แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพักยืนพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีอย่าพูดอย่าคุยกันเวลาฟังปาฐกถาธรรมะ ให้ใช้หูเพื่อการฟังแล้วก็หยุดพูด เพื่อรับสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเราเอาไปใช้ ในชีวิตประจำวันต่อไป
การศึกษาธรรมะ ในทางพระพุทธศาสนาสำหรับเราชาวบ้านก็ศึกษาด้วยการฟังอย่างหนึ่ง ศึกษาด้วยการอ่านอย่างหนึ่ง การศึกษาด้วยการฟังนั้นเป็นการศึกษาระบบเก่าแท้ มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เพราะมนุษย์เรานั้นมีหูสำหรับที่จะฟังเสียงอะไรๆ ต่างๆ ผู้มีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องอะไร ก็ใช้การพูดให้คนฟัง เอาไปใช้ในชีวิตต่อไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมะแล้ว พระองค์ก็ไปเที่ยวสอน คือไปพูดให้เขาฟังตามที่ต่างๆ พบคนๆ เดียวก็สอน หลายคนก็สอน สอนเรื่อยไป ไม่มีการเขียนหนังสือในสมัยนั้น ไม่มีการบันทึกอะไร เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะไม่มีการเรียนหนังสือมีแต่เรื่องใช้หูฟัง เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังพระผู้มีพระภาคจึงได้นามว่าพุทธสาวก พุทธสาวกก็คือผู้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้เรียนโดยวิธีการฟังอย่างนี้ทั้งนั้น ใครฟังแล้วเข้าใจความหมายก็เอาไปพูดให้คนอื่นฟังกันต่อไป
คนในสมัยก่อนเมื่อไม่มีหนังสืออ่านนี่ ฟังอะไรเขาจำได้มาก ที่จำได้มากก็เพราะว่าเขาไม่มีอะไรเผื่อไว้สำหรับไปเรียนในภายหลัง ไม่เหมือนเราในสมัยนี้ เช่นนักศึกษาไปฟังคำอาจารย์สอนในชั้น ฟังไม่ตั้งใจ เพราะนึกว่ามีหนังสือก็ไปอ่านเอาก็ได้ หรือว่าเราฟังธรรมจากพระแสดงธรรม เราก็นึกว่ามีหนังสือวันหลังไปอ่านเอาเองก็ได้ เลยฟังไม่ถึงใจ ไม่เหมือนสมัยก่อน
สมัยก่อนนั้นท่านไม่มีหนังสือเลย เพราะฉะนั้นเมื่อใครมาฟังพระองค์ก็ฟังด้วยความตั้งใจ ใจจดใจจ่อในเรื่องที่จะฟังจริงๆ มีสมาธิมั่นในอันจะฟัง ก็เลยได้ความรู้ความเข้าใจจากการฟัง เพราะฉะนั้นจึงปรากฏในตำนานที่ได้บันทึกขึ้นในภายหลังว่า ภายหลังที่พระผู้มีพระภาคเทศนาจบลงไปแล้ว มีผู้บรรลุอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายความว่ามีคนเข้าใจพระพุทธศาสนา นำพุทธศาสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้มาก หรือว่าเข้าใจลึกซึ้ง สามารถที่จะถอนกิเลส ตัณหาที่มีอยู่ในใจให้หมดไปได้บ้าง ตามลำดับของผู้ฟัง เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น
แต่ว่าในสมัยต่อมา เมื่อโลกก้าวหน้าแล้วก็มีหนังสือสำหรับค้นคว้ากันขึ้น ในประเทศอินเดียนี่เริ่มมีหนังสือใช้ เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้วประมาณ ๒๐๐ กว่าปี คือในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกนี่ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาก เป็นเจ้าจักรพรรดิที่ไม่ได้ใช้อาวุธ ศาสตรา แต่ใช้ธรรมะเป็นเครื่องเผยแผ่ให้คนได้เกิดความรู้ ความเข้าใจ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ก็ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ว่านับถืออริยธรรมของอินเดีย ซึ่งมีก่อนพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่อยู่ในคัมภีร์ของพวกพราหมณ์แต่ก็ไม่มีการจารึกเหมือนกัน มีการจำ ท่อง สืบๆ ต่อกันมา ครั้นเมื่อท่านเป็นเจ้าชายหนุ่มน้อย น้ำพระทัยก็ฮึกเหิมตามแบบคนหนุ่มทั่วไป คนหนุ่มเรานี่ถ้ามีทรัพย์สมบัติมีความเป็นใหญ่ มีพรรคพวกบริวาร ก็มักจะเอาไปใช้ในทางผิดได้ง่าย ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องหักห้ามจิตใจ ท่านเป็นโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านก็มีพร้อมทุกอย่าง เลยฮึกเหิมในการรบ ก็ไปรบกันใหญ่โต ทำสงคราม เมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วก็ไปรบใหญ่ที่แคว้นโอริสสา ซี่งในสมัยก่อนเรียกว่ากาลิงคะ โอริสสาในสมัยนี้มีมีเมืองนาคปุระเป็นนครหลวง รบคราวนั้นคนตายมากเหลือเกิน เรียกว่าเลือดท่วมแผ่นดิน เลือดท่วมแผ่นดิน ไม่ถึงขนาดท่วมท้องช้างหรอก (06.00) เรียกว่าท่วมแผ่นดิน ก็เรียกว่ารบกันตายอย่างวินาศไปเลยทีเดียว
สมัยนั้นมันรบกันถึงเนื้อถึงตัวจึงตายกันทั้ง ๒ ฝ่าย ท่านยืนดูเขารบกันแล้วก็ตายมากอย่างนั้นเกิดสลดใจ สลดใจขึ้นมาทันที มโนธรรมเก่าแก่ของอินเดียนั้น เข้ามาสิงสู่น้ำพระทัยของพระองค์แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่าไม่สมควรเลยที่เราจะทำอย่างนี้ เราต้องการความเป็นใหญ่ ต้องการมีอำนาจในแผ่นดิน แต่ว่าเราเดินไปบนเลือดอันแปดเปื้อน เดินไปบนกลิ่นคาวของเลือดเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย มันเป็นบาปเหลือเกิน ความรู้สึกอย่างนั้นเกิดขึ้น ไอ้ความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่าธรรมสังเวช หมายความว่ามีความสลดใจเพราะมีธรรมะเกิดขึ้นในใจ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่สมควรเลย ที่เราจะทำอย่างนั้น
คนเรานี่ถ้าเคยกระทำอะไร ในเรื่องที่ไม่ดีไม่งามด้วยประการใดก็ตาม แล้วมาเกิดความสลดใจขึ้นเมื่อได้พบเห็นสิ่งบางอย่าง เช่นได้ยินได้ฟังคำสอนของพระบ้าง หรือว่าได้เห็น เหตุการณ์อะไรบ้าง แล้วก็สิ่งนั้นมันกระทบกระเทือนใจ ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่าเรานี่มัวแต่ทำบาป ทำอกุศล มีชีวิตที่ไม่เรียบร้อย ไม่ดีไม่งามมาก็นานแล้ว ควรจะได้กลับจิตกลับใจ เข้าหาความงามความดีกันเสียสักทีเถอะ หรือว่าไม่ได้สนใจในธรรมะก็หันหน้าเข้าหาธรรมะกันเสียสักทีเถอะ อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นหัวเลี้ยว เลี้ยวเข้าหาแสงสว่าง เลี้ยวเข้าหาความถูกต้องแล้วก็เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง
จะพบว่าเมื่อก่อนกับเดี๋ยวนี้มันเดินผิดกัน คือเมื่อก่อนนั้นเดินอยู่ในความมืดความบอดไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เดินไปตามกระแสโลก เหมือนกับขยะมูลฝอยที่ลอยไปตามกระแสน้ำเวลาหน้าน้ำ เราไปนั่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าน้ำ จะเห็นว่าผักตบมันลอยมาเป็นแพเลยทีเดียว บางทีก็ลอยเต็มแม่น้ำ ผักตบลอยน้ำนี่มันลอยไปตามกระแสน้ำ ถ้าน้ำขึ้นมันก็ลอยขึ้น ถ้าน้ำลงมันก็ลอยลง ลอยขึ้นลอยลงอยู่อย่างนั้น เป็นสิ่งที่เรียกว่าไม่มีจุดหมาย ในการที่ลอยไปอย่างนั้นมันไม่มีจุดหมาย
ชีวิตคนเราบางคนก็มักจะเป็นเช่นนั้น ขั้นแรกก็ลอยไปตามกระแสของอารมณ์ กระแสของชาวโลก ด้วยประการต่างๆ ยังไม่รู้ยังไม่สำนึกว่าชีวิตนี่คืออะไร จุดหมายอันแท้จริงของชีวิตคืออะไร เราควรจะทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง หรือยังไม่เคยคิดว่าความสุขอันแท้จริงของชีวิตนั้นมันคืออะไร ไอ้สิ่งที่เรามีเราได้อยู่นี่มันเป็นความสุขอันแท้จริงของชีวิตหรือเปล่า ยังไม่เคยคิดอย่างนั้น ยังมองไม่เห็นเพราะว่าสิ่งแวดล้อม เพื่อนฝูง มิตรสหายที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้น ไม่มีใครสักคนหนึ่งที่จะให้สติ ให้ปัญญาที่จะสะกิดบอกให้เราเกิดความสำนึกในทางที่เป็นธรรม มีแต่เพื่อนที่ชักจูงไปในทางสนุกสนานเฮฮา ชวนกันไปบ่อนการพนัน ชวนกันไปดื่มเหล้า ชวนกันไปร้องรำทำเพลง ใช้จ่ายเงินเปลืองจนไม่พอกินพอใช้ อันนี้มันเรียกว่าไหลไปตามกระแสน้ำเหมือนผักตบลอยน้ำ ไม่มีราคาค่างวดอะไร ผักตบนี่ไม่มีราคา ไปอยู่หน้าบ้านใครมันก็รกเท่านั้นเอง จะได้ประโยชน์นิดหน่อยที่มันทำให้ตลิ่งพังน้อยเท่านั้นเอง มีประโยชน์ตรงนั้น นอกนั้นก็ไม่ได้เรื่องอะไร
ชีวิตคนเราบางทีก็เป็นเช่นนั้น ยังไม่ได้พบสิ่งอันเป็นเครื่องเตือนใจ จึงไม่มองเห็นสิ่งถูกต้อง บางคนก็มองเห็นสิ่งถูกต้องตั้งแต่วัยหนุ่ม นั่นไปได้ไกล บางคนก็เมื่อเป็นผู้ใหญ่ บางคนก็เมื่อแก่ชรา ไอ้มาเห็นเอาตอนแก่นี่มันชักจะแย่สักหน่อย เขาเรียกว่าเข้าป่าจวนค่ำ เมื่อเข้าป่าจวนค่ำนี่ตัดไม้ไม่กี่ดุ้นมันก็ค่ำแล้ว เราได้น้อยเต็มที แต่ถ้าเราเข้าป่าตั้งแต่ตอนเช้า ตัดไม้ได้เต็มรถเลย แล้วก็เลือกเอาไม้ดีๆ ทื่อๆ งามๆ ด้วย เพราะมองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง ถ้าเข้าไปจวนค่ำนี่ตัดไม่กี่อันก็มืด ถ้าฝืนตัดต่อไปก็ได้ไม้ที่ไม่สวย ไม่งาม ไม่เรียบร้อย เพราะฉะนั้นถ้าเรามาสายเกินไปสำหรับการปฏิบัติธรรมะ มันก็ทำให้ชีวิตเสียไปซะเป็นเวลานาน แล้วบางท่านก็เสียไปมาก จนกระทั่งว่าเกิดปัญหาเกิดความคิดความเดือดร้อนในครอบครัวที่น่าเสียดาย อันนี้เป็นตัวอย่างให้คิด
พระเจ้าอโศกนี้ท่านเมื่อไปรบครั้งนั้น เห็นคนมันตายมากเหลือเกิน เกิดความสลดใจ สลดใจว่ามันเรื่องอะไร ที่เรามาทำอย่างนี้ เราอยากเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจในบ้านเมือง แต่เราเดินเหยียบสายเลือดของเพื่อนมนุษย์ไป มือก็เปื้อน เท้าก็เปื้อน ตัวก็เปื้อน ใจก็เปื้อน อยู่ด้วยความแปดเปื้อน ด้วยความสกปรก สลดพระทัยมาก เลยสั่งหยุดรบ หย่าทัพกันไม่รบต่อไปแล้ว แล้วก็กลับวังด้วยความคิดคลุ้งอยู่ในพระทัย ว่าเรานี่มีชีวิตเป็นบาป มีชีวิตเป็นภูติ เราไม่ควรจะใช้ชีวิตในรูปนี้ต่อไป ก็เลยคิดอยากแสวงหาธรรมะ หาธรรมะมาเป็นเครื่องประเล้าประโลมใจต่อไป
เมื่อก่อนธรรมะในประเทศอินเดียนี่มันก็แพร่หลายกันอยู่ ธรรมมันหลายแบบ หลายครูหลายอาจารย์ อินเดียนี่เป็นดินแดนที่เกิดขึ้นของผู้รู้ ของผู้มีปัญญาในด้านธรรมะก็ว่าได้ เพราะในยุคพระพุทธเจ้าก็มีเกิดขึ้นตั้งหลายคน เที่ยวสอนแข่งขันกันอยู่กับพระพุทธเจ้าตามที่ต่างๆ แต่ว่านักธรรมะในสมัยพระพุทธเจ้า เขาเข้าถึงธรรมะมากทีเดียว จึงไม่มีเรื่องอะไร ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ในระหว่างครูผู้สอนธรรมะ ไม่มีการทำอะไรที่จะให้เกิดความเสียหาย ใครเดินแนวไหนก็สอนไปตามแนวของตัว ต่างคนต่างสอน หรือว่าต่างคนต่างเดินตามเส้นทางของตัว คล้ายกับขับรถไปตามเลนของตัว มันก็ไม่เบียดรถอื่น แล้วก็ไม่ชนกับรถอื่น เพราะเราไปตามเลนของเรา
ผู้สอนธรรมะในสมัยนั้นท่านมีคุณธรรมท่านจึงไม่มีเรื่องวิวาทกับใครๆ ไม่มีเรื่องทะเลาะ แม้ลูกศิษย์ก็ไม่ทะเลาะกับใคร บางคราวก็มาเจอกันก็นั่งคุยกันด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งปรากฏอยู่ในพระสูตรในทางพระพุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าก่อนไปบิณฑบาตก็แวะไปสู่สำนักเดียรถีย์ คำว่าเดียรถีย์ในที่นี้ หมายถึงว่าท่า มาจากคำว่าท่าน้ำ ท่าเรือ ท่าแพ ท่ารถอะไรนั่นเอง ทีนี้คำสอนนั้นเค้าเรียกว่าเป็นเดียรถีย์ ทีนี้พระองค์ก็ไปหาเดียรถีย์อื่นซึ่งไม่ใช่ท่าของพระพุทธศาสนา ก็ไปสนทนากัน คุยกัน ด้วยอารมณ์สดชื่น ไม่มีเรื่องที่จะบาดหมางใจอะไรกัน บางทีก็คุยเข้ากันได้ แต่บางทีก็เข้ากันไม่ได้ เมื่อเข้ากันไม่ได้พระองค์ก็แสดงเหตุผล แนะแนวให้เขาคิด แต่เขาคิดไม่ออก เมื่อคิดไม่ออก พระองค์ก็บอกว่าท่านน่ะมีความคิดในแนวนั้นมาเสียนานแล้ว จึงไม่เข้าใจแนวที่เราบอกให้ แล้วก็ลาไปบิณฑบาต ไม่มีเรื่องอะไร ไม่มีความขุ่นข้อง ไม่ได้ไปบอกลูกศิษย์ว่าไอ้อาจารย์นั้นมันแย่ มันไม่รู้เรื่อง แล้วลูกศิษย์จะได้โกรธกัน ยกกองไปทุบตีกัน สมัยนั้นไม่มี ที่ไม่มีก็เพราะว่าต่างคนต่างถือธรรมะ เข้าถึงธรรมะ เรื่องมันก็ไม่ยุ่งยาก
