แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้า ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ในอาการสงบอย่าเดินไปเดินมาให้พลุกพล่าน เด็กน้อยๆ ที่พามาด้วยให้อยู่กับผู้ใหญ่ อย่าปล่อยให้วิ่งไปวิ่งมา รบกวนสมาธิของคนอื่น ถ้าสมมติว่าเด็กมันร้องขึ้น รีบพาวิ่งออกไปเสียให้ไกลคนอื่นทันที ไม่งั้นมันรบกวนประสาท จะพาเอาเด็กมาวัดนี้ ต้องพามาเพื่อฟังธรรมด้วย เวลานี้โรงเรียนยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อใดโรงเรียนสร้างเสร็จโยมพาลูกหลานมา อย่าเอามาในบริเวณที่ผู้ใหญ่ฟัง มอบไว้ที่โน่น พระก็จะรับเอาเด็กเข้าห้องเรียน แล้วท่านก็จะสั่งสอนอบรมเด็กพวกนั้น แล้วพอโยมฟังเทศน์จบกลับบ้านก็ไปรับเอาเด็กไปด้วย ก็จะได้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ว่าในตอนนี้สถานที่มันยังไม่พร้อม เพราะว่าโรงเรียนที่สอนเด็กวันอาทิตย์ยังอยู่ไกล แล้ววันนี้ก็เป็นวันประชุมปฐมนิเทศพ่อแม่ที่นำลูกมาฝากโรงเรียนวันอาทิตย์ วันอาทิตย์หน้าก็เริ่มเปิดเรียนกันต่อไป ณ โรงเรียนชลประทานสงเคราะห์
พ่อแม่ที่ส่งลูกมาโรงเรียนต้องเอาใจใส่ด้วย คือ เอาใจใส่กับลูกให้มาสม่ำเสมอ ให้แต่งตัวเรียบร้อยมาโรงเรียนในวันอาทิตย์ ตอนเย็นลูกกลับบ้าน ชวนพูดชวนคุย ไต่ถามว่าวันนี้ไปโรงเรียน พระท่านสอนอะไร เรื่องอะไรบ้าง เพื่อเด็กจะได้ตอบให้พ่อแม่ฟัง แล้วพ่อแม่ก็ต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่าง ลูกไปเรียนธรรมะ ถ้าลูกกับพ่อแม่ไม่ประพฤติธรรมะ มันก็ขัดกัน แล้วก็ลูกจะมองพ่อว่าไม่อยู่ในศีล เพราะเมาวันยังค่ำ หรือเมาเป็นเวล่ำเวลาก็ไม่ได้เรื่อง หรือว่าคุณแม่พูดจาอะไรก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ลูกมันก็จะเกิดความขัดแย้งในจิตใจ เพราะฉะนั้น เมื่อเราส่งลูกมาเรียนธรรมะ พ่อแม่ก็ต้องฝึกฝนในทางธรรมะด้วย คือ ประพฤติธรรม เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ลูกๆ เพราะว่าพ่อแม่นี่เป็นตัวการสำคัญในการที่จะทำลูกให้ดีก็ได้ ให้เสียก็ได้ เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยกันสร้างเสริมนิสัยของเด็ก เพื่อให้เติบโตขึ้นด้วยคุณธรรม จะได้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีของชาติบ้านเมืองต่อไป บ้านเมืองเราจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะว่าผู้ใหญ่ประพฤติธรรมเป็นตัวอย่างแก่เด็ก แล้วก็สอนเด็กให้รู้ธรรมะ ให้ประพฤติธรรมะด้วย สังคมไทยก็จะเป็นไทยสมชื่อ เป็นพุทธบริษัทสมชื่อขึ้นมาด้วยการกระทำในรูปอย่างนั้น อันนี้ขอฝากกับญาติโยมที่ส่งลูกมาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เมื่อคืนได้ถามพระมหาสง่าซึ่งเป็นเลขานุการโรงเรียน ก็ได้ทราบว่ามีเด็กมาสมัครตั้ง ๔๐๐ แหม วันแรกมันก็มากหรอก แต่ว่าค่อยหายไป อันนี้พ่อแม่ต้องคอยกวดขันวันอาทิตย์ให้เด็กมาวัด ถ้ามันไม่มาวัดมันก็ถือหนังสติ๊กไปเที่ยวยิงนกตามข้างวัด ตามสถานที่ต่างๆ ไปเล่นเรื่องไม่เข้าเรื่อง ไปคบเพื่อนที่ไม่เข้าที จิตใจก็จะหันไปในทางเสื่อม เราจึงต้องช่วยกันตะล่อมกล่อมเกลาจิตใจเด็กให้หันหน้าเข้าหาความงามความดี จะได้เป็นคนดีตามหลักพระพุทธศาสนาต่อไป
วันอาทิตย์หน้าก็จะเริ่มแล้ว แล้วก็เมื่อโรงเรียนเสร็จราวเดือนสิงหาคม ก็จะได้ย้ายมาสอนในวัด ญาติโยมที่พาเด็กมาก็จะได้สะดวกมากขึ้น จะไม่ต้องยุ่งยากลำบาก เด็กก็จะได้รับรู้ในเรื่องธรรมะเบื้องต้น จะได้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะได้สร้างจิตใจให้เป็นธรรมะ ก็จะทำให้พ่อแม่สบายใจเมื่อแก่ชรา ลูกของเรานั้นถ้ามันดี พ่อแม่ก็สบายใจ เหมือนได้ขึ้นวิมานสวรรค์ ถ้าไม่ดี พ่อแม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนนั่งอยู่ในหม้อนรก ร้อนอกร้อนใจ เป็นทุกข์ตรมตรอมใจด้วยประการต่างๆ เพราะลูกประพฤติไม่ดี อันนี้เราจะโทษลูกก็ไม่ได้ แต่ว่าต้องโทษตัวเราเองที่ไม่หมั่นอบรมบ่มนิสัยให้เด็กนั้นเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการนี้ มันจึงเป็นอย่างนั้น ดังนั้น จึงต้องจัดการกับตัวเราด้วย แล้วก็จัดการกับลูกต่อไป ถ้าพ่อแม่เป็นผู้เดินถูกทาง ลูกก็ต้องถูก แต่ถ้าพ่อแม่เดินผิด ลูกก็ต้องเดินผิดเป็นธรรมดา เพราะมันถ่ายแบบกัน ลูกไม้นี้หล่นไม่ไกลต้นหรอก ต้นมันอยู่ตรงไหนลูกมันก็หล่นปุ๊อยู่ตรงนั้นแหละ ดังนั้น ต้นมันต้องดี ถ้าต้นดีแล้วก็ลูกดี ถ้าต้นไม่ดีลูกมันก็ไม่ดี อันนี้เป็นธรรมดา ทางวัดนี้ต้องการจะสงเคราะห์ช่วยเหลือลูกหลานญาติโยม เพื่อให้ได้เข้าถึงธรรมะได้ตั้งแต่เบื้องต้น เมื่อเติบโตขึ้นก็จะได้มีคุณงามความดีประจำจิตใจ ไม่ได้เติบโตแต่เพียงร่างกาย แต่ว่าเติบโตด้วยคุณธรรมด้วยความงามความดีก็จะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลของเราต่อไป อันนี้เป็นจุดหมายที่ได้จัดการเปิดโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์สำหรับอบรมบ่มนิสัยจิตใจเด็ก เพราะสมัยนี้โลกมันไหลเชี่ยวนัก เราจะต้องฉุดคนให้รู้จักทวนกระแสโลก อยู่ในโลกนี้มันต้องทวนกระแสไว้บ้าง ถ้าไม่ทวนรู้จักทวนกระแสก็จะไหลไปกับกระแสโลกแล้วก็จะจมดิ่งลงไปในน้ำวน หายไปเลย ชีวิตหมดค่า หมดราคา เราจึงต้องฝึกฝนอบรมจิตใจให้รู้จักทวนกระแสของโลกไว้
กระแสของโลกคือการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม กิเลสมันก็เกิดมากขึ้นในใจของเรา กิเลสนั้นมันไม่ใช่ของมีอยู่ตลอดเวลา ให้ญาติโยมเข้าใจคำนี้ให้ดีไว้ว่าเราไม่ได้มีกิเลสอยู่ตลอดเวลา เรามีกิเลสเป็นครั้งคราว เมื่ออารมณ์มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเข้าไปควบคุมการกระทบนั้น เราจึงตกอยู่ในอำนาจของรูป แล้วจิตเราก็ไหลไปตามรูป เมื่อมันไหลไปตามรูปก็ไหลไปตามวัตถุที่ล่อ เหมือนกับปลาติดเบ็ด เพราะไปติดเหยื่อที่เขาเกี่ยวไว้ หรือว่าสัตว์ป่าไปติดแร้วของนายพราน ก็เพราะไปหลงเหยื่อ เขาเอาเหยื่อไปวางไว้ แล้วมันก็ไปกินเหยื่อ ตาดูแต่เหยื่อไม่ดูแร้วเลยก้าวลงไปในแร้ว แร้วมันก็งับตีนไว้ แล้วก็ดิ้นไม่หลุด ผลที่สุดเขาก็จับไปเชือดต้มแกงกินกันต่อไปฉันใด ชาวโลกเรานี้ก็มีสภาพเดียวกัน อารมณ์โลกมันมีมากมายที่คอยยั่วยวนชวนใจเรา ให้เกิดความรัก ให้เกิดความพอใจ เกิดความอยากได้ อยากเป็นในเรื่องนั้นๆ โดยขาดปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครอง ความอยากมันรุนแรงเกินไป ก็ไหลไปตามอำนาจความอยาก ลืมตัวลืมตน แล้วกระทำในสิ่งที่เป็นความชั่ว ความเสียหาย ดูข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์จะพบว่ามีการกระทำความผิด เพราะติดในอารมณ์ เช่นว่าไปฆ่าคนเพื่อ (ให้) ได้เงิน คนที่ไปฆ่าคนนั้นก็ไม่ใช่ว่าคนธรรมดา เป็นผู้มีการศึกษา มียศในทางราชการที่ตนกระทำอยู่ แต่ว่าเพราะใจของเขาไหลไปตามเหยื่อ กินเหยื่อ เลยลืมนึกถึงศีลธรรม ลืมนึกถึงครอบครัว พ่อแม่ ประเทศชาติ อำนาจความอยากมันรุนแรงกว่าเลยฆ่าคน ๒ คน เพื่อต้องการเงินจำนวนหนึ่ง แต่ว่าเงินนั้นก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนหรอก เพราะว่าเป็นการที่ได้มาในทางที่ไม่ชอบไม่ควร ตนก็ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน เขาเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ผลที่สุดตำรวจจับได้ ยอมรับสารภาพ สารภาพว่าตนได้กระทำความผิด เพราะลืมตัวไป มันก็ทั้งนั้นแหละ ใครทำความผิดก็เพราะมันลืมตัวทั้งนั้น
คำว่าลืมตัวก็คือว่าไม่มีสติอยู่ในขณะนั้น ไม่มีปัญญาอยู่ในขณะนั้น ขาดสติ ขาดปัญญา ขาดสติก็คือไม่รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร ขาดปัญญาก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่จะทำนั้นผิดหรือถูก ดีหรือชั่ว จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์หรือเกิดสุข จะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมหรือจะเป็นเหตุให้เกิดความเจริญ เขาไม่มีปัญญาที่จะคิดในเรื่องนั้น สติไม่เกิด ปัญญาไม่เกิด เขาก็เรียกว่า ลืม ลืมตัว คือ ลืมธรรมะ ลืมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้มีพระห้อยคออยู่ก็ยังลืม เพราะว่าการห้อยคอพระก็ไม่ได้ห้อยด้วยปัญญา ห้อยไว้ด้วยความหลง ความมัวเมา เลยก็ไม่ได้เป็นเครื่องเตือนใจ คิดไม่ออก ความยับยั้งหายไป เลยกระทำสิ่งผิดลงไปอย่างน่าเสียดาย มันเป็นอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร การกระทำผิดศีล ผิดธรรม มันเกิดจากลืม คือ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเข้ามากำกับชีวิต เหมือนเรือไม่มีหางเสือ รถไม่มีพวงมาลัย กระชากเครื่องแล้ว มันจะไปได้อย่างไร ถึงไปได้มันก็ชนดะไปเลย แล้วก็ที่สุดก็ไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างถนน มันไปไม่รอด ชีวิตของคนเราก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องแสวงหาธรรมะ เอามาไว้เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ การที่เรามาวัดทุกวันอาทิตย์ก็ไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อจะได้มาเติมกำลังใจ ให้มันมีกำลังภายในเข้มแข็ง เพียงพอที่จะต่อสู้อารมณ์ที่มากระทบได้ คล้ายกับหม้อแบตเตอรี่ใช้นานๆ ไปมันก็หมดไฟ เราก็ต้องไปชาร์ท หรือว่าเปลี่ยนน้ำกรด เติมน้ำใหม่ลงไป แล้วก็ชาร์ทไฟเข้าไปใหม่ ไฟนั้นก็จะมีกำลังเพียงพอ สามารถที่จะทำให้เครื่องยนต์หมุนไปได้ฉันใด ในชีวิตเรานี่ก็เหมือนกัน เราต้องมีการเติมกำลังภายใน คือ เติมกำลังฝ่ายธรรมะ เพื่อปราบอธรรม กำลังฝ่ายธรรมะสำหรับปราบอธรรม เมื่ออธรรมรุกเข้ามา ธรรมะมีมาก เราก็เอาไปต่อสู้ได้ เราได้ชัยชนะ เราไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของสิ่งแวดล้อม ชีวิตเราปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในทางร้าย นี่เรียกว่าธรรมะรักษาเรา เพราะเรารู้จักใช้ธรรมะ เอาธรรมะมาเป็นเกราะป้องกันตัว ไม่ให้ความชั่วเข้ามารุกล้ำในใจเราได้
