แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณบัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี อย่าเดินไปเดินมา นั่งเสีย นั่งที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากลำโพงขยายเสียงได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วจงตั้งใจฟังให้ได้ประโยชน์จากการมาวัดตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เมื่อตอนกลางคืนฝนก็ตก ทำให้วิตกนิดหน่อยว่าวันอาทิตย์จะลำบากแก่ญาติโยม แต่ว่าตอนเช้านี้อากาศค่อยโปร่งขึ้นหน่อย มีแสงแดดส่องพอจะนั่งกันได้ แต่ว่าที่ลานไผ่นั้นแม้จะปูเสื่อแล้ว ก็ยังนั่งไม่สบายเพราะว่าพื้นที่มันเปียกด้วยน้ำฝน ต่อให้ทนเอา ให้นึกว่าร่างกายเปียกน้ำนี้ไม่เป็นไร อย่าให้ใจเปียกชุ่มด้วยกิเลสก็แล้วกัน เพราะว่าเปียกน้ำนี้มันหายได้ แห้งได้ แต่ว่าเปียกด้วยกิเลสนี่มันแห้งยาก สิ่งที่น่ากลัวคือกิเลสไม่ใช่น้ำฝน ไม่ใช่ฝน เพราะฉะนั้นนั่งให้สบาย แล้วก็มีนักเรียนจากโรงเรียนการพาณิชย์พระนครก็มาฟังด้วยในวันนี้จำนวนหนึ่ง ก็คงนั่งฟังอยู่แถวบริเวณนั้นไม่ได้เห็นหน้าผู้แสดง ไม่เป็นไร ฟังเอาแต่เสียงไปก่อน แล้วค่อยดูหน้ากันภายหลัง หน้าตานี้ไม่สำคัญอะไรหรอก เพราะว่าไม่ได้แปลก จมูกสองรูเหมือนกัน ตาก็เหมือนกัน หูก็เหมือนกัน อะไรๆก็เหมือนกันทุกคน ผิดกันแต่เพียงรูป หน้าเป็นอย่างนั้น หน้าเป็นอย่างนี้ แต่ว่าส่วนรวมมันก็เหมือนๆกัน เพราะฉะนั้นให้นึกว่าหน้าตาเป็นอย่างนั้น แล้วเอาเสียงธรรมะดีกว่า เพราะเสียงธรรมเป็นสิ่งสำคัญกว่าร่างกาย ครั้งนึงพระเจ้าปเสนทิโกศลไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็ไปกอดพระบาทพระผู้มีพระภาค ทรงจุมพิตที่ฝ่าเท้าหลังเท้าของพระองค์หลายครั้ง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ร่างกายของตถาคตก็เหมือนกับร่างกายของคนทั่วไป มีการเปื่อยเน่าเมื่อถึงแก่ความตาย แล้วก็ไม่ได้เป็นสิ่งสะอาดอะไร ปฏิกูลเหมือนๆกัน แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่ตถาคตมีนั้นคือสภาพจิตใจที่แตกต่างจากชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย คือจิตที่เป็นพุทธะนี่แตกต่างจากจิตของชาวบ้านทั่วไป เพราะจิตของชาวบ้านทั่วไปนั้นยังตกอยู่ในอำนาจของสิ่งทั้งหลายในโลก แต่ว่าน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ติดอยู่ในสิ่งใดๆ
พระเจ้าปเสนก็กราบทูลว่าข้อนั้นข้าพระองค์ทราบแล้ว แต่ว่าข้าพระองค์มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งในพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้กระทำในรูปเช่นนี้ ตามแบบของผู้ที่เป็นชาวบ้าน แต่พระผู้มีพระภาคก็ไม่นิยมให้กระทำเช่นนั้น ให้ถือเอาธรรมะที่พระองค์สอนเอาไปใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันมากกว่า เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เสียหาย แต่เป็นสิ่งให้ประโยชน์แก่ชีวิต จิตใจของเราทั้งหลายทุกถ้วนหน้า เพราะฉะนั้นอย่าไปนึกถึงเรื่องรูปคน แต่ให้นึกถึงคุณภาพของคนนั้นๆ โดยเฉพาะเสียงที่เป็นธรรมะ จะเป็นเสียงใครก็ได้ แต่ถ้าเป็นเสียงที่เปล่งออกมาเป็นธรรมะเป็นเครื่องชี้ทางแก้ทุกข์ ชี้ทางสุขให้เราได้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ก็ถือว่าเสียงนั้นเป็นเสียงที่มีประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่า แต่ถ้าเป็นเสียงด่าว่าจากใครๆก็ตาม ไม่เป็นมงคลหู ไม่เป็นปิยวาจา คือไม่เป็นวาจาที่น่ารัก น่าชอบใจ เสียงนั้นใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเสียงใดแม้จะหนักไปหน่อย แต่ว่าเป็นเสียงที่เตือนจิตสะกิดใจให้เราเกิดความรู้สึกนึกคิดในทางที่ถูกที่ชอบ เสียงนั้นควรฟัง เช่นเสียงด่าว่าของผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หรือแม้พระสงฆ์องค์เจ้า บางทีก็พูดอาจจะหนักไปบ้าง เพราะความปรารถนาดี ต้องการพูดให้กระเทือนใจ ให้เกิดความคิด เราก็อย่าไปโกรธในทุ้มเสียงเหล่านั้น แต่ให้คิดว่าเจตนาเป็นกุศล เป็นเรื่องที่ต้องการให้เราได้สำนึกในหน้าที่ในการปฏิบัติ จะได้เปลี่ยนแปลงความคิดความเห็นให้เข้าหาความถูกต้อง แม้เสียงนั้นจะหนักไปบ้างก็อย่าไปโกรธ เหมือนยาแก้โรคนี่ไม่ได้หวานทุกขนานหรอก แต่ยาปัจจุบันก็เคลือบน้ำตาลไว้ข้างนอกเพื่อให้คนกินได้ง่ายๆ แต่ถ้ายาแบบโบราณแล้วก็ไม่มีการเคลือบน้ำตาล ต้มมาอย่างใดก็กินกันไปอย่างนั้น บางขนานต้องอุดจมูกแล้วกินเข้าไป เพราะกลิ่นมันแรง แล้วก็ขมติดคอนานอยู่ตั้งสองชั่วโมงสามชั่วโมง เป็นยาที่ขมมาก แต่ว่ายาที่ขมนั้นมันเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย หายโรคหายภัย แล้วร่างกายสบายดี จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่า วาจาที่ขมขื่นแต่ว่ามีประโยชน์ก็เป็นวาจาที่มีคุณค่าแก่เราผู้ได้ยินได้ฟัง เราได้ฟังแล้วอย่าไปเกิดเจ็บใจ ขัดเคืองในเรื่องนั้น แต่ควรคิดว่าเนื้อแท้มันเป็นคำเตือนใจที่เราควรจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราเอาคำพูดนั้นมาใช้ดีกว่า
