แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้วขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับชีวิตของเราที่นับถือพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า อันเป็นพระบรมครูของชาวเราทั้งหลาย เรามีชีวิตผ่านพ้นมาจนถึงวันวิสาขบูชา อันเป็นวันปีใหม่ของพุทธศักราช
พุทธศักราชนั้นนับตั้งแต่เวลาปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นต้นไป บัดนี้ได้ ๒๕๒๖ ปีเข้ามาแล้ว พระพุทธศาสนาอันเป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังคงเป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลายที่ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ ได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันถ้วนหน้า
ในวันเช่นวันนี้ พุทธศาสนิกบริษัททั่วไป ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของโลก เขาได้มีการประชุมกันเป็นพิเศษ เพื่อน้อมจิตระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ตั้งใจปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในทางที่ดีงาม ตามหลักศีลธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการบูชาพระผู้มีพระภาค ด้วยการปฏิบัติบูชา การบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน เครื่องสักการะนั้น เป็นการบูชาที่เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่การบูชาด้วยการปฏิบัติกาย วาจา ใจของเรา ให้ถูกตรงตามหลักคำสอนที่องค์ได้บัญญัติไว้ นั่นแหละเป็นการบูชาแท้
เพราะฉะนั้น ในวันวิสาขบูชาอย่างนี้ เราควรจะได้ตั้งจิตอธิษฐาน ว่าจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความก้าวหน้า ในทางจิตใจ เช่นว่า จะตั้งใจรักษาศีลอุโบสถ ตั้งใจจะเจริญภาวนา จะไม่พูดจาในเรื่องอะไร ๆ ที่ไม่จำเป็น จะควบคุมการกิน การอยู่ ให้เป็นการถูกต้อง ดีงาม ตามแนวธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ก็ได้ชื่อว่าเราทำการปฏิบัติบูชา
การปฏิบัติบูชานั่นเหละ ทำให้พระศาสนาดำรงมั่นอยู่ในโลกนี้ต่อไป ดังคำที่พระองค์ตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมนะอยู่ ผู้นั้นได้ชื่อว่าสักการะ เคารพนับถือบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันสูงสุด เพราะฉะนั้น ในวันวิสาขบูชา เราควรจะได้มาทำการบูชาชนิดสูงสุดกัน ในปีหนึ่งมันก็มีเพียงวันเดียวเท่านั้น หรือว่าจะสัก ๓ วัน เช่น วันมาฆะ วันวิสาขะ วันอาสาฬหะ อันเป็นวันสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า กับพระธรรม พระสงฆ์ เราก็มาตั้งใจปฏิบัติบูชา เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในที่เงียบ ๆ พูดแต่น้อย ๆ กินแต่น้อย ๆ นอนแต่น้อย ๆ
ใช้เวลาที่ตื่นอยู่นั้น อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยการพิจารณาสิ่งสรรพสิ่งทั้งหลาย ตั้งแต่ตัวเรา และสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เพื่อให้เห็นชัดตามสภาพที่เป็นจริงของสิ่งนั้น ๆ เราก็จะได้ปัญญา และแสงสว่างในทางใจ ก็จะเกิดความสงบ เกิดความสะอาดในจิตใจของเรา อันนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะได้กระทำในวันวิสาขะบูชา ผู้ที่ยังไม่เคยปฏิบัติ ถือศีลอุโบสถ ก็ควรจะทดสอบกำลังใจของตัวเองในวันวิสาขะ เพราะว่าการถือศีลอุโบสถนั้น ความจริงก็ เพิ่มขึ้นเพียง ๓ ข้อ ไม่มากมายอะไร
ปกติเราก็ถือศีล ๕ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักของใคร ไม่ฉ้อฉลใคร ไม่เอารัดเอาเปรียบใครในเรื่องอะไรต่าง ๆ แล้วก็ไม่ประพฤติผิดในทางกาม ไม่พูดโกหก ไม่ดื่มของมึนเมา อันนี้เป็นศีล ๕ ที่เรารักษาอยู่แล้ว ทีนี้เพิ่มขึ้นอีก ๓ ข้อ คือเปลี่ยนข้อ ๓ เป็นผู้ไม่ประพฤติผิดพรหมจรรย์
พรหมจรรย์นั้นหมายถึงอะไร พรหมจรรย์หมายถึงการครองชีวิตที่บริสุทธิ์ คือรักษาใจให้บริสุทธิ์บ้าง ให้เป็นตัวเอง ตัวเองก็คือความบริสุทธิ์ หรือความสงบ สะอาด สว่าง นั่นแหละเรียกว่าเป็นตัวเอง เมื่อใดใจมันตกอยู่ในอำนาจของกิเลส เช่น ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความริษยาพยาบาท อะไรต่าง ๆ ก็ได้ชื่อว่าเราไม่เป็นตัวเอง เมื่อเราไม่เป็นตัวเอง เราก็เป็นทาสของอารมณ์และสิ่งแวดล้อม เวลาใดเราเป็นทาส เราก็เป็นทุกข์ แต่เราเป็นตัวเอง เราก็เป็นสุขใจ สงบใจ จะเรียกว่าเป็นสุขมันก็ไม่ถูกอะ แต่เรียกว่าสงบใจ ใจมันอยู่ในความสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่สับสนด้วยปัญหาต่าง ๆ เพราะเราไม่เป็นทาสของความอยาก ไม่เป็นทาสของกิเลส อย่างนี้เรียกว่าเป็นตัวเอง เป็นตัวเอง ก็เรียกว่าเรามีพระ
แต่ถ้าเราเป็นทาสอะไร ๆ เราก็ไม่มีพระอยู่ในใจ คนไม่มีพระอยู่ในใจ มันก็มีผี มีมาร เข้ามาอยู่ในใจ เราเป็นทุกข์ ได้รับความเดือดร้อน สร้างปัญหา แก่ตน แก่ครอบครัว ตลอดจนถึงสังคม คือประเทศชาติ เพราะจิตใจเราไม่มีพระเป็นหลักครองใจ ถ้าเราประพฤติพรหมจรรย์ ฝึกฝนอบรมจิตใจให้มีความสงบ เป็นตัวเองอยู่เสียบ้าง เป็นครั้งคราว ก็จะเป็นเครื่องมือสำหรับต่อสู้กับปัญหาชีวิตต่อไป
ในการประพฤติพรหมจรรย์นั้น เพื่อให้พรหมจรรย์มันบริสุทธิ์ ก็ไม่มีการรับประทานอาหารหลังเที่ยงแล้วไป ความจริงผู้ประพฤติพรหมจรรย์นี่ ควรจะรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียว ไม่รับประทานหลายมื้อ รับประทานเพียงเพื่อพออยู่ได้ ให้ร่างกายนี้เป็นไป ไม่เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน เพราะความหิว ไม่อึดอัดเพราะความกินมาก ถ้าคนเรานี่ถ้าอดเสียบ้างมันก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าร่างกายนี่ถ้ารับประทานทุกวัน ๆ ๆ ก็จะเกินไป ควรจะมีการพักผ่อนทาง เอ่อ ภายใน คืออวัยวะ เช่น กระเพาะอาหาร จะได้มีการพักผ่อนเสียบ้าง การพักผ่อนของกระเพาะก็คือการอดอาหาร
การอดอาหารนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องร้าย ไม่ใช่เป็นเรื่องให้โทษอะไร แต่เป็นเรื่องช่วยให้ร่างกายดีขึ้น ได้เคยถามพวกแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย เขาบอกว่าร่างกายของคนเรานี่ ควรจะมีการหยุดกินเสียบ้าง ก็จะดีขึ้น ญาติโยมลองหยุดรับประทานอาหารเสียบ้าง แล้วก็จะรู้สึกว่ามันเบา มันสบาย ร่างกายเป็นปกติขึ้น
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านอดอาหารทุกอาทิตย์ วันหนึ่ง เรียกว่าในอาทิตย์หนึ่ง ท่านอดวันหนึ่ง ถามท่านว่าอดอาหารนี่อ่อนเพลียหรือไม่ ท่านบอกว่าอดอาหารนี่ สบายมาก จะพูดจะอะไร ก็สบาย เช่น วันเกิดของท่าน นี่ ท่านพูดเป็นพิเศษทุกปีพรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดของท่าน ท่านก็อดอาหาร ดื่มแต่น้ำเท่านั้น ท่านเทศน์ได้ตั้ง ๖ ชั่วโมงในขณะอดอาหาร ดูหน้าตาก็ผ่องใส มีเลือดมีฝาด ไม่เห็นว่าจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไร
เอ่อ อย่างนี้ แล้วอายุก็ อ่า มั่นขวัญยืน สำหรับพวกที่อดอาหาร คนกินมากนี่อายุจะสั้นลงไป เพราะว่ากินไม่ได้หยุด ไม่ได้หย่อน กระเพาะไม่ได้พักผ่อน จิตใจก็ตกอยู่ในอำนาจของความหิว ความกระหาย ติดรสอาหาร เวลากินก็เป็นทุกข์ด้วยประการต่างๆ เพราะฉะนั้น หัดอดเสียบ้าง หรือว่าทานแต่น้อย ๆ เช่นว่า วันอุโบสถเราไม่ทานเลย ส่วนวันอื่น มื้อเย็นก็ทานนิดหน่อยพอสมควร ไม่มาก ไม่เป็นอาหารหนักเกินไป ก็จะช่วยให้ร่างกายดีขึ้น อ่า นี่ก็เป็นเครื่องประกอบพรหมจรรย์
ส่วนการ...ไม่ฟ้อนรำ ขับร้องประโคมดนตรี ดีดสีตีเป่า รวมไปถึงการไม่ประดับประดาร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องทา เครื่องย้อมต่าง ๆ นั้น ก็เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน ไม่ให้คิดไปในเรื่องกามารมณ์ ไม่ให้คิดไปถึงเรื่องเพศ เรื่องเนื้อ เรื่องหนัง จิตใจจะได้มีความสงบ คนเราถ้าได้มีการพักใจเสียบ้าง กำลังสมองก็จะดีขึ้น ความคิดความอ่านก็จะปลอดโปร่งแจ่มใส ให้ดูตัวอย่างพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย อายุท่านยืน ๆ ทั้งนั้นแหละ บางองค์อยู่ถึงร้อยกว่าปี ท่านก็ฉันน้อย ๆ ฉันเพียงมื้อเดียว
เรานี่มันรับประทานมากกันอยู่ ตลอดเวลา ในวันสำคัญในทางพุทธศาสนา นึกว่าเรามาบูชาด้วย อ่า การปฏิบัติต่อพระพุทธเจ้า ก็มาถือศีลอุโบสถกัน แม้ประเทศลังกา เด็กเล็ก ๆ อายุ ๑๓-๑๔ ขวบ เขาก็ให้ไปถือศีล เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ในวันเกิดของพระพุทธเจ้า คนจะไปวัดกันมาก ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาว เด็กน้อย นุ่งขาวห่มขาว พรืดเต็มไปทั้งบริเวณ น่าดูมาก วันนี้นี่มันเป็นวันที่เต็มไปด้วยผ้าขาว เต็มไปด้วยความสะอาด ร้านรวงในตลาดปิดหมด ปิดเงียบจริง ๆ ไม่มีเปิดสักร้านเดียว ร้านอาหารก็ไม่เปิด โรงหนัง โรงละคร ร้านอะไรมันปิดหมด เพราะคนมันไม่ค่อยซื้อ คนมันไปวัดหมด ไปถือศีล ไปฟังธรรม ไปปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้ากัน เขาทำกันอย่างจริงจังอย่างนั้น
บ้านเรานี่ยังทำกันไม่จริงจัง ยังรักพระพุทธเจ้าน้อยไป ยังคิดถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าน้อยไป จึงไม่กล้าเสียสละแม้อาหารเพียงสักมื้อหนึ่ง เพื่อถวายองค์พระพุทธเจ้า ก็แสดงว่าเรารักไม่ลึกซึ้ง ไม่...ไม่ได้คิดนึกในเรื่องพระองค์บ่อย ๆ จึงไม่กล้าประพฤติปฏิบัติในเรื่องที่จะช่วยให้เราดีขึ้น
จึงใคร่ที่จะขอ เอ่อ ชักชวนญาติโยมทั้งหลาย ให้ได้คิดในเรื่องนี้ แล้วก็ต้องช่วยกันปฏิบัติบูชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการถือศีล ถือศีลแล้ว เราก็พักอยู่ที่วัด นั่ง เอ่อ ใต้ต้นไม้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่พูดไม่คุยกับใคร เราต้องการพูดกับตัวเอง ต้องการสอนตนเอง พูดกับตัวเอง มันไม่ดัง แต่พูดกับคนอื่นเสียงดัง เราพูดกับตัวเอง ก็ปรึกษากับตนเอง ว่าเราเวลานี้อายุเท่าไรแล้ว เราอยู่ในภาวะอะไร อยู่ในวัยอะไร ในความเสื่อมตอนไหน ปฐมวัยก็คือความเสื่อมตอนแรก มัชฌิมวัย คือความเสื่อมตอนกลาง ปัจฉิมวัย คือความเสื่อมตอนสุดท้าย
แบ่งอายุในสมัยคนปัจจุบันก็สัก ๖๐ ปี คิดเฉลี่ย เรียกว่า วัยละ ๒๐ ปี ปฐมวัยให้ ๒๐ ปี มัชฌิมวัย วัย ๒๐ ปี พอย่างเข้า ๖๐ ก็เรียกว่าปัจฉิมวัย เป็นคนสูงอายุ เป็นคนแก่ เป็นคนชราแล้ว เป็นไม้ใกล้ฝั่ง เป็นเวลาที่เราควรจะได้มองย้อนไปข้างหลัง ดูประวัติของตัวเอง ดูการประพฤติ ดูการปฏิบัติที่เป็นมา แล้วก็จะเห็นว่าเราเป็นมาอย่างไร ไอ้ที่เป็นมาน่ะ มันถูก หรือว่ามันผิด มันเสื่อม หรือว่ามันเจริญ มาถึงอายุปูนนี้แล้วมองดูไปข้างหลังก็จะรู้สึกสะอิดสะเอียนตัวเอง เลยเกิดความรังเกียจสิ่งนั้น ไม่ชอบใจในสิ่งนั้น ก็หันหน้าเข้าหาสิ่งถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกแก่หลานต่อไปในทางศีลทางธรรม เราจะสอนลูก สอนหลาน ด้วยเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม ก็มีน้ำหนัก เพราะไม่ได้สอนแต่เพียงปากว่า แต่เราทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย
พระพุทธเจ้าท่านส่งสาวกไปประกาศธรรมะนี่ บอกว่า เธอจงไปสอนเขา ด้วยการพูดให้เขาฟัง ด้วยการทำให้เขาดูเป็นตัวอย่าง การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ต้องควบคู่กับการสอน ถ้าเราสอนด้วย ทำให้ดูด้วย มันมีน้ำหนัก คนที่รับฟังก็จะซาบซึ้งในจิตใจ มองเห็นเป็นตัวอย่าง แล้วจะได้ประพฤติปฏิบัติ ในทางที่ถูกที่ชอบต่อไป อ่า เป็นเรื่องที่ควรจะได้พิจารณาอย่างนั้น
วันวิสาขบูชา จึงควรจะเป็นวันชำระชะล้าง เป็นวันขูดเกลา เป็นวันที่เพิ่มความสงบให้แก่ตัวเอง เพิ่มปัญญา เพิ่มความรู้สึกนึกคิดที่เป็นสัมมาทิฎฐิ ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา อย่างนี้จึงจะเป็นการถูกต้อง
ขอฝากให้ญาติโยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว ผู้เฒ่าผู้แก่ ได้พิจารณา เพื่อจะได้เข้าใจในเรื่องนี้ ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง ในวันเช่นนี้ เราควรจะน้อมจิตระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นนาถะทางใจ เป็นที่พึ่งทางใจ เป็นดวงประทีปส่องทางชีวิต เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้เยียวยา รักษาโรคทางใจของเรา เป็นผู้ให้อะไรแก่เราทุกสิ่งทุกประการ
เราควรจะได้น้อมระลึกถึงพระองค์ท่านในวันนี้ การน้อมระลึกถึงพระองค์นั้น ก็นึกตามประวัติศาสตร์ คือนึกถึงประวัติ ความเป็นมาของพระองค์ก่อน เช่น เรานึกว่าพระองค์พระพุทธเจ้าน่ะ ท่านเป็นโอรสของกษัตริย์ นามเดิมชื่อว่า สิทธัตถะ พระมารดาชื่อมายาเทวี พระบิดาชื่อสุทโธทนะ ครองเมืองกบิลพัสดุ์ในประเทศอินเดียในสมัยนั้น แต่สมัยนี้ เมืองกบิลพัสดิ์นั้น อยู่ไปทางประเทศ อ้อ อยู่ในอินเดียเหมือนกัน แต่ว่าที่ประสูตินั้นอยู่ในประเทศเนปาล
พระองค์ได้ประสูติในสกุลกษัตริย์ มีความสุข ความสบาย ทุกอย่าง ตั้งแต่วัยเด็กอ่อน จนกระทั่งเติบโตขึ้นมา ก็ได้รับการศึกษาตามแบบของกษัตริย์ในสมัยนั้น เขามีการศึกษากันอย่างไร อ่า คนที่เกิดในราชสกุล ก็ได้รับการศึกษาอบรมบ่มนิสัยในทางที่ถูกต้อง ตามแบบนิยมในสมัยนั้น ปกติเจ้าชายสิทธัตถะนั้น เป็นผู้มีน้ำใจสุภาพอ่อนโยนมาตั้งแต่ต้น มีความรักเพื่อน มีความรักสัตว์เดรัจฉาน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป ไม่ทรงเหยียดหยามใคร ไม่ได้ถือว่าพระองค์เป็นโอรสกษัตริย์ คนนั้นเป็นพวกชาวนา ชาวสวน เป็นพ่อค้า หรือว่าเป็นคนชั้นนั้นชั้นนี้ พระองค์ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่คิดว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน จึงปฏิบัติต่อคนทุกคนที่พระองค์ได้พบพานด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี
ครั้นเมื่อได้จบการศึกษา เล่าเรียนในสำนัก ซึ่งมีครูมาสอนเป็นพิเศษ เป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นพิเศษ สอนพวกเจ้าชาย ก็มีเจ้าชายในพวกศากยะน่ะ ไปเรียนด้วยกันหลายพระองค์ด้วยกัน อยู่กันด้วยความเป็นปกติ จบการศึกษาแล้ว ในสมัยเมื่อเป็นเด็กน้อยนี่ ฤาษีท่านได้ทำนายไว้ บอกว่าพระกุมารนี้รูปร่างลักษณะดี ที่เราเรียกกันว่า โหงวเฮง ในพวกชาวจีนเรียกโหงวเฮง ดูหู ดูจมูก ดูตา อะไรกัน เห็นว่าเจ้าชายนี่ มีลักษณะดีมากเหลือเกิน เขาเรียกว่าต้องด้วยลักษณะของมหาบุรุษ เจ้าชายนี่ต้องด้วยลักษณะมหาบุรุษ
ต่อไปน่ะ ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกไปบวช จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก เป็นธรรมดาของพ่อแม่ ไม่อยากจะให้ลูกชายออกบวชหรอก พระเจ้าสุทโธทนะท่านเป็นกษัตริย์ ก็อยากจะให้วงศ์ของพระองค์นี่ยิ่งใหญ่ไพศาล มีอำนาจ มีอาณาเขตกว้างขวางออกไป จึงได้ถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ในรูปที่จะให้เจ้าชายมีน้ำใจเป็นกษัตริย์ต่อไป ด้วยประการต่างๆ เช่น ป้องกันไม่ให้เจ้าชายได้พบเห็นสิ่งที่จะเกิดความสลดใจ เช่น ไม่ให้เห็นคนแก่หง่อม ไม่ให้เห็นคนรูปร่างพิกลพิการ ไม่ได้เห็นสิ่งที่ไม่สะอาด ไม่เจริญตา เจริญใจ จึงสร้างปราสาทให้อยู่อย่างมีความสุข ๓ หลัง เหมาะแก่ฤดูกาลทั้ง ๓ ในประเทศอินเดีย คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว แล้วก็มีแต่สิ่งสบายตา สบายใจ ความขัดข้องอะไรนั้น เจ้าชายไม่เคยประสบพบเห็น มีแต่เรื่องได้ เรื่องสบายทั้งนั้น อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
แต่ว่าน้ำพระทัยของเจ้าชายสิทธัตถะ หาได้หลงใหลมัวเมาอยู่ในสิ่งเหล่านั้นไม่ พระองค์ชอบนั่งคิดคนเดียว นั่งนึกอะไรอยู่คนเดียวบ่อย ๆ นึกถึงสภาพชีวิต นึกถึงความเป็นอยู่ของประชาชน ท่านเป็นคนชอบคิด ชอบฝัน ในเรื่องอะไร ๆ ต่าง ๆ แล้วต่อมาก็ได้มีโอกาสเสด็จออกไปนอกวัง
ความจริงนั้น ไม่อนุญาตให้เสด็จออกหรอก แต่ว่าปรากฏว่าพระนางพิมพามีท้อง พระเจ้าพ่อก็เห็นว่า ต่อไปจะมีลูก ควรจะออกไปชมบ้านชมเมืองเสียบ้าง เพราะมีบ่วงเกิดขึ้นแล้ว ท่านก็คงจะติดอยู่ในลูก คงจะไม่ออกป่า อนุญาตให้ออกไปชมบ้านชมเมือง ก็ไปพบคนแก่หง่อมเข้า ไปพบคนเจ็บเข้า ไปพบคนตายเข้า เกิดความสังเวช สลดใจ ว่าคนเราเกิดมาแล้วมันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แล้วเกิดมาแก่ เจ็บ ตาย ไป ไม่ได้ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ในสิ่งที่ควรจะเป็น มนุษย์เมื่อเกิดมา เป็นอยู่แต่เพียงเท่านั้น ชีวิตก็ไม่มีความหมาย ไม่มีราคาค่างวดอะไร เราจะเป็นเช่นคนทั้งหลาย ที่เป็นมาเป็นไปนั้น ย่อมไม่ได้ เราจะต้องคิดหาทางช่วยเหลือคนเหล่านี้ ให้พ้นจากความทุกข์ อันเกิดจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ครุ่นคิดในเรื่องนี้อ่ะตลอดเวลา เป็นเวลาหลายวัน ชอบไปนั่งในสวนคนเดียว ดูนก ดูต้นไม้ ดูปลาในน้ำ แล้วก็คิดถึงเรื่องปัญหานี้อยู่ตลอดเวลา ยังปลงไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ออกไปชมเมืองอีกทีหนึ่ง ได้เห็นนักบวชที่มีอาการสงบเรียบร้อย ก็เกิดความคิดขึ้นในใจว่า ถ้าคิดคู่กับ ...... (22.31)
บวชนี้ดีแน่ ๆ เลยคิดในเรื่องจะออกบวชล่ะทีนี้ เพราะได้เห็นตัวอย่างนักบวชแล้ว ก็คิดในเรื่องที่จะบวชอยู่ตลอดเวลา ยังหาช่องทางไม่เหมาะ ว่าจะออกเวลาไหนดี เอ่อ จะออกอย่างไร ก็พอดีวันหนึ่งไปนั่งพักอยู่ในสวนเงียบ ๆ คนเดียว วันนั้นพระนางพิมพาคลอด อ่า พระโอรส คือราหุลนั่นเอง เป็นผู้ชายชื่อว่า ราหุลน่ะ พอคลอด ก็ อำมาตย์ก็ไปกราบทูล ให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงทราบ เจ้าชายได้ทราบแล้วก็เปล่งวาจาออกมาว่า บ่วงเกิดแล้ว คำบาลีว่า ราหุ โรอุ ปันโน แปลว่า บ่วงเกิดแล้ว
คนเรานี่มันมีบ่วง ๓ บ่วงมัดตัวอยู่ คือ มีบุตรมีพันคอ มีทรัพย์มีผูกเท้า มีภรรยาเหมือนผูกมือ สามีก็ เอ่อ ผู้หญิงก็มีสามีผูกมือ มีทรัพย์ผูกเท้า อ่า เป็นอย่างนี้ โคลงโลกนิตย์เขาจึงเขียนไว้ว่า มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยวพันคอ ทรัพย์ผูกบาทาคอหน่วงไว้ ภรรยาเยี่ยงบ่วงหนอ รึงรัด มือนา ๓ บ่วงใครพ้นได้ ก็พ้นสงสาร คือตัดบ่วงนี้ได้ มันก็พ้นจากความเวียนว่ายตายเกิด จากความทุกข์ ความเดือดร้อน
พระองค์คิดว่าบ่วงเกิดแล้ว จึง อำมาตย์ได้ยินเช่นนั้น ก็นึกว่าท่านตั้งชื่อลูกว่า ราหุล เลยกลับไปบอกว่าเจ้าชายตั้งชื่อเสร็จแล้วนี่ ชื่อว่า ราหุล อ่า ความจริงราหุลนั้นก็แปลว่า บ่วง ท่านพูดออกมาว่า บ่วงเกิดแล้ว ไอ้นั่นก็ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ไปตั้งชื่อซะเลย จึงได้ชื่อว่า ราหุล
แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับเข้าวัง กลับไปด้วยความคิดว่า วันนี้แหละถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องไป เมื่อไปถึงในวัง ก็เสด็จเข้าห้องพระบรรทม นั่งบนพระเก้าอี้ หลับตา นั่งคิด ไม่ได้หลับหรอก นั่งคิด เรื่องจะไป จิตใจวุ่นวายด้วยประการต่าง ๆ ไอ้ใจหนึ่งมันจะอยู่ ใจหนึ่งมันจะไปอ่ะ เราลองมาคิดถึงใจเราก็แล้วกัน ว่าเราจะจากครอบครัวไปไหนนี่ มันวุ่นวายใจ ยิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งวุ่นวายใจ
พระองค์จะออกป่า ออกไปสู่ความไม่มีอะไร จากความไม่มีอะไร ออกไปด้วยการเสี่ยง ไปแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ไม่รู้ สิ่งที่ประสงค์จะพบหรือไม่พบก็ยังไม่รู้ มันเสี่ยงเหลือเกิน พระองค์ก็ต้องคิดมากในเรื่องจะไป อันนี้พวกสาวสนมกรมวังทั้งหลายเห็นเจ้าชายประทับนั่ง ก็เลยเริ่มบรรเลงเพลงฟ้อนรำ ขับร้อง กล่อมใจ พระองค์ก็ยกพระหัตถ์ห้าม ให้ทุกคนอยู่เงียบ ๆ พวกเหล่านั้นก็นั่งเงียบ ๆ นั่ง ๆ ไปก็มันง่วง ง่วงแล้วก็เลยหลับ ไม่ปกติ นอนไม่สวย นอนคว่ำบ้าง นอนตะแคง นอนโก้งโค้ง นอนน้ำลายไหล นอนสยายผม
ท่านลืมตาขึ้นดู เหมือนกับซากศพในป่าช้า คือมองเห็นไปเป็นซากศพในป่าช้าไป เพราะใจมั่นเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในวังแล้ว จึงเห็นเป็นเช่นนั้น แล้วก็เดินข้ามคนเหล่านั้น เสด็จออกไปที่ห้องนางพิมพา แง้มประตูดูนางพิมพาและลูกน้อยนิดหน่อย ถอยไปถอยมาอยู่หลายตลบเหมือนกัน เพราะใจหนึ่งจะปลุกนางให้รู้ตัว แต่ใจหนึ่งบอกว่าไม่ได้ ปลุกขึ้นแล้ว นางก็จะกอดแข้งกอดขา ไม่สามารถจะเสด็จออกไปป่าได้ เลยก็คิดว่า อย่าเลย แล้วก็เสด็จออกไป
ให้นายฉันนะเตรียมม้าพร้อม ขึ้นขี่ม้าออกหนีในเวลากลางคืน เป็นกลางคืนเดือนหงาย ควบม้าเต็มฝีเท้า เหงื่อไหลไคลย้อยกันทีเดียว พอสว่างก็พ้นเขตแคว้นศากยะ ประทับพักที่นั่น แล้วก็ทรงตัดผมให้สั้นซะ เพราะว่าคนอินเดียในสมัยนั้น เขาถือว่าตัดผมสั้นไม่ดี ไม่ ไม่น่าคบ ว่างั้น เขาจึงไว้ผมยาว ๆ กัน
พระองค์ก็ตัดให้มันสั้น เตียนไป แล้วก็นุ่งผ้าที่เตรียม คงจะเตรียมไป ผ้าที่เตรียมไป แต่ว่าในหนังสือบอกว่าเทวดาเอามาให้ มันต้องให้มีอะไรพิสดารไว้หน่อย ก็มีผ้าฝ้าย หยาบ ๆ เนื้อหยาบ เอาไปนุ่งเป็นนักบวช เครื่องแต่งกายที่ดีที่งามทั้งหลาย รวมแล้วก็มอบให้นายฉันนะพากลับวัง ตั้งแต่นั้นความเป็นเจ้าชายก็หายไป เหลือแต่ความเป็นนักบวช เที่ยวเร่ร่อนไปในบริเวณเหล่านั้น เพื่อทำการศึกษาค้นคว้าในสำนักครูบาอาจารย์ต่างๆ
ไปอยู่ในสำนักใด ครูบาอาจารย์ใด เป็นนักเรียนที่ดี คือมีความเคารพอาจารย์ ไม่ได้ถือว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่ถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์ เคารพอาจารย์ ปฏิบัติอาจารย์ ตั้งใจเรียน ตั้งใจศึกษา เขาแนะนำอะไรให้ปฏิบัติ ก็ปฏิบัติอย่างดี จนมีความรู้เสมอด้วยอาจารย์นั้น ๆ อาจารย์ก็ยกย่อง ว่าเธอมีความรู้เท่าฉันแล้ว อยู่ด้วยกันต่อไปเถอะ จะได้เป็นอาจารย์สอนคนต่อไป แต่พระองค์ไม่พอพระทัยในความรู้นั้น เพราะมองเห็นว่าความรู้ที่ได้นั้น ยังไม่ถึงที่สุดของความพ้นทุกข์ เป็นความรู้ แต่ยังไม่พ้นจากความทุกข์ แม้การปฏิบัติก็ไม่เห็นความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง เวลานั่งปฏิบัติใจมั่นก็สงบอ่ะ แต่พอออกแล้ว มันก็เหมือนคนธรรมดา ยังไม่หลุดพ้น ยังไม่ถึงสิ่งที่เป็นจุดหมายของชีวิตอย่างแท้จริง
จึงออกจากสำนักอาจารย์นั้น ๆ ทุกแห่งเมื่อไปเรียนแล้ว ไม่ประสบความพ้นทุกข์ ก็เลิก เลิกหมด แล้วก็ไปอยู่ที่บริเวณพุทธคยา แต่ว่าไปอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เขาเรียกว่า ตุงคคีรี เป็นภูเขาลูกใหญ่ อยู่ใกล้เมืองคยา มีถ้ำเล็ก ๆ พระองค์ก็ไปที่นั่น พร้อมกับพวกอีก ๕ ท่าน
ทำความเพียงอย่างแรงกล้า เขาเรียกว่า ทุกกรกิริยา จนร่างกายผ่ายผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถ้าเอามือขวาไปลูบแขนซ้าย ขนจะร่วงออกมาจากเนื้อเลย ผอมมาก ในตาลึกเหมือนน้ำบ่อหน้าแล้ง ท้องแห้ง ถ้าลูบท้องก็พบกระดูกสันหลัง เขาเขียนภาพไว้อย่างนั้น เพื่อให้เห็นว่าทรงผ่ายผอมมาก เกือบจะเอาตัวไม่รอดไปเลยทีเดียว แต่รู้สึกพระองค์ว่า ไม่ได้เรื่องอะไร ความเพียรแบบนี้ เป็นการทรมานร่างกายเสียเปล่า ๆ ไม่ได้สาระอะไร ทรงเลิกจากการปฏิบัติอย่างนั้น หันมาเสวยพระกระยาหารให้ร่างกายแข็งแรง แล้วก็ทรงค้นคว้าในแนวใหม่ต่อไป
ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เมื่อเห็นพระองค์เลิกทำความเพียรรูปนั้น หันมาเสวยอาหาร พักผ่อน เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์ ก็นึกในใจว่า ไม่ได้ความแล้ว พระสมณะโคดมนี่ไม่ได้ความแล้ว เราขืนอยู่ต่อไปก็จะเสียเวลาเปล่า ทิ้งไว้นี้อ่ะ แล้วก็ต่างคนต่างหนีไป
การหนีไปนั้นก็เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นโทษอะไร เพราะต้องการจะอยู่ผู้เดียว จะได้มีเวลานั่งคิด นั่งค้น มากกว่า ผลที่สุดก็มาสู่ตำบลพุทธคยา เห็นต้นโพธิ์ใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวสด มีแนวป่าแวดล้อม ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา น้ำก็สะอาด เหมาะแก่ที่จะบริโภค จะดื่ม
ก็นึกว่า เอาที่นี้แหละ เป็นที่สำหรับบำเพ็ญเพียรค้นคว้า ถ้าพูดภาษาปัจจุบันก็ว่า เอาใต้ต้นโพธิ์นี้อ่ะ เป็นห้องแล็บ เป็นสถานที่ทดลองกัน แล้วก็ทรงพักอยู่ที่นั่น ทำการค้นคว้า ศึกษาปฏิบัติ จนกระทั่งถึงวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งเป็นวันที่จะได้ตรัสรู้ จะได้ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างไรในวันนั้น ตื่นแต่เช้า ก็ลงไปสู่แม่น้ำ ทรงอาบน้ำตามธรรมเนียมของชาวอินเดียทั่วไป พอตื่นเช้าต้องไปอาบน้ำพระองค์ก็ไปอาบน้ำ ที่แม่น้ำเนรัญชรา เสร็จแล้วก็ไปนั่งพักอยู่ใต้ต้นไทร ซึ่งมีใบดก ใบหนา นั่งพักสบาย ๆ
วันนั้นพอดีกับนางสุชาดา ซึ่งเป็นสหกรณ์ปัตตานี คนมั่งคั่ง ได้บนบานศาลกล่าวไว้กับเทวดา ว่าได้แต่งงานกับผู้ชายที่ถูกใจ ได้ลูกชายเป็นคนหัวปีก็จะทำการบูชาเทวดาด้วยข้าวมธุปายาส
ข้าวมธุปายาส คือข้าวต้มกับเนย เอ้อ กับนม แต่ว่านางทำอย่างพิเศษ มีอะไรต่ออะไรใส่ลงไป หอมหวนชวนรับประทานอ่ะ ก็ถึงวันนั้นก็เตรียมพร้อมที่จะเอาไปเซ่นเทวดา บอกสาวใช้ว่า ไปดูที่ต้นไทรนี้ ไปกวาดให้สะอาด ให้เรียบร้อย ฉันจะเอาอาหารไปไหว้เทวดาที่ต้นไทร
สาวใช้ก็ไปทำการปัดกวาด พอไปถึงก็เจอพระองค์นั่ง ผิวพรรณ รูปร่างของพระองค์ผ่องใส อ่า สวยงาม สาวใช้พอเห็นก็ตกตะลึง บอกว่ายังไม่ได้เตรียมอะไร เทวดามานั่งรออยู่แล้ว ว่างั้น เทวดามารออยู่แล้ว ก็เลยรีบกระวีกระวาดไปบอกนาย ว่านายเจ้าขา รีบ ๆ มาเถอะ เทวดามานั่งรออยู่แล้ว
นางสุชาดาก็เอาถาดทอง ใส่ข้าวมธุปายาสเต็มถาด เข้าไป ก้มคลานเข้าไปถวาย ไม่ดูหน้าดูตาอ่ะ ถวายเสร็จแล้วก็ถอยกลับ ทั้งถาด ถวายทั้งถาด พระองค์ก็ฉันอาหารหมดทั้งถาด แล้วก็ไม่...ไม่มีเจ้าของจะมาเอาคืน ก็โยนไปในแม่น้ำเสียเลย อ่าโยนไปในแม่น้ำ เสร็จแล้วก็เดินขึ้นจากฝั่งน้ำ มาถึงต้นโพธิ์ในเวลาตะวันบ่าย แดดร่มลมโชยอ่ะ ก็มาเจอนายพรานป่า ชื่อ โสตถิยะ อ่า แบกหญ้าคามามากมาย ก็มัดเป็นมัด ๆ ก็เอาไปถวายพระองค์ ๘ กำมือ เอาไปถวายเพื่ออะไร เพราะว่าพวกฤษีชีไพร นักบวชในสมัยนั้น ชอบใช้หญ้าคาปูนั่ง ปูนั่งนี่มันนั่งสบายหน่อย ดีกว่านั่งบนดินเฉย ๆ
พระองค์เอาหญ้าคาไปปูที่ใต้ต้นโพธิ์อ่ะ แล้วก็ประทับยืนสงบนิ่ง อธิษฐานใจว่า เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ช่างหัวมันเถอะ ถ้าเรานั่งลงตรงนี้แล้ว ไม่สำเร็จอะไร เราจะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด ก็หมายความว่า อธิษฐานใจยอมตาย ยอมตายใต้ต้นโพธิ์ ถ้าไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจอะไรอันเป็นเรื่องดับทุกข์แล้ว จะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด อันนี้ก็เรียกว่า อธิษฐานใจอย่างแรงกล้า ที่จะกระทำความเพียร เพื่อให้บรรลุจุดหมาย แล้วก็พระองค์ปฏิบัติตามแบบที่เคยปฏิบัติแหละ คือว่า ทำใจให้สงบ ด้วยการเจริญ ฌาน และ ณ ปฐมฌาน ทุติยะฌาน จัตุถฌาน ไปโดยลำดับเข้าฌานเพื่อให้ใจสงบ
ครั้นเมื่อใจสงบแล้ว ก็น้อมพิจารณาไป พิจารณาไปก็ได้บรรลุคุณ โดยลำดับ ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบาน แจ่มใส ซึ่งได้นามว่า พุทโธบ้าง สัมมาสัมพุทโธ แปลว่าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองบ้าง ได้นามว่าพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ สิ้นเชิงบ้าง แล้วก็มีชื่อมากมายที่ขนานนามพระองค์อ่ะ ที่เราสวดกันอยู่ เรียกว่า ๙ บท
ความจริงมีมากกว่านั้น ท่านเจ้าคุณอุตส่าห์ค้นในพระไตรปิฎก มีตั้งร้อยชื่อ ชื่อพระองค์มีตั้งร้อยชื่อ ที่เขาเรียกพระองค์น่ะ ในชื่อต่าง ๆ ล้วนแต่มีความหมายว่าเป็นผู้มีความพ้นทุกข์ทั้งนั้น พระองค์ก็ได้สำเร็จพระโพธิญาณ คือปัญญาที่รู้อะไรเป็นอะไรถูกต้อง ก็เป็นพุทธะโดยสมบูรณ์ เอ่อ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ความเป็นพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖
กิเลสก็หมดไปในเวลานั้น การตรัสรู้เกิดขึ้น กิเลสก็หมดไป ก็เรียกว่าการเกิดขึ้นของพุทธะ การได้ตรัสรู้ และนิพพาน จึงเป็นเวลาเดียวกัน นาทีเดียวกันด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เพียงแค่วันเดียวกัน แต่มันนาทีเดียว
พอเกิดญาณ รู้จริงขึ้นมา ก็ได้เป็นพุทธะ พอเป็นพุทธะ กิเลสก็หมด คือนิพพาน กิเลสดับไป แล้วก็เป็นพุทธะขึ้นมา จึงเรียกว่าตรัสรู้ แล้วก็ อ่า ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน เป็นไปในเวลาเดียวกัน ให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้าพูดในส่วนลึกก็มันเป็นอย่างนั้น เรียกว่าได้ตรัสรู้ในนาทีนั้น แล้วก็เป็นพุทธะขึ้นมาในนาทีนั้น เรียกว่าประสูติเป็นพุทธะขึ้นมาโดยน้ำใจ
ไอ้ที่เกิดที่สวนลุม มันเกิดทางร่างกาย เกิดจากพระนางมายาเทวี นั่นเป็นร่างกาย เป็นภายนอก แต่เกิดใต้ต้นโพธิ์นั้น เป็นนามธรรม เป็นเรื่องทางใจ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง เป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใส พอเกิดเป็นพุทธะก็หมดกิเลส เขาเรียกว่า นิพพานไปในเรื่องกิเลส แต่ว่าร่างกายยังไม่ตาย ยังอยู่ ได้ทำประโยชน์แก่ชาวโลกต่อไป คือเที่ยวสอนธรรมะแก่ประชาชน อันนี้คือเรื่องย่อที่เราควรจะนึกถึง
แต่ว่าพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่เป็นคุณงามความดีนั้น ช่างมีมากมายเหลือเกิน เอามาพรรณนาได้ทุกวัน ทุกเวลา ไม่รู้จักหมด ไม่รู้จักสิ้น ใครอยากจะอ่านเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ให้อ่านพุทธจริยา ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านเคยเทศก์ไว้เรียกว่าพุทธจริยา จะได้เห็นชีวิตของพระพุทธเจ้าในแง่มุมต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคนหลายประเภท หลายเหล่า ทั้งที่เป็นคนพวกเห็นด้วย พวกไม่เห็นด้วย พวกที่ด่าพระองค์ก็มี พวกที่ชมพระองค์ก็มี อ่า ในแง่ต่าง ๆ
พระองค์ปฏิบัติพระองค์ต่อคนเหล่านั้นอย่างไร เป็นเรื่องน่าศึกษา เป็นเรื่องที่เราควรจะได้นำมาเป็นแบบอย่าง เอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ทั้งนั้น เช่น เด็กเล็กมาเรียน วันนี้มีเด็กมาเยอะ มาร่วมในวันวิสาขะ
เมื่อเราอ่านพระพุทธประวัติเรื่องพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะเอาเรื่องพระพุทธเจ้ามาเป็นแบบอย่างชีวิตได้อย่างไร เราเอามาเป็นแบบอย่างได้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ คือว่าทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงประพฤติเรียบร้อย อ่อนน้อม เชื่อฟังมารดา บิดา มารดาแท้สิ้นพระชนม์ไป แต่มีพระแม่น้าเป็นมารดาแทน ก็เชื่อพังพ่อแม่
ไปอยู่ในสำนักครู ก็เชื่อฟังครูอาจารย์ ตั้งใจรับฟังคำสอน ตั้งใจปฏิบัติตามสิ่งที่เขาสอนให้ จนมีความรู้ มีความสามารถเสมอด้วยอาจารย์ อันนี้ก็เป็นตัวอย่างแก่หนู ๆ ที่เป็นนักเรียนอยู่ในเวลานี้ ว่าเรานี่กำลังเป็นเด็ก เป็นลูกศิษย์ของพะพุทธเจ้า ได้ในแง่นี้ คือเอาตัวอย่างชีวิตเจ้าชายสิทธัตถะมาเป็นแนวทางชีวิต ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เชื่อฟังพ่อแม่ เชื่อฟังครูบาอาจารย์
อย่าทำอะไรตามใจตัว อย่าทำอะไรตามใจอยาก ต้องปรึกษาพ่อแม่ จะไปไหน จะทำอะไร ต้องปรึกษาหารือท่าน พ่อแม่ก็ต้องให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่ลูก อยู่โรงเรียนก็ต้องปรึกษาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็ต้องตั้งใจ แนะนำพร่ำเตือนลูกศิษย์ ให้มีความรู้ ความฉลาด ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ ก็เรียกว่า เราได้ทำตามพระพุทธเจ้า เดินตามรอยเท้าพระพุทธเจ้า เราก็จะไปพบพระพุทธเจ้าต่อไปในกาลข้างหน้า นี่ตอนหนึ่ง
อีกตอนหนึ่งที่ว่า พระองค์อธิษฐานใจ อธิษฐานใจหมายความว่า ผูกใจไว้กับเรื่องดีเรื่องงาม ผูกใจไว้ในเรื่องที่เราจะทำ แต่การกระทำนั้นต้องดีด้วย มีประโยชน์ด้วย ถ้าทำนั้นมันไม่ดี แล้วก็ไม่มีประโยชน์ การผูกใจใช้ไม่ได้ เช่น เราอธิษฐานใจว่า มันทำกูเจ็บนัก กูจะต้องแก้แค้นมันให้ได้ ถ้าแก้แค้นมันไม่ได้ อย่านับถือว่ากูเป็นคนต่อไป
ไอ้อย่างนี้ ไม่ใช่อธิษฐานใจ แต่เป็นการตั้งใจไว้ผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นการอธิษฐานผิดทาง สร้างความทุกข์ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เราจะต้องอธิษฐานใจในทางดีทางงาม เช่น เรานั่งลงอ่านหนังสือ ก็ผูกใจ อธิษฐานใจว่าจะอ่านสักหนึ่งบท ถ้ายังไม่จบหนึ่งบท เราจะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งนี้ เราจะไม่ไปไหน เราจะไม่ทำอะไร เราจะอ่านหนังสือ หรือเราอธิษฐานใจว่า เวลานี้ เป็นเวลาเรียน เป็นเวลาเขียน เป็นเวลาอ่านหนังสือ โทรทัศน์จะออกรายการดี วิเศษอย่างไร เราไม่ยอมไป เราไม่ยอมดู เพราะเรามันต้องซื่อตรงต่อตัวเอง ซื่อตรงต่อสัจจะ ปฏิญญาณที่เราได้ตั้งไว้ พอถึงเวลาเราก็ต้องไปดูหนังสือ ไปอ่านหนังสือ ถึงเวลาทำอะไร ก็ทำตามเวลา
ท่านเป็นคนมีระเบียบ เป็นคนมีวินัย ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าต้องเป็นคนมีระเบียบ มีวินัย ไม่ใช่เป็นคนประเภทตามใจ มักง่าย ทำอะไรตามใจตัว ตามใจอยาก ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพประเพณีวัฒนธรรมของบ้านเมือง อย่างนั้นมันไม่สมกับเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า
เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นยอดแห่งศาสดา ผู้มีระเบียบวินัย พระองค์ประพฤติเป็นตัวอย่างแก่สานุศิษย์ในเรื่องระเบียบ เรื่องวินัยตลอดเวลา เราก็ต้องอธิษฐานใจ ว่าเราจะอยู่ใต้ระเบียบวินัย อยู่ใต้กฎหมาย อยู่ใต้หลักศีล หลักธรรม เราจะไม่ประพฤติอะไรตามใจตัว ตามใจอยาก เราจะไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ และสิ่งแวดล้อม เราอธิษฐานใจ
เวลานี้เป็นฤดูที่เปิดเทอมใหม่ เรียกว่าเริ่มเรียนหนังสือ เราก็ต้องอธิษฐานใจตั้งแต่เริ่มแรก อธิษฐานใจว่าจะตั้งใจเรียน ตั้งใจอ่าน ตั้งใจเขียน เรียนให้รู้ เรียนให้เข้าใจ เรียนด้วยใจรัก เรียนด้วยความขยัน เรียนด้วยความเอาใจใส่ เรียนด้วยการใช้สติปัญญาคิดค้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง อธิษฐานใจอย่างนี้ การเรียนการศึกษาของเราก็จะดีขึ้น
เรียกว่าเราเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเดินไปในทางไหน นี่ปล่อยไว้ รอยพระบาท รอยความดีนั่นแหละเป็นพระบาทแท้ ไอ้พระบาทที่เขาเจาะไว้ตามแผ่นดินนั้น เราไปดู เอ่อ ไปดู ศึกษาดูทางโบราณคดี ว่าเขาทำไว้อย่างไร แต่ว่าพระบาทที่แท้จริงอ่ะ คือคุณงามความดีทั้งหลาย ที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้เป็นตัวอย่าง เช่น รอยศีล รอยสมาธิ รอยปัญญา รอยศีล พระองค์เดินไว้ในทางศีล เราก็เดินตามศีล พระองค์ทำสมาธิ เราก็เดินตามรอยสมาธิ พระองค์มีปัญญาที่จะเห็นจริง เราก็ต้องศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง
ไม่อยู่อย่างคนหลง ไม่อยู่อย่างคนงมงาย แต่อยู่อย่างคนลืมหูลืมตา มองอะไรด้วยปัญญา พูดอะไรด้วยปัญญา คิดอะไรก็ด้วยปัญญา อย่างนี้ชื่อว่า เราเจริญตามร้อยเท้าของพระพุทธเจ้า ชีวิตจะอยู่รอดปลอดภัย ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ เอามาคิด เอามาอ่านบ่อย ๆ เช่น ในเวลาใดเรามีความอ่อนแอทางจิตใจ ขาดความเข้มแข็ง เบื่อหน่ายหน้าที่การงาน ซึ่งเขาเรียกกันว่ามันเซ็งอ่ะ ชีวิตมันรู้สึกว่ามันเซ็ง ถ้าเซ็งแล้วก็ต้องอ่านเรื่องพระพุทธเจ้า พออ่านเรื่องพระพุทธเจ้าแล้วความเซ็งจะหายไป จะเกิดความเข้มแข็ง เกิดความความอดทน เกิดความหนักแน่น เกิดความคิดที่จะก้าวหน้าในชีวิตต่อไป
อาตมาเคยใช้ เคยทำอย่างนั้นมาตั้งแต่ในวัย อ่า เริ่มเข้าหาพระศาสนา จะอ่านบ่อย ๆ อ่านเรื่องพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ อ่านมากรักพระองค์มาก อ่านมากก็อยากจะทำอะไรตามแบบที่พระองค์กระทำ อ่านมากก็ยิ่งเกิดความเสียสละแก่พระศาสนา จึงได้มีชีวิตยืนยาวมามาก ก็ด้วยการอ่านเรื่องอย่างนี้ ทำให้เกิดความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า เพราะเราอ่านมาก เราคิดถึงอะไรมาก สิ่งนั้นมันจะอยู่ในตัวเรา ทีนี้เรามาคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระคุณของพระองค์ พระคุณนั้นก็จะเกิดมา เป็นภาพพื้นในใจ ทำให้เราเป็นคนคิดก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบ อ่า จึงขอให้สนใจศึกษาในเรื่องอย่างนี้ โดยเฉพาะในวันนี้ อันเป็นวันวิสาขบูชา เราก็ควรจะได้สนทนากันในเรื่องพระพุทธเจ้า ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความรู้จักพระองค์มากขึ้น
การอ่านหนังสือ อ่านเรื่องพระสูตรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ก็เรียกว่าค้นหา แง่มุมของพระพุทธเจ้า ค้นหาความงามความดี ของพระองค์ เพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ความงาม ความดีของพระพุทธเจ้า เอาไปใช้ได้ทุกอย่างในชีวิตของเราไม่ว่าเราจะเป็นข้าราชการ พลเรือน เป็นทหาร อ่า เป็นพ่อค้า เป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหาร อะไรก็ตาม สามารถจะเอามาใช้ในทุกอย่าง หยิบเอามาใช้ได้ เหมาะแก่เวลา แก่เหตุการณ์ทั้งนั้น หรือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเราแต่ละคน เรามีความคิด มีปัญหา มีความเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา ลองนึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็มองหาสิ่งที่ดีอยู่ในพระองค์อ่ะ เอามาเป็นยา แก้ความทุกข์ แก้ความเดือดร้อนใจ ในชีวิตประจำวันของเราได้
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงเป็นแสงสว่างของเรา เป็นยาของเรา เป็นเพื่อนแท้ของเรา เป็นผู้นำในชีวิตของเรา เราทั้งหลายที่เกิดมาเป็นคนไทย เรียกว่าเกิดภายใต้ร่มโพธิ์ของพระพุทธศาสนา แต่มันก็ยังบกพร่อง บกพร่องตรงที่ว่า พอเกิดมามันก็เป็นแล้ว พอเกิดแว้ออกมา ก็เป็นซะแล้ว จดทะเบียนเป็นพุทธบริษัทเสียแล้ว เลยไม่สนใจศึกษาค้นคว้าให้รู้จักพระพุทธเจ้า ให้รู้จักหลักธรรมของพระองค์ เป็นชาวพุทธโดยไม่ตื่น ไม่รู้ ไม่เบิกบาน แจ่มใส ก็เป็นไปอย่างนั้นเอง เป็นไปอย่างงมงาย เป็นไปอย่างไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไปเที่ยวกราบ เที่ยวไหว้ วิงวอน ขอร้อง บนบานศาลกล่าวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมันไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร เราจึงควรจะได้หันมาศึกษาเรื่องของพระพุทธเจ้า ศึกษาคำสอน ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ แล้วเอาความรู้ ความเข้าใจนั้นมาเป็นกระจก ส่องดูที่ตัวเรา ว่าเรามันมีอะไรบกพร่อง มีความเชื่อผิดไหม มีความเข้าใจผิดไหม มีการกระทำที่ผิดพลาดออกไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้างหรือไม่
มองให้ดี มองให้เห็นชัด ครั้นมองเห็นชัดว่าเอ่อ ไอ้เรานี่มันเป็นชาวพุทธแต่เพียงชื่อ เพียงสำมะโนครัว ไม่ได้เป็นชาวพุทธด้วยปัญญา ไม่ได้เป็นชาวพุทธด้วยการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้มันถูกตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ควรจะละอายแก่ใจตนเอง ละอายแก่ตนเองว่า เรายังไม่ฉลาดในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ควรจะได้เปลี่ยนชีวิตจิตใจ เข้าหาคุณงามความดี ให้มั่นตรงตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ชื่อว่าเป็นการถูกต้อง เป็นการเข้าหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็ต้องเอาหลักพระพุทธเจ้าไปใช้
มีไอ้คนบ้า ๆ บอ ๆ คนหนึ่ง อ่า เรียกว่ายังเป็นพระอยู่ด้วยซ้ำไป แล้วก็เมื่อวันก่อนนี้ อาตมาพูดทางวิทยุ เรื่องเกี่ยวกับวันที่ ๑ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันกรรมกร อาตมาก็พูดว่า ในฐานะที่เราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา เราจะต้องรู้ว่า ต้องอาศัยกัน คนมั่งมี คือนายทุน ต้องอาศัยกรรมกร กรรมกรก็ต้องอาศัยนายทุน ก็ควรจะอยู่กันด้วยความรัก อยู่กันด้วยความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน เอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ พูดไปในรูปอย่างนั้น
พระองค์หนึ่ง เป็นพระอยู่เวลานี้ ยังไม่สึก กลับเขียนคัดค้านว่า พระพุทธศาสนานี้ไม่พอสำหรับที่จะเอามาใช้สร้างสังคมประเทศไทย ต้องเอาลัทธิอื่นเข้ามาใช้ด้วย ลัทธิที่เห็นชอบ นั่นก็คือลัทธิของนายหนวดดกนั่นเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนายคาร์ล มาร์กซ์นั่นเอง อาตมาอ่านแล้ว เจ้าคุณธรรมะไปอ่านก่อน ไปเอามาให้อ่าน
อ่านแล้วก็บอกว่าเสียใจเหลือเกิน ที่นายคนนี้กินข้าวของพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งเรียนสำเร็จ ได้ปริญญาเป็นพุทธศาสตร์บัณฑิตย์ แต่ว่ายังไม่สำนึกในพระคุณของพระพุทธเจ้า ยังมองพระพุทธศาสนาว่ายังไม่พอ สำหรับจะเอามาใช้สร้าง ...... (52.20) บ้านเมือง อันนี้มันค่อนข้างจะพูดแบบไม่เข้าใจ น่าสงสาร ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร แต่นึกสงสารว่า เอ๊ มันอยู่วัดไม่เข้าเรื่อง มันเรียนไม่เข้าใจ แล้วก็ไปเขียนพูดอย่างนั้น เอ่อ มันไม่ถูกต้อง
ความจริงนั้นเราจะเอาแง่ใดมาใช้ ในทางสร้างสรรค์ชีวิต ในฐานะเป็นพ่อค้า เป็นชาวนา เป็นชาวสวน เป็นพระสงฆ์ เป็นนักการเมือง ใช้ได้ทั้งนั้น พระธรรมของพระพุทธเจ้านี่ใช้ได้ทั้งนั้น ขอให้หยิบเอาไปใช้ ให้เหมาะแก่เวลา แก่เหตุการณ์ ไม่ต้องอะไรหรอก ธรรมะง่าย ๆ สัปปุริสธรรม ๗ ของพระพุทธเจ้า รู้เหตุ รู้ผล รู้จักตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้บุคคล รู้ประชุมชน ลองเอาไปใช้ ถ้าใช้แล้ว ชีวิตของเรามันจะไม่ยุ่งยาก เพราะเรารู้ว่าเหตุผลคืออะไร ผลมาจากอะไร เหตุมันอยู่ตรงไหน เหตุนี้จะเกิดผลอะไร อ่า รู้เหตุรู้ผล
รู้จักตัวเอง ว่าเราอยู่ในฐานะอะไร เราเป็นผู้นำ หรือว่าเราเป็นผู้ตาม เราควรจะประพฤติตนอย่างไร บุคคลที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นอย่างไร เวลาไหนควรจะประกอบกิจอะไร ทำให้มันถูกต้องตามเวลา อ่า ตามเรื่องตามราว รู้จักประมาณในการเป็นอยู่ กินพอดี นุ่งห่มพอดี ใช้สอยอะไร เงินทอง แต่พอดี อย่าสุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย เอ่อ ตามหลักของพระพุทธเจ้า เราก็สบาย เราเอาธรรมะมาใช้แล้วก็สบาย
ในทางสร้างสรรค์ แล้วก็ใช้ธรรมะได้ทั้งนั้นแหละ แต่ในทางทำลายละก็จะใช้ไม่ได้ เพราะธรรมะไม่ได้เป็นไปเพื่อการทำลาย แต่เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ สิ่งทั้งหลายที่เป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เราจึงควรจะได้คิดพิจารณาถึงหลักธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า
เวลานี้ชาวตะวันตกกำลังสนใจในพระพุทธศาสนา ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่เจริญในด้านเทคโนโลยีมากมายแล้ว แต่เขายังมีความทุกข์ทางใจ วัตถุต่าง ๆ ที่เขาประดิษฐ์คิดค้นช่วยไม่ได้ ช่วยให้พ้นความทุกข์ทางใจไม่ได้ เขาจึงได้หันมาศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หันมาปฏิบัติ มาบวช มาเรียน กันอย่างจริงจังขึ้น แล้วเขาก็เข้าถึงเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา มากกว่าเราที่นับถือกันมาตั้งแต่โบรมโบราณ เราถือตามประเพณี ตามพิธีกันเสียมาก อ่า จึงควรจะได้สำนึกในข้อนี้ แล้วก็ช่วยกันหันมาศึกษา หันมาปฏิบัติ ให้เข้าถึงหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จึงจะเป็นการถูกต้อง
วันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา ขอให้เราทั้งหลายได้ช่วยกันปฏิบัติในรูปอย่างนี้ มีเรื่องที่น่าสลดใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือทางราชการประกาศให้ยกธงตามบ้าน เรา แหม เป็นทุกข์ ไม่มีใครยกธงกันกี่อันหรอก นั่งมา ดูมาบนถนน ไม่ค่อยมีคนธงเท่าไร แสดงว่าคนเหล่านั้น ยังไม่ได้นึกว่าพระพุทธเจ้ามีประโยชน์อย่างไร พระธรรมมีประโยชน์อย่างไร แผ่นดินไทยที่อยู่รอดปลอดภัยมาจนกระทั่งทุกวันนี้เพราะอะไร เราคิดไม่ได้
ความจริงที่เราอยู่รอดปลอดภัยนี่ เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้า หลักธรรมที่สถิตย์มั่นในน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกรัชกาล โดยเฉพาะตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลปัจจุบัน ได้ใช้หลักธรรมนะในพระพุทธศาสนาเป็นพระศาสนูบาย ต่อสู้กับเหตุการณ์ร้าย ๆ มาได้ด้วยดี ทำให้เราอยู่ในแผ่นดินนี้อย่างภูมิใจ อย่างอุ่นใจ แต่คนไม่ค่อยนึก นึกแต่เรื่องจะหาสตางค์เข้ากระเป๋าท่าเดียว จนลืมเอาธงมาติดหน้าบ้าน หรือว่าลืมซื้อธงมาติดไว้สักอันหนึ่ง
เมื่อวานนั่งมาจากวัดสามพระยา ไอ้ที่บางลำพูน่ะหน้าบ้านเขายกไม่ได้ เพราะมันติดกับถนน ก็ไปยกไว้หลังบ้าน มีอยู่อันหนึ่ง บอก เอ่อ ยังน่าสรรเสริญ อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีอันหนึ่งไอ้ที่ตรงนั้นน่ะ อาตมาพูดกับคนขับรถว่า เอ่อ น่าชมว่ะมันอุตส่าห์ยกไว้หลังบ้าน แต่แถวนั้นหน้าบ้านไม่ค่อยจะมี มันน่าคิด
พูดมาก็สมควรแก่กาลเวลาแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติบูชา ๕ นาที อ่า ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจได้