แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ขณะนี้ยังเป็นฤดูกาลที่ญาติโยมต้องออกไปต่างจังหวัด หรือไปทอดกฐินกันอยู่ วันเสาร์วันอาทิตย์นี่ออกไปเป็นการใหญ่ยังไม่หมดเขต สมาชิกที่ฟังธรรมก็ร่อยหรอไปบ้างนิดๆหน่อย เพราะว่าไปเที่ยวทอดกฐินกัน วัดเราก็สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เราก็มาฟังธรรมกันต่อไป ทุกๆ วันอาทิตย์ ให้ถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันมาวัด มาเพื่อฟังธรรม เพื่อศึกษาธรรมะเพิ่มเติมจะได้นำเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
น้ำที่เราเอามาดื่มถ้าหากวันเดียว กินไปๆ มันก็หมดอู่ แล้วไม่มีน้ำจะดื่ม เงินทองที่เราเอามาใช้ถ้ามีแต่ใช้ไม่หา เงินทองนั้นก็หมด ไม่มีอะไรจะใช้ต่อไป จิตใจของคนเรานี้ก็เหมือนกัน ต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ก้าวหน้า ไปในทางที่เจริญงอกงาม อันจะช่วยให้เรามีความสุขสงบในชีวิตประจำวัน จึงต้องแสวงหาธรรมะเป็นอาหารใจเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เป็นประจำเมื่อทุกวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันครบรอบในสัปดาห์หนึ่ง เราก็มาวัดกันครั้งหนึ่ง ได้ฟังครั้งหนึ่งก็รับเอาไปใช้อยู่เจ็ดวัน พอถึงวันหยุดเราก็มาฟังกันต่อไป ฟังกันไปเรื่อยๆ เป็นประจำ ก็เป็นอุบายสำหรับทำจิตใจให้ สงบ สะอาด สว่างขึ้นในทางธรรมะ เราจะอยู่ด้วยความสุขไม่ยุ่งยากในชีวิตประจำวัน อันเป็นเรื่องที่เราต้องการทั่วหน้ากัน
ปกติที่เรามาวัดชลประทานเรานี้ เมื่อมาถึงก็นั่งพัก ๙ โมงก็เริ่มสวดมนต์ สวดมนต์แปลที่เราสวดกันอยู่นั้นนับว่าได้ประโยชน์มาก เพราะได้รู้ความหมายของคำที่เราสวด ไม่ใช่สวดไปอย่างชนิดนกแก้วนกขุนทอง ที่ท่องภาษาคนได้ แต่เราสวดด้วยคำแปล คำแปลนั้นเป็นภาษาที่เราฟังรู้เรื่องเข้าใจความหมาย เราก็จะได้เอาความหมายที่เราได้รู้นั้นไปพิจารณา เพื่อจะได้ทราบสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นในใจเรา หรือเพื่อจะได้กำจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไปจากจิตใจของเรา
การปฏิบัติธรรมะนั้นก็มันมีอยู่ ๒ ประการ เรียกว่า ละอย่างหนึ่ง เจริญอย่างหนึ่ง ละคือสิ่งใดที่มันไม่ถูกไม่ดี มีอยู่ในใจของเรา เพราะเราเผลอไปประมาทไป สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้นมาจับอยู่ที่ใจ ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ อันนี้เราต้องละ ไม่ให้ อยู่กับใจของเราต่อไป คล้ายกับสิ่งโสโครกมาเปื้อนร่างกาย เมื่อเราเห็นเราก็ต้องชำระชะล้างทันทีฉันใด สิ่งที่เปื้อนใจนี่สำคัญกว่าเปื้อนร่างกาย ถ้าเราปล่อยไว้ก็จะไปกันใหญ่ ทำให้เราเสียผู้เสียคน ดังนั้นเมื่อรู้ว่ามีอะไรเปื้อนอยู่ที่ใจของเรา เราก็ต้องรีบขูดเกลาเอาสิ่งนั้นออกไป ไม่ให้แปดเปื้อนอยู่ที่ใจของเราเป็นอันขาด เราจึงต้องมีการชำระชะล้างเรียกว่าการละ อันเป็นสิ่งที่ควรทำประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งก็คือการทำให้เจริญงอกงาม ในด้านคุณงามความดี เช่นเจริญด้วยศีล เจริญด้วยสมาธิ เจริญด้านปัญญา หรือเจริญด้วยสติ ด้วยปัญญาด้วยคุณธรรมประเภทต่างๆ ที่เราควรจะสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เท่าที่เราสามารถจะสร้างมันได้ บางทีเมื่อเราสร้างขึ้นแล้วอาจจะล้มลงไปก็ได้ ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง คล้ายกับเราปลูกต้นไม้ เมื่อได้เอาฝังลงไปในดินแล้ว ไม่ได้หมายความว่าหมดภาระ หมดหน้าที่ เราจะต้องคอยรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย ดูไม่ให้ตัวหนอนมากัดเจาะต้นใบ ทำให้เสียหายฉันใด ในเรื่องคุณธรรมความงามความดีในใจเรานี้ก็เหมือนกัน เราจะต้องคอยทะนุถนอมรักษาไว้ ให้คงทนอยู่ในจิตใจตลอดไป
การกระทำอย่างนั้นเรียกว่าเป็นการเจริญคุณธรรม ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา การละก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ การเจริญก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ ทำความเพียรในการละ ทำความเพียรในการเจริญ อันนี้เป็นกิจเป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเรามาวัดก็เพื่ออย่างนั้น เครื่องมือสำหรับให้ละ เครื่องมือให้เจริญก็คือการศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในข้อธรรมะนั้นๆ ว่ารู้แล้ว เข้าใจแล้วเราก็นำไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราต่อไป สิ่งทั้งหลาย ก็จะเป็นไปในทางที่ดีงามขึ้น ตามแนวทางที่ถูกชอบตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสวดทุกบททุกตอนเป็นเรื่องน่าคิดน่าพิจารณา เช่นว่าเริ่มต้นนี่เราได้สวดคำบูชาพระรัตนตรัย บูชานั้นก็หมายถึงการกราบไหว้ การเคารพต่อสิ่งที่เรานับถือ
เรานับถือพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นผู้ทรงค้นพบพระธรรม เรานับถือพระธรรม ในฐานะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเรา เรานับถือพระอริยะสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ได้ช่วยงานพระองค์ ช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนา รักษาพระศาสนาให้เป็นประโยชน์แก่สังคมชาวโลกต่อๆ มา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เราก็บูชาสิ่งนั้น การบูชานั้นเราทำด้วย ๒ อย่าง เขาเรียกว่าบูชาด้วยอามิส ได้แก่เอาดอกไม้ธูปเทียน เครื่องสักการะไปบูชา เหมือนญาติโยมมาวัดนี่ก็เอาดอกไม้มาความจริงก็ไม่ต้องเอามามากมายอะไรหรอก ไม่ต้องลงทุนซื้อหามากมายในเรื่องเกี่ยวกับดอกไม้เครื่องสักการะ เพราะว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มากอย่างนั้น เอามาตามสมควร เอามาประดับดูให้มันสวยงาม พระพุทธรูปไม่ต้องการความสวยความงามอะไร แต่ว่าเราดูแล้วมันสบายใจ เช่นเราจัดดอกไม้ใส่แจกันแล้วก็ดูมันสบายใจ ถ้าดูไปไม่มีอะไรเป็นเครื่องประดับบูชาก็รู้สึกว่ามันขาดอะไรไป ก็เลยต้อง เอามาประดับประดาตกแต่งให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยพอสมควร แล้วก็มีธูปมีเทียนสำหรับจุดสักการะ สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าเป็นอามิสบูชา บูชาด้วยวัตถุสิ่งของ
การบูชาอีกอย่างหนึ่งนั้นเรียกว่าบูชาด้วยการปฏิบัติ บูชาด้วยการทำกาย ทำวาจาทำใจของเราให้ถูกให้ตรง ตามหลักศีลธรรมคำสอนในทางพระศาสนา เรียกว่าเป็นการบูชาด้วยการปฏิบัติ การบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะ กับบูชาด้วยการปฏิบัตินั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญการปฏิบัติบูชา ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในสมัยที่ใกล้จะไปนิพพาน คือเมื่อพระองค์ประชวรหนัก นอนพักอยู่ที่ใต้ต้นสาละ ในสวนของพวกมัลละกะที่เมืองกุสินารา ประชาชนรู้ก็เอาดอกบัวบ้างดอกไม้นั่นไม้นี้ เท่าที่หาได้ มาวางบูชาพระองค์
ประเทศอินเดียนี่บูชาอะไรก็ไม่มีแจกันใส่กับเขาหรอก เอามาถึง วางๆไว้ เรี่ยราดไปอย่างนั้น ประเทศลังกาก็เหมือนกัน ไม่มีแจกันใส่ ดอกมะลิดอกกุหลาบ เอามาถึง ก็มีโต๊ะก็เรี่ยไว้อย่างนั้น เกลี่ยเพ่นพ่านไว้บนโต๊ะ ไม่มีใส่แจกันเหมือนบ้านเรา บ้านเรานี่มีแจกัน มีโต๊ะบูชาจัดวางเรียบร้อย เขาเอามาถึงก็วางไว้อย่างนั้น เอามากองไว้มากมาย พระผู้มีพระภาคทรงเห็นแล้วก็บอกกับพระอานนท์ว่า การบูชาด้วยดอกไม้มากมายอย่างนี้ ยังไม่ชื่อว่าเป็นการบูชาที่แท้จริงต่อตถาคต ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใดเป็นผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมะอยู่ ผู้นั้นแหละได้ชื่อว่าสักการะเคารพนับถือบูชาตถาคตด้วยการบูชาสูงสุด การบูชาสูงสุดนั้นคือการบูชาด้วยการปฏิบัติ ด้วยเอากายวาจาใจของเรานี่เป็นเครื่องบูชา ด้วยการปฏิบัติกาย วาจาใจ ให้ดีให้งามตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่นเรารักษาศีล ก็ชื่อว่าบูชาด้วยการรักษาศีล ฝึกจิตให้เป็นสมาธิก็เรียกว่าบูชาด้วยการทำสมาธิ คิดให้เกิดปัญญา รู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง แล้วไม่หลงไม่มัวเมา อยู่ในสิ่งเหล่านั้น มองสิ่งเหล่านั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ ก็เรียกว่าเป็นการบูชาด้วยการปฏิบัติ การบูชาด้วยการปฏิบัตินั่นแหละ ทำให้พระศาสนาคงอยู่ในชีวิตของเราต่อไป และพระศาสนาก็คือตัวการปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติก็เรียกว่าเรามีศาสนา เรามีธรรมะ เรามีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระสงฆ์อยู่ในจิตใจของเรา บางท่านก็ว่าเราช่วยสืบศาสนาไว้ นั่นจึงชื่อว่าเป็นการบูชาที่ถูกต้อง อันนี้ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจ จะได้ทำการบูชาถูกตามเรื่องตามราวต่อไป
และในการบูชานั้น เรายิ่งบูชาต่อพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เราจึงได้กล่าวคำบูชาว่า อะระหังสัมมาสัมพุทโธภควา แล้วก็แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง พุทธังภควันตังอภิวาเทมิ ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบานพระองค์นั้น เป็นคำที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าเป็นคำสมบูรณ์อยู่ในตัว ถ้าเรากล่าวคำนี้เรียกว่ากล่าวหมดถ้อยกระทงความในเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ว่าเราบูชาพระองค์ในฐานะเป็น ผู้บริสุทธิ์
เรานึกถึงพระคุณทั้งสามที่มีอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ ว่าได้แก่พระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ ที่เรากล่าวว่าอรหังสัมมาสัมพุทโธภควา อะระหังนั้นก็หมายถึง ความบริสุทธิ์ สัมมาสัมพุทโธ ก็หมายถึงพระปัญญา ภควาก็หมายถึง ความกรุณา เวลาเราจะเอ่ยถึงพระองค์เราพูดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า นั่นเป็นคำพูดที่เคารพ เราพูดด้วยความเคารพ เราพูดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า หรือพระผู้มีพระภาค เราไม่พูดว่าพระพุทธเจ้า หากพูดว่าพระพุทธเจ้า นั้นยังไม่ถูก พูดให้ถูกต้องว่าพระผู้มีพระภาค ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค ชาวอินเดียเขาเรียกว่า ภควัน พุทธะ ภควัน พุทธะเรียกอย่างนั้น เขาเรียกว่า ภควาย หรือว่า ภควัน เช่นเขาเข้าไปในโบสถ์เห็นรูปเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่า ภควัน พุทธะ รูปของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเขาก็นั่งลงกราบไหว้ ตามธรรมเนียมของเขา เราเรียกว่าพระผู้มีพระภาค ผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระอรหันต์ คือเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นผู้มีพระปัญญา และเป็นผู้มีความกรุณาปรานีต่อชาวโลกทั้งหลาย เราจึงได้กล่าวว่าพระคุณทั้งสาม คือกรุณา ปัญญา บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่เรานึกถึง นึกถึงสามอย่างนั้น แล้วพระองค์เป็นผู้ที่ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง
เพลิงกิเลสนั้นคือความเร่าร้อน อันเกิดจากกิเลสประเภทต่างๆที่เกิดขึ้นในใจของเรา กิเลสนั้นคือสิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ให้เร่าร้อน ให้ผิดไปจากหน้าตาดั้งเดิม หน้าตาดั้งเดิมของใจนั้นคือ ความสะอาด สงบ แล้วก็สว่างอยู่ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องนั้นๆ แต่ว่าเรามีกิเลสเกิดขึ้นมาจับ คล้ายกับดวงจันทร์ที่มีแสงเวลากลางคืน แต่ถ้าเมฆมาบังเราก็ไม่เห็นแสงจันทร์นั้น หรือดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงกลางวัน ถ้ามีเมฆฝนหนามาบัง แสงนั้นก็ส่องไม่ถึงชาวโลก เราพูดว่าอากาศครึ้มๆ มืดๆมัวๆ ไม่เห็นแสงตะวัน เพราะเมฆหนาบังไว้
ฉันใดฉันนั้น จิตใจคนเรานี้ก็เหมือนกัน เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะวิธีการเป็นอยู่ในสังคมของเราทั้งหลายนั้น สอนแต่เรื่องไม่ให้รู้ ไม่ให้เข้าใจ สอนให้ยึดถือในเรื่องอะไรต่างๆ ให้หลงผิดในเรื่องอะไรๆต่างๆ มาตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต ให้ยึดถือในเรื่องเล็กๆ น้อย เช่นเด็กๆ นี่ เราจะเห็นว่า จะยึดถือตุ๊กตาของเล่นว่าเป็นของตัว เดี๋ยวนี้เด็กชอบตุ๊กตาโดเรมอนอะไรที่แพร่หลาย เรียกว่ากำลังฮิท พวกเด็กๆ โดเรมอนอะไร เด็กก็ได้ตุ๊กตาตัวนั้นก็เอามาแขวนคอไว้ แขวนคอไว้ใครอย่าไปยุ่ง นะไม่ได้ แล้วเอาไปวางไว้ อย่าไปจับไปต้อง แล้วก็เขานึกว่าอย่าง เขานึกว่าตุ๊กตาของฉัน เครื่องเล่นของฉัน ไอ้นั่นของฉัน ไอ้นี่ของฉัน ไอ้ที่คิดว่าเป็นของฉันน่ะใครสอนให้ ผู้ใหญ่แหละสอน ไอ้นี่ของหนูนะ ตุ๊กตาของหนู รถของหนู เสื้อผ้าของหนู อะไรของหนู นี่สอนให้มีความเป็นเจ้าของ หลักการของเรามันเป็นอย่างนั้น คือสอนให้มีความเป็นเจ้าของ ในเรื่องอะไรๆต่างๆ เด็กก็มีความยึดถืออยู่ในสิ่งนั้น โตขึ้นก็สอนความยึดถือมากเข้าไปอีก เช่นสอนให้ยึดถือในเรื่องชาติ เรื่องประเทศ เรื่องภาษา เรื่องวัฒนธรรม อะไรๆ ว่าเป็นของตัว นี่คือวิธีการ แล้วก็สอนให้ ไม่เอาใจไปชอบของคนอื่น ให้ชอบแต่ของตัว อะไรต่างๆ
เริ่มแต่เป็นการสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่เด็กเหล่านั้น ทำให้เด็กเหล่านั้นนึกคิดในทางที่เรียกว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่ตลอดเวลา จิตใจจึงมืดมัวเร่าร้อนด้วยอำนาจกิเลสประเภทต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตใจ ก็แล้วแต่ผู้ใหญ่จะเพาะให้เกิดขึ้นในใจของเด็กเหล่านั้น ถ้าเราเพาะในทางที่ปล่อยวาง เด็กมันก็รู้จักปล่อยรู้จักวาง แต่เราเพาะจิตใจให้ยึดมั่นถือมั่น ว่าอะไรเป็นของตัว มันก็มีความยึดมั่นถือมั่น แล้วเขาก็จะเป็นทุกข์เมื่อสิ่งนั้นสูญหายไป สิ่งนั้นแตกสลาย ก็จะร้องไห้ร้องห่ม ต้องหาตัวใหม่มาให้แทน ตัวใหม่ที่เอามาให้แทนก็ไม่เหมือนตัวเดิม ก็ไม่ชอบใจ เขาจะต้องมีตัวอย่างนั้น ยึดตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา อันนี้คือการพอกพูน ความนึกคิดในทางความเป็นตัวตนให้เกิดขึ้นแก่เด็กด้วยกันทั้งนั้น
เด็กเหล่านั้นก็ค่อยเจริญขึ้นด้วยความเห็นแก่ตัว ความยึดถือในสิ่งที่ตัวมีตัวได้ไว้ แล้วก็เกิดการแก่งแย่งแข่งดีกันในระหว่างสังคมมนุษย์ ระหว่างคนต่อคน ต่อครอบครัว ต่อวงศ์ตระกูล ต่อประเทศชาติ เรียกว่าเกิดเป็นปัญหามากมายก่ายกอง สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นเพราะเรื่องอย่างนั้น นี่ก็เรียกว่ากิเลสมาหุ้มห่อจิตใจเรา เมื่อหุ้มห่อจิตใจบ่อยๆ มันก็มีชินเป็นคนอย่างนั้น มีปกติเป็นคนอย่างนั้น เช่นบางคนมีปกติโลภ มีปกติขี้โกรธ ใจร้อนใจเร็ว มีปกติเป็นคนหลงมัวเมาในเรื่องอะไรๆต่างๆ
เขาจึงจัดจำแนกจริตของคนไว้ คือคนเราที่ประพฤติปฏิบัติในเรื่องอะไร เป็นไปตามนิสัย หรือจริตที่มีอยู่โดยปกติ เช่นพวกราคะจริต ราคะจริตก็ชอบสวยชอบงาม ชอบตกแต่ง เนื้อตัวเสื้อผ้าบ้านช่อง ที่ทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างสะอาดมีระเบียบเรียบร้อย เป็นพวกที่มีลักษณะราคะจริตครอบงำจิตใจ คนอย่างนั้นชอบสวยชอบงาม เข้าไปในบริเวณบ้าน แต่งบ้านก็สะอาดมีระเบียบ บนเรือนก็มีความสะอาด มีระเบียบ ข้าวของวางเป็นที่ดูไม่เกะกะ แล้วก็ชอบซื้อสิ่งสวยงามมาประดับบ้าน มีบ้านอยู่แล้วไม่พอต้องมีของอย่างนั้นของอย่างนี้เอามาประดับ ให้เกิดความสวยความงามมากยิ่งขึ้น มีโบราณวัตถุประดับบ้าน มีของใหม่ๆเช่นว่าต้นหมากรากไม้ เอามาประดับ ให้เกิดความสวยความงามในบริเวณนั้น อย่างนี้ส่อนิสัยว่าราคะจริต ราคะจริตเป็นอย่างนั้น
พวกโทสะจริตนั้น พวกใจร้อนใจเร็ว หุนหันพลันแล่น ทำอะไรก็มักจะเอาแต่อารมณ์ ไม่ค่อยมีเหตุมีผล ลักษณะแสดงออกของคนประเภทนี้ ก็คือไม่ค่อยจะมีระเบียบเท่าใด ทำอะไรง่ายๆ ถ้าไปดูบนโต๊ะทำงานแล้วของเต็มโต๊ะเลย พะรุงพะรังไปหมด วางข้าววางของ ไม่มีระเบียบเรียบร้อย ทำอะไรก็ทำทิ้งๆ ขว้าง ๆ ได้อะไรมาก็โยนไว้ตรงนั้น โยนไว้ตรงนี้ ไม่รู้จักเก็บจัดให้มันเป็นที่เป็นทาง อย่างนั้นเป็นพวกโทสะจริต พวกโทสะจริตเป็นพวกใจร้อนใจเร็ว คนใจร้อนใจเร็วนั้นจะทำอะไรให้เป็นระเบียบได้ยาก ทำอะไรให้เรียบร้อยก็ยาก มันทำอะไรลวกๆ พอสักแต่ว่าพอผ่านพ้นไป การแต่งเนื้อแต่งตัวก็อย่างนั้น ไม่ค่อยจะพิถีพิถันอะไรก็ได้ นี่ก็พวกโทสะจริต
พวกโมหะจริตก็เป็นไปในทางที่เรียกว่า เป็นคนเชื่อง่ายเชื่อดายในเรื่องอะไรต่างๆ ไม่ค่อยมีความคิด ไม่ค่อยมีปัญญา พวกโมหะนี่ เช่นเขาบอกอะไรให้ ก็รับเอาทั้งนั้น เชื่อทั้งนั้น เป็นพวกโมหะจริต บางคนก็เป็นคนชอบคิดชอบนึกมากเกินไป ใช้เหตุผลไม่เข้าเรื่อง จะกินอาหารก็ลังเล จะดื่มน้ำก็ลังเล จะไปซื้ออะไรกินตรงไหนก็ลังเล วิตกกังวลจนถึงขนาดต้องล้างสตางค์ ใครมาซื้อข้าวซื้อของไม่กล้าจับสตางค์ วางไว้นั้น วางไว้ วางไว้แล้วก็ใช้คนใช้ว่าเอาสตางค์ใส่กะละมังเอาไปล้างไปเช็ดไปรีดอะไรเสียก่อนแล้วจึงมาให้จับให้ต้องได้ นี่พวกวิตกกังวลมากไป เป็นคนเจ้าความคิด นึกวุ่นวายสับสน มีปัญหามากในจิตใจ นี่เป็นพวกวิตกเกินไป
พวกศรัทธาจริตก็เรียกว่าเชื่ออะไรเชื่อง่าย กระต่ายสามขาก็เชื่อ ต้นไม้เอาปลายลงงอกขึ้นได้ก็เชื่อ แล้วแต่ใครบอกอะไรเชื่อทั้งนั้น เขาปลูกเอาโคนลง แต่บอกว่าปลายลงก็ขึ้นว่างั้น เพราะเชื่อเหมือนกัน ดังนั้นถูกหลอกถูกต้มได้ง่าย พวกศรัทธาจริตถูกต้มได้ง่าย เพราะว่าเชื่อง่าย
พวกพุทธจริตเป็นพวกปัญญาชอบคิดอ่านในทางเหตุผล นั่งคิดตรองในเรื่องต่างๆพวกนี้รู้อะไรก็ช้า แต่ว่ารู้แล้วมั่นคงเพราะคิดมากเหมือนกับพระสารีบุตร กว่าจะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันต์นี่นาน เพราะท่านคิดมาก ฟังอะไรก็ต้องเอามาคิดมาตรอง เป็นคนมีปัญญาละเอียดอ่อน ไม่เชื่อง่ายในเรื่องอะไรต่างๆ แต่พอรู้แล้วมั่นคงลักษณะเป็นอย่างนั้น มีการแสดงออกในรูปต่างๆ เรื่องอย่างนี้เรารู้ไว้ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ติดต่อกับคนได้ง่าย เช่นดูคน ดูการแต่งเนื้อแต่งตัว ดูกิริยาท่าทาง เราก็อ่านออกว่ามีปกติเป็นอย่างไร มีนิสัยอย่างไร แล้วเราก็ติดต่อให้มันถูกกับนิสัยของคนเหล่านั้น สมมุติว่าเราจะขายของ หรือว่าเราเป็นผู้เอาประกัน ไปหาคนไม่ประกันอะไรต่ออะไรของเรา เราก็พูดให้มันเหมาะแก่นิสัยของคนนั้น เช่นพูดเรื่องเช่น เข้าไปดูในบ้านแหมมีความเป็นระเบียบสวยงาม เราก็พูดเรื่องความสวยความงามความมีระเบียบของสิ่งต่างๆ ชีวิตจะมั่นคงจะปราศจากทุกข์ถ้าได้เอาประกันไว้กับบริษัทชื่อนี้ ด้วยเงินจำนวนนี้ และก็จะปลอดภัยนอนสบายเพราะว่าไม่มีความวิตกกังวลอะไรต่อไป ให้มันเข้ากับนิสัย จะทำให้คนนั้นพออกพอใจเรื่องอะไรต่าง ๆ
และพวกโทสะจริตก็บอกว่า ฮู้ย ไอ้นี่มันแข็งแรง เอามือทุบปังลงไปไม่บุบไม่สลายเลย ไอ้พวกนั้นน่ะพวกใจร้อน ก็บอกว่ามันแข็งแรงมาก ไม่มีบุบ ไม่มีสลายอะไรต่างๆ คนนั้นก็จะชอบอกชอบใจ เพราะว่าเราพูดแล้วมันถูกนิสัย มันก็เป็นเครื่องประกอบเหมือนกัน ทำให้เราติดต่อคนได้ง่าย เป็นเรื่องจิตวิทยา เข้าคนเพื่อการศึกษานิสัยคน ตามหลักธรรมะในทางพระพุทธศาสนา คนเราโดยปกตินั้น ถ้าว่ากันตามความจริงแล้วไม่มีกิเลสอยู่ตลอดเวลา กิเลสมันเกิดเป็นครั้งคราวไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลาหรอก เราไม่ได้โกรธตลอดเวลา เราไม่ได้นั่งเกลียดคนอยู่ตลอดเวลา เราไม่ได้นั่งริษยาใครอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เกิดตลอดอย่างนั้น แต่มันเกิดเป็นครั้งคราว เมื่อมีสิ่งมากระทบ อะไรมากระทบทำให้เกิดกระเทือนใจ น่าให้นึกถึงสิ่งนั้น เช่นว่าเราไม่ชอบคนๆหนึ่ง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบอยู่ตลอดเวลาหามิได้ เรามีทำเรื่องอื่น นึกเรื่องอื่นอยู่สบายๆ แต่ว่ามีใครมาพูดเอ่ยชื่อคนนั้น พอเอ่ยชื่อคนนั้น มัน ปุ๊บขึ้นมาทันที เกิดโทสะขึ้นมา เกิดความโกรธขึ้นมาต่อบุคคลนั้น นี่กิเลสมันเกิดอย่างนี้เพราะว่ามีสิ่งไปกระทบ
เหมือนน้ำที่อยู่ในโอ่งมันใสสะอาดแต่ว่ามีตะกอนนอนอยู่ก้นโอ่ง ถ้าเราไม่เอาไม้ไปกวนเข้าตะกอนนั้นมันก็ไม่ลอยขึ้นมาน้ำก็ใสดี แต่ถ้าเราเอาไม้อะไรไปกวนเข้า ตะกอนก็ขึ้นมา น้ำเริ่มกลายเป็นน้ำสกปรก ดื่มไม่ได้ น้ำในแม่น้ำลำคลองที่จะเอามาใช้ ก็จึงใส่สารส้ม สารส้มนั้นมันเป็นวัตถุที่ดึงสิ่งโสโครกลงไปนอนก้นโอ่ง น้ำก็ใส เอามาต้มกินได้ ไม่ใช่ใสแล้วจะกินได้ ดื่มได้ ไม่ใช่ ต้องไปต้มก่อน ฆ่าเชื้อโรค น้ำประปากรุงเทพนี่อย่าไว้ใจ ต้องไปต้มก่อนถึงจะทานได้ เพราะคนทำน้ำประปาเองก็ยังกินน้ำโพลาริสกันอยู่ทั้งนั้น ไม่ได้กินน้ำประปาของตัว วันนั้นก็เพิ่งไปเทศน์ที่การประปา กำลังเทศน์ๆ อยู่พอดีรถโพลาริสเข้ามาขนน้ำขวดลงเป็นแถว ก็เลยบอก นี่เอง ที่น้ำประปามันใช้ไม่ได้ เพราะว่าเจ้าหน้าที่การประปายังไม่ไว้ใจน้ำของตัว ยังไม่กินน้ำประปาที่ตัวทำ ยังสั่งน้ำโพลาริสมากินแล้วคนอื่นจะกินได้อย่างไง ผู้ผลิตยังกินไม่ได้ ยังไม่ไว้ใจเลย ฉะนั้นมันต้องต้มเสียก่อนมันจะสะอาด
ใจคนเรามันก็อย่างนั้น ไม่มีอะไรมากระทบมันก็เฉย สะอาดอยู่สงบอยู่ ปกติมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของจิตเป็นของสะอาด สงบอยู่โดยธรรมชาติไม่มีเรื่องอไรเกิดขึ้นมันก็ไม่มี คล้ายกับแมลงมุมตัวใหญ่ ๆ เราไม่ค่อยเห็นในเมืองแมลงมุมตัวใหญ่ ในป่ามีเยอะ โอมันขึงใยบริเวณกว้างตั้ง ๒๐ เมตร ขึงจากต้นไม้นั้นไปต้นไม้นู่น มากมายก่ายกอง ขึงเป็นตาข่ายรอบอก แล้วมันมาเกาะอยู่ที่ตรงกลาง เกาะสงบนิ่ง มีอะไรมากระเทือนใยตรงนั้น ใยนั้นก็กระเทือนมาถึงมัน มันก็ต้องวิ่ง แว๊บไปดูว่ามีอะไร ถ้ามีตัวแมลงมาติด มันก็จับแล้วก็ดูดกินเป็นอาหาร กินเนื้อในมันดูดเอากิน ซากทิ้งไว้ คาบไปไว้ติดไว้ที่ใยแมลงมุม ดูดกินมัน ดูดกินแต่เนื้อในมัน กินเอาแต่โอชะไปเลี้ยงร่างกาย พอกินเสร็จแล้วกลับมานอนหมอบนิ่ง พอมีอะไรกระเทือนด้านไหน ก็วิ่งแว๊บออกไปดู เป็นอย่างนั้น เพราะมันขึงสายใยเป็นเรดาร์ไว้แล้ว มนุษย์คิดเรดาร์ก็คงเอามาจากแมลงมุมนั่นเอง แมลงมุมเป็นต้นคิดเรดาร์ก่อนมนุษย์ มันทำโดยธรรมชาติ ขึงใยในป่า ขึงไว้เยอะๆ จิตคนเราก็เป็นอย่างนั้น เกิดสงบนิ่ง พอมีอะไรมากระทบตา วิ่งไปที่ตา กระทบหูรับไปที่หู กระทบจมูกไปที่จมูก กระทบลิ้นไปที่ลิ้น กระทบกายก็ไปที่กาย ไปรับรู้ รับรู้ว่าอ๋อ รูป รับรู้เสียง รับรู้กลิ่น รับรู้รส รับรู้สิ่งที่มากระทบร่างกาย ยิ่งรับไปอย่างนั้น แล้วก็เอามาปรุงแต่ง ปรุงแต่งให้น่ารับ พอรับแล้วก็ว่า น่ารัก ชอบอกชอบใจ เกิดราคะ เขาเรียกว่าเกิดความพอใจ เรียกว่าราคะ เขาเรียกว่าเกิดตัณหา ความอยากมีอยากได้ในเรื่องนั้นขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่เป็นที่พอใจ ก็โกรธตัด ใจร้อนขึ้นมา ไม่ชอบ เกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิดความพยาบาท เกิดความไม่อยากจะมีในสิ่งนั้น ก็เป็นตัณหาประเภทหนึ่งเหมือนกัน เพราะสิ่งนั้นไม่ชอบใจ ไม่ว่าเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งถูกต้องกายผัสสะ รู้ว่าอาการอย่างนั้นที่มากระทบ
อันนี้เราต้องศึกษาจากตัวเราเอง ว่าเวลาเราเห็นอะไร ได้ยินอะไร เราได้กลิ่นอะไร และได้รสอาหารประเภทใด มีอะไรมาถูกตัวเรา แล้วเรารู้สึกอย่างไร เราต้องคอยสังเกต แล้วความรู้สึกนั้นถ้าเราไม่มีสติคอยกำหนด มันจะมากขึ้น เช่นจะเกลียดมานานๆ จะโกรธนานๆ ชอบนานๆ อยากจะได้ แล้วก็สิ่งนั้นทำไปแล้วก็ยังอยากจะได้อยู่ ยังเอามาฝัน เอามาคิดถึงเรื่องนั้น มานั่งคิดนั่งฝันอยู่คนเดียว มีอาการเหม่อๆลอย เราจะเห็นได้เด็กๆรุ่นๆ วัยรุ่น ให้สังเกต ถ้ามันนั่งเหม่อๆลอยๆ แล้วมันเป็นโรคแล้ว มันเป็นโรคฝันหวาน ฝันไม่หวานก็มีเหมือนกัน มันนั่งคิดถึงใครสักคน นั่งคิดนั่งนึกอยู่คนเดียว เห็นรูปลอยมาเฉพาะหน้า แล้วก็นั่งคิด ถ้ามีโทรศัพท์ก็เรียกว่า พูดแบบมาราธอน โทรอยู่นั่นแล้ว คุยกันอยู่นั่นแหละ นี่มันเป็นโรคแล้ว กิเลสมันครอบงำจิตใจ ต้องโทรศัพท์ ต้องไปคุยด้วย บางทีนอนหลับไปเพิ่งตื่น ติดโทรศัพท์ คุยกับอีกฝ่ายซึ่งนอนหลับแล้วก็ตื่นมานุ่งคุย นี่มันมีอาการเกิดขึ้นในใจ คือความพอใจนั่นเองไม่ใช่อะไร พอใจอยากมีอยากได้ และเมื่อความพอใจอยากมีอยากได้เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เมื่อใดสิ่งนั้นสลายไป ห่างไป หรือว่าไม่ยินดีด้วยแล้ว ฉันไม่อยากจะพูดกับเธอแล้ว ทีนี้แหละนั่งซึม ใจน้อย น้อยใจตัวเอง หาว่าเรานี่มันเป็นคนอาภัพอับวาสนา ไม่มีใครใจดีด้วย หงุดหงิดงุ่นง่าน ถ้าเป็นนักศึกษาก็ตำราโยนแล้ว ไม่อ่านหนังสือแล้ว ใครพูดไม่ได้ยินแล้ว หูอื้อตาลาย จิตใจปั่นป่วน มันเป็นโรค โรคกิเลสเกิดขึ้นในใจ ถ้าเราไม่สังเกต ไม่รีบรักษามันจะไปกันใหญ่ ฟุ้งเฟ้อไป แล้วคราวนี้มันกลุ้มหนักเข้า เอ้ แก้กลุ้มอย่างไร คนมันไม่เคยมาวัด ไม่ฟังธรรม ก็นึกถึงภาพยนตร์ หนังสืออ่านเล่น พระเอกกลุ้มใจไปดื่มเหล้า นางเอกกลุ้มใจก็ดื่มเหล้าเหมือนกัน แล้วก็ร้องไห้ หมอนอาบโชกไปด้วยน้ำตาที่เคยหลั่งออกมาในยามค่ำราตรี เขาเขียนไว้ในเรื่องอ่านเล่นอย่างนั้น เด็กมันอ่านแล้ว อ้อ ถ้าเป็นทุกข์ก็ร้องไห้ เด็กก็ร้อง กอดหมอนร้องไห้ และถ้าเป็นทุกข์เขวไปดื่มเหล้า ก็ไปซื้อเหล้ามา นั่งกิน กินคนเดียว กินจนกระทั่งเมาหลับคาโต๊ะไป เวลาเมามันก็ลืมความทุกข์ไปชั่วคราว พอหายเมาก็ทุกข์ต่อไป เลยดื่มต่อไป เลยกลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เสียผู้เสียคนกันไปตามๆกัน หรือว่าบางทีไปคบเพื่อนเสเพล กลุ้มใจเอ้าเอาไอ้นี้สักบ้อง ตอนนี้สูบกัญชา พอสูบกัญชาก็นั่งยิ้มอยู่กับใบไม้ เห็นลมพัดใบไม้ก็ยิ้ม ยิ้มอยู่คนเดียว มันไม่ใช่ยิ้มเพื่อความสุขอะไร มันยิ้มเพราะบ้ากัญชา เลยเสียผู้เสียคน เพราะว่าเรื่องอย่างนี้มันต้องระวังเหมือนกัน กิเลสถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเราไม่รู้ ไม่รู้จักมัน ไม่รู้โทษของมันเราก็ไม่คิดแก้ไข เมื่อไม่คิดแก้ไขตัวก็ตกอยู่ในกองกิเลส เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
ให้สังเกตตัวเราบางครั้งบางคราว นั่งใจลอย คิดแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ฟุ้งไปในเรื่องนั่นเรื่องนี่ เรื่องเก่าๆแก่ๆ เอามานั่งคิดนั่งฝันแล้วก็ทอดถอนใจนั่งเป็นทุกข์ นี่ไม่ใช่เรื่อง ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามาคิด สิ่งใดที่มันทอนกำลังกายกำลังใจ ทำให้เสียกำลัง เสียสมองเราจะไปคิดทำไม เรามาคิดด้วยปัญญาในเรื่องอะไรๆ ต่างๆเสียดีกว่า กิเลสมันเกิดอย่างนี้ เราจึงต้องระวัง ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้ถูกต้องอะไร ก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้เกิดยินดียินร้าย ให้เพียงแต่ว่ามันมาแล้วก็ผ่านไปเฉยๆ อย่ายินดีกับมัน อย่ายินร้ายกับมัน เหมือนกับเรายืนอยู่ข้างถนน รถยนต์ผ่านไปผ่านมา มันไม่ใช่รถของเราสักคัน เราจะไปยินดีมันก็ไม่ได้ จะไปยินร้ายกับมันก็ไม่ได้ เราเพียงแต่ยืนดูมันเฉยๆ ดูรู้ว่าอ้อมันผ่านมาผ่านไป เราอย่าไปเดินตัดหน้ากระชั้นชิด มันจะกวาดร่างของเราแหลกไป รู้อย่างนั้น มันก็ไม่เป็นอันตรายแก่เรา เพราะเรารู้เท่ารู้ทัน แต่คนเราไม่ค่อยจะได้คิด เพราะไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่รู้เรื่องทางเกิดของกิเลส ไม่รู้เหตุของมันแล้วไม่รู้ว่าโทษมันเป็นอย่างไร ไม่รู้วิธีการที่จะแก้ไข ก็เอาตัวไม่รอด คนที่เคยบวชอยู่วัด เรียนหนังสือธรรมะมานาน ๆ นี่ เขาออกไปอยู่ในโลก เขาก็พอปลงพอวาง คือเอาธรรมะนี่ไปใช้ มีอะไรเกิดขึ้นก็ปลงได้ วางได้ ไม่เป็นทุกข์อะไรมากเกินไป ญาติโยมที่มาวัดบ่อยๆ ก็ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน พอมีอะไรเกิดขึ้นเราก็พอปลง พอวาง ไม่วุ่นวายใจไม่เดือดร้อนใจ ไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับตัวเองมากเกินไป
นี่ก็ผลที่เราได้จากการศึกษา จากการพิจารณาสิ่งเหล่านั้น กิเลสเมื่อเกิดในใจ มันร้อนทั้งนั้น ไม่ว่าประเภทอะไร ความหลงก็ร้อน ความริษยา ร้อน พยาบาทก็ร้อน มานะถือตัว แข่งดี ทุกประเภท ที่มีชื่อมากมายก่ายกองนั้น มันก็อยู่ในประเภทไฟกิเลสทั้งนั้น ไฟกิเลสนี้มันโหมให้ใจร้อน ให้กระวนกระวาย แล้วก็ทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้ง ไฟถ้ามันเผามาก มันแห้ง มันไหม้ เราเอาเข้าอบในเตา น้ำมันออกหมด มันก็แห้งสนิท แล้วก็เบาด้วย
ร่างกายคนเรานี้ ถ้าถูกกิเลสเผาไหม้บ่อยๆ ก็จะซูบซีดลงไป ผอมลงไป อาการเปลี่ยนแปลงไปในทางร่างกาย ถ้าจิตใจถูกเผาไหม้ด้วยอำนาจกิเลส คือราคะ โทสะ โมหะ พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นไฟ ๓ กอง ที่เผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ที่มันเผาไหม้ เพราะว่าเราให้เชื้อ เชื้อนั้นก็คือสิ่งที่มากระทบ รูปเสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มากระทบตัวเรา เรียกว่าเป็นเชื้อไฟ เป็นน้ำมันคบเพลิงอย่างดี ที่เข้ามาในร่างกาย แล้วทำให้เกิดการเผาทางใจ เร่าร้อน เร่าร้อนแล้วมันก็เกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้นเพลิงกิเลสกับเพลิงทุกข์นี่มันเกี่ยวข้อง เพราะมีเพลิงกิเลส จึงได้เกิดเพลิงทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่มีเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์มันก็จะไม่เกิด เหมือนไฟกับควันเป็นของคู่กัน มีไฟมันก็ต้องมีควัน ไม่ว่ามีไฟอะไร มันก็ต้องมีควันเท่าทั้งนั้น มีความร้อนแล้วก็มีควัน เผาไหม้เป็นควันเข้าไป เราสูดเข้าไปมันก็เป็นพิษในร่างกาย
ความร้อนกิเลส ครอบงำให้เกิดความร้อนเป็นทุกข์ ทุกข์ก็เป็นของร้อนเหมือนกัน ร้อนขึ้นในใจ เราสังเกตตัวเราว่าเวลามีความทุกข์ มันร้อนใจ ไม่สบายใจ มีความกระวนกระวาย ร่างกายก็ผิดปกติ กินอาหารก็ไม่ได้อาหารไม่ย่อย ระบบขับถ่ายก็ไม่ดี นอนก็ไม่หลับ มันเปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนไปเพราะว่าเราเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะกิเลสมันเกิดขึ้นในใจ แล้วมันก็ลุกโพลงๆเผาไหม้ใจเรา เราก็นั่งเป็นทุกข์อยู่ด้วยสิ่งเหล่านั้น นี่คือเพลิงร้าย เรียกว่าเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์
พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายนั้น พระองค์ดับหมดแล้ว ที่ได้เรียกว่าเป็นพุทธะ หรือสัมมาสัมพุทธะ หรือว่าพระอรหันต์ หรือว่าพระตถาคต อะไรก็ตามใจชื่อมาก เป็นชื่อที่มีความหมายทั้งนั้น ท่านดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ท่านดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง พระทัยของพระองค์ก็สงบเย็น สงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น น้ำพระทัยของพระองค์ก็สงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ในบุคคลที่น่ารักเช่นพระราหุล คนน่าเกลียดเช่นพระเทวทัต หรือพระอังคุลีมาล น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคเหมือนกัน เหมือนกัน
พระองค์มีน้ำพระทัยเสมอในพระเทวทัต ซึ่งเป็น ภิกษุใจทราม จะทำร้ายพระองค์อยู่ตลอดเวลา อังคุลีมาล โจร ซึ่งฆ่าคนมามาก ช้างทันบาล ซึ่งเทวทัต ใช้ให้ไปแทงพระพุทธเจ้า และพระราหุลซึ่งเป็นโอรสของพระองค์ก่อนเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้เห็นเหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน จิตใจของพระอริยะเจ้าที่เรียกว่าเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านมองอะไรมันเท่ากันหมด เหมือนกันหมด คือมองไปแล้วมันเห็นเป็นอันเดียวกัน เห็นเป็นอันเดียวกันในแง่ว่า มันไม่เที่ยงเหมือนกัน เป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นอนัตตาเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อเป็นตัว เป็นสาระเป็นแก่นเป็นสาร ท่านมองเห็นอย่างนั้น เมื่อมองเห็นอย่างนั้น ความรักก็ไม่มี ความชังก็ไม่มี ความอยากได้ใคร่มีในสิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่มี ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่นได้รส ไม่มีอะไร เกิดขึ้นมากไปกว่านั้น อันนี้คือน้ำใจของพระอริยะเจ้าทั้งหลายซึ่งหมดเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง หมดเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ เพราะอะไร เพราะได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ตรัสรู้ในเรื่องอะไร ตรัสรู้ในเรื่องต่างๆที่ เรียกว่าความทุกข์ เหตุได้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ได้ ข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ หรือพูดสั้นๆว่า รู้ในเรื่องความทุกข์ และการดับทุกข์ได้ เมื่อพระองค์รู้ในสิ่งเหล่านี้เพลิงมันก็วูบหายไป ดับไปเลย ไม่มีอะไรที่จะลุกโพลงขึ้นมาเผาไหม้พระองค์อีกต่อไป เราจึงเรียกว่าดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง คำว่าตรัสรู้นี่ขอให้เข้าใจไว้ให้ดี ไม่ใช่ว่ามีใครมาทำให้พระองค์รู้ หรือบันดาลให้รู้
พระพุทธศาสนานี่ไม่เหมือนศาสนาอื่น ไม่เหมือนศาสดาอื่นที่มาสอนโลก แล้วก็อ้างว่าสิ่งที่มาสอนนี้ ได้มาจากเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ หรือพระผู้เป็นเจ้า ที่เรียกในภาษาไทย ฝรั่งเขาเรียกว่าก๊อด เป็นผู้ดลบันดาล มาบอก มาให้รู้ ให้เข้าใจแล้วก็นำไปสอน นั่นเป็นพวกที่นับถือศาสนาที่มีพระผู้เป็นเจ้า เช่นศาสนาพราหมณ์ ศาสนาคริสต์ อิสลาม อะไรต่างๆ เขาเข้าใจอย่างนั้น แต่ว่า ในทางพระพุทธศาสนาของเรานั้น ไม่มีสิ่งเหล่านั้น ไม่มีสิ่งนั้น อะไรที่พระองค์ได้ทรงไดค้นพบ ค้นพบด้วยความเพียร ด้วยความตั้งใจมั่น ด้วยความอดทน ด้วยการทำจริง ด้วยปัญญาของพระองค์แท้ๆ พระองค์จึงกล่าวกับใครๆว่า เราเป็น สยัมภู ที่รู้เองในโลก ไม่มีใครมาเป็นครูเป็นอาจารย์ มาบอกมาสอน เรียกว่าตัดปัญหา อำนาจเบื้องบนปนไปหมด ไม่มีอำนาจใดจะมาช่วยใคร ให้เป็นอะไร ปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น ก็เป็นการรับรองว่าคนนี่มีความสามารถในตัวที่จะเรียน ที่จะรู้ที่จะเข้าใจ ในเรื่องอะไรต่างๆได้โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พระพุทธศาสนาเรานั้นไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามแบบนั้น เรามีแต่ว่าการได้รู้ได้เข้าใจด้วยอาศัยการกระทำด้วยตนเอง ด้วยความเพียร ด้วยความพยายามอย่างแท้จริง อดทนตั้งใจมั่นในเรื่องนั้นก็สำเร็จได้ จึงเรียกว่าเป็นผู้ตรัสรู้โดยพระองค์เอง รู้ได้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครมาเป็นครูเป็นอาจารย์สั่งสอน พวกคริสเตียน โดยเฉพาะพวกคาทอลิกนี่เขาตีขลุมเอาว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นครูประกาศคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า มาประกาศไว้ก่อน เตรียมทางไว้ให้พระเยซูมาประกาศทีหลัง เรียกว่าจะฮุบเอาพระพุทธศาสนาไปในรูปอย่างนั้น นั่นเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เป็นการตู่คำสอนในทางพระพุทธศาสนา ผิดหลักการของพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่มีอำนาจเบื้องบน ที่จะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร ใครจะเป็นอะไรก็ด้วยความคิดด้วยความการพูดด้วยการกระทำของบุคคลผู้นั้นเอง คนเรานี่มันสร้างอนาคตของตนเอง ไม่มีคำว่าพรหมลิขิตตามแบบศาสนาพราหมณ์ หรือไม่มีคำว่าพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลตามแบบ ศาสนาใดๆที่มีพระผู้เป็นเจ้า เพราะในทางศาสนาเรานั้นไม่ได้มีอำนาจอะไรอย่างนั้น เรียกว่าอำนาจมีอยู่ในตัวคน ตัวคนนี้สามารถจะทำอะไรด้วยตัวได้ ใช้ความเพียรพยายามให้บรรลุความสำเร็จได้ เราจึงเรียกว่าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แล้วใช้เวลามากตั้ง ๖ ปี จึงได้พบความจริง ต้องศึกษาค้นคว้าปฏิบัติทดสอบ เอาชีวิตของพระองค์ลงทดสอบ ห้องทดลองก็คือพุทธคยา อันเป็นสถานที่ตรัสรู้เรียกว่าเป็นห้องทดลองของพระองค์ จนกระทั่งได้ความรู้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง เพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ดับหมด ความสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหวโยกโคลงด้วยอารมณ์ใดๆอีกต่อไป เราเรียกกันว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ตรัสรู้ชอบด้วยไม่ใช่ตรัสรู้ผิดและด้วยพระองค์เองด้วย ไม่มีใครมาส่งไม่มีใครมาปก ปฏิเสธอำนาจเบื้องบนไปหมด อันนี้ก็สำคัญมาก ที่เราจะได้ยึดไว้เป็นหลัก เราจะได้พึ่งตัวเอง ช่วยตัวเอง ไม่ไปขอร้องให้ใครๆ มาช่วยเรา ไม่ต้องไปบนบานศาลเกล้า กับเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนให้มาช่วยเรา ช่วยเราไม่ได้ เราต้องช่วยตัวเอง
อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องสร้างชีวิตของตน สร้างอนาคตของตน เราต้องสอนเด็กให้เข้าใจเรื่องนี้ ให้เด็กรู้ว่าอนาคตของลูกอยู่ที่ลูก พ่อเป็นแต่เพียงผู้ช่วยเหลือ แม่เป็นแต่เพียงผู้ช่วยเหลือ ชี้แนะแนวทางให้ปัจจัยสำหรับเอาใช้ในการที่จะแสวงหาความรู้ ให้เป็นคนมีความรู้มีความสามารถมีความฉลาดรอบคอบ เป็นหน้าที่ของลูกเอง ต้องพูดให้เด็กฟังเสียบ้าง สอนให้เด็กเข้าใจ อย่าให้เด็กเป็นคนเพ้อฝัน อย่าให้มีความคิดไปในทางว่า สิ่งนั้นจะช่วย สิ่งนี้จะช่วย แต่ให้มีความคิดว่า เราต้องช่วยตัวเอง ต้องพึ่งตัวเอง ต้องทำอะไรด้วยตัวเอง และต้องหัดให้เขาทำอะไรด้วยตัวเขาเอง เช่นจะให้เขียนหนังสือก็สอนให้มันเขียนด้วยตัวมันเอง อย่าไปช่วยทำการบ้านให้ลูก เพราะรักลูกมาก พ่อก็เลยทำการบ้านให้เสร็จเลย เอาไปส่งครูเรียบร้อย ได้คะแนนดี แต่ทำให้ลูกโง่ดักดานไปเลย เพราะเด็กมันไม่ได้ใช้ความคิด แล้วมันจะช่วยตัวได้อย่างไร เราเพียงแต่แนะแนวให้เขาคิด สร้างปัญหาให้เขาคิด สอนแนวคิดให้เขา ล่อถามให้เขาได้คิด ในปัญหานั้นๆ แล้วเขาก็เกิดความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่บอกให้เลยว่า ๒ บวก ๒ เป็น๔ลูก มันไม่ได้ เราต้องให้เขาคิด เอาวัตถุมาวางเข้า ๑ อัน นี่ ๑ อันเป็นเท่าไหร่ เพิ่มไปอีก ๑ เป็นเท่าไหร่ เพิ่มไปอีกเป็นเท่าไหร่ ให้เขาคิดบวกด้วยตัวเขาเอง ไม่ใช่ให้เขารู้ด้วยการท่องจำ ให้เขาทำ ให้รู้จักช่วยตัว ให้รู้จักหยิบอาหารใส่ปาก พอโตมาหน่อย เอาช้อนให้กินเอง ไม่ต้องไปเที่ยววิ่งป้อนให้กินอยู่ตลอดเวลา ให้เขาตักของเขาเอง กินเขาเอง ชั้นแรกมัน จะหกจะราดบ้าง ก็ค่อยๆเป็น เป็นไป มันสอนของมันเอง มันทำของมันเองได้ ให้รู้จักทำอะไรต่างๆ เมื่อโตอีกหน่อย ซักผ้าให้ซักด้วยตัวเอง สอนให้รีดของตัวเอง ให้เก็บให้พับ ให้จัดที่หลับที่นอน ปัดกวาดห้อง ถูห้องให้สะอาดไม่ให้มีสิ่งสกปรกโสโครก แล้วก็ให้ทำอะไรงานนอกบ้าน ในบริเวณบ้าน ให้ไปปลูกต้นไม้ ให้ขุดหลุม ให้พรวนดิน ให้รู้จักใส่ปุ๋ยต้นไม้ ให้มันพยายามที่จะทำอะไรๆ ด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับว่าสอนให้พึ่งตัวเอง ตามอุดมการณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา เราไม่ได้อบรมเด็กอย่างนั้น คนไทยจึงไม่ค่อยจะคิดช่วยตัวเอง คิดแต่จะให้เขาช่วยตลอดเวลา คิดแต่จะกู้จะยืมก็ตลอดเวลา เอามาใช้ในบ้านในเมือง ไม่คิดช่วยตัวเอง
ท่านมหาตมะคานธี แกก็เอาหลักพระพุทธศาสนาไปใช้มั่ง แกพยายามช่วยตัวเองทุกอย่าง ในการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน สอนคนที่มาอยู่ค่ายให้คิดช่วยตัวเอง คิดพึ่งตัวเอง สอนคนในชาติให้เอาทรัพยากรในแผ่นดินมาใช้ ช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อินเดียต้องพึ่งตนเอง หลักการของท่านอย่างนั้น แล้วคนอินเดียก็พยายามพึ่งตัวเอง ช่วยตัวเอง เขาทำอะไรได้หลายอย่าง ทำรถไฟได้ ทำเรือบินได้ ทำรถยนต์ได้ ทำจักรเย็บผ้าได้ ทำอะไรๆได้ ในบ้านในเมืองของเขา เขาสั่งซื้อแต่นั้น สิ่งใดที่เขาทำไม่ได้ เขาไม่ใช้ เขาใช้เฉพาะของที่เขาผลิตได้ อย่างรถยนต์อย่างนี้ เราไปเมืองอินเดียจะไม่เห็นรถของใครๆ วิ่งเพ่นพ่าน มีแต่รถอินเดียเท่านั้น ยี่ห้อเดียว วิ่งอยู่เต็มถนน รถอื่นไม่มี เพราะเขาไม่ให้ใช้ เมื่อยังไม่มีของเรา อย่าไปใช้ของคนอื่น เราอยู่กันมาได้ สร้างประเทศสร้างชาติมาได้ ด้วยการอย่างนี้ พึ่งตัวเอง เพราะเขามีอุดมการณ์อย่างนั้น เขาก็ช่วยตัวเองได้มากที่สุด
เราก็ควรจะคิดทำตามแบบนั้น คือเอาหลักของพระผู้มีพระภาคไปใช้ ทำให้ความคิดมันก้าวหน้าดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องแก้ไข ปรับปรุงขึ้นในตัวเรา เอาหลักการของพระศาสนาเรามาใช้ในชีวิตประจำวัน พยายามช่วยตัวเองให้มากขึ้น อย่างเราคิดค้าคิดขาย ชั้นแรกมันก็ขาดทุนบ้างเพราะยังไม่เก่ง ทำไปบ่อยๆ งานมันสอนคน แล้วเราค่อยเก่งขึ้น ดีขึ้น มีความเข้าใจในเรื่องอะไรต่างๆมากขึ้น ทีนี้ก็ยืนด้วยขาตัวเองได้ ด้วยสติ ด้วยปัญญาด้วยความรู้ด้วยความสามารถ ก็เอาตัวรอดปลอดภัยได้ด้วยประการทั้งปวง นี่มันเป็นประโยชน์ ดังนั้นสิ่งที่เราสวดนั้นเอาไปนั่งคิดนั่งตรอง แล้วเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วเราจะก็ได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นทุกประการ ดังแสดงมาในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยม นั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจนั่งตัวตรง พยายามนั่งหลังให้ตรง หายใจจะได้สะดวก แล้วก็หลับตากำหนด หายใจเข้ายาว กำหนดรู้ หายใจออกยาว กำหนดรู้ ให้สติคือตัวรู้มาอยู่ที่ลมเข้าลมออก อย่าให้ไปไหน ถ้ามันไปก็ต้องดึงกลับมา เผลอไป เผลอไปคิดเรื่องอื่น เราอย่าเผลอคอยคุมไว้ เป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้ ณ บัดนี้