คำพูดของคนบางคนอาจกระทบกระเทือนจิตใจคนได้ ถ้าคนนั้นขาดคุณธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ ก็จะเกิดความโกรธขึ้นมาทันที เช่นเขาพูดอะไรให้เราได้ฟังที่โลกสมมุติว่ามันไม่ดี เป็นคำไม่เพราะหูเนี่ย ถ้าคนฟังเป็นผู้ขาดธรรมะ พอฟังปุ๊บก็จะโกรธขึ้นมาทันที คือว่าเสียงนั้นมากระทบหู เกิดความรู้ทางหูแล้วก็มันเกิดผัสสะขึ้นมา เหมือนเมื่อตะกี้นี้ท่านเจ้าคุณพุทธทาสเทศน์ทางวิทยุว่ามันอยู่ที่ผัสสะ คือการกระทบ เสียงมากระทบหูเกิดการรู้ทางหู หูเสียงความรู้ทางหูรวมกันเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะตัวนี้แหละจะทำให้เราเกิดกิเลสก็ได้ ให้เราไม่เกิดกิเลสก็ได้ สุดแล้วแต่ฐานทางจิตใจของบุคคลนั้น ถ้าฐานทางจิตใจมันมีกิเลสอยู่ในใจ หรือว่ามีความรู้สึกถือตัวถือตนมานะอยู่ในใจ เขาพูดคำไม่ดีให้มากระทบประสาทหู ก็จะเกิดโกรธขึ้นมาทันที การโกรธขึ้นมาทันทีนั้นเป็นเครื่องวัดบุคคล เขาด่าเรานี่เป็นเครื่องวัดว่าเราทนได้หรือเปล่า ใจเราเยือกเย็นหรือเปล่า ถ้าเราไม่เยือกเย็น เราโกรธออกไป ก็เป็นเครื่องวัดว่ายังไม่แก่กล้า ความรู้สึกนึกคิดยังไม่สูงพอ การปฏิบัติธรรมะยังไม่เป็นหลักประกันในการคุ้มครองชีวิต เรายังโกรธ ยังเคือง ก็ยังไม่ดี รู้เท่าว่าเราไม่โกรธไม่เคืองคำพูดของคนนั้น ได้ฟังแล้วก็เห็นแต่ว่ามันเป็นลมปาก ออกจากปากแล้วมันก็หายไป ลมที่พัดตามธรรมชาติลมร้อนมันร้อนผิวหนัง ลมหนาวมันก็หนาวผิวหนัง แต่ว่าลมปากนี่ไม่ได้ทำให้ร้อน แล้วก็ไม่ได้ทำให้หนาวอะไร มันนิดเดียวเท่านั้นเอง เปล่งออกมาเป็นเสียงแล้วลมนั้นก็หายไป แต่มันมากระทบประสาทหูของเรา ถ้าว่าเราหวั่นไหวไปตามคำเหล่านั้นเราก็โกรธขึ้นมา บางทีก็โกรธแรงขึ้นมา แล้วก็วิ่งแจ้นไปเที่ยวโพทนากับคนนั้นกับคนนี้ ไปประกาศให้คนอื่นรู้ว่าฉันนั้นมันคนขี้โกรธ ฉันบังคับตัวเองไม่ได้ ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ อะไรกระทบนิดกระทบหน่อยก็ปึงปังโผงผางขึ้นมา มันได้อะไรขึ้นมาบ้างในการที่ทำเช่นนั้น มันได้แต่การขาดทุน ทำให้คนอื่นมองเห็นว่าเราเป็นผู้ขาดทุนธรรมเป็นหลักครองใจ ขาดการบังคับตัวเอง ขาดการอดทน ขาดความเสียสละในสิ่งนั้นไปเอามาโดยไม่เข้าเรื่อง แล้วก็ยังจะเป็นเครื่องมือให้คนอื่นเอาไปพูด เอาไปเขียน เอาไปโฆษณา เหมือนดังในทางที่ไม่เป็นมงคลอะไรในการกระทำเช่นนั้น เป็นเรื่องเสียทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องดีงามอะไรแก่ตัวเรา ทางที่ถูกนั้นควรจะได้ทำไว้ในใจ ว่าเราจะไม่โกรธใคร เราจะไม่เคืองใคร ใครจะพูดอะไรกับเราเราก็จะเฉยๆ เราจะไม่แสดงอาการโกรธ ไม่แสดงอาการเกลียดชัง หรือไม่แสดงอาการออกไปในรูปเช่นนั้น อันนี้จะช่วยให้เราสบายใจ แล้วถ้าใครเห็นเรากระทำเช่นนั้น เขาก็ชมเชยเราว่าคนนี้เขาหนักแน่น ใจเขาเย็น ใจเขาสงบ ได้รับเกียรติ ได้รับคำชมเชย เพราะเรามีคุณธรรมเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ แต่ถ้าเราไม่มีคุณธรรมเป็นเครื่องครองใจ
คนก็จะอาจมองเห็นว่าคนนี้มีความรู้แต่ไม่มีปัญญารักษาจิตใจ ความรู้ในทางโลกอาจจะมี สอบไล่ได้สูง ได้ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แต่ว่าจิตใจก็ยังไม่ดีขึ้น ยังเป็นคนเร่าร้อน วู่วาม ใครพูดอะไรกระทบหูนิดหน่อยก็แล่นออกไปทันที อย่างนี้แสดงว่ายังไม่หนักแน่น ไม่หนักแล้วก็ไม่แน่น ของหนักแน่นมันดี ในสมัยก่อน เดี๋ยวนี้ก็ยังทำกันอยู่ เวลาเขามีงานวัดงานวา ภาคเหนือเขาทำไว้ เขาทำเป็นโรงเล็กๆ แล้วก็มีผ้าหุ้มเป็นหลังคา และในโรงนั้นก็มีก้อนหินก้อนหนึ่ง ก้อนใหญ่พอสมควรพอวางได้ แล้วก็มีบาตรไปวางไว้ด้วย เครื่องบูชาสักการะ ที่อื่นไม่มี แต่มีอยู่ที่เชียงใหม่ อาตมาไปเห็นเข้าก็สนใจ และได้ถามญาติโยมว่านั่นอะไร ใครเอาศาลผีอะไรมาวางไว้ในลานวัดอีก เขาบอกว่าไม่ใช่ศาลผี เป็นศาลพระอุปคุต ศาลพระอุปคุตและก็บอกว่ามีอะไรมั่งในศาลพระอุปคุตนั่น มีก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วก็มีบาตรพระ มีเครื่องบูชาสักการะ พอเขาบอกอย่างนั้นก็มองไปในแง่ธรรมะได้ทันทีว่า คนโบราณนั้นเขาฉลาด เขาทำอะไรเป็นเครื่องเตือนใจ เป็นแบบปริศนาธรรม แต่ว่าคนที่ไม่คิดมันก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าอะไร เลยไปถือเป็นของขลังไป เป็นไสยศาสตร์ไป เนื้อแท้นั้นเขาทำไว้เพื่อเป็นเครื่องสะกิดใจ เพราะว่าในการทำงานนี่คนมากันมาก คนมากๆต่างจิตต่างใจ ต่างความคิดความเห็น อาจจะเกิดการกระทบกระทั่งกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันก็ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเป็นเช่นนั้นขึ้นมาในสังคม เขาทำสิ่งนั้นเป็นเครื่องเตือนใจไว้ แต่ว่าคนมันไม่คิด เมื่อไม่คิดก็ไม่เห็น แล้วก็ไม่เข้าใจความจริงนั้นที่เขาเอาหินมาวางไว้นั้น ก็เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนใจว่าให้หนักเหมือนหิน ให้แน่นเหมือนหิน หินนี้มันแน่น มันไม่มีรูที่น้ำจะซึมเข้าไปได้เลย แล้วมันมีน้ำหนักมาก เราก็ต้องทำใจให้หนักเหมือนหิน ให้แน่นเหมือนหิน อะไรมากระทบกระทั่งกันบ้างนิดๆหน่อยๆอย่าไปโกรธเคืองกัน อย่าไปชกต่อยตีรันฟันแทงกัน อันนี้เป็นเครื่องเตือนใจอย่างนั้นให้เราเป็นคนหนักแน่น แล้วก็มีคำพังเพยของคนโบราณเขาพูดไว้ว่าไปไหนอย่าพกนุ่นให้พกหินไป เขาว่าอย่างนั้น ญาติโยมเคยได้ยินบ้างไหมคนเฒ่าคนแก่เขาสอน สอนเด็กหนุ่มหรือว่าสอนคนไม่ใช่รุ่นใหม่ เวลาไปไหนเขารู้ว่าไปในที่นั้นมันจะมีอะไรเกิดขึ้นเขาก็พูดเป็นเชิงแนะว่า เออไปเถอะอย่าพกนุ่นไป ให้พกหินไป ไอ้คนที่มันไม่รู้เรื่องอะไรก็เดินไปเจอก้อนหินก็เอาใส่พกไป พกไปก้อนนึงเพราะว่าคุณยายแกบอกว่าให้พกหินไป อย่าพกนุ่นไป ความจริงนั้นนุ่นมันเบา เป็นของเบาลมพัดนิดหน่อยก็ปลิวว่อนไป แค่ว่าเรายกขึ้นเป่าแล้วก็ปลิวไป มันเบามันปลิวง่าย แต่ว่าหินนั้นมันหนัก ลมพัดก็ไม่หวั่นไหว อะไรก็ไม่หวั่นไหวทั้งนั้นแหล่ะ ก็หมายความว่าให้ไปด้วยใจที่หนักแน่น ให้ไปด้วยความหนักแน่นในใจ อย่าใจเบา อย่าใจเร็ว อย่าใจร้อน อย่าเป็นคนหวั่นไหวต่ออารมณ์ที่มากระทบ นั้นหมายความว่าใจเป็นหิน ใจหนักเป็นหินขึ้นมาหนักแน่น อะไรมากระทบก็ไม่โยกโคลงไปกับอย่างนั้น