การมาในวัดในวันพระวันอาทิตย์ก็มาเพื่ออย่างนี้ มาเติมกำลังใจอย่างนี้ แล้วเราจะได้เอาไปต่อสู้ ให้ทดสอบตัวเองให้พิจารณาตัวเอง ว่าเมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้ มันมีสภาพแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เมื่อก่อนนี้เวลากระทบอะไรเราเป็นอย่างไร สมมติว่าเราเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว หุนหันพลันแล่น อะไรกระทบปึ้งก็ปั้งไปเลยเหมือนดินประสิว ไวไฟ ไฟเข้าใกล้ก็ปึ้งปั้ง เพราะว่าเรายังไม่ได้เข้าวัด ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะ ยังไม่รู้จักเรื่องชีวิตถูกต้อง เราก็อยู่อย่างคนแท้ อยู่อย่างคนมีความทุกข์ตลอดวัน ตลอดเวลา อารมณ์กระทบเข้าทำให้จิตใจขึ้นบ้างลงบ้าง ไม่มีความสงบใจ ไม่มีความสุขแท้ มันมีแต่ความสุขจอมปลอมที่ตื่นเต้นไปกับอารมณ์ กับเหตุการณ์ต่างๆ เพียงเท่านั้น แต่ว่าสภาพจิตใจไม่ดีขึ้น ถึงเราหันเข้าวัด เราฟังธรรม เราอ่านหนังสือธรรมะ เราเริ่มรู้ว่าตัวเราคืออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเราคืออะไร มันมาจากอะไร แล้วมันให้อะไรแก่เรา เราควรจะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร เรารู้เราเข้าใจในเรื่องอย่างนั้น เราก็เอาความรู้นั้นไปใช้ ความรู้นั้นเรียกว่าปัญญา แล้วเรารู้ว่าต้องมีสติ เกิดต้องรู้สึกตัวอยู่ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ใด เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับใคร กับเหตุการณ์อะไรก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความมีสติ แล้วก็มีปัญญากำกับ คอยกำหนดเรื่องนั้นไว้ คอยรู้ตามมันไป หาก(มี)ภัยอันตรายก็จะไม่เกิดแก่เรา เพราะเรารู้วิธี รู้วิถีทางของมัน แล้วเราก็รู้ว่าเราดีขึ้น ใจเย็นขึ้น ใจสงบขึ้น มีความรู้เท่า รู้ทันอะไรมากขึ้น ความสุขก็เกิดขึ้น
ความสุขนั้นก็คือความสงบใจที่ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ ไม่ต้องกระโดดโลดเต้นไขว่คว้าสิ่งที่เป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา เราก็มีใจสงบ ใจที่สงบนั่นแหละคือความสุขที่แท้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นที่จะเสมอด้วยความสงบใจไม่มี ใจที่สงบนั้นเป็นยอดสุข แต่ว่าความสุขที่เกิดจากเครื่องล่อเครื่องจูงใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอะไรต่างๆ นั้น มันเป็นความสุขที่ไหลไปกับเครื่องล่อ เมื่อมันยังมีเครื่องล่อก็เพลินไป เพลินไปกับสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นหายไปก็ใจหาย เสียดาย เสียใจ มีความทุกข์ในภายใน แล้วก็ร้อนใจขึ้นมาทันที นี่เพราะความสุขนั้นมันไม่สุขแท้ มันเป็นความสุขจอมปลอมเท่านั้นเอง
เราจึงต้องรู้ว่าอะไรแท้ อะไรปลอม เหมือนเรารู้ว่าธนบัตรดีเป็นอย่างไร ธนบัตรปลอมเป็นอย่างไร เราก็รับแต่ธนบัตรดี แต่ธนบัตรปลอมนั้นไม่มีค่า เป็นเศษกระดาษธรรมดาเท่านั้นเองจะเอาไปซื้อหาอะไรกับใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นของปลอม อาจจะซื้อได้กับคนที่ไม่รู้ แต่ว่าเราทำบาป เพราะเราประทุษร้ายเขา ไปเอาของเขามาเปล่าๆ โดยไม่ให้สิ่งตอบแทน ไอ้สิ่งที่เราให้ไปนั้นเขาก็ไม่ได้ประโยชน์ เป็นบาปเป็นทุกข์ เป็นความทุกข์ใจในภายหลัง มันก็ไม่ใช่ของดีอะไร เราก็รู้ เราเข้าใจ เราก็เบื่อหน่ายในการที่จะประพฤติเช่นนั้นต่อไป จิตใจสงบ จิตใจสะอาด มีความสว่างขึ้นทุกวันทุกเวลา จนไม่ต้องเป็นทุกข์กับใครต่อไป แม้เราจะอยู่ในโลก ในครอบครัว เราก็อยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องกังวลกับปัญหาอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะเรารู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ไม่มีความหลงใหล เพลิดเพลินในสิ่งเหล่านั้น แต่ว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องตามหน้าที่ ทำงานตามหน้าที่ เป็นแม่ก็เลี้ยงลูกไปตามหน้าที่ เป็นภรรยาสามีก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ ทำหน้าที่ด้วยปัญญา ไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยความหลง ความมัวเมา ความเพลิดเพลินในสิ่งนั้นๆ คนนั้นเขาอยู่อย่างที่เรียกว่าเป็นกัลยาณชน
