แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักธรรมสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านที่มีโอกาสมาวัดได้ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันอาทิตย์เป็นวันที่เราพักผ่อนทางร่างกาย แล้วก็มาหาความสงบทางใจ ด้วยการมาวัด การมาวัดนี้ก็เพื่อมาศึกษาเพื่อปฏิบัติ เพื่อขัดเกลาจิตใจให้สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ อันมีประการต่างๆ คือต้องขัดต้องขูดกันเรื่อยๆไป คล้ายกับเราอยู่ในบ้าน ต้องกวาดบ้านทุกวัน ถูทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ถูก็จะเห็นว่าขี้ฝุ่นมันจับ เกรอะกรังไปหมด จึงต้องเช็ดต้องถูกันเรื่อยไป ไม่หยุดไม่ยั้ง ในใจเรานี้ก็เหมือนกัน ต้องมีการขูดการเกลาเรื่อยๆไป ต้องมีการรักษาใจให้อยู่ในสภาพ สะอาด สงบ แล้วก็มีปัญญาและสว่าง เราจึงจะมีความสุขตามสมควรแก่ฐานะ
เพราะฉะนั้นท่านที่ได้มาวัดก็มาทุกวันๆเพื่อเพิ่มเติมกำลังภายใน ส่งเสริมสติปัญญาให้มากขึ้น จะได้เอาไปใช้ต่อสู้กับปัญหาชีวิตต่อไป เพราะว่าชีวิตในสังคมปัจจุบันนี้มันมีอะไรมากเหลือเกิน มีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แก้กันไม่จบไม่สิ้น ผู้อื่นนั้นแก้ปัญหาก็ต้องแก้กันเรื่อยไปไม่จบไม่สิ้นเสียที เพราะว่าเป็นการแก้กันที่ผล เราไม่ได้แก้ที่ตัวเหตุของเรื่อง
ในทางพุทธศาสนาของเรานั้น พระผู้มีพระภาคสอนว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนี้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นมันก็ต้องศึกษาว่าเหตุอยู่ที่ไหน อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น แล้วเราก็แก้ที่ตัวเหตุ ผลมันก็จะหายไป เหมือนกับหญ้าคาขึ้นในบ้าน ถ้าเราเพียงแต่ถางข้างบน มันก็ไม่หมดไม่สิ้น เพราะรากเหง้ามันยังอยู่ในดิน มันก็ได้โอกาสเจริญเติบโตต่อไป ยิ่งถางยิ่งขึ้นมาก เพราะว่าหัวมันได้รับแสงแดดมาก มันก็แตกออกไปมากขึ้น จึงเป็นเรื่องไม่จบ
ถ้าให้จบมันก็ต้องขุดเอาหัวหญ้าคานั้น เอาไปเผาไฟ ไม่ให้เหลือแม้สักเท่าข้อหนึ่ง เหลือแต่ข้อหนึ่งเท่านั้นมันยังขึ้นได้หญ้าคานี้ ชาวอินเดียก็ถือว่าเป็นหญ้าไม่รู้จักตาย เป็นหญ้าที่มีสิ่งเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ด้วยเหมือนกัน หญ้านี้ มันเป็นหญ้าที่ไม่ตาย ตายยากตายเย็น ฉะนั้นเราจะต้องกวาดให้เกลี้ยง ไม่มีเหลือแม้สักเท่าข้อนิ้วมือ มันจึงจะหมดเชื้อ เมื่อเชื้อหมดมันก็ไม่เกิดต่อไป แต่ถ้าเชื้อยังอยู่ก็เกิดต่อไป
เรื่องในชีวิตของคนเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าแก้กันแต่เพียงผิวเผินมันก็ไม่จบไม่สิ้น ก็ต้องแก้กันเรื่อยไป ต้องลงทุนกันอย่างมากมายเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ถ้าเราเริ่มแก้ด้วยวิธีกันไม่ให้เกิดจะดีกว่า วิธีที่จะกันไม่ให้เกิดนั้นก็ต้อง เรื่องของคน ต้องแก้ที่เรื่องคน เพื่อให้เรารู้ว่าในสมัยนี้คนเรามีความบกพร่อง มีความบกพร่องทางจิตใจ ไม่ได้บกพร่องเรื่องความรู้ ไม่ได้บกพร่องเรื่องความสามารถ ความรู้ความสามารถนั้นมีกันเพียงพอที่จะเอาไปใช้ แล้วก็เหลือใช้ด้วยซ้ำไป
บางทีก็เอาความรู้ไปใช้ในทางผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนแก่ท่าน มีความสามารถก็เอาไปใช้ในทางผิด ทำให้เกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ อันนี้ก็เพราะว่าผู้ใช้นั้นไม่ฉลาดในการใช้ ไม่มีเครื่องมือสำหรับที่จะประคบประคองจิตใจ เพื่อให้ใช้ความรู้ใช้ความสามารถในทางที่ถูกที่ชอบ
หรือแม้ว่าเรามีเงินมีทองแต่ก็ใช้เงินในทางผิดกันเยอะแยะ ใช้แล้วก็เกิดปัญหาในสังคมด้วยประการต่างๆ ทำไมจึงไม่เอาสิ่งที่ตนมีไปใช้อย่างนั้น ก็เพราะว่าตนไม่มีความฉลาดเพียงพอในการใช้ ไม่มีเครื่องประกอบเป็นหลักของใจ ใจจึงตกต่ำไปตามอำนาจของสิ่งยั่วยุ มีประการต่างๆ เลยมีเงินก็ใช้ในทางผิด มีความรู้ก็ใช้ในทางผิด มีพรรคมีพวกก็เอาไปใช้ในทางผิด มีอำนาจก็เอาไปใช้ในทางที่ผิด มันผิดกันใหญ่ ที่เราผิดกันไปมากมายเช่นนั้น ก็เพราะว่าจิตใจขาดสิ่งสำหรับเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตใจ เหมือนกับรถไม่มีห้ามล้อ เราจะเอาไปใช้บนถนนที่มีการจราจรพลุกพล่านไม่ได้ มันจะเกิดอันตรายจากการไปชนคนอื่นบ้าง ไปชนเสาอะไรต่ออะไร หรือไถลเลื่อนไปนอนแอ้งแม้งในคูบ้าง เพราะมันไม่มีห้ามล้อ
