แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
การมาวัดก็มาเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ จะได้มีีชีวิตเป็นสุขตามหลักธรรมะต่อไป การฟังจึงเป็นเรื่องของการศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเป็นเรื่องเบื้องต้น ต่อนั้นเราก็ต้องปฎิบัติตามสิ่งที่เราได้รับฟังมา การปฏิบัตินั้นแหละเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำต่อไปและจะต้องทำติดต่อกันไปตลอดเวลาจึงจะทำให้เราได้รับประโยชน์จากพระศาสนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติ ศาสนาก็ไม่เกิดประโยชน์แก่จิตใจของเราแม้แต่น้อย เรามีไว้เหมือนกับว่ามีของเก่า ๆ ไว้ดูเล่น ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เราจะต้องใช้ของนั้นให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันของเราฉันใดในเรื่องธรรมะนี่ก็เช่นเดียวกัน เรานับถือพระพุทธศาสนาก็ต้องนำหลักธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา การใช้ธรรมะเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันนั้นก็สุดแล้วแต่เราจะปฏิบัติในขั้นไหน เราต้องการผลในรูปใด เพราะธรรมะที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้นั้นมีมากมายหลายขั้นหลายตอนเพื่อให้เหมาะแก่บุคคลที่จะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเขา คล้าย ๆ กับยาซึ่งมีไว้หลายขนานสำหรับแก้โรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา เราจะมียาอย่างเดียวครอบจักรวาลแล้วจะใช้ยานั้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะโรคมันหลายเรื่องในจิตใจของเรานี้ก็เหมือนกันมันมีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นในใจของเรา เราก็ต้องแก้ด้วยยาที่เหมาะแก่เรื่องนั้นสิ่งนั้นก็จะเกิดหายไป อีกประการหนึ่งเรามีความต้องการประโยชน์ในแง่ใด ประโยชน์ในปัจจุบันนี้หรือประโยชน์ในกาลต่อไปหรือประโยชน์อย่างยิ่งคือการพ้นจากความทุกข์เด็ดขาดในชีวิตนี้ เราก็ต้องเลือกเฟ้นธรรมะมาใช้ให้เหมาะแก่สิ่งที่เราจะต้องการว่าเราจะต้องการอะไร
ในเบื้องต้นของชีวิตของคนเรานั้นก็ต้องการอยู่อย่างเป็นสุขในโลกนี้เราก็ต้องหาเครื่องประกอบเพื่อให้เกิดความสุขในโลกนี้ ชีวิตของเรานี้ต้องการอะไรบ้างก็สิ่งที่เป็นเรื่องจำเป็นแก่ร่างกาย ก็มีเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย แล้วก็ยาสำหรับแก้ไข้ อันนี้เรียกว่า ปัจจัย ๔ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของเราทุกคน เราจะอยู่โดยไม่มีอาหารไม่ได้ เราจะอยู่โดยไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มก็ไม่ได้ เราจะอยู่โดยไม่มีบ้านเรือนอาศัยก็ไม่ได้ เราจะอยู่โดยไม่มียากินในเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้ มันจำเป็นจะต้องใช้ สิ่งใดใช้มากก็ต้องหามาก สิ่งใดใช้น้อยก็ไม่เป็นไร เมื่อเรารู้ว่าเราต้องการอะไรมากเราก็ต้องหาสิ่งนั้นมากินมาใช้ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยาแก้ไข้ ที่อยู่อาศัย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเราจะต้องใช้มันเรื่อยไปตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเรามีน้อยมันก็ไม่พอกินพอใช้เราจึงต้องทำการแสวงหา การแสวงหาสิ่งเหล่านั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนกันถ้าการแสวงนั้นเป็นธรรม แต่ถ้าเราแสวงหาสิ่งไม่เป็นธรรมก็เรียกว่าเราไม่ได้ประพฤติธรรม การทำงานก็เป็นหน้าที่อันหนึ่งของชีวิต หน้าที่มันก็คือธรรมะเหมือนกัน เช่นเราเป็นชาวนาเราก็ทำนา ชาวสวนทำสวน คนค้าขายทำการค้าขาย ข้าราชการก็ทำราชการ การทำหน้าที่นั้น ๆ ก็ชื่อว่าเราปฏิบัติธรรม ธรรมะนั้นก็คือหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เมื่อเราได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราถูกต้องเรียบร้อยก็เรียกว่าเราปฏิบัติธรรมถูกต้อง แต่ถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องเช่นเราไปลักข้าวของของคนอื่นเอามากินมาใช้ ไปลักอะไร ๆ ของเขามาเพื่อประโยชน์ของตัว อย่างนี้ไม่ชื่อว่าทำงานเป็นการปฏิบัติธรรมแต่ว่าเป็นการประพฤตินอกศีลนอกธรรม
คนประพฤตินอกทางของศีลธรรมย่อมสร้างปัญหาให้แก่ตน สร้างปัญหาให้แก่คนอื่น คนนั้นจะต้องมีความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันหลายเรื่องหลายประการเพราะการกระทำหน้าที่นั้นไม่เป็นธรรม สิ่งที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่เรียกว่าเป็นหน้าที่ การไปฆ่าเขาไม่ใช่หน้าที่ การไปลักของเขาไม่ใช่หน้าที่ การประพฤติล่วงเกินของรักของชอบใจใคร ๆ ก็ไม่ใช่หน้าที่ การพูดโกหก คำหยาบ คำเหลวไหลก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นการพูดตามหน้าที่ หรือว่าเราไปเสพของมึนเมาทำลายสติสัมปัชชัญญะ ทำลายสุขภาพทางกายทางใจให้เสื่อมโทรมลงไป ก็ได้ชื่อว่าเราไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ หรือว่าเราเล่นการพนันเราก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนแต่ไม่มีการพักผ่อนกลับไปเที่ยวถ่างตาดูนั่นดูนี่หาความสุขสนุกทางเนื้อทางหนังก็เรียกได้ว่าไม่ได้ประพฤติในหน้าที่ที่มนุษย์จะพึงกระทำ เป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่ออกไป การกระทำอันใดที่มันผิดหน้าที่ก็เรียกว่าผิดศีลธรรมในทางพระศาสนา ผู้ที่กระทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมย่อมได้รับทุกข์ในภาษาธรรมะเรียกว่า “เป็นบาป”