ในสมัยนั้นจึงมีอาจารย์สอนกันมากมายหลายวิธีการ ที่จะให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่ว่าของผู้มีพระภาคเจ้าเรานั้น เป็นผู้อยู่ชั้นยอด ถ้าจะเปรียบเป็นภูเขา พระพุทธเจ้าเราไปยืนอยู่บนยอดภูเขาสูง อาจารย์ทั้งหลายอื่นนั้น อยู่ที่ตีนเขา เชิงเขา เที่ยวลัดเที่ยวเลาะอยู่แถวนั้นแหละ เห็นมันไม่ชัดอยู่เชิงเขานี่เห็นมันไม่ชัด เห็นอะไรไม่ไกล แต่องค์พระผู้มีพระภาคของเรานั้น ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา มองทิวทัศน์ได้รอบตัว เห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงอธิบายให้คนเข้าใจแผนที่แนวทางชีวิตได้ถูกต้องกว่า เพราะมองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ก็ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับใคร ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร อันนี้ควรจะเป็นตัวอย่าง แก่ผู้สอนธรรมะทั้งหลาย จะไม่สอนลูกศิษย์ให้ไปตั้งต้นกับใครๆ เพราะการกระทำอย่างนั้นเป็นการสร้างหลักหิงสาคือการเบียดเบียนแก่กันและกัน ธรรมะต้องเป็นไปเพื่ออหิงสา
อหิงสาคือการไม่เบียดเบียนไม่ทำร้าย ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือแม้ด้วยใจคิด ย่อมไม่มีสิ่งเหล่านั้น พระเจ้าอโศกท่านก็มาคิดว่า เอ เราจะศึกษาธรรมะจากใคร ครู อาจารย์มีมากเหลือเกิน เราจะเรียนจากใครดี ก็พอดีกับว่าในสมัยนั้นมีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ท่านเป็นผู้มีความแคล่วคล่องในทางการปฏิบัติจนบรรลุมรรคผลชั้นสูงแล้วก็เป็นนักเทศน์ นักสอนที่มีปัญญาว่องไว เราอย่าเข้าใจว่าพระอรหันต์จะเทศน์เก่งทุกองค์นะ บางองค์ท่านพูดไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน แต่ว่าท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่างได้ สอนไม่ค่อยจะได้ ก็มีเหมือนกัน แต่บางองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ก็สอนเก่ง โต้วาทะกับใครๆ ได้อย่างว่องไว คำพูด คมกริบ เชือดเฉือนอวิชชาที่มีอยู่ในผู้ฟังให้หายไปได้ ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะฉะนั้นท่านก็ได้ไปพบกับพระเจ้าแผ่นดิน สนทนาธรรมะกัน พระเจ้าอโศกก็พอพระทัยในหลักธรรมะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประสาทพร (18.20) เลยได้แสดงตนเป็นพุทธมามกะ คือยอมรับว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทางชีวิตของข้าพเจ้า พระธรรมเป็นทางเดินในชีวิตของข้าพเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกเป็นพี่เลี้ยง เตือนจิตสะกิดใจของข้าพเจ้า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นดวงประทีป เป็นนโยบายในการครองบ้าน ครองเมืองต่อไป
เมื่อพระองค์มาเป็นพุทธบริษัทแล้ว เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปหมด นโยบายทางการเมืองก็เปลี่ยนแปลงไป คือเปลี่ยนแปลงไปในทางสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลงไปในความสงบ มีประกาศอะไรออกมามากมาย เขาเรียกว่าบรมราชโองการของพระเจ้าอโศก บรมราชโองการของพระเจ้าอโศกนี้ เขาได้เขียนไว้ในแผ่นดิน เขารวบรวมเอาไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่ประเทศอินเดีย จารึกลงไว้ในแผ่นหินถาวรยังเหลือให้คนได้อ่านได้ศึกษา บรรดาบรมราชโองการเหล่านั้น เป็นหลักธรรมะ เป็นการชี้ทางให้คนปฏิบัติ และเป็นการปฏิบัติเพื่อขูดเกลาจิตใจให้สะอาดปราศจากความชั่วร้าย อยู่ในโลกก็ให้อยู่อย่างคนดี อยู่เพื่อประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ได้อยู่เพื่อการเบียดเบียนกัน ข่มเหงกัน ทำให้ใครๆ เดือดร้อน ไม่แสวงอาชีพที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่มีอาชีพที่ส่งเสริมความชั่วร้ายในสังคม อาชีพบางอย่างมันส่งเสริมความชั่วร้ายในสังคม เช่นว่าเรื่องขายน้ำเมา ขายศาสตราวุธ ขายยาพิษ อะไรอย่างนี้มันเป็นการส่งเสริมความมัวเมาในสังคม พระเจ้าอโศกท่านไม่ส่งเสริมอาชีพอย่างนั้น แต่ส่งเสริมอาชีพที่สุจริต เช่นการเลี้ยงโค ถือว่าเป็นอาชีพสุจริต ในประเทศอินเดีย เพราะคนในอินเดียเขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้วก็ทำไร่ทำนา ส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชน มีการตั้งโรงพยาบาลสำหรับชาวบ้าน แล้วยังมีโรงพยาบาลรักษาสัตว์ด้วยนะ
ในสมัยนั้นยังมีโรงพยาบาลสัตว์เลย เขาตั้งโรงพยาบาลสำหรับรักษาสัตว์ สัตว์เจ็บไข้ได้ป่วยเจ้าหน้าที่ก็ไปช่วยรักษา ทำให้หายด้วยยาสมุนไพร ไม่มีการฉีดยาเหมือนในสมัยนี้ เพราะสมัยนั้นการแพทย์แบบเก่า ก็ให้กินยาแบบสมุนไพรไป ตั้งโรงพยาบาลสัตว์ด้วย สร้างปลูกต้นไม้ตามถนนหนทางเพื่อให้เกิดความร่มรื่น คนเดินไปเดินมาก็จะได้พักผ่อน นั่งนอนสบายใจ สร้างศาลาพักร้อนให้คนได้พักในขณะเดินทางร้อนๆ ขุดบ่อน้ำสาธารณะ ให้คนได้ดื่มได้อาบกิน เมื่อไปได้นั่งพักตามศาลานั้นๆ แล้วก็ยังมีพระราชโองการอื่นๆ อีก ชักชวนคนให้ถือศีล ถือธรรม ให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ชี้แจงให้คนเข้าใจถึงหน้าที่ เป็นสามีมีหน้าที่อย่างไร ภรรยามีหน้าที่อย่างไร อะไรอย่างไร ตามหลักคำสอนในสิคาโลวาทสูตร (21.30) ที่พระผู้มีพระภาคได้สั่งสอนไว้ ก็เอามาจารึกไว้ในแผ่นหิน เอาไปวางไว้ตามที่สาธารณะ ตามสวนร่มรื่นให้คนได้อ่านได้ศึกษา
เป็นการประกาศธรรมะด้วยหนังสือ เริ่มขึ้นในสมัยนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่เราน่าจะเอามาเป็นแบบเป็นอย่าง ในทางการปฏิบัติ แล้วสิ่งที่พระองค์ทำประโยชน์มาก สำคัญที่สุดคือการกระทำสังคายนา ร้อยกรองพระธรรมวินัยอันเป็นหลักคำสอนให้เรียบร้อยขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เพราะในสมัยนั้นมันก็มีปัญหาเหมือนกัน คือว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เจริญด้วยศรัทธาของญาติโยม ลาภสักการะก็เกิดมาก คนทั้งหลายก็อยากจะมาบวชในพระพุทธศาสนา แม้คนเคยถือลัทธิอื่นมานับมาบวชในพุทธศาสนา เมื่อมาบวชแล้วก็ไม่ได้ตั้งหน้าศึกษาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าเอาคำสอนดั้งเดิมที่ตนเคยเรียนเคยรู้มาก่อน ทำให้ศาสนาถูกบิดเบือนไป คำสอนถูกบิดเบือนไป ถ้าผู้มีความรู้มีความเข้าใจก็เห็นว่ามันเละกันใหญ่แล้ว ต่อไปจะลำบาก ก็เลยไปกราบทูลพระเจ้าอโศกมหาราชว่าจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องศาสนาช่วยกันทำสังคายนา ก็เลยนัดประชุมทำสังคายนา ก่อนที่จะทำสังคายนานี่ก็มีการประชุม เรียกพระทั้งหมดมาสอบทีละองค์สัมภาษณ์กันเลย เอามาสอบสัมภาษณ์กันทีละองค์ ทีละองค์ ถามความรู้ความเข้าใจในหลักพระพุทธศาสนา ตอบผิดจับสึกเลย ตอบผิดจับสึก ไม่รู้เรื่องก็จับสึก อุ๊ย สึกกันเยอะแยะเลยทีเดียว ไล่สึกกันไปหมด เหลือแต่พระที่มีความรู้ เข้าใจถูกต้อง บริสุทธิ์จริงๆ แล้วก็ทำสังคายนา มาประชุมกันพูดให้มันเหมือนกัน สอนให้เหมือนกัน ในแบบเดียวกัน แล้วก็ส่งพระที่มีความรู้ความสามารถออกไปในถิ่นอื่น ส่งไปถึง ๑๐ คณะ ไม่ใช่น้อย ไปตามที่ต่างๆ ที่พอไปได้ในสมัยนั้น การเดินทางก็ไปไม่ไกล เช่นว่าส่งพระมหินทเถระ ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าอโศกมาบวชนี่ไปประเทศลังกา นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานไว้ในลังกา จนกระทั่งทุกวันนี้ แล้วก็ส่งท่านโสณะอุตตระ มาสู่สุวรรณภูมิประเทศ ไอ้สุวรรณภูมินี่มันก็เถียงกันอยู่ พม่าก็ว่า พระ ๒ องค์มาขึ้นเมืองพม่า มาขึ้นที่เมืองสะทุง (25.00)
อาตมาเคยเดินทางผ่านไปที่พม่า ไปเมื่อ ๒๔๗๕ แล้วก็ผ่านเมืองสะทุง (25.10) พม่าเขาคุยโตใหญ่เลย เขาบอกว่าพระโสณะอุตตระมาที่เมืองนี้ เลยบอกอ้าวไม่ใช่ มาขึ้นที่เมืองไทย เขาก็ว่า เฮ้ย! ไม่ใช่มาขึ้นที่เมืองนี้ เอ้า! เอากันละ เถียงกันแล้วทีนี้ แต่ว่าไม่ใช่โกรธเคืองอะไรเขา บอกว่าท่านว่าพระโสณะอุตตระมาขึ้นที่เมืองนี้เหรอ ท่านมีอะไรบ้างที่เป็นหลักฐานเป็นพยานยืนยัน มีโบราณวัตถุอะไรเป็นเครื่องหมายบ้างไหม ตายตรงนี้เองไม่มีสักชิ้นเดียว ของพม่าไม่มีสักชิ้น ไม่มีอะไร บอกว่านี่แหละ ที่เมืองไทยมันมี มีวงล้อธรรมจักร มีกวางหมอบ แล้วมีหินจารึกคาถาเยธัมมา ใช้อักษรของพระเจ้าอโศกนะ แล้วก็ทำรูปเหมือนกัน หินประเภทเดียวกัน เขาทำไว้ที่นครปฐมของประเทศไทย อันนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า พระโสณะอุตตระต้องมาที่นั่น เพราะได้มาทำสิ่งเหล่านี้ไว้ เป็นวัตถุยืนยัน เพราะเป็นวัตถุรุ่นเดียวกับสมัยพระเจ้าอโศกทำไว้อย่างนั้น พอพูดอย่างนั้นพม่าก็เงียบเชียบไป ไม่พูดว่ามาขึ้นต่อไป คือไม่มีหลักฐานที่นั่น ไม่มีโบราณวัตถุมาแสดงอ้าง พูดเอาลมๆ แล้งๆ ตามบทปาฏิหาริย์ไปเท่านั้นเอง เรามันมีวัตถุมีพยาน ว่าโบราณวัตถุนี่เป็นเครื่องแสดงเป็นพยานเป็นหลักฐาน ว่ามาที่นี่ นั่นคือผลงานของพระเจ้าอโศก
ท่านได้ส่งพระมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิคือแหลมทอง แหลมทองนั้นคือประเทศไทย ประเทศพม่าด้วย เขมร ญวน ลาว เรียกว่าแหลมทองด้วยกันนะ แหลมมลายูก็เรียกว่าเป็นแหลมทอง คือเป็นส่วนหนึ่งของแหลมทอง ที่ยื่นลงมาตอนนั้น เราได้รับมาอย่างนี้ แล้วก็ศาสนาก็ได้สืบต่อมา
อันนี้เรื่องพระเจ้าอโศกที่นำมาเล่านี่ เพื่อเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างดี เป็นจักรพรรดิที่ไม่ได้ใช้อาวุธ เพื่อประหัตประหารใคร ใช้แต่ธรรมะเผยแผ่ เอาธรรมะเป็นอาวุธส่งไปให้ไปเที่ยวสอนในต่างประเทศ เพื่อให้เป็นพรรคพวกเดียวกัน คนเขาจึงยกย่องว่าเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ศาสตราจารย์ เอส อีเว่น (27.48) ชาวอังกฤษนี่ แกเขียนประวัติศาสตร์โลก แล้วแกเขียนบอกไว้ว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของโลกจริงๆ เพราะเป็นจักรพรรดิที่ไม่ทำการเบียดเบียนใครให้เกิดปัญหาความทุกข์ความเดือดร้อน ไอ้ตอนไปรบก็ยังไม่ได้เป็น ยังไม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแต่ว่าเผยแผ่อำนาจด้วยอาวุธที่ไม่ได้เป็น ต่อมาเมื่อเผยแผ่ธรรมะด้วยธรรม จึงได้รับสมัญญานามว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เป็น Emperor อย่างแท้จริง เป็นตอนนั้นเป็นตอนเผยแผ่ธรรมะ เพราะฉะนั้นในสมัยนั้นจึงได้มีตัวหนังสือเขียนไว้เป็นหลักเป็นฐาน แล้วพอท่านไปเที่ยวนมัสการปูชนียสถานสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ไปที่ไหนท่านก็เขียนหนังสือสลักหินไว้ จนเราได้ศึกษาในภายหลัง เช่น ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่ไหน ถ้าไม่มีเสาหินพระเจ้าอโศก ไม่มีคำจารึกในแผ่นหินนี้หาไม่พบหรอก ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว สภาพแผ่นดินมันเปลี่ยนแปลงไป ป่าเปลี่ยนแปลงไปหมดเลย หาไม่เจอ แต่ว่าหลวงจีนฟาเหยียน (29.10) แกเดินทางด้วยเท้าจากประเทศจีนไปอินเดียเพื่อไปศึกษา อยู่อินเดียถึง ๑๕ ปีแล้วจึงกลับประเทศจีน ท่านบันทึกประจำวันไว้ ว่าไปที่ไหนพบอะไรเดินทางกี่ลี้กี่กิโล ไปถึงไหน ขนบธรรมเนียมประเพณีของคนในถิ่นนั้นเป็นอย่างไรท่านเล่าไว้ละเอียด
ฝรั่งเขาเอาหนังสือบันทึกรายวันของฟาเหยียน (29.41) นี่แหละมาเป็นเครื่องมือ แล้วก็ไปค้นคว้าสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาแล้วก็ไปเจอสิ่งเหล่านี้เข้า จึงได้รู้ว่าที่ตรงนี้เป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ตรงนี้เป็นที่แสดงปฐมเทศนา ที่ตรงนี้เป็นที่ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ที่นี้เป็นที่ปรินิพพาน มีหลักฐานปรากฏเป็นเครื่องหมายไว้ ไม่สูญหายไปไหน
นั่นก็นับว่าท่านได้ไปทำไว้ ทุกที่ทุกสถานเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์มากมายทีเดียว เป็นเรื่องน่าศึกษาชีวิตของท่าน ผู้ที่มีนโยบายที่จะปกครองบ้านเมืองก็น่าอ่านเหมือนกัน แต่ว่าหนังสือนี้มันไม่ค่อยแพร่หลายในเมืองไทย ยังไม่มีหนังสือที่ใครเขียนขึ้นให้คนได้อ่านได้ศึกษา ความจริงก็น่าจะเอามาเผยแผ่ ในสมัยที่โลกกำลังวุ่นวายให้รู้ว่าจักรพรรดิในสมัยก่อนนั้น ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร ท่านมีความคิดอย่างไร มีการกระทำอย่างไร คนทั้งหลายก็จะได้รู้ ได้เข้าใจเอาของเก่ามาใช้กันบ้าง ของเก่าที่ดีๆ มันก็มีเยอะ ไอ้ของใหม่ดีก็มี ไอ้ไม่ได้เรื่องมันก็มีเหมือนกัน ทีนี้ถ้าเอาของเก่ามาเปรียบเทียบกับของใหม่ เอามาผสมผสานกัน ให้กลมเกลียวกันและเอามาใช้ก็จะเกิดประโยชน์มากขึ้น นี่เอามาเล่าให้ญาติโยมฟังหน่อย แล้วหลังจากนั้นมาก็มีการจารึกพระไตรปิฎก มาจารึกลงในใบลาน จารึกที่เป็นการใหญ่ก็จารึกในประเทศลังกา ในอินเดียก็เริ่มจารึกบ้างแต่ว่ายังไม่เรียบร้อย มาทำกันมากในประเทศลังกา สังคายนาครั้ง ๔ ที่ ๕ เขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรในใบลาน เพราะใบลานเป็นใบไม้ที่หาง่ายในประเทศนั้นในสมัยนั้น แล้วเขียนก็ไม่ใช่เขียนด้วยดินสอ ปากกา สลักลงไปในใบลานเลย สลักเสร็จแล้วเอาเขม่าทา ตัวหนังสือก็เป็นสีดำ ใบลานก็เป็นสีขาว เอามาร้อยเป็นมัด เป็นมัดๆ ไว้ คัดเลือกไว้เป็นตะกร้าๆ จึงได้เรียกว่าพระไตรปิฎกหมายความว่า ๓ ตะกร้า ตะกร้าหนึ่งพระสูตร ตะกร้าหนึ่งพระวินัย ตะกร้าหนึ่งก็อภิธรรม รวมเป็น ๓ ใบตะกร้าด้วยกัน บรรจุคำสอนของพระพุทธศาสนาเราเพียงศึกษาด้วยการอ่านด้วย
โดยเฉพาะในสมัยนี้เราอ่านกันมากเหมือนกัน หนังสือเริ่มมีขึ้นก็เพิ่งแพร่หลายประมาณสัก ๔๐-๕๐ ปีมานี้ เรียกว่าเริ่มมีการเผยแผ่ทางหนังสือมากขึ้น มีคนสนใจฟังแล้วก็สนใจอ่าน หาความรู้ ความเข้าใจ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันแพร่หลาย นับว่าดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าใด เพราะคนที่ยังไม่ได้เรียนอีกมาก ยังไม่ได้รู้ก็มีอยู่มาก เราจึงต้องช่วยกัน ช่วยกันให้คนทุกคนได้รู้จักธรรมะ ได้เข้าถึงธรรมะ เราได้กินของอร่อยอย่ากินคนเดียว กินแล้วต้องเอาไปฝากคนอื่นบ้าง เอาไปแจกเขาบ้าง ถ้าเรากินคนเดียวมันจะไม่เป็นสุข พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “เนกาสี ลภเต สุขัง” กินคนเดียวไม่เป็นสุข รู้คนเดียวก็ไม่เป็นสุข ฉลาดคนเดียวก็ไม่เป็นสุข เพราะคนที่ไม่เหมือนเรามันเยอะ จะอยู่กันได้อย่างไร เราจึงต้องช่วยกันยกระดับจิตใจคนให้มีความรู้ ให้มีความเข้าใจ ให้ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เสมอเหมือนกัน เราต้องทำอย่างนั้น
ขั้นแรกก็ทำคนใกล้ๆ เช่นทำคนในครอบครัวของเรา เช่น พ่อบ้านประพฤติธรรมแล้วก็แนะนำแม่บ้านให้ประพฤติธรรม พ่อบ้านแม่บ้านประพฤติธรรมก็ย่อมอยู่เป็นสุข ครอบครัวหมดปัญหา แล้วเราก็พูดจาแนะนำชักจูงลูกของเราให้หันหน้าเข้าประพฤติธรรมด้วย ให้ได้ใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันไปตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ใดหวังจะให้ครอบครัววงศ์สกุลตั้งมั่นต้องเอาธรรมะไปค้ำไว้ ถ้าไม่มีธรรมะไปค้ำไว้วงศ์สกุลมันจะอยู่ได้อย่างไร มันอยู่ไม่ได้ มันจะล่มจะจมไป เพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องค้ำ เงินค้ำนี่มันอยู่ไม่นานหรอก เช่นเรามีทรัพย์สมบัติมีเงินทองเป็นล้าน เป็นร้อยล้าน ถ้าลูกของเราขาดคุณธรรมมันจะรักษาเงินไว้ได้อย่างไร มันจะเอาเงินไปกินไปเล่น ไปสนุกกันจนเกลี้ยงไปเลย หมดไปเลย ดูตัวอย่าง ในบ้านเมืองใหญ่ๆ เยอะแยะ ทรัพย์สมบัติมีทั่วบ้านทั่วเมือง เต็มบ้านเต็มเมือง มีม้าเยอะแยะ มีสวนเยอะแยะ มีตลาดมีบ้านมีช่องหมดเลย ไม่มีเหลือ ทำไมจึงไม่มีเหลือ เพราะว่าทายาทไม่ประพฤติธรรม เมื่อทายาทไม่ประพฤติธรรมเขาก็ถูกอำนาจทางโลกมันดึงไป ถูกสิ่งแวดล้อมดึงไป ดึงไปหาความสบาย ด้วยความเกียจคร้าน ด้วยการเที่ยว ด้วยการเล่น ด้วยการสนุกสนาน ในบ้านกลายเป็นบ่อนไพ่ใหญ่ สมาชิกมาเล่นกันทุกวัน ไม่ทำมาหากิน ใช้แต่เงินทองให้มันสิ้นเปลืองไปในเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ผลที่สุดก็เอาตัวไม่รอด
เหมือนกับเรื่องที่เล่าไว้ในธรรมบทเรื่องหนึ่ง ดีเหมือนกันอยากจะเอามาเล่าให้ฟังหน่อย เป็นเรื่องจริงๆ เกิดขึ้นในยุคพระพุทธเจ้า เศรษฐีครอบครัวหนึ่งมีลูกชายคนเดียว ไอ้ลูกคนเดียวนี่ต้องระวังนะ โยมมีลูกคนเดียวนี่ต้องระวัง ลองมันทุ่มเทมากไปกับลูกคนนั้น รักมากไป รักจนไม่ลืมหูลืมตา สุดแล้วแต่ลูกจะต้องการอะไรให้มันทุกอย่าง เด็กมันก็นึกในใจว่าโลกนี้ไม่มีความทุกข์ ก็นึกอย่างนั้น เพราะได้ทั้งนั้น คนเราถ้าไม่รู้จักทุกข์แล้ว มันจะพ้นทุกข์ไม่ได้ ต้องสอนให้รู้จักความทุกข์เสียบ้าง แล้วมันจึงจะรู้ว่าทุกข์คืออะไร แล้วมันจะหนีจากความทุกข์หรือไม่ทำเรื่องให้เกิดความทุกข์ ถ้าเราไม่สอนให้เขาเข้าใจเรื่องนี้เขาก็ไม่รู้ เขานึกว่ามันมีแต่ความสบาย แบมือทีไรได้ แบมือทีไรได้ ต้องการอะไรก็ได้ รู้จักแต่เรื่องใช้เงิน แต่ไม่รู้จักหาเงินเพิ่มเติม มันก็ใช้เรื่อยไป ใช้เรื่อยไปจนหมดจนสิ้น เศรษฐีครอบครัวนี้มีลูกชายก็ไม่ให้ความรู้อะไรหรอก ไม่ได้รับการศึกษาอะไร เพราะว่านึกว่าทรัพย์สมบัติเรามีเยอะแยะกินไม่หมดไม่สิ้น ลูกคนเดียว มันก็คงสบายไปตลอดชาติแล้ว นึกอย่างนั้น เลยก็ไม่ได้เรื่อง
พอโตขึ้นหน่อย แต่งงานได้ก็ไปเที่ยวหาลูกสาวคนที่ร่ำรวยเสมอกัน ก็ไปเจอเข้าอีกครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวคนเดียว นี่ก็ลูกชายคนเดียว เรียกว่าโทนทั้ง ๒ ฝ่ายก็ไปได้แต่งงานกัน ลูกสาวนั้นก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน เพราะว่าสบายมีคนคอยประคบประหงมช่วยเหลือทุกอย่างไม่รู้จักคำว่าช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง มีแต่คนอื่นช่วยตลอดเวลาเพราะพ่อแม่มีทรัพย์มาก จะแต่งงานก็นึกว่าสบายแล้ว อยู่สบายไม่เดือดร้อนเพราะว่าพ่อแม่ก็ยังอยู่ งานการก็ยังดำเนินไปด้วยดี
ครั้นต่อมาพ่อแม่ตายหมดทั้ง ๒ ฝ่าย สองสามีภรรยาไม่รู้จักบริหารงาน ไม่รู้จักบริหารคน ไม่รู้จักในเรื่องว่าจะทำอะไรก็ไว้ใจคนใช้ ก็ทำไปตามเรื่อง ก็คนใช้นี่มันก็อย่างนั้นมันต้องมีบ้างแหละ ไอ้คนเลี้ยงช้างมันต้องขายขี้ช้างกินบ้างแหละ คนโบราณเขาว่าคนเลี้ยงช้างกินขี้ช้าง ไม่ได้กินเป็นก้อนๆ มันกินไม่ได้ขี้ช้าง แต่ว่าเอาอะไรจากช้างนะ เอาอาหารช้างไปกินบ้าง เอาอะไรเรื่องช้าง เบียดบังเรื่อย คอรัปชั่นกับช้าง เบียดจนช้างตายมันก็ทำอย่างนั้น ไอ้ตัวก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ทรัพย์สมบัติก็ค่อยร่อยหรอไป แต่ว่าถ้าเพียงแต่กินใช้ธรรมดามันก็ไม่หมดหรอก แต่นี่มันเรื่องเสียมันเกิดขึ้น คือว่าเมื่อพ่อแม่ตายก็ได้รับตำแหน่ง เขาเรียกว่าเป็นตำแหน่งพิเศษ เป็นเศรษฐีประจำเมือง คล้ายๆ กับสมัยก่อนเมืองไทยเรานี่ใครเป็นเศรษฐี ในหลวงท่านก็ตั้งให้เป็นกรรมการพิเศษของเมืองนั้นเป็นคุณพระเป็นคุณหลวง เจ้านายท่านฉลาดรู้จักใช้คนที่มีสตางค์ ตั้งให้เป็นขุนนางแล้วก็เรียกใช้ง่ายนะ เวลามีอะไรก็พวกนั้นก็ใช้กันเต็มที่เลย ท่านทำอย่างนั้น สมัยนั้นมันก็มีอย่างนั้นพระเจ้าแผ่นดินตั้งให้เป็นเศรษฐี ต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินทุกวัน เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินก็นั่งรถม้าไป คนขับไป ไอ้พวกนักเลงมันเห็นทุกวัน เห็นลูกเศรษฐีขับรถผ่านไป มันก็วางแผน วางแผนว่าเราจะต้องเอาพ่อเศรษฐีนี้มาเป็นพรรคเป็นพวก ถ้าเราได้มาเป็นพรรคเป็นพวกเรากินกันหลายปีเลยทีเดียว สนุกกันนานเลย
ทีนี้เขาทำอย่างไร พวกนั้นก็มานั่งริมถนนแล้วก็ดื่มสุราเมรัยกัน หัวเราะหัวไห้กันไป พอเศรษฐีผ่านมาก็ลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ขอให้ท่านเศรษฐีจงเจริญทุกวัน มันก็พูดชำเลืองยิ้มๆ มันว่าทุกวันๆ ทนไม่ได้ แหม! มันอวยพรกูทุกวัน ต้องลงไปคุยกับมันหน่อย เขาเรียกว่าติดเหยื่อแล้ว ลูกเศรษฐีติดเหยื่อแล้วติดกับแล้ว ก็ลงไปคุยกับพวกนั้น ชั้นแรกก็ลงไปยืนคุยอะไรอย่างนั้น พวกนั้นก็เข้ามาประจบประแจง ไอ้คนพาลนี่มันมีลูกไม้เยอะนะ ที่จะทำคนให้เสีย รู้ลูกยอ ไอ้ลูกยอนี่กินมากไม่ค่อยได้ มันจะทำให้เสียหาย ระวังคนยอไว้เถอะ ใครมาถึงพูดยอเรานี่ ต้องนึกให้ดีมันต้องมาสักอย่างแล้ว ไม่ขอยืมเงินก็อะไรสักอย่างแล้ว มันจึงใช้ลูกไม้ยอกูอย่างนี้ มันอย่างนั้นแหละคนเรามันมาแบบนั้นก่อนแหละ นี่ต้องระวังไว้ มันมายกย่องอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วผลที่สุดก็ต้องไปนั่งร่วมวงกับพวกนั้น นี่เรียกว่าพวกนั้นชนะแล้ว ก็ไปนั่งร่วมวงดื่มกับเขา
นั่งดื่มๆ ไป นึกไม่ได้เรามันเป็นเศรษฐีมีเกียรติจะมาดื่มอยู่ข้างถนนนี่มันเป็นการไม่เหมาะ เลยบอกพวกนั้นว่า แหม! เรามากินตรงนี้ไม่เหมาะ ไปที่บ้านเราดีกว่า บ้านช่องกว้างขวาง ไปก็พาพวกนั้นไปเลี้ยงกันที่บ้าน เศรษฐีต้องจ่ายอีกไปที่บ้านนี่ ไอ้พวกนั้นชั้นแรกมันไป ๕ คน ต่อไปมัน ๖-๗ แล้วมันก็ ๑๐ มัน ๑๕ มันพามาเรื่อย มากินทั้งนั้น …… ท่านเศรษฐี (41.40) แล้วทุกคนก็ แหม! ยกยอปอปั้น ท่านเศรษฐีก็ลืมเนื้อลืมตัวกินกันสนุกกัน สุรานารี พาชีกีฬาบัตรเรียกว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ภายในบ้านนั้น
ทรัพย์สมบัติก็ค่อยหมดไป สิ้นไป ขาดแคลนเงินที่จะใช้ ขายของไกลๆ ขายนาที่รังสิตก่อนมันอยู่ไกลดูแลไม่ไหว ขายมันเสียเลย เอาไว้ก็ลำบาก เอ้า! ขายนาไป ขายสวนไกลๆ ไป เอามากินมาจ่าย ก็ไม่ไหว ต่อมาก็บ้านนาหมดแล้ว ขายห้องแถว มีตึกให้เช่าอยู่ในตลาด ไอ้ที่อยู่ห่างๆ ไกลๆ ไม่เจริญขายก่อน แล้วก็ค่อยๆ ขายพาหุรัด ต่อไป ขายย่านวังบูรพาต่อไป มันขายจนหมด ลองคิดดูแล้วนี่ลูกเศรษฐี ขายบ้านที่อยู่ ผลที่สุดขายบ้านแล้วทีนี้ เศรษฐีขายบ้าน ขายบ้านแล้วจะไปอยู่ไหน เอ้า ไปเช่าเขาอยู่ เช่าเขาอยู่พวกตามกินก็ยังตามตอมอยู่ เพราะยังมีของให้กินอยู่ ต่อๆ มาก็ไม่มีค่าเช่าแล้ว ไม่มีค่าเช่าก็ทำยังไงก็ต้องถูกออกจากบ้านเช่า ตุหรัดตุเหร่แล้วทีนี้ พวกหายหมดแล้ว พอถูกออกบ้านเช่าเพื่อนหมด เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก เพื่อนกินพอสิ้นทรัพย์มันก็ไปหมดมันไม่มาแล้ว ต้นไม้ที่ไม่มีใบนกไหนจะมากินอะไร มันก็ไม่มาเกาะต่อไป เดือดร้อนแล้ว ก็ไปอาศัยตามศาลาพักร้อน ตามศาลาที่เขาสร้างไว้ ยากจนข้นแค้นไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรจะกินจะใช้ต่อไป หมดทุกอย่าง หมดทรัพย์ หมดเกียรติ หมดชื่อเสียง คนก็ไม่นิยมชมชอบต่อไป เพราะความเสื่อมแห่งอบายมุข ที่ตนไปคบคนอย่างนั้น