ชีวิตคนเรานี้เหมือนกัน ต้องมีอะไรเป็นเครื่องห้ามจิตใจ เพื่อไม่ให้ใจของเราไหลไปในทางชั่วทางต่ำเร็วเกินไป พอจะมีความยั้งคิดยั้งตรอง ในเวลาที่จะทำอะไร ความเสียหายก็จะเกิดน้อย ถ้าเรามีเครื่องมือสำหรับห้ามทำสิ่งนั้น เครื่องมือสำหรับที่จะห้ามกันสิ่งเหล่านี้ได้แก่อะไร ก็ได้แก่เรื่องศาสนา อันเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นแก่ชีวิต เป็นเรื่องที่เราจะต้องศึกษาทำความเข้าใจ แล้วเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา การนับถือศาสนานั้นก็เท่ากับว่าเราแสวงหาสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต จำเป็นยิ่งกว่าอาหาร เสื้อผ้า อากาศที่เราหายใจ มันจำเป็นมากกว่าสิ่งเหล่านั้น
เพราะแม้ว่าเราจะมีอาหาร มีเสื้อผ้า มีที่อยู่อาศัย มีหยูกยาสำหรับแก้ไข้ แต่ว่าถ้าใจมันขาดธรรมะเสียแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไร เราก็จะเอาสิ่งที่เรามีนั้นไปใช้ในทางที่ผิด เหมือนคนมีปืน ไม่มีธรรมะย่อมใช้ปืนในทางที่ผิด มีอำนาจก็เอาไปใช้ผิด มีพวกพ้องบริวารก็เอาไปใช้ในทางที่ผิด สร้างปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ด้วยประการต่างๆ
สาเหตุของสิ่งเหล่านี้อยู่ที่การขาดธรรมะ ไม่มีธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองจิตใจ จึงได้ไหลไปสู่ความตกต่ำอย่างนั้น นี่แหละคือตัวปัญหา ตัวเรื่องใหญ่ที่สำคัญในสังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ทีนี้เราไม่ค่อยจะคิดถึงเรื่องอย่างนี้ ผู้ที่มีอำนาจบริหารบ้านเมืองก็เหมือนกัน ก็ไม่ได้ค่อยคิดว่าจิตใจคนเรามันขาดอะไร เราคิดแต่ในแง่วัตถุกันหมด นึกว่าคนขาดอาหารบ้าง ขาดเสื้อผ้าบ้าง ขาดที่อยู่อาศัยบ้าง ขาดอะไรๆต่างๆ แล้วก็พยายามที่จะแสวงหาวัตถุเพื่อไปให้คนเหล่านั้นได้มีได้ใช้ แต่ว่าเขามีสิ่งเหล่านั้นแล้วก็ยังมีความประพฤตเสียหาย ยังจะทำความผิดกันอยู่
ดูตัวอย่างว่าคนมีเงิน ไม่ใช่ว่าจะเรียบร้อยเสมอไป คนบางคนมีเงินก็เรียกว่าใช้เงินเป็นประโยชน์ ก็เพราะว่าเขามีธรรมะเป็นหลักซึ่งเกลาจิตใจ แต่คนมีเงินที่ขาดธรรมะนั้น ย่อมนำเงินนั้นไปใช้ในทางที่ผิด มีความรู้ขาดธรรมะก็เอาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด แสวงหาสิ่ง (10.06) ด้วยประการต่างๆ ดังปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอๆ ว่าคนมีความรู้ขั้นนั้นกระทำความผิดอย่างนั้น กระทำสิ่งเสียหายอย่างนั้น มีเงินมีทอง เอาไปลงทุนในสิ่งที่จะเป็นพิษเป็นภัยแก่ประชาชนอย่างนั้นๆ เราได้ยินปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอ
สิ่งที่ปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอๆนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ ให้เรารู้ว่าคนเหล่านั้นมันขาดอะไร ขาดสิ่งสำคัญก็คือขาดหลักธรรมประจำจิตใจ หรือพูดง่ายๆว่าเป็นคนไม่มีศาสนาที่เป็นเนื้อแท้ มีศาสนาเพียงเปลือกนอกผิวเผิน เพื่อแสดงละครให้คนอื่นดูว่าฉันเป็นผู้นับถือศาสนา ไปวัดบ้างก็เพื่อแสดงละคร มีพระห้อยคอก็เป็นการแสดงละคร หรือว่าทำพิธีกรรมอะไรต่างๆก็เป็นการแสดงละครไป โดยเนื้อแท้ในจิตใจนั้นหามีสิ่งที่เรียกว่าเนื้อแท้ของศาสนาไม่
เพราะฉะนั้นเขาจึงได้สร้างปัญหาให้เกิดในสังคมด้วยประการต่างๆ อันนี้แหละคือสาเหตุของเรื่อง คนเราถ้ามีธรรมะเป็นหลักครองใจแล้ว ปัญหาอื่นมันจะหมดไป เช่นปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ อะไรเหล่านี้ มันจะหมดไปเมื่อคนเหล่านั้นมีคุณธรรมประจำจิตใจ เพราะคนมีคุณธรรมประจำจิตใจนั้น เขารู้จักประคับประคองตัว รู้จักกิน รู้จักอยู่ รู้จักทำการงานในทางที่ถูกที่ชอบ รู้จักใช้สิ่งที่เขามีเพื่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช้สิ่งที่เขามีเพื่อให้เกิดทุกข์เกิดโทษแก่ใครๆ เขารู้จักหักห้ามใจ ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ตามความอยากที่เกิดขึ้น
คนเหล่านั้นจึงไม่ทำชั่ว ที่ไม่ทำชั่วก็เพราะว่าเขามีเครื่องห้ามจิตใจ เครื่องประคับประคองจิตใจ จึงไม่กระทำความชั่ว แม้มีสิ่งยั่วยุให้กระทำความชั่วเขาก็ไม่ยอมกระทำ ถ้าจิตใจมั่นคงอยู่ในธรรมะ เลื่อมใสศรัทธามั่นในพระศาสนา เช่นเราเป็นพุทธบริษัท เราก็มีศรัทธามั่นคงในองค์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความรักพระพุทธเจ้ามาก มีความรักธรรมะ รักในพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
