แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้อาจารย์วิทยาลัยครูจันทร์เกษม ได้พานักศึกษามาฟังจำนวนร้อยกว่าคน แต่ว่าไม่สามารถจะเข้ามานั่งในนี้ได้ เพราะว่า ญาติโยมนั่งประจำแล้ว ให้นั่งอยู่ข้างนอกตามลานไป ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี เพื่อจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป คนหนุ่มๆ เป็นอนาคตของชาติ คนแก่เหล่านี้ไม่เท่าใดก็จะลาโลง กลับบ้าน แล้วคนหนุ่มจะอยู่ต่อไป อันคนที่จะอยู่ต่อไป เรียกว่าอยู่ในฐานะทายาทของครอบครัว วงศ์ตระกูล ตลอดจนถึงประเทศชาติ คนที่จะเป็นทายาทรับมรดกนั้น จะต้องเป็นคนที่อุดมสมบูรณ์ทางคุณธรรม มีจิตใจประเสริฐ เพราะมีธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ ถ้าจิตใจขาดธรรมะ ให้มีเงินสักพันล้าน ก็จะเอาไปถลุงเล่น ตามใจกิเลสจนกระทั่งหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้นการสะสมธรรมะ หรือคุณงามความดีไว้ในจิตใจของเรานั้น เป็นเรื่องสำคัญ เราทุกคนที่เป็นคนอยู่ในวัยหนุ่ม วัยฉกรรจ์ ไม่ว่าหญิงหรือชายจะได้รับมรดกของพ่อแม่ เป็นมรดกสาธารณะ เป็นมรดกที่ไม่ต้องฟ้องร้องกัน เราจะได้รับทั่วกันเสมอหน้า คือรับมรดกแผ่นดินอันเป็นที่อยู่อาศัยส่วนรวม ได้แก่ประเทศไทย ที่เราเรียกว่า แผ่นดินทองของไทย ไทยเข้าครองเป็นแดนไทย
แผ่นดินนี้เป็นมรดกตกทอดแก่อนุชนรุ่นหลังทุกคน ทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ตามมากตามน้อย แผ่นดินนี้จึงเป็นมรดกตกทอดที่สำคัญ บรรพบุรุษของเราทั้งหลายในสมัยก่อน ได้ต่อสู้ด้วยเลือดด้วยเนื้อ เพื่อจะรักษาแผ่นดินนี้ไว้ให้ลูกหลานได้อยู่อาศัย เราเกิดมาบนแผ่นดินไทย มีแผ่นดินอยู่อาศัย ก็ย่อมจะนึกไม่ออกว่าคนขาดแผ่นดิน นี่จะอยู่กันอย่างไร คนไม่มีประเทศ มีแต่ชาติจะอยู่กันอย่างไร เวลานี้คนมีแต่ชาติ ไม่มีประเทศเพิ่มขึ้น เพราะถูกรุกรานจากประเทศภายนอก จนต้องอพยพหลบภัยไปอยู่ในประเทศอื่น เมื่อไปอยู่ในประเทศอื่นก็ไม่ได้เป็นเจ้าของประเทศ เป็นแต่เพียงผู้อาศัย แม้ว่าเขาจะรับให้อยู่ก็อยู่อย่างผู้อาศัย จิตใจของคนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร ย่อมมีปมด้อย มีความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ในนิสัย ไม่ค่อยเบิกบานใจ มีความหดหู่ทางจิตใจอยู่ตลอดเวลา อันนี้เกิดขึ้นแก่คนที่เรียกว่าอพยพ หลบภัยจากพวกที่เข้าไปรุกราน เช่น คนลาวหลบมาประเทศไทย เขมรหลบมาประเทศไทย แม้ไปอยู่ในประเทศยุโรป เขาก็อยู่ด้วยจิตใจไม่สบาย คิดถึงบ้านอยู่ตลอดเวลา เวลาไปต่างประเทศ ไปพบคนเหล่านี้ ปัญหาข้อแรกที่เขาถามก็คือว่า เมื่อไหร่พวกผมจะได้กลับบ้านกันเสียที นั่นแสดงว่าคิดถึงบ้าน คิดถึงอะไรๆ ที่ตนเคยอยู่เคยอาศัย แต่นี่จากไปอยู่ในประเทศต่างภาษา ต่างขนบธรรมเนียมประเพณี ต่างศาสนา ต่างกันหมดทุกอย่าง ย่อมไม่มีความสุขใจ เราที่ไม่เคยไปอย่างนั้น เราไม่เห็น แต่คนที่เป็นอยู่อย่างนั้น เขาเกิดความรู้สึกว่า มีชาติขาดประเทศ มันอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่สบาย
คนชาติที่ไม่มีประเทศอยู่เกือบพันปี ก็คือชนชาติอิสราเอล ชนชาติอิสราเอลนี่ไม่มีประเทศ ต้องไปอยู่ในประเทศยุโรปทุกประเทศ ไปอยู่ในอเมริกาก็จำนวนไม่ใช่น้อย แต่ว่าอยู่ที่ไหนก็รวมกลุ่มกัน เขาตั้งหน้าทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวเป็นเศรษฐีกันไปตามๆ กัน แต่ก็เป็นเศรษฐีที่ไม่สบายใจเพราะไม่มีประเทศเป็นของตัว ไม่มีอะไรเป็นของตัวเหมือนคนชาติอื่นเขา จึงพยายามที่จะหาแผ่นดินอยู่อาศัย ในคำภีร์ศาสนาของเขาว่า พระเจ้าจะประทานแผ่นดินให้แก่อิสราเอลทั้งหลาย พระเจ้าก็ให้แผ่นดินอยู่ แต่เป็นแผ่นดินที่ร้อนระอุไปด้วยอันตราย เพราะรอบประเทศนั้นมีแต่คนนับถือศาสนาต่างกับยิว เป็นศัตรูกับพวกยิวทั้งนั้นคอยแหย่อยู่ตลอดเวลา ยิวก็ต้องคอยรบไป เรียกว่ารบไปพราง ไถนาไปพราง รบไปพลางเก็บผลไม้ไปพราง รบไปพรางสร้างบ้านสร้างเมืองไปพลาง มันจะสุขที่ตรงไหน มันจะสงบที่ตรงไหน จิตใจจะปกติได้อย่างไร นี่มันลำบากอย่างนี้ อันนี้เราเกิดมาในแผ่นดินไทย เกิดมาถึงก็เห็นต้นไม้เขียวชอุ่ม เห็นทุ่งนา เห็นแม่น้ำ เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพย์ในดินมีสินในน้ำ อยากจะกินจะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ลำบากเดือดร้อน สมัยก่อน เดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นแล้ว กำลังแห้งลงไปทุกวันเวลา ป่าจะหมดไป นาก็จะหมดไป มีข้าวเป็นหลัก ก็มีแล้วก็ขายไม่ค่อยออก เพราะมีคนทำข้าว แต่ว่าขายไม่เป็น เลยขายไม่ออก แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังภูมิใจ ว่าเรามีประเทศเป็นที่อยู่อาศัย อันประเทศไทยนั้นก็มีคนอยากได้เหมือนกัน เขาอยากได้ไปเป็นเมืองขึ้น เช่นพม่าอยากได้ไทย หน้าแล้งก็ยกทัพมา exercise กันทุกปี มาซ้อมกัน มาชกมวยกับคนไทยทุกปี บางทีก็ไทยแพ้ บางทีก็พม่าแพ้ กัดกันไปตามเรื่องตามราว เป็นธรรมดาของการชกต่อย ว่างๆ ก็ญวนยกทัพมาตีเพื่อให้กลัว ถ้าใครไปยุ่งตะวันตก ญวนก็มาตีกับเขมร รุมตีไทยด้านตะวันออก อย่างนี้เขาต้องการแผ่นดินไทย เพราะมันเป็นแผ่นดินที่อุดมสมมบูรณ์ มีทรัพย์ในดิน มีสินในน้ำ ธรรมชาติดินฟ้าอากาศก็ไม่รุนแรง อยู่สบาย ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป ภัยธรรมชาติก็ไม่มี ไม่เหมือนบางประเทศ เดี๋ยวก็แผ่นดินไหว เดี๋ยวก็ภูเขาไฟระเบิด เดี๋ยวก็มีพายุใหญ่ พัดบ้านพังทะลายเสียหาย บ้านเราก็มีเหมือนกันแต่น้อย ถ้าไปเปรียบกับที่อื่นแล้ว เรามันสบายกว่า นี่เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจในมรดกที่เราจะได้รับจากบรรพบุรุษของเรา