แล้วก็วันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านเสด็จผ่านทางนั้น พอผ่านไปพระองค์ก็แย้มพระโอษฐ์ คือว่ามีอะไรที่จะให้อานนท์ถามพระองค์ก็แย้มพระโอษฐ์ ยิ้มนั้นคือยิ้มนิดหน่อย เพราะปกตินั้นพระองค์ก็ไม่ยิ้มอะไรมาก เฉยๆ ปกติ พอยิ้มออกมาอานนท์ก็สงสัย พระองค์แย้มพระโอษฐ์ด้วยเรื่องอะไร ลองบอกว่าอานนท์ดู ๒ คนนี้ที่นั่งอยู่น่ะ เธอรู้ไหม คน ๒ คนนี้ถ้าเป็นผู้ไม่ประมาทในวัยหนุ่มจะเป็นคนเจริญก้าวหน้า เป็นเศรษฐีชั้นหนึ่ง ถ้าไม่ประมาทในวัยกลางคนจะเป็นเศรษฐีชั้นสอง ไม่ประมาทในวัยสุดท้ายก็ยังมีฐานะดีอยู่ แต่นี่เขาประมาทตั้งแต่วัยหนุ่ม จนวัยกลางคน วัยชราจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ พระองค์เปรียบว่าเหมือนนกกระเรียนแก่ อยู่ในหนองที่ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหารจะกิน ก็เป็นนกที่จะต้องตายด้วยความร้อนด้วยความหิวนั่นแหละ พระองค์สอนให้ดูอย่างนั้นให้เห็นอย่างนั้น
อันนี้เป็นตัวอย่างที่เห็นง่ายว่า ผู้ไม่ประพฤติธรรมชีวิตมันตกต่ำ เงินทองช่วยไม่ได้ เราอย่านึกว่ามีเงินมีทองไม่เป็นไร เงินน่ะมันของนอกกาย ทรัพย์ภายนอก เขาเรียกว่าพาหิรกะทรัพย์ ทรัพย์ภายนอก มันต้องมีอริยทรัพย์คือทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายในนั้นก็มีศีลมีธรรมประจำจิตใจ คนถ้ามีทรัพย์ภายในแล้วรักษาทรัพย์ภายนอกได้ แต่ถ้าไม่มีทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอกก็รักษาไม่ได้ อันนี้สำคัญมาก เพราะฉะนั้นในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่ ปู่ตา ย่ายาย ของเด็กๆ อย่าคิดว่ามีทรัพย์สมบัติแล้วลูกจะสบาย แต่เราจะต้องหาทรัพย์ภายในไว้กับเขาด้วย ทรัพย์ภายในนั้นมันก็มีหลายแบบ คือหนึ่งวิชาความรู้ ต้องให้เรียนให้สูงหน่อยเท่าที่เราจะให้เรียนได้ ต้องให้เขามีความสามารถในการประกอบกิจการงาน เรียนจบแล้วต้องให้ทำงาน อย่าให้อยู่เฉยๆ อย่าให้เป็นเศรษฐีนอนกิน …… (45.55) มันไม่ได้เรื่องอะไรต้องให้ทำงาน ให้ไปทำงานกับคนอื่นยิ่งดีเลย เรียกว่าให้ไปหัดงานกับคนอื่นเขาจะได้สอนได้อบรม ได้ใช้ จะได้เกิดความรู้สึกว่า อ้อ เป็นผู้น้อยนี่มีสภาพอย่างไร แล้วก็จะได้เอาไปเป็นบทเรียนในชีวิตว่าเมื่อโตขึ้นเราจะต้องทำอย่างไร จะได้เรียนรู้มาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ว่ามีความรู้มาก เอ้า! เป็นผู้จัดการเลย มันไม่ได้ มันต้องผ่านงาน ให้ผ่านงานมาโดยลำดับ โดยลำดับ
อันนี้ถ้าทำกับพ่อกับแม่ก็ไม่ดีเท่าไหร่ พ่อแม่ก็ไม่กล้าพูดกล้าสอนเท่าไหร่ ความรักมันมาก ส่งไปให้เพื่อนฝูงมิตรสหายที่เขามีกิจการ เอาไปใช้สักคนเถอะ ไม่ต้องให้เงินเดือนก็ได้ ให้มันมีข้าวกิน มีที่อยู่ แล้วก็ใช้หนักหน่อย ให้ทำงานทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ นั่นแหละคือบทเรียนสำคัญ ที่เด็กหนุ่มน้อยจะได้รับจากการไปทำงานอย่างนั้น
เขาจะได้รู้ว่าอยู่กับพ่อแม่น่ะมันเป็นอย่างไร อยู่กับคนอื่นมันเป็นอย่างไร ชีวิตในสังคมมันเป็นอย่างไร ให้เขาได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น เขาจะมีความรู้ มีประสบการณ์ในการบริหารงาน เมื่อเป็นผู้ใหญ่มันก็ดี คนที่ขึ้นไปตามขั้นบันได ย่อมเข้าใจหลายเรื่อง กระโดดขึ้นไปนั่งมันไม่ได้เรื่อง หรือค่อยๆ อุ้มเอาไปวางเหมือนกับเทวดาอุ้มสมอย่างนั้น มันไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ไอ้เทวดาอุ้มสมน่ะ มันเป็นเรื่องรักจักรๆ วงศ์ๆ แต่เรื่องแท้มันไม่ได้หรอก ชีวิตมันไปไม่รอด มันต้องไต่เต้าไป เริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นโดยลำดับ จึงจะมีความเจริญก้าวหน้า เราจึงต้องให้วิชา ให้ความรู้แก่เขา ให้เขาได้มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานอันเป็นอาชีพแล้วก็ให้เขาทำงาน เราดูแล คอยเอาใจใส่มีอะไรบกพร่องคอยบอกคอยเตือน เพื่อแนะแนวทางให้เขาได้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ จนกระทั่งว่าเขาเก่งลอยลำได้ เราก็ไม่ต้องยุ่งต่อไปเราเป็นพ่อเป็นแม่แก่ชราแล้ว ให้ลูกบริหารงาน เราก็พ้นพันธะ พักผ่อนเข้าวัดเข้าวา ถือศีลฟังธรรม หาความสงบใจในบั้นปลายของชีวิต
ไม่ใช่ว่าจะต้องเทียมแอกไปจนเรียกว่าตายคาแอก ควายตัวไหนถูกเขาไถจนตายคาแอกนี่มันไม่ได้เรื่อง เรียกว่าไถจนกระทั่งล้มไปแอกก็ยังอยู่บนคอเลย ล้มแล้วก็เฉือนเอาเนื้อไปต้มกินเสียด้วย อย่างนี้ควายตัวนั้นมันไม่ไหว มันแย่เต็มที คนเราบางทีมันก็อย่างนั้น ขออภัยเถอะ เรียกว่าตายคาแอก ทำงานเหนื่อยจนตาย ไม่มีเวลาหยุดพักผ่อนเลย ลำบาก
เมื่อวานนี้มีอุบาสิกามาคนหนึ่งว่าจะเอาเทปไปให้เพื่อนหน่อย เพื่อนนี่ทำงานไม่หยุดเลย ตั้งแต่เช้าจนเย็นจนค่ำ ไม่มีวันเสาร์ไม่มีวันอาทิตย์ ทำแต่งาน ถามว่าทำไปทำไมหนักหนา ลูกกี่คน เธอบอกว่าลูกคนเดียว ลูกคนเดียวแล้วก็ไม่ใช่ลำบากยากจนอะไร ทรัพย์สมบัติก็พอได้ใช้ แต่ว่าทำจริงๆ จนไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน เจอเพื่อนทีไรบอก แหม! เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกิน มาบ่นเหนื่อยอยู่ได้ แบกหินอยู่แล้วบ่นว่าหนักเหลือเกิน หนักเหลือเกิน แล้วทำไมหนักอยู่อย่างนั้นทำไมไม่วางลงไปเสียบ้าง คือมันไม่รู้จะวางอย่างไร จะวางตรงไหนดี ไม่ได้มาศึกษาว่ากูจะวางอย่างไร เลยแบกไว้ยันไว้อย่างนี้ เหมือนกับยักษ์แบกปูนนี่ โยมจะเห็นตามเจดีย์ใหญ่ๆ ที่เขาทำ เขาทำรูปยักษ์ หน้ายุ่ง ยักษ์แบกเจดีย์ หน้าก็นิ่วคิ้วขมวด ไอ้เขาทำไว้อย่างนั้นมันไม่ใช่เครื่องประดับเฉยๆ เขาบอกว่านี่แหละคือภาระของชีวิต ถ้าหากว่าเราลืมเราก็แบกอยู่อย่างนั้นเหมือนยักษ์แบกเจดีย์ ถ้าฉลาดก็เออสมควรเวลาถอยหน่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ ถอย ค่อยปล่อย ค่อยวาง หาความสงบใจ หาความสุขทางชีวิตเสียบ้างมันก็จะได้เรียกว่าไม่ได้มีชีวิตด้านเดียว ชีวิตด้านเดียวคือด้านบริหารงานในทางโลก ไม่ได้มีชีวิตแบบสงบใจ เพราะมันด้านเดียว
ครั้นเราได้หลีกออกมาหาความสงบใจสบายใจเสียบ้าง ก็เรียกว่าเรามีชีวิตสมบูรณ์ โบราณเค้าก็อย่างนั้น คนอินเดียน่ะพอแก่แล้วเขาออกแล้ว …เป็นสัญญา... (50.43) ไปอยู่ป่า ไปอยู่ป่าฝึกฝนอบรมจิตใจแล้วก็ไปเที่ยวสอนคน เล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟัง เขาเรียกว่าพวกสัญญา …… (50.55) ระบบเขาตั้งไว้อย่างนั้น เราเป็นพวกแก่ชรามันก็อย่างนั้น แต่ว่าจะไปทำเอาตอนแก่มันก็ไม่ไหว เราต้องเข้าวัดตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ค่อยเป็นค่อยไปศึกษาไป ได้มาฟังพระบ่อยๆ ได้ข้อเตือนจิตสะกิดใจ การดำรงชีวิตมันก็จะดีขึ้น ดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเสียเลย อย่าอยู่อย่างคนตาบอด อยู่อย่างคนลืมตา อยู่อย่างคนรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ชีวิตมันจะมีค่า หลักการมันควรจะเป็นอย่างนั้น นี่เรานี่เรียกว่าบุญหนักหนาที่ได้มาวัดมาวากันอยู่ คนเด็กก็มา หนุ่มสาวก็มาต่อไปลูกเต้าก็จะได้มาศึกษาเล่าเรียนกันต่อไป เพราะว่าจะได้เปิดโรงเรียนอบรมบ่มนิสัย หน้าร้อนนี่ก็เอามาบวชกัน สำหรับเด็กๆ มาสมัครไว้หลายคนแล้ว ปีนี้ก็จะบวชประมาณสักไม่เกินร้อย มากเกินไปมันก็ไม่ไหว คือดูไม่ทัน หันไม่ทั่ว มันก็ลำบาก เอาแต่พอสมควร จะได้สั่งสอนอบรมจิตใจเขาให้เกิดความเจริญเกิดความก้าวหน้า ตามสมควรแก่ฐานะ เราต้องช่วยกันสร้างสิ่งถูกต้องขึ้นในบ้านเมืองของเรา
เมืองไทยนี่จะเอาอะไรไปอวดเขาก็ลำบาก อย่าไปอวดด้านเทคโนโลยีนี่สู้เขาไม่ไหว เราอวดคุณธรรมดีกว่า อวดว่าประเทศไทยนี่เป็นคนมีศีลธรรม มีคุณงามความดีประจำจิตใจ ให้โลกเขาทึ่งในความเป็นอยู่ของคนไทย แม้เราจะไม่มีอะไรทันสมัยในด้านวัตถุ แต่จิตใจเราสูง เรามีคุณธรรม เราอยู่เป็นสุข เรายิ้มได้ทุกโอกาส แม้จะมีปัญหาเราก็ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนมากเกินไปเพราะเรามีธรรมะเป็นหลักครองใจ อันนี้แหละเป็นสิ่งที่จะอวดคนได้ แล้วก็อวดกันอยู่พอสมควร ฝรั่งมังค่าเขาก็ได้มาดูมาเห็น เขาก็พอใจ ไอ้ความจริงเวลานี้ความ …… (53.04) มันก็มากแต่ฝรั่งเขาฉลาดเขาดูเฉพาะที่ไม่ …… (53.08) เขาดูเป็น เพชรอยู่ในตมเขาดูเป็นว่าไอ้นั่นเพชร แววๆ วาวๆ เขาก็หยิบเอาแต่เพชร ไอ้ตมเขาไม่เอา เอาไปล้างทำให้สะอาดสดใสแล้วก็เอาไปอวดที่อื่นต่อไป เหมือนฝรั่งที่มาบวช บวชแล้วก็ไปอยู่ในต่างประเทศ เอาของดีคือธรรมะไปแจกพวกฝรั่งต่อไป แจกให้ฝรั่งได้เรียนได้รู้ ฝรั่งเอาไปแจกดีกว่าพวกเราไปแจก เพราะว่าเขามันมองง่ายเห็นพวกเดียวกัน เขาเกิดศรัทธาเกิดเลื่อมใส ก็ช่วยกันแจกจ่ายสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนเหล่านั้น ถ้ามันเป็นความเจริญก้าวหน้าในด้านธรรมะ แต่ว่าเราจะปล่อยเขาไปแจกโดยไม่ช่วยเลยมันก็ไม่ดี เราต้องช่วยเขาบ้างตามโอกาส
วันก่อนนี้ได้ไปเอ่ยขึ้นทางโทรทัศน์ในเรื่องว่าจะไปทอดผ้าป่าที่วัดป่าจิตตวิเวก ในเมืองอังกฤษโน้น อู๊ย ญาติโยมฟังแล้วพอใจ เอาเงินมาโมทนากัน ได้แล้ว ๓๐,๐๐๐ วันนั้นพบ …… (54.10) ผมจะเอามาถวาย ๑๐,๐๐๐ วันนี้ไม่ได้เอามา บอกไม่เป็นไร เจริญพร วันไหนก็ได้ อาตมายังไม่ได้ไป เอามาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วว่าจะเอามาให้ วันนี้ก็มีบางรายเอามาให้ ให้ได้เรื่อยๆ โยมได้เรื่อยๆ เขามีเจ้าหน้าที่รับไว้ บอกว่าทอดผ้าป่าอังกฤษ พูดย่อๆ ไม่ยาวเรื่อง คนละเล็กคนละน้อยเท่าไหร่ก็ได้ พวกเราที่มาฟังธรรมนี่จะให้เมื่อไหร่ก็ได้ ให้ใกล้ๆ ไปก็ได้ ค่อยระดมกันสักวัน เอาขันมาวาง ใส่เท่าไหร่ก็ใส่ลงไปแล้วก็เอาไปช่วยเขา เรียกว่าไปให้กำลังใจที่เขาไปทำงาน ถ้าเราไม่ให้กำลังใจเขาจะท้อแท้
ครั้งหนึ่งอาตมาไปประเทศอเมริกาไปเยี่ยมครอบครัวนายจอห์น โรเยอร์ จอห์น โรเยอร์นี่ ๒ คนผัวเมีย ทำงานเผยแผ่ธรรมะโดยการพิมพ์หนังสือออกเดือนละเล่ม โรเนียว ผัวไปทำงาน กลับมาถึงบ้านลงไปใต้ถุนหมุนแก๊กๆๆ หมุนโรเนียว เมียกับผัวช่วยกันเย็บเล่มใส่ซองส่งไปทั่ว ชื่อดอกบัวทอง golden lotus ส่งไปให้คนได้อ่านได้ศึกษา อาตมาไปพักที่บ้านแก ๒-๓ คืน แกพูดว่านี่ผมทำอยู่ ๒ คนเท่านั้นน่ะ พวกแถวเอเชียไม่ได้ช่วยผมเลย อาตมาจำมาจนบัดนี้ว่า แหม! ฝรั่งเขาอุตส่าห์ทำเราไม่มีกะใจช่วยเขาเลย นอกจากว่ายินดีกับเขาเท่านั้นเอง แต่สมัยนั้นอาตมาจะช่วยก็ไม่ไหวมันยังไม่มีโอกาสจะช่วยได้ เดี๋ยวนี้ครอบครัวนั้นจะอยู่หรือจะตายก็ยังไม่รู้เหมือนกันเพราะว่ามันนานแล้วหลายปีตั้ง ๓๐ กว่าปีแล้วได้ไปเยี่ยมเขา
ทีนี้มานึกว่านี่ อ๋อ เราชาวเอเชียเรามีของดี ฝรั่งเขาเอาไปแจกเราก็สนับสนุนให้กำลังใจ เรียกว่าเป็นแนวหลังตั้งใจช่วย เหมือนกับไปรถด้วยไม่สงสัยว่าอย่างนั้นนะ มันก็ได้ประโยชน์ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไร ไม่ใช่ว่าเรื่องอะไรต่ออะไร เอาเรื่องว่าช่วยเขาบ้างแล้วเขาจะได้สบายใจนี่เป็นอย่างนี้ พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้วขอยุติเพียงเท่านี้