กัลยาณชนหมายความว่า คนดี อยู่อย่างคนดี อยู่อย่างคนมีความสุข ปัญหามันน้อย เช่น ปัญหาในครอบครัวนี้มันน้อย เพราะเรารู้จักแก้ปัญหา รู้จักป้องกันไม่ให้ปัญหามันเกิด อย่างนี้เราก็อยู่สบาย มีความสุขสงบในครอบครัว อย่านึกว่า ไอ้ชีวิตทางบ้านกับชีวิตผู้ปฏิบัติธรรมนี้มันจะเข้ากันไม่ได้ เคยมีคนถามปัญหาอย่างนี้ บอกว่าทางโลกกับทางธรรมนี้มันจะไปกันได้อย่างไร นี่คือคนไม่รู้ ไม่ได้ศึกษาในเรื่องชีวิต ว่าโลกกับธรรมมันจะไปกันได้อย่างไร
อยากจะตอบว่าโลกกับธรรมนั้นต้องไปด้วยกัน ต้องเป็นฝาแฝด คือ ต้องเป็นอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แยกโลกออกจากธรรมะไม่ได้ แยกธรรมะออกจากโลกก็ไม่ได้ มันต้องอยู่ด้วยกันจึงจะเกิดความสมดุลในชีวิต จะมีความสุข มีความสบายในชีวิต แต่ถ้าเราไม่มีธรรมะ มีแต่ชีวิตอยู่ในโลกชีวิตมันก็ขาดธรรมะ กลายเป็นชีวิตที่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งบังคับจิตใจ เขาจะไหลไปตามอารมณ์และสิ่งแวดล้อม มีเงินก็จะเอาเงินไปใช้ในทางผิด มียศก็จะเอายศใช้ในทางผิด มีอำนาจก็เอาอำนาจไปใช้ในทางผิด มีเพื่อนมีมิตรก็จะดึงเพื่อนไปใช้ในทางผิด นี่มันเสียหาย เพราะขาดธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ แต่ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในโลก ท่านจะเป็นพ่อค้า เป็นชาวนา ชาวสวน เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นอะไรก็ตามใจ เรียกว่าชีวิตยังอยู่ในโลก ยังอยู่ในสังคม เราจะไม่มีธรรมะนั้นหาได้ไม่ เพราะธรรมะนั้นเป็นเครื่องประสานผลประโยชน์ของทุกฝ่ายไม่ให้ขัดกัน ธรรมะเป็นเครื่องประสานจิตใจคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่เกิดแตกแยกแตกร้าว จะอยู่กันด้วยความเห็นอกเห็นใจ เมตตาต่อกัน ทำอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีความเกรงอกเกรงใจกัน ไม่ทำอะไรเอาแต่ใจตัวโดยไม่คำนึงถึงคนอื่น ไม่มีความคิดอยู่ในใจ ว่ากูสบายก็แล้วกัน คนอื่นช่างหัวมัน อย่างนั้นมันไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนั้นแสดงว่าจิตใจนั้นแกว่งไปแล้ว ขาดธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ชีวิตก็จะสับสนวุ่นวาย เช่นชีวิตในครอบครัว สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกัน บางคู่ก็อยู่กันสงบเรียบร้อยตั้งแต่หนุ่มสาวจนกระทั่งแก่ชรา อยู่กันอย่างมีความสุข ลองไปศึกษาชีวิตของคนเหล่านั้นดูเถอะ เราจะพบว่าทั้ง ๒ ฝ่ายได้มีธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ ทำมาหากินต้องไม่ทิ้งธรรมะ จะไปเกี่ยวข้องกับอะไรก็ไม่ทิ้งธรรมะ ชีวิตจึงราบรื่นเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี
แต่ว่าในบางครอบครัวนั้นอยู่กันอย่างชนิดที่เรียกว่าระหองระแหงตลอดเวลา ปั้นหน้ายักษ์หน้ามารเข้าใส่กันอยู่ตลอดเวลา คำพูดที่ออกมาแต่ละคำก็ไม่น่าฟัง กริยาก็ไม่น่าดู หันหลังให้กัน พูดกันคนละเรื่อง มันเป็นเพราะอะไร เพราะทั้ง ๒ ฝ่ายขาดธรรมะ ไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักศาสนา ไม่หันหน้าเข้าหาสิ่งถูกต้อง เอาแต่สิ่งชั่วร้ายเข้ามาใส่ไว้ในใจ เมื่ออยู่ก็เหมือนอยู่ในนรก ครอบครัวนั้นเหมือนอยู่ในนรก ลูกที่เกิดมาก็จะเป็นอันธพาล เพราะได้รับการอบรมแต่เรื่องร้ายๆ ตื่นเช้าได้ยินเสียงพ่อด่าคุณแม่ เสียงคุณแม่เอื้อนด่าพ่อ แล้วลูกมันจะอยู่อย่างไร จิตใจก็ปั่นป่วน จะกลายเป็นเด็กเกเร เกะกะเป็นอาชญากรขึ้นในสังคม เพราะในบ้านนั้นขาดความจริง ขาดความชุ่มชื่น รื่นรมย์ เพราะไม่มีธรรมะเข้าไปเป็นร่มเป็นเงาให้แก่บ้านนั้น คืออยู่กันอย่างด้วยความร้อน นี่ตัวอย่าง
หรือว่าในหมู่บ้านใด คนในหมู่บ้านนั้นไม่ประพฤติธรรม ประพฤติแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อจะอยู่กันด้วยความทุกข์ ไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า สภาพความเป็นอยู่เต็มทน เคยสังเกตมาหลายหมู่บ้าน หลายตำบลที่ไปเที่ยวเทศน์ เที่ยวสอนคน ไปเห็นบ้านช่องรุงรัง สกปรก หญ้ารกจนถึงใต้ถุนบ้าน ก็สืบถาม สอบถามว่าความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านนี้เป็นอย่างไร เป็นคนขาดศีลขาดธรรม ไม่มีพระประจำใจ ประจำบ้าน แต่เป็นคนชอบประพฤติผิดศีล ชอบลักขโมย ชอบบุกปล้นของคนอื่นมากินมาใช้ แล้วก็อยู่อย่างโจร ไม่ได้อยู่อย่างผู้มีศีลธรรม ก็ไม่มีความเจริญก้าวหน้า ลูกเล็กเด็กน้อยเกิดมาก็ถ่ายแบบพ่อแม่เป็นคนอย่างนั้นต่อไป นี่คือตัวอย่างในสังคมที่เราเห็นว่า ถ้าขาดธรรมะแล้วมันไปไม่รอด แต่ถ้ามีธรรมะแล้วธรรมะนั้นจะปกคลุมหุ้มห่อให้เกิดความชุ่มเย็น ให้เกิดความสงบ ให้เกิดไมตรีจิตรมิตรภาพต่อกัน มองหน้ากันด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มองกันด้วยความขึ้งเครียดเกลียดชัง สายตานั้นมีความเมตตาต่อผู้ที่ได้พบได้เห็น นี่คือ อานุภาพของพระธรรมที่ไปสิงสถิตย์อยู่ในที่นั้น ในบุคคลนั้นก็มีแต่ความสุขความเจริญ เราทั้งหลายชอบอย่างไหน ลองนึกถามตัวเราเองว่าชอบอย่างไหน เราจะชอบอย่างคนมีความทุกข์ หรือจะชอบอย่างคนที่มีความสุขในชีวิตประจำวัน ทุกคนต้องชอบอยู่อย่างเป็นเป็นสุข ไม่ชอบอย่างอยู่เป็นทุกข์ ไม่ชอบอยู่ในกะทะทองแดง แต่จะชอบนอนในที่นอนอ่อนนุ่ม ประพรมด้วยน้ำอบน้ำหอม ไม่มีใครอยากนอนในกะทะทองแดงสักรายเดียว โดยปกติธรรมดาของมนุษย์เราเป็นเช่นนั้น แต่ที่เป็นอย่างอื่นไปนั้นก็เพราะว่าสิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนจิตใจคน เปลี่ยนให้คนเข้าใจผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิดไปด้วยประการต่างๆ นี่คือสภาพสิ่งแวดล้อม
