แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ได้เวลาที่จะแสดงปาฐกถาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ อย่ามัวเดินไปเดินมา นั่งพักใต้ร่มไม้สบาย ๆ แล้วก็ตั้งอกตั้งใจฟังเสียงซึ่งดังจากห้องประชุมนี้ด้วยความตั้งใจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สมค่ากับที่มาประชุมกันทุกวันอาทิตย์
โดยเฉพาะอาทิตย์นี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรายการเล็กน้อย ก็เพราะว่าคณะครูได้มาประชุมปรึกษาหารือกันในเรื่องเกี่ยวกับ (การ) สอนศีลธรรมในโรงเรียน ประชุมกันตั้งแต่เมื่อวาน อาตมาไม่อยู่เพราะเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ กลับมาเมื่อคืน เพื่อมาแสดงธรรมในวันอาทิตย์ตามปกติ คณะครูก็ยังประชุมกันอยู่ในตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนเย็นนู้นถึงจะเลิกการประชุม
ญาติโยมที่เคยมาฟังเป็นประจำ มาวันนี้ก็ไม่ได้นั่งในห้องประชุม ไม่เป็นไร นับว่าเราเสียสละเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง เพราะว่าปีหนึ่งครูจะมาประชุมกันเพียงครั้งเดียว และได้ประชุมกันอยู่ในรูปอย่างนี้หลายครั้งแล้ว
เริ่มก็ประชุมกันที่วัดนี้ แล้วก็มาประชุมที่วัดนี้เรื่อย ๆ ความจริงก็มีหอประชุมที่โรงเรียนปากเกร็ด เขาเสนอมาเหมือนกันว่าให้ไปประชุมที่นั่น แต่ว่าบรรยากาศมันไม่เหมือนกับที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ เพราะว่าที่วัดนี้มีบรรยากาศสดชื่นกว่า มีร่มไม้ตามธรรมชาติ แล้วก็เป็นสภาพอยู่ในวัด
วัดเรานี้มันเป็นสถานที่สากล ที่ใคร ๆ จะมาใช้ประชุมได้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ แม้นักการเมืองก็มาขอใช้ เมื่อวันก่อนนี้พรรคหนึ่งเขามาขอใช้สถานที่เพื่อประชุมพรรค อาตมาก็เห็นว่าไม่เสียหาย เพราะเป็นการประชุมที่เกิดประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมืองตามนโยบายของเขา แล้วการที่เขาประชุมกันที่วัดนั้นดี เพราะเราจะได้มีโอกาสพูดจาปราศรัยกับนักการเมืองเหล่านั้นบ้าง เพื่อให้รู้จักหน้าที่อันตนจะพึงปฏิบัติในฐานะเป็นนักการเมือง แล้วก็ได้พูดสมความตั้งใจ เขาอัดเทปไปแจกกันเป็นการใหญ่ในหมู่นักการเมืองเหล่านั้น หนังสือพิมพ์ก็ไม่ว่าอะไร แต่บางคนพูดจาแคะไค้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พอระคายหู แต่ก็ไม่ระคายอะไร ว่าไม่ควรจะไปประชุมพูดจาเรื่องการเมืองกันที่ในวัด (แล้วจะ) ให้ไปประชุมที่ไหน ถ้าไม่ประชุมกันที่วัด ก็วัดนี่เป็นสถานที่สโมสรสำหรับชาวบ้านตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาแล้ว ใครจะประชุมอะไรสมัยก่อนนี่เขาไปประชุมกันที่วัดทั้งนั้นแหละ แม้ราชการจะประชุมประชาชนก็ไปนัดประชุมกันที่ศาลาวัด แล้วก็ได้ประโยชน์มาก
แต่สมัยนี้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า เรามักจะไปประชุมกันตามโรงแรม ไปประชุมโรงแรมนั้นเสียเงินราชการมาก ค่าเช่าที่พัก ค่าห้องประชุม ค่าอาหาร ค่าเหล้า ค่าเบียร์หลายอย่าง ก็ต้องเสียไปมาก ๆ เขาพูดกันแต่เรื่องการประหยัด ๆ กันอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเวลามีการประชุมนั้นไม่ยักจะประหยัด ชอบใช้โรงแรมเป็นที่ประชุม ผู้จัดการประชุมอาจจะมีเอี่ยวกันกับโรงแรมบ้างก็ได้ คือว่าได้เปอร์เซ็นต์ในการนำคนเข้าไปในโรงแรม จึงชอบกันในรูปอย่างนั้น ถ้ามาประชุมที่วัดนี่ไม่มีเอี่ยวอะไร
นอกจากว่าจะได้ฟังพระพูดบ้าง แต่บางคนก็ไม่ค่อยชอบฟังพระพูดเหมือนกัน คนที่ไม่ชอบฟังพระพูดนั้นเป็นพวกใจบาปหยาบช้า คือว่าคนใจบาปนี่ไม่อยากจะฟังเสียงพระ เพราะว่าฟังเสียงพระทีไรแล้วมันร้อนใจตกนรกทุกที เพราะว่าพระพูดเรื่องอะไร (นี่) มันอยู่บน “หัวกู” ทั้งนั้น เลยไม่สบายใจ เลยไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากฟังธรรม แม้นิมนต์พระไปเทศน์ถึงที่ตนอยู่ ก็มักจะอ้างว่าติดธุระ ไม่ค่อยจะมาฟัง แต่ถ้าเรื่องอื่นแล้วไม่ค่อยติดธุระ(หรอก) ไปทุกที แต่ถ้าเป็นเรื่องพระแล้วก็ติดธุระไม่อยากจะมา คือว่ามาแล้วมันไม่สบายใจ
คนเราเวลาฟังพระเทศน์นี่ ถ้ามีสุจริตอยู่ในจิตใจแล้วมันสบาย ฟังแล้วปีติเอิบอาบซาบซ่านในจิตใจ เพราะนึกถึงตัวทีไรก็ไม่มีอะไรเศร้าหมอง ไม่มีอะไรที่จะเป็นความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ ใจก็สบาย แต่คนที่ทำชั่วนั้น ถ้าได้ยินเสียงพระพูดแล้วไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ชอบฟังธรรมคือคนเสื่อม
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ธมฺมเทสฺสี ปราภโว - คนชังธรรมะเป็นผู้เสื่อม” ชังในการที่จะศึกษา ชังในการที่จะปฏิบัติ ชังในการที่จะเอาไปเผยแผ่ให้แพร่หลาย ก็เรียกว่าเป็นความเสื่อมทางจิตใจของคนเหล่านั้น
พวกเราที่เป็น “ครู” นี้ไม่มีความเสื่อมทางจิตใจ จึงได้มาประชุมกันที่วัด แล้วก็มีน้ำอดน้ำทนที่จะฟังเสียงอะไร ๆ ต่าง ๆ ซึ่ง “ชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้สุขเกษมศานต์” ให้เราทั้งหลายได้เข้าใจ
เมื่อตะกี้นี้สามเณรน้อยเข้ามาพูดเคาะครูหลายเรื่อง เรียกว่าเคาะสนิมออกกันเสียบ้าง พวกเราก็ฟังกันแล้วก็ร่าเริงดีสบายใจ เพราะว่าฟังแล้วก็ไม่มีอะไร เรามีอะไรบกพร่องเราก็ยอมรับ มีอะไรที่มันยังไม่สมบูรณ์ก็คิดจะแก้ไขเพื่อทำให้อะไร ๆ สมบูรณ์ขึ้น อย่างนี้เป็นวิสัยของผู้ใคร่ต่อการศึกษา เขาเรียกว่า “ธรรมกามบุคคล – บุคคลผู้ใคร่ธรรม” สนใจใน(การ)ที่จะเอาสิ่ง(นั้น)ไปใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราก็จะเกิดความสุขความเจริญในชีวิตต่อไป
โดยเฉพาะพวกเราทั้งหลายที่ทำหน้าที่เป็นครูเป็นอาจารย์ อันเป็นงานหนักส่วนหนึ่งของชาติบ้านเมือง หลวงพ่ออยากจะกล่าวว่า “งานครูนี่แหละเป็นงานยิ่งใหญ่ สำคัญที่สุดในชีวิตของชาวโลก เพราะเป็นงานสร้างสรรค์ชีวิตจิตใจ ให้คนเจริญด้วยความรู้ ด้วยความสามารถ ด้วยการประพฤติดีประพฤติชอบ อันเป็นสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ” โดยเฉพาะเมืองไทยเรานี้กำลังต้องการคนอย่างนี้ คือคนที่มีความรู้ มีความสามารถ และมีความประพฤติดีเป็นฐานทางจิตใจด้วย เวลานี้มีไม่ค่อยพอใช้ มีอยู่บ้างก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อย มักจะมีอะไร ๆ แสดงออกมา ให้คนได้รู้ได้เห็นว่า “ไม่สุจริต” อยู่บ่อย ๆ
อันนี้คือความเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจ เพราะว่าเขาได้รับการอบรมบ่มในทางธรรมะมาน้อย ไม่ค่อยได้เข้าใกล้พระ ไม่ค่อยฟังเสียงพระ แต่ว่าเขาคิดแต่ในเรื่องทางวัตถุอยู่ตลอดเวลา เข้าไปนั่งตรงไหน มีทางจะมีจะได้อะไรขึ้นมาบ้าง ก็ไม่ละเลยที่จะแสวงหาสิ่งที่เป็นวัตถุให้ตนมีตนได้ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นความเสื่อมเสียแก่ประเทศชาติบ้านเมือง ขาดหิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอายบาป ไม่มีความกลัวบาป อันนี้มีอยู่มาทั่ว ๆ ไปในสังคมในยุคปัจจุบัน เหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ก็เกิดมากขึ้น ซึ่งเราทั้งหลายย่อมประจักษ์แก่ใจกันอยู่ทั่วกัน อันเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลอยู่ไม่ใช่น้อย ใครจะเป็นคนแก้ปัญหาเหล่านี้ อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกันคิด
อาตมาก็อยากจะกล่าวว่า ผู้ช่วยแก้ที่สำคัญก็คือ “ครู” นี่เอง แต่ว่าไม่ใช่ครูคนเดียวจะแก้ได้ ต้องอาศัยคนที่เป็นครูหลายครูด้วยกันคือ
๑. ครูที่บ้าน
๒. ครูที่โรงเรียน
๓. ครูที่วัด
๓ ครูนี้จะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความคิดตรงกัน มีจุดมุ่งหมายตรงกัน มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวมตรงกัน แล้วช่วยกันทำอย่างจริงจัง มี(ความ)หวังว่าจะเกิดความสุขความเจริญในชาติในบ้านเมืองของเราได้
ครูที่บ้านนั้นก็คือ พ่อ แม่ ปู่ ตา ย่า ยาย ของเด็กน้อย ๆ ซึ่งเป็นครูในบ้าน ในทางพระพุทธศาสนาสอนว่า “มารดาบิดาเป็นครูคนแรกของบุตรธิดา” ครูคนแรกนี่สำคัญมาก ที่จะช่วยอบรมบ่มจิตใจของเด็กให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ว่าครูที่บ้านนี่ไม่ค่อยจะได้พบกับผู้แนะนำเท่าไร เวลาโรงเรียนมีงานมีการ ครูที่บ้านนี่ไม่ค่อยมา เชิญก็ไม่ค่อยจะมา นาน ๆ จึงจะได้มาสักครั้งหนึ่ง ต้องเป็นความสามารถของครูเป็นพิเศษที่จะเชิญมาได้เหมือนกับครูที่โรงเรียนวัดทัศนารุณสุนทริการาม ครูสมสวาทเขามาเล่าเมื่อปีก่อนโน้น ว่าหาอุบายเอาแม่เด็กมาได้ มาให้ลูกกราบจนน้ำตาไหลไปตาม ๆ กัน นั่นเรียกว่าใช้อุบายพิเศษพามาโรงเรียนได้ แต่ว่าเวลามีงานอะไร ถ้านิมนต์พระไปพูด บอกว่านิมนต์หลวงพ่อไปพูดกับผู้ปกครองหน่อย อาตมาบอกว่า “อย่าไปพูดกับผู้ปกครองเลย ไม่มากันหรอก มาไม่กี่คน” แล้วก็จริง ๆ เหมือนว่า ไม่ว่าไปโรงเรียนไหนล่ะ ผู้ปกครองไม่มา เชิญผู้ปกครองมาโรงเรียนนี้เหมือน “ลากแมวข้างหาง” ไม่มาหรอก แล้วจะพูดกันได้อย่างไร เราก็ไม่มีโอกาสจะได้ทบทวน แนะนำ พร่ำเตือนในเรื่องอะไรต่าง ๆ
อันนี้เป็นความบกพร่อง แม้ในวงการอื่นก็เหมือนกัน เช่น ในค่ายทหารนี่ความจริงคนอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เวลานิมนต์ไปเทศน์ บอกว่า “นิมนต์ไปเทศน์กับนายทหาร นายสิบและครอบครัว” ครอบครัวไม่มี มีแต่พ่อบ้าน แม่บ้านไม่ได้มาสักที ถามผู้บังคับบัญชาว่า เห็นว่ามีแม่บ้านด้วย บอกว่า “บอกเขาแล้วเขาไม่มา” ก็แสดงว่าทหารนี่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่สามารถจะบังคับแม่บ้านให้มาสู่ที่ประชุมได้ แล้วบ้านเมืองจะไปรอดได้อย่างไร เพราะแม่บ้านไม่อยู่ใต้บังคับของพ่อบ้าน จะอยู่กันได้อย่างไร
อย่างนี้เป็นปัญหา แต่ว่าปล่อยไว้ก่อน เราเอาครูที่โรงเรียนกันเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะทำหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน ส่วนครูที่บ้านนั้นก็ค่อยว่ากันไปเรื่อย ๆ มีโอกาสเมื่อใดก็เทศน์กันเมื่อนั้น ส่วนครูที่โรงเรียนนั้นมีหน้าที่ประจำ ที่จะต้องจัดต้องทำอยู่ตลอดเวลา เกี่ยวกับการสอนอบรมเด็ก
แต่ว่าหลักการสอนเด็กในปัจจุบันนี้ อยากจะพูดว่าเริ่มตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ละเลยเพิกเฉยในการอบรมศีลธรรมแก่เด็กมากขึ้น จนกระทั่งว่าจะไม่เอาใจใส่กันเสียแล้ว เพราะฉะนั้นสังคมตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมานี้ จึงมีสภาพจิตเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ไม่เหมือนกับสังคมในสมัยก่อน ซึ่งมีการกวดขันในการสอน การประพฤติ การปฏิบัติอย่างมาก
สมัยเป็นเด็กอยู่โรงเรียน ครูใหญ่ก็ดี ครูน้อยก็ดี คอยกวดขันแนะนำพร่ำเตือนเหลือเกิน ไม่ได้เตือนเปล่าไม้เรียวก็ใช้มากอยู่เหมือนกัน สมัยนี้ไม้เรียวเขาไม่ให้ใช้ เขากลัวลูกเขาจะช้ำ ใครไปตีลูกเขาก็จะเกิดเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล พ่อแม่รักลูกมากแต่ว่ารักร่างกายมากกว่ารักวิญญาณของเด็ก เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดการได้ใจ ในการที่จะทำอะไรตามใจตัวใจอยากมากขึ้น หลักการยังไม่ค่อยจะดี ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ปัญหาทางศีลธรรมจึงย่ำแย่ลงไปทุกวันเวลา แต่ว่าเราจะไปแก้หลักการนั้นไม่ได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องนโยบายของรัฐ เป็นเรื่องของนักการเมืองที่เข้าไปบริหารบ้านเมือง ว่าจะมีความคิดอย่างไรในเรื่องอย่างนี้
แต่ถ้าประชาชนฉลาดก็แก้ได้เหมือนกัน คือแก้ได้ด้วยการเลือกคนที่เป็นคนดีเข้าไปบริหารบ้านเมือง ไม่เลือกคนที่บวม ๆ อะไรเข้าไป แต่เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าคนนี้น่ะบริหารตนอย่างไร บริหารครอบครัวอย่างไร แล้วจะไปบริหารชาติประเทศได้อย่างไร มันต้องพิจารณากันให้ละเอียดจึงจะเลือกเข้าไป พรรคไหนที่มีปรากฏการณ์ไม่ค่อยจะเรียบร้อย เราก็ควรจะพิจารณาว่าไม่เรียบร้อย แสดงว่าหัวหน้าไม่เรียบร้อย ลูกน้องก็ไม่เรียบร้อย เพราะถ้าสมภารเรียบร้อย ลูกวัดก็พลอยเรียบร้อยไปด้วย ถ้าสมภารไม่เรียบร้อย ลูกวัดก็ไม่ค่อยเรียบร้อย มันเป็นเรื่องธรรมดา จึงต้องพิจารณากันในแง่นั้นต่อไป
แต่ว่าในฐานะที่เราเป็น “ครู” เราจะต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของเราให้มากสักหน่อย อย่าไปคิดว่าอย่างไร ๆ เลย คนอื่นเขาจะอย่างไรก็ช่างเขา แต่เราก็จะรักษาหน้าที่ของเราให้ถูกต้องดีงาม เราจะเป็นช่างหม้อที่ปั้นหม้อให้ได้รูปทรงสวยงาม ไม่แตกไม่ร้าว ไม่บิดไม่เบี้ยว ให้ตลาดต้องการซื้อเอาไปใช้เป็นภาชนะหุงต้ม หรือใช้อะไรก็ได้ตามชอบใจ เราจึงต้องตบแต่งทุบตีให้หม้อได้รูปได้ทรงที่สวยงามเรียบร้อย ให้ใครเขาชมว่าโรงเรียนนั้นสร้างเด็กดี มีคุณภาพ แล้วก็จะได้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองต่อไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะต้องช่วยกัน ในการช่วยกันในเรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาสถานการณ์ ความเป็นอยู่ของสังคม ว่าสังคมที่เกิดความบกพร่องเสียหายนั้นมันบกพร่องที่ตรงไหน สาเหตุมันอยู่ที่อะไร อันนี้เราจะต้องเอาหลักการทางพระพุทธศาสนาไปใช้เป็นเครื่องพิจารณา
พระพุทธศาสนาสอนเราว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้” แล้วสอนต่อไปว่า “เหตุอะไรทั้งหลายทั้งปวงนั้น มันเกิดมาจากข้างใน ไม่ใช่เรื่องข้างนอก” เรื่องข้างนอกนั้นไม่สำคัญ แต่เรื่องข้างในสิสำคัญ พระพุทธศาสนามุ่งด้านในมากกว่าด้านนอก เพราะข้างในมันสร้างข้างนอก ไม่ใช่ข้างนอกมันสร้างข้างใน ถ้าข้างในดีแล้วข้างนอกมันก็ดี ถ้าข้างในมันเสีย...ข้างนอกมันก็พลอยเสียไปด้วย
แต่ว่าในปัจจุบันนี้เราคิดแต่เรื่องข้างนอก ไม่คิดแก้ปัญหาข้างใน เราพูดกันแต่เรื่องเศรษฐกิจตกต่ำอะไรต่ออะไรต่าง ๆ โจรผู้ร้าย ...... (19.13) ชุกชุม อาชญากรเกิดมาก อาชญากรรมชุกชุม เพราะเศรษฐกิจมันตกต่ำ อันนี้เรียกว่าพูดมองเหตุข้างนอก ผิดหลักการทางพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาไม่ให้มองเหตุข้างนอก เพราะว่าสิ่งข้างนอกนั้นมันเกิดมาจากข้างใน เกิดมาจากความคิดของคน ความคิดของคนเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ถ้าคนมีจิตใจดีงาม เขาก็สร้างสรรพสิ่งที่ดีงามขึ้น ถ้าจิตใจต่ำทราม เขาก็สร้างสิ่งที่ต่ำทรามขึ้นมา เพราะฉะนั้นสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายนั้น อยากจะฝากให้คิดไว้ว่ามันเกิดจากใจของคน เกิดจากความคิดเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เกิดจากอะไรอื่นอันเป็นสิ่งภายนอก แม้สิ่งภายนอกจะมี แต่ถ้าจิตใจของเขามั่นคงอยู่ในศีลในธรรม สิ่งข้างนอกนั้นจะไม่ทำให้เขาเสียผู้เสียคนได้ เพราะจิตใจสูง
ท่านมหาตมะ คานธี เป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียและของโลกก็ว่าได้ ท่านบูชาคุณธรรม บูชาสิ่งถูกต้อง มากกว่าบูชาวัตถุ แม้ใครจะเอาวัตถุมากองให้มากมายสักเท่าใด ท่านไม่ได้พอใจในวัตถุนั้นเลย ท่านไม่ยอมรับสิ่งนั้น ท่านคืนให้แก่เขาไป ไม่ต้องการสิ่งนั้นเอามาไว้ใช้ เช่น คราวหนึ่งท่านจะกลับจากประเทศอาฟริกาไปสู่ประเทศอินเดียบ้านเกิดของท่าน ท่านไปอยู่อาฟริกานี่ไปช่วยคนอินเดียที่ถูกบีบคั้นทางการบ้านการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคมทุกอย่าง เพราะฝรั่งในอาฟริกานั้นเป็นฝรั่งที่บ้าบอที่สุด บ้าบอในเรื่องถือผิวอย่างรุนแรง กีดกันคนผิวไม่ให้ไปศึกษาอะไรหลายอย่าง ไม่ให้อยู่แม้ในพื้นที่ที่เขากีดกันไว้ คนผิวดำต้องออกไปอยู่นอกเมืองนอกบ้าน ไม่ให้เข้ามาอยู่ในบ้านในเมือง รถไฟ...คนผิวขาวนั่ง (รถไฟชั้นหนึ่ง) ได้ (คน) ผิวดำนั่งไม่ได้ อะไร ๆ ก็ต้องผิวขาวเป็นประเสริฐ ถ้าผิวดำนี่ไม่ได้ขึ้นเลย
คนอินเดียก็ผิวดำ ไปอยู่นั่นก็พลอยถูกเหยียดหยาม ถูกดูหมิ่น บีบคั้นจิตใจด้วยประการต่าง ๆ ท่านก็ไปต่อสู้สิ่งเหล่านั้น ไปในฐานะเป็นทนายความ แต่เป็นทนายความที่ไม่เหมือนใคร เพราะเป็นทนายความที่ไม่ชอบเอาเงิน ชอบให้คู่ความประนีประนอมกัน ไม่ต้องเป็นความกัน โดยอธิบายให้เห็นว่าการเป็นความนั้นมันสิ้นเปลืองมาก สิ้นเปลืองเงินทอง สิ้นเปลืองสมอง ประสาทก็เสีย คิดมาก วิตกกังวล จะเป็นโรคประสาทไปตาม ๆ กัน แต่ถ้าเราประนีประนอมกันแล้ว เรื่องมันจบเร็ว ไม่ต้องเป็นทุกข์นาน ๆ แกเป็นคนกลางไปดึงคู่ความมาพบกัน วิ่งพูดวิ่งจาจนคนทั้งสองยิ้มกันได้แล้วก็ยอมประนีประนอม ทำให้คนเหล่านั้นคืนดีกัน ไม่ต้องโกรธกัน
นาน ๆ ไปคนเหล่านั้นก็เห็นประโยชน์การงานที่ท่านทำ เวลาจะกลับบ้าน จึงได้ซื้อเครื่องของขวัญ เป็นเครื่องเพชรประดับประดาร่างกายราคาสูง เอาไปให้เป็นของขวัญ ภรรยารับไว้ เพราะคานธีไม่อยู่บ้านในตอนนั้น พอกลับมาถึงรู้ว่าภรรยารับของไว้ แกนอนไม่หลับทั้งคืน ตรองว่าจะเอาคืนให้เขาอย่างไร จะไม่ช้ำใจภรรยา เพราะผู้หญิงนั้น ขออภัยเถอะ...ชอบสิ่งสวยสิ่งงาม ชอบเพชรนิลจินดาอัญมณีต่าง ๆ ที่จะเอามาประดับไว้ที่ร่างกาย จะพูดเอาคืนมานี่คงขัดใจกันไม่ใช่น้อย เลยเรียกลูกชายมาให้ไปช่วยพูดกับแม่ ลูกชายมีความคิดเหมือนพ่อ เลยเข้าไปพูดกับคุณแม่ คุณแม่พอได้ยินลูกชายพูดก็ลุกขึ้น เดินมาด้วยอารมณ์ไม่พอใจ น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาทีเดียว โต้เถียงคานธีด้วยประการต่าง ๆ คานธีท่านใจเย็น ท่านค่อยพูดค่อยจา แล้วผลที่สุดก็ปลดสายสร้อยเพชรแหวนเพชร อะไรต่ออะไรที่ประดับอยู่ที่ร่างกายของภรรยาออกหมด เอาไปมอบให้แก่กรรมการเพื่อจัดการขายเสีย แล้วเอาเงินมาไว้เป็นทุนส่งเสริมคนยากคนจนต่อไป
นี่คือคนที่บูชาธรรมะ บูชาด้านในไม่ได้บูชาด้านนอก ไม่เอาความงามด้านนอกแต่เอาความงามด้านใน ไม่ต้องการประดับสิ่งภายนอก แต่ก็ต้องการประดับสิ่งภายในคือจิตใจ (คานธี)นี่เป็นคนมีใจสูงมาก เราหายากคนอย่างนี้ ในโลกก็มีคานธีคนเดียวเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มีใครเอาอย่างท่านหรอก เอาอย่างได้นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่มากเหมือนท่าน ท่านเป็นผู้ให้หมดตัว ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ
อันนี้เราต้องการจะเพาะคนให้มีนิสัยอย่างนั้น ให้คนเป็นคนที่มองเห็นปัญหาถูกต้อง เวลานี้เรามองปัญหาผิด แล้วไปแก้กันที่วัตถุด้วยประการต่าง ๆ ไม่แก้กันที่จิตใจ ปัญหาก็ไม่เป็นอันถูกแก้เพราะแก้ไม่ถูกเรื่อง การแก้ที่ถูกเรื่องนั้นต้องเอาหลักพระพุทธศาสนามาใช้เป็นหลัก เป็นนโยบาย ในการบริหารกิจการต่าง ๆ
อยากจะกล่าวว่าถ้าเราเอาหลักการของพระพุทธเจ้ามาใช้ สิ่งทั้งหลายจะดีขึ้น เรียบร้อยขึ้น แต่เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้สนใจในธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เรารู้จักพระพุทธศาสนากันแต่เพียงชื่อ แต่ไม่ซาบซึ้งในคำสอน ไม่ซาบซึ้งในหลักการของพระพุทธศาสนา แม้จะเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา เช่น มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นข้าราชการชั้นซี ๑๐ ซี ๑๑ หรือว่าเป็นนายพลอะไรต่าง ๆ ขออภัยที่จะกล่าวว่ายังโง่เง่ากันอยู่ไม่ใช่น้อย ยังทำสิ่งที่คนปัญญาอ่อนกระทำกันอยู่ ยังไปหลงใหลมัวเมาในผีสางนางไม้ หลงใหลมัวเมาในการเสี่ยงทาย หลงใหลมัวเมาในเรื่องโชคลางอะไรต่าง ๆ ว่าจะช่วยให้ตนอยู่รอด ช่วยให้ประเทศชาติอยู่รอด นั่นไม่สมกับความเป็นพุทธบริษัท ทำไมจึงได้เป็นเช่นนั้น เรามาคิดกันต่อไปว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเราไม่มีการอบรมสั่งสอนให้คนได้รู้ได้เข้าใจในเรื่องพระพุทธศาสนาถูกต้อง
ครูในวัดนี่ก็แย่เหมือนกัน คือพระเรานี่เรียกว่าแย่เหมือนกัน พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม พูดว่ายังแย่กันอยู่ เพราะยังกระทำอะไรนอกรีตนอกรอย ไม่ตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่มากมาย ชอบทำคนให้โง่ ให้หลง ให้งมงายด้วยประการต่าง ๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้ธรรมะที่ถูกต้องไปเป็นหลักการเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิต ปัญหาสังคม ปัญหาทางการเมือง ปัญหาอะไรต่าง ๆ เราไม่ใช้ เราไปใช้หลักการที่ไม่เข้าเรื่อง เพราะไม่เอาสิ่งถูกต้องไปใช้ นี่แหละเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สังคมในยุคปัจจุบันนนี้ง่อยเปลี้ยเสียแข้งขากลายเป็นสังคมพิกลพิการทางจิตทางวิญญาณอยู่ไม่ใช่น้อย
พวกครูลองคิดดูนะ ที่เป็นเช่นนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นตั้งแต่ผู้ใหญ่จนถึงผู้น้อย เป็นทั่ว ๆ ไป ถ้าใครจะพูดสิ่งถูกต้องให้ฟังบ้าง จะกลายเป็นไม่ถูกไป กลายเป็นเรื่องแผลงไป มันต้องพูดกันให้โง่กันต่อไป ให้หลงกันต่อไป ให้เข้าใจผิดกันต่อไป ใครหลับใครตาบอดก็อย่าไปทำการผ่าตัด ใครไม่รู้ก็อย่าไปสอนให้รู้ ให้มันงมงายกันอยู่อย่างนั้นแหละจึงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจ ถ้าพูดอะไรแปร่งออกไปให้มันถูกสักหน่อย เสียงปัญญาอ่อนทั้งหลายก็จะคัดค้านกันขึ้นมา แม้บางคนบอกว่าได้เรียนพุทธศาสนามานานแล้ว ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไร คือไม่รู้เรียนเรื่องอะไร เรียนศาสนาคัมภีร์ไหนก็ไม่รู้ ไม่เข้าถึงตัวแท้ของพระศาสนา ยังเข้าใจผิดอะไรกันอยู่ด้วยประการต่าง ๆ นี่คือสิ่งที่น่ากลัว
อันตรายของเมืองไทยนั้นอยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่มิจฉาทิฏฐิ อยู่ที่ความเห็นผิดทั้งหลายทั้งปวงซึ่งไม่ถูกตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราจะกู้ชาติกู้บ้านเมืองให้หลุดพ้นจากความลำบากยากแค้น เราต้องกู้ให้ถูกทาง กู้ให้มันถูกจุด จึงจะสามารถเอาขึ้นมาได้ แต่ถ้ากู้กันไม่ถูกจุดแล้วเอาตัวไม่รอด...เอาตัวไม่รอด อยากจะฝากแนวคิดนี้ไว้ว่า “เอาตัวไม่รอด” ขอให้คำพูดนี้ปรากฏไว้ในหนังสือ คนจะได้อ่านได้ศึกษาว่าท่านปัญญาฯ พูดอย่างนี้ ต้องการให้ตรง ให้เข้าใจกันให้มันถูกต้อง เพื่อ(จะ)ได้แก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น
เราที่เป็น “ครู” เป็น “อาจารย์” นี่ต้องช่วยกัน “ครูพระ” นี่ต้องช่วยกันให้เต็มที่ หลวงพ่อนี่ช่วยเต็มที่ พูดไม่เกรงคนแล้ว แก่แล้ว...ไม่เป็นไร ใครจะทำอะไรก็ไม่ว่าแล้ว เพราะว่าอายุมันปูนนี้แล้ว อะไรที่ควรพูดก็ต้องพูด อะไรควรแสดงก็ต้องแสดง เพราะเวลาที่จะพูดกันน่ะมันน้อยเข้าไปทุกทีแล้ว จะไม่ได้พูด ไม่ได้แสดงแล้ว
คนบางคนบอกว่า มันไม่ควรจะพูดอย่างนั้น เอ๊ะ แล้วไม่พูดอย่างนั้นแล้วจะพูดอย่างไร เมื่อคนเดินผิด...เราไม่บอกแล้วเราจะทำอะไร คนไม่เข้าใจ...เราไม่พูดให้เข้าใจแล้วจะทำอย่างไร เมื่อเราเห็นคนป่วยไข้...เรามียาแล้วไม่รักษานี่มันก็แย่เต็มที เราต้องรักษาเขาเมื่อเห็นเขาป่วยเขาเจ็บอยู่ ไอ้ป่วยทางร่างกายนะไม่กระไรหรอก แต่ป่วยจิตป่วยวิญญาณนี่มันร้ายหนักหนา ถ้าเราไม่เยียวยาไม่รักษาแล้วเขาจะดีขึ้นได้อย่างไร จะปล่อยให้เป็นคนโรคจิตกันทั้งบ้านทั้งเมืองอย่างนั้นหรือ มันถูกต้องไหม...เราลองคิดดูนะ มันไม่เป็นการถูกต้อง เราจึงต้องช่วยกันแก้ไข
พวกครูเรานี่ก็ต้องช่วยแก้กัน อย่าทำอะไรที่มันไม่ถูกต้องตาม ๆ กันมา อะไรที่เขาเคยทำกันมาแต่มันไม่ถูกต้อง เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข เช่นว่าอะไรที่ขัดกับหลักพระพุทธศาสนานี่เราต้องกล้าพูดกันเสียบ้าง กล้าแสดงออกกันเสียบ้าง ไอ้ความโง่ทั้งหลายมันค่อยหายไป ความหลงผิดก็ค่อยหายไป มิจฉาทิฏฐิก็จะหมดไปสิ้นไป ถ้าเราเป็นคนกล้าที่จะทำในเรื่องอย่างนั้น อย่าเอาใจคนในเรื่องผิด อย่าเอาใจคนให้เขาโง่ อย่าเอาใจคนให้เขางมงาย เพราะการกระทำเช่นนั้นเรียกว่าเราร่วมกันสร้างบาปให้แก่สังคม ทำให้สังคมมืดบอดลงไปทุกวันทุกเวลา แล้วอะไรมันจะดีขึ้น ลองคิดดูด้วยปัญญาเถอะ อะไรมันก็จะไม่ดีขึ้น แต่เราควรจะดึงเข้าหาความถูกต้อง
เรามาศึกษาเรื่อง พระพุทธเจ้า ดูสักหน่อย ว่าพระองค์ทรงกล้าอย่างไรที่จะปรับปรุงแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้มันดีขึ้น พระองค์เกิดในประเทศอินเดีย แต่ว่าที่เกิดนั้นเวลานี้อยู่ในประเทศเนปาล ความจริงมันก็อยู่อินเดียนั่นแหละ แต่ว่าปันเขตมันติดตรงนั้นไป แล้วก็ไปตรัสรู้ที่ประเทศอินเดียจริง ๆ คือแคว้นพิหารพุทธคยา พระองค์เกิด เจริญงอกงาม ชีวิต (อยู่) ในสิ่งที่เรียกว่า “สีลัพพตปรามาส” คือความเชื่อเหลวไหลด้วยประการต่าง ๆ มนุษย์ไม่คิดช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง แต่จะไปพึ่งเทพเจ้าอะไรต่ออะไรเรื่อย ๆ ไป พระองค์เกิดขึ้นในสิ่งเหล่านั้น แต่ไม่ทรงเห็นด้วยกับสิ่งเหล่านั้น ทรงคัดค้านสิ่งเหล่านั้นอยู่ในพระทัยตั้งแต่เริ่มต้น แล้วก็ทนไม่ไหวจึงออกบวช เพื่อแก้ไขสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้อง บวชแล้วก็ไปเที่ยวศึกษาในสำนักต่าง ๆ ที่เขาเล่าเขาเรียนกันอยู่ในสมัยนั้น ก็ไปเรียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ เรียนด้วยความนอบน้อมต่อครูผู้สอน ไม่ได้ถือว่าเป็นกษัตริย์ เป็นเจ้าฟ้าชายหรือเป็นอะไรหรอก ไปเป็นศิษย์อย่างแท้จริงของอาจารย์ ทำหน้าที่ปฏิบัติอาจารย์ทุกอย่าง แล้วก็เรียนรู้(จน)หมดความรู้ของอาจารย์ มองเห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงได้ไปศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เองอีกต่อไป จนได้พบสัจธรรมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า
การบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้านี่ขอให้เราเข้าใจไว้หน่อย เผื่อใครมาพูดอะไรจะได้เข้าใจ รู้โดยพระองค์เอง ไม่มีใครมาดลบันดาลให้รู้ ไม่มีครูอาจารย์ใดมาสอน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความตั้งใจมั่น ความเพียรมั่น ความอดทน การมีจุดหมายแน่วแน่ในสิ่งนั้น จึงเกิดสิ่งนั้นขึ้นมาในน้ำพระทัย มันโพลงขึ้นในน้ำพระทัยของพระองค์ ด้วยความเพียร ด้วยความพยายามอย่างเหลือเข็ญ ในคืนที่จะตรัสรู้นั้น พระองค์อธิษฐานใจว่า “เลือดเนื้อจะเหือดแห้งไป เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ช่างมันเถอะ สิ่งใดที่จะสำเร็จด้วยความเพียร ด้วยความบากบั่นของคน ถ้าเราไม่สำเร็จสิ่งนั้น เราจะไม่ลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันขาด” นี่คือการอธิษฐานใจแรงกล้า เข้มแข็งที่สุด ซึ่งเราควรจะนำมาใช้ในชีวิตได้ แล้วก็ได้ตรัสรู้สัจธรรมคืนนั้น รู้ด้วยการคิดการค้น ไม่ใช่รู้ด้วย(การ)ดลบันดาลของอะไร ๆ
พระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “ดลบันดาล” เราเข้าใจข้อนี้ไว้ด้วย คือไม่มีอะไรมีอำนาจมาดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร เราจะดีก็ด้วยการทำดีของเรา ชั่วก็ด้วยการกระทำของเรา มั่งมีก็ด้วยการขวนขวายแสวงหาทรัพย์ รู้จักหา รู้จักเก็บ รู้จักใช้ รู้จักทำให้มันเจริญงอกงาม เราก็เป็นคนมีสตางค์เหลือใช้ เรียกว่าคนมั่งมี คือมีสตางค์เหลือใช้ ไอ้คนที่สตางค์ไม่พอใช้ มันก็ทำเอาเอง ไม่ใช่เพราะเส้นลายมือมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะมันเกิดเวลานั้น ดวงชะตามันเป็นอย่างนั้น อ้ายนี่มันไม่ใช่เรื่องพุทธศาสนา เราไม่ควรจะประพฤติปฏิบัติให้มันวุ่นวาย แล้วไม่ควรจะเพาะนิสัยนี้ลงไปในหัวของเด็ก ๆ ซึ่งจะทำให้เด็กเป็นคนเพ้อฝัน ไม่คิดก้าวหน้า ไม่ช่วยตัวเอง ไม่พึ่งตัวเอง
ประเทศไทยที่เฉื่อยชา ชักช้า ไม่ทันคนอื่นก็เพราะเรื่องนี้ เพราะมัวแต่ไปนั่งดูดาวดูเดือนกันอยู่ มัวแต่ไปดูดวงชะตาราศีกันอยู่ จะทำอะไรก็ต้องคอยฤกษ์คอยยาม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา - คนพาลคือคนปัญญาอ่อน มัวแต่ไปนั่งดูดาวดูเดือนอยู่ ประโยชน์มันก็ผ่านไปเสีย” ประโยชน์มันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ดวงดาวในท้องฟ้าจะช่วยอะไรได้
เราอย่าไปรับความเชื่อไม่เต็มบาททั้งหลายมาไว้ในสมอง แล้วอย่าไปถ่ายทอดให้กับใครต่อไป ตัดมันเสียที ฉลอง ๒๐๐ ปี แล้วเลิกโง่กันเสียที มาฉลาดกันเสียบ้าง ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร
จะให้พรแก่ใคร ก็อย่าให้พรว่า “ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้” พรไม่เต็มบาททั้งนั้นพรอย่างนั้นน่ะ มันมีที่ไหนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร...ไม่มี สิ่งศักดิ์สิทธิ์มี...ในพุทธศาสนาคือ “ธรรมะ” พระธรรมนี่แหละศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ใครเอาไปปฏิบัติแล้วเกิดประโยชน์สำเร็จประโยชน์จริง ๆ เพราะคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” นั้น (คือ) อำนาจที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ “ศักดิ์” หมายถึงอำนาจ “สิทธิ” คือความสำเร็จ อำนาจที่จะให้เกิดความสำเร็จคือธรรมะ เช่น อิทธิบาทที่เณรว่าเมื่อตะกี้นั่นแหละศักดิ์สิทธิ์ สอนให้เด็กเอาไปใช้แล้วมันจะเรียนสำเร็จ ทำงานสำเร็จ ต้องการอะไรสำเร็จ ใครจะสำเร็จอะไรมันก็สำเร็จด้วยธรรมะ
ถ้าเราจะให้พรใคร ก็บอกว่า “ขออวยพรให้เธอมีใจมั่นคงอยู่ในธรรมะ” มันค่อยเป็นหลักคำสอนหน่อย เข้าหลักเทคนิคของพระพุทธศาสนาสักหน่อย นี่เราอวยพรกันด้วยขออำนาจนั้นอำนาจนี้ มันจะไปช่วยได้อย่างไร ถ้าไม่ทำมันก็ไปไม่ได้ ต้องพูดในเชิงการกระทำ พูดในเชิงการปฏิบัติ เพื่อฝังนิสัยการปฏิบัติให้เกิดขึ้นในจิตใจ อย่าไปพูดว่าอะไรจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร แล้วเราอย่าไปเที่ยววิงวอนขอร้องอะไรจากอะไรเพื่อให้ช่วยตัว ต้องช่วยตัวเอง อย่าไปขอให้ใครช่วย
เวลานี้คนไทยเรานี่ไม่คิดช่วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งตัวเอง คิดจะกู้จะยืมเขาเรื่อยไป นี่เรียกว่าในทางบ้านเมือง กู้เรื่อย กู้เงินเขาเรื่อย เป็นหนี้เป็นสินเขาจะตายกันอยู่แล้ว ในส่วนบุคคลก็ไม่ค่อยจะคิดช่วยตัวเอง แต่ว่าจะต้องไปขอวิงวอนขอร้องกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ช่วยตน เพราะฉะนั้นวัดไหนมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์...สมภารไม่ต้องทำอะไร เรียกว่านอนรับเงินสบาย ๆ วันละหมื่นบ้าง หมื่นห้าบ้าง ร่ำรวยวัดร่ำรวยกันไปตาม ๆ กัน เพราะความโง่ของคนทั้งหลายที่ไปไหว้พระขอหวยขอเบอร์เหล่านั้น อันนี้เป็นความเขลาที่ถ้าเรามีไว้แล้วเราจะไม่ก้าวหน้า จิตใจจะไม่เจริญงอกงาม เราต้องช่วยกันแก้ไข พวกเราต้องแก้ ครูต้องแก้ ครูเองก็ต้องอย่าไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น อย่าไปบนบานศาลกล่าวอะไร อย่าไปไหว้อะไรที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ไม่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้า เช่น ไปไหว้ผี ไหว้เทวดา ไหว้ต้นไม้ ไหว้เสา ไหว้ศิวลึงค์อะไรต่าง ๆ ซึ่งมันน่าละอายนักไปไหว้สิ่งเหล่านั้น เพราะไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า
แม้เราไปไหว้พระพุทธรูปซึ่งเป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รูปเปรียบเนื้อหนังของพระพุทธเจ้า คนทำพระไม่เห็นพระพุทธเจ้าสักคนหนึ่ง เขาเรียกว่าภาพนึก มโนภาพ (image) ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าอิมเมจ ก็เป็นภาพนึกสร้างขึ้นจากมโนภาพ เป็นภาพแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ให้คนเห็นแล้วนึกถึงพระคุณของพระองค์ เช่น นึกถึงความกรุณา นึกถึงปัญญา นึกถึงความบริสุทธิ์ หรือว่าคุณงามความดีที่เราได้เห็นจากองค์พระพุทธเจ้า ให้นึกถึงสิ่งเหล่านั้น โน้มนำสิ่งเหล่านั้นมาเพาะเชื้อไว้ในใจ ทำใจเราให้มีสิ่งเหล่านั้นไว้ เราก็จะเจริญงอกงาม นี่ไหว้พระถูกต้อง
แต่ถ้าเราไปไหว้เพื่อขอหวยขอเบอร์ คอร์รัปชันกับพระพุทธรูป บอกว่าสำเร็จคราวนี้จะเอาไข่เป็ดมาถวาย ๑๐๐ ฟอง ข้าวเหนียว ๑ ชาม ปลาร้า ๑ ถ้วย ไหว้หลวงพ่อแก้ว ไปเซ่นกันทุกวัน หลวงพ่อแก้วน่ะ มาอยู่กรุงเทพฯ ๒๐๐ กว่าปีแล้ว โยมยังจะให้กินข้าวเหนียวปลาร้าอยู่นั่นแหละ ไม่เปลี่ยนอาหารให้ท่านบ้างเลย นี่เขาเรียกว่าคอร์รัปชัน ไปไหว้เพื่อคอร์รัปชัน ไม่คิดช่วยตัวเอง ไม่คิดพึ่งตัวเอง
เราพาเด็กไปตามวัด ตามโบสถ์ ตามศาลา ไปอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร ภาพนี้คือภาพอะไร รูปนี้คือรูปอะไร อย่าไปพูดให้เด็กหลงไปเป็นอันขาด ให้เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อเราเข้ามาเราต้องนั่งลงสงบใจ นึกถึงพระคุณเหล่านั้น นึกถึงความกรุณา นึกถึงปัญญา นึกถึงความบริสุทธิ์ แล้วก็ทำตัวเราให้เหมือนพระองค์ ให้รักเพื่อนมนุษย์ ให้อยู่ด้วยปัญญา ให้อยู่เพื่อความบริสุทธิ์ อย่าอยู่เพื่อความสกปรกเศร้าหมองทางจิตใจ เราพูดให้เด็กฟังอย่างนั้น ให้เข้าใจอย่างนั้น
จะนำเด็กไหว้พระสวดมนต์ก็พูดชักจูงสักหน่อย ให้เขารู้ว่าเรากำลังทำอะไร ไม่ใช่นั่ง ๆ (อยู่) เอ้าลุกขึ้นไหว้พระ เอ้า ไหว้อะไร เด็กก็ (ไหว้)ไปตามเรื่องแต่ไม่มีความหมาย เราต้องพูดจูงใจให้เขาเห็นอะไร ๆ ถูกต้อง แล้วเรานำเขากราบไหว้สักการะ จิตใจก็จะได้เกิดความซาบซึ้งในสิ่งเหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกันแก้ไข ช่วยกันทำลายความหลงผิด ความเข้าใจผิด ความเชื่องมงายทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ในสังคมไทยนี่ให้มันเบาลงไป ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ที่นับถืออยู่ ท่านไม่เลิกก็ไม่ว่าล่ะ เพราะไม่กี่วันท่านก็จะตายกันแล้ว ไม่ใช่แช่งโยมนะ มันตายตามธรรมชาติธรรมดา คนเราเกิดแล้วมันก็ตายทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเรามาสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้น ให้มีความคิดถูกต้อง ให้มีความเชื่อถูกต้องตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ให้เขารู้จักนำหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใช้ในชีวิตประจำวันของเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ให้นับถือแบบงมงาย แบบมีวัตถุห้อยคอ แล้วยังไปทำชั่ว มีพระห้อยคอยังไปดื่มเหล้า ยกแก้วเหล้าข้ามหัวหลวงพ่อ ไม่ได้เกรงใจ มีพระห้อยคอยังไปสนามม้าวันเสาร์วันอาทิตย์ มีพระห้อยคอยังไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม อันนี้เพราะว่ามันไม่รู้ คนไม่รู้ พระที่ทำพระขายนี่ก็คือเห็นแก่เงิน ต้องการแต่เงินท่าเดียว ทำแล้วขายได้มากดี แล้วโฆษณาใหญ่ มีพระอย่างนั้นจะเจริญอย่างนั้นเจริญอย่างนี้ นี่คือความโง่ทั้งนั้น ทำให้คนหลงงมงาย ทำให้สังคมไทยหลับหูหลับตาเดินไป ตกเหวตกบ่อกันไปตาม ๆ กัน มันถูกต้องไหมเรื่องอย่างนี้ เราทั้งหลายคิดดูเถอะ
อันนี้เรามากล้าพูดกันเสียบ้าง กล้าแสดงออกกันเสียบ้างในเรื่องอย่างนี้ ถ้าเราจะหาเงินหาทองก็ให้มันได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยการเสียสละเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวม อย่าให้ได้มาด้วยการแลกเปลี่ยนกัน เช่น จะทำบุญอะไร ๕ บาท เหรียญทองแดง ๑๐ บาท เหรียญเงิน ๒๐ บาท กะไหล่ทอง ๙๙๙ บาท ได้ทองทั้งเหรียญเลย อันนี้มันไปซื้อเหรียญมาห้อยคอ ไม่ได้หมายความในเรื่องวัตถุ แต่ว่าเขาทำกันทั่วไปในเมืองไทย ไม่คิดแก้ไข ไม่คิดปรับปรุงให้มันดีขึ้น สังคมไทยก็อยู่กันในรูปอย่างนี้ แล้วจะเอาตัวรอดกันได้อย่างไร ต่อไปก็คนอื่นอาจจะแปลกปลอมเข้ามาหลอกขายอะไรบ้าง แล้วบ้านเมืองก็จะล่มจมเสียหาย เราจึงควรจะช่วยกันคิดแล้วในเรื่องนี้ แก้ไขปรับปรุงกัน ให้สิ่งทั้งหลายมันดีขึ้นในทางที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา
จึงใคร่ขอเชิญชวนคุณครูทั้งหลายว่า ให้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ อย่าถือเพียงตามเขาว่า อย่าถือแต่เพียงศีลห้าก็จะพอแล้ว ปฏิบัติแต่เพียงเท่านั้นมันก็ได้ล่ะ แต่ว่ามันต้องรู้ให้ลึกซึ้งเข้าไปกว่านั้น ว่าเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาคืออะไร หลักการของพระพุทธศาสนาที่เราจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราคืออะไร ซึ่งมีหลักการโดยเฉพาะไม่เหมือนกับศาสนาอื่น
ของพุทธศาสนานี้ไม่เหมือนกับศาสนาใด ๆ ในโลกนี้ก็ว่าได้ เป็นลักษณะเฉพาะพิเศษ มีความหมายถูกต้องตรงตามหลักที่พระองค์ได้วางไว้ ใครจะมาอ่านแล้วไปตีความอย่างไรนี้มันเรื่องของเขา แต่ว่าเราต้องตีความให้ถูกต้อง อย่าให้เขว อย่าให้ออกไปนอกลู่นอกทาง ให้เราเดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแก้ไขปรับปรุงสังคมในประเทศอินเดีย ให้ลืมตา ให้ศึกษา ให้ก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบ พระองค์ได้ทำไว้ในสมัยนั้น แต่ว่าเมื่อพระองค์(ปริ)นิพพานไปแล้ว คนที่โง่ ๆ ก็เอาของที่ไม่ถูกต้องมาใส่เข้าไปอีก ก็เลยเป็นกันอยู่ดังในปัจจุบันนี้
อันนี้เรามาถึงยุคนี้ก็ต้องคิดกลับใหม่ กลับไปสู่ภาวะเดิม ภาวะที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา เข้าไปสู่ยุคทองของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ยุคถุงลมอย่างที่เป็นอยู่ในบัดนี้ แต่ให้ไปถึงยุคทองของพระพุทธศาสนา คือยุคที่คนเข้าใจชัดเจนนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วเราก็จะเห็นว่าชาติประเทศของเราเจริญขึ้น เจริญเพราะจิตใจคนเจริญ คนรู้จักช่วยตัวเอง รู้จักพึ่งตัวเอง รู้จักแก้ปัญหา โดยใช้หลักธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการไปเสี่ยงทาย หรือด้วยการไปหาหมอ(ดู)ให้สะเดาะเคราะห์ สะเดาะไม่ออก มันไม่ใช่กลอนประตู ที่เราจะสะเดาะออกได้ง่าย ๆ
โชคร้ายมัน (เกิด) จากการกระทำ ถ้าเราจะสะเดาะมันต้องเลิกกระทำ เราได้รับทุกข์เพราะดื่มเหล้า เราต้องเลิกดื่มเหล้า ได้รับทุกข์เพราะเล่นการพนัน ต้องเลิกเล่นการพนัน รับทุกข์เพราะไปเที่ยวกลางคืน เพื่อนตีศีรษะแตก เราก็ต้องเลิกไปเที่ยว เราใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแล้วเกิดยากจน เราก็ต้องเลิกสุรุ่ยสุร่าย เราใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น นี่การแก้มันต้องแก้ตรงนั้น แก้ตามหลักการของพระพุทธเจ้า ไม่แก้ตามหลักไสยศาสตร์ หลักหมอดูหมอเดาทั้งหลายทั้งปวงที่มีมากอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันนี้
วิชาเหล่านั้นมันเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งแต่ไม่ใช่พุทธศาสตร์ เราไม่เกี่ยวข้อง ใครจะถือช่างเขา แต่ถ้าใครเรียกตัวเองว่า เป็น “พุทธบริษัท” เป็นผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้า ก็ต้องจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า ต้องนำสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้มาใช้ในชีวิตประจำวัน จึงจะเรียกว่าเป็นการถูกต้อง ถ้าเรานั่งอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า แต่ใจเราไปคิดถึงคนอื่น มันก็กลายเป็นคนหลายใจสิ จะใช้ได้ที่ไหนคนหลายใจ ผู้ชายหลายใจก็ใช้ไม่ได้ ผู้หญิงหลายใจก็ใช้ไม่ได้ มันใช้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แต่คนสมัยก่อนนี่ชอบว่าแต่ผู้หญิง ความจริงผู้ชายหลายใจก็เยอะแยะ มีแล้วหนึ่งไม่พอหาอีกหนึ่ง หาอีกสอง อีกสาม มันก็เป็นพวกดอกอะไรอย่างนั้นเหมือนกันน่ะ แต่ว่าไม่มีใครพูดถึงผู้ชาย เพราะผู้ชายมันมีความรู้มากกว่าผู้หญิงสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาก็เก่งเหมือนกันนะ เขาเรียกร้องสิทธิขึ้นมาแล้ว ใครทำอะไรเลอะเทอะเข้า มันก็เสียกันเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นคนใจเดียว ใจเดียวคือใจที่เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เอาพระพุทธเจ้ามาเป็นหลักใจอย่างแท้จริง เอาธรรมะมาเป็นแผนที่นำทางชีวิตอย่างแท้จริง เอาพระอริยสงฆ์ คือพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ มาเป็นตัวอย่างชีวิต มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ต้องนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาคำสอนนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหา อันนี้จึงจะเป็นการถูกต้องตามหลักการ ซึ่งเราจะต้องช่วยกันปรับปรุงแก้ไข
ทีนี้ในการอบรมเด็กเพื่อให้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธศาสนานั้น เราทำได้หลายอย่าง ทำได้โดยวิธีทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อันนี้สำคัญมาก ภาพที่เด็กเห็นทุกวันจำเจนั่นแหละคือภาพสำคัญนัก ครูต้องเป็นภาพตัวอย่างแก่เด็กจริง ๆ คนมาเป็นครูนี่ต้องมีน้ำใจซื่อสัตย์ มีการบังคับตัวเองได้ มีความอดทน มีความเสียสละเป็นพื้นฐานอย่างแท้จริง ซื่อสัตย์ต่ออาชีพครู เป็นเรื่องใหญ่ อาชีพครูคืออาชีพสอนเด็กด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ด้วยการพูดให้เด็กฟัง สองอย่างต้องคู่กันไป พูดให้ฟังไม่มีน้ำหนัก ถ้าการกระทำไม่ตรงกับสิ่งที่เราพูด เช่น เราสอนเด็กว่านักเรียนไม่ควรจะสูบบุหรี่ แต่ครูนั่งพ่นควันปุ๋ย ๆ มันขัดกัน ครูบอกเด็กว่าดื่มเหล้ามีโทษ แต่ประชุมกันทีไร ถ้าไม่มาวัดแล้วก็ก๊งกันทุกที เด็กมันเห็นแล้วคำสอนมันจะมีน้ำหนักอะไร หรืออะไรอื่นอีกหลายอย่างน่ะ มันขัดกับการพูดไม่ได้ พูดกับทำให้มันตรงกัน นั่นแหละคือการสอนที่แท้จริง เราจะสอนด้วยเรื่องใดทำเรื่องนั้นด้วย
พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า “คนเราจะสอนผู้อื่นด้วยเรื่องใดควรทำตนในเรื่องนั้นก่อน จึงจะเป็นนักสอนที่ไม่ยุ่งเหยิง” สอนผู้อื่นด้วยเรื่องใด ทำเรื่องนั้นให้ได้ก่อน จะเป็นนักสอน(ที่)ไม่ยุ่งเหยิง เพราะเราทำด้วยสอนด้วย มีความหมายดี ถ้าเราสอนอย่างหนึ่ง (ทำอย่างหนึ่ง) มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร
เพราะฉะนั้นครูต้องมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพของครู ไหน ๆ เราก็จะไปเป็นครูกันแล้ว เราก็ต้องซื่อตรงต่อหน้าที่นั้น ต้องบังคับตัวเองเพื่อให้ชนะสิ่งไม่ดีไม่งาม สิ่งเสพติด สิ่งมัวเมา สิ่งเหลวไหล อะไร ๆ ต่าง ๆ นั้น เราต้องบังคับใจเราไม่ให้ไปแตะต้อง ไม่ให้หลงใหลมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น ต้องเป็นคนมีความเข้มแข็งเพื่อเอาชนะสิ่งเหล่านั้นให้ได้ เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างแก่เด็กต่อไป พ่อที่ทำตนเป็นตัวอย่างแก่ลูก ครูที่ทำตนเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์ นั่นแหละคือการสอนในชีวิตประจำวัน
ท่านผู้หนึ่งที่เชียงใหม่ แกสูบบุหรี่จัดมาก ได้ลูก ๒ คน ชายคนหนึ่งหญิงคนหนึ่ง ลูกชายนั้นมันเดินตามพ่อ พ่อสูบยี่ห้อไหนมันสูบยี่ห้อนั้น พ่อสูบเวลาไหนมันก็สูบเวลานั้น พ่อนั่งดูลูกสูบบุหรี่ก็นึกอยู่ในใจว่าแย่ “อ้ายติ๊กมันจะแย่ ถ้ากู(ขืนสูบ)อยู่อย่างนี้” มันจะแย่ เลยคิดว่าต้องให้ลูกเลิกบุหรี่ พ่อต้องเลิกก่อน เลยเลิก ตัดสินใจเลิก ไม่สูบเลยหลายวัน ลูกสังเกตเห็นว่าพ่อนี่ผิดปกติไปหลายวันแล้ว ไม่สูบบุหรี่หลายวันแล้ว วันหนึ่งกินอาหารเสร็จก็ถามว่า “พ่อ หมู่นี้ดูพ่อผิดปกตินะ” พ่อถาม “ผิดปกติอะไรลูก” “ผมไม่เห็นพ่อสูบบุหรี่นานหลายวันแล้ว เพราะอะไร” พ่อบอกว่า “นั่งลง...พ่อจะเล่าให้ฟัง พ่อนี่มีลูกสองคน พ่อรักลูก อยากเห็นความเจริญเติบโตของลูก พ่อเมื่อก่อนนี่สูบบุหรี่จัด แล้วพ่อมานึกว่าถ้าพ่อสูบบุหรี่จัดมีโอกาสเป็นมะเร็งในปอดได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วจะได้เห็นความเจริญของลูกได้อย่างไร พ่อรักลูกก็อยากจะอยู่กับลูกนาน ๆ พ่อเลยตัดสินใจเลิกตั้งแต่วันนั้น...วันที่พ่อคิดถึงลูกมาก พ่อเลิก ไม่สูบ(อีก)เลยในชีวิตตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ และจะไม่สูบอีกต่อไป ลูกจำไว้เถอะ”
พ่อไม่ได้พูดว่า “ลูกควรจะเลิกเหมือนพ่อ” ไม่ได้ขอลูกเลยสักคำเดียว เพียงแต่บอกว่า “พ่อรักลูก อยากจะอยู่ดูลูกนาน ๆ พ่อจึงเลิกสูบบุหรี่” แล้วลูกต่อมามันก็เลิกเหมือนกัน มันเห็นพ่อไม่สูบ มันก็นึกได้ว่า “กูก็เลิกเหมือนกัน” เลิกเลย เลิกหมดทั้งสองคน ในบ้านนั้นเลยไม่มีใครสูบบุหรี่อีกต่อไป พ่อเลิก ลูกเลิก
นี่คือการสอนที่เรียกว่า “ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง” มีอำนาจมาก ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดการคิดขึ้นในใจของผู้นั้นได้ เลิกได้
เราเป็นครูนี่ก็เหมือนกัน เราจะสอนเด็ก(เรื่อง)อะไร เราก็ทำเรื่องนั้นให้เด็กเห็น เราแต่งกายเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ทำให้เด็กรู้จักแต่งกายเป็นระเบียบ ทำอะไรตรงเวลา เด็กก็รู้ว่าครูของเรานี้ทำงานตรงเวลา สิ่งที่เด็กเห็นบ่อย ๆ นั้นมันติดเป็นนิสัย ติดใจมาตั้งแต่เริ่มนั้นมา ติดเป็นนิสัย เพราะฉะนั้นครูจะต้องทำอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อย เก็บข้าวของให้เรียบร้อย แต่งตัวเรียบร้อย มาเข้าห้องเรียนตามเวลา ไม่ขาด ไม่สาย ไม่ทำอะไรให้มันผิดออกไป เด็กก็จะเห็นจำเจว่าครูของเรานี้เป็นอย่างนั้น เขาก็จะเอานิสัยของครูนั้นมาไว้ในใจของเขา เรียกว่าถ่ายทอดนิสัยให้แก่เด็ก
อย่าลืมว่าเราเป็นภาพตัวอย่าง ที่เด็กจะถ่ายไว้ในภาพใจของเขา เด็กนั้นเป็นวีดิโอเทป คอยถ่ายการกระทำของครูอยู่ตลอดเวลา ครูแสดงอะไรก็ถ่ายไว้ ทำอะไรก็ถ่ายไว้ เด็กคนไหนชอบครูคนไหนก็ถ่ายครูคนนั้นมาไว้ในใจ เราจึงต้องเป็นนักแสดงที่ต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา ต้องฝึกหัดสติปัฏฐาน ๔ ที่เรียกว่า ฝึกหัดควบคุมกาย ควบคุมจิต ควบคุมความรู้สึกนึกคิดอยู่ตลอดเวลาให้ถูกต้องเรียบร้อย เป็นภาพตัวอย่างแก่เด็ก เมื่อเด็กเห็น ต้องรักษา(กิริยาท่าทาง) จะพูดจะจา จะทำอะไรทุกอย่างต่อหน้าเด็กนี่ต้องระวัง ใจร้อนไม่ได้ มักโกรธก็ไม่ได้ เดี๋ยวเด็กมันจะถ่ายทอดไป พูดคำหยาบก็ไม่ได้ ทำอะไรแปลกๆ แผลง ๆ ก็ไม่ได้ แม้อยู่นอกโรงเรียนก็ต้องทำอย่างนั้น การเป็นครูนั้นเป็น ๒๔ ชั่วโมง เป็นตลอดเวลา
ในหลวงเราเสด็จไปประพาสยุโรป อเมริกา แล้วคุยกับนักหนังสือพิมพ์ว่า “พวกท่านเป็นนักหนังสือพิมพ์นี่มันสบาย สัมภาษณ์แล้วไปเขียน เขียนแล้วก็หมดเรื่อง แต่ว่าฉันนี่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ๒๔ ชั่วโมง ลาออกก็ไม่ได้” ท่านว่าอย่างนั้น เหมือนกันแหละ...เราเป็นครูนี่ก็เหมือนกัน เป็นครู ๒๔ ชั่วโมง ลาออกไม่ได้ ไปไหนก็ต้องไปเป็นครู ไปที่ไหนก็ต้องพาครูไปด้วย เพราะใคร ๆ เขาเรียกว่า “ครู” ทั้งนั้น นี่เราเดินไปไหน ถ้าเขารู้จัก (เขาก็ว่า) เอ้า ครูไปไหน เชิญครูนั่ง เชิญครูกินข้าว เชิญครูกินเหล้า อ๊ะ อ้ายนี่ไม่ได้ความแล้ว นี่มันไม่ได้เรื่องแล้วนะ ถ้าเชิญครูกินเหล้านี่ไม่ได้เรื่องแล้ว คือมันเป็นภาพที่จะต้องติดตัวไป เราไปไหนต้อง (เอาความเป็นครู) ไปด้วย เมื่อเราไปอย่างนั้นก็ต้องสำนึกว่า “เราเป็นครู” อยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่งไปที่จังหวัดสุรินทร์ ก็นั่งอยู่ในสถานี(รถไฟ)...ฝนตก แล้วก็มีผู้ชาย(คนหนึ่ง)สวมหมวกใบใหญ่คล้ายกับหมวกญวน มาถึงนั่งต่อหน้า ก็นั่งเฉย ๆ ไม่ได้ถอดหมวกแสดงอะไรต่ออะไรหรอก นั่งเฉย ๆ นั่งนานแล้วแกก็ถามว่า “ท่านจะไปไหน” บอกว่า “รอรถไฟจะไปกรุงเทพฯ” “ผมก็มารอรถไฟเหมือนกัน ผมมารับภรรยา เขาไปธุระจะกลับรถไฟที่จะมาถึงนี้” เลยก็คุยต่อไปว่า “ขออภัย คุณทำงานอะไร” “ผมเป็นครู อยู่วิทยาลัยครู ผมมันเด็กวัด อยู่วัดมานาน” บอกว่าเด็กวัดนี่มันเสียยี่ห้อมากเลย เพราะว่าไม่ได้แสดงอาการเด็กวัดเลยแม้แต่น้อย มานั่งอยู่ต่อหน้าพระนี่ไม่ได้แสดงอาการเด็กวัดสักนิดเดียว แล้วบอก “ผมเป็นเด็กวัด อยู่วัดมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งออกจากวัดก็มาเป็นครู” อันนี้อาตมาน้อยใจมาก ที่เขาบอกว่าเป็นเด็กวัดนี่ ถ้าบอกว่าเป็นครูเฉย ๆ ก็ไม่เสียใจเท่าใด แต่เสียใจว่า แหม! เสียยี่ห้อวัดไปมากเลยทีเดียวที่บอกอย่างนั้น เพราะมันไม่ถูกต้อง มันควรจะมีสัมมาคารวะ พูดจาอะไรก็ให้เรียบร้อย แล้วก็เดี๋ยวก็นั่งเอาบุหรี่มาสูบพ่นควันใส่หน้าเราเสียด้วย เออ! ไม่มีเกรงใจอะไรเลย อย่างนี้เรียกว่าไม่ถูกต้อง แต่แกอาจจะไม่รู้ว่าพระองค์นี้คือใครก็ได้ ไม่ต้องรู้จักชื่อหรอก เพียงแต่เห็นว่านุ่งห่มผ้ากาสายะ โกนหัว ขูดคิ้ว นั่งสงบ ๆ มันก็พอใช้ได้แล้วล่ะ พอนั่งไหว้ได้แล้ว แต่ว่าแกไม่ได้ไหว้เลย มันเหลือเกินนะเนี่ย แล้วก็บอกว่าผมอยู่วัดธรรมยุตเสียด้วยนะ ยังบอกยี่ห้ออีก ยังให้หนักเข้าไปอีก ยังให้ละอายหนักเข้าไปอีก เฮ้อ! อย่างนี้ไม่ได้เรื่องเลย
เราไปไหนนี่มันต้องแสดงออกให้ใคร ๆ เห็นว่า “เราเป็นครู” แล้วอย่ากลัวอย่าขลาดว่าใครจะรู้ว่าเราเป็นครู ต้องบอกเลย “ผมเป็นครูครับ” ถ้าใครชวนทำอะไรที่มันไม่เหมาะไม่ควรก็ยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ แต่ผมเป็นครูครับ” เป็นครูมันทำไม่ได้ เป็นครูจะไปปล้นไม่ได้ เป็นครูจะไปเล่นไพ่ไม่ได้ เป็นครูจะไปเที่ยวบาร์ไนท์คลับไม่ได้ เป็นครูจะไปทำอะไรเหลวไหลไม่ได้ เราบอกเขาตรง ๆ “ผมเป็นครูครับ” ยกมือประนมไหว้เขาหน่อย แม้คนนั้นไม่น่าไหว้ก็ไหว้มันหน่อยเหอะ ว่า “ผมเป็นครู” มันก็ปลอดภัย นี่เป็น(ครู)ทุกหนทุกแห่ง แล้วให้พยายามที่จะสอนเด็ก
เรื่องสอนธรรมะแก่เด็กนี่ไม่ต้องสอนให้มันจริงจังอะไรหรอก แทรกเข้าไปในเรื่องที่เราสอน สอนคำนวณ สอนวิทยาศาสตร์ สอนอะไรก็แทรกเข้าไว้ เอาคำพูดของพระพุทธเจ้าเข้าไปแทรกไว้ คือมีจุดหมายว่าให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้า ให้เด็กคิดถึงพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ ในวันนี้ก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้