สิ่งที่เป็นบาปนั้นคือทำจิตใจให้เศร้าหมองขุ่นมัวแล้วผลของบาปก็เป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อน การสะสมสิ่งชั่วร้ายเรียกว่าสะสมบาป การสะสมบาปเป็นความทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ทุกโข ปาปส อุเจยโย” (08.23) การสะสมบาปคือความชั่วเป็นความทุกข์ ในทางตรงกันข้ามถ้าเรารู้จักสิ่งถูกต้องทำสิ่งถูกต้องเราก็สะสมบุญ เมื่อสะสมบุญเราก็มีความสุขตามพระบาลีที่ว่า “สุโข ปุญญส อุเจยโย” (08.46) การสะสมบุญเป็นความสุข สะสมบาปเป็นความทุกข์ใครอยากจะทุกข์ก็ไปสะสมบาปให้มันมากจนท่วมหัวท่วมหู ใครอยากจะมีความสุขก็สะสมบุญคือความงามความดี ทุกโอกาสที่เรามีเวลาจะทำบุญได้ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นคุณได้เราก็ต้องทำสิ่งนั้น อย่าไปทำสิ่งที่เป็นบาปเป็นโทษ เพราะการกระทำสิ่งที่เป็น “ปาปโทษ” (ออกเสียง ปา-ปะ-โทด) นั้นชื่อว่าไม่ประพฤติธรรม เมื่อไม่ประพฤติธรรม ธรรมะก็ไม่คุ้มครองไม่รักษาคนนั้น
คนที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากธรรมะก็เรียกว่า ธรรมะตัดหางปล่อยเสียแล้ว จะไปข้างไหนทำอะไรก็ตามเรื่องตามราว เหมือนคนโบราณพูดว่าตัดหางปล่อยวัดไอ้ตัดหางปล่อยวัดนี่มันยังไม่เข้าใจหรอกเพราะว่าปล่อยในวัดอย่างน้อยมันก็พอจะได้เห็นแสงสว่างบ้าง สัตว์เดรัจฉานที่เราตัดหางปล่อยวัดมันก็ตายช้าหน่อย มันมีตายแต่มันช้าหน่อย คนที่เขาตัดหางปล่อยวัดนี่ก็ไม่เป็นไรเพราะว่าปล่อยให้อยู่กับพระได้ยินเสียงพระ ได้เห็นพระ ได้พบพระบ่อย ๆ จิตใจก็จะได้เข้าถึงพระ พระก็จะเข้าไปอยู่ในใจ สภาพชีวิตก็จะดีขึ้น ก่อนนี้เรามีแต่ผีเข้ามาอยู่ในใจ ผีคือความชั่วด้วยประการต่าง ๆ เช่นการเล่นการพนัน การเสพสิ่งเสพติดมึนเมา การเที่ยวกลางคืน การคบเพื่อนชั่ว การสนุกสนานไม่เป็นเวล่ำเวลาสิ้นเปลืองเงินทอง การเกียจคร้านการงาน ไอ้นี่มันเป็นผีที่มาสิงอยู่ในใจของเรา เราก็ถูกผีบังคับให้ไปกระทำอะไรต่าง ๆ เป็นเหตุให้เราเสียผู้เสียคน พ่อแม่เดือดร้อน พี่น้องเดือดร้อน คนบ้านใกล้เรือนเคียงก็พลอยเดือดร้อน เพราะเรามีผีอยู่ในใจของเรา เมื่อเรามาสำนึกรู้สึกตัวว่าการเอาผีมาไว้ในตัวนี่มันเป็นความทุกข์ไม่เป็นความสุขเลย และไม่ใช่ทุกข์คนเดียวยังทำให้คนอื่นเป็นทุกข์อีกหลายคน เราก็ควรจะพิจารณาให้เห็นทุกข์โทษของสิ่งนั้น คนเราจะละอะไรจะเลิกอะไร ไม่ใช่มาละได้ง่าย ๆ เลิกได้ง่าย ๆ ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งนั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งจึงจะละได้ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งนั้นด้วยตัวเองนี่มันยังละไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาว่าสิ่งนั้นมันให้โทษแก่เราอย่างไร
ลองศึกษาเรื่องของตัวเองตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลในด้านเป็นคนพาล เรียกว่าอนุบาลในด้านเป็นคนชั่ว เริ่มคบเพื่อนก่อน คนเรานี่มันจะชั่วนี่มันเริ่มคบเพื่อนก่อน คบเพื่อนผิด เพื่อนคนนั้นเขาชั่วอยู่ก่อนแล้วแล้วเราไปคบคนนั้น เมื่อไปคบคนนั้นก็ถูกเขาโน้มน้อมจิตใจชักจูงให้ไปทำชั่วเพิ่มขึ้นแต่เหมือนเขา เราก็ไปทำ ความชั่วนั้นมันมีอะไรเป็นเครื่องล่อ คล้ายกับว่ามีน้ำหวานล่อใจ มีสิ่งเอร็ดอร่อยล่อใจ จูงใจ คนใจอ่อนใจง่ายก็ไม่พิจารณาตัวเอง ไม่ตักเตือนตัวเอง ไม่แก้ไขตัวเอง ไหลไปตามความชั่วที่เพื่อนชักจูง ไหลไปบ่อย ๆ ก็เลยตกลงไปในกระแสของความชั่ว เมื่อลงไปในกระแสของความชั่วแล้วมันก็ไหลเรื่อยไปจนกระทั่งออกทะเลลึกแห่งความชั่ว แล้วก็จมน้ำตายก็เพราะความชั่วท่วมทับ อันนี้คือสาเหตุของความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง
คนไม่เคยเล่นการพนันไปเดินกับนักการพนันไม่กี่วันก็จะเล่นได้ คนไม่ดื่มสุราเมรัยไปเดินตามหลังคนนักดื่มเข้าสองสามวันก็ดื่มเป็น คนไม่เที่ยวกลางค่ำกลางคืนไปเจอะคบหาสมาคมกับพวกนักเที่ยวอย่างนั้นเขาก็จะชวนเราไปเที่ยวเมื่อไปมันก็ถูกกับกิเลสมันก็ไปกันใหญ่เลยเสียผู้เสียคนไป คนใดไปคบเพื่อชอบสนุกเฮฮานิสัยก็ต้องเปลี่ยนไปในทางสนุกเฮฮาแล้วก็เสียผู้เสียคน ไปคบคนขี้เกียจสันหลังยาวคนขี้เกียจมันก็อวดความขี้เกียจให้เราเห็นด้วยการไม่ต้องทำอะไร ด้วยการนอน ด้วยการเล่น ด้วยการสนุกไปวันหนึ่ง ๆ พอเราไปใกล้คนนั้นเราก็รู้สึกว่า เอ๊อะ มันดีเย็น (14.36) ไม่ทำอะไรมันก็อยู่ได้ เลยก็เพาะความชั่วร้ายขึ้นในจิตใจเพราะเห็นความชั่วเป็นความดี เห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความเสื่อมเป็นความเจริญ เห็นความมืดเป็นแสงสว่าง ชีวิตของบุคคลนั้นก็จะตกลงไปสู่กระแสของความชั่ว ความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีมูลฐานมาจากการคบหาสมาคม คือไปคบคนชั่วเข้าเราก็เลยชั่วตามเขาไป
เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เมตตากรุณาต่อชาวโลกทั้งหลาย พระองค์เห็นพิษเห็นภัยของการคบหาสมาคมนี้มาก จึงได้สอนไว้ในมงคลสูตรข้อแรกเลยทีเดียว ถ้าเรานินมต์พระไปสวดมนต์ตามบ้านของเราพระท่านจะสวดข้อแรก ก็สวดว่า อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานนฺ จ เสวนา (15.41) ซึ่งแปลความว่า อย่าคบอันธพาล จงคบหาสมาคมด้วยบัณฑิต พูดเป็นเรื่องแรก มงคลนั้นคือเหตุที่จะสร้างความสุขความเจริญให้แก่ชีวิต ทั้งนี้สิ่งที่จะเกื้อกูลให้เกิดความสุขความเจริญในชีวิตนั้นข้อแรกก็คือการไม่คบคนพาล คือไม่คบคนพวกที่ประพฤติชั่วเรียกว่า “พาลชน” (ออกเสียง พา-ละ-ชน) พาลชนคืนคนที่อ่อนปัญญา ก็พวกปัญญาอ่อนนั่นเอง ปัญญามันอ่อนมีไม่พอที่จะศึกษา ค้นคว้า ไตร่ตรองในเรื่องนั้น ๆ ให้รอบคอบเลยก็ไปคบคนอย่างนั้นเข้า คนอย่างนั้นก็มีสภาพเช่นนั้นอยู่เมื่อ เราไปคบกันเข้าเขาก็จะดึงเราลงไปในทางชั่วทางต่ำ
อย่าว่าแต่คนเลย แม้สัตว์เดรัจฉานถ้าไปอยู่กับคนชั่วมันก็จะชั่วตามคนนั้นไป คนเลี้ยงสุนัขเป็นนายพรานไพรใจโหดมันก็หัดสุนัขให้ไล่สัตว์ ให้กัดสัตว์ให้ตาย เพราะคนเลี้ยงมันมีนิสัยอย่างนั้น เขาก็จะสอนสุนัขของเขาให้ทำอย่างนั้นตามความคิดของเขา คนเลี้ยงต้นไม้ ในเรื่องกล่าวไว้ว่า ต้นไม้ต้นหนึ่งเอาไปปลูกปนไว้กับต้นไม้อีกต้นหนึ่ง รากมันไปพันกันเข้า แล้วออกลูกมาก็มีรสชาติเหมือนต้นไม้ต้นนั้นคือขมไป โดยปกติผลไม้อย่างนั้นไม่ขมแต่ว่ามันกลายเป็นของขมไป พระเจ้าแผ่นดินรู้เข้าก็ให้ศึกษาค้นคว้า คนฉลาดในเรื่องต้นไม้ก็บอกว่า ต้นไม้นี้มันขมเพราะว่ารากมันไปพันกับต้นไม้ขม เชื่อมสนิทกัน ดูดอาหารประเภทเดียวกัน เอามาเลี้ยงต้นของตัว ลูกออกมาก็เป็นของขมไปด้วย มันเป็นอย่างนี้
ในเรื่องหนังสือมงคลนี่ก็เล่าว่า ม้า คนเลี้ยงเป็นคนกระจอกงอกง่อยเดินโขยกเขยก ๆ จูงม้าทุกวัน ๆ ม้าเดินเขยกไปด้วย ม้าที่เดินตามหลังคนเดินเขยกนี้ก็เดินเขยกไปอย่างนั้นล่ะ พระราชาเห็นว่า เอ๊ะ ม้านี้ทำไมมันเดินไม่เรียบร้อย มันบกพร่องที่ตรงไหน เรียกว่า (18.36) นายสัตวแพทย์มาตรวจสอบว่าม้ามันเป็นโรคอะไรจึงเดินอย่างนั้น นายแพทย์มาตรวจสอบเรียบร้อยละเอียดไม่พบว่าม้าเป็นโรคอะไร เลยก็จนปัญญาเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันเดินเขยกได้อย่างไร พระราชาก็ไปถามพระฤาษีที่เป็นนักจิตวิทยาเหรอ พระฤาษีนี่เป็นนักจิตวิทยาด้วยเหมือนกัน ถามว่าม้ามันไม่มีโรคอะไรแต่ทำไมมันเดินโขยกเขยก พระฤาษีก็นึกว่ามันต้องมีคนสอนให้เดินเขยกโดยไม่เจตนา มันจึงเดินอย่างนั้น ก็ถามว่าใครเป็นคนเลี้ยงม้าตัวนั้น ก็บอกชื่อคนนั้น แข้งขาไอ้คนนั้นมันเป็นอย่างไร คนก็บอกพระฤาษีว่า ไอ้นั่นขามันพิการ เวลาเดินมันก็เดินโขยกเขยกไป บอกว่านี่แหละ ม้าที่มันเดินโขยกเขยกเพราะไอ้นั่นมันเดินไปข้างหน้า ม้ามันนึกว่า ไอ้นั่นสอนกูให้เดินอย่างนั้น เลยมันเดินโขยกเขยกไปด้วย มันติดกันน่ากลัว ต่อมาก็รู้สาเหตุพระราชก็เปลี่ยนคนเลี้ยงให้คนเลี้ยงที่แข้งขาปกติเลี้ยงม้าตัวนั้น คนแข้งขาปกติมันก็เดินปกติ ม้าตัวนั้นก็ค่อยเดินปกติขึ้น เลยเรียบร้อย นี่มันเรื่องของการคบหาสมาคม เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ทำให้คนเสียผู้เสียคน
เด็กวัยรุ่นอยู่กับพ่อแม่ประพฤติตนเรียบร้อย พ่อแม่ก็ไม่ได้มีความเป็นอันธพาลและไม่ได้สอนลูกเพื่อให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าพอออกไปสู่สังคมคือไปอยู่โรงเรียนชั้นมัธยมก็ไปคบเพื่อนคบฝูง เด็กไม่รู้ว่าใครควรคบไม่ควรคบก็เลยไปคบเพื่อน เพื่อนที่เหลวไหลนั้นมันมักชวนเราให้สนุกเช่นชวนหนีโรงเรียน ชวนไปเที่ยวดูหนัง ชวนไปฟังเพลง แล้วก็ชวนไปดื่มของมึนเมา ชวนให้สูบบุหรี่ ชวนให้ทำแต่เรื่องที่มันไม่ดีแต่ว่ามันสนุกสนานเพลิดเพลินกับสิ่งนั้น เด็กคนนั้นก็เลยค่อยเปลี่ยนนิสัยไปสู่ความชั่วร้ายวันละนิดวันละหน่อยจนกลายเป็นคนมีสภาพเช่นนั้นไป
สิ่งที่เรียกว่านิสัยนี้มันเกิดจากการกระทำบ่อย ๆ เราทำอะไรบ่อยสิ่งนั้นก็เป็นนิสัย ดื่มสุราบ่อย ๆ ก็มีนิสัยตามดื่มสุรา เล่นไพ่บ่อย ๆ ก็มีนิสัยตามไพ่ ติดไพ่ ถ้าไม่ได้เล่นแล้วก็อยู่ไม่ได้ เล่นเองไม่ได้แจกเด็กให้มานั่งเล่นให้ดูก็มี โรคมันหนักนะนี่ ไพ่มันเข้าสิงใจเพราะเล่นบ่อย ๆ ทำอะไรในทางชั่วบ่อย ๆ มันก็เกาะจับเป็นนิสัย จิตใจเปลี่ยนสภาพไปในรูปอย่างนั้น แล้วก็เสียผู้เสียคนไป ทีนี้เพื่อนบางคนนั้นมันเสียไปมากแล้วคือว่าเสพของเสพติดที่ทำลายชีวิต ทำลายอนาคต ทำลายสุขภาพทางกายทางใจเช่น ผงขาว เป็นต้น
ผงขาวนี่มันเมื่อก่อนไม่มี ก็มันมีผงดำกินกันอยู่ ผงดำก็คือยาฝิ่นนั่นเอง สูบกัน แต่ว่ามันสูบเป็นที่ เขามีโรงให้สูบ ใครจะสูบต้องเข้าไปในโรงนั้น จะเอาไปสูบที่อื่นไม่ได้ ปกป้องง่ายกว่าเพราะเราไม่ให้คนที่ไม่สูบเข้าไปได้ ไม่ให้เด็กหนุ่มเข้าไปในโรงยาฝิ่นเพราะเข้าไปแล้วมันจะติดฝิ่น เพราะกลิ่นฝิ่นนั้นมันชวนให้ติด อย่าว่าแต่คนเลย จิ้งจกตุ๊กแกยังติดเลย เขาบอกว่าในโรงยาฝิ่นนั้นจิ้งจกมาอยู่เต็มไปบนหลังคา ตุ๊กแกก็มา มันได้ควันของฝิ่นที่คนจุดสูบ แล้วก็มันสูดเข้าไปทุกวัน ๆ เหมือนกับไอระเหยอย่างนั้น จิ้งจกก็เลยเป็นจิ้งจกขี้ยาไปด้วย ตุ๊กแกขี้ยาไปด้วย มันติดได้นะของอย่างนี้ มันก็แปลกเหมือนกัน แล้วไม่ไปไหน ต้องมารออยู่ เมื่อไหร่ระเหยมันจะขึ้นมาถึงกูมั่ง มันติดอย่างนั้น คนเรานี่มันติดง่ายกว่าสัตว์เดรัจฉาน จิตใจคนนี้อ่อนไหวง่าย และในทางชั่วนี้ง่ายที่สุดเพราะทางชั่วมันต่ำ มันไหลไปง่าย เหมือนกับน้ำที่ไหลไปที่ต่ำ มันง่าย แต่ถ้าเราจะทดน้ำให้ขึ้นที่สูงต้องใช้แรงงาน ใช้เครื่องสูบขึ้นไป และเครื่องนั้นต้องดีด้วยจึงจะสูบน้ำขึ้นไปได้