วันนี้เขาเรียกว่าวันสิ่งแวดล้อมโลก วันสิ่งแวดล้อมนี้มันหมายความว่า คือว่า องค์การสหประชาชาติ ประชาชาติเขาคิด คิดว่าให้เป็นวันนั้น เป็นวันนี้เพื่ออะไร เพื่อส่งเสริมคนในโลกให้รู้จักคุณค่าของสิ่งต่างๆ แล้วจะอยู่กันด้วยธรรมะ เช่นว่า ปีนี้เป็นปีแห่งคนสูงอายุ ก็เพื่อให้คนทุกคนระลึกถึงคนแก่ ว่าเราที่เกิดมาได้นี้ อาศัยคนที่เขาแก่อยู่ อาศัยคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย คุณชวดซึ่งเราไม่เห็นตายเสียก่อน คนเหล่านั้นตายแล้วก็แล้วไป แต่ว่าที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ควรจะเอาใจใส่ท่านบ้าง เพื่อให้ชาวโลกเห็นอย่างนั้น แต่ความจริงนั้น คนในเอเชียนี้ไม่ได้ทิ้งคนแก่หรอก เขาอยู่กันเรียบร้อย เอาใจใส่ต่อคนแก่ ไอ้คนรุ่นลูกอเมริกานี่มันแย่ มันไม่เอาใจใส่พ่อแม่ เลี้ยงลูกเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานเลี้ยงลูก นี่อย่างไร คือ พอโตแล้วก็บินปร๋อไปเลยไม่รู้จักพ่อแม่ ฝรั่งเขาเป็นอย่างนั้น พอโตแล้วเขาไปแล้ว บางทียังไม่ไป แต่พ่อแม่ก็สอนนับเข้า ลูกว่า อายุฉัน ๑๘ ปีแล้วนะ อายุฉัน ๒๐ ปีแล้วนะ แม่อย่ามายุ่งกับฉันนะ มันห้ามคุณแม่เข้าให้แล้ว เออ มันจะไม่ฟังเสียงแม่แล้ว มันจะไปแล้ว มันจะบินแล้ว มันบินได้แล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้ว มันจะไปแล้ว พอไปแล้ว มันไม่เหลียวแล คนแก่ก็เดือดร้อน องค์การสหประชาชาติเขาเห็นว่าเป็นความทุกข์ในเรื่องนี้ ก็เลยสอดเข้าไปช่วยเพื่อให้คนแก่สบายขึ้นหน่อย ด้วย(การ)จัดวันชรา คนชราขึ้น แต่ไม่เรียกคนชรานะ เดี๋ยวคนแก่จะเสียใจ เลยเรียกว่าวันผู้สูงอายุ อายุสูงก็แก่นั่นแหละ แต่ว่าพูดให้มันสบายใจหน่อย ก็ให้เพื่ออย่างนั้น
วันนี้เราก็ตั้งไว้ว่าเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก หมายความว่า เป็นวันที่ให้เราทั้งหลายได้นึกถึงธรรมชาติ ช่วยปรับปรุงรักษาสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดีงามจะได้เกิดความชื่นใจ เมื่อมองเข้ามาในวัดชลประทาน สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร เราดูไปที่ไหนก็เขียวชอุ่ม มีต้นไม้ร่มรื่น มองแล้วมันเย็นตา ถ้ามองไปแล้วเห็นดินแดง หรือว่าดินขาว แดดส่องลงไปเห็นระยิบระยับเข้าตาต้องหลับตา จะรู้สึกอย่างไร ใจไม่สบาย เพราะมันร้อน แต่ว่าพอมีต้นไม้นี้มันสบายใจ เย็นใจ โดยเฉพาะญาติโยมที่นั่งข้างล่างอยู่ นั่งใต้ต้นไม้ก็จะว่ามันเย็น มันสบาย นี่คือสิ่งแวดล้อม
ทำ (33.34 ทำ หรือ จัด) สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วยการปลูกต้นไม้ ให้มีร่มมีเงา ทำวัดให้เป็นอาราม เพราะอารามนั้นก็แปลว่าสวน อารามคือ สวน เวฬุวนารามสวนไม้ไผ่ อัมพวนารามสวนมะม่วง โฆสิตาราม สวนของเศรษฐีที่ชื่อว่าโฆสะ (33.57) อารามคือสวนที่ร่มรื่นชื่นใจ เราก็ทำวัดให้ร่มรื่น ให้มีต้นไม้ มีดอกไม้ หาหินมาวางไว้บ้างให้มันสะดุดตา อย่าสะดุดเท้าก็แล้วกัน ตาสะดุดไม่เป็นไร ขุดสระไว้ให้มีน้ำหล่อเลี้ยงต้นไม้บ้าง ว่างๆ ก็จะได้ดูดขึ้นมารดน้ำต้นไม้ต่อไป ท่านรู้สึกอย่างไร เรารู้สึกสบายใจมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สบายใจ ท่านจะไปแอบนั่งตรงไหนก็ได้ที่ร่มรื่น จัดทำไว้ทุกบริเวณให้สะอาด มีระเบียบ มีสุนัขเยอะ แต่ว่ามูลสุนัขไม่เหลือ เพราะว่าพระกวาดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน เพื่อให้โยมไม่มาเหยียบมันเข้า จะได้สบายใจ โยมกลุ้มใจถามว่า พอมาถึงในวัด เข้าประตูวัด มองไปทางขวา สระน้ำสีมันไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่ว่ามันก็เป็นสระน่าดู ลมพัดเป็นระลอก เป็นคลื่นดูแล้วมันสบายใจ มองไปด้านซ้าย สนามหญ้าราบเรียบ มีหินเป็นก้อนๆ วางไว้บ้าง ท่าน …... (35.20 เสียงไม่ชัดเจน) อุตส่าห์ไปเข็นมาทางโน้น ปากช่อง เอารถสิบล้อบรรทุกมา เอามาวางไว้สะดุดตาหน่อย วางหินปลูกต้นไม้ ขุดคลองยาวไว้หน้าวัด เพื่อจะได้ดูน้ำบ้าง ก็ร้อน เห็นน้ำแล้วมันสบายใจ เราหน้าร้อนนี้ ในบ้านมันไม่มีน้ำ ไปเอากระดาษปูฝาผนังเป็นเกาะเป็นแก่ง เป็นวิวชายทะเล น้ำตก มาหลอกตัวเองไว้หน่อย นั่งดู ก็นึกว่านั่งดูน้ำตก นั่นก็เรียกว่า นั่งหลอกตัวเองให้มันสบายใจ นั่นก็คือ สิ่งแวดล้อม ทำสิ่งแวดล้อมให้สวยงามขึ้น เราเข้ามาแล้วก็สบาย นี่คือ เรียกว่าสภาพแวดล้อมที่เป็นวัตถุ เป็นเรื่องธรรมชาติ