คำพูดเหล่านี้เป็นคำเตือนใจ ไปไหนอย่าพกนุ่น ให้พกหินไป เพื่อให้ไปด้วยความหนักแน่น ด้วยความอดทน ด้วยการใช้สติปัญญาพิจารณาสิ่งทั้งหลาย คนเราในสมัยนี้มักจะใจร้อน ใจเร็ว หุนหันพลันแล่น ทำอะไรวู่วาม เช่นคนขับรถนี่มีคนประเภทวู่วามอยู่ไม่ใช่น้อย รีบร้อนเหลือเกิน เคยนั่งรถบนถนนสายวิภาวดีรังสิต ช่องมันก็กว้างไปสบายแต่บางทีก็มีรถแซงอย่างรีบร้อน อาตมาก็พูดกับคนขับนั่งรถจะให้ไปขึ้นเรือบิน กลัวจะไม่ทันเรือบินมันต้องรีบไปหน่อย แต่น่ากลัวมันจะไปนอนโรงพยาบาลมากกว่าไปขึ้นเรือบินขับรถแบบนั้นหน่ะ นี่คือความร้อน ร้อนใจขับเร็วๆ วันนึงทหารนักบินเพราะว่าคงจะนั่งจะขี่แต่เรือบิน เรือบินมันไม่มีอะไรขวางหน้าแล้วก็บินไปตามชอบใจ ไม่ชนหรอก แล้วทีนี้มานั่งขับรถบนถนนเข้า พอไปถึงตรงนั้นมันเป็นทางแยกเข้าบ้านรถไฟถนนวิภาวดีเขามีไฟแดงไฟเขียว รถนักบินคันนั้นถึงไฟแดงก็ไม่หยุด ฝ่าไฟแดงไปเลย เมื่อฝ่าไฟแดงก็รถออกมาทางขวามือคันนึงพอออกมาถึงรถของทหารก็ชนตูมเข้าให้ หมุนเลย อาตมานั่งรถไปก็เห็นแล้ว รถคันนั้นหมุนเลย หมุนแล้วกลับพุ่งไป ขับพุ่งไปไอ้นั่นก็หยุดหมุน ดีที่ว่าไม่มีรถผ่านไปชนเพราะไฟแดงบังคับไว้ นั่นฝ่าไฟแดงไป ก็มีตำรวจอยู่คนนึงที่ตรงนั้น ที่มอเตอร์ไซค์สตาร์ตเครื่องควบไป วิ่งไปทันทางเชิงสะพานลาดพร้าว อาตมานั่งรถไปก็ไปทันพอดีเห็นเขาเรียกตัวลงมา แต่งชุดทหารอากาศ อ๋อเขาเคยแต่นั่งเรือบินไม่เคยนั่งรถยนต์บนถนน จึงขับรถเหมือนขับเรือบิน แล้วไม่ได้ไปคนเดียวนะ ไปกับแฟนเสียด้วย เลยตำรวจเรียกตัวลงมาก็หน้าซีดหน้าเซียวไป คนขับรถคันนี้ก็วิ่งตามไปเพื่อเรียกค่าเสียหายกัน นี่เขาเรียกว่าพกนุ่น คนอย่างนี้เขาพกนุ่น ไม่ได้พกหินมันก็ลำบาก เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในที่ใดๆที่มีการใช้คำพูดกัน ถ้าเราพกหินแล้วไม่ค่อยเป็นอะไร แต่ถ้าพกนุ่นแล้วเกิดโมโหโทโส ก็เรียกว่าอย่างนั้น โมโหก็คือมันวูบขึ้นมา โทสะก็คือร้อนขึ้นมา จุดไฟเผาตัวเองให้ร้อน ร้อนแล้วก็ร้อนคนเดียวไม่ได้ กลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าเราเป็นคนอย่างนั้น ก็ต้องไปบอกพวกคนใกล้เคียง บางทีก็ไปบอกคนหนังสือพิมพ์ว่าคนๆนั้นว่าฉันอย่างนั้น ทำฉันอย่างนี้ แล้วมันได้อะไรขึ้นมานอกจากว่าเอาเหยื่อไปป้อนให้หนังสือพิมพ์เอาไปเขียนในหนังสือพิพม์ต่อไป ให้นักอ่านข่าวทางวิทยุเอาไปอ่านในวิทยุต่อไป เป็นการโฆษณาที่ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ได้เกียรติอะไร นี่ก็เพราะว่าขาดคุณธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ จึงได้เกิดปัญหาขึ้นอย่างนั้น ในสังคมมนุษย์เราในปัจจุบันนี้
เหตุการณ์บางอย่างมันไม่น่าจะเกิดแต่มันก็เกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องมันควรจะหยุดเพียงนี้แต่มันยาวออกไป ที่ยาวออกไปนั้นก็เพราะว่า คนเรามันขาดห้ามล้อ รถไม่มีห้ามล้อนี้มันชนกันเป็นแถวไปเลย ชนกันตั้งหลายๆคัน คนขาดห้ามล้อนี่ก็เหมือนกัน ยับยั้งชั่งใจไม่ได้แล้วก็ไหลไปตามเรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องยาวไป น้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้รบกันตายไปตั้งมากมายในหมู่บ้านนั้น ตำบลนั้น เพราะน้ำผึ้งหยดเดียว คำพูดนิดหน่อยถ้าเราให้อภัยเสียมันก็ไม่มีเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอย่างนี้ไว้ว่าอย่างไร มีอยู่ในพระสูตรสูตรหนึ่งท่านว่าไว้ดี คือบอกว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าโจรใจร้ายเอาเลื่อยคมกริบมาเลื่อยขาของเธอ หนังขาด เนื้อขาด สายโลหิตขาด เจ็บกระดูก ถ้าเธอมีใจโกรธเคืองต่อโจรนั้น ไม่ชื่อว่าเธอทำตามคำสอนของตถาคต มีใจโกรธเคืองต่อโจรที่เอาเลื่อยมาเลื่อยขา ไม่ชื่อว่าทำตามคำสอนของตถาคต ของพระพุทธเจ้า การทำตามคำสอนของตถาคตก็คือไม่โกรธในการประทุษร้ายของโจรคนนั้น แม้เขาจะเลื่อยขาเราก็ยังไม่โกรธ เรามีความควบคุมจิตใจได้ เราอดได้เราทนได้ เรายิ้มรับกับเหตุการณ์ได้ นั่นแหล่ะชื่อว่าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์สอนไว้อย่างนั้น แล้วก็คราวหนึ่งมีเรื่องคือพระพุทธเจ้ากับพระสาวกจำนวนมากเดินทางไปเมืองราชคฤห์ ก็มีปริพาชกอีกพวกหนึ่ง กับคนกับคณะศิษย์เดินทางมาเหมือนกัน ในหมู่ปริพาชกนั้นอาจารย์กับลูกศิษย์ความคิดไม่ตรงกัน อาจารย์เดินนินทาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ตลอดทาง แต่ว่าลูกศิษย์นั้นเดินสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตลอดทาง ขัดกัน อยู่แหล่งเดียวกัน เป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน แต่ว่าอาจารย์นั้นเป็นคนพูดนินทาพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์นั้นกลับสรรเสริญพระพุทธเจ้า ก็เดินเถียงกันไป อาจารย์ว่าไม่ไหวพระพุทธเจ้าแย่มาก ลูกศิษย์ก็แหมพระพุทธเจ้านี่น่ากราบ น่าไหว้ ใจดีใจงามเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ว่ากันไปเรื่อย ก็ได้ยินไปถึงพระที่เดินผ่านเหมือนกัน พอได้ยินเช่นนั้นก็ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไปกราบทูลพระองค์ พระองค์ก็ตรัสว่าเธออย่าไปยินดียินร้ายกับคำพูดของคนใดๆ เขาพูดชมเราก็อย่ายินดี พูดติเราก็อย่ายินร้าย เพราะถ้าเรายินดีปัญญาหายไป ยินร้ายก็ปัญญามันจะหายไปด้วยเหมือนกัน เหตุผลหายไป ความรู้สึกผิดชอบหายไปเพราะความยินดียินร้าย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเราเมา เขาชมเราเมา เขาติเราก็เมาเหมือนกัน แต่เมาคนละแบบ เขาชมนี่เหมือนกับเมาเหล้าหวาน เขาติเหมือนเมาเหล้าดีกรีสูง เรียกว่าพอกินเข้าไปมันก็น่ามืดไปเลยทีเดียวอย่างนั้น มันหวั่นไหวไปกับสิ่งเหล่านั้น การหวั่นไหวนั้นก็จะเกิดความหลงได้ง่าย
เช่นว่าเขาชมให้เราหลงนี่ ชมให้เราหลงนี่เราอาจจะเสียท่าเขาก็ได้ คนบางคนมันลิ้นเก่งตวัดหวานทีเดียว มาถึงพูดชมเราจนเพลินไป เดี๋ยวมันก็ขอยืมสตางค์เราแล้ว เรามันลืมไปก็เพราะเขายอให้เราใหญ่ เราก็ต้องให้ ให้สตางค์ยืมไม่เท่าไหร่หรอก มันชมเราจนกระทั่งว่าเราเซ็นต์อะไรให้มัน เสียท่าเขาไป เป็นเงินตั้งสองสามล้านก็มี มีเรื่องอย่างนี้มี มันชมพูดจาอย่างนั้นอย่างนี้ ยกเหตุยกผล คนแก่ผู้ซื่อสัตย์มัวแต่เข้าวัดเข้าวา แต่ไม่ปฏิบัติธรรมะให้มันลึกซึ้ง ถูกเด็กมันต้มเอา ต้มให้เซ็นต์มอบอำนาจให้ แล้วมันเอาไปขายเสีย ขายแล้วมันไม่เอาเงินมาให้ คนแก่ก็เดือนร้อน ไม่ใช่เงินเล็กน้อยมันตั้งสามล้าน มันเป็นอย่างนี้ นี่ก็เพราะว่าหลงในคำชม ในกิริยาท่าทาง ในความอ่อนน้อม มันเข้ามาถึงกราบมือกราบตีนแสดงมายา นี่เขาเรียกว่ามายา มันไม่ได้แสดงจริงจังอะไรเป็นมายาสาไถ แสดงให้เห็นก็เลยหลงลมมันเข้า ให้มันทุกอย่าง เซ็นต์ให้ทุกอย่างให้ไปจัดการ ขายแล้วจะเอาเงินมาให้คุณตา หนูไม่โกงคุณตาหรอก มันจะโกงแต่ว่ามันบอกว่ามันจะไม่โกง คุณตาก็ว่าไม่เป็นไร คุณตาเชื่อ คุณตาก็เกรงใจกลัวอีหนูคนนั้นมันจะเสียใจว่าไม่เชื่อ เลยบอกว่าตาเชื่อเรื่องอย่างนี้ ตาไว้ใจ เสร็จแล้วมันไปทำเสร็จแล้วมันไม่มาหาคุณตาเลย มันหายหัวไปซะเลย คุณตาก็เดือดร้อนไปตามๆกัน นี่มันเป็นอย่างนี้บ่อยๆ เพราะฉะนั้นใครที่มาพูดหวานกับเรานี่ต้องมีสติไว้ เฉลียวใจไว้หน่อย คนนี้จะมีลูกไม้อะไร กูต้องระวังหน่อย แล้วก็ไม่เสียท่า ถ้ารู้สึกตัวอย่างนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชายที่มาพูดแบบลูกไม้กับเราต้องระวัง ระวังไว้เพราะว่ามีลูกไม้ คนเราจะมาขออะไรจากเรา ไม่ใช่มาถึงมาขอทันที ชูชกกว่าจะขอชาลีกัณหา ชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาล่อเสียก่อน ที่ว่าชักแม่น้ำทั้งห้าหมายความว่าแม่น้ำห้าสายเต็มไปด้วยน้ำแล้วก็ใสสะอาดปราศจากคูถ ใครจะกินก็ได้ จะอาบก็ได้ แล้วก็ไหลไปรวมแม่น้ำใหญ่เกิดเป็นแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ คนนิยมไปอาบไปบูชาฉันใด น้ำพระทัยของพระเวสสันดรเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละ เมตตากรุณาเห็นอกคนยากคนจน ไม่ว่าใครบากหน้าเข้ามาขออะไรก็ให้ทั้งนั้นแหล่ะ ยอม ยอมพระเวสสันดร ความจริงพระเวสสันดรเองท่านรู้เหมือนกัน รู้ว่าตาแก่นี่มายอคงจะขออะไรอีกแน่ จะขออะไรอีกเราหมดแล้วนี่ ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีแล้ว มาขออะไร ยอไปยอมา มาขอลูก ขอเอาชาลีกัณหาไปเป็นคนใช้ เพราะว่าชูชกนี่แกได้เมียสาว เมียสาวปฏิบัติดี แม่อมิตดานี่เรียบร้อยมากเป็นแม่บ้านที่ดี ลงไปท่าน้ำตักน้ำขึ้นมาให้ชูชกอาบกิน อะไรสะดวกสบาย ชายอื่นในบ้านนั้นมีเมียมีครอบครัว ภรรยาของตัวไม่เคยปฏิบัติต่อตัวอย่างนั้น ก็พอเห็นนางอมิตดาปฏิบัติต่อชายแก่ก็ริษยาตาแก่ขึ้นมาแล้ว แล้วก็เคืองภรรยาของตัวขึ้นมา ก็เลยไปบ้านก็ไปต่อว่าภรรยาว่านี่พวกเธอไม่ดูแม่นางอมิตดาเขามั่งเลย เขามีผัวแก่แต่เขาปฏิบัติดีตักน้ำมาให้อาบ บ้านช่องสะอาดเรียบร้อย แกมันไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแล้วพอพูดอย่างนั้นลมเพชรหึงมันเกิดขึ้นในใจของภรรยาเหล่านั้น นึกว่าผัวไปชอบนางอมิตดา เพราะว่าไปยอนางอมิตดาก็ต้องไปชอบ
สุภาพสตรีเราสามีมาชมหญิงอื่นต่อหน้าไม่ได้ เป็นอย่างนั้นเรียกว่าของเก่ามีด้วยกันทั้งนั้น คนละเล็กคนละน้อย จะเกิดขึงตาขึ้นมาทีเดียว อันนี้ก็เลยทะเลาะกันทุบตีกัน พอทุบตีกัน ผู้หญิงทั้งหลายก็นึกว่าเราอยู่กันมาสะดวกสบายไม่มีเรื่องอะไรแต่แม่หญิงกาลกิณีคนนี้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเรา เราถูกทุบถูกตี เราต้องจัดการแก้เผ็ดกัน เอาแล้ว พอแม่อมิตดาลงไปท่าน้ำ พวกผู้หญิงเหล่านั้นก็ยืนเรียงเป็นแถวเลย เข้าแถวต้อนรับด้วยคำพูดที่ไม่เพราะหู แล้วไม่ใช่พูดอย่างเดียว ลงมือลงไม้เอาเสียด้วย นางอมิตดาก็ร้องไห้ร้องห่มกลับมาบ้าน ชูชกก็ลงจากบันไดเรือนก็ไปปลอบโยน เรื่องอะไรทำไมถึงร้องไห้ ก็บอกว่าพวกผู้หญิงทั้งหลายตัดพ้อต่อว่า หาว่าหนูมีผัวเป็นคนแก่ อย่างนั้นอย่างนี้ บอกว่าทีนี้หนูจะไม่ลงไปตักน้ำต่อไปแล้ว ชูชกบอกไม่เป็นไร เรื่องน้ำเรื่องท่าไม่ต้องไปตัก ฉันจะไปตักมาเอง ไม่ได้ สามีทำงานอย่างนั้นไม่เป็นมงคลแก่ภรรยา ภรรยามีหน้าที่จะปฏิบัติสามี จะให้สามีปฏิบัติอย่างนั้นมันผิดระเบียบโบราณ ไม่ได้ แต่ว่าถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ท่านจะต้องไปหาคนใช้มาให้ฉันสักสองคน เออ ฉันจะไปหาที่ไหน หาคนใช้นี่มันลำบาก นางอมิตดาบอกว่ามี ลูกพระเวสสันดรสองคน พระเวสสันดรนี่ใจดี ใครไปขออะไรก็ให้ทั้งนั้นแหล่ะ ท่านต้องไปวันนี้เดินทาง เลยจัดเสบียงกรังใส่ย่ามให้ชูชกออกเดินทางไปหาพระเวสสันดร ไปถึงในป่าเขาวงกตโน้น อยู่ใกล้เขาหิมพานต์ แล้วก็กว่าจะไปถึงก็พรรณนาสนุกสนานป่าหิมพานต์ มันใหญ่โตอย่างไร มีต้นไม้เสียงนก เสียงหก ท่านเทศน์ก็ฟังเพลินไปเหมือนกัน กัณฑ์นี้เขาเรียกว่ากัณฑ์มหาพล ป่าใหญ่ พูดแต่เรื่องป่า พรรณไม้ต่างๆ ดอกไม้ เสียงนกเสียงหก อะไรต่ออะไร เทศน์เพราะ คนฟังก็เพลินเหมือนกัน ให้ชูชกไปขอ ชูชกก็ต้องไปเพราะรักภรรยา พอไปถึงก็ชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาล่อพระเวสสันดรก็ต้องให้ เพราะท่านเป็นคนไม่ปฏิเสธใครเลยก็ให้ แต่ประเดี๋ยวก่อนนะ ฉันให้หน่ะให้แน่ แต่ว่ารอให้แม่เขากลับมาสักหน่อย ชูชกว่าไม่ได้ๆ ถ้าขืนแม่นางมัทรีกลับมา นางมัทรีก็รักลูกคงจะกีดกันไม่ให้ลูกแก่เรา เลยตัดพ้อพระเวสสันดรทีนี้ ไม่ชมแล้วทีนี้บอก เออเขาว่าพระเวสสันดรนี้ใจดีนักหนา เรานี้หลงชมเสียเป็นนาน เพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองว่าความจริงก็ไม่ดีอะไรหรอก ใจกลับกรอก ให้แล้วก็จะกลับไม่ให้ แต่ว่าจะว่าไม่ให้ก็ดูกระไรอยู่ เลยพูดบ่ายเบี่ยงให้รอมัทรีกลับมาก่อน ก็รู้อยู่แล้วว่าแม่กับลูกเขารักกันหนักหนา กลับมาแล้วก็คงจะไม่ให้ นี่รึพระเวสสันดรผู้ใจใหญ่ ตัดพ้อต่อว่า พระเวสสันดรก็บอกว่าไม่เป็นไร เมื่อท่านอยากจะพาไปก็พาไปได้ พาไป พอพาออกจากสำนัก ทีนี้ก็ถือไม้เรียวหวดเลย คือจะขู่ให้กลัวไว้ในเบื้องต้น หวดฟู้ๆ สองชาลี กัณหาก็ร้องหันหน้าไปวิงวอนพ่อ พ่อก็ชักจะครุ่นๆขึ้นมาเหมือนกัน แต่ว่าข่มพระทัยได้ ข่มพระทัยได้ว่าไม่ใช่ลูกเราแล้ว เราให้เขาแล้ว นายกับบ่าวเขาจะตีจะเฆี่ยนมันเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวก็ต้องข่มพระทัยด้วยความอดทน ด้วยการบังคับตัวเอง ด้วยปัญญาปลงไปว่าเราให้เขาแล้ว เป็นอำนาจสิทธิของเขา เราจะไปสอดแทรกได้อย่างไร ชูชกก็เฆี่ยนพาไปตามเรื่องขู่เข็ญกันไปตามเรื่อง เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
นี่ก็แสดงเรื่องให้เห็นว่าไอ้สิ่งทั้งหลายนี่มันเป็นอย่างนี้ คำพูดของคนมีอะไรอยู่ในนั้น เราจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ใครมาพูดอะไรต้องตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ซื่อหรือไม่ซื่อ กุศลหรืออกุศล จะมาไม้ไหนกับเรา ต้องตั้งข้อสงสัยอย่าเพิ่งชอบทันที อย่าเพิ่งชังเขาทันที แต่ว่าต้องใช้สติปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาไว้ จะไม่เสียเปรียบใครๆ เพราะเดี๋ยวนี้คนมันเหลือเกิน ไอ้พวกประเภทนี้มันไม่ทำอะไรกิน มันวางแผนไว้ว่าวันนี้กูจะไปต้มใคร กูจะไปหลอกใคร จะหาอุบายอย่างไรต้มให้มันแนบเนียนนะ เดี๋ยวนี้เขาต้มเก่งนะ ญาติโยมจำไว้ด้วยนะ เขาต้มถูกทางกฎหมายเลย กฎหมายทำอะไรไม่ได้ ไปพูดกันทางศาลพูดไม่ได้ ถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อย ทำนิติกรรมที่สำนักงานถูกต้องเรียบร้อยหมดนี่เรียกว่าต้มอย่างฉลาด ต้มถูกต้องตามกฎหมาย ทำผิดถูกกฎหมายนะเวลานี้นะโยมจำไว้ด้วยนะ เขาทำผิดถูกกฎหมาย ฟ้องไม่ได้ ไปทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะว่าทำถูกต้อง กลายเป็นถูกต้อง แล้วไปทำนิติกรรมถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง อะไรเรียบร้อย นี่เรียกว่าเขามีหัวนะ แล้วก็ไอ้นักต้มประเภทนี้นะมีทนายหัวแหลมในทางโกงอยู่ด้วยเหมือนกัน ทนายนี้ออกแบบว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ให้มันถูกต้องตามกฎหมาย แล้วก็ทำเรียบร้อย โกงเรียบร้อยตามกฎหมาย คนถูกโกงก็มีแต่นอนรอ นั่งลูบหน้าอกตายแล้วๆ เสียอกเสียใจไปเลยทีนี้ จะแก้ยังไง แต่ว่าถ้าเป็นคนธรรมะธรรมโมหน่อยก็ปลงตกไปว่า มันคงจะโกงเขามาในชาติก่อน เรามันถึงถูกโกงอีกที ถูกโกงก็โกงไป อันนั้นเรียกว่าไม่รู้จะปลงอย่างไรแล้ว ก็ต้องปลงว่ากูคงจะเคยโกงเขามาในชาติก่อน เลยมันมาโกงกูชาตินี้ กรรมมันตามทัน อันนี้ปลงตกไป แต่ถ้าคนปลงไม่ตกเตรียมซื้อเอ็มสิบหกก็เท่านั้นเอง มันทำเจ็บแสบนัก กูต้องใช้มาตราสิบหกกันแล้วเดี๋ยวนี้ เที่ยวเดินตามหาตัวคนโกงเจอเมื่อใดก็เป็นความกันก็เท่านั้น คนไม่มีธรรมะ มันก็ฆ่ากันเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงฆ่ากันบ่อยๆด้วยเรื่องอย่างนี้ เราได้ยินข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า เศรษฐีร้อยล้านถูกยิงคว่ำข้าวเม่า คว่ำแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีข้าวเม่าจะกินแล้ว ยิงไปเท่านั้น ตายไปเท่านั้น ได้ยินข่าวอย่างนั้นก็นึกในใจ แหมเศรษฐีร้อยล้านทำไมจึงถูกยิง อย่างนี้ต้องมีกรรมแต่ว่าไม่ใช่กรรมในชาติก่อนหรอก ไปศึกษาดูให้ดีกรรมในปัจจุบันนี่แหล่ะ ไม่ใช่กรรมในชาติก่อน กรรมในปัจจุบันก็คือว่า ไปแย่งประโยชน์จากคนอื่นบ้าง ทำให้เขาเสียหายบ้าง เอาอำนาจเงินไปทำร้ายเขาบ้าง เอาบริวารไปทำร้ายเขาบ้าง