คนหนุ่มคนสาวผู้ไร้เดียงสาไปคบหาเพื่อนอย่างนั้นเข้า ชั้นแรกนั้นสนุกหรอก สูบสนุก ๆ สูบบุหรี่พ่นเล่นสนุก ๆ พ่นนาน ๆ เข้ามันก็ติดบุหรี่ สูบเฮโรอีนเล่นสนุก ๆ อยากลอง พอสูบต่อไปแล้วมันติดใจเพราะมันทำให้เคลิบเคลิ้มไป ให้เป็นสุขแบบคนขี้ยา สุขแบบคนขี้ยามันมี มันก็เลยชอบ ชอบก็เลยติด แล้วก็ต้องสูบบ่อย ๆ จนร่างกายผ่ายผอมซูบซีด พยายมจดชื่อไว้เรียบร้อย ยังแต่ว่าจะเอาตัวไปเท่านั้นเอง พ่อแม่เห็นเข้าก็ตกใจ เอ๊ะ ทำไมลูกชายของเราเมื่อก่อนรูปร่างหน้าตามันแข็งแรงดี เดี๋ยวนี้ทำไมมันผอมโซลงไปทุกวันเวลา ก็เรียกมาไต่ถามก็รู้เรื่องว่า อ๋อ แย่แล้ว มันไปเป็นทาสยาเสพติดเข้าแล้ว ที่ไปเป็นทาสยาเสพติดก็เพราะว่าไปคบเพื่อนพวกที่ชอบเสพสิ่งเหล่านั้น แล้วก็เกรงใจเพื่อน ไอ้เกรงใจไม่เข้าเรื่องนี่ทำให้คนเสียมามากแล้ว เลยก็ติดสิ่งเหล่านั้นงอมแงมจนเสียผู้เสียคนไป แต่ว่าพ่อแม่ก็ไม่อยากจะให้ลูกเสียผู้เสียคนจึงพยายามเยียวยารักษา เอาไปโรงพยาบาล เอาไปสถานอบรมในเรื่องอย่างนั้นให้รักษา พอผ่อนคลายลงไป หายลงไป มีชีวิตเป็นผู้เป็คนขึ้นมาบ้างแต่ยังกลัวอยู่ว่ามันจะไปอีกเพราะเพื่อนอาจจะมาชวนเมื่อใดก็ได้ ของมันเคยนี่ไม่ได้ พอเพื่อนกวักมือแล้วจะไป คนเคยดื่มเหล้านี่ได้กลิ่นเหล้าไม่ได้ เคยสูบบุหรี่ได้กลิ่นบุหรี่ไม่ได้ เคยสูบเฮโรอีพอได้กลิ่นเฮโรอีนมันก็ทนไม่ได้ มันวกลงไปหาจุดนั้นทันที เป็นอันตรายมากสำหรับชีวิต ก็เลยต้องหาวิธีการให้รอดพ้นจากอันตรายนั้นด้วยการ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็นำมาฝากวัดให้ได้เข้าใกล้พระ ได้ฟังเสียงพระแล้วจะได้เปลี่ยนชีวิตจิตใจเข้าหาพระ เอาพระเป็นผู้นำในชีวิตต่อไป บางคนก็เลิกได้ บางคนก็เลิกไม่ได้ บางคนมาอยู่วัดสองวันหายไปแล้ว บางคนวันเดียวคืนเดียวหายไปแล้ว หายแล้วไม่มาอีกต่อไป เขาไม่อยากจะเป็นคนแต่เขาอยากจะเป็นขี้ยา เขาไม่อยากจะหายจากโรคนั้นอยากจะเป็นโรคนั้นตลอดชีวิต เขาไม่รู้จักคุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ เขาไม่รู้ว่าความรักคุณพ่อคุณแม่ขนาดไหน เขาไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่มีความโทมนัสเสียอกเสียใจในการเปลี่ยนสภาพของลูกหญิงลูกชายในสภาพนั้นอย่างไร เขาคิดไม่ออก คิดไม่ได้ก็เลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชีวิตก็ตกต่ำต่อไปจนเข้าคุกเข้าตารางไป ออกจากคุกก็ส่งไปแดนโน้น รังสิต เอาไปรวมกันไว้ที่นั่น เคยไปพบมากมายก่ายกองไปอยู่ที่นั่นก็รักษาเนื้อรักษาตัวกันไปแต่ได้ทราบว่าอยู่ที่นั่นก็ยังมีสูบเหมือนกัน เพราะว่ามีคนจะหากำไรจากคนพวกนั้นโดยไม่ได้คิดว่าเรากำลังทำลายคนพวกนั้น เราเอาของแสลงไปป้อนทางวิญญาณของคนนั้นให้คนนั้นเสียผู้เสียคนต่อไป เลยก็ไม่สามารถจะคืนดีได้เพราะเขาไม่ร่วมมือเพื่อให้ตนเป็นคนดี อย่างนี้ลำบากมาก
แต่ว่าบางคนเมื่อมาอยู่วัดแล้วก็รู้สึกสำนึกตัว ตั้งอกตั้งใจที่จะปรับตัวเองให้เข้าหาแนวทางที่ถูกที่ชอบ บังคับตัวเอง มีความอดทน มีความเสียสละสิ่งชั่วร้ายออกจากจิตใจ ก็ดีขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้น จิตใจดีขึ้น ได้ในบวชในพระศาสนา บวชเรียนแล้วก็ลาสิกขาต่อไปอีก มาลาสิกขาออกไปอยู่เป็นเด็กบ้านก็ไม่ยอมทำชั่วต่อไป ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งสำเร็จได้ปริญญา ที่นี่ก็มีคนหนึ่งในสภาพเช่นนั้น เขาเอามาไว้ก็ให้อยู่วัดปีหนึ่งแล้วก็ให้บวช บวชอยู่สองปี เขามาลาสิกขาเพื่อที่จะไปเรียนรามคำแหงเพราะว่าเขาได้ ม.ศ.๕ ไว้แล้ว ก็เลยอนุญาตว่าเธอสึกได้เพื่อไปเล่าเรียนแต่เธอต้องอยู่วัดอีกสองปี เรียนหนังสืออยู่ที่วัดอย่าไปอยู่บ้าน เขาก็ตกลง เลยก็อยู่วัดเรียนสองปีแล้วก็ออกจากวัดไปอยู่บ้านญาติ ตั้งใจเรียนสอบได้นิติศาสตร์บัณฑิต แล้วก็ไปเรียนเนฯ เดี๋ยวนี้ได้เป็นเนติบัณฑิตแล้ว ภายในสี่ปีนั้นเขาก็ได้สำเร็จวิชาการเพราะเรียนจริง ทำจริง อันนี้ได้รับผลจากการมาอยู่วัดและเขาเปิดใจรับสิ่งที่พระมอบให้ ไอ้บางคนมาอยู่วัดมันก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกันคือสันดานมันไม่คิดจะดี ไม่คิดจะฟื้นตัวจากความชั่วความร้าย บวชแล้วเขาบอกว่าไม่ให้สูบบุหรี่แอบเอาบุหรี่มาสูบ ไปบ้านก็ซื้อบุหรี่มาแล้วเอามาแอบสูบในห้อง สูบคนเดียวไม่ได้ต้องชวนเพื่อมาเข้าแก็งค์แอบสูบบุหรี่กัน จนพระจับได้ก็ไม่เลิกไม่ละเป็นคนดื้อคนดัน ชอบทำอะไรตามใจตัวตามใจอยาก ไม่เปลี่ยนสภาพชีวิต ไม่เป็นคนอ่อน ไม่เป็นคนถ่อมตน ไม่เป็นคนรู้จักสภาพชีวิตของตัวว่ามันจะเสียผู้เสียคน อย่างนี้เขาเรียกว่า โปรดไม่ได้ มันเป็นดอกบัวใต้น้ำที่จะต้องเน่าเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลาไป
ไอ้ต้นบัวกับเต่านี่มันพอกันเหมือนกัน ไอ้ที่หนองข้างหน้าวัดน่ะ อาตมาไปพักอยู่ที่กุฏิน้อยหลังนั้นก็บอกพระทองใบว่า หาดอกบัวมาปลูกให้มันสวยเหมือนเดิมหน่อยเถอะ ก่อนนี้ดอกบัวเต็มสระบานสะพรั่ง ไม่มีเต่า ต่อมานี่คนพวกอยากอายุยืนเหมือนเต่าหรืออยากจะโง่เหมือนเต่าด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ชอบไปซื้อเต่ามาปล่อยวัด เต่าตัวเล็ก เต่าตัวใหญ่ ปล่อยกันใหญ่ มีเต่าตั้งยี่สิบกว่าตัวอยู่ในสระนั้น ปลูกดอกบัวปักไม้ไผ่เพื่อให้มันได้อาศัยเกาะ ปลูกไว้ ไม่กี่วัน กินเกลี้ยงเลย เต่ากินหมด ไม่ขึ้นซักกอเดียว เออ มันเป็นเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่เขาบอกว่า ไอ้ดอกบัวใต้น้ำนี่มันเป็นเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลานี่จริงทีเดียว คือเต่ามันชอบกินก้านบัว กินเหง้าบัว ใบบัวมันก็กิน เห็นใบบัวมันขาดลอยมาอยู่ใกล้กุฏิ เต่ามาโผล่หัวกัดใบบัวอยู่ มันไม่มีอะไรจะกินก็เลยกินใบบัวไปพลาง ๆ มันอย่างนั้น คนชอบเอามาปล่อย คนที่ปล่อยเต่านั้นล้วนแต่อยากอายุยืนทั้งนั้น ยืนเหมือนเต่าไง ไอ้ยืนเหมือนเต่านี่มันจะดีอย่างไร ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก แล้วอายุยืนนี่มันดีเมื่อไหร่ แก่หนักเข้ามันแย่นะ ลูกหลานก็รำคาญแล้วถ้าแก่มาก ๆ เนี่ย ไอ้ตัวคนแก่ก็รำคาญ มีแต่นั่งบ่นว่าเมื่อไหร่จะตายซักที ที่วัดนี่ก็มีคนแก่อยู่คนหนึ่ง แกไม่เจ็บไม่ไข้ กินหมากวันยังค่ำ นอนอยู่อย่างนั้น วิทยุเครื่องหนึ่ง เปิด เปิดฟังเรื่องนั้น ฟังเรื่องนี้ อาตมาก็นาน ๆ เดินผ่านไปทีหนึ่ง พอเดินผ่านก็เรียกว่า “โยม ยังไม่ตายรึ” หัวเราะแหะ ๆ “เขายังไม่เอา” ว่าอย่างนั้น “เอ้า อยู่ไปก่อนก็แล้วกัน เขายังไม่เอาก็อยู่ไปก่อน” นี่แหละ อยู่ไปอย่างนั้น นอนแล้วก็ทานอาหาร แล้วก็นอนฟังวิทยุ ไม่ค่อยหลับหรอก กลางคืนก็เดินแอบไปดู แต่แกก็ไม่ค่อยหลับ หลับน้อย นี่ทรมาน แก่มาก ๆ นี่ทรมาน อย่าไปปล่อยเต่าให้อายุยืนเลย มันลำบาก อยู่ไปตามเรื่องก็แล้วกัน เท่าใดก็ช่างหัวมันเถอะ เมื่อมันจะตายก็ยอมตายไป ไม่ต้องปล่อยเต่าหรอก ในบางแห่งเต่าอยู่อย่างทรมาน เช่นวัดเบญจมบพิตรนี่โยมไปดูเถอะ ในคูน้ำ น้ำก็น้อย เต่าก็มาก เที่ยวปีนเที่ยวป่ายกันตะไคร่น้ำจับตัวกันไม่เคยอาบน้ำเลย เรียกว่ามันไม่สะอาด น้ำก็ไม่สะอาด อยู่อย่างลำบาก คนก็ชอบเอาไปปล่อยในที่นั้น เลยมันก็เรียกว่าชาติก่อนคงทำบาปอะไรไว้มาชาตินี้เกิดเป็นเต่าให้คนซื้อไปปล่อยเลยทุกข์อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นคนที่มันดึงไม่ขึ้น สอนเท่าใดไม่รับฟัง ดึงไม่ขึ้น ก็เรียกว่าเป็นพวกดอกบัวเน่าใต้น้ำ เป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลา ที่เขาว่าเป็นเหยื่อเต่าหมายความว่าตกเป็นเหยื่อของความโง่นั่นเอง เต่านี่เขาเปรียบเป็นสัตว์โง่เขลานะ เขาว่าโง่หมือนเต่านะ คนบางทีเขาเขียนรูปคนขี่วัวแล้วแบกเต่าไปอีก ขี่วัวนั้นมันก็แย่แล้วมันยังขืนแบกเต่าไปอีกตัวหนึ่ง เรียกว่ามันโง่สองชั้นเลย คนอย่างนั้นมันโง่หลายชั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงว่าอย่างนั้นว่า เป็นเหยื่อเต่า คือตกเป็นเหยื่อของความโง่ความเขลา ดึงไม่ขึ้น สภาพจิตใจไม่ยอมรับคุณงามความดีก็เลยไม่ไหว ทีนี้คนที่มีจิตใจตกต่ำอย่างนั้นแล้วถ้านึกได้ว่า อ๋อ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความเป็นอย่างนี้แต่ที่มันเป็นไปอย่างนี้เพราะเราเผลอไป เราประมาทไป เราได้เดินผิดทาง เดินผิดแล้วกลับมาเดินถูกได้ ทำผิดแล้วกลับมาทำถูกได้ คิดผิดแล้วคิดให้มันถูกก็ได้ ไม่ใช่ลำบากอะไร ขอให้มีความคิดอย่างเดียวว่าเราจะต้องอยู่อย่างถูกต้อง คิดอย่างถูกต้อง พูดอย่างถูกต้อง ทำอะไรอย่างถูกต้อง คบคนที่ถูกต้อง อะไรอย่างนี้ไว้ในใจแล้วไม่ยอมให้ตกต่ำอีกต่อไปด้วยการศึกษาสาเหตุว่ามันตกต่ำเพราะอะไร เราก็ต้องศึกษาค้นคว้าเหตุของสิ่งนั้น เหตุสำคัญก็คือว่าเพราะเราไปคบเพื่อนไม่ดีเราจึงเป็นอย่างนั้น เราก็ตัดปัญหาคือเลิกคบเพื่อนชั่ว เพื่อนที่ชอบเล่นการพนัน ชอบเสพของมึนเมา ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบสนุกสนานสิ้นเปลืองเงินทอง เป็นคนเกียจคร้าน มันเป็นคนชั่ว เราอย่าเข้าใกล้ เมื่อเราไม่เข้าใจคนชั่วมันก็สบายใจ เราฟื้นคืนชีพเป็นคนดีขึ้นมาได้ ชีวิตก็เรียบร้อยก้าวหน้า
คนบางคนมีชีวิตตกต่ำเหลือเกินแต่เมื่อได้พบพระ รู้สึกตัวว่าเรามันเป็นคนห่างพระ เรามันอยู่มันความมืดก็เลยออกจากความมืดมาอยู่กับความงามความดีกลายเป็นคนสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นหลักเป็นฐานต่อไปได้ เป็นคนดีได้เพราะความเปลี่ยนแปลงก็เป็นคนดีได้ แม้คนที่เรียกว่าเป็น ไอ้เสือยอดอันธพาล เมื่อไปติดคุกอยู่แล้วก็มีความสำนึกตัวออกมาก็เป็นคนเรียบร้อย เป็นคนดีได้ เลิกความชั่วทุกประการ เคยพบคนประเภทนี้แล้วก็ได้คุยกัน แล้วก็ถามความคิดความเห็นว่า “เดี๋ยวนี้ถ้ามีใครชวนใครคุณให้ไปปล้น จะไปไหม” “ผมไม่เข้าใจ ผมไม่ไปแล้ว” “ถ้าคุณโกรธใครขึ้นมา คุณจะฆ่ามันไหม” “เดี๋ยวนี้ผมไม่ฆ่า แต่เมื่อก่อนผมฆ่าเสียสองรายแล้ว เดี๋ยวนี้ผมไม่ฆ่า