เขาไม่ทำอะไรที่เป็นเรื่องชั่วก็ไม่ยอมทำ เพราะเขามีความคิดเห็นว่า ความชั่วแม้เล็กน้อยมันก็ให้ผลเป็นทุกข์ จะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร เราจะได้อะไรมาจากความชั่วนั้น มันก็เพิ่มคุณค่าแห่งความชั่วขึ้นในจิตใจ เขาไม่ยอมรับสิ่งนั้น ไม่ยอมกระทำสิ่งนั้น เพราะมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานทางจิตใจอย่างแน่นฟัน
เขาก็เป็นคนที่ไม่ทำชั่ว แม้มีโอกาสจะทำความชั่วได้เขาก็ไม่ทำ มีใครมาชักจูง แนะนำในเรื่องทางชั่วเขารับฟังไว้เฉยๆ แต่ว่าส่วนลึกในจิตใจนั้นบอกว่าอย่าทำๆ เพราะเรื่องเช่นนั้นมันไม่ดี มันขัดต่อธรรมะในศาสนา เขามีความมั่นคงในธรรมะ เขาก็ไม่ยอมกระทำ ธรรมะมันก็ช่วยคุ้มครองจิตใจของผู้นั้นให้อยู่ในสภาพที่ไม่วุ่นวาย ไม่สับสน ชีวิตการเป็นอยู่ก็เรียบร้อย เรียบร้อยในบ้าน เรียบร้อยในสำนักงาน เรียบร้อยในสมาคม ไม่ว่าเขาจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับใครที่ใด เขาไม่ไปด้วยกิเลส แต่ไปด้วยสติปัญญา ไปด้วยความคิดอ่านที่ถูกต้อง
เขาจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร มันมีสิ่งหนึ่งคอยบังคับอยู่ในจิตใจ เพื่อให้ความคิด การพูด การกระทำ การคบหาสมาคมนั้นเป็นไปในทำนองคลองธรรม นี่คือธรรมะที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเขา เขาก็จะเดินไปในทางที่ถูกที่ชอบ ไม่เดินไปในทางต่ำทางเสื่อม
ญาติโยมก็คงจะประจักษ์อยู่แก่ตัวเอง ว่าเรามาฟังธรรมบ่อยๆหรือว่าอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เราจะเห็นว่าเรามีจิตใจละอายบาปมากกว่าแต่ก่อน มีความกลัวต่อบาปมากกว่าแต่ก่อน เราจะทำอะไรก็รู้สึกว่ามีความความยั้งคิดยั้งตรอง ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่ใจร้อนใจเลวหรือเรียกว่าไม่วู่วาม แต่ทำด้วยความรู้จักนึกคิด ทำโดยใช้สติใช้ปัญญาเป็นเครื่องกำกับการกระทำนั้น
การกระทำของบุคคลนั้นมันก็ไม่มีปัญหาแก่ใครๆ นี่คือผลที่เราได้ประพฤติธรรม ผลที่เราได้ฟังธรรมกันอยู่ ได้รู้ธรรมะ ก็จะได้เกิดความซาบซึ้งในจิตใจ ธรรมะนั้นคอยเป็นสิ่งห้ามใจไม่ให้คิด พูด ทำ ในเรื่องที่เสื่อมเสีย (16.12) อย่างนี้เรียกว่าธรรมะรักษาเรา คุ้มครองเรา ดังพุทธภาษิตที่พระองค์ตรัสว่า ธรรมโม หเว รักขติ ธรรมจารี ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ใดประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาผู้นั้นให้มีความเจริญ ให้มีความก้าวหน้าต่อไป นี่เป็นเรื่องที่เห็นกันอยู่ทั่วๆไป
ทีนี้ทำไมคนบางประเภทไม่ค่อยชอบธรรมะ ไม่ส่งเสริมให้มีการศึกษา ไม่ส่งเสริมให้มีการปฏิบัติ ไม่ส่งเสริมเพื่อให้คนประพฤติธรรม จิตใจเขาเป็นอย่างไร เราก็พอจะแยกใจของคนเหล่านั้นออกได้ว่า เขาเป็นทาสของความสนุกสนานทางเนื้อทางหนังเสียแล้ว เขาเพลิดเพลิน สนุกสนานในรสชาติแห่งการตามใจตัวเอง ว่ามันเป็นความสุขในชีวิตของเขา เป็นสุขเพราะได้กินได้ดื่มได้เที่ยวได้เล่น ได้สนุก ได้ตามใจตัวเอง เขาคิดในเรื่องอย่างนั้น
เขาติดความสุขแบบยั่วให้เกิดกิเลส ให้เกิดความกำหนัดเพิ่มขึ้น ให้เกิดความขัดเคืองเพิ่มขึ้น ให้เกิดความหลงใหลมัวเมาเพิ่มขึ้น แล้วก็ตามืด ใจมืด คิดนึกอะไรก็ไปตามลักษณะอย่างนั้นตลอดเวลา จะเรียกร้องให้เข้าหาธรรมะนั้น เขาไม่ได้ยิน ไม่มีหูจะฟังเสียงพระ ไม่มีตาจะไปมองดูพระ ไม่มีใจจะไปคิดนึกในเรื่องพระ แต่เขามีตาไว้ดูสิ่งที่ตาชอบ มีหูไว้ฟังสิ่งที่หูชอบ มีใจไว้คิดแต่ในเรื่องปล่อยตนไปตามอำนาจกิเลสตัณหานานาประการ สภาพจิตตกต่ำเสียแล้ว คนที่มีสภาพจิตใจตกต่ำอย่างนั้น จะอยู่ในฐานะอะไรตำแหน่งอะไรก็ตาม เขาก็จะใช้ฐานะตำแหน่งนั้นกระทำความชั่ว ทำตามใจตัวเอง ตามใจความรู้สึกฝ่ายต่ำที่เกิดขึ้น เขาก็เพลินสนุกสนานไปในทางนั้น
ไม่มีใครไปสะกิดบอกให้รู้สึกตัวว่า กำลังเป็นผู้กระทำการฆ่าตนเอง ด้วยการกระทำของตนเอง เขานึกไม่ได้ แล้วเพื่อนฝูงมิตรสหายแต่ละคนก็มีสภาพจิตใจแบบเดียวกัน คือสนุกสนานเพลิดเพลินอย่างนั้น มัวเมาอย่างนั้น หลงใหลอย่างนั้นเหมือนกัน เลยไม่มีปัญญาที่จะมองเห็นว่าอะไรแตกต่างจากสิ่งนี้ เขามองแต่สิ่งนั้นเรื่องเดียว แต่ไม่มีเห็นอะไรที่ดีไปกว่านั้น ประเสริฐไปกว่านั้น เพราะไม่มีโอกาสได้พบเห็น ได้ยิน ได้ฟัง ในสิ่งที่ถูกต้อง
ถ้ามีใครสักคนหนึ่งไปชวนว่า “อาทิตย์นี้ไปเที่ยววัดกันเถอะ” “ไม่ว่าง” นี่เขาจะตอบว่าไม่ว่าง ไม่ว่างเรื่องอะไร ก็จากแผนการจะไปเที่ยวเสียแล้ว จะไปพัทยา จะไปบางแสน หรือว่าจะไปหาความสนุกอะไรต่างๆในที่เหล่านั้น เขาเป็นคนไม่ว่างจากความชั่วเสียแล้ว ไม่ว่างจากพญามารที่เข้ามาครอบครองจิตใจเสียแล้ว เราจะดึงก็ดึงไม่ได้ เพราะเขามันชอบเสียแล้วในเรื่องอย่างนั้น