คือมั่งมีแบบอิทธิพล มั่งมีแบบอิทธิพลนี่มันลำบาก มันมีปัญหาไปรังแกคนนั้น ไปรังแกคนนี้ไว้ ลองไปสืบดูเถอะ อาตมานี่ก็ชอบสืบเหมือนกันในเรื่องอย่างนี้นะ คือว่าชอบไปเที่ยวถามเขา แหมได้ข่าวว่าคนนั้นตาย เขาเป็นคนยังไงนะ น่าสงสารจริงๆ มั่งมีเงินทองแต่มาตายเสียน่าสงสาร เดี๋ยวเขาก็บอก เฮ้ย สงสารอะไร มันทำชั่วมามาก เดี๋ยวก็เปิดให้ฟังแล้วมันอย่างนั้น มันอย่างนี้ ไปโกงที่ดินเขามั่งอะไรต่ออะไร เขาเอามาจำนำไว้ ขาดวันเดียวมันก็เอาแล้ว คนบ้านนอกไม่ค่อยจำ ลืมเสียแล้วว่าเอาไปจำนำครบปีเมื่อไหร่อะไรมันไม่รู้ พอมาถึงอย่างนี้ไม่ได้แล้วขาดแล้ว นายสงสารเถอะ ไม่ยอม ปัญหาอย่างนี้เกิดบ่อยๆ ทำให้คนขุ่นเคืองจิตใจ คนมีธรรมะมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่คนที่ขาดธรรมะ ว่ามันทำกูอย่างนี้อยู่ร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ แล้วก็เกิดฆ่ากันตายบ่อยๆ หักหลังกันบ่อยๆ เมืองลำปางสมัยก่อนยิงกันมาก เดี๋ยวนี้เพลาไปหน่อยแล้ว ยิงกันเรื่องอะไร ค้าฝิ่น ค้าฝิ่น ฝิ่นเถื่อนไม่ใช่ฝิ่นธรรมดา ค้าฝิ่นหักหลังกันแล้วก็เลยต้องฆ่ากัน อยู่ด้วยกันร่วมแผ่นดินกันไม่ได้ ฆ่ากันหักหลังกัน สร้างปัญหาอย่างนี้มีบ่อย คนที่ถูกฆ่าส่วนมากเป็นคนที่ได้กระทำอะไรไว้ให้คนอื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ตัวจึงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตว่าคนที่มีภัย มีเวรกับคนอื่นเนี่ยต้องระวังตัวมากที่สุด กินก็ต้องระวัง นอนก็ต้องระวัง เรียกว่าห้องนอนต้องมีเกราะแล้ว ทำฝาผนังยังไม่พอ ต้องเอาเหล็กมาหุ้มไว้ข้างล่างเพื่อกันกระสุนด้วย นอนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ นั่งรถไปไหนต้องเอาปืนใส่ไปด้วย ความจริงไม่ได้ยิงหรอก ไอ้โน่นมันแอบได้ที่ก่อนมันยิงก่อน แต่ว่าเวลาไปก็มีปืนอยู่ในรถตั้งสองสามกระบอก กระสุนยังเต็มอยู่ยังไม่ได้ใช้สักเม็ดเดียว เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดปัญหาขึ้น ตำรวจเขาเล่าให้ฟังว่าอธิบดีตำรวจคนหนึ่งสมัยก่อนเนี่ย ท่านเป็นคนที่เรียกว่าร้อนๆอยู่สักหน่อย เวลาไปไหนปืนยาวปืนสั้นในรถมากมายเต็มรถทีเดียว เรียกว่าฉุกเฉินหยิบได้ทันที แต่เปล่าหยิบไม่ทันถ้าเพื่อนจะเล่นงาน แต่ว่ายังไม่มีใครเล่นงานก็เลยก็ออกจากประเทศไทยไปก็ตายไปด้วยพิษเหล้าเมืองนอกไปเท่านั้นเอง ตายไปเองเพราะกินเหล้ามากเกินไป เป็นอย่างนี้ตัวไม่ไปเที่ยวสร้างกรรมไว้กับใครต่อใครไม่เป็นสุข การทำบาปนี้ไม่เป็นสุข ก่อนทำก็เป็นทุกข์ กำลังทำอยู่ก็เป็นทุกข์ ทำเสร็จแล้วก็มานอนเป็นทุกข์อยู่ สิ่งใดที่เราได้มาจากบาป จากอกุศลนี่มันเป็นพิษ มันให้ผลเป็นความเร่าร้อน ไม่เป็นความสุขในทางจิตใจเลยแม้แต่น้อย แต่คนเราไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอย่างนั้น เพราะคิดว่าเรามีพรรคมีพวก แต่บางทีพวกของตัวนั่นแหล่ะ กลายเป็นทรยศพวกตัวเอง เกลือมันเป็นหนอนก็มีนะ ก้อนข้าวมันกลายไปเป็นเสือก็มีนะ คนโบราณเขาว่าก้อนข้าวเป็นเสือ เกลือเป็นหนอน ไอ้ก้อนข้าวมีมันหุงข้าวอยู่ทุกวันๆ มันกลายเป็นเสือขบคนหุงข้าวตายก็ได้นะ แล้วเกลือที่เรากินเราใช้กลายเป็นหนอนไปก็ได้ อันนี้หมายความว่าคนภายในสร้างพิษสร้างภัยให้แก่ผู้ที่อยู่ร่วมกัน เช่นคนใช้ทำให้เกิดเรื่องเกิดโทษแก่เรา ลูกน้องทำให้เกิดเรื่องแก่เรา นี่เรียกว่าเกลือเป็นหนอน ก้อนข้าวกลายเป็นเสือขึ้นมา
สมัยนี้ไม่ได้ใช้ก้อนข้าวแล้ว ควรจะพูดว่าหม้อไฟฟ้าฮิตาชิกลายเป็นเสือขึ้นมาก็ได้ทีนี้ มันเกิดพิษเกิดภัยขึ้นมา หม้อไฟฟ้ากลายเป็นพิษขึ้นมามันก็อันตราย นี่หมายความว่าเกิดจากภายใน แต่ว่าสิ่งภายในนั้นก็เกิดจากตัวผู้เป็นหัวหน้าเป็นเจ้าของบ้าน การพูดจา การแสดงออกอะไรต่างๆนี้มันไม่เรียบร้อย ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจ สะสม มันเกิดกระทบกระเทือนใจสะสมไว้วันละเล็ก วันละน้อยๆๆๆ มันค่อยมากขึ้นเรื่อย อันนี้เสียหาย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า อย่าพูดคำหยาบกับใครๆ อย่าเปล่งวาจาหยาบกับใครๆ ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ชาวนา ชาวไร่ คนยากคนจนคนเข็ญใจเราก็ต้องพูดดีๆกับเขา อย่าพูดคำให้เขาเคืองใจ เพราะคนนั้นอาจจะโกรธเรา แล้วมาทำอะไรเราก็ได้ เพราะเขาโกรธคำพูดของเรา เพราะฉะนั้นต้องพูดวาจาไพเราะกับคนเหล่านั้น ให้หรือไม่ให้ก็พูดกับเขาดีๆ ให้ด้วยความเคารพ เป็นเช่นว่าคนขอทานมาขอทาน ถ้าเราจะไม่ให้ก็พูดดีๆ ถ้าจะให้ก็ให้ให้สุภาพ ให้เขาสบายใจ ให้เขาให้พรในใจ ไอ้คนขอทานบางคนมันก็เอาเหมือนกันนะ วันนึงๆให้ทุกวัน พอวันนึงไม่ให้ วันนี้ทำอะไรขึ้นมาไม่ให้ มันก็ว่าไป มันว่าตามอารมณ์มัน เราอย่าไปโกรธคนอย่างนั้นเพราะจิตใจเขามันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้มีการศึกษา ไม่ได้มีการเล่าเรียน เราจะไปแลกกับคนอย่างนั้นไม่ได้ คำไทยที่เขาพูดว่าอย่าเอาทองไปถูกับกระเบื้อง อย่าเอาเนื้อไปแลกกับหนัง อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ คนโบราณพูดไว้น่าฟัง พูดดีๆมีประโยชน์ทั้งนั้นแหล่ะ เนื้อเอาไปแลกหนังทำไม เนื้อนี้ต้มกินได้ แกงกินก็ได้ ปิ้งกินก็ได้ หนังกินได้ไหม มีอยู่หนังหมูทำแคบหมูเชียงใหม่เท่านั้นเอง นอกนั้นหนังควายกินไม่ได้ หนังวัวก็ไม่ไหว กว่าจะกินได้ ก็ต้องกรรมวิธีมันมากเหลือเกิน เสียเวลา กินก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร นอกจากหนังหมู เคี้ยวกรอบๆมันๆพอทำอะไรได้ น้ำพริกแกงก็ใช้ได้ นอกนั้นมันไม่ได้เรื่อง แล้วเรามีเนื้อจะเอาไปแลกหนังทำไม มีพิมเสนจะไปแลกกับเกลือทำไม เพราะเกลือนั้นราคามันถูกกว่าพิมเสน แล้วก็พิมเสนราคาแพงกว่า ทองมีค่ามากกว่ากระเบื้อง แล้วไม่ใช่กระเบื้องชั้นดีอะไร กระเบื้องผุๆที่มันหล่นลงมาจากหลังคาด้วยซ้ำไป แล้วเราจะไป ครูดทำไมไปแลกกันทำไม อันนี้เป็นเครื่องเตือนใจหมายความว่า อันธพาล คนโง่คนเขลาทำอะไรกับเรานั้น เราอย่าไปแลกกับเขา แต่เราควรจะได้ควบคุมตัวเราเอง บังคับตัวเราเองให้จิตใจสงบไว้ อย่าไปโต้เถียงกันจะเป็นเรื่องเสียหายแก่ตัวเราเปล่าๆ
เพราะมันไกลกันนัก คนละชั้นกัน ที่จะไปทะเลาะกัน เหมือนกับเราไปทะเลาะกับแม่ค้าปลาในตลาดนึง แม่ค้าไม่เกรงพูดดังๆได้ ไอ้เราหน้าไม่บางอย่างนั้นพูดไม่ได้มีแต่ขาดทุน เพราะฉะนั้นถ้าอะไรไม่เป็นที่พอใจก็เฉยๆ ทำใจเย็นๆไว้แล้วก็ไปที่อื่นต่อไป อันนี้มันสบายใจ เวลานี้มีการกระทบกระทั่งกันบ่อยๆทางด้านภาษาหรือคำพูด อยากจะมาฝากเตือนญาติโยมทั้งหลายไว้ เพราะเราอยู่ในสังคมต้องติดต่อกับคนมากๆ อาจจะได้รับคำพูดที่ไม่เสนาะหูจากคนนั้นคนนี้ เราก็ไม่โต้ตอบเขา ไม่แสดงอาการโกรธเคืองอะไร เฉยๆให้มันเกิดแล้วมันก็ดับไป ให้นึกในแง่ปัญญาว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดมันก็มีความดับเป็นธรรมดา เกิดแล้วมันก็ดับทั้งนั้นแหล่ะ คำด่ามันเกิดขึ้นมันก็ดับหายไป ความขุ่นเคืองโกรธขึ้นมันหายไป เราอย่าไปต่อความยาวสาวความยืด อย่าเพิ่มเชื้อให้แก่กองเพลิง เพลิงมันลุกอยู่แล้ว หาทางดับซะอย่าไปเพิ่มเชื้อ อย่าเอาน้ำมันไปราดเพิ่ม อย่าเอาไม้ฟืนไปใส่ อย่าเอามูลฝอยไปใส่ เพลิงมันก็จะมอดไปเอง สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรามันก็เป็นเพลิงเผาตัวเรา เพลิงราคะ เพลิงโทโส เพลิงโมหะมันเผาอยู่ทั้งนั้นแหล่ะ เผาจิตเผาใจให้เร่าร้อนให้วุ่นวาย เราอย่าไปเพิ่มเชื้อ นี่หมายความว่าอย่าไปคิดถึงสิ่งที่ทำให้เราเกิดอารมณ์นั้น เช่นเราโกรธพรึ่บขึ้นมารีบหยุดยั้งเสีย แล้วอย่าไปคิดถึงสิ่งที่เราโกรธนั้นด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ แต่เราคิดด้วยวิชชา ด้วยความรู้ คิดว่าทำไมเขาจึงด่าเรา เขาคงไม่ชอบเรา เราคงจะผิดสักอย่างเขาจึงด่าเรา ถ้าเราจะไปด่าตอบเขามั่ง อืมไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ดีนะ บอกว่า ใครมาด่าใครคนหนึ่ง แล้วใครคนนั้นโกรธด่าตอบใครคนนั้น คนที่ด่าทีหลังเลวกว่าคนแรก พระองค์ว่าไว้อย่างนั้น มันเลวกว่าคนแรก พูดให้ชัดนายก.ไปด่านายข. นายข.โกรธขึ้นมามั่งด่าตอบนายก. นายข.กลับเลวต่ำช้ากว่านายก. พระองค์ตรัสอย่างนั้น
ทำไมจึงว่าอย่างนั้น เหตุผลมันเป็นอย่างไรคือว่านายก.นั้นปล่อยใจของตนให้ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส เมื่อปล่อยให้ตนตกอยู่ในอำนาจของกิเลสจึงได้พูดจาด่าว่าออกมา นายข.ได้ยินคำด่าเช่นนั้น ไม่เอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน ไม่เอาสิ่งนั้นเป็นเครื่องเตือนใจ แต่กลับเอาสิ่งนั้นเป็นเครื่องโหมกิเลสแล้วไปด่าตอบ จึงถือว่านายข.นี้เลวกว่านายก. เลวเพราะเห็นตัวอย่างคนโกรธอยู่แล้ว คนเกลียดอยู่แล้ว กิริยาอาการที่หยาบคายอยู่แล้ว ก็ไม่เหมาะไม่สมด้วยประการทั้งปวง แล้วยังไม่บังคับยับยั้งชั่งใจ ไม่บังคับตัวเองให้เกิดความสงบใจกลับไปด่าตอบเขา จึงถือว่านายข.นี้เลวกว่านายก. เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อใครมาพูดอะไรกับเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อะไรก็ตาม เราจะไม่ยอมเลวกว่าคนนั้นเป็นอันขาด เราจะถือว่าเรานี่เป็นทองคำ ไม่เอาไปถูกับกระเบื้องเก่าๆอย่างนั้น เราเป็นเนื้อไม่เอาไปแลกหนัง เราพิมเสน พิมเสนอย่างดีด้วยนะ ไม่ใช่อย่างต่ำ เราจะเอาไปแลกกันกับเกลือทำไม เกลือมันของหาง่าย พิมเสนหายาก ไปเอาเกลือที่สมุทรสงครามจากรถสิบล้อมาก็ได้ แต่จะเอาพิมเสนจากรถสิบล้อจะเอามาจากไหน หาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องตีราคาของเราให้มันสูงไว้ แล้วเราจะไม่ลดตัวเราลงไปตอแยกับคนเหล่านั้น ในคำโคลงโลกนิติก็ยังมีไว้ว่า เอาใจความ ว่าสุนัขกัด อย่าไปกัดตอบสุนัข ถ้าสุนัขกัดนั่งลงสี่ขากัดกันมั่ง มึงกัดกู กูกัดมึงมั่ง แล้วไอ้คนนั้นมันจะเป็นอย่างไร มันกลายเป็นสุนัขไปอีกตัวหนึ่ง แต่มันเสียเปรียบสุนัขตัวโน้น สุนัขตัวโน้นขนมันหนังมันหนา ฟันมันก็แหลม ไอ้ฟันเราไม่มีเขี้ยวจะไปกัดกับสุนัขได้อย่างไร มันไม่ไหวนะ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ไอ้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจทั้งนั้นแหล่ะ ต่อให้เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรอย่างนั้นขึ้น ยับยั้งชั่งใจได้ทันท่วงที ไม่ไปกล่าวตอบกับคนเหล่านั้นก็ดีไม่มีเรื่องเสียหาย เว้นไว้แต่มีแผนการว่าจะเล่นงานคนนั้นด้วยอุบาย นั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่สมควรที่จะทำอาการเช่นนั้น มันเป็นการไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการทั้งปวง เรามันควรจะได้ควบคุมจิตใจอะไรไว้ โทษของการไม่ศึกษาธรรมมะ ไม่ปฏิบัติธรรมะนี้มันยุ่ง มันยุ่งกันอยู่มากมายหลายเรื่องหลายประการในสังคม เพราะไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นจึงใคร่ขอฝากหนูน้อยๆที่เป็นนักเรียนนักศึกษาที่มาฟังธรรมที่วัดนี้ให้คิดไว้ให้ดีว่า ชีวิตเรามันต้องขึ้นอยู่กับธรรมะ ธรรมะต้องเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจ ควบคุมจิตใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีธรรมะเป็นเครื่องควบคุมหุ้มห่อจิตใจของเราไว้ เราเหมือนกับว่ามีเกราะเพชรเจ็ดชั้นกันภัยอันตราย ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวงจะไม่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา อีกประการหนึ่งนั้นถ้าเราหวังความเจริญ ความก้าวหน้าในชีวิต อยากจะเป็นอยู่อย่างดี เราเกิดมานี้ลำบากนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เกิดเป็นมนุษย์นี้ยาก การได้ฟังธรรมนี้ก็ยากเหมือนกัน ยากเหมือนกัน ฉะนั้นเราได้เกิดมาเป็นคน เราก็ต้องยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นเป็นมนุษย์ เราอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ก็ควรจะได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือป้องกันตน ไม่ให้ตกไปสู่ความชั่วความร้ายอันเป็นสิ่งที่เราไม่ปรารถนา เราจะต้องอยู่ด้วยธรรมะ จึงต้องสนใจศึกษาธรรมะไว้ อ่านธรรมะให้เข้าใจแล้วเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน หมั่นมาวัด หมั่นฟังธรรม หมั่นอ่านหนังสือทางศาสนา เพราะความเป็นคนสมบูรณ์ต้องมีธรรมะเป็นหลักคุ้มครองใจ ขาดธรรมะแล้วเราจะเป็นคนไม่สมบูรณ์ เมื่อเป็นคนไม่สมบูรณ์การงานก็ไม่สมบูรณ์ ความสุขที่จะได้รับก็ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่มีลูกหญิงลูกชาย แต่ลูกหญิงลูกชายนั้นออกไปนอกลู่นอกทาง ประพฤติตนไม่ดีไม่งามด้วยประการต่างๆ พ่อแม่เสียใจมาก แล้วเรามักจะบ่นว่าไม่รู้อะไรมาเกิด บางทีพูดหนักไปเสียว่า มันคงจะเป็นสัตว์นรกมาเกิด อันนี้เรียกว่าเคืองเต็มทีแล้ว บ่นว่าสัตว์นรกมาเกิดในท้อง มันสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ เราผู้เป็นลูกของท่านต้องสำนึกไว้ในใจเสมอว่า เราจะเป็นอยู่ให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ อยู่ให้พ่อแม่ชื่นใจ ท่านชื่นใจด้วยอะไร ด้วยเราตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ด้วยเราประพฤติดีประพฤติชอบ อยู่ในโอวาทพ่อแม่ ประพฤติตนเรียบร้อยทุกที่ทุกหนทุกแห่ง อันนี้แหล่ะคือยาหอมละ ยาหอมที่ลูกเอาไปชโลมใจคุณพ่อคุณแม่ ทำให้คุณพ่อคุณแม่สดชื่นรื่นเริง อยู่ด้วยยาหอมที่ลูกกระทำทุกวินาทีของชีวิต เพราะฉะนั้นลูกหญิงลูกชายทุกคนที่เข้าวัดเข้าวา จะต้องถือเป็นหลักประจำใจเป็นอุดมการณ์ชีวิตไว้ว่า
เราเกิดมาเพื่อความดี เราอยู่เพื่อความดี เราจะคิดแต่เรื่องดี เราจะพูดแต่เรื่องดี เราจะทำแต่เรื่องดี เราจะไม่คิดเรื่องชั่วร้าย ไม่พูดเรื่องชั่วร้าย ไม่ทำเรื่องชั่วร้าย เพราะสิ่งนั้นมันจะทำเราให้มีราคาน้อยลงไปจนกระทั่งหมดราคา การเกิดมาแล้วทำตนให้หมดราคานั้นก็เรียกว่าเสียชาติที่ได้เกิดมา ไม่ได้เรื่องอะไร พ่อแม่ก็ต้องเอาใจใส่อบรมลูกเต้าเหล่าหลานให้ได้รู้ความจริงของชีวิตถูกต้อง ให้ได้ประพฤติดี ประพฤติชอบ อย่าละเลย อย่าเพิกเฉยในเรื่องนี้ ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ อย่าต้องให้นั่งร้องไห้ในภายหลัง แม่พ่อ แม่โดยมากพ่อไม่ค่อยร้อง แม่นี่มานั่งร้องไห้ในภายหลังอยู่บ่อยๆถ้าลูกไม่ดี จะไปโทษลูกนักก็ไม่ได้ แม่ทำผิดด้วยเหมือนกันจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น มีรายหนึ่งมาบอกว่าเพราะคุณนั่นแหล่ะทำให้ลูกเป็นอย่างนี้ แม่นั่งร้องไห้น้ำตาไหล แล้วบอกว่าจริงเหมือนหลวงพ่อว่าทุกประการ สามีว่า ไม่ใช่แม่ว่านะ สามีนั่งอยู่ด้วย สามีก็ว่า มันเหมือนหลวงพ่อว่าทุกอย่าง คอยแต่เอาใจจนลูกไม่ได้ความ เอาใจเกินไปทนุถนอมเกินไป ปลูกต้นไม้ในร่มันไม่ดี ต้องเอาไปไว้กลางแจ้งเสียบ้างมันจะได้ทนแดดทนฝน ลูกเราก็เหมือนกันต้องอบรมให้อดทนต่อสู้ปัญหาชีวิต อย่าให้เขาอ่อนแอ อย่าเอาใจเขาเกินไป ต้องพยามยามชี้แจงเหตุผลให้เขาเข้าใจในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วเขาก็จะเป็นคนเรียบร้อย ผู้ใดที่มีความประมาทพลั้งเผลอไป ทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยังมีทางจะกลับจิตกลับใจได้ เพราะชีวิตยังยาวต่อไป ยังมีทางกลับใจได้ จึงควรอธิษฐานใจทุกวันๆว่าเราจะเป็นคนดีของพ่อแม่ต่อไป เป็นคนดีของชาติไทย เป็นคนดีของเมืองไทย เราจะปฏิบัติตนตามหลักศีลธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เราจะไม่ยอมให้จิตใจตกต่ำไปอีก อย่างนี้เอาตัวรอดเพราะเราเปลี่ยนวิถีชีวิตเข้าหาความถูกต้อง เดินในทางถูก คิดในทางถูก พูดในทางถูก คบคนถูก ทำถูกทุกอย่าง ชีวิตเรียบร้อย ดังได้แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงท่านี้ ในที่สุดนี้ก็ขอเชิญญาติโยมทั้งหลายนั่งสงบใจเป็นเวลาห้านาที ก็นั่งสงบใจ ทำใจให้สงบเรียกว่าสงบใจ ใจมันไม่สงบเพราะว่าคิดหลายเรื่อง อันนี้ให้มาคิดเรื่องเดียว ลมเข้า ลมออก ให้กำหนดอยู่ที่ ลมเข้า ลมออก อย่าให้ไปไหนเป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้