สภาพแวดล้อมที่เป็นคน คนที่รอบๆ ตัวเรา เราไปยืนตรงนี้ แล้วคนที่รอบตัวเรานั้นเป็นคนดี เป็นสุภาพชน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอ็นดูเรา ช่วยเหลือเรา เข้ามาไต่ถามจะให้ช่วยเหลืออะไรบ้าง จะรู้สึกอย่างไร ถ้าเราไปอยู่ในแวดวงของคนอย่างนั้น เราปลอดภัย ใจสบาย เพราะสิ่งแวดล้อมที่เป็นคนนั้น เป็นผู้ที่มีน้ำใจ เมตตาปรานี มีคุณธรรมประจำจิตใจ เราสบาย ไม่ระแวงภัย ถือกระเป๋าก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาแย่ง สบายแล้ว แต่ถ้าเราไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คนไม่ดี ขี้เมา แต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย ท่าทางเดินโฉงเฉงเป็นนักเลง สายตาขุ่นๆ เขียวๆ มองเรา ด้วยตาที่มีแววประทุษร้าย เรามองไปทางไหนก็มีแววน่ากลัว มองไปคนไหนก็น่ากลัว เราจะเป็นโรคประสาท ถ้าไปยืนกับคนเหล่านั้นนะ นี่คือสิ่งแวดล้อมไม่ดี
คนที่เจริญเติบโตอยู่ในสิ่งแวดล้อมดี จิตใจก็ดี ไม่เป็นโรคตามใจตน แต่ถ้าไปเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ที่เราเรียกว่าในย่านสลัมอะไรอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่า คนในสลัมเป็นคนเหลวไหลไปทั้งหมด แต่ว่ามีบางส่วนที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะว่าการจัดระบบสร้างบ้านสร้างเมืองไม่ดี ปล่อยให้ปลูกกันตามชอบใจ ไอ้สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่เลว คนอยู่ในที่นั้นก็อยู่กับสิ่งสกปรก เสียงที่มันดังๆ กลิ่นเหม็นๆ มองไปทีไรก็เจอแต่น้ำเน่า สภาพจิตใจก็เสื่อมโทรมลงไปทุกวันทุกเวลา นี่คือสิ่งแวดล้อมที่เป็นคนที่ไปปรุงไปแต่งในทางชั่วร้าย ทำให้ไม่สบายใจ แต่ถ้าเราไปอยู่ในที่ใดที่มีแต่เรื่องความดี ความงาม เราก็สบายใจ
เพราะฉะนั้น เราจะต้องคิดไว้ในใจว่า เราจะต้องเป็นบุคคลที่ทำให้คนอื่นสบายใจ จะไปยืนตรงไหน ยืนให้คนอื่นสบายใจ นั่งตรงไหน นั่งให้คนอื่นสบายใจ เราจะพูดอะไรออกไปสักคำหนึ่งให้มันมีค่ามีราคา พูดออกไปแล้วให้คนทุกคนยิ้มได้สบายใจ อย่าพูดคำที่ใครฟังแล้วทุกข์ใจ ตื่นเต้น หวาดเสียว มันล่อแหลมต่อการจะเป็นโรคทางประสาท หรือว่าเราจะทำอะไรอยู่ก็ต้องคิดว่า เราจะไม่ทำให้เกิดสิ่งไม่สงบใจแก่ใครๆ แต่เราจะทำสิ่งที่ไม่เกิดความสะเทือนใจ ทำให้เขาสบายใจ ชื่นอกชื่นใจ เย็นใจ คิดอย่างนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่า เราช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมในสังคม ในครอบครัว ในประเทศชาติให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย
เราขับรถยนต์ ขับอย่างไรจะให้คนสบายใจ ขับอย่างมีระเบียบ มีวินัย คนมันก็สบายใจ ไปนั่งรถในต่างประเทศนี่ สบายใจ คือไม่เห็นรถมันแซงอย่างอุตลุด ทุกคนมีระเบียบขับเรียบร้อย พอถึงทางม้าลาย เขาก็เบาเพื่อคนจะข้าม ถ้าเห็นคนก้าวเท้าลงมาเขาต้องหยุด เพราะว่าคนเดินมีสิทธิมากกว่าคนนั่งรถ บนถนนนะ ต้องให้เขาเดินก่อน เรามันไปเร็วช้าก็ไม่เป็นไร ต้องให้คนเดินข้ามไป สิ่งแวดล้อมบนถนนนั้นเป็นธรรมะ คนเดินถนนสบายใจ คนที่อยู่ข้างถนนก็สบายใจ เพราะเขาไม่บีบแตรให้หนวกหูชาวบ้าน เขาขับไปตามปกติ เครื่องยนต์มันก็ดังไปตามปกติ แต่ไม่มีแตรแซงเข้าไป คนที่อยู่ข้างถนนไม่เป็นโรคประสาทเพราะเสียงแตร นี่เขาเรียกว่า เขาทำสิ่งแวดล้อมให้สวยงาม ให้เรียบร้อย ริมถนนหนทางเขาก็ตัดหญ้า สะอาด มีระเบียบเหมือนกับหญ้าในบ้านของเขา เขาตัดทุกเวลาไม่ให้มันยาว ต้นไม้ประเทศไทยมีดอกสวยๆ งามๆ มันขึ้นเองตามธรรมชาติ เขาก็ปล่อยให้มันอยู่ไป เพราะต้นไม้เหล่านั้นมันมีสีสันสวยสดงดงาม คนเห็นแล้วสบายใจ ขับรถไปเห็นต้นไม้งามๆ ดอกไม้สวยๆ ใจก็สบาย
ถ้าขับไปแล้วเห็นทุ่งมีแต่แดดระยิบระยับแสบแก้วตา เราจะเป็นอย่างไร เราไม่สบายใจ นี่คือสิ่งที่มันไม่ดี อยู่รอบๆ ตัวเราทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้าบ้านเมืองที่เขาจัดทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีแต่ระเบียบ ความสวยความงาม มีสวนสาธารณะ มีที่นั่งเล่นพักผ่อน มีสวนดอกไม้งามๆ เขาตั้งใจปลูกจริงๆ ตั้งใจทำจริงๆ ปลูกให้เป็นระเบียบ ดอกไม้หลายสีเอามาสลับกันเข้า สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีชมพู เขามาประดับมองเข้าไปแล้วมันสวยดี เหมือนกับว่ามันขึ้นมาเองนะ แต่ว่าคนเขามาปลูกไว้ให้เป็นชั้นเป็นช่อ เป็นอะไรไปตามเรื่อง ต้นไม้ประเภทต้นใหญ่ไปไว้แห่งหนึ่ง ต้นเล็กก็ไว้แห่งหนึ่ง ทำถนนเล็กๆ ให้คนเดิน คนก็เข้าไปเดินเล่น คุณตาคุณยายซึ่งว้าเหว่ เพราะลูกมันไม่ดูแลก็เดินเกี่ยวแขนกันไปตามประสาคนแก่ ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ เดิน ดูแล้วมันเป็นภาพที่สบายใจ น่าชื่นใจในสิ่งเหล่านี้