โกรธผมก็ไม่ฆ่า” “แล้วทำไมจึงไม่ฆ่า” “มันเหมือนกับฆ่าตัวเอง” ได้ความรู้แล้วว่าฆ่าเขาเหมือนกับฆ่าตัวเราเอง ฆ่าเขาแล้วตัวเราเดือดร้อน ไปอยู่ในคุกมันได้บทเรียนได้เครื่องสอนจิตสะกิดใจทำให้คิดได้ เลยกลายเป็นสุภาพชน คนจะมาด่ามาว่าอะไรก็นั่งเฉย ๆ ไม่โต้ตอบ สมัยก่อนขืนมาว่าอย่างนั้นก็เตะโครงรวนไปเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ไม่เป็นไร เพื่อนว่าอะไรก็เฉย ๆ กระทบกระทั่งอะไรก็เฉย ๆ เขาเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนเข้าถึงธรรมะแล้ว มีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองจิตใจ ก็นับว่าเป็นคนใช้ได้ เป็นสัตบุรุษ คนเคยฆ่าคนเคยติดคุกออกมาจากคุกเป็นคนดี ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็ทำหน้าที่เรียบร้อยได้รับเลือกเป็นกำนันในตำบลนั้นด้วย ดูสิมันเป็นไปได้ถึงขนาดอย่างนั้น นั่นก็เพราะว่าเขาเปลี่ยนชีวิต เขาเปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนความคิดความอ่าน
คนเรานี่มันเปลี่ยนได้นะ คนเรามันเปลี่ยนได้ สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนได้ แต่ถ้าให้มันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติมันไม่มีระเบียบ มันเป็นไปตามเรื่องของมันสุดแล้วแต่สิ่งแวดล้อม สุดแล้วแต่เรื่องมากระทบมันก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์อย่างนั้น ไอ้นั่นมันไม่มีระเบียบ แต่ถ้าเราเปลี่ยนอย่างมีระเบียบแบบแผน คือเปลี่ยนเพราะมีความคิดถูกต้อง มีแนวทางชีวิตถูกต้อง เอาสิ่งนั้นมาเป็นแบบฉบับในการเปลี่ยนแปลง เขาก็เปลี่ยนมาเป็นคนเรียบร้อยได้ เป็นคนดีงามได้ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ว่าเขาเปลี่ยนได้ เปลี่ยนมาเป็นคนดีได้ คนชั่วมีความอาฆาตมาดร้ายคนอื่น แต่มาพบคนนั้นเป็นคนดี เป็นคนเรียบร้อย มันก็ยังเปลี่ยนได้มีเหมือนกัน แต่ว่าคนชั่วบางคนนั้นไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มันฝังลึกมาก ความคิดนั้นฝังลึกและไม่มีคนคอยเตือนใจ เขาจึงกระทำชั่วขึ้นได้ อันนี้ก็มีอยู่ เป็นคนที่น่าสงสารคนประเภทนั้น หัวคิดแต่เรื่องอาฆาตมาดร้าย เรื่องไม่ดีไม่งามประจำจิตใจ เลยเปลี่ยนไม่ได้ ชีวิตคนเรานี้เปลี่ยนได้ คนขี้โกรธเปลี่ยนมาเป็นคนใจเย็นได้ คนพยาบาทกลายมาเป็นคนเมตตาได้ คนหลงงมงายกลายมาเป็นคนฉลาดมีปัญญาได้ ถ้าเราตั้งใจจะเปลี่ยนและเรารู้ว่าไอ้สภาพอย่างนั้นมันไม่ดี คามโกรธไม่ดี ความพยาบาทไม่ดี สิ่งนั้นมันทำร้ายเราก่อนที่เราจะไปทำร้ายคนอื่นด้วยซ้ำไป
ยกตัวอย่างเช่นความโกรธพอเกิดขึ้นปุ๊บ มันทำร้ายเราแล้วมันทำร้ายความเยือกเย็นให้หมดไป แต่มันสร้างความร้อนขึ้นในจิตใจ สร้างอารมณ์ขุ่นให้เกิดขึ้นในใจ หน้าของคนนั้นก็เปลี่ยนไป นัยน์ตาก็เปลี่ยนไป มือก็เปลี่ยนไปเป็นสั่น ๆ ทำท่าเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอด ๆ นี่มันถูกทำร้าย ความโกรธมันทำร้ายเรา พอเราเริ่มโกรธเราถูกทำร้ายก่อน แล้วสภาพทั้งหลายก็เปลี่ยนไปเพราะเราถูกทำร้าย และเมื่อเราไม่รู้ตัว ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ เราก็พุ่งไปด้วยอำนาจความโกรธ พุ่งไปเหมือนช้างเมามันอย่างนั้น ช้างเมามันนี่มันไม่ค่อยรู้สึกตัว มันพุ่งไปด้วยความเมาของมันแล้วไปทำอะไรก็ได้ คนที่พุ่งไปด้วยความโกรธมันก็ไปทำเรื่องเสียหายเกิดขึ้นเพราะความโกรธนั้น นี่มันเป็นอย่างนี้ มันทำร้ายเรา เราเกลียดคนอื่นความเกลียดก็ทำร้ายเรา เราริษยาคนอื่นความริษยานั้นมันก็ทำร้ายเราก่อน มันทำเราก่อนทุกรายแหละในเรื่องความชั่วความร้าย มันทำร้ายเราก่อนใคร ๆ ทั้งหมด และเมื่อมันทำร้ายเราแล้วมันก็บังคับเราให้ไปทำร้ายคนอื่นต่อไปอีก ปัญหาก็ลุกลามไปเป็นไฟลามทุ่ง ขั้นแรกมันตั้งขึ้นนิดเดียวถูกพายุโหมก็เป่าไป ลมพัดไปทางไหนไฟก็ลามไปทั้งทุ่งเลย ไหม้ราบพนาสูญไปตาม ๆ กัน นี่มันเป็นอย่างนี้
เมื่อเรานั่งนึกคิดพิจารณาเวลาว่าง ๆ คนเรานี่ว่าง ๆ ลองนั่งอ่านตัวเองเสียบ้าง อ่านตัวเอง มองไปข้างหลัง ย้อนหลังกลับไป ตั้งแต่สมัยที่เราจำความได้ ไอ้ก่อนนั้นมองไม่เห็นหรอก จำไม่ได้ ยังไม่มีความจำ จำไม่ได้ ถ้าจะถามว่านมคุณแม่มีรสอย่างไรใครจำได้บ้าง ไม่มี ไม่มีใครซักคนเดียวที่จะบอกได้ว่ามันหวานปะแล่ม มันรสอย่างนั้น มันรสอย่างนี้ จำไม่ได้ คนเรานี่จำรสน้ำนมคุณแม่ไม่ได้ มันก็ดีเหมือนกันนะคือไม่ติด ถ้าจำได้แล้วมันจะยุ่ง เดี๋ยวคุณแม่มีน้อง ลูกคนพี่กระโดดเข้าไปดูดแทนน้องหมด น้องก็แย่เลยทีนี้ เพราะมันจำได้ว่าอร่อย แต่นี่มันจำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อหย่านมแล้วมันไม่ยุ่ง มันไม่กินต่อไป มันจำไม่ได้ เรื่องนั้นมันก็มี ถ้าเราไปทำอะไรเรื่องอะไรไว้ที่ผ่านมาเรานั่งนึกดูตั้งแต่เราเริ่มเป็นเด็ก เริ่มไปโรงเรียนแล้วเรามีอะไรเกิดขึ้นในตัวเราบ้าง สิ่งที่เรามีอยู่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่เราได้กระทำมาในอดีต กระทำเมื่อสมัยก่อนเป็นเด็ก ๆ เราก็นึกทบทวนถอยหลังไป แล้วก็ดูผลที่เกิดขึ้นในรายทางว่ามันเป็นอย่างไร การเรียนของเราเป็นอย่างไร การดำรงตนของเราเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไรพิจารณาให้ละเอียดเราก็จะพบความจริงว่า มันมีแต่เรื่องไม่น่าพิสมัยทั้งนั้น ทุกขั้นตอนของชีวิตที่เราประพฤติในทางไม่ดีไม่งามนั้นไม่มีตอนใดที่น่าพิสมัยเลย ไม่มีตอนใดที่น่ารักเลยแม้แต่น้อย แล้วเราลองถามตัวเราเองว่า เราเกิดมาเพื่อความเป็นอย่างนั้นรึ เราเกิดมาเพื่อความเป็นคนชั่วหรือคนร้ายอย่างนั้นรึ หรือเป็นคนใจอ่อนใจง่ายติดสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วแกะไม่ออก ตัวทากมันติดเนื้อเรายังแกะได้ ปลิงก็ยังแกะออกได้ แม้ว่าเวลาแกะจะยาก พวกนี้ดึงยืดออกไปเชียว แกะยาก แล้วมันไปแล้วมันทิ้งแผลไว้ให้ ยิ่งตัวทากตัวเห็บนี่ร้ายหนักหนา ปลดออกไปแล้วคันอยู่สามเดือนต้องเกาบ่อย ๆ จะตกสะเก็ดบ่อย ๆ ตั้งกี่ครั้งก็ไม่รู้ ที่ไชยานี่มีเห็บ ท่านเจ้าคุณบอกว่ามันตกสะเก็ดตั้งเจ็ด แปด หรือสิบครั้งกว่าจะหลุดออกไปได้หมด พิษมันมาก ความชั่วเหมือนกับตัวเห็บที่มาเกาะเรา ถ้าเราไม่แกะออกมันก็กินเราจนผอมไป ดูดเลือดเราทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ มันทำให้เราชั่วร้ายเสียหาย สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน
แต่เราไม่ได้พิจารณา ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ทวนไปดู ไม่ยกกระจกธรรมขึ้นมาส่องดู เพราะคนที่ทำชั่วนั้นนึกว่าตัวเก่งไง นึกว่าตัวถูก นึกว่าตัวดีเสียเรื่อย ไม่ได้เอาตัวไปเปรียบกับคนอื่น ถึงเอาไปเปรียบก็เปรียบว่ากูเก่งกว่ามัน เอาความเก่งในทางไม่เข้าเรื่องว่าตัวเก่งกว่าคนนั้นคนนี้ เพราะความสำคัญผิดอย่างนี้มีอยู่ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนพาลที่นึกว่าตัวเป็นบัณฑิตนี่มันเป็นพาลแท้ แต่คนพาลที่นึกได้ว่ากูเป็นพาลยังมีความเป็นบัณฑิตอยู่บ้าง คนพาลที่รู้สึกตัวว่าตัวเป็นพาลเรียกว่ามีอาการของความเป็นบัณฑิตแย้มเข้ามาในจิตนิดหน่อยแล้ว และถ้าหากว่ามีความสำนึกติดต่อกันไปความเป็นบัณฑิตก็จะเพิ่มขึ้นในจิตใจของบุคคลผู้นั้นจนมีพลังเข้มแข็งสามารถไล่ไอ้ความชั่วนั้นออกไปจากใจได้ แต่ถ้าคนใดที่มีความคิดว่าฉันเป็นคนเก่งคนนั้นก็จะเหลวไหลต่อไป
เคยพบผู้ชายคนหนึ่งแกมีภรรยาหลายคน แล้วแกไม่ทำอะไรมาเลี้ยงภรรยา แกเกาะภรรยากิน วันหนึ่งพบกันแกพูดว่า ในเมืองไทยถ้ามีคนอย่างผมมาก ๆ บ้านเมืองเจริญกว่านี้แล้ว มันจะเจริญได้ยังไงคนอย่างนั้น อาตมานั่งฟังแล้วก็นึกขำในใจว่า เอ๊ะ มันชั่วจริงไอ้นี่ เป็นคนไม่ดีแล้วยังนึกว่าตัวดี ยังพูดว่าถ้ามีคนอย่างผมหลาย ๆ คนนี่มันเจริญนะ คือแกนึกว่าแกเก่ง คือว่าแกเป็นคนชาวนาแถวนั้นแต่ได้มากรุงเทพฯ มาเรียนหนังสือนิด ๆ หน่อย ๆ เรียนไม่สำเร็จหรอก แล้วก็ได้ภรรยาจากกรุงเทพฯ ไปคนหนึ่ง ภรรยาที่เป็นชาวกรุงเทพฯ ไปอยู่นั้นแกใจดีใจงาม อดทนที่สุดไม่ปริปากบ่นอะไร สามีจะไปไหนแกก็ไม่บ่นไม่ว่า แล้วก็ไปเที่ยวมีที่โน่นที่นี่ กลับมาแกก็โอภาปราศัยต้อนรับขับสู้ดี ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น แต่ว่าผู้ชายนั้นแกคิดว่าแกเก่ง แกเก่งโดยไม่ต้องทำอะไร ไปบ้านไหนก็มีกินมีใช้ แล้วถ้ามีคนอย่างนี้มาก เขาเรียกว่าแมงดาเจริญ ไม่ใช่คนเจริญ แล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร โลกมันจะอยู่ได้อย่างไร มันมีแต่แมงดาทั้งนั้น แมงดาตัวผู้มันเกาะตัวเมียตลอดเวลา มันไม่หากิน แมงดาตัวเมียหาอาหารมามันก็แย่งกินแล้วมันเกาะหลังตัวเมียต่อไป เขาเรียกว่าแมงดา ผู้ชายแมงดา แกนึกว่าแกเก่ง เลยแกก็เป็นคนดีกับเขาไม่ได้ เพราะนึกว่าตัวดีนั่นเอง คนเรามันหลงผิด เขาเรียกว่าหลงเงาตัวเอง ละครวิทยุเขาแสดงตั้งชื่อว่า “พระจันทร์หลงเงา” ดวงจันทร์มันจะหลงเงาได้อย่างไร แต่เขาตั้งชื่อให้มันสะดุดหน่อย ให้มันเตะหูหน่อย เตะตา เตะหู เตะตาก็ตาหลุดเท่านั้นเอง เตะหูก็ไม่ต้องฟังอะไรกันต่อไป หูตึงไปเลย พระจันทร์หลงเงา คนเรามันหลงตัวเอง สำคัญว่าฉันถูก ฉันดี ฉันอย่างนั้นฉันอย่างนี้ ไม่มีทางจะไปรอด
แต่เมื่อใดเรามารู้จักตัวเองว่า ฉันคือใครถูกต้องแล้วก็รู้ว่าไอ้ที่มีอยู่นั้นมันไม่ได้เรื่อง ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยชน์แก่ตน แก่ครอบครัว ตลอดจนถึงประเทศชาติ ก็เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจเสียบ้าง มันก็ดีขึ้น แต่ว่าที่เปลี่ยนไม่ได้เพราะว่าไม่เคยนั่งมองดูตัวเอง ไม่เคยพิจารณาตัวเอง ชอบทำอะไรตามอารมณ์ตามใจอยากตลอดเวลา เป็นเด็กคงจะเป็นเด็กที่พ่อแม่ตามใจมากไป เลี้ยงแบบตามใจ เลยก็เกิดความยึดมั่นในตัวตนมาก ถ้าเรียกตามภาษาเขาเรียกว่า ความมีตัวมันใหญ่ มีความมีตัวมันใหญ่มาก จนนึกว่าตัวเก่งอยู่ตลอดเวลา ไปนั่งที่ไหนก็จะแสดงตัวว่าฉันเก่งกว่าใคร ๆ ทำอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา เลยมันก็เป็นคนชอบสร้างปัญหา เขาเรียกว่าประเภทคนบ่อนแตก ถ้าไปตรงไหนแล้วแตกกระจุยไปเลยทีเดียว คือความเสียหายของชีวิตอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ธรรมะเป็นกระจกยกมาส่องดูตัวเรา พิจารณาตัวเราเพื่อให้รู้ว่าเราคือใคร เรามีสภาพชีวิตจิตใจเป็นอย่างไร อะไรมันถูกอะไรมันผิด แล้วที่ตัวเรามีสิ่งถูกต้องหรือว่ามีสิ่งผิด มีความสุขทางใจเพียงพอไหมหรือว่าสุขจอมปลอม สุขจากเครื่องล่อเครื่องจูงใจ ไม่ใช่สุขที่เที่ยงแท้ ต้องดูตัวเอง พิจารณาตัวเองอย่างนี้ เราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเราใช้หลักว่าพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง เราก็ดีขึ้น เปลี่ยนแปลงไปในทางดี มันเป็นอย่างนี้
การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ต้องอาศัยบุคคล สิ่งแวดล้อมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นองค์การทางศีลธรรมองค์การหนึ่งเขาถือหลักสำคัญ คือหลักว่าให้คนที่มาอยู่กับพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปสู่ความงามความดี เขาจึงสร้างคนไว้กลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้ได้มีความสำนึกผิด แล้วก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเข้าสู่ความดีความชอบแล้ว เป็นคนเปิดเผยแล้ว พูดจาตรงไปตรงมาในเรื่องที่ตัวทำผิด เมื่อทำผิดก็มาสารภาพผิดกับคนอื่นได้ทันที เลี้ยงคนพวกนี้ไว้ชุดหนึ่ง แล้วก็เอาคนอื่นเข้ามา พวกนี้มีสิบคน เอาคนไม่ดีมาคนหนึ่ง คนไม่ดีคนหนึ่งนั้นถูกหลอมเลย ถูกหลอมด้วยความดีของคนสิบคนนั้นกลายเป็นคนดีไป คนดีก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเอ็ด แล้วก็เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากขึ้น ๆ แล้วก็เอาคนเหล่านี้ไปเปลี่ยนคนจำนวนมาก ๆ ก็ได้ เรียกว่าคนกลุ่มใหญ่ไปเปลี่ยนคนกลุ่มใหญ่ได้ หรือว่าคนหนึ่งคนไปเปลี่ยนคนหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าคนเดียวไปเปลี่ยนคนหนึ่งคนไม่ได้ต้องเอาคนหนึ่งคนที่ไม่ดีนั้นมาเข้ากลุ่มใหญ่ พอเข้ากลุ่มใหญ่คนนั่งข้างขวาก็พูดเรื่องดี คนนั่งข้างซ้ายก็พูดเรื่องดี คนนั่งข้างหน้าก็พูดเรื่องดี ทำดี คนนั่งข้างหลังก็พูดเรื่องดี ทำดี คนนั้นมันมองไปไหนมันเจอแต่คนดี เจอแต่ความดี แล้วมันนึกกระดากตัวเองขึ้นมาเลยเปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่นผู้หญิงเวลามาอยู่ในหมู่นั้นเคยสังเกตเห็นว่าแต่งตัวฉูดฉาดบาดตามา ทำผมทำเผ้าแปลก ๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก ไม่มีใครติ ไม่มีใครว่าอะไร อยู่ ๆ ไปค่อย ๆ เปลี่ยนไป ๆ กลายเป็นคนธรรมดา ไม่ตกแต่ง นุ่งผ้าแบบง่าย ๆ อะไรง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ใคร ๆ เห็นก็บอกว่า แม่คนนั้นเปลี่ยนไปเยอะแล้ว นี่ตัวอย่างงผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกันมาบางทีก็มานั่งในที่ประชุมสูบบุหรี่ควันโขมง ไม่มีใครว่า สูบไปเพราะไม่มีใครว่า สูบเรื่อย ๆ ไป แต่ในกลุ่มนั้นไม่มีใครสูบเลย ไปนั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกัน แกล้วงบุหรี่ออกมาจะสูบต้องเก็บทันที เพราะนึกได้ว่าที่นี่เขาไม่มีใครสูบ แล้วเราไปที่ไหนก็ไม่เห็นใครสูบบุหรี่ ตัวที่เคยสูบก็ค่อย ๆ ลดลงไป ๆ เลิกได้ เพราะไปอยู่กับผู้ที่มีความคิดในทางถูกต้อง แล้วไอ้ความดีนั้นมันก็ดูดคนนั้นให้กลายเป็นคนดีไปได้ เอาของดีไปเปลี่ยนของชั่วให้เป็นของดีได้ และคนที่จะเปลี่ยนใจนั้นก็ยอมรับความดีนั้นด้วย มันก็เปลี่ยนไปได้
แต่ว่าคนบางคนไม่ยอมเปลี่ยนก็มีเหมือนกัน แต่ว่าพยายามจะไปเปลี่ยนคนอื่นให้มาเหมือนตัว ตัวทำอะไรไม่ดีนี่ พยายามทำคนอื่นให้ไม่ดีเหมือนตัว คล้ายกับสุนัขหางด้วนเพราะไปลักไก่ชาวบ้าน พอรู้ว่าตัวหางด้วนแล้วก็เลยไปชวนหมาตัวอื่นให้หางด้วนเหมือนตัวเข้าไปด้วย อย่างนี้มันก็มีเหมือนกัน เราจึงเห็นว่าในสังคมมีคนประเภทที่หางด้วนแล้วไปชวนผู้อื่นให้ตัดหางเหมือนตัวนี่เยอะทีเดียว แล้วก็ในสังคมมนุษย์เรานี้ยังไม่มีการชักจูงโน้มน้อมจิตใจเพื่อนฝูงมิตรสหายให้เป็นไปในทางดี มีน้อย
เมื่อวาน วานซืนนี้ก็ไปเทศน์ที่ไหนแห่งหนึ่ง แล้วก็พบคนบอกว่า ผมนี่พยายามดึงเพื่อในวงงานให้ไปวัด เอาหนังสือมาแจก เอาเทปมาให้ พยายามที่จะให้เขาเป็นคนดี ให้เขาอยู่กันเป็นสุขในครอบครัว ทำมาเรื่อย ๆ แล้วถามว่าผลเป็นอย่างไร แกก็บอกว่า เริ่มมีผลขึ้นบ้างพอสมควร มันต้องอดทน ต้องทำจริง ต้องทำติดต่อไป ชวนติดต่อกันไป ชวนบ่อย ๆ เช่นเพื่อนเราไม่เคยมาวัด เราชวนบ่อย ๆ ชวนบ่อย ๆ แกคงจะนึกว่า เอ๊ะ มันจะมีดีอะไร มันถึงชวนกูบ่อย ๆ ท่าจะต้องไปสักหน่อย แล้วก็มา ทีนี้มาแล้วก็คงจะได้อะไรขึ้น เราพยายามชวนเขา เราพยายามพูดแนะนำเพื่อนให้เลิกดื่มเหล้า ให้เลิกเล่นการพนัน ให้ตั้งใจประพฤติดีประพฤติชอบเพื่อความสุขของเขา แล้วเราก็สบายใจว่า ได้ทำคนชั่วให้กลายเป็ยคนดี อยู่ไม่เสียชาติเพราะได้ทำคนชั่วให้กลายเป็นคนดีขึ้นอย่างน้อยก็คนหนึ่งในชีวิตของเราก็นับว่าใช้ได้ เรื่องนี้สำคัญอยู่เหมือนกันเพราะสมัยนี้มันมีเรื่องคนจูงกันไปทางชั่วมาก อยากให้เราทั้งหลายช่วยกันชักจูงโน้มน้อมจิตใจแม้จะลำบากเหมือนลากแมวข้างหางก็อุตส่าห์ลากเขาเถอะ มันอยู่ไม่ได้มันก็ต้องมาเองแหละ ชวนลากมาให้จนได้ ช่วยกันดึงช่วยกันลากมาหาความงามความดีเพื่อสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมของมนุษย์แล้วเราจะนอนสบาย ไปไหนสบาย อยู่สบายเพราะคนชั่วน้อยลงไป เราก็เป็นความสุข
ดังได้แสดงมาในวันนี้ ก็พอสมควรแก่กาลเวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้