรจะนึกว่า “แหม มันน่าสงสารเหลือเกิน” ทำไมจิตใจมันจึงเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ควรคิดต่อไป “ทำอย่างไรจะช่วยคนนั้นให้มันหายโรคอย่างนี้เสียได้บ้าง” ต้องหาวิธีแก้คนเหล่านั้นด้วยความงามความดีของเรา เอาความดีเข้าสู้ (กินน้ำหน่อย)
เอาความดีเข้าสู้ เอาชนะกันด้วยความดี ให้ทำอย่างนั้นมันก็สบายขึ้น อย่างนี้เรียกว่า วิธีแก้ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในทางพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า “อกฺโกเธน ชิเน โกธํ - พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ” เอาชนะ (47.41) “อสาธํ สาธุนา ชิเน-ชนะความชั่วด้วยความดี” “ชนะคนตระหนี่ด้วยการให้” “ชนะคนปากพล่อยด้วยการพูดจริงกับเขาบ่อยๆ” เขาจะได้เห็นตัวอย่างเอาไปใช้บ้าง อย่างนี้วิธีชนะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ชนะกันด้วย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดาบต่อดาบ หมัดต่อหมัด” แบบนี้มันไม่ได้ มันตายทั้งคู่ ถ้าชนะอย่างนั้นมันตายทั้งคู่ แต่นี่เราจะตายทำไม เราเกิดมาแล้วเราควรจะอยู่ต่อไป จะได้ทำประโยชน์ต่อไป เราจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว เราก็ พูดด้วยความดี พยายามต่อสู้กับคนเหล่านั้น เอาดีเข้าว่า ว่างๆ ก็ชวนมาวัดเสียบ้าง เรามีรถก็บริการไปรับถึงบ้าน พามาวัด ให้ได้มาฟังธรรม ให้ได้รู้อะไรดีขึ้น ทีหลังเขารู้สึกตัวขึ้นเขาจะสารภาพกับเรา เขาจะมากราบเรา ขอบคุณเรา ในการที่เราช่วยดึงเขาขึ้นจากบ่อน้ำโสโครกที่เขาตกอยู่นานแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ช่วยกัน ช่วยกันแก้คน
สมัยนี้คนชั่วมันอย่างนั้นน่ะ มันไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวชั่ว ทำไมไม่รู้ เพราะมันไม่เคยเอากระจกไปส่องตัวเอง กระจกธรรมะนี่เขาไม่ใช้ เขาใช้แต่กระจกที่ขายในตลาดส่องดูหน้าดูตา ไม่เอากระจกธรรมไปส่อง ไม่อ่านหนังสือธรรมะ ไม่ฟังเทศน์ ไม่เข้าใกล้พระ มันเป็นพวกดอกบัวใต้น้ำที่จะเน่าเป็นเหยื่อเต่าตลอดเวลา แต่ว่าเราค่อยๆ ดึงเขา เพื่อจะให้เขาได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง จะได้เป็นประโยชน์แก่สังคมต่อไป ช่วยแก้ช่วยไข อย่างนี้มันก็พอจะทำได้ เราก็ทำไป
สภาพจิตใจคนนี่มันเปลี่ยนได้นะ อย่าเข้าใจว่าเปลี่ยนไม่ได้ สันดานมันขุดไม่ได้ สันดรขุดได้สันดานขุดไม่ได้ มันขุดได้ทั้งสองอย่างล่ะ สันดรก็ขุดได้ สันดานก็ขุดได้ แต่ว่าสันดรเขาใช้เรือขุด สันดานนี่ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องขุด ขุดตัวเรา แก้ไขตัวเรา ด้วยการมองตัวเราให้มันชัดเจนแจ่มแจ้ง ให้รู้ว่าสภาพจิตใจเราเป็นอย่างไร มีอะไรควรปรับปรุงควรแก้ไข ทำให้ดีขึ้น ถ้าเราพยายามปรับปรุงแก้ไข คนอื่นที่มีสภาพจิตใจอย่างนั้น เราก็หาวิธีเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังบ้าง เล่าไปทางอ้อมๆ หาวิธีการเรียกว่าอ้อมไป เพื่อให้เขารู้สึก ตีวัวแต่ให้มันกระทบคราดหน่อย ความจริงตีคราดให้กระทบวัวมากกว่า เพราะว่าคราดนี่มัน (50.46) ตีวัวกระทบคราดนี่ คราดมันไม่มีอะไร แต่ว่าถ้าตีคราดให้กระทบวัวมันก็ยังชั่วหน่อย วัวมันได้ยินนะ ตีคราด ปุ๊บ วัวตกใจ อ้าว ไปแล้ว ตีคราดกระทบวัว อันนี้เราจะควรตีคราดให้มันกระทบวัวบ้าง เรียกว่าเอาเรื่องใครๆ อื่นมาเล่าให้ฟังแล้วก็บอกว่า “แหม เขาได้เปลี่ยนชีวิตจิตใจไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีความรู้สึกนึกคิดถูกต้องขึ้น” คนนั้นก็จะได้คิดบ้างในเรื่องอย่างนั้น
คนเรานี่ถ้าว่าใกล้อะไรก็เกาะจับสิ่งนั้นนะ เหมือนกับว่าเถาไม้เลื้อยอยู่ใกล้ต้นไม้มันก็เกาะต้นไม้ ใกล้ไม้ก็เกาะไม้ มันก็เลื้อยไป จิตใจคนนี่ก็อย่างนั้นนะ อยู่กับคนชั่วมันก็เกาะความชั่ว อยู่กับคนดีมันก็เกาะความดี อยู่กับคนโง่มันก็ไปเกาะความโง่ของคนนั้นนะ ถ้าอยู่ใกล้คนฉลาดมันก็ไปจับความฉลาดของคนนั้นมาใช้ อันนี้เราจะต้องช่วยเขาให้ได้อยู่ใกล้บัณฑิตใกล้ผู้รู้ใกล้ผู้ฉลาด เขาจะได้เลียนแบบสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง
แล้วตัวเราเองนี่ก็เหมือนกันนะ เราจะต้องคอยเตือนตัวเราเองว่า เราจะสร้างแบบแผนที่ดีงามแก่คนอื่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในครอบครัว อยู่ในสังคม ในงานในการต่างๆ เราจะแสดงแบบแผนที่ดีงามให้คนอื่นเห็น แสดงอย่างนั้น อย่าแสดงแต่วัตถุภายนอก แสดงความคิดจิตใจให้ออกมาที่หน้าตา ที่คำพูด ที่การเคลื่อนไหวอิริยาบถ ที่การแสดงความคิดความเห็น ให้เป็นธรรมะ ให้เป็นความคิดเตือนจิตเตือนใจคนอื่น เพื่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดในด้านดีด้านงาม แม้คนจะใจชั่วใจทรามอย่างไร ถ้าได้อยู่ใกล้กับสิ่งดีสิ่งถูกสิ่งชอบบ่อยๆ เขาก็จะเปลี่ยนไปเหมือนกัน จะเปลี่ยนไปได้เหมือนกัน มันเปลี่ยนไปทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็ค่อยเปลี่ยนไปๆ จนกระทั่งว่าเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
อันนี้หลักการนี้ชาวต่างประเทศเขาเคยใช้ คือเขาถือว่าคนมากก็ไปเปลี่ยนคนมาก เอาคนมากไปเปลี่ยน เช่นว่าจะไปกลับใจใครสักคนหนึ่งให้เป็นคนดีนี่ เขาเอาไปกันหลายคน ในการไปหลายคนนั้นก็ต่างคนต่างก็พูด ผลัดกันพูด นาย ก. พูดอย่างนี้ นาย ข. พูดอย่างนี้ นาย ค. พูดอย่างนี้ นาย ง. พูดอย่างนี้ พูดเพื่อให้คนนั้นคนเดียวฟัง คนนั้นก็เมื่อถูกสื่อนี่ เรียกว่าล้อมวงกันแล้วก็พูดให้คนนั้นฟัง คนนั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนกับถูกเป่าถูกเสก จิตใจมันก็ค่อยโน้มไป เกิดความคิดว่า “เอ๊ะ คนหลายคนนี่เขาคิดอย่างนั้น เขามีแนวอย่างนั้น แต่ว่าแนวเรามันไม่เหมือนเขา เรามันเกะกะระราน มีความไม่ซื่อ มีความไม่บังคับตัวเองไม่ควบคุมตัวเอง ทำอะไรในสิ่งเหลวไหล” คนนั้นก็ค่อยเปลี่ยนไป
แล้วก็ชวนไปที่สมาคมเขา ชวนไปกินข้าวร่วมกัน เวลากินข้าวเขาก็คุยกัน เขามีจุดมุ่งไปที่คนๆ นั้นคนเดียว ทุกคนคุยเข้าสู่จุดนั้น ไอ้คนนั้นก็กินอาหารด้วย แต่ว่าหูก็กินเสียงที่เขากำลังพูดอยู่ด้วย คลุกคลีไปคลุกคลีมา กลับสารภาพออกมาว่า “แหม ผมนี่เลวมาก ได้กระทำความผิดอย่างนั้น เป็นผู้เผด็จการในครอบครัว อยู่ในครอบครัวแล้วก็เป็นผู้เผด็จการ มีอำนาจเด็ดขาดทุกอย่าง แม่บ้านหือไม่ขึ้น ลูกทุกคนก็ไม่ได้ เผด็จการทั้งนั้น” ก็เล่าให้ฟัง แล้วยังเล่าเรื่องอื่นอีกที่ทำไม่ดีหลายอย่าง เลยเปลี่ยนไป กลายเป็นคนเรียบร้อยดีงาม แล้วก็ไปเล่าให้ใครๆ ฟังว่า เขาเมื่อก่อนนี้มันแย่ แต่เมื่อมาเข้าสู่สมาคมนี้แล้วเกิดความสำนึก รู้สึกผิดชอบชั่วดี ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจไป นี่ก็เปลี่ยนไป อย่างนี้เขาเรียกว่า เป็นดอกบัวที่บานรับแสงอาทิตย์ คือความงามความดีทั้งหลาย
คนมาวัดนี่ก็มีหลายประเภทเหมือนกัน บางคนมานี่เห็นฝนครื้มๆ อย่างนี้ก็มานึกว่า “เออ วันนี้ท่าจะเหมาะ ที่นั่งกลางแจ้งคงจะน้อย คงจะเข้าไปในศาลา เราไปนั่งแอบใครๆ กระเป๋าใครเผลอๆ จะได้เปิดเอาไปเสียบ้าง ไอ้อย่างนั้นมันก็มีเหมือนกัน จะมาจ้องล้วงกระเป๋า เพื่อจะยกนั่นยกนี่อะไรต่ออะไรของใคร รองเท้าของใครใหม่ๆ ก็จะได้หยิบเอาไปเสียบ้าง ไอ้อย่างนั้นมันก็มีเหมือนกัน เรียกว่า เขาไม่ได้มาบ่อยๆ มาสักครั้งก็เรียกว่ามาเพื่อจะเอา เอาทีเดียว ไปวัดอื่นต่อไป ไปบ่อยก็ไม่ได้ คนจำหน้าได้ อย่างนี้มีเหมือนกัน บางทีก็เอากระเป๋าของตัวมา แต่ว่าไม่มีอะไร ลืมไว้เสีย แต่เอากระเป๋าคนอื่นหิ้วไป เอากระเป๋าคนอื่นหิ้วไปเพราะในกระเป๋านั้นมันมีอะไรอยู่บ้าง อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน
เราอย่าพูดเลย “มาวัดแล้วยังไม่ดี” เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาทำดี ตั้งใจจะมาทำชั่ว ไอ้คนประเภทนั้นน่ะ เขาไม่ฟัง เสียงหลวงพ่อพูดนี่เขาไม่ฟัง แต่ก็นั่งวางแผน “กูจะเอาอะไรดี รถยนต์ใครเผลอบ้าง อะไรใครประมาทบ้าง” คิดอย่างนั้น เขามุ่งอย่างนั้น ก็ปล่อยเขา แต่ถ้าเขามาบ่อยๆ นั้นคงเปลี่ยนใจเหมือนกัน ได้ฟังพระเทศน์บ่อยๆ ก็เตือนจิตเตือนใจไป ตามโอกาสที่จะเปลี่ยนไปได้ เราก็หวังว่าคนประเภทอย่างนั้น เมื่อได้ยินเสียงพระ ก็คงจะได้ความรู้สึกนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ เปลี่ยนความคิดว่าจะมาเอาอะไรนั้น กลายเป็นไม่เอาไป แต่เอาธรรมะกลับไปใช้หล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจให้เจริญงอกงามในทางที่ดีที่ชอบต่อไป ก็เป็นเรื่องน่าสรรเสริญ
ดังได้แสดงมาก็พอสมควรแก่เวลาสำหรับวันนี้ก็เรียกว่าใช้ได้ ฝนไม่ตกในตอนนี้ แต่ยังขอต่อไปอีกหน่อยนะ ให้พระฉันเพลเสร็จเรียบร้อย โยมกินข้าวเสร็จด้วยนะ แล้วถึงจะตกจะอะไรต่ออะไรไม่ว่า แต่ว่าตอนบ่ายนี้ก็มีอะไรพิเศษโยมนะ เขามีการอภิปรายเนื่องด้วยวันแม่ วันแม่ไม่ใช่วันนี้หรอก วันที่ ๑๒ แต่วันที่ ๑๒ ไม่ใช่วันอาทิตย์ เขาก็เลยจะมาอภิปรายกันในวันนี้ เวลาบ่ายโมง ญาติโยมอยากจะฟังก็อยู่ฟังไป คือวันอาทิตย์ตอนบ่ายนี่ก็จะมีอะไรพิเศษ พูดให้พระใหม่ฟังด้วย โยมก็พลอยฟังด้วย อาทิตย์ที่แล้วลืมบอกไป ไม่มีใครอยู่ฟังกี่คน แต่นี่ต่อไปทุกอาทิตย์แหละ บ่ายโมงครึ่งนี่ก็มีต่อ พูดอะไร เชิญวิทยากรมาจากข้างนอกให้มาให้ความรู้อะไรๆ แก่พระใหม่ด้วย แก่ญาติโยมทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่รีบร้อนก็อยู่รับฟังเรื่องอะไรกันต่อไป อ้าว ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที