แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ฤดูกาลเข้าพรรษาใกล้จะจบลงไปแล้ว อาทิตย์หน้านี่ก็เป็นวันออกพรรษา ออกพรรษาแล้วก็มีพิธีกรรมทางกฐินกันไปเรื่อยๆจนถึงกลางเดือน ๑๒ ก็เป็นการหมดเรื่องของกฐินกัน เรามาวัดฟังธรรมกันในฤดูกาลเข้าพรรษา แม้ออกพรรษาแล้วก็ควรจะมาฟังกันต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าการอาบน้ำต้องอาบทุกวัน อาหารนี่ก็ต้องรับประทานทุกวัน ลมหายใจนี่ก็ต้องใช้ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ไม่มีลมหายใจเราก็อยู่ไม่ได้ ธรรมะก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตที่เราจะต้องได้รับความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมได้ยินได้ฟังบ่อยๆเพื่อเป็นเครื่องบังคับจิตใจเหนี่ยวรั้งเอาไว้ไม่ให้ไหลไปตามสิ่งที่เป็นไปในทางต่ำ และยังใช้เป็นเครื่องป้องกันมิให้เกิดปัญหาและใช้เป็นเครื่องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เบาบางลงไป ชีวิตจะอยู่ด้วยความสุขความสนุกไม่วุ่นวายก็โดยอาศัยการประพฤติธรรมเท่านั้น ธรรมะจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่ศึกษาให้เข้าใจก็จะเกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ
เมื่อวานซืนนี้กำลังเดินออกกำลังกายอยู่ข้างโบสถ์ เห็นรถคันหนี่งเข้ามาจอดข้างหลังโบสถ์ เมื่อจอดแล้วก็คนขับเป็นเด็กผู้หญิงลงมาเปิดประตูแล้วก็หยิบอะไรขึ้นมา อาตมาก็นึกว่าหนูคนนั้นคงจะเอาแมวมาปล่อยที่วัดนี่ ก็เลยรีบสาวท้าวเดินเข้ามาใกล้ๆเขาแล้วก็ถามว่าหนูเอาแมวมาปล่อยอีกหรือ เขาบอกว่าไม่ใช่แมวเจ้าค่ะ ถามว่าอะไรล่ะ เขาบอกว่าพระพุทธรูป อ้าว เอาพระพุทธรูปมาปล่อยที่วัด อาตมาก็ถามไปว่าทำไมจะต้องเอาพระมาทิ้งที่วัดอีกล่ะ เขาบอกไม่ได้เอามาทิ้งแต่เอามาไว้ที่วัด อาตมาก็บอกว่าก็พระอยู่ที่บ้านก็ดีอยู่แล้วนี่ทำไมต้องเอามาทิ้งที่วัดอีก เขาบอกว่ามีพระอยู่ที่บ้านนี่มันยุ่งเหลือเกิน ตั้งแต่เอาหลวงพ่อองค์นี้มาไว้ที่บ้านก็รู้สึกว่ายุ่ง ถามว่ายุ่งอย่างไร เขาบอกว่าเงินหายไปพันหนี่งแล้วก็ได้คืนมา ได้คืนมาแล้วก็หายไปสี่พันพร้อมด้วยสมุดออมสินด้วย มันหายไปเงินทั้งสมุดออมสิน และคนในบ้านก็มีปากมีเสียงกันบ่อยๆ ก็เลยนึกว่าเพราะพระองค์นี้ ถามว่าทำไมจึงนึกเช่นนั้น เขาก็บอกว่าเพราะพระองค์นี้มีรอยแตกร้าวก็เลยถือเอาว่าเพราะพระแตกร้าวก็เลยทำให้เกิดความแตกร้าวขึ้นในครอบครัว เลยต้องอธิบายให้ฟังว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องพระแตกร้าว พระนี่มีแต่เรื่องให้คุณถ้าเรารู้จักพระ แต่ถ้าเราไม่รู้จักก็เลยไม่เข้าใจว่าพระคืออะไร แล้วก็หลงผิดว่าพระให้โทษไป ทุกข์โทษทั้งหลายไม่ได้เกิดจากพระนอนองค์นี้คือพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวนั้นเป็นพระนอน แต่มันเกิดจากจิตของคนเรา ความผิดก็เกิดจากความคิด ความทุกข์ก็เกิดจากความคิด ความดีความชั่วหรืออะไรต่างๆมันเกิดจากความคิดของเราเอง เรื่องการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวเพราะว่าจิตใจเราไม่เข้าถึงพระ ไม่เอาพระที่เราเก็บไว้ในบ้านเป็นพระเตือนใจ เราเมินเฉยต่อภาพนั้นไม่เอาภาพนั้นมาเป็นเครื่องสะกิดใจเลยทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยประการต่างๆ และเมื่อทะเลาะกันแล้วก็ไม่นึกว่าตัวผิด ไปนึกว่าพระที่แตกร้าวนี่ทำให้เราทะเลาะเบาะแว้งกัน อันนี้เรียกว่าไม่เข้าใจสาเหตุอันแท้จริง เหตุมันอยู่ในใจเราแต่ไปเอาเหตุภายนอกมาแก้ เลยต้องขนพระมาวัด ก็เลยต้องอธิบายให้หนูคนนั้นเข้าใจ พอเขาเข้าใจแล้วเขาก็ยกพระขึ้นใส่รถพากลับบ้านต่อไปอีก บอกว่าเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่เรื่องที่พระแต่เป็นเรื่องที่คน เพราะฉะนั้นจะต้องไปแก้ที่คนไม่ใช่แก้ที่พระพุทธรูปอย่างนี้ เขาก็เลยยกพระกลับไป มีอยู่บ่อยๆที่คนเอาพระมาทิ้งใว้ตามที่ต่างๆตามซุ้มสี่บ้าง เอามาทิ้งไว้ที่โคนโพธิ์ เอามาทั้งใว้ที่ต่างๆก็เพราะเรื่องไม่รู้ไม่เข้าใจนั้นเอง คือไม่รู้ว่าอะไรเกิดจากอะไร แล้วก็เลยไปโทษสิ่งภายนอกไม่โทษตัวเอง
ในทางพระพุทธศาสนานั้นไม่ให้โทษสิ่งภายนอกแต่ให้โทษตัวเราเอง สิ่งภายนอกนั้นมันเป็นไปตามเรื่องของธรรมชาติ เช่น ฝนตกแดดออกมีลมพายุ เมื่อฝนตกถนนมันก็ลื่นอันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาเป็นอยู่ตามธรรมชาติ แต่ว่าเราเป็นผู้ประมาทเองไม่ระมัดระวังในการขับรถ รถจึงได้ตกลงไปในข้างถนนหรือไปชนอะไรกันเข้า แต่ก็ไม่ยอมรับว่าตัวผิดกลับไปโทษว่าฝนบ้าง ว่าถนนบ้าง โทษอะไรบ้าง นั่นไม่ใช่วิธีการของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เราโทษตัวเองให้ดูด้านใน เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นอย่าไปนึกว่าสิ่งอื่นภายนอกทำให้แก่เรา แต่ว่าเราจะต้องนึกว่าเราทำอะไรผิดสักอย่างแล้วจึงได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ให้ค้นหาความผิดในตัวเราเอง หรือว่าเรามีความเจริญมีความก้าวหน้า เราก็มองว่าเราได้ทำอะไรจึงได้ไปถูกช่องเหมาะได้ปัจจัยมาใช้ได้อะไรมา ก็มันเป็นเรื่องที่เราวางแผนถูกต้องทำงานด้วยสติปัญญา ทำอะไรไม่ผิดไม่พลาดมันก็เกิดความสุขความเจริญขึ้นแก่ชีวิต สิ่งทั้งหลายจึงอยู่ในตัวเราไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอก อันนี้สิ่งภายนอกนั้นถ้าจะมีส่วนบ้างก็เพียงแต่เป็นเครื่องสะกิดใจให้เราเกิดความคิดในทางที่ถูกต้อง เช่นพระพุทธรูปนี่เป็นตัวอย่างที่เรามีไว้ตามบ้านตามเรือนเพื่อสักการะบูชานั้น เราอย่านึกว่าพระพุทธรูปนั้นศักดิ์สิทธิ์วิเศษจะช่วยเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้านึกไปในทำนองอย่างนั้นมันก็ผิดเรื่องผิดราวไป ให้นึกแต่เพียงว่าพระพุทธรูปนี้เป็นรูปเปรียบแทนคุณงามความดีของพระพทุธเจ้าที่เราเอามาวางไว้ในที่บูชาเพื่อเราจะได้นั่งกราบไหว้สักการะ ทุกครั้งที่เราไปไหว้พระพุทธรูปอันเป็นรูปเปรียบแทนองค์คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องน้อมจิตระลึกถึงพระคุณเหล่านั้นเพื่อให้เห็นชัดด้วยใจของเรา ถ้าเราเห็นพระคุณของพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าเราเห็นพระองค์แล้วเราอัญเชิญพระคุณนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา เราเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป นั้นคือผลที่เกิดจากพระที่เราเข้าไปไหว้ ถ้าเราไปไหว้ด้วยคิดว่าพระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์หรือวิเศษจะช่วยเราให้เป็นอย่างเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ถูกต้องตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา
เราไม่ควรจะไหว้อย่างนั้น เพราะทุกครั้งที่เรานึกว่าพระให้คุณแล้วก็เลยนึกว่าต้องให้โทษด้วยเพราะสิ่งทั้งหลายมันคู่กัน เมื่อมีคุณก็ต้องมีโทษ มีโทษก็ต้องมีคุณปนกันไป อย่างนี้มันก็เป๋ไปนอกลู่นอกทาง ที่ได้เป๋ไปเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องความผิดของคนที่ทำพระขาย ก็พระสงฆ์องค์เจ้าเรานี่ล่ะไม่ใช่ใครที่ไหนที่เป็นตัวการใหญ่สร้างพระพุทธรูปขึ้นขายพวกชาวบ้าน เมื่อสร้างพระขึ้นจำหน่ายจ่ายแจกก็ต้องโฆษณาเพื่อให้สินค้าที่ตนผลิดนั้นขายได้คล่อง ก็ต้องพูดว่าศักดิ์สิทธิ์วิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ใครมีพระอย่างนี้ไว้ในบ้านแล้วก็จะมีความเจริญมีความก้าวหน้าในทรัพย์สมบัติในการทำมาหากินในเรื่องอะไรๆต่างๆ นั่นเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อจะให้คนไปซื้อพระนั่นเอง เพราะฉะนั้นในบ้านที่เรามีพระไว้บูชานั้นจึงปรากฏว่ามีกันหลายๆองค์ แปลว่าองค์นี้มีแล้วก็ยังไม่ไว้ใจต้องไปหาองค์อื่นมาอีก เขาโฆษณาอีกก็ต้องไปซื้อมาอีก เลยเต็มห้องไปเลย เรียกว่าในห้องพระน่ะมีพระเต็มไปหมด เวลาไหว้ก็ฟุ้งซ่านไม่รู้ว่าจะไหว้องค์ไหนดีเพราะมีมากเลยไปนั่งวิพากย์วิจารณ์พระพุทธรูปว่าองค์นี้จมูกสวยองค์นั้นไม่สวย องค์นั้นอ้วนไปองค์นี้ผอมไป แทนที่จะได้ไปนึกถึงพระคุณพระพุทธเจ้ากลับกลายว่าไปนั่งดูวัตถุแล้วก็พูดกันว่าองค์นี้งามไม่งามสวยไม่สวย วันดีคืนดีก็เข็นเอาพระออกจากบ้านพากันไปประกวดในงานอะไรต่างๆก็เห็นกันอยู่บ่อยๆ นั่นมันประกวดความเก่าของวัตถุไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พระสุโขทัย พระเชียงแสน พระทวาราวดีศรีอยุธยา เอาไปประกวดกัน แล้วก็ติดเบอร์ให้รางวัล องค์นี้ได้รางวัลที่หนี่งองค์นั้นได้รางวัลที่สอง แล้วก็มีพวกนักเลงพระก็ไปเที่ยวดูเหมือนกันว่าบ้านไหนได้รางวัลที่หนึ่งแล้วก็แจ้นที่จะไปขโมยพระที่บ้านนั้นต่อไป บ้านไหนที่ได้รางวัลที่หนึ่งนี่นอนไม่หลับเพราะว่าไม่ไว้ใจว่าขโมยต้องมางัดบ้านเพื่องัดหลวงพ่อเอาไปจำหน่ายต่อไป นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่คือความเป๋ในเรื่องการนับถือพระ เราไม่สอนคนให้เข้าถึงพระที่แท้ที่เป็นคุณธรรมแต่ให้ไปติดอยู่ในด้านวัตถุแล้วคนก็หลงใหลมัวเมากันในด้านวัตถุจึงต้องแสวงหาพระรูปอย่างนั้นรูปอย่างนี้ อย่างคนเกิดนี้มันมีเกิดทั้ง ๗ วัน เกิดวันอาทิตย์ เกิดวันจันทร์วันอังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ และนักหล่อพระขายก็ต้องหล่อให้ครบวันเกิด เกิดวันนั้นต้องไหว้พระปางนี้ เกิดวันนี้ต้องไหว้พระปางนั้น คนมันเกิดไม่เหมือนกัน ถ้าใครเกิดวันอาทิตย์ต้องไหว้พระปางนั้น ก็ต้องไปซื้อมาอีกปางหนึ่ง ถ้าคนนั้นเกิดวันจันทร์ก็ต้องไปซื้อมาอีกปางหนึ่ง และในครอบครัวหนึ่งมันเกิดไม่เหมือนกันนี่ บางคนเกิดอาทิตย์ก็องค์หนึ่ง วันจันทร์องค์หนึ่ง วันพุธอีกองค์หนึ่ง ก็เลยต้องหลายองค์เพราะว่าเป็นพระบูชาประจำวันเกิดไป
นี่คือการสร้างเรื่องงมงายขึ้นในจิตใจของชาวบ้านที่จะให้แสวงหาขนขวายในเรื่องวัตถุมาบูชาสักการะ ผลนั้นมันอยู่ที่ใครก็อยู่ที่คนหล่อพระขาย เขาไห้หล่อกันเป็นงานใหญ่เพิ่มเติมขึ้นจำหน่ายจ่ายแจกกันไป โฆษณากันไปตามเรื่อง แม้เราฉลอง ๒๐๐ ปีนี่ก็มีคนฉวยโอกาสหล่อพระฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี และก็ทำรูปให้แปลกเข้าไปหน่อยแล้วก็จำหน่ายกันองค์ละ ๙๙๙ บาท จะให้มันถึง ๑๐๐๐ สักหน่อยก็ไมได้ไม่ต้องทอนกัน แต่ว่าเขาชอบเลข ๙ กัน เขาว่ามันดีล่ะ แต่ไม่รู้ว่าก้าวไปนรกหรือก้าวไปสวรรค์กันแน่ อย่างก้าวนี่มันอาจจะก้าวไปนรกก็ได้หรือก้าวไปสวรรค์ก็ได้นะ ไม่ใช่ว่าจะก้าวดีเสมอไป มันขึ้นอยู่กับคุณธรรมที่ก้าวไป ถ้าเป็นผู้มีคุณธรรมก็ก้าวถูกไปดี ถ้าไร้คุณธรรมก็ก้าวไปบ่อนไพ่ไปบาร์ไปไนท์คลับไปอะไรต่ออะไรต่างๆที่มันเป็นเรื่องเหลวใหลไม่ได้สาระอะไร นี่คือความเชื่อที่ไขว้เขวพาไปในรูปอย่างนั้นมีมากมายก่ายกองทำให้เกิดเป็นปัญหาในเรื่องที่เกี่ยวกับโชคลางนั่นเอง เราถือพระเป็นโชคเป็นลางไปเป็นไสยศาสตร์ไป แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาแต่ว่าญาติโยมไม่เข้าใจจึงขอพูดให้เข้าใจกันสักหน่อยว่าอย่าได้ถืออย่างนั้น อย่าถือให้เป็นไสยศาสตร์ อย่าถือให้เป็นโชคลาง แต่ให้ถือว่าเป็นธรรมะให้เอาพระว่าเป็นเครื่องเตือนใจเพื่อให้เราได้นึกถึงพระธรรมอันเป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเอาธรรมะมาเป็นกระจกส่องดูความประพฤติปฏิบัติของเราว่าเราได้ทำถูกหรือว่าได้ทำผิดได้ประพฤติตนอย่างไร อย่างนี้สบาบใจกว่า แต่ถ้ายังไปถือในแง่โชคลางพอเห็นพระร้าวนิดหน่อยก็คิดไปว่า โอ ไม่ได้แล้วครอบครัวเราจะวุ่นวายแล้วเพราะว่าพระร้าว ก็วัตถุนี่มันก็ต้องร้าวได้ เช่นทำด้วยปูนพลาสเตอร์นี่มันต้องร้าวเป็นธรรมดา พระที่หนูคนนั้นเอามาจะมาไว้ที่วัดก็เป็นพระปูนพลาสเตอร์มันก็ต้องร้าวเป็นธรรมดานั่นเอง แต่พระทองเหลืองนี่ก็ไม่มีร้าวหรอกมั่นคงดีเพราะเขาหล่อเรียบร้อย แต่ถ้าเป็นพระปูนนี่มันต้องร้าว พระไม้นี่ก็ต้องผุเหมือนกัน พระที่ทำด้วยไม้นี่ก็จะค่อยผุไปกร่อนไป ถ้าเราไปเห็นพระผุ กร่อน เราก็วิตกกังวลแล้วว่าเรานี่มันจะแย่จะผุจะกร่อนเพราะพระผุ กร่อน เห็นพระร้าวก็นึกว่าเรามันจะร้าว เห็นพระแตกก็นึกว่าเรามันจะแตก ทีนี่ถ้าทำหิ้งวางพระไว้ไม่ค่อยตรงไม่ค่อยดี พอเวลานานๆเข้าตะปูมันขึ้นสนิม แล้วน้ำหนักมันถ่วงเอียงไปข้างหนี่ง พอเราเห็นพระเอียง โอย ตกใจใหญ่แล้ว แหมจะแย่แล้วครอบครัวเรา พระพุทธรูปเอียงแล้ว นี่ล่ะเขาเรียกว่าโชคลาง ถือกันในโชคลางไป ถือกันรูปของไสยศาสตร์ ไม่ได้ถือไปรูปของธรรมะอันเป็นเนื้อแท้ของพระศาสนาก็เลยเกิดปัญหากันวิตกกังวลล่อแหลมต่อการที่จะเป็นโรคประสาทไปตามๆกัน พวกเราที่เป็นโรคประสาทเพราะเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่น้อยนะ เรียกว่าเกิดความกลัวเกิดความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆก็เลยกลายเป็นโรคประสาทไปตามๆกันเพราะเรื่องความคิดที่ไม่ถูกต้อง นี่อย่างหนี่ง
อีกอย่างหนึ่งคือพอมีเรื่องกลุ้มใจเรามักจะไปหาหมอ หมอนี่ไม่ค่อยมีหลักการเท่าไหร่ เรียกว่าทายไปตามฤกษ์ตามดวงอะไรที่เขาเรียนมา แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อตนทายแล้วนี่คนจะมีปัญหาจะเกิดความทุกข์ทางใจ เคยมีคนมาหาหลายคนบอกว่ากลุ้มใจเหลือเกิน ถามว่านี่กลุ้มใจเรื่องอะไร เพราะว่าหมอดูเขาว่าโชคจะร้าย เลยบอกไปว่านี่แหละคือความผิดขั้นต้น ความผิดที่ไปหาหมอดูนะสิก็เลยไปรู้ว่าโชคของตัวจะร้าย ถ้าไม่หาหมอดูก็ไม่รู้หรอกว่าตัวจะร้ายมันก็ไม่ต้องวุ่นวายสับสนให้เป็นปัญหา แต่ไปหาหมอดูเข้าหมอก็ทายว่าโชคร้ายมากต้องให้ระวังให้ดีจะมีปัญหาก็เลยกลัวมานอนไม่หลับเลยทีเดียววิตกกังวลด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ หมอดูนี่มันทำให้คนเป็นโรคประสาทให้กลัวกันไปหมด พอรู้ว่ากลัวแล้วก็ต้องทำอย่างไรกันต่อไปหมอก็จะต้องบอกวิธีแก้ไขว่าแก้ได้ดวงนี่แก้ได้โชคนี่แก้ได้มีวิธีแก้ไข หมอก็ต้องหาเอาเงินนี่ล่ะ ต้องทำพิธีอย่างนั้นต้องทำพิธีอย่างนี้เพื่อสะเดาะเคราะห์สะเดาะโศก แล้วคนคนนั้นก็ต้องเสียเงินเสียทอง หมอเป็นผู้จัดทำพิธีก็ได้เงินได้ทองไป ฉะนั้นเราไม่ควรจะไปหาหมอดูเป็นอันขาด ถ้าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้วไม่ต้องไปหาหมอดูที่ไหน เราดูของเราเองก็แล้วกัน ดูตัวของเราเองว่าเราตอนนี้เป็นอย่างไรมีการประพฤติอย่างไรมีการปฏิบัติอย่างไร เราเดินอยู่ในทางเสื่อมหรือว่าเราเดินอยู่ในทางเจริญ เช่นเราเดินอยู่ในทางอบายมุขเราชอบเล่นการพนัน เราชอบดื่มของมึนเมา เราชอบเที่ยวกลางคืน เราคบหาสมาคมด้วยคนชั่วๆ เราสนุกสนานเฮฮาในทางสิ้นเปลือง เราเป็นคนไม่ขยันในการทำมาหากิน ไม่ต้องหาหมอไหนหรอก รู้ได้เลยว่าดวงมันกำลังจะเลวลงไปแล้วล่ะ เพราะเดินในทางเลวชีวิตมันก็ต้องเลวลงไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่มีเรื่องอย่างนั้น เราไม่มีการเล่นการพนัน เราไม่ได้เที่ยวกลางคืน เราไม่ได้ดื่มของมึนเมา เราไม่ได้คบค้าสมาคมกับคนชั่วคนร้าย เราไม่เป็นคนสนุกสนานในทางที่เสื่อม เราเป็นคนขยันในการประกอบกิจการงาน ไม่ต้องไปหาหมอให้ทายดวงมันดีขึ้นไปเรื่อยๆ แน่ เพราะเราทำดีอยู่ดวงมันก็ดียิ่งขึ้นไปก็เท่านั้นเอง อันนี่สำคัญมันอยู่ที่ว่าเราดูเอาเองว่าเราทำอะไร เราประพฤติอะไร ไม่ต้องไปหาหมอ หมอเหล่านั้นก็แย่ลงไปทุกวันทุกเวลาตัวหมอเองเพราะก็ไม่ทำอะไรวันๆมัวแต่นั่งดูดาวดูเดือนไปจิ้มชอล์กไปวันหนึ่งๆนั่งเพ่งขีดเขียนบนกระดานแผ่นน้อยเรื่อยไป แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้กระดานแล้วเขาใช้กระดาษแล้วก็ใช้ปากกาหมึกแห้งดูหมอกันไปตามเรื่องก็ไม่ค่อยจะได้อะไรก็ดูกันมานานแล้ว บางคนนั่งดูที่ท้องสนามหลวงมาตั้งแต่หนุ่มจนกระทั่งแก่ไม่มีอะไรเจริญก้าวหน้า บอกเขาไปว่า เอะเรานี่มันดูดวงเก่งแต่ทำไมมันไม่เจริญก้าวหน้า ตอบว่า โอ ดวงผมมันเป็นอย่างนี้ครับดวงมันไม่ดี เขาว่าอย่างนั้นก็แปลว่าดวงมันเป็นหมอจนตายไม่มีทางดีขึ้นไปเลย
นี่มันเป็นอย่างนี้ อันนี้เราจะไปยุ่งกับเรื่องอย่างนี้ทำไม เราในฐานะเป็นพุทธบริษัทต้องแก้ปัญหาตามหลักการของพระพุทธเจ้า อย่าไปแก้ปัญหานอกลู่นอกทาง อย่าไปเที่ยวถามอะไรให้มันวุ่นวาย อย่าไปเที่ยวสั่นกระบอกเพื่อจะดูว่าโชคชะตาราศีจะเป็นอย่างไร อย่างไปสั่นติ้วนี่เรียกว่าไม่ใช่วิถีทาง ไปสั่นดูว่าดวงเป็นอย่างไร แล้วใบนั่นน่ะเขามี ๑๐๐ใบ เขาเอาเป็นเรื่องดีไว้ ๙๕ ใบ คือเขาต้องการปลอบโยนจิตใจคน เรื่องร้ายมัน ๕ ใบเท่านั้นแต่ถ้าใครไปถูกเรื่องร้ายก็เรียกว่าซวยเต็มทีแล้วที่ไปสั่นได้ใบร้ายเข้า ความจริงมันไม่ค่อยมีหรอก มีแต่ว่าจะดีขึ้นจะได้ของคืน คนรักจากไปก็จะกลับมา โรคาพยาธิก็จะบรรเทา อ่านแล้วสบายใจเพราะว่าเขาพิมพ์อย่างนั้นพิมพ์เป็นเครื่องปลอบใจคน คนที่มันปัญญาอ่อนไม่ได้เรื่องอะไรหรอก ไอ้เราที่มันไปนั่งสั่นป๊อกแป๊กๆนั่นล่ะมันเป็นพวกปัญญาอ่อนทั้งนั้นล่ะ ปัญญามันยังไม่แก่กล้าไม่สามารถที่จะ วินัจฉัยชีวิตของตนเองได้หรือพิจารณาตัวเองว่าอะไรเป็นอะไรเลยก็ต้องไปสั่นอยู่ตามวัดต่างๆที่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ นั่นเขาไว้สำหรับเด็ก ถ้าเรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ใหญ่เรามีปัญญาพอจะช่วยตัวเองได้ก็ไม่ควรจะไปยุ่งกับสิ่งหล่านั้น เอาไว้ให้เด็กๆเขาสั่นกันไปตามเรื่องตามราว แต่ว่าจะให้เลิกซะทีเดียวเลยก็ไม่ได้เพราะว่าพวกเด็กมันจะร้องไห้ เพราะอย่างนั้นก็ให้เด็กเขาสั่นกันไปก่อนตามเรื่องตามราว แต่เมื่อเด็กเหล่านั้นเขาเติบโตทางจิตใจเขาก็จะไม่ไปสั่นอีกต่อไป แล้วใครจะช่วยให้เด็กเหล่านั้นเติบโตทางจิตใจ พระเราต้องก็สอนเขา ต้องเลื่อนฐานะทางจิตใจยกระดับความรู้ความเข้าใจในเรื่องชีวิตให้เกิดขึ้นแก่คนเหล่านั้น แล้วคนเหล่านั้นก็จะได้ไม่ต้องเที่ยวไปสั่นกระบอกกันต่อไป แต่ว่าถ้าวัดไหนมีเรื่องอย่างนี้ก็เด็ดขาดเลยว่าไม่มีสอนเลยล่ะเพราะว่ามันสอนไม่ได้มันขัดผลประโยชน์ อยากขายใบเซียมซีขืนไปสอนมันก็ไม่ได้สตางค์อะไร ก็เลยจะสอนทำไมก็ปล่อยให้โง่กันต่อไป ก็สั่นกันมาตั้งแต่รุ่นปู่แล้วพอถึงรุ่นหลานก็ยังไปสั่นกันต่อไปตามเรื่องตามราว เพราะเราไม่เทศน์ไม่สอนคนให้เข้าใจคนก็หลงใหลมัวเมากันไปอยู่ในเรื่องเช่นนั้น จึงใคร่ของฝากญาติโยมไว้ว่าถ้าเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องเราไม่ต้องเที่ยวถามอย่างนั้นแต่เรานั่งลงสงบใจถามตัวเราเองว่าเราได้ทำผิดอะไร แต่ว่ามันลำบากบางครั้งนะ เขาเรียกว่านิ้วชี้ตัวเองตำตาตัวเองน่ะมันไม่ถูกหรอก ตำเข้าไปมันก็หลับตาเสีย ตามันก็หลับเสียเลยไม่ถูกลูกตาหรอกมันเป็นเรื่องธรรมดา
คนเราก็เหมือนกันถ้าเราจะมองด้วยตัวเองก็อาจจะมองไม่พบ เราต้องไปวัดไปศึกษากับพระ ไปวัดนี่ไม่ใช่ไปดูหมอนะ ไม่ใช่ไปเพื่อสะเดาะเคราห์สะเดาะโศกในทางไสยศาสตร์ด้วยวิธีการหมอดูหมอเดาอย่างนั้น แต่ว่าเราไปเพื่อศึกษาแนวทางแก้ปัญหาให้รู้ว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร เรามีความทุกข์ทางใจอย่างไรมีความกลุ้มใจในเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ต้องไปเล่าให้พระที่เข้าใจธรรมะพูดให้ฟัง ท่านก็จะอธิบายแก้ปัญหาเหล่านั้น ก็คล้ายๆกับเราไปหาหมอนี่ล่ะ เราจะต้องบอกอาการว่าเราปวดท้องปวดหัวรับทานอาหารไม่ได้นอนไม่หลับมีอาการอาเจียนอะไรต่ออะไรก็ว่ากันไปตามที่เราเป็นนะ เราเป็นอะไรก็ต้องบอกให้ละเอียด หมอเขาก็จะได้วินิจฉัยว่า อ๋อมันเป็นโรคอะไร อาการอย่างนี้มันเกิดจากโรคอะไร เมื่อวินิจฉัยเสร็จแล้วเขาก็ให้ยา เราก็เอามารับทาน เมื่อรับทานแล้วโรคภัยมันก็หายไปฉันใดเรามันวัดนี้ก็เหมือนกัน เรามาเพื่อศึกษาหาแนวทางชีวิตเพื่อเอาไปใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหา เพราะฉะนั้นเวลาใดเรามีความทุกข์ความเดือดร้อนเราก็ควรคิดว่าต้องไปศึกษาธรรมะต้องไปเอาธรรมะมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาในชีวิตของเรา เราต้องมาหาพระที่ท่านสอนธรรมะแล้วก็สนทนากับท่านเล่าเรื่องอะไรอะไรให้ท่านฟังท่านก็แนะแนวให้แก่เรา พระที่บอกแนวให้แก่เรานั้นเพียงแต่บอกแนวให้เท่านั้นล่ะ แต่ว่าเราจะต้องแก้ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าท่านจะช่วยเป่าหัวให้หรือว่าแต่งน้ำมนต์รดให้แล้วมันจะคลายจากความทุกข์ความเดือนร้อนไม่ใช่อย่างนั้น อันนั้นมันเป็นไสยศาตร์ไปไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาเราทำอย่างนั้นคงไม่ได้ แต่ว่าแนะว่าควรคิดอย่างไรควรนึกอย่างไร ควรเปลี่ยนแปลงแนวทางชีวิตอย่างไรแล้วก็เอาไปใช้ก็ได้รับความสะดวกสบายขึ้นตามโอกาสที่เขาได้ปฏิบัติธรรมะ
อันนี้เป็นตัวอย่างเช่นว่ามีคนอยู่คนหนึ่งทำงานอยู่ในสำนักงานแล้วก็มีความไม่สบายใจเรื่องคนบ้างเรื่องงานบ้างอะไรต่างๆ ก็เลยแนะนำว่าในการทำงานนั้นเราทำงานไปตามหน้าที่เรามีหน้าที่อย่างไรก็ทำหน้าที่อย่างนั้นไป ทำด้วยความตั้งใจทำให้เรียบร้อยให้ก้าวหน้าไปในทางที่ดี คนอื่นนั้นเขาจะพูดอะไรด้วยเรื่องของเรานั้นเราอย่าเอามาคำนึงให้มันมากนัก แต่ถ้าเขาพูดตินี่ก็รับฟังไว้หน่อยว่าเขาติด้วยเหตุด้วยผลหรือว่าติด้วยอารมณ์หรือติตามแบบของคนที่ชอบพูด เราก็ต้องมาคิดดูว่าเขาติด้วยอะไรแล้วเรามองดูตัวเราว่าคำที่เขาพูดนั้นมันมีอยู่ในตัวเราหรือไม่ ถ้าเห็นว่ามีอยู่เราก็แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น หรือว่าเขาชมว่าเราดีเราก็อย่าไปเพลิดเพลินเจริญใจในเรื่องคำชมนั้นแต่เราควรจะคิดว่าเขาชมว่าดีนี่เราดีเหมือนเขาว่าหรือเปล่า ถ้ามีดีก็ให้รักษาความดีนั้นไว้แต่ถ้าไม่ดีเหมือนเขาว่าก็ดีเหมือนกันเราจะได้ปรับตัวเราให้ดีขึ้นแล้วเราก็ทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตั้งใจทำให้ดีที่สุดแต่มันอาจจะผิดพลาดบ้าง เช่น หมอนี่เป็นตัวอย่างรักษาคนไข้ก็รักษาด้วยความตั้งอกตั้งใจด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์เพื่อจะให้คนไข้หายนั่นล่ะ แต่มันก็มีพลาดพลั้งบ้างเหมือนกันคือแทนทีจะหายกลับตายไปก็มีบ้างเหมือนกัน อย่าเป็นทุกข์ถ้ามันเกิดการณ์เช่นนั้นขึ้น แต่เราควรศึกษาว่าที่ได้พลาดไปอย่าวนั้นเพราะอะไรเราวินิจฉัยโรคอย่างไรเราให้ยาอย่างไร บางทีอาจจะวินิจฉัยผิดก็ได้ไม่ใช่ว่ามันจะถูกต้องเสมอไปเพราะเราไม่ใช่หมอตาทิพย์หรือไม่ใช่พวกหูทิพย์ที่จะรู้อะไรไปเสียทั้งหมดอาจจะมีผิดมีพลาดบ้างก็จำไว้เป็นบทเรียน อย่าตกใจในเมื่อมันเสียหายเกิดขึ้นแต่ควรนึกว่า เออ มันก็เป็นบทเรียนของเรา เราได้คิดแก้ไขในการต่อไปข้างหน้า อย่าเอาเรื่องนั้นมาให้เกิดความทุกข์ความเดือนร้อนมากเกินไป ก็ได้แนะไปอย่างนั้นเขาก็ได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปจิตใจก็ค่อยๆดีขึ้น ทำงานด้วยความสุขความสบาย
อีกข้อหนึ่งบางทีก็มีปัญหาว่าผู้บังคับบัญชากับตัวเขานี่มันเกิดความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องบางประการ ก็บอกว่าอันนี้มันต้องใช้ปัญญาหน่อย ใช้ปัญญาพิจารณาว่าถ้าถูกด้วยระเบียบวินัยเราต้องทำตามผู้บังคับบัญชาเพราะเราเป็นข้าราชการจะเป็นตำรวจเป็นทหารเป็นอะไรก็ตามก็ต้องมีระเบียบมีวินัย เมื่อผู้บังคับบัญชาว่าให้ทำอย่างนี้แม้เราจะไม่เห็นด้วย เมื่อพูดเสนอแนะแล้วท่านก็ไม่เอาด้วย เราก็ต้องทำไปตามแนวที่เขาสั่งให้ทำเพราะมันอยู่ในเรื่องระเบียบ แต่ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องระเบียบอย่างนั้นเรามีสิทธิที่จะวินิจฉัยใช้เหตุใช้ผลใช้ปัญญาของเราได้เราก็ใช้ของเราไม่ต้องลำบากยากใจอะไรก็ทำไปในรูปอย่างนั้น อันนี้ก็เอาไปใช้แก้ปัญหาได้ มีเด็กหนุ่มคนหนี่งมาเมื่อวานนี้เขาเป็นทหารอยู่ชายแดน ทีนี้เมื่ออยู่ชายแดนนี่มันมีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องคนลักลอบสินค้าไปขายชายแดนทุกวัน แม่ทัพเขาก็สั่งว่าให้จับตักเตือนครั้งแรก ตักเตือนเป็นครั้งที่สองริบของไว้ ครั้งที่สามนี่เมื่อไม่เชื่อไม่ฟังกันแล้วก็ให้จัดการเลยคือเรียกว่าต้องฆ่าต้องแกงกันบ้างล่ะ อันนี้มันก็เกิดฆ่าแกงกันขึ้นมาจริงๆแล้ว ทหารก็ทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาว่าคนชื่อนาย ก นี่เมื่อจับแล้วครั้งที่หนึ่งครั้งที่สองครั้งที่สามนี่ก็ยังขนไปเต็มรถจะเอาไปขายต่อไป ก็เลยต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาคือยิงคนนั้นให้มันตายไปทิ้งศพไว้ที่ชายแดนนั่นเอง แต่เมื่อทำแล้วเขาก็เกิดความวิตกกังวลในจิตใจว่ามันเป็นบาปในการฆ่าคนนี่ มันเป็นอย่างนั้นเพราะว่าเรานับถือพระพุทธศาสนาเมื่อทำการฆ่านี่มันเป็นเรื่องบาป ข้อ ๑ นี่เขากลัวกันนักแต่ว่าศีลข้อ๕ นี่ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ความจริงเขาห้ามไม่ให้ดื่มสุราแต่ว่ากล้าล่วง แต่ว่าข้อ ๑ นี่เขาไม่ให้ฆ่านี่แต่ว่าฆ่าแล้วนี่เป็นทุกข์เดือดร้อนใจมันคิดอย่างนั้น ก็มาถามปัญหาว่าผมจะทำอย่างไรชีวิตของผมมันต้องอยู่อย่างนี้ ทีนี้ก็เลยอธิบายให้เขาฟังว่าเธอมีหน้าที่อะไรเวลานี้เรามีเธอมีหน้าที่อะไร เธอเป็นทหาร ทหารนี่มีหน้าที่รักษาชายแดนดูแลอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นที่ชายแดน เวลานี้เธอไปอยู่ชายแดนก็มีหน้าที่รักษาชายแดน ข้าศึกนั้นเขามีกำลังเพราะว่าคนภายในประเทศเรานี่เอาของไปขายให้เขา แล้วของที่เอาไปขายนั้นได้อะไรมาบ้าง ได้เงินประเทศไหนก็ได้เงินไทย ของคนเมืองไทยขายต่างประเทศแต่ได้เงินไทยมาก็เท่ากับว่าไม่ได้อะไร
ในส่วนรวมคือไม่ได้อะไรเท่ากับว่าขายให้เขาเปล่าๆเพราะเราไมได้อะไรมา ไอ้ที่ได้ก็คือว่าสมมติว่าเราขายข้าวเราได้เงินดอลล่าห์มานี่เรียกว่าเป็นรายได้ ได้เงินมาร์คได้เงินปอนด์ได้เงินเยน เข้าประเทศอย่างนี้เรียกว่าได้รายได้เพิ่มให้แก่ประเทศชาติ แต่ถ้าเราไปขายแล้วได้เงินของเรามามันเหมือนกับเราไม่ได้ มันคล้ายกับว่าหลานเอาเงินคุณยายไปซื้อขนมคุณยาย คือว่าลักเอาเงินในกระเป๋าคุณยายไป และคุณยายขายขนมแล้วหลานก็เอาเงินนั้นไปซื้อขนม คุณยายมาดูสตางค์ในกระเป๋าว่ามันหายไป หายไป ๕ บาท แล้วขายขนมได้ ๕ บาท แล้วคุณยายได้อะไรบ้าง มันก็ไม่ได้อะไรเลยแต่ว่าเสียขนมให้หลานเอาไปกินฟรีๆเสียเปล่าๆไม่ได้อะไรกลับมา ทีนี้คนเราที่เป็นพ่อค้าที่ขนสินค้าไปขายกับพวกต่างประเทศพวกเวียดนามพวกเขมรหรือพวกที่ไม่ใช่ฝ่ายเราน่ะ เอาไปขายก็ได้เงินไทย เมื่อได้เงินไทยก็เท่ากับว่าไม่ได้อะไร แล้วคนที่เอาไปขายนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนรักชาติรักประเทศหรือว่าเป็นคนทำลายชาติทำลายประเทศเธอลองคิดดูสิ เขาก็บอกว่ามันไม่ได้รักชาติรักประเทศไม่ได้ช่วยชาติช่วยประเทศแต่ว่าทำลายในเศรษฐกิจของประเทศไทยตกต่ำลงไปด้วยเพราะเอาของไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา ไอ้เรื่องเงินนี่เขาคุมกันนักหนานะ เช่นเราไปต่างประเทศนี่ คนไทยไปอินเดียนี่ ถ้าถือเงินรูปีเข้าไปนี่ผิดกฏหมาย เงินรูปีนี่ถ้าออกแล้วเขาไม่ให้เข้าเพราะว่าเข้าไปแล้วเขาไม่ได้อะไร เขาต้องให้ถือเงินตราต่างประเทศเข้าไปจะเป็นเงิน ดอลล่าห์ เป็นเงินปอนด์ เงินมาร์ค เงินสิงค์โปร์มาเลเซียอะไรก็ตามใจ แต่ถ้าถือเงินรูปีเข้าไปเขาไม่ให้เอาเข้าไปผิดกฏหมายเลยนะและเขาสามารถจับใส่คุกใส่ตารางได้ แต่ว่าเจ้าหน้าที่ด่านเขาก็มีใจเป็นกรุณาอยู่ ครั้งหนี่งพาโยมไปอินเดียโยมก็เป็นคนซื่อ เขาให้แจ้งความว่ามีเงินอะไรเท่าไหร่ แกก็เขียนดอลล่าห์เท่านั้น เงินรูปีซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่หรอกแค่ ๗๕ รูปีเท่านั้นเอง เจ้าหน้าที่ผู้น้อยเห็นเข้าเขาก็รีบบอกว่าไม่ได้ไม่ได้ให้เอาออกขีดออกอย่ามีเงินรูปีเข้ามาเพราะว่ามันผิดกฏหมาย นั่นเขาเตือนนะ เขาก็ดีเตือนให้เอาออกก็เลยขอใบใหม่มาเขียนไม่ต้องมี ๗๕ รูปีเข้าไป แจ้งเฉพาะว่ามีดอลล่าห์เท่าไหร่มีเงินตราต่างประเทศเข้าไปเท่าไหร่ นี่คือเขาควบคุมไม่ให้เงินของเขาที่ออกไปแล้วกลับมา เพราะกลับมาแล้วเขาสูญเสียประโยชน์เขาไม่ได้อะไรมา เป็นการสูญเสียฉันใดคนที่ขนของไปขายชายแดนแล้วก็ได้เงินไทยมานั้น
ประเทศไทยไม่ได้อะไรเลยฉันนั้นเหมือนเอาของไปให้เขาเปล่าๆ แต่รัฐไม่ได้อะไรมีแต่ความสูญเสียก็เรียกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูก เพราะฉะนั้นผู้บังคับบัญชาก็จึงสั่งว่าให้จับให้เตือนสองครั้ง ครั้งที่สามนี่ให้เก็บเสียเลย พวกนั้นมันก็ทำตามคำสั่ง เธอปฏิบัติตามหน้าที่มันก็ไม่ได้เป็นบาปเป็นอกุศลในเรื่องนี้ ถ้าเธอไม่ปฏิบัติตามหน้าที่สิเธอก็จะเป็นคนที่ทรยศต่อประเทศชาติเข้าข้างพ่อค้าที่ไปค้าขายชายแดนอย่างนั้นเธอทำไม่ถูก อันนี้เธอทำถูกแล้ว เธอไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องปัญหานี้ แต่ถ้าเตือนกันได้เตือนกันก่อนจะได้ไม่ต้องไปฆ่าเขา เพราะถ้าหากว่าไม่จำเป็นก็อย่าฆ่า ก็เตือนกันก่อนแต่ถ้าเตือนหลายครั้งแล้วไม่รู้เรื่องก็ต้องเล่นงานกันบ้างเพราะคนเหล่านั้นมันไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเธอได้ทำลงไปก็ไม่ต้องตกอกตกใจ ให้คิดว่าเราทำงานตามหน้าที่ไม่ได้มีเจตนาที่เป็นโหดร้ายเที่ยวฆ่าคนอะไร แต่ว่าคนเขาหาเรื่องมาให้เราฆ่าเองเราก็ต้องฆ่า เหมือนเพชรฆาตฆ่าคนนี่เหมือนกัน เพชรฆาตไม่ได้เป็นบาปเพราะเพชรฆาตไม้ได้ไปเที่ยววิ่งฆ่าคนบนถนน ไม่ได้ฆ่าอย่างทารุณเหมือนที่เขาฆ่ากันทั่วๆไป เพชรฆาตอยู่ดีๆทำงานตามหน้าที่เขาก็มาบอกว่าต้องไปลั่นไกปืนฆ่าคนหน่อยแล้วแกก็ไปทำงาน แต่เพชรฆาตนี่เพียงแต่ไปลั่นไกเท่านั้น เขาเล็งไว้เสร็จแล้วเล็งตรงเป้าเลยทีเดียว
อาตมาเคยเข้าไปในคุกบางขวางที่เขาฆ่านักโทษ คือสั่งเขาไว้ว่าวันไหนจะฆ่านักโทษนี่ให้บอกด้วย จะไปดูหน่อย จะไปดูใจคนที่ถูกฆ่านี่มันรู้สึกนึกคิดอย่างไร เขาบอกว่าให้หลวงพ่อไปเทศน์สอนสักทีเถอะ เทศน์สอนนักโทษก่อนที่จะเอาไปประหารก็เลยไป แล้ววันนั้นมันตั้ง ๕ คน เขาฆ่าตั้ง ๕ คน เขาก็ทำเรื่องทำราวประทับลายมืออะไรตามพิธีกรรมเขา เสร็จแล้วก็นิมนต์ให้เทศน์ และเขาก็มากระซิบบอกว่าอย่าเทศน์ให้นานนะเพราะพวกมันจะตายแล้ว โอย จะให้ฉันเทศน์แล้วยังจะมาบังคับอีก ต้องให้ฉันเทศน์ได้ตามพอใจสิจะได้พูดให้มันเข้าใจกันหน่อย ก็เลยเทศน์ประมาณ ๑๕ นาที ให้เขาเข้าใจเรื่องชีวิตเรื่องอะไรต่ออะไร แล้วพอเวลาจะเอาไปประหารนี่เขาเดินกันไปได้เขาเดินไป พวกนั้นบอก เออ หลวงพ่อมาเทศน์นี่ดีนี่ นักโทษมันเดินไปได้ไปจนถึงที่ประหารได้ ปกติองค์อื่นมาเทศน์นี่มันเดินกันไม่ได้มันเขาอ่อนต้องมาลากใส่รถเข็นพากันไปทุกทีล่ะ แต่ว่าอาตมาเทศน์นี่มันเดินยิ้มกันไปเลย เดินไปสบายๆ อาตมาก็เดินคุยกับมันไปด้วย เดินไต่ถามปัญหาชีวิตทำไมเราจึงต้องถูกฆ่าเพราะอะไรเรารู้ไหม ตอบว่ารู้ครับ ถามว่าเรื่องอะไร ตอบว่าก็ผมเคยฆ่าเขาเขาก็ต้องฆ่าผมบ้าแบบกรรมสนองกรรม ถามว่าแล้วรู้สึกเสียใจไหมในการที่จะต้องตายวันนี้ ตอบว่าธรรมดาครับธรรมดาไม่ได้เสียใจอะไรหลวงพ่อเทศน์เมื่อกี้ผมเข้าใจแล้วว่ามันเรื่องธรรมดาผมจะทำใจให้สงบเวลาที่จะถูกฆ่า พอไปถึงตรงที่นั่งตรงนั้นมันใกล้โบสถ์วัดบางขวาง เขาก็ให้หันหน้าไปทางโบสถ์ให้ดอกไม้แล้วก็ให้บูชาพระ ก็เข้าไปพูดแนะนำว่าบูชาพระนึกถึงพระนะ แล้วเวลาเดินไปสู่หลักประหารก็ให้ภาวนาพุทโธพุทโธ อย่าไปนึกอะไรอย่าไปโกธรใครอย่าไปเคืองใครนะให้นึกอย่างนั้น เขาเอาผ้าพันตาไว้เวลาจะเข้าไปสู่ห้องประหารเขาเอาผ้าพันตาไม่ให้เห็นอะไร และเมื่อพาไปถึงก็มีหลักไว้ข้างฝาดูคล้ายกับไม้กางเขนคือให้แขนเอาไปเกาะไว้แล้วก็มีเก้าอี้รองนั่งแล้วก็เอาม่านดำปิดแล้วก็มาวัดวางระยะเอาปืนเล็งให้ตรงหัวใจพอดีเรียกว่าโป้งเดียวไม่ร้องเลยล่ะเพราะว่าตรงหัวใจเลยทีเดียว แต่ว่ามียิงพลาดคนหนึ่งเพราะคนนั้นมันอ้วนและมันคงจะขยับตัว พอมันขยับตัวเลยยิงไม่ถูกหัวใจมันก็ดิ้นร้อง พวกนั้นบอกต้องใส่ปืนใหม่ยิงไหม่ แหม ทรมาน เขาบอกว่ามันคงจะดิ้นขยับตัวมัดไม่แน่น เขามัดมือมันตีนมัดข้างหลังไว้ไม่ให้ขยับได้อย่างนั้นมันยังดิ้นพลาดนิดหน่อยไปไม่ตรงหัวใจเลยต้องยิงซ้ำ ก็นึกสงสารเหมือนกันแต่ก็ปลงตกว่ากรรมเวรของมันมันสร้างไว้ก็ต้องตายไปตามเรื่อง ไปดูมาเพื่ออย่างนั้นเพื่อจะดูว่าสภาพจิตเขาเป็นอย่างไร จะได้สังเกตุว่าเขารู้สึกอย่างไร เขามัดแล้วหลวงพ่อยังเข้าไปยืนพูดอีกเลยก่อนที่เขาจะลั่นไกนี่ล่ะ เข้าไปบอกเขาว่าทำใจดีดีนะอย่าโกธรใครอย่างเคืองใครนะพุทโธพุทโธให้แข็งไว้ มันพุทโธใหญ่เลย พุทโธเสียงดังเลยจนกระทั่งเพชรฆาตมา
เพชรฆาตนั้นคือนายอะไรนะเดี๋ยวนี้ก็แก่แล้วปลดเกษียณแล้วเพชรฆาตคนนั้น แกมาถึงก็เข้าที่คนจะถูกฆ่านั่นแล้วก็พูดว่าขอโทษนะเราไม่มีเวรไม่มีภัยอะไรกันนะ ผมทำตามหน้าที่นะ ไอ้นั้นก็ว่า เออ มันก็พูดไม่ได้แล้วเพราะถูกปิดปากไว้ มันก็ว่า เออ ก็หมายความว่าทำไปเถอะ แล้วแกก็มายืนสำรวมจิตแล้วพนมมือคือรู้ว่าแกทำจิตให้ว่าง ให้ว่างจากความโกธรความเกลียดความพยาบาท ให้นึกถึงพระแล้วแกก็ลั่นไกเปรี้ยง กระสุนออกไปทีตั้ง ๑๗ นัดเลยทีเดียว กดทีเดียวกระสุนออกไปตั้งเยอะแยะปลอกกระสุนกองเลยทีเดียว ไอ้นั้นก็มีเห็นท้าวสั่นๆคือร้องไม่ออกหรอกแล้วก็ตายเลย คือเพชรฆาตนั้นทำงานอย่างนั้น แกบอกว่าผมนี่มารับฆ่าคนทีไรสตางค์ที่เขาให้ผมไม่เคยได้กินได้ใช้เลย ได้เท่าไหร่เอาไปซื้อของถวายสังฆทานหมดทุกทีเลย ไปถวายสังฆทานอุทิศส่วนบุญให้คนที่ผมฆ่าด้วย อ๋อนึกออกแล้วว่าชื่อนายมุ้ย จิ้วเจริญ แกว่าผมไม่ได้กินได้ใช้อะไรนะผมทำไปอย่างนั้นล่ะตามหน้าที่ แล้วแกก็บอกแล้วว่าแกก็อยู่อย่างปกติเวลานี้ไม่มีอะไรจิตใจแกไม่มีอะไร ไม่เป็นโรคประสามเสื่อมหรืออะไร มันไม่เหมือนโจรนะโจรที่ไปเที่ยวฆ่าคนแก่ลงประสาทเสื่อมไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่นี่จิตใจแกไม่ได้เป็นบาปเป็นเวรเพราะเขาทำอย่างนั้นมันจำเป็นในหน้าที่ เป็นทหารก็ต้องฆ่าข้าศึก เป็นตำรวจถ้าเมื่อถึงคราวก็ต้องยิงผู้ร้าย มันจำเป็นไม่ใช่ว่าเรื่องอะไรหรอกก็แค่ทำตามหน้าที่ ก็ได้อธิบายเขาให้เข้าใจอย่างนั้นเขาก็สบายใจเพราะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจิตใจก็สบายขึ้น นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้
เรื่องอื่นๆก็เหมือนกัน ในปัญหาต่างๆในชีวิตถ้าเรามาปรึกษาหารือรับคำแนะนำแล้วก็เอาไปปฏิบัติแล้วก็ดีขึ้นสบายใจขึ้น เช่นบางคนเป็นโรคนอนไม่หลับ เป็นคนหนุ่มแต่ว่านอนไม่หลับ ก็ต้องบอกแนะนำไปว่าให้ออกกำลังกายเสียบ้างและก่อนนอนควรรับประทานอะไรนิดหน่อย กล้วยน้ำว้าสัก ๒ ผล ดื่มน้ำสักแก้วหนึ่ง แล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ทำจิตใจให้สงบ แล้วเวลานอนก็นอนกำหนดลมหายใจอย่าไปคิดเรื่องอื่นอย่าไปนึกเรื่องอื่นคิดแต่เรื่องลมเข้าลมออก ทำไปทำไปมันก็จะค่อยๆหลับขึ้น คนที่ไม่หลับเพราะว่าฟุ้งซ่านคิดร้อยแปดเรื่องนั่นเรื่องนี้วิตกกังวลเรื่องปัญหาชีวิตเรื่องการงานเรื่องอะไรก็ไม่รู้ล่ะที่มันยังไม่เกิดทั้งนั้นล่ะแต่ว่าวิตกไป อย่างนี้ก็เรียกว่าทำลายตัวเองทำให้จิตใจไม่สงบเลยวุ่นวาย ถ้าหากว่าเราควบคุมสภาพจิตใจได้ไม่ให้เกิดอารมณ์พลุ่งพล่านคือทำสมาธิเสียบ้างจิตใจจะได้สงบเวลาหลับจะได้หลับง่ายเวลาตื่นก็ตื่นง่าย คนใดที่เป็นคนหลับง่ายนี่นับว่าเป็นคนสุขภาพจิตดี พอล้มตัวลงปุ๊บกรนเลย แต่ว่าพอตื่นก็ตื่นได้ทันที คนพวกนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์ทุกข์คือเป็นคนไม่เก็บนั่นเองไม่เก็บอารมณ์ อะไรเกิดขึ้นก็ผ่านพ้นไปอะไรเกิดขึ้นก็ผ่านพ้นไปไม่เก็บไว้ คนที่วิตกกังวลนอนไม่หลับอะไรอย่างนี้เป็นพวกเก็บอารมณ์เก็บเรื่องเก่าๆแก่ๆเอามากระทบไว้ในใจ ว่างๆก็เออเอามานั่งคิดนั่งนึกน้ำตาไหลถอนใจอะไรอย่างนี้ นี่มันเรื่องอะไรเราลองคิดกันดูสิ มันไม่มีเรื่องอะไรเลยที่เป็นสาระเป็นแก่นเป็นสาร เราไปขุ้ยเหมือนเราไปขุ้ยกองขยะ กองขยะที่มันสะสมนานๆเข้านั้นมันมีกลิ่นไม่ดี แต่ว่าถ้ามันปิดอยู่มันก็ไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าเราไปขุ้ยขุ้ยกองขยะมันก็เหม็นปิดจมูกวิ่งหนีไปตามๆกัน นี่มันก็เหมือนกันกับอารมณ์ต่างๆที่เราเก็บไว้ในใจนั่นล่ะ เรื่องเก่าๆแก่ๆบางทีเหตุการณ์มันก็เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วมันควรจะเลือนไปจากความทรงจำตายไปจากความทรงจำของเรา แต่เราไม่ยอมเราอุตส่าห์เก็บมาทอดถอนใจคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องอะไรต่างๆ นี่มันเรื่องหาความทุกข์นั่นเอง คิดให้เป็นทุกข์แล้วก็ไม่สบายใจ เช่นลูกตายไปหลายปีแล้วก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ของหายไปหลายปีแล้วยังมานั่งเป็นทุกข์อยู่ อย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องแล้วเขาเรียกว่ามันยึดมั่นถือมั่นแต่ในเรื่องนั้นๆ ในภาษาธรรมะเรียกว่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ในเรื่องต่างๆ ก็พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราปล่อยวางคือทำใจให้มันว่างอย่าไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้ใจเราเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เพราะว่าเราคิดถึงมันก็ไม่ได้อะไร เช่นลูกตายไปหลายปีแล้วคิดถึงมันก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้อะไรคืนมาแต่ว่าลงโทษตัวเองทำให้ใจเศร้าหมองไม่ผ่องใสมีความทุกข์ความกระวนกระวายใจเสียสุขภาพทางใจเสียเปล่าๆ จึงควรจะนึกปลงๆวางๆไว้ เวลาในใจมันคิดถึงเรื่องอย่างนั้นเราก็นึกว่า โอ มันธรรมดามันเป็นอย่างนั้น คนเรามันก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้นหนีความตายไม่พ้น
เมื่อวานนี้มีคนหนึ่งชื่ออนามิตร อนามิตรนี่เป็นคนที่เขียนหนังสือพิมพ์บ้าง เขียนเรื่องไปอ่านทางวิทยุ ๐๑ กับคุณอาคมบ้าง เขาตายไปก็เอามาตั้งรดน้ำที่วัดแล้วโยมที่ศาลาก็ตามพันเอกเสรีไปรดน้ำ แล้วเขาก็มาถามว่าเวลารดน้ำนี่จะคิดอย่างไรดีหลวงพ่อ ก็บอกไปว่า คิดว่ากูก็จะตายเหมือนกันนั่นล่ะ คือว่าให้คิดง่ายๆนี่ล่ะไม่ต้องไปเอาคำบาลีอะไรหรอกเพราะมันจำยาก แต่คำบาลีเขาก็มีคำบาลีว่า เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโต แปลว่าเราจะต้องเป็นอย่างนี้เราหนีจากความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้ มันยาวแล้วก็ฟังแล้วมันก็ไม่ซึ้งใจ ก็เลยบอกว่าเอาง่ายๆว่า กูก็จะตายเหมือนกันอย่างนี้ดีกว่ามันง่ายดี รดน้ำทีไรก็ให้บอกว่ากูก็จะต้องตายเหมือนกันกูหนีความตายไม่พ้น ท่องอย่างนั้นแล้วมันก็จะเป็นเครื่องสะกิดใจทำให้เกิดคิดว่า โอ เราก็จะต้องตายเหมือนกันเราหนีความตายไปไม่พ้น ไปงานศพก็เหมือนกันเช่นเราขึ้นไปเผาศพเอาดอกไม้จันทน์ไปวางและให้บอกกับตัวเองว่า แกก็จะต้องตายอย่างนี้เหมือนกันบอกตัวเองอย่างนั้น อันนี้มันเป็นเครื่องสะกิดใจทำให้เกิดความรู้สึกว่า อ๋อ ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะหนีจากความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้แต่เวลานี้เรามันยังไม่ถึงวาระที่จะต้องไป เมื่อถึงคราวก็ต้องไปตามหน้าที่ที่จะต้องทำเหมือนคนทั้งหลายเขาทำมาแล้ว คนชั้นบรรพบุรษของเราตายไปตายไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าเอากระดูกของสัตว์โลกที่ตายแล้วมากองก็จะสูงขนาดภูเขาหิมาลัย มันตายกันอยู่ทั้งนั้นทั่วไปในโลกนี้ เราจึงไม่ควรจะกลัวเรื่องนั้นไม่ควรนึกถึงเรื่องอย่างนั้นมันวุ่นวาย แต่ถ้าเห็นเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นที่ใดก็เตือนตัวเองว่ามันอาจจะเกิดแก่เราเมื่อไรก็ได้เพราะฉะนั้นเราอย่าประมาท อย่าอยู่ด้วยความเผลอแต่อยู่ด้วยสติด้วยปัญญา แล้วถ้ามีอะไรที่จะต้องจับต้องทำที่เป็นเรื่องดีมีประโยชน์ก็ต้องรีบจับรีบทำเสียก่อนที่เราจะหมดลมหายใจ อย่าได้ชักช้าสิ่งใดควรละก็ละ สิ่งในควรเจริญก็เจริญ เช่นเราเป็นคนชอบดื่มของมึนเมาก็ต้องรีบเลิกเสีย เลิกเสียก่อนตาย ตายแล้วมันก็ไม่ได้เรื่องอะไรรีบเลิกเสียละเสีย สิ่งใดที่ควรจะทำเช่นว่าเราจะให้ทานเราจะรักษาศีลจะไปวัดฟังธรรมจะเจริญภาวนารักษาจิตใจให้สงบสะอาดสว่างก็ต้องรีบทำ อย่าได้คิดว่าชีวิตยังยืนยาวยังจะอยู่ต่อไปมันไม่แน่นอนอะไรทั้งนั้น อยู่ดีดีมันก็อาจจะเป็นอะไรขึ้นมาก็ได้ ท่านผู้หนึ่งไปต่างประเทศไปเช็คร่างกายแล้วฝรั่งก็ว่าโอ ทุกอย่างดีเป็นมนุษย์ประหลาดมีอะไรอะไรดีพร้อม พอกลับมาเมืองไทยไม่กี่วันไปนอนอยู่สมิติเวชแล้ว ก็มันเป็นอย่างนี้ล่ะมันเอาอะไรแน่นอนได้ที่ไหน เออ อาจจะต้องทำการผ่าตัดก็ได้มันไม่แน่นะ ฝรั่งมันตรวจมันอาจจะพูดเอาใจคนไข้ก็ได้นะ บอกว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วเราอาจจะประมาทว่า เออ แข็งแรงไม่เห็นเป็นอะไรเลย สูบบุหรี่ก็ได้ กินเหล้าก็ได้ ก็กลับหนักเข้าไปอีกถ้าประพฤติตัวอย่างนั้นทำให้คนอื่นมองว่า โอย คนชั้นนั้นยังสูบบุหรี่กินเหล้าแล้วหลวงพ่อจะมาเทศน์ให้เลิกอย่างไร เขายังแข็งแรงอยู่เลย แต่ตอนนี้ไม่แข็งแรงแล้วกลับไปนอนโรงพยาบาลแล้ว
นี่มันเป็นอย่างนี้มันไม่แน่อะไรมันไม่แน่ สิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอนิจจัง ที่พระท่านพูดบ่อยๆว่าอนิจจังน่ะโยมเอ้ย ก็หมายความว่ามันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแก่ร่างกายกับชีวิตทรัพย์สมบัติครอบครัวหรือแม้แต่ส่วนรวมประเทศชาติ ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไรใครไม่รู้ อันนี้เราอย่าไปวิตกกังวลในสิ่งเหล่านั้น เราอยู่ไปทำไปตามหน้าที่ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้ปลงว่า เออ มันเป็นธรรมดา ธรรมดามันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ มันก็ต้องมีอย่างนั้นล่ะสิ่งใดจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราอย่าไปวิตกกังวลทำเรื่องตัวเราให้เรียบร้อย แล้วถ้าตัวเราเกี่ยวข้องกับใครก็ทำให้เรียบร้อย เช่นเราเป็นพ่อบ้านก็ทำเรื่องที่เกี่ยวกับแม่บ้านกับลูกกับหลานให้เรียบร้อย เป็นแม่บ้านก็ทำเรื่องพ่อบ้านกับลูกกับหลานให้เรียบร้อย เราเกี่ยวข้องกับคนข้างบ้านเราก็ต้องทำให้เรียบร้อย อย่าให้ใครเดือนร้อนอย่าให้ใครวุ่นวาย อย่าให้ใครต้องมีปัญหาเพราะการกระทำอะไรของเรา เมื่อเราคิดอย่างนั้นก็เรียกว่าอยู่โดยธรรม เมื่อเราอยู่โดยธรรม ธรรมะก็ย่อมรักษาเรา ธรรมะที่เราเอามาประพฤติปฏิบัตินี่มารักษาเรา เหมือนกับร่มที่เรากางนี่มันรักษาเราให้ไม่ถูกฝนไม่ถูกแดด แต่ถ้าเราไม่กางมันก็ไม่รักษาเรา พระธรรมถ้าอยู่ในคัมภีร์ก็ยังไม่รักษาใจแต่เมื่อใดเราเอาธรรมะนั้นมาเป็นข้อปฏิบัติ ธรรมะนั้นก็จะทำหน้าที่รักษาทันทีปฏิบัติเราทันที เช่นเรามีสติมีสัมปัชชัญญะประจำตัวทำอะไรก็ทำด้วยสติไม่เผลอเรอ นั่นสติรักษาเราแล้วสติรักษาเราให้มีสัมปัชชัญญะคือรู้ตัวอยู่ในขณะที่เราทำอะไร รู้ตัวในขณะที่เราเดินเรานั่งเราพูดเราเกี่ยวข้องกับใครเราทำอะไรรู้ตัวระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา สมาธินั้นก็รักษาเราให้เราอยู่รอดปลอดภัย หรือถ้าเรามีความรู้สึกละอายต่อบาป ความละอายบาปนั้นก็จะคุ้มครองเราไม่ให้คิดพูดทำเรื่องชั่วไม่ให้ไปสู่ในสถานที่อันตรายเพราะเรามีความละอายในการที่จะทำเช่นนั้นและเรากลัวต่อผลอันอาจเกิดขึ้นจากการกระทำเพราะเราทำแล้วเราก็ต้องได้ผล ทำดีก็ย่อมได้ผลเป็นความสุขทำชั่วก็ได้ผลเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อนเราหนีไม่ได้ ผลมันต้องตกแก่เราเหมือนเราจับถ่านไฝเราก็ต้องร้อนจับน้ำแข็งเราก็ต้องเย็นจับสิ่งโสโครกเราก็ต้องเปื้อน ถ้าเราล้างมันก็สะอาด อันนี้ธรรมดาที่มันจะเกิดจะมีขึ้นแก่ชีวิตของเรา เราก็ต้องอยู่ด้วยธรรมะระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา มีอะไรเกิดขึ้นก็ให้รู้ว่ามีสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราต้องศึกษาข้อมูลของเรื่องนั้นว่ามันเกิดจากเหตุอะไรอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นให้มองที่ตัวเรา พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์เป็นเรื่องของตัว คนอื่นใดจะมาทำเราให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ให้เราเศร้าหมองก็ไม่ได้ ทำได้แต่เพียงผู้ชี้บอกทางให้เราเดินเท่านั้นเอง
องค์ผู้มีพระภาคพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า อขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้บอกทางให้ส่วนการเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระองค์บอกอย่างนั้น พระองค์ไม่สามารถที่จะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้แต่ว่าชี้ทางให้เดิน เมื่อถเดินตามทางที่พระองค์ชี้เราก็จะปลอดภัย เราจึงต้องมาศึกษาทางเดินแล้วรีบเดินทางอย่าชักช้าอย่าเสียเวลาให้นึกว่าชีวิตนี่มันน้อยมันสั้นต้องรีบเดินทางไป เดินไปตามทางที่พระพุทธเจ้าชี้ไว้ให้เราเดินอย่าเดินออกนอกทาง ให้เดินด้วยความมีสติปัญญาด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีประจำจิตใจ เดินไปแล้วชวนเพื่อนให้เดินตามบ้าง ชวนให้เขาได้ศึกษาธรรมะได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้เขาได้เลิกได้ละจากสิ่งควรเลิกควรละ เช่นเราเคยดื่มเหล้ากับเพื่อนมาล้วเราเลิกก็ชวนให้เพื่อนได้เลิกเสียบ้าง ก็ครั้งหนึ่งเราชวนกันให้ดื่มต่อมาเราชวนกันให้เลิก ชวนให้ละในสิ่งที่มันไม่ถูกต้องเพราะมันขัดต่อธรรมะในหลักศาสนา อย่างนี้เรียกว่าเรารักเพื่อนเราช่วยเพื่อนให้ขึ้นจากบ่อนรกให้มาเดินอยู่ในเส้นทางที่ปลอดภัย และเมื่อเดินไม่หยุดก็จะถึงจุดหมายคือความพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าเมื่อเดินไม่หยุดก็จะไปพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็อยู่ในใจเรานั้นล่ะแต่ว่ามีสิ่งอื่นเข้ามาบดบังไว้ทำให้เรามองไม่เห็น แต่เราคอยกันสิ่งไม่ดีออกไปออกไป เราก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นั้นคือองค์พระพุทธเจ้าที่อยู่ในใจของเรา เราทำให้เกิดขึ้นได้มีขึ้นได้ และเมื่อเราถึงจุดนั้นเราก็จะรู้สึกว่าสบายใจ ไม่มีอะไรเป็นปัญหาแก่ชีวิตของเราอีกต่อไป นี่คือประโยชน์ที่ได้รับจากการที่เราได้ศึกษาได้ปฏิบัติธรรมะดังที่แสดงมาเพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปเราก็มาฝึกจิตคือนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจนั่งตัวตรงสำรวมควบคุมร่างกายไม่ให้เคลื่อนไหวให้สงบนิ่งเรียกว่ากายสงบ วาจาสงบอยู่แล้ว แล้วก็คอยกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามลมหายใจ หายใจออกกำหนดรู้อย่าให้ไปนึกในเรื่องอื่นให้นึกแต่เรื่องลมเข้าลมออกเป็นเวลา ๕ นาที ขอเชิญญาติโยมทำได้ ณ บัดนี้