ประการที่สอง มรดกที่สำคัญทำให้เราภูมิใจ คือความเป็นเอกราชของชาติ เอกราชหมายความว่าเป็นรัฐเดียว มีพระเจ้าแผ่นดินปกครอง ภาษาเดียวกัน ศาสนาเดียวกันในสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้ก็มีหลายศาสนาเกิดขึ้น ต่อไปก็จะมีปัญหาเหมือนกันในระหว่างคนต่างศาสนา เดี๋ยวนี้ยังไม่มีก็เพราะว่ามันยังน้อย ต่อมากขึ้นก็พ่อจะแผลงฤทธิ์ขึ้นบ้างล่ะ จะเรียกร้องสิทธิอย่างนั้นอย่างนี้ จะสร้างความปั่นป่วนให้แก่บ้านแก่เมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ยังไม่มองเห็นเรื่องอย่างนี้ ประวัติศาสตร์มันบอกอยู่ บอกว่าคนที่อยู่ร่วมกันต่างศาสนากันนี่มีปัญหา เกิดรบราฆ่าฟันกันด้วยเรื่องศาสนา เพราะถือศาสนาแต่เพียงเปลือกไม่เข้าถึงเนื้อของศาสนา คนไทยเรานับถือพระพุทธศาสนา ก็ได้ดำรงตนเป็นเอกราชมาช้านาน บางครั้งบางคราวก็ฮิตหน่อย ตกไปเป็นเมืองขึ้นเขา แต่ไม่เด็ดขาดอะไรหรอก ยังไม่เด็ดขาดทีเดียว ก็มีคนดีขึ้นกอบกู้บ้านเมืองเราจึงมีคำพูดว่า เมืองไทย กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี กรุงศรีอยุธยาไม่ใช่เฉพาะกรุงเก่า แต่หมายถึงประเทศไทย พม่าเรียกประเทศไทยว่า (10.25 ยูเรีย) คืออยุธยาน่ะ แต่ว่าเขาเรียกเพี้ยนไป เขาเรียกทั้งประเทศ เอาเมืองหลวงเป็นชื่อประเทศไปเลย เรารักษาบ้านรักษาเมืองมาได้ ด้วยความดีงามของบรรพบุรุษ เพราะบรรพบุรุษของเรานั้นเป็นผู้ยึดมั่นในหลักธรรมะ ได้ธรรมะเป็นหลักเป็นอุบายในการปกครองบ้านเมือง เราจึงได้อยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้ อีกประการหนึ่ง มรดกทางใจมีค่าล้นที่เราควรจะได้รับ คือพระพุทธศาสนา เป็นมรดกทางนามธรรม เป็นมรดกทางจิตวิญญาณ ที่เราจะได้สืบต่อจากบรรพบุรุษต่อไป เราจะต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เสมอด้วยชีวิต เพื่อให้จิตใจของเราสมบูรณ์ การงานสมบูรณ์ แล้วความสุขจะได้สมบูรณ์ตามไปด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นมรดกที่สำคัญที่เราได้รับ มรดกสามอย่าง คือแผ่นดิน ความเป็นเอกราชของชาติ พระพุทธศาสนา รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีที่มีฐานอยู่กับพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งมีค่าสำหรับชีวิตของพวกเราที่จะรักษาไว้ต่อไป บรรพบุรุษของเราในสมัยก่อนได้รักษาไว้ด้วยดีตลอดมา มาตกถึงพวกเราก็เป็นหน้าที่ ที่จะต้องรักษากันต่อไป แผ่นดินก็ดี ความเป็นเอกราชของชาติก็ดี ขึ้นอยู่กับมรดกอันสุดท้าย
มรดกอันสุดท้ายก็คือพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาหรือพุทธธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จะช่วยให้มรดกอีกสองอย่างอยู่ยั่งยืน ถ้าเราขาดมรดกคือธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางศาสนา ประเทศชาติก็จะไปไม่รอด ทำไมจึงไปไม่รอด เพราะคนไม่สมบูรณ์ เมื่อคนไม่สมบูรณ์ การงานไม่สมบูรณ์ ความสุขที่ตนจะมีจะได้ มันก็ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นปัญหาขึ้นเพราะมรดกไม่มีอันที่สาม เพราะฉะนั้นเราจะต้องรักษามรดกอันที่สามให้สำคัญ เพราะจะช่วยให้มรดกสองอย่างอยู่ได้ต่อไป ฉะนั้นการรักษามรดกธรรม หรือพระพุทธศาสนาไว้ได้นั้น เราจะรักษาอย่างไร เราจะต้องเรียนให้เข้าใจพระพุทธศาสนาถูกต้อง อันนี้เป็นประการแรก แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้รู้ได้เรียนแล้วนั้น ประการที่สามต้องชักจูงแนะนำเพื่อนฝูงมิตรสหาย ที่ยังไม่เห็นคุณค่าของธรรมะ ยังไม่หันหน้าเข้าหาธรรมะ แต่เดินหันหลังให้ธรรมะอยู่ ให้ได้หันหน้าเข้าหาธรรมะ เอาธรรมะมาเป็นดวงประทีปนำทางชีวิตของเขาต่อไป เราต้องช่วยกันสามอย่างนี้ คือช่วยกันศึกษา ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันชักจูงเพื่อนฝูง มิตรสหายให้หันหน้าเข้าหาธรรมะ ให้มากที่สุดที่จะมากได้ ถ้าเราได้ช่วยกันรักษาทั้งสามอย่างนี้ไว้ ก็เรียกว่าเรารักษาสืบต่อพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกทางใจของเราไว้ได้ ในการศึกษานั้นเราจะทำได้หลายวิธี เช่น ศึกษาด้วยการมาฟังธรรมสม่ำเสมอที่วัดที่มีการแสดงธรรม วัดต่างๆ ก็ควรจะเปิดการแสดงธรรมไว้ แสดงไปเรื่อยๆ คนกี่คนก็แสดงไปเถอะ แสดงนานๆ คนรู้ก็ค่อยมามากขึ้นเอง ถ้าไม่แสดงเสียเลยคนก็ไม่รู้จะไปฟังอะไร แต่ถ้าแสดงไว้ คนก็ค่อยมาเพิ่มขึ้นๆ เหมือนที่วัดนี้ พอเริ่มเปิดวัดก็เริ่มแสดงธรรมในวันอาทิตย์ คนก็ไม่มากอะไร ศาลาไม่เต็มด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่ท้อถอย นึกว่าเราเป็นหน้าที่ ไม่มาก็ไม่ว่า มากี่คนก็ได้ แล้วก็เทศน์เรื่อยไป แสดงเรื่อยไป ทุกอาทิตย์ คนก็ค่อยเพิ่มมากขึ้นๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คนที่ยังไม่มา คนที่ยังไม่รู้ ว่าที่วัดชลประทานเขามีอะไรกันนั้น ยังมีอยู่มากเหมือนกัน เพราะได้ถามโยมบางคนว่า เพิ่งมาหรือ บอกว่า เพิ่งมาวันนี้เจ้าค่ะ แต่บอกว่ามาแล้ว รู้แล้ว ก็มาบ่อยๆ ก็แล้วกัน ว่างๆ ก็มาฟังธรรมเสียบ้าง จะได้นำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
คนที่ไม่ได้ใช้ธรรมะนี่สร้างปัญหา สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ตัว ให้เกิดขึ้นแก่ครอบครัว ให้เกิดขึ้นแก่การงานอันเป็นส่วนรวม เพราะไม่ได้ใช้ธรรมะ ที่เขาไม่ได้ใช้ธรรมะก็เพราะว่าเขาไม่ได้เรียนไม่ได้รู้ในเรื่องธรรมะ จริงอยู่เขามีการศึกษา เช่นไปเรียนหนังสือ ได้ปริญญา หรือว่าไปเรียนเมืองนอกได้ปริญญามา เราอย่าภูมิใจ เพียงเท่าที่ลูกได้รับปริญญากลับมา มันยังไม่สมบูรณ์หรอก ความรู้ที่ได้นั้นเรียกว่าได้แค่แขนงนั้น แต่ว่าความรู้ที่จะพาชีวิตให้อยู่รอดมันยังไม่สมบูรณ์ เราต้องให้เขาเรียนเขารู้ในเรื่องที่ควรจะนำไปใช้เป็นหลักในการดำรงชีวิตต่อไป สิ่งนั้นก็คือธรรมะในทางศาสนา ที่จะให้เขาเรียนเขารู้ ถ้าเป็นลูกชายก็เรียกว่าเอามาบวชในพระศาสนา ให้มาบวชนานๆ หน่อย เดือน สองเดือน สามเดือนก็ดี จะได้มีเวลาฝึกฝนอบรมจิตใจ จะได้มีเวลาสร้างจิตใจให้มั่นคงหน่อย บวชน้อยๆ มันก็ได้นิดๆ หน่อยๆ ไม่พอที่จะใช้ เอาไปใช้ไม่เท่าไรก็หมดเสียแล้ว ถ้าเป็นศัตรูทางใจมาโจมตี กำลังไม่พอ เพราะเรียนน้อย รู้น้อย เลยสู้ไม่ได้ เมื่อสู้ไม่ได้ ก็ต้องพ่ายแพ้ เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนทางจิตใจ เราจึงต้องให้เขาอบรม บ่มนานๆ เหมือนกับทหารที่เราจะใช้ไปรบ ต้องหัดกันเท่าไร หากทหารอยู่ประจำการนานเท่าไร เวลาที่หัดนั้นเกือบครึ่งหนึ่งของการประจำการ หัดกันอย่างจริงจัง หัดกันในสนามหญ้า แดดเปรี้ยงๆ เวลาร้อนก็หัด ฝนตกก็หัด กลางคืนก็เป่าแตรลุกขึ้น ให้ไปวิ่ง ไปทำอะไร เขาหัดให้เกิดความอดทนหนักแน่น จะได้มีกำลังใจเข้มแข็ง เวลาออกรบจะได้ไม่เสียพลาดข้าศึก ถ้าสมมุติว่าเราจับคนมาถึงสวมเครื่องแบบทหาร มอบปืนให้ แล้วบอกว่าไปชายแดนไปสู้ข้าศึก จะไปสู้อย่างไร ยิงปืนก็ไม่เป็น หลบภัยก็ไม่เป็น มันก็สู้ข้าศึกไม่ได้ ข้าศึกก็โจมตี แตกร่นมาถึงเมืองหลวงเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นต้องฝึกหัดก่อน จึงจะเอาไปสู้ได้ ชีวิตของคนเรานี้ก็เหมือนกัน เราจะอยู่ในโลก ถ้าเราไม่มีเครื่องมือสำหรับอยู่ มันจะพอหรือ เครื่องมือนั้นอย่าเอาแต่เพียงวิชาความรู้ที่เราได้เรียนจากมหาวิทยาลัย เช่นจบอะไรบัณฑิตมา รัฐศาสตร์บัณฑิต วิชาปกครองตน แต่ปกครองตนเองยังไม่ได้ นิติศาสตร์บัณฑิต วิชาทางกฎหมาย หรือวิชาอะไรๆ ต่างๆ ที่ได้เรียนได้รู้มานั้น มันยังไม่เป็นหลักประกันที่จะช่วยให้จิตใจปลอดภัย ซ้ำร้ายอาจจะนำความรู้นั้นไปใช้ในทางที่ผิดก็ได้ เพราะตนมีความรู้มีความเชี่ยวชาญแล้วเอาความรู้นั้นไปใช้เป็นเครื่องมือ สำหรับเอารัดเอาเปรียบคนอื่นก็ได้ ถ้าจิตใจไม่สูงพอ คนเราที่จิตใจไม่สูง ย่อมเป็นคนที่ไม่ละอายในการที่จะทำอะไร ไม่ละอายในการที่จะพูดอะไร ที่จะทำอะไรออกไป ถ้าเห็นมีทางใดจะได้ เข้าข้างตัว ได้เงินได้ทอง เข้าข้างตัวแล้ว ก็ไม่ละอายในการที่จะเอา ไม่ละอายในการที่จะพูดออกไปว่า คุณทำของฉันเสียหายอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องเสียเงินให้ฉัน ความจริงมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าเขาพูดเอาได้เพราะความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นในจิตใจ ความรู้ช่วยไม่ได้ อะไรๆ ช่วยไม่ได้ เพราะขาดคุณธรรมเป็นเครื่องบ่มนิสัย เพราะฉะนั้นเราจะต้อง สร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา การสร้างคุณธรรมให้เกิดนั้น ไม่ใช่ปุบปับมันก็เกิด ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เหมือนกับวัตถุ เช่นเราขีดไม้ไฟจ่อก็ติดเชื้อ มันก็ติดลุกลามไป เอาไปจ่อที่แก๊สมันก็ลุกเป็นเปลว ไอ้อย่างนั้นมันรวดเร็วทันอกทันใจ แต่ว่าการสร้างคุณค่าทางจิตใจนั้น จะให้มันรวดเร็วอย่างนั้นไม่ได้ มันต้องค่อยทำค่อยไป แบบที่คนโบราณเรียกว่า ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
ฝนทั่งให้เป็นเข็มนี่มันไม่ใช่เวลาเล็กน้อย ทั่งมันใหญ่และมันเหล็กแข็งพิเศษ เราจะต้องเอามานั่งฝน ฝน ฝนด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ด้วยความตั้งใจมั่นเพื่อให้มันเล็กเท่าเข็มให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องต้องใช้เวลา ใช้ความอดทนมากๆ จึงจะสำเร็จได้ดังความต้องการ ถ้ามีความอดทนน้อยมันก็ไม่ได้สมความปรารถนา ท่านเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกสาวสวย ก็อยากจะได้ลูกเขยที่มีน้ำอดน้ำทน มีความขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการงาน ก็เลยป่าวประกาศให้ชายหนุ่มทั้งหลายมาที่บ้านเพื่อจะได้เลือกเอามาเป็นเขย ลูกสาวเศรษฐีประกาศอยากได้ลูกเขยให้มาเลือกอีก ไอ้หนุ่มทั้งหลายก็ไปกันใหญ่โตทีเดียว เพื่อจะไปสมัครเป็นลูกเขยท่านเศรษฐี เหมือนหนูตกถังข้าวสารมันแสนสบาย เมื่อไปถึงพร้อมแล้ว ท่านเศรษฐีบอกว่าต้องทดสอบความสามารถในการดำรงชีวิต แล้วท่านจะทดสอบอย่างไร ทดสอบว่าให้ไปตักน้ำใส่ตะกร้าให้เต็ม ให้ตักน้ำใส่ตะกร้า น้ำจากโอ่ง ตักใส่ตะกร้าให้เต็ม ชายหนุ่มบางคนได้ยินก็ว่า ไอ้เศรษฐีบ้าบอ กูไม่เอาลูกสาวมันแล้ว อะไรจะให้เราตักน้ำใส่ตะกร้ามันจะเต็มได้อย่างไร เสียเวลาเปล่า ก็ไป ไม่ตักแล้ว บางคนก็ไป ตักได้นิดหน่อยแล้วก็มอง เห้ย มันไม่เหลือสักหยด ตักเสร็จมันก็ล่วงไปหมด ตักเสร็จมันก็ล่วงไปหมด แล้วกูจะบ้าตักอยู่ทำไม ก็เลยทิ้ง เลิกตักไปเสีย ผลที่สุดก็เหลืออยู่คนเดียว ไอ้คนนั้นมันก็บอกว่า ผมรับอาสาตักน้ำใส่ตะกร้าให้เต็ม มันก็ตักเรื่อยไป มันไม่ดูตะกร้า ไปดูแล้วมันลำบากใจ เพราะมันไม่ขังน้ำ อย่าไปดูมัน ตักใส่ท่าเดียว ตักใส่ๆๆ ตักจนกระทั่งน้ำบ่อแห้งขอด ไม่มีน้ำให้ตักแล้ว มีแต่โคลนแล้ว มันก็ตักโคลนขึ้นมา พอตักโคลนขึ้นมาก็ได้เทลงไปในตะกร้า เห็นวัตถุอะไรอันหนึ่งอยูในตะกร้าเป็นแหวน แหวนอย่างดีเสียด้วย เพชรราคาแพงเสียด้วย ที่อยู่ที่หัวแหวนนั้นนะ (23.19 มันก็ตักขึ้นมาเอาเหน็บผ้าผูกเอวไว้) ตักใหม่ ตักจนกระทั่งไม่มีน้ำให้ตักแม้สักหยดเดียว เศรษฐีเห็นไอ้นั่นมันตักตั้งแต่เช้าจนเที่ยงแล้ว ก็เลยไปดูมันหน่อย ว่ามันตักได้เท่าไร พอไปดู ไอ้หนุ่มบอกว่าไม่มีน้ำให้ผมตักแล้ว ตะกร้ามันก็ไม่เต็ม น้ำก็ไม่มีให้ตักแล้ว จะตักสักวันก็ยังได้ พรุ่งนี้ตักอีกก็ยังได้ ถ้าท่านให้ตักน้ำ ผมจะตักเรื่อยไป แต่ว่าผมได้ของมาชิ้นหนึ่ง เลยมอบเศรษฐี นี่ไม่ทราบว่าของใคร ตกอยู่ในบ่อ ท่านเศรษฐีรับไปก็แล้วกัน เศรษฐีเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น เรียกว่าไอ้นี่ใช้ได้ เอามาเป็นลูกเขยได้ เพราะว่ามันขยันจริงๆ มันอดทนจริงๆ มีใจตั้งมั่นจริงๆ แล้วก็บอกว่า แหวนนี้เธอถือไปก็แล้วกัน แล้วก็พาไปที่บ้าน ให้อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย เสร็จแล้วก็เรียกลูกสาวออกมา ให้ชายหนุ่มสวมแหวน หมั้นกันเลยทีเดียว ไอ้นั่นก็เลยได้แต่งงานกับลูกเศรษฐี ได้แต่งเพราะอะไร เพราะมันจริงในเรื่องการทำงาน มันมีคุณธรรม มีคุณธรรมว่าเป็นคนรักงาน เป็นคนขยัน เป็นคนเอาใจใส่ ไม่ทอดทิ้งงาน มีความอดทนเป็นยอด มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ก็เลยสำเร็จได้เป็นลูกเขยท่านเศรษฐี คนอย่างนี้เป็นลูกเขยเศรษฐี เศรษฐีก็ไม่ล่มไม่จม เพราะว่ามันรักงาน มันจะทำงานให้สกุลนั้นมั่นคงต่อไป อันนี้ก็เรียกว่ามันใช้ธรรมะ เด็กหนุ่มคนนั้นใช้ธรรมะ จึงได้ก้าวหน้าไปได้
คนเราสมัยนี้มักชอบลัดๆ ชอบอะไรลัดๆ เรียนลัด เคยมีคนถามบ่อยๆ เรียนภาษาอังกฤษให้รู้เร็วได้ไหม โอ๊ย ไม่ได้หรอก เรียนให้รู้เร็วนี่มันไม่ได้ มันต้องค่อยเรียนค่อยไป วันละนิดวันละหน่อย ค่อยรู้ศัพท์เพิ่มขึ้น รู้อะไรดีขึ้น มันต้องเรียนเรื่อยไป อย่าหยุด แล้วมันดีเอง ถ้าเรียนทางลัด นี่มันเอาไม่ได่หรอก ในสมัยหนึ่งเขาโฆษณาว่า โตแล้ว เรียนลัดดีกว่า ทำให้คนขี้เกียจ ว่าโตแล้ว เรียนลัดอย่างนั้น เพราะว่ามีอะไรลัดเสียเรื่อย เราจะเอาลัดอย่างนั้นมันไม่ได้ เรามันต้องสร้างสมบารมีขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกับเป็นผู้แทนราษฎร สมัยนี้เขากำลังจะเลือกผู้แทน คนจะเป็นผู้แทนทางลัดมันเป็นไม่ได้ เป็นไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีทางจะเป็น ใครจะคิดเป็นผู้แทนอีกสี่ปีข้างหน้า พอเขาเลือกเสร็จแล้ว ก็ต้องรีบแล้ว รีบบำเพ็ญบารมี รีบติดต่อกับคน สร้างความสนิทสนมคุ้นเคย สร้างความงามความดีให้ปรากฏแก่ชุมนุมชนค่อยเป็นค่อยไป ให้มันสม่ำเสมอตลอดไป อยู่อย่างนั้น คนเขาก็เห็นว่า อ่อ คนนี้ เป็นผู้ใกล้ชิดกับพวกเรามานาน ไอ้จะไปใกล้ชิดเอาระยะสิบห้าวัน เดือนหนึ่ง อุตส่าห์ไปไหว้จนเมื่อยแขน ไอ้อย่างนั้นมันไม่ได้ มันยาก หรือว่าจะมีเงินไปทุ่ม มันก็ต้องหาเงินมาก่อน ถ้าไม่หาเงิน มันจะเอาอะไรไปสู้ คนที่มีเงินถึงก็ไปทุ่มได้ ถ้าไม่มีเงินเขาก็ทุ่มไม่ได้ ไอ้คนมีเงินไปทุ่มมันก็ดีเหมือนกัน เงินมันจะได้สะพัดไปสู่ชาวบ้าน ชาวบ้านจะได้ใช้กันต่อไป แต่เขาต้องสร้างตัวมาก่อน คนมีเงินนั้นต้องสร้างตัว ถ้าไม่สร้างตัวจะมั่งมีขึ้นได้อย่างไร มันต้องอาศัยการค่อยเป็นค่อยไป เรียนลัดไม่ได้ ลัดได้ทางเดียว คือทำรัฐประหารเท่านั้นเอง แต่ว่ามันก็เสียความเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้สาระอะไร
เราจึงต้องสะสมบารมี ต้องใจเย็นๆ อย่าใจร้อน คนใจร้อนทำอะไรก็วู่วาม จะเอาแต่ได้ เอาง่ายๆ มันก็เกิดความเสียหาย ต้องวางแผนระยะยาวแล้วค่อยเป็นไปตามแผนโดยลำดับจึงจะได้ พระพุทธเจ้าของเรา กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า สร้างบารมีเท่าไร ดังที่พรรรณนาไว้ในหนังสือตอนหลังๆ ว่า สร้างบารมีเป็นแสนปี แสนชาติ หมายความว่ามีความมุ่งมั่น เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในทุกชาติทุกภพเลย ไม่ว่าเกิดเป็นอะไรก็มีความมุ่งหวังว่าจะเป็นพุทธะ อันนี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า การเป็นอะไรที่สูงสุดนั้น ต้องตั้งใจนานๆ วางแผนนานๆ จึงจะเป็นได้ เราเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ในเรื่องอย่างนี้ เอามาใช้ในชีวิตประจำวันว่า เมื่อเราจะเป็นอะไร ตั้งจุดหมายอันใดไว้ในชีวิต เราก็ต้องวางแผนเพื่อไปสู่จุดนั้น แล้วก็ต้องทำด้วยความตั้งใจแน่วแน่ อดทน หนักแน่น ไม่ท้อถอย ไม่กลัวต่ออุปสรรค รุดไปข้างหน้าเรื่อยไป แม้เดินไปพบอุปสรรคอันใด เราไม่ยอมท้อถอย เราจะฟันฝ่าอุปสรรคนั้นไป เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางที่เราต้องการ นั่นแหละคือความตั้งใจมั่น ในการที่จะปฏิบัติงานในหน้าที่ คนหนุ่มที่ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่างๆ บางคนเรียนไม่สำเร็จ เรียนคณะนี้ ได้สองปี เด้ง ไปเรียนคณะโน้น ได้สองปีก็เลิก แล้วจะไปเรียนคณะใหม่ต่อไป มันจะไปรอดได้อย่างไร เรียนแบบนั้น เป็นคนจับจดไปเสียแล้ว ไม่เอาจริงเอาจัง แล้วก็เปลี่ยนเรื่อยไป ผลที่สุดก็เอาตัวไม่รอด เพราะเรียนอะไรไม่จริง เรามุ่งเข้าไปตรงไหน ต้องฝ่าไปตรงนั้น ฟันให้มันแหลกไปเลย ตั้งใจว่าอะไร วางแผนเรียบร้อย มีหลักการดี แล้วก็จะไปสู่จุดหมายได้ เราก็ต้องฟันฝ่าไป ไม่กลัวความยากลำบาก สิ่งทั้งหลายมันไม่เป็นสมบัติของคนเหลาะแหละหรอก ไม่เป็นสมบัติของคนที่ขี้ขลาดตาขาว แต่เป็นสมบัติของคนกล้า คนอดทน คนมีความเพียรมั่น คนทำจริงจึงจะได้สิ่งนั้น
การสอบไล่นี่ก็เหมือนกัน สอบไล่ได้ก็เพราะว่ามีการเรียนจริง แล้วก็ส่งเข้าไปสอบตรงไหนเราไม่กลัว ต้องสอบได้ นี่ขณะนี้เด็กบ้านนอกมาขอพักที่วัดหลายราย มาสอบเข้าโรงเรียนช่างกลชลประทาน บอกว่า พวกเธอต้องตั้งใจเรียน แต่ถ้ามาเรียนเอาตอนนี้ ฉันว่าท่าจะไม่มีหวัง มันต้องเรียนเก่งมาตั้งแต่เริ่มต้นโดยลำดับ เพราะข้อสอบของกรมชลฯ นี่มันยาก เขาออกยากมาก ถ้าความรู้น้อยๆ มันก็เข้าไม่ได้หรอก พวกเด็กก็ไปสอบกันเมื่อวานนี้ เมื่อเช้านี้มาลากลับบ้านแล้ว บอกว่าเป็นยังไง เจอข้อสอบพอมีหวังสักกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ไม่มีหวังเลยหลวงพ่อ อ้าว ทำไม ก็มันยากเหลือเกินที่เขาออก เรามันไม่พร้อม เรียนหัวเมืองแล้วจะมาสู้สนามกรุงเทพมันไหวหรือ บอกแล้วบอกว่าหัวเมืองจะมาสู้กรุงเทพ มันต้องเก่ง ถ้าไม่เก่งแล้วก็มาสู้ไม่ได้ แต่ว่าเธออย่าท้อถอย ก็ไปสอบที่อื่นต่อไป เขาเปิดที่ไหนก็ไปสอบ เพราะเราได้ ม.ศ.๕ แล้ว ก็ไปสอบต่อไป สอบไม่ได้ ก็ไปเรียนกวดวิชาต่อไป ให้มันเก่งขึ้นมาอีกหน่อย จึงจะได้ เป็นอย่างนี้ พึ่งมาสอบ มันไม่ได้หรอก ถ้าไม่ได้มีความรู้จริงจัง ทีนี้บางทีก็เที่ยวหาคนฝาก มาถึงก็ฝากให้คนนั้น ฝากคนนี้ มาบอกให้อาตมาฝากบ้างบางงาน บอกว่า แหม อาตมาจะไปฝากได้อย่างไร อาตมาอยู่หน้ากรมชลฯ จริงแต่ว่าไม่รู้ว่าใครทำหน้าที่อะไรในกรมเนี่ย รู้อย่างเดียวว่าหมอสงคราม แกเป็นใหญ่ในโรงพยาบาล เพราะว่าไปหาแกบ่อยๆ นอกนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นหัวหน้ากองไหนๆ อะไร อาตมาไม่ได้สนใจเรื่องอย่างนั้น แล้วจะให้ไปฝากได้อย่างไร มันฝากไม่ได้ เพราะไม่คุ้นเคยกัน แล้วจะไปฝากได้อย่างไร ถึงคุ้นเคยก็ไม่กล้าฝาก เพราะว่า ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เรียนอย่างไรกัน แล้วจะไปฝากได้อย่างไร แล้วถ้าฉันฝากก็ทำให้พวกเธออ่อนแอ คอยแต่จะให้คนฝาก เรามันต้องช่วยตัวเอง ต้องพึ่งตัวเอง มันถึงจะได้ มันถึงจะได้อย่างนั้น
นี่มีลูกศิษย์สึกไปคนหนึ่ง อยู่วัดหลายเดือนแล้ว ตั้งปีแล้ว ยังไม่ได้งาน แล้วไปสอบได้แล้ว ไปสอบได้ที่หนึ่งเสียด้วยนะ สอบนักวิชาการ ๔ โรงพยาบาลรามาธิบดี สอบได้ที่หนึ่ง อาตมาไม่ฝาก ความจริงก็รู้จักพวกหมอ พวกอะไร แล้วก็ไม่เอ่ยปากใครเลย ที่ไม่ฝากนั้นเพื่ออะไร เพื่อให้เขาช่วยตัวเอง เขาพึ่งตัวเอง เขาเรียนวิชาครู เรียนการศึกษามา ถ้าอาตมาจะไปฝากอาจารย์ใหญ่วิทยาลัยประสานมิตรก็ได้ ก็คุ้นเคยกันดี แต่ว่ามันไม่ดี ไปฝากอย่างนั้นมันไม่ดี ให้มันพึ่งตัวมันเองดีกว่า ด้วยลำแข้งของมันเอง ทีนี้พอไปสอบได้ที่หนึ่งมา ก็เออ ดี สอบได้ไปทำงานก็แล้วกัน ให้มันได้อย่างนั้น แล้วผู้สอบได้ก็ภูมิใจ ภูมิใจว่าเราได้ด้วยความรู้ด้วยความสามารถของเรา ถ้าว่าคนอื่นฝาก มันก็ไม่ภูมิใจ เพราะมีคนฝาก ให้แสดงสุดสามารถเสียก่อน แสดงอยู่หลายที พึ่งได้คราวนี้เอง เพิ่งได้ไป อย่างนี้มันดีกว่า ที่เราจะไปฝากเขา ต้องให้แสดงให้เต็มที่ก่อน ถ้าเห็นว่าหมดฤทธิ์จริงๆ แล้วจึงจะฝากให้ แต่นี่ไม่ฝาก เลยก็ได้ไปแล้ว ก็เบาใจ ไม่ต้องฝากต่อไป เราต้องคิดช่วยตัวเอง คิดพึ่งตัวเอง ทุกแง่ทุกมุม เราเป็นนักเรียนต้องคิดช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง ตามปกติที่สังเกตเห็นนะ คนเรามันไม่คิดอยู่แง่หนึ่ง คือไม่นึกว่าเราบกพร่องอะไร แล้วก็ไม่คิดแก้ไขสิ่งบกพร่อง ก็เห็นได้ง่ายๆ จากตัวอย่างคนเข้ามาขอบวชในวัดนี้ ให้ท่องคำขานนาคบางทีมันก็จำไม่ได้ เอามาซ้อมแล้วก็จำไม่ค่อยได้ บอกให้ไปซ้อมเสีย ไปท่องเสีย เวลามันตั้งคืน มันก็ยังไม่จำ ก๊อกแก๊กๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ยังไม่ค่อยเรียบร้อย ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า เขาไม่ได้นึกว่า เรายังบกพร่องในข้อนี้ เรายังจำไม่ได้ ก็มันไม่ได้ยาวอะไร มันสี่บรรทัดเท่านั้นเอง ท่องเสียตั้งสามชั่วโมง วิ่งว่าก็ยังได้เลย แต่มันไม่ท่อง มันไม่จำ สันดานมันขี้เกียจ มันเคยขี้เกียจมาอย่างนั้น ก็เลยอยู่อย่างนั้น แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ว่าตัวบกพร่องอะไร แล้วไม่คิดว่า แหม เราบวชพร้อมเพื่อน เพื่อนเขาว่าได้ ไอ้เราว่าไม่ได้ มันน่าขายหน้า มันก็ไม่คิดขายหน้าเขาด้วยนะ ไม่คิดละอายแก่เขาด้วย แล้วมันก็ไม่คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ว่า แหม ไอ้ลูกชายก็ไปบวชกับหลวงพ่อ ไม่ค่อยคล่อง พ่อจะขายหน้า แม่จะขายหน้า พี่ๆ น้องๆ ที่มาร่วมบวชก็จะขายหน้า มันไม่ได้นึกอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ได้มองอะไรทั้งนั้น มันก็อยู่อย่างนั้น แต่ว่าเมื่อเข้าไปแล้ว ผ่านไป ก็ช่างมันเถอะ ปล่อยให้บวชไป แล้วค่อยไปว่ากันใหม่ อันนี้มันเป็นตัวอย่าง นำมาเล่าให้ฟัง เล่าให้ฟังให้เห็นว่า คนเราเนี่ย ขาดข้อนี้ ขาดการพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนนักสอนหนาในเรื่องนี้ สอนภิกษุว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอจงหมั่นพิจารณาตนเอง หมั่นตักเตือนตนเอง หมั่นแก้ไขตนเอง แล้วให้ทำแนวไว้ แนวว่าควรพิจารณาอย่างไร เช่นพิจารณาว่า เรามีความรู้น้อย
เรามีคุณธรรมน้อย ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร สิ่งที่ควรจะก้าวหน้าไปกว่านี้มีอยู่ เราจะต้องก้าวหน้าไปอีก เพื่อให้ไปถึงจุดที่เราต้องการ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ท่านสอนให้นึกให้คิด ให้พิจารณาไว้บ่อยๆ แต่ไม่ค่อยจะได้คิดในข้อนี้ คือว่าไม่ได้คิดถึงอนาคตของชีวิต ไม่ได้คิดว่าเมื่อเราเติบโตขึ้น เราจะอยู่ิอย่างไร เราจะทำงานอะไร เราจะมีอะไรกินอะไรใช้ เขานึกแต่เรื่องเฉพาะหน้า นึกว่าเวลานี้คุณพ่อคุณแม่อยู่ เรากินกับคุณพ่อคุณแม่ เขาไม่ได้นึกว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่อยู่สักวันหนึ่ง สิ่งทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะเขาไม่รู้ ไม่มีใครบอกให้คิดก็เลยคิดไม่ออก เมื่อคิดไม่ออก ก็นึกว่าไม่เป็นไร เราต้องการอะไรก็ไปแบมือขอได้ ขอคุณแม่เรื่อย คุณพ่อไม่กล้าขอ กลัวถูกเตะ ขอคุณแม่เสียเรื่อย เลยมันก็เป็นเสียนิสัย ในเรื่องอย่างนั้น ไม่คิดช่วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งตัวเอง ชีวิตก็ลำบาก ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากด้วยประการต่างๆ
คนบางคนเขามีลูก พอจบการศึกษาแล้ว เขาส่งไปให้ไปเป็นคนงาน ในบริษัทของเพื่อนฝูงมิตรสหายที่อยู่ห่างไกลไป ให้ไปเป็นผู้น้อย ไม่ให้ไปเป็นผู้ใหญ่อะไร ให้ไปเป็นผู้น้อย เพื่อได้เรียนงาน เพื่อได้ปฏิบัติงานตั้งแต่ขั้นต้นขึ้นไป จะได้รู้ว่าการเป็นผู้น้อยมีสภาพอย่างไร เมื่อเป็นผู้ใหญ่จะได้เห็นอกเห็นใจผู้น้อย แล้วจะได้รู้ว่างานของคนชั้นนั้นคืออะไร ก้าวหน้าไปโดยลำดับเขาทำกันอย่างไร เขาใช้วิธีการอย่างไร จะได้รู้เท่าทันคน รู้เท่าทันงาน เขาให้ไปฝึก แล้วเขามักจะกำชับ คนที่เป็นเพื่อนว่า ใช้ให้เต็มที่ อย่าตามใจมัน อย่านึกว่ามันจะลำบาก ให้ต้องทำงานให้หนัก จะได้รู้สึกตัว ส่งไปทำอย่างนั้น ก็ไปทำ เพื่อนที่เป็นเพื่อนของพ่อก็กวดขัน ให้ทำงานใช้อย่างหนักเลยทีเดียว เขาก็รู้ว่า อ่อ ชีวิตนี่มันลำบาก ไม่เคยสบาย เหมือนกับครั้งอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ มันมีเรื่องลำบาก ต่อไปข้างหน้ายิ่งลำบาก เขาจะได้เห็นความลำบากความยากจน ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ในการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เขาจะได้คิดสร้างตัวสร้างตน เพื่อไม่ให้ตกระกำลำบากต่อไป นั่นวิธีการเขา ส่งไปทำอย่างนั้น สมควรแก่เวลา ปีสองปี เรียกกลับบ้าน มาถึงบ้านมันก็เป็นทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง คนเราถ้าไม่ได้ผจญกับปัญหาเสียบ้าง ไม่ได้พบกับความลำบากเสียบ้าง จะเป็นที่คนสมบูรณ์ได้อย่างไร มันเป็นไม่ได้
พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย ท่านเกิดในวัง เติบโตในวัง ไอ้เรื่องในวังมันเรื่องสบายทั้งนั้น เรื่องกินดีอยู่ดีมีคนคอยเอาอกเอาใจ ยิ่งเป็นเจ้าฟ้าชาย คนนั้นประจบประแจง เผลอๆ เจ้าฟ้าชายเสียคนไปเลย เพราะว่าคนประจบประแจงมาก คอยเอาอกเอาใจ เจ้าฟ้าจะเอาอะไร ข้าจะสนองตามความต้องการ แล้วก็หาเรื่องให้เจ้าฟ้าเสียคนไปตั้งเยอะแยะ นี่ก็เพราะว่า คนใช้มันทำให้นายเสียเหมือนกัน ท่านอยู่ในวังก็สบายทุกอย่าง แต่ว่าถ้าอยู่ในวังจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เป็นไม่ได้ ตรัสรู้ในวังนี่มันไม่ได้หรอก มันก็เต็มไปด้วยเครื่องยั่วยานชวนใจมีประการต่างๆ พระองค์ถึงได้ออกจากวังไปอยู่ในป่า เรียกว่าเป็นการแหวกแนว แหวกแนวอย่างไร เพราะว่าพวกที่ออกบวชเป็นพราหมณ์ส่วนมาก กษัตริย์เขาไม่ออกบวช กษัตริย์เป็นนักรบ พราหมณ์นี่เป็นผู้สอนศิลปะวิทยาการ พวกศูทรทำหน้าที่ค้าขาย เวทย์ก็เป็นกรรมกรแบกหามอะไรไปตามเรื่อง พระองค์เป็นกษัตริย์แต่ออกไปเป็นหน้าที่ของพราหมณ์ ออกไปศึกษาในหน้าที่ของพราหมณ์ หนีออกไปบวช แล้วก็ไปอยู่ในป่า อยู่อย่างลำบากตรากตรำ อดหลับอดนอน อดแห้งอดแล้ง ทรมานร่างกาย จนผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พระพุทธรูปองค์หนึ่งเขาเรียกว่า เขาทำไว้ด้วยหินในประเทศอินเดีย ผอมมาก เส้นเอ็นเป็นเส้นๆ หนังท้องแฟบเข้าไปจนถึงกระดูกสันหลัง นัยน์ตาลึกเข้าไปในอยู่เบ้าตา อะไรต่ออะไรผอม ถ้าเอาแขนมาลูบแขนนี่ขนร่วงไปเลยเพราะความผ่ายผอมเหลือเกิน เกือบเอาชีวิตไม่รอด นับว่าเป็นการทรมานอย่างหนัก แต่ว่าทรงรับรู้ว่า อ่อ ไม่ได้เรื่องอะไร การทรมานร่างกายนี่ไม่ได้เรื่องอะไร เสียเวลาเปล่าๆ แต่ถ้าไม่ทรมานมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะเวลาจะไปเทศน์สอนคน ไอ้พวกแบบนั้นมันก็มากในอินเดีย มีมากเหมือนกัน ที่นี้เมื่อพระองค์ไม่เคยทดสอบ พอไปพูด ว่าไม่ดี ถ้าเขาถามว่า แล้วพระองค์เคยทำหรือเปล่า มันก็ลำบากแล้ว ตอบว่าไม่เคยทำ ไม่เคยทำแล้วจะรู้อย่างไรว่ามันไม่ดี อาหารที่เราไม่เคยกิน เราจะรู้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง มันก็ลำบากแล้ว มันพูดยากแล้ว แปลว่าเป็นบุญนักหนาที่พระองค์ไปทำมาทุกอย่าง อะไรที่เขาทำอยู่ในสมัยนั้น พระองค์ทำ ทำจนอาจารย์ชิดซ้ายไปเลย ไอ้ที่เกเร ก็ชิดซ้ายไปเลย พระองค์เก่งกว่าทั้งนั้น ทำมันทุกอย่าง
ฉะนั้นเมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็จึงพูดได้เต็มปากว่า มันไม่ได้เรื่อง ฉันทดสอบมาแล้ว ทรมานให้ตายเปล่า ไม่ได้เรื่องอะไร สู้วิธีอื่นไม่ได้ พูดจาเต็มที่ให้คนฟังไม่ต้องสงสัย เพราะได้ทรงกระทำมา การไปอยู่ในป่า อยู่อย่างง่ายๆ อยู่อย่างลำบาก ช่วยให้พระองค์เห็นความทุกข์ของสัตวโลก เห็นความทุกข์ของสังคม แล้วก็ได้คุ้นเคยกับประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ได้รู้ว่าคนในถิ่นนั้นเป็นอย่างไร ถิ่นนี้เป็นอย่างไร จะได้รู้และเข้าใจ แล้วเวลามาสอนธรรมะจะได้สอนง่าย นี่เพราะผ่านความลำบากตรากตรำมา จึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีความลำบากจะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คนที่จะเป็นใหญ่มันต้องฟันฝ่าอุปสรรคทั้งนั้น ถ้าฝ่าไปได้ มันก็ใหญ่ ฝ่าไปไม่ได้ มันก็ไม่ใหญ่แล้ว หลักการมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคนเราอย่ากลัวความยาก อย่ากลัวความลำบาก แต่ต้องบอกกับตัวเองว่า ฉันจะสู้กับความยากลำบากทุกชนิด ฉันต้องอดทน ต้องฟันฝ่าอุปสรรค เพราะชีวิตไม่มีอะไรราบรื่น ไม่มีอะไรเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่จะได้เหมือนใจ ให้รู้อย่างนั้น มันไม่เหมือนใจ เราต้องสู้กับมัน มันถึงจะได้มา เพราะฉะนั้นการต่อสู้นี่เป็นเกมส์หนึ่งของชีวิต เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องต่อสู้ คนอ่อนแอไม่สู้อะไรนั้นมันไปไม่รอด ตั้งตัวไม่ได้ ลองไปสัมภาษณ์เศรษฐีดู นายอื่นๆ นายอะไรต่ออะไร นิสัยอวดจนร่ำรายเป็นเถ้าแก่ เพราะอะไร ขั้นแรกก็เที่ยวหาบมีขวดมาขาย ขายขวดๆ ก็มาเป็นเถ้าแก่ขวดเข้าไปแล้ว ตั้งห้างใหญ่โตแล้ว เขาก็สร้างตัว เขาลำบาก เขาจึงเป็นได้ ไม่มีใครเป็นเถ้าแก่โดยไม่ทำอะไร เว้นไว้แต่ว่าเป็นลูกเถ้าแก่
แต่ถ้าเป็นลูกเถ้าแก่ ไม่ทำอะไรก็ มันเป็นเถ้าแก่ไม่ได้หรอก มันจะล้ม ไอ้ที่ล้มๆ ไปเพราะอะไร เพราะลูกทำอะไรไม่เป็น ไม่หัดลูกให้ทำงาน หัดให้กินให้ใช้ ให้รู้จักใช้เงิน ให้กินให้เที่ยวให้สนุกสนาน ถ้าเป็นลูกสาวก็สอนให้เล่นไพ่เหมือนแม่ แล้วก็นั่งได้คู่ขากับแม่ได้ แล้วโตขึ้นไป ไปเป็นลูกสะใภ้มันก็ฉิบหายเท่านั้นเอง มันเอาผีไพ่ไปด้วย ครอบครัวนั้นมันก็ไปไม่รอดเท่านั้นเอง ลูกชายก็เหมือนกัน มัวแต่สบาย สำออย เจ็บนิดเจ็บหน่อย ลำบากนิดลำบากหน่อยไม่ได้ เหมือนลิเกมันว่า แสนสงสารพระหน่อยเอย ลิเกสอนคนให้อ่อนแอ พระเอกลิเกก็แหม เอวบางร่างน้อยเหมือนกับมดแดง เอวกิ่วเหมือนกับมดแดง มันจะไปสู้กับใคร แล้วสู้กับยักษ์ทีไรพระเอกแพ้ทุกที มันดีอยู่หน่อยที่มีฤาษีมาคอยช่วยนั่นแหละ ถ้าไม่มีฤาษีมาช่วย พระเอกลิเกไปไม่รอด ไอ้เรื่องอย่างนี้มันไม่ไหว นิยายแบบนี้ไม่ได้สร้างคนเลย เพราะว่าพระเอกไม่มีความเข้มแข็งอะไร เป็นกษัตริย์ไม่มีความเข้มแข็งจะปกครองเมืองได้อย่างไร ไปรบยักษ์ แพ้ยักษ์ ยักษ์จับเอาไป ตาฤาษีไปช่วยเอามา ดีหน่อยที่อาจารย์ดีเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีอาจารย์ดี พระเอกแย่ไปตามๆ กัน เล่นอย่างนั้นไม่ได้ ทำให้คนอ่อนแอ ให้เป็นคนนั่งเพ้อนั่งฝันไม่คิดทำงานอะไร พระพุทธศานาไม่ได้สอนคนแบบเพ้อฝัน แต่สอนคนให้ลุกขึ้น ให้ก้าวไปข้างหน้า ให้ทำงานแข่งกับเวลาเพื่อทำชีวิตให้เจริญให้ก้าวหน้าต่อไป มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ชีวิตอย่ากลัวความลำบาก โดยเฉพาะลูกหลานเราต้องหัดให้ลำบากไว้ ต้องหัดให้อดทนไว้ ให้ต่อสู้กับปัญหาอะไรเสียบ้าง ว่างๆ พาลูกเดินไปเที่ยวในทุ่งเสียบ้าง อย่านั่งรถยนต์ไป เดินไป
ในประเทศอังกฤษเขามีสมาคม พอวันอาทิตย์เขาไปรวมกันที่จุดหนึ่ง แล้วก็เดินไป เดินไปบ้านนอกบ้านนา เดินไปตามถนน ไปเที่ยวตามป่าตามอะไร เดินกัน แล้วก็มีเอาอาหารไป พกอาหารไปคนละนิดคนละหน่อยเป็นอาหารกลางวัน เสร็จแล้วก็ไปนั่งตามป่า ตามที่เรียบๆ พอตอนเย็นเขาก็เดินกลับอีก นี่สมาคมเดิน เขาออกไปต่อสู้กับชีวิต ออกไปเดิน เราเดี๋ยวนี้มีรถก็นั่งรถเสียเรื่อย จะไปไหนก็นั่งรถ ไปไหนก็นั่งรถ ไอ้ไปธุรกิจมันรีบร้อน มันต้องไปรถ แต่ว่าว่างๆ เราก็ไปเดินกันเสียบ้าง พาลูกไปเดินเสียบ้าง พ่อก็จะได้เดินด้วย แม่ก็จะได้เดินด้วย ออกกำลังกาย ไม่เป็นโรคอัมพาต แข้งขามันแข็งแรงดี ออกไปเดินกลางทุ่งกลางนา เดินในทุ่ง แต่ว่าเมืองไทยนี่ไปเดินไม่ได้ ขโมยมันจะจับตัวไปเรียกค่าไถ่ เลยไม่สามารถจะเดินได้ ทีนี้เราก็เดินในที่ที่พอเดินได้ ในบริเวณที่มันพอเดินได้ จะได้สบาย อาตมาอยู่วัดนี่ก็เดินทุกวัน ออกจากกุฏิก็เดินไปเข้าไปหลังวัด เดินออกไปข้างโบสถ์ ไปโน่น แดดเปรี้ยงๆ บ่ายสองโมงก็เดิน เดินให้มันถูกแดดเสียบ้าง นั่งอยู่แต่ในกุฏิไม่ถูกแดดเป็นต้นกล้าในร่ม มันไม่แข็งแรง เที่ยวไปเดิน วันหนึ่งเดินสองสามเที่ยว ทำงานทำการอะไรต่ออะไร พักหนึ่งลงไปเดินเสียหน่อย อ้าวเดินไปเดินมา ดูนั่นดูนี่ ออกกำลังกาย ชอบเดิน สมัยก่อนเดินไปไกล เดินตั้งวัน ไปเทศน์กัณฑ์เดียวแล้วก็เดินทางกลับเอง ต่อสู้มาอย่างนั้น จึงมีน้ำใจอดทนหนักแน่น เพราะเราเคยต่อสู้ เคยอดเคยอยาก เคยลำบากมามากๆ เคยอดอาหาร ขึ้นรถไฟ สมัยนั้นสงคราม จะเล่าให้ฟังหน่อย แล้วก็มีคนที่นั่งอยู่ในรถมาพบทีหลัง
คุณหมอสำเนียง คุณบุญยวงอยู่ด้วยวันนั้น มันเลยเพลไปแล้วมาเจอเข้า ก่อนเพลไม่เจอ มาขึ้นทีหลัง ทีนี้ก็เลย ขึ้นจากเพชรบุรี คนมันแน่นจริงๆ มันมีลูกระเบิด มาก็ถือกระเป๋าจันทรบูรใบเดียว ไม่มีสมบัติอะไร เด็กมันตั้งหกเจ็ดคนไปด้วย บอกเธอไปหาที่นั่งไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันช่วยตัวเองได้ ก็เดินเกร่ๆ หมายตาว่าต้องขึ้นห้องรถทัน (48.59 ห้องรถ... พอเสียงกระดิ่งเป๊ง ไปขึ้นรถทัน...พวกชัดเอามือยันบอก) ไม่ได้ๆ ไม่ใช่ที่โดยสาร อาตมาก็เหนี่ยวเลย ก็ขึ้นปุบ บอกว่ารู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ที่โดยสาร แต่นี่คน เจ้าหน้าที่หรือเปล่า อาซิ้มอาเจ้ทั้งหลายนี่เป็นเจ้าหน้าที่หรือเปล่า อาตมาก็เค็มเหมือนกัน บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือเปล่า พวกนี้โดยสารได้ พระองค์หนึ่งทำไมจะโดยสารไม่ได้ มันก็เห็นว่าเรามีสำบัดสำนวนมันก็ไม่พูด แต่มันไม่สนใจ มันไม่ให้เข้าที่นั่ง ให้ยืนไป ยืนตั้งแต่เพชรบุรี จนไปถึงนู่น ถึงประทิวนู่น จึงได้นั่งที่ไปถึงประทิวได้นั่งเพราะว่า มีนายตรวจคนหนึ่ง (49.49 แกคงเป็น ส เพราะว่าดาวสามดาวขึ้นมา ส ) นั้นขึ้นมาเขาก็เอาเก้าอี้มาให้นั่ง ท่านไม่นั่ง ท่านบอกว่า นิมนต์ท่านนั่ง นึกในใจ อ่อ มนุษย์พึ่งขึ้นมารถบนนี้เอง ก็เลยได้นั่งไง พอได้นั่งเรียบร้อย แล้วก็ตั้งแต่หกโมงเช้าจนกระทั่งสองทุ่ม น้ำสักหยดยังไม่ตกท้องเลย เรื่องอาหารไม่ต้องพูด พวกเจ้าหน้าที่ เขาก็กินกัน กินเหล้า กินข้าว อาตมายืนอยู่ตรงนั้นมันไม่รู้จัก ไม่เห็นเลย มันไม่สนใจ ให้มันยืนอยู่อย่างนั้น พระองค์นี้ขึ้นมาทำไม ว่างั้น ไม่มีใครถวายพระสักจานหนึ่ง กินกันเหลือเฟือ แต่นึกไม่ออก อาตมาก็ไม่นึกอะไร ไม่โกรธไม่เคือง แต่นึกว่าเราบารมีมันยังน้อย ก็เวลานั้นเป็นพระหนุ่ม อายุเพียงสามสิบกว่า ยังน้อย ไม่เป็นไร อดอาหารวันหนึ่งไม่ตาย แล้วน้ำก็ไม่ได้ฉัน นู่น พอไปถึงประทิว (50.34 ส นั้นขึ้นมาให้นั่ง แล้วเขาเอาอาหาร เอากาแฟมาให้ ส ส หยิบแก้วนั้นแล้วก็นิมนต์ท่านฉัน) อาตมาจะบอกว่าตั้งแต่เช้าอาตมาพึ่งได้ฉันตอนนี้เอง แต่ไม่บอก ไม่ได้ มันอ่อนแอ เอามาฉัน ชื่นใจ ชื่นใจ แล้วก็ไปต่อไปจนกระทั่งถึงชุมพรแล้วก็พักที่นั่น ทีนี้ไม่พักที่ไหน พักบนรถไฟเลย เดี๋ยวมันไม่มีที่นั่งอีกแล้ว พอรถนครเข้า ขึ้นจองเลย นอนไปบนรถไฟ เดินทางทุลักทุเล มันลำบาก แต่มันก็ช่วยให้เกิดประสบการณ์ในชีวิต ว่าเรื่องอดอาหารไม่เป็นไร อดเล็กอดน้อยนี่ไม่เป็นไร แต่อย่าอดอย่างนายจำรัสก็แล้วกัน
ไม่ได้เรื่อง เราอดเพราะว่ามันไม่มีจะกิน ไม่ใช่เรื่องอะไร แต่ถ้ามีจะกินแล้วจะไปอดทำไม ไม่ได้เรื่องอะไร เราสู้กับสิ่งเหล่านี้ ต้องอดต้องทน ทำอะไรต้องอดทน ถูกแดดนิด ไม่เป็นไร แสงแดดดีช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฝึกฝนไม่เป็นไร ควายมันชอบบ่น เรามันคนก็ชอบบ่นเหมือนกัน เราหาเรื่องปลอบใจ ให้เกิดความอดทน เกิดความหนักแน่นในการปฏิบัติงานในหน้าที่ ชีวิตมันก็ไม่ลำบาก คนที่อ่อนแอจะลำบาก เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เขาเรียกว่าอย่างนั้น มันก็แย่ ลำบาก อย่างนี้ก็ลำบาก เราจะต้องสร้างความอดทนเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา โดยเฉพาะลูกหลาน เราต้องฝึกให้อดให้ทน ให้รู้จักทำงานบ้าง เช่นให้รู้จักซักผ้าเป็น รีดผ้าเป็น ทำกับข้าวเป็น กวาดบ้าน ถูเรือนก็เป็น โตขึ้นไปข้างหน้า คนใช้ทำไม่เป็น เราจะได้ว่า เอ๊ะ นี่ทำไม่เป็น นายทำให้ดูหน่อย อ้าว แล้วกัน นายก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แล้วจะไปดุคนใช้ได้อย่างไร เมื่อเราทำไม่ได้ ก็เหมือนกับคนใช้ทำไม่ได้เท่ากัน เพราะฉะนั้นต้องฝึกให้เป็นทุกอย่าง เรียนให้เป็นหมด ได้ทราบว่าคนไปเรียนเรื่องโรงแรมที่ประเทศอังกฤษ เขาสอนทุกอย่าง สอนให้กวาดขยะให้ถูพื้น ให้เทคอนกรีต ให้ก่ออิฐ ให้ล้างถ้วยล้างชาม เอาทุกอย่างให้ทำเป็นหมด เพราะจะไปเป็นผู้จัดการโรงแรมนี่ก็ต้องรู้เรื่องอะไรเหล่านี้ เขาสอนหมดเลย ให้รู้หมดทุกอย่าง นี่เขาฝึกฝนให้ทำงาน ให้ทำเป็นด้วยนะ ไม่ใช่ทำแล้วไม่เป็น นี่เขาสอนอย่างนั้น นั่นเป็นการสอนที่ถูกต้อง ไม่สอนแบบชนิดที่เรียกว่า ให้อ่อนแอ ไม่รักงาน มันไปไม่รอด อันนี้เอามาพูดสู่กันฟังเพื่อเด็กหนุ่มๆ ที่มาฟังจะได้ประโยชน์จากการพูดในวันนี้ด้วย จะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้