ทำไมเขาจึงได้ไปชอบในเรื่องอย่างนั้น ก็เพราะว่าเขาเติบโตขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่เป็นเครื่องยั่วยุอารมณ์ แล้วไม่มีใครที่จะสอนจะเตือนเขาให้เข้าใจทุกข์โทษของสิ่งเหล่านั้น เขาก็ไหลไปตามสิ่งเหล่านั้น เช่นเด็กหนุ่มๆสาวๆที่เติบโตขึ้นในสังคม ในยุคปัจจุบัน ถ้าไม่มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หรือคนที่คอยเหนี่ยวรั้งจิตใจ คอยเตือนคอยสอน เขาก็จะไหลไปกับสิ่งเหล่านั้น คบเพื่อนก็จะคุยกันเรื่องหนังโทรทัศน์เรื่องหนังจอยักษ์ หรือว่าเรื่องความสนุกสนานเพลิดเพลินด้วยประการต่างๆ เขาก็สนุกไปกับเรื่องอย่างนั้น
แล้วก็ไปเที่ยวหาความสนุกอย่างนั้น เพลินไป เพลินเรื่อยไป เพราะสตางค์มีก็เพลินเรื่อยไป สนุกเรื่อยไป ถ้าใครจะไปชวนเขาให้เดินหันหลังกลับมาสู่อีกทางหนึ่ง เขาอาจจะไม่ได้ยินเสียงนั้น อาจไม่สนใจ แล้วอาจจะมองเพื่อนด้วยสายตาเยาะเย้ยว่า แกนี่มันโง่ มัวแต่ไปทำอยู่อย่างนั้นแล้วมันจะพบกับความสุขได้อย่างไร เขามันคิดอย่างนั้น
ความสุขที่เขาเข้าใจนั้นก็คือการได้ตามใจตัวเอง ได้ทำอะไรตามใจอยากใจปรารถนาก็ถือว่าเป็นความสุข ไม่ได้ถือว่าการเอาชนะธรรมชาติฝ่ายต่ำเป็นความสุข การเป็นไทแก่ตัวเป็นความสุข ความมีใจเป็นอิสรเสรีอยู่เหนือสิ่งชั่วร้ายเป็นความสุข เขาไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น เขาไม่ได้คิดในเรื่องอย่างนั้น เพราะเขาติดเสียแล้วในเรื่องประเภทนั้น ใครจะไปพูดสักเท่าใดๆ ก็เขาไม่เข้าใจ เพราะใจเขามันรับเรื่องเดียวเสียแล้ว นี่คือความตกต่ำทางจิตใจ
แล้วก็ไปกันอย่างนั้นมากขึ้นๆ เพราะเสียงธรรมะไม่ค่อยจะดัง ไม่ค่อยเข้าไปถึงหูคนทั่วๆ ไป เดี๋ยวนี้มีการแสดงธรรมทางวิทยุ แสดงธรรมทางโทรทัศน์ แล้วก็มีบ่อยๆตามสถานีต่างๆ แต่คนฟังนั้นก็เป็นคนซ้ำกันอยู่ในพวกเดียวกันนั่นแหละ พวกนั้นแหละ พวกที่ดูโทรทัศน์ พวกฟังวิทยุก็เป็นชุดเดียวกัน ยังไม่ค่อยจะแพร่หลายไปในสังคมทั่วๆไป คนเหล่านั้นจึงยังไม่นึกถึงประโยชน์ของธรรมะ ไม่สนใจที่จะเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน
แต่เมื่อใดที่เกิดมีปัญหาคือมีความทุกข์ขนาดหนัก เขาก็แก้ไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือจะใช้ ไม่มีปัญญาจะแก้ไข เขาแก้อย่างไร ทุกข์หนักเข้าก็มองโลกว่า มันอยู่ไม่ไหวแล้ว แล้วเขาก็คิดฆ่าตัวตาย ด้วยวิธีการต่างๆ การกระทำการอัตวินิบาตกรรมคือฆ่าตัวตายนั้น เป็นความโง่ที่สุดในหมู่มนุษย์เราในปัจจุบันนี้ คนฆ่าตัวตายนี่เป็นคนโง่ที่สุด โง่จริงๆ โง่จนไม่รู้ว่าทางออกมันมี แต่ว่าไม่ไปหาทางนั้น แล้วก็ไม่ค่อยจะบอกใครในเรื่องจะฆ่าตัวตาย กลัวเขาจะห้ามไม่ให้ฆ่า ไม่บอก ไม่ชี้แจงกับใครทั้งนั้น เขาก็เลยไปทำอย่างนั้น
ผลที่สุดชีวิตก็สูญเสียไปโดยไม่ได้อะไร คุณพ่อคุณแม่ก็เสียใจ ปู่ตาย่ายายก็เสียใจ อุตส่าห์เลี้ยงทะนุถนอมให้การศึกษาเล่าเรียนมา เสียเงินทองไปเยอะแยะ แต่ผลที่สุดมันก็มาคิดสั้นๆ ทำลายตัวเอง อันนี้เป็นความผิดของใคร เราจะว่าเป็นความปิดของเด็ก (24.20) นั้นก็ไม่ถูกต้องทีเดียว มันก็ผิดอยู่เหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นปลายเหตุ
ต้นเหตุของความผิดนั้นอยู่ที่ใคร ก็อยากจะตอบว่าอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ หรือว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวนั้นแหละ ที่ไม่ให้สิ่งถูกต้องแก่เขา ไม่ปลูกสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบให้เกิดในใจของเขาตั้งแต่ตัวน้อยๆ ปล่อยให้มันเติบโตขึ้นในดงหนาม ก็ถูกหนามตำหนังตำเนื้อจนเลือดไหลโทรมไปทั้งร่างกาย แมลงวันก็มาตอม หยอดไข่ (25.04) ให้ แล้วก็เลยตายไป นี้เป็นความผิดของพ่อแม่ ที่ไม่ได้อบรมเด็ก ไม่ได้สอนเด็กให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
พ่อแม่เป็นผู้ผิดก่อนใครๆทั้งหมดในเรื่องนี้ พ่อแม่ที่ได้ผิดก็คือว่าผิดต่อๆกันมา เราก็ไม่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยเหมือนกัน สืบต่อกันมา ในสมัยก่อนนั้น แม้จะไม่มีการสอนการอบรม (25.35) อะไร เพราะสิ่งแวดล้อมที่จะยั่วยุคนให้เสียนั้นมันไม่มี มันน้อยเหลือเกิน โรงหนังไม่มี ภาพยนตร์ที่แสดงภาพไม่ค่อยดีก็ไม่มี ละครก็ไม่มี วิทยุ โทรทัศน์ ที่เอาอะไรมาแสดงในรูปแปลกๆนั้น มันก็ไม่มี หนังสืออ่านเล่น อ่านแล้วทำให้เกิดความตกต่ำทางจิตใจก็ไม่มี เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ ตามธรรมชาติ สิ่งยั่วยุจิตใจมันไม่มี
เหมือนว่าในสมัยอาตมาเป็นเด็กๆนี่ มันไม่มีอะไร ไม่เคยได้ดูภาพยนตร์ นานๆจะได้ดูสักทีหนึ่ง เขามาเร่ฉาย แต่ก็เป็นเรื่องคาวบอยทั้งนั้น เรื่องขี่ม้าอะไร จับกันไปอย่างนั้น แปลกๆมันก็ไม่ค่อยมี ดูทีหนึ่งก็หายไปตั้งหลายปี ถึงจะโผล่มาสักทีหนึ่ง ลิเก ละครก็ไม่มี หนังสืออ่านเล่นประเภทยั่วอารมณ์มันก็ไม่มี สิ่งแวดล้อมในสมัยนั้นมันบริสุทธิ์ เป็นท้องทุ่ง เป็นนา เป็นป่า เป็นเรื่องตามธรรมชาติ แม้จะไม่สอนว่าอะไรถูกอะไรผิด มันก็ไม่ค่อยมีโอกาสคิดในทางผิด เพราะสิ่งยั่วยุมันไม่มี เราก็เรียบร้อยกันมาโดยลำดับ
ทีนี้เมื่อมาถึงยุคนี้ในสมัยนี้ มันไม่เหมือนเมื่อก่อนเสียแล้ว เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปมาก สภาพสิ่งแวดล้อมในสังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงมาก โรงหนังมีทั่วไป แล้วก็หนังที่เอามาฉายก็ไม่มีใครคำนึงว่ามันจะเป็นเหตุให้เกิดอะไรในจิตใจคน ไม่ค่อยตรวจตราอย่างละเอียด มีการเซ็นเซอร์กันเหมือนกันแต่ว่าไม่ละเอียดอะไร เพราะคนเซ็นเซอร์นั้นก็ไม่ค่อยมีหลักการอะไรเท่าใดนัก เป็นไปอย่างนั้นเอง
สิ่งไม่เหมาะไม่ควรก็ออกมาให้เด็กเห็น นอกจากนั้นยังมีสิ่งแวดล้อมประเภทอื่นๆที่เปิดโอกาสให้เด็กวัย teenage ได้ไปเที่ยวไปเตร่ ได้ไปสนุกสนานเสียผู้เสียคน มีอยู่มากมายตามที่ทั่วๆไป เขาเรียกว่ามันเป็นความเจริญอย่างหนึ่งในเรื่องนั้น แต่ว่าความเจริญนั้นมันเป็นความเจริญเพื่อทำลาย ไม่ใช่เป็นความเจริญเพื่อการสร้างสรรค์ แต่ว่าเราจะไปห้ามก็ไม่ได้ ตอนนี้มันแกว่งไปทางนั้นเสียมากแล้ว
มันเอียงไปในทางนั้นมากแล้ว เราจะไปฝืนก็ไม่ได้ เราทำได้เพียงประการเดียวว่า เราจะต้องทำความเข้าใจกับคนที่จะมาอยู่ในโลกนี้ ในโลกแห่งความปั่นป่วนวุ่นวายนี้ ว่าควรจะอยู่อย่างไร ควรจะคิดอย่างไร ควรจะต่อสู้กับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ใครเล่าจะเป็นคนสอนคนเหล่านั้นให้เกิด (28.55) เกิดความรู้ถูกต้อง เกิดความเข้าใจถูกต้อง
ผู้ที่จะสอนคนแรกก็คือพ่อแม่นั่นเอง พ่อแม่นี่มีหน้าที่จะสอน แต่ว่าพ่อแม่ส่วนมากยังไม่ได้เตรียมตัวเพื่อจะเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้อง เป็นพ่อแม่กันไปตามธรรมชาติเรียกร้องต้องการ แล้วก็เป็นไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้เตรียมตัวอบรมบ่มจิตใจเพื่อความเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้อง ความเป็นพ่อแม่ที่นำลูกในทางที่ถูกที่ชอบนั้นมันไม่ค่อยจะเกิดขึ้น เลยต้องไปกันตามเรื่องตามราว สิ่งทั้งหลายก็จะเกิดความเสียหายมากขึ้น
แล้วคนที่มีพื้นฐานทางจิตใจไม่ดีอย่างนั้น เขาจะไปเป็นอะไร ก็เอาใจนั้นไปเป็นด้วย เมื่อไปเป็นอะไร ถ้ามีช่องทางโอกาสที่จะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ตนได้ก็ไม่มีความยั้งใจ ขาดความละอายตัวเอง ขาดความกลัวต่อสิ่งชั่วร้าย ขาดการบังคับควบคุมจิตใจ เขาก็สามารถจะทำอะไรๆที่เป็นไปทางเสื่อมได้ง่ายมากขึ้น เพราะสิ่งยั่วยุให้เกิดความเสื่อมมีมาก
นี่คือปัญหา ที่เราประสบพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ทั่วๆไป การที่จะแก้ปัญหานี้มันต้องแก้ คือต้องแก้ตรงที่ว่าเราก็มาสร้างคนใหม่ สร้างชีวิตใหม่ให้แก่เขาเหล่านั้น สร้างคนใหม่ สร้างชีวิตใหม่นี้จะสร้างอย่างไร
เราทั้งหลายจะต้องมองให้ชัด ให้เห็นว่าที่มันเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ในปัจจุบันนี้เพราะอะไร เพราะโลกขาดศีลธรรม จิตใจคนห่างพระห่างธรรมะในศาสนา แทนที่จะไปนั่งแสดงความอาลัย นั่งพิจารณาเรื่องความตายอันจะเกิดขึ้นแก่ตนบ้างก็ไม่มี เพราะไปเจอเพื่อนที่ไม่เคยเจอกันก็นั่งคุยกันไป ไอ้คุยกันธรรมดามันก็ไม่ออกรส เลยต้องหาเหล้ามาดื่มกัน ดื่มกันด้วยการเติมลงไปในน้ำชาแล้วก็ดื่มกันต่อหน้าศพ เรียกว่าดื่มเรียกความตาย ดื่มล่อความตาย ไอ้ตายก็ตายไป กูอยู่ก็สนุกกันต่อไป มันเป็นอย่างนั้น
ชีวิตมันอยู่ในสภาพอย่างนั้น เอาศาสนาไปใช้อย่างนั้น ไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ ในเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราจึงไม่มีอะไรดีขึ้นในทางจิตใจ ทีนี้เราจะต้องคิดกันว่ามาสร้างชีวิตใหม่ สร้างคนกันใหม่ ไม่ต้องฆ่าคนเก่า แต่ว่าต้องสร้างคนใหม่ขึ้นมา ถ้าเราจะทำลายคนเก่าแล้วทำคนใหม่ มันก็ไม่ได้ มันรุนแรงไป มันเป็นแบบการล้างผลาญกันมากเกินไป เกิดทุกข์เกิดโทษ เหมือนกับประเทศเขมรที่เป็นทุกข์อยู่เวลานี้เพราะอะไร ก็เพราะนักการเมืองมันจะสร้างคนใหม่นั่นเอง แต่มันสร้างคนใหม่ด้วยอกุศล ไม่สร้างด้วยจิตที่เป็นกุศล สร้างจากความโง่ ไม่สร้างจากความฉลาด แล้วก็เอาคนมาฆ่าเสียมากมาย ฆ่าคนทั่วไป ฆ่าหมด มากมายหลายล้านคน
แล้วก็บาปกรรมที่ได้ฆ่าคนมาก ตัวก็เป็นต้องซัดเซเร่ร่อนอยู่ในป่า ไข้มาลาเรียกินอยู่จนปัจจุบันนี้ ไม่มีบ้านเมืองจะอยู่อาศัย ต้องหนีซุกซ่อนมาเมืองไทยบ้าง ไอ้พวกกลัวตาย ไอ้พวกต่อสู้ (33.02) ก็ยังเที่ยวหนีอยู่ในป่า ตั้งรัฐบาลอยู่ในป่า นี่มันเกิดความเสียหาย เพราะใช้อธรรม ไม่ได้ใช้ธรรมะ ไม่ได้ใช้ตัวศาสนา ไม่เอาการปฏิบัติที่ชอบที่ควรมาใช้ แต่เอาการปฏิบัติผิดมาใช้ นั่นคือวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เราจะใช้วิธีการอย่างนั้นไม่ได้ มันเป็นบาปเป็นอกุศล
เราควรจะหาวิธีใหม่ที่ไม่เป็นไปเพื่อการทำลาย คือเรามาสร้างคนใหม่ขึ้นในสังคมของเรา สร้างคนใหม่ก็คือสร้างเด็กที่เกิดมาใหม่ ให้เป็นเด็กที่เพียบพร้อมด้วยความเห็นชอบ ด้วยความคิดชอบ ด้วยการกระทำที่ชอบ ด้วยการเลี้ยงชีวิตที่ชอบ ด้วยความเพียรพยายามที่ชอบ ด้วยความ (34.01) ด้วยความตั้งสติไว้ชอบ ตั้งมั่น ตั้งใจไว้ชอบ อะไรอย่างนั้น
เรียกว่าเอาตัวสัมมาทิฏฐิใส่ลงไปในสมองของเด็กเหล่านั้น ให้เขาได้รู้อะไรๆไปตั้งแต่เบื้องต้น เป็นเรื่องที่จะต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้นในสังคม ใครจะเป็นผู้ช่วยกันกระทำในเรื่องนี้ (๑)พ่อแม่ต้องร่วมมือ อย่างสำคัญประการแรก (๒)ครูบาอาจารย์ในโรงเรียน จะต้องช่วยกันอย่างเข้มแข็ง ตั้งใจสอนตั้งใจจอบรมบ่มนิสัยเด็กจริงๆ
อย่าไปเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ แต่ไปเป็นผู้นำทางจิตใจของเด็ก เพื่อให้เด็กได้เดินไปในทางที่ถูกที่ชอบ และก็พระในศาสนานี่ต้องลุกขึ้นแล้ว ต้องตื่นตัวแล้ว จะมาขึ้นอยู่ในกุฏิก็ไม่ได้แล้ว แต่ว่าจะต้องปรับตัวเองให้เหมาะแก่สังคม พระนี่ต้องตื่นตัวปรับตัวเองให้เหมาะแก่สังคม เพราะถ้าไม่ปรับนี่มันอยู่ไม่ได้ จะมีจะตาย ชีวิตจะละลายไปเลย อันนี้ปรับตัวเอง
คือต้องตื่นตัวขึ้นศึกษาเล่าเรียนความรู้ให้ทันสมัย เพื่อเอาไปใช้ช่วยชาวบ้าน แล้วก็ต้องหมั่นเทศน์หมั่นสอน ให้ชาวบ้านเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมะที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สอนสักว่าพอเป็นพิธี ขึ้นไปนั่งเทศน์แจ้วๆ เสร็จแล้วเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ก็ไปแล้ว ชาวบ้านก็ไม่รู้เรื่องอะไร นั่งง่วงนั่งหลับกันไปตามเรื่องตามราว มันไม่ก้าวหน้าที่จะสอนในรูปอย่างนั้น
มันต้องกล่าวย้ำกล่าวเตือนในสิ่งที่ชาวบ้านบกพร่อง พูดบ่อยๆ เตือนบ่อยๆเขาก็คิดได้แล้วก็จะได้หันหน้าเข้าหาความถูกต้องต่อไป พระผู้ใหญ่ก็ต้องสอนไว้ เพื่อให้ผู้ใหญ่เขาได้สอนเด็กๆต่อไป ช่วยกัน ๓ แรง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ แล้วก็พระสงฆ์องค์เจ้า ในเวลานี้ ๓ แรงนี้อ่อนมาก อ่อนเหลือเกิน พ่อแม่นี้ก็อ่อนมาก ไม่ค่อยมีเวลาอบรมลูก ไม่ค่อยมีเวลาสั่งสอนพูดจาทำความเข้าใจกับเด็ก
คือในโรงเรียนก็อ่อนแอ เวลานี้ เพราะหลักสูตรการศึกษาในกระทรวงศึกษาธิการนั้น ไม่หนักไปในทางศีลธรรม เรื่องศาสนา ไม่หนักเรื่องนี้แล้ว หนักไปในเรื่องวิชาการ หาแนวคิดมาว่าประเทศชาติจะฉิบหายในการณ์ต่อไปข้างหน้าเพราะคนมันขาดธรรมะ แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร เขาไม่ได้คิดในเรื่องอย่างนั้น คิดแต่ว่าจะให้มีความรู้ท่าเดียว มีความสามารถในการใช้ความรู้
เราลองคิดดู คนมีความรู้ความสามารถแต่ขาดคุณธรรมนี่มันจะอยู่ได้อย่างไร มันจะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้มากมาย ดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็เพราะขาดเรื่องนี้มาแล้ว ก็ยังไม่มีความสำนึกกันในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นในโรงเรียนนี่ก็เรียกว่าสอนกันน้อย ไม่ค่อยจะได้สอนเต็มที่ แล้วผู้ที่เป็นครูเอง ก็ไม่ค่อยจะได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่เด็ก ยังเห็นแก่ความสุขทางวัตถุ ยังปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์ ตามความอยาก ลืมความเป็นครูตามแบบโบราณ
คือโบราณนั้นเขาเป็นครูตลอด ๒๔ ชั่วโมง คือหมายความว่าเป็นครูทุกเวลา อยากประพฤติสิ่งใดเขาก็ไม่กล้าทำ กลัวเด็กจะเห็น กลัวจะเป็นแบบอย่างในทางไม่ดี ครูจึงได้รับเกียรติจากมหาชนว่าเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา แล้วเวลานี้ไม่อย่างนั้น เป็นครูเฉพาะในชั้น เวลาสอน ออกจากนั้นแล้วครูก็ไปนั่งดื่มเหล้าสบายๆ ไปนั่งล้อมวงเล่นการพนันกันสบายๆ ทำอะไรในทางที่มันขัดต่อหลักศีลธรรมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่ม ทำให้เกิดไม่มีคุณค่าทางจิตใจ ไม่เป็นตัวอย่างอันดีแก่เด็กซึ่งเป็นศิษย์ของครู นี่คือตัวปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
พระสงฆ์องค์เจ้าในทางศาสนาเราก็เช่นเดียวกัน มีความเป็นอยู่ที่เรียกว่าหย่อนยานลงไปเรื่อยๆ หย่อนยานลงไปเรื่อยๆ ไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อให้เกิดความก้าวหน้า ไม่สนใจในการศึกษาเพื่อความก้าวหน้า ไม่ให้ ไม่ใช้เวลาเพื่ออ่านหนังสือเพื่อเพิ่มความรู้ให้แก่ตัวเอง ใช้เวลาส่วนมากไปในเรื่องการก่อสร้างวัตถุ วุ่นวายอยู่กับเรื่องอย่างนั้น จนไม่มีเวลาพอที่จะสนใจธรรมะ ไม่มีความรู้ที่จะสอนคน เทศน์ไม่ค่อยเป็น ปากเทศน์ก็ยกคัมภีร์ไปนั่งอ่านให้คนฟัง คนฟังก็ไม่ค่อยจะเลื่อมใส เพราะนึกว่าเราไปอ่านเอาเองก็ยังได้ แต่ความจริงก็ไม่ได้อ่านหรอก
นี่ถ้าไปอ่านให้เขาฟังอย่างนั้น มันหมดสมัยแล้ว สมัยก่อนได้ ถือคัมภีร์ไปนั่งอ่านเรื่อยไป คนฟังไม่ฟังก็ตามใจ อ่านเรื่อยไป เพราะตามองดูหนังสือไม่ดูคนฟัง คนฟังนั่งหลับก็นั่งอ่านจนไปกระทั่งจบไป อันนี้มันไม่ได้ แล้วการเทศน์สมัยนี้จะเทศน์แบบเก่าก็ไม่ได้ มันจะไม่ได้เรื่อง เมื่อเช้านี้มีแต่แม่และเด็กมา อาตมาพูดเรื่องฟังเทศน์ บอกว่าที่งานศพที่วัดพระศรี อาตมาไปเทศน์อยู่ ๓คืน พอคืนสุดท้ายก็นิมนต์องค์อื่นมาเทศน์แทน เด็กที่มากับแม่บอกว่า “เทศน์แจ้วๆ (40.39) ฟังไม่สนุกเลย สู้หลวงพ่อไม่ได้” แบบนี้ มันยังว่าอย่างนั้น
มันหาว่าองค์ที่มาเทศน์ เทศน์ช้าๆ เบาๆ กลัวแต่คนจะได้ยิน แล้วมันจะได้เรื่องอะไร เทศน์อย่างนั้น ที่นี้คิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้มันทันสมัยขึ้นมา (41.02) อย่างไรก็อยู่ในรูปอย่างนั้น มันเลยไปไม่รอด ทีนี้มันต้องปรับแล้ว อันนี้ทำไมจึงกลับไม่ได้ เพราะไม่ค่อยมีการประชุมพบปะกัน เพื่อร่วมมือกันคิด ร่วมมือกันทำ ในเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา
ในศาสนาอื่นนั้นเขาหมั่นประชุมกันบ่อยๆเพื่อปรึกษาหารือในเรื่องว่าจะทำอะไรกัน ของเราก็ประชุมกันบ้างเหมือนกัน เช่นในพรรษานี้นิมนต์เจ้าอาวาสไปประชุม ประชุมแล้วพูดเรื่องอะไร พูดเรื่องกติกาสงฆ์ (41.40) เรื่องอะไรบ้างก็ไม่รู้ อาตมาก็เคยไปนั่งฟังแล้วก็เบื่อหน่าย เพราะว่าพูดเรื่องที่มันไม่จำเป็นอะไร สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือแล้ว อ่านเอาก็ได้
แต่ว่าเราควรจะประชุมกันเพื่อคิดว่าจะแก้อะไร อย่างไร ปัญหาสังคมเวลานี้มันบกพร่องอะไร ควรจะแก้ไขอะไร แล้วเราจะใช้วิธีการอย่างไรกันในเรื่องนี้ คิดกันแล้วก็จะได้ทำกัน มันก็จะก้าวหน้าไปในทางที่เหมาะที่ควร นี่เป็นเรื่องต้องแก้ไขทั้งนั้น เรียกว่าแก้ไขผู้สอน เพื่อให้สอนให้เหมาะกับผู้ที่จะรับฟัง แล้วก็ต้องทำงานกับเด็กให้มากขึ้นกว่าผู้ใหญ่เวลานี้ เวลานี้เราพูดอยู่กับผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้พูดกับเด็กเท่าใด วันนั้นเขานิมนต์ไปที่จังหวัดสิงห์บุรี เพราะว่าที่วัดนั้นมีหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล มีอยู่ทุกตำบล (42.45) หน่วยอบต. แล้วก็นานๆจะมีเทศน์สักทีเพราะไม่มีนักเทศน์ วันนั้นก็อุตส่าห์มานิมนต์ มาเอารถมารับไป
ไปถึงก็แหม ใจมันเหี่ยวเหลือเกิน พอเห็นคนฟังแล้วใจมันเหี่ยว เหี่ยวตามรูปร่างของคนฟัง เรียกว่าคนที่มาฟังหนังเหี่ยวทั้งนั้น ขนาด ๗๐ กว่าแล้วก็ยังจะมานั่งฟังเลย มานั่งตะบันหมากอยู่ในศาลา ไอ้เราพอจะเทศน์ก็ จะเทศน์อะไรกับคุณโยมเหล่านี้ ก็ควรจะจับคนหนุ่มมาฟัง ในเวลาขึ้นเทศน์ก็บอกว่า มาเทศน์วันนี้ผิดหวัง แล้วก็บอกว่าผิดหวังเรื่องอะไร
ผิดหวังที่ว่าไม่มีคนฟังดังที่ต้องการ เพราะมีแต่คุณยายทั้งนั้นที่มานั่งฟังอยู่นี่ คุณโยมเป็นยายอย่างนี้ไม่ต้องมาฟังก็ได้ แล้วลูกหลานคุณยายไปไหนหมด ทำไมไม่เอามา กำนันก็มา ผู้ใหญ่บ้านก็มา วันนั้น เจ้าคณะอำเภอก็มา แล้วทำไมไม่ต้อนเด็กหนุ่มๆสาวๆมาฟังเทศน์ ท่านปัญญาไปเทศน์นานๆที ให้เอาเด็กหนุ่มมาฟังเสียมั่ง มันจะได้รู้เรื่องชีวิตมากดีขึ้น ไม่มี เลยบอกว่าทีหลังอย่านิมนต์มาเลย ถ้ามาเทศน์แบบนี้ อาตมาไม่อยากจะมาแล้ว เอามาเทศน์ให้คุณยายฟัง
อุตส่าห์นั่งรถไปตั้งหลายชั่วโมง ไปเจอคนฟังหนังเหี่ยวทั้งนั้น มันไม่ได้เรื่องอะไร นิมนต์ทีหลังเอาคนหนุ่มมาฟัง เด็กหนุ่มดูเหมือนมาฟังกัน นัดเวลา เรียกเอาบัญชีหมู่บ้านมา ให้มากันพร้อม บังคับกันมั่ง บังคับให้กินยานี้มันไม่เป็นไรหรอก บังคับให้มาฟังเทศน์มันก็ดีขึ้น
ถ้าได้คนเหล่านั้นเราก็เทศน์แนะแนวทางชีวิต ให้เขาได้รู้ได้เรียนเสียบ้าง คนที่กำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ควรจะได้รับการอบรมบ่มนิสัย เพื่อให้ได้พื้นฐานทางจิตใจที่ดีงาม ตามสมควรแก่ฐานะ แต่ว่าเขาไม่ได้เอาคนเหล่านั้นมาฟัง นี่มันเป็นปัญหาอยู่
ทีนี้เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ เราก็ต้องคิดออกทางอื่น หาทางออกว่าทำอย่างไรจึงจะได้พบกับเด็ก เพื่อให้เด็กได้พบศาสนาพบธรรมะ ก็ต้องคิดว่าควรจะมีการอบรมเด็กโดยเฉพาะ เรื่องของเขาโดยเฉพาะ จัดให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้น นั่นก็คือประเภทโรงเรียนวันอาทิตย์ เป็นเรื่องจำเป็น มียังไม่เคยแพร่หลาย ต่อไปก็ต้องชักจูงแนะนำให้สร้างกันขึ้น หรือว่าให้ทำขึ้นเมื่อมีสถานที่พอจะทำได้ เดี๋ยวนี้มีอยู่ในกรุงเทพและต่างจังหวัดบางจังหวัด
ปักษ์ใต้นี่ก็มีอยู่ที่พัทลุงแห่งหนึ่งที่เป็นล่ำเป็นสัน นักเรียนมาก ที่วัดคูหาสวรรค์ เพราะว่าที่นั่นมีสำนักเรียนพระ สอนบาลี สอนนักธรรมอะไรกัน มีความรู้ทันสมัยอยู่ และก็เอาเด็กมาเรียนกัน เด็กมาก หลายร้อยคน ตั้ง ๗๐๐-๘๐๐ มากันเต็มวัดในวันอาทิตย์ เด็กในตลาดนี่มาหมด บ้านนั้นมา บ้านนี้ก็มา บ้านนั้นก็มา มันแข่งกัน แข่งกันมา มาเรียนกันอย่างจริงจัง แล้วก็ให้รางวัลคนที่เรียนดี ในรายปี ทำให้เด็กสนใจในการมาศึกษาเล่าเรียนพุทธศาสนาในวันอาทิตย์
นั่นเรื่องของ (46.41) หลายจังหวัดก็ทำอยู่เหมือนกัน แต่ปัญหามันคือขาดวิทยากร คือเราไม่มีส่วนกลางที่สร้างครูเพื่อไปสอน ไม่มีการฝึกครู ไม่เหมือนวิทยาลัยครูที่เขาฝึกครูเพื่อไปสอนเด็ก เราไม่ได้ฝึกครูขึ้นเพื่อการณ์นี้ แล้วเราเรียนหนังสือมาก ใช้เวลามากแต่ว่าเมื่อจบแล้วไม่ได้ไปทำงานประเภทอย่างนี้ จึงยังขาด ต้องแก้ไขในการณ์ต่อไปข้างหน้า เพื่อให้สิ่งนี้มันเจริญงอกงามขึ้น แล้วพ่อแม่ก็จะได้เบาใจ ก็จะได้ส่งลูกมาวัด มาเรียนมาศึกษา ได้ความรู้ความเข้าใจ
แล้วเด็กนั่นแหละจะไปทำจนเป็นตัวอย่างแก่พ่อแม่ต่อไป ถ้าเขาอ่านหนังสือธรรมะดังๆพ่อได้ยิน แม่ได้ยิน ก็จะได้เกิดความละอายใจ หรือว่าบางทีลูกไปอ่านอะไรให้พ่อฟัง หรืออ่านดังๆก็ได้ เช่น อ่านว่า ดื่มสุรามีโทษ ๖ประการ (๑)เสียทรัพย์ (๒)เกิดโรค (๓)ก่อการทะเลาะวิวาท (๔)หน้าด้านไม่รู้จักละอาย (๕)คนดีดูหมิ่น (๖)สติปัญญาเสื่อม อ่านบ่อยๆ พ่อได้ยิน เอ ไอ้นี่มันอ่านอะไร ได้ยินบ่อยๆชักจะ (48.09) เอ ไอ้ลูกทำไมมันอ่านแต่โทษของสุรา แล้วก็กระดาก เลยก็ไม่อยากจะดื่มต่อไป เพราะว่าลูกมันอ่านบ่อยเหลือเกิน
หรือว่าอ่านเรื่องโทษการพนันให้แม่ฟัง ถ้าแม่เป็นคนชอบเล่นไพ่ อ่านบ่อยๆเข้าคุณแม่ก็จะละอายใจ แล้วก็นึกว่า เอ เด็กมันอ่านบ่อยๆ เรื่องนี้ ทำไมมันอ่านบ่อยนักหนา ก็ละอายแล้วก็เลิกไป หรือว่ามีเรื่องอะไรก็ เอ้า เด็กต้องไปอ่าน หรือว่าเด็กมีปัญหาทางครอบครัว ทางพ่อแม่ มาเล่าให้พระอาจารย์ฟัง อาจารย์ก็ออกอุบายให้ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ดีขึ้น เด็กมันก็ดีขึ้น
เหมือนกับสมัยก่อนนี้มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง คือว่าสมัยเป็นเด็กก็อยู่ด้วยกันกับเพื่อนอีกคน เพื่อนคนนั้นออกไปครองเรือน ท่านอยู่วัด ไอ้คนที่ไปครองเรือนนั้นมันเกเรมาก ไปกินน้ำเมา ชนไก่ กัดปลา ออกไปนอกเรื่องนอกรอยเยอะแยะ จนกระทั่งว่ามีหลานชาย ก็เอาหลานมาฝากเพื่อน เออ ไอ้นี่ลูกของลูก หลานปู่ เอามาอยู่กับท่านด้วย ช่วยอบรมสั่งสอน ท่านก็เลยได้โอกาส แต่งหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง รอหลานสอนปู่ แต่งคำกลอนภาษาปักษ์ใต้ ให้ท่องให้จำเลยทีเดียวนั่นแหละ ให้หลานท่องให้จำ แล้วก็บอกว่าเก็บไปบ้าน ไปท่องไอ้นี่ให้ดังๆนะ ท่องใกล้คุณปู่ ท่องให้ดังเลยทีเดียว
พอไปท่องคุณปู่นั่งฟังก็ เอ มันว่าปู่แล้วนี่ ถามว่า “มึงเอามาจากไหน” ที่เอามาท่องนี่ มันบอกว่า “พ่อหลวงแกเขียนให้อ่าน จนจำแล้วก็สั่งให้มาท่องที่บ้าน ใกล้ๆคุณปู่” พ่อหลวงนี่มันสอนปู่เว้ย แล้วก็เลยเลิกเหล้า เลิกกินน้ำเมา เลิกตีไก่ เลิกอะไรต่ออะไร เพราะว่าหลานมันไปสอนอย่างนั้น เลยทำให้เลิกจากความชั่วไป อันนี้เขาเรียกว่าได้ประโยชน์ แต่คือว่าเด็กมันเอาไปสอน มันเอาไปพูดกับพ่