บ้านเมืองของเรายังไม่ค่อยมีสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเรายังไม่มีนิสัยสร้างเสริม แต่มีนิสัยในทางทำลายกันมาก อะไรที่มันดีๆ งามๆ ก็มักจะช่วยกันทำลาย ต้นไม้บนถนน พวกหนึ่งปลูก พวกหนึ่งตัด นั่น ทั้ง ๒ พวกนั้น พวกปลูกก็ปลูกไป พวกตัดก็ตัดไป ถ้าต้นไม้พูดได้ว่า กูฉิบหาย คนหนึ่งมาปลูกกูไว้ คนหนึ่งมาตัดกูทิ้ง แล้วกูจะอยู่อย่างไรวะ ถ้ามันพูดได้ ก็พูดฟ้องไปนานแล้ว แต่ว่าต้นไม้มันก็พูดไม่ได้ มันก็พ่นไปตามเรื่อง แล้วไอ้คนปลูกก็เหลือเข็ญ ปลูกไม่เห็นดูฟ้า สายไฟมันอยู่ตรงนี้ ก็ปลูกมันตรงนี้แหละ ถ้ามันขึ้นไปชนสายไฟ ไอ้เจ้าหน้าที่ไฟฟ้าก็ริดกิ่งมัน ตัดหลีกสายไฟ ปลูกให้มันหลีกอีกสักหน่อยก็ไม่ได้ เขาเรียกว่า ปลูกไม่ได้ปลูกด้วยหัวใจ ไม่มีธรรมะในใจปลูกต้นไม้ ปลูกโดยขาดสติ ขาดปัญญา ปลูกตามนายสั่ง ขุดดิน ปลูกลงไป ปลูกลงไป อะไรอย่างนั้นแหละ ปลูกเสร็จแล้วก็แล้วกัน ถ้ารดน้ำก็รดกันก็เหมือนกับว่าจะรดให้ต้นไม้พังไปอย่างนั้นแหละ ปล่อยท่อใหญ่รดลงไป นั่งดูๆ ไป นั่นมันไม่ใช่รดต้นไม้ มันเอาน้ำมากระชากต้นไม้ มันเป็นอย่างนั้น ไม่มีหัวคิด ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้น ทำตามเขาบอก นี่คนมันขาดธรรมะ ความรักในสิ่งนั้นไม่มี ความขยันไม่มี ความเอาใจใส่ไม่มี การไตร่ตรองใช้สติปัญญาในสิ่งนั้นก็ไม่มี ธรรมะมันไม่มี ทำอะไรโดยไม่มีธรรมะแล้วมันซังกะตาย ทำไปก็เท่านั้นเอง มันไปไม่รอด นี่เป็นตัวอย่างที่ให้เห็นง่ายๆ ว่าชีวิตของคนเรานี่ แม้จะอยู่ในโลกก็อยู่กับธรรมะ ต้องเอาธรรมะไปใช้ทุกระยะ ทุกขั้นทุกตอนของชีวิต
ถ้าจะพูดว่าธรรมะคืออะไร ก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องนำมาใช้ทุกขั้นตอนของชีวิตซึ่งไม่ได้ ไม่ว่าใครตกต่ำเมื่อใด เป็นทุกข์เมื่อนั้น ให้ลองศึกษา เวลาใดที่เรานั่งกลุ้มใจก็แสดงว่าเราขาดธรรมะ เราไม่รู้เรื่องตัวเอง ไม่รู้ว่ากำลังกลุ้มใจอะไร แล้วกระทบก็กลุ้มใจไป กระทบก็กลุ้มใจ แต่ไม่รู้ว่ากลุ้มเรื่องอะไร เออ กลุ้มไปอย่างนั้น นี่เขาเรียกว่ากลุ้มโดยไม่มีธรรมะ
ถ้ากลุ้มแบบคนมีธรรมะ เขาก็กลุ้มไม่นาน พอเกิดขึ้นเขาก็ถามทันทีว่าเรื่องอะไร กลุ้มทำไม กลุ้มเพราะเรื่องอะไร เขาคิดแล้ว เวลาคิดนั้นความทุกข์มันเบาแล้ว เพราะใจมันไปอยู่กับเรื่องปัญญา ไอ้ตัวความทุกข์มันก็จางไป ทีนี้พอเราคิดไป คิดไปก็ได้รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร ความทุกข์นั้นก็หายไป เรามองเห็นว่ามันไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่เป็นสาระอะไรที่เอามาคิด มาฝัน มาเพ้อ เพ้ออยู่ไม่ได้เรื่อง แล้วก็นั่งคิด เป็นทุกข์กับมันก็ไม่ได้อะไร นอกจากความกลุ้มใจ แล้วจะกลุ้มทำไม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความกลุ้มใจ เราเกิดมาเพื่อความสงบใจ เพื่อความสบายใจ แล้วเราไปโง่ให้กลุ้มทำไม กลุ้มให้โง่ทำไม เออ ไม่ได้เรื่อง เราพูดกับตัวเอง ว่ากลุ้มให้โง่ทำไม ยิ่งกลุ้มยิ่งโง่ ยิ่งกลุ้มยิ่งไม่ได้เรื่อง เราก็ต้องแก้ปัญหา ศึกษาตัวเองว่ามีเรื่องอะไรให้กลุ้ม เหตุมันอยู่ที่ไหน ก็เหตุมันอยู่ในตัวเรานี่แหละ ตัวเรานี่ตัวการ ไปคิดเรื่องนั้น ไปคิดเรื่องให้กลุ้มนั่นแหละ ตัวเอง ถ้าเราไม่ไปคิดเรื่องนั้น มันจะกลุ้มทำไม คิดเรื่องอื่นก็ยังได้ แล้วทำไมไม่ไปคิดเรื่องอื่น กลับมาทุกข์มากลุ้มให้โง่อยู่ทำไม เราว่าตัวเองอย่างนั้น เราก็มีปัญญาเกิดขึ้น ปลงอยู่นั้น ปลงไปได้ วางสิ่งนั้นลงไปได้ สภาพใจเราก็ดีขึ้น วันนี้ดีขึ้นเรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้ดีขึ้นเรื่องหนึ่ง หลายๆ ดี ก็ค่อยดีมากขึ้น จิตใจค่อยฉลาดขึ้น มีเหตุมีผลขึ้น เข้าใจเรื่องต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริงมากขึ้น ความจริงมันควรจะเป็นอย่างนั้นนะโยมนะ ควรจะเป็นอย่างนั้น อายุมากขึ้น ควรจะฉลาดขึ้น มีปัญญามากขึ้น มีสติมากขึ้น ว่องไวต่อเหตุการณ์มากขึ้น รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายมากขึ้น มันควรจะเป็นอย่างนั้น
แต่ว่าบางทียิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งเลอะเข้าไป ยิ่งไม่ได้เรื่อง เขาเรียกว่า แก่ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเอง ไม่รู้จักแก้ไขปัญหาตัวเอง กลุ้มไปทำอะไรอย่างนี้ มันฝืนธรรมดา ธรรมดาของมนุษย์นั้นต้องเจริญขึ้น ทั้งกายทั้งใจ ร่างกายเจริญด้วยอาหาร ด้วยน้ำ ด้วยการเป็นอยู่ที่ถูกต้องตามสุขลักษณะ จิตใจเจริญด้วยความมีธรรมะ เราเอาธรรมะมาเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจ เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เจริญขึ้นด้วยธรรมะ เมื่อจิตใจเราเจริญขึ้นด้วยธรรมะ ก็เรียกว่า เจริญควบคู่กันไป ร่างกายเจริญ จิตใจเจริญ ไม่ใช่เจริญแต่เพียงร่างกาย ถ้าเจริญแต่เพียงทางร่างกายก็เจริญแบบการตกต่ำ หรือพูดไม่ ... (49.46) นั่นเรียกว่า เจริญแบบสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานร่างกายมันเจริญ แต่จิตใจมันอย่างนั้น ไม่มีปัญญา มันมีความจำนิดหน่อย แต่ความคิดอ่านไม่มี ปรุงแต่งไม่มี มันอยู่อย่างนั้น ควายก็อยู่อย่างนั้น วัวก็อยู่อย่างนั้น แมวก็อยู่อย่างนั้น ไม่ได้พัฒนาเลย มันไม่ได้ดีขึ้นเลย
แต่คนเรานั้นมีสติปัญญา มีความคิดอ่าน มีการปรุงแต่งให้ดีขึ้นในทางวัตถุก็เปลี่ยนแปลงให้เจริญขึ้น ทางจิตใจก็มีคนประเภทหนึ่งที่เสียสละความสุขแบบชาวบ้าน ออกไปอยู่ในป่า แล้วทำการศึกษาค้นคว้าหลักการ เพื่อเอามาใช้ปรับปรุงจิตใจให้เจริญก้าวหน้า คนประเภทนี้เขาเรียกว่ามุนีบ้าง ฤาษีบ้าง ผู้ที่ก้าวหน้าที่สุดในการค้นคว้าก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของชาวเราทั้งหลาย พระองค์ก้าวหน้าไปไกลในทางค้นคว้า ไม่มีใครที่จะเหนือจะเกินพระองค์ไปได้ในเรื่องการค้นคว้าเครื่องมือสำหรับเอามาใช้ในชีวิตเพื่อให้เราอยู่ด้วยความสุข ความสงบ ไม่มีใครคิดค้นเกินไปกว่าพระพุทธเจ้า พระองค์คิดค้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน เครื่องมือนี้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาจิตใจ
ร่างกายเจริญแล้วจึงต้องให้จิตใจเจริญ เราแต่งตัวเราสวยงามตามแบบแฟชั่น ไปยืนที่หน้ากระจกควรจะบอกกับตัวเองว่า ภายนอกสวยแล้ว แต่ว่าจิตใจฉันสวยงามหรือเปล่า มีสติมีปัญญากำกับหรือเปล่า มีรู้เท่ารู้ทันสรรพสิ่งทั้งหลายที่มากระทบแล้วก็ทำให้เป็นทุกข์บ้างหรือเปล่า ถามตัวเองอย่างไร ถ้ารู้สึกว่ามันดีขึ้นก็ได้ วันนี้ดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ ค่อยดีขึ้น ค่อยเจริญขึ้นโดยลำดับ ควบคู่กับความเจริญทางร่างกาย อายุมากขึ้น จิตใจก็ต้องสงบขึ้น ฉลาดขึ้น รู้เท่ารู้ทันต่อสรรพสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงมากขึ้นจึงจะใช้ได้ เรียกว่าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ การปล่อยตัวปล่อยใจให้คิดนึกในทางต่ำ กระทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เราเรียกว่า ฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติก็คือตัวธรรมะที่พระผู้มีพระภาคท่านสอนเอาไว้นั่นแหละ ถ้าเราฝืนธรรมะก็เรียกว่าฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ผู้ฝืนกฎเกณฑ์นั้นจะได้รับอะไร ก็จะได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อนใจ รางวัลคือรางวัล รางวัลแห่งการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติก็คือ ความเดือดเนื้อร้อนใจ มันเป็นรางวัลที่น่าพิศมัยไหมเล่า ญาติโยมลองคิดดูเถอะ ถ้าคิดแล้วเห็นว่ามันไม่ได้ความ มันเป็นรางวัลที่ใช้ไม่ได้ เป็นรางวัลที่เราไม่ควรจะรับ แต่เราต้องรับสิ เพราะเราทำแล้วนี่ เราหนีไม่ได้ ทำอย่างไรต้องได้รับผลอย่างนั้น ก็เป็นกฎอีกแหละ กฎธรรมชาติที่ว่าทำอย่างไรต้องได้อย่างนั้น ทำดีก็ต้องได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว ทำเหตุให้เกิดสุขก็ต้องได้รับความสุข ทำเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้รับความทุกข์ ทำเหตุให้ร้อนใจก็เผาลนตัวเองให้ร้อน ทำเหตุให้เย็นใจก็จะเยือกเย็นสงบ สงบอย่างยิ่ง สงบจนไม่รู้จะพูดว่าสงบอย่างไร นี่มันสงบเหลือเกินมันเย็นเหลือเกิน นี่มันเป็นอย่างนี้ รางวัล
สิ่งที่ได้จากความถูกต้องนั่นแหละคือรางวัล สิ่งที่ได้มาจากความผิดพลาดนั้นหาใช่รางวัลไม่ แต่เป็นทูตจากการพูดผิด ทำผิดนั้นๆ เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราเติบโตขึ้น เจริญขึ้น มีชีวิตเป็นหลักเป็นฐานขึ้นมาได้ แต่งงานมีลูกมีเต้า เราก็ต้องดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่าให้มันต่ำลงไปเรื่อยๆ ต้องฝืนกระแสโลกไว้ อย่าให้มันไหลไป อย่าอยู่อย่างปลาตาย ให้อยู่อย่างปลาเป็นก็จะเป็นชีวิตที่ใช้ได้ ธรรมะกับชีวิตจึงต้องควบคู่กันไปตลอดเวลาไม่ว่าเราจะมีอาชีพอย่างใด ฐานะอย่างใด เป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ ต้องมีธรรมะทั้งนั้น ขาดธรรมะเมื่อไรชีวิตไม่สมบูรณ์ จะเกิดปัญหาเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ก็ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจไว้อย่างนี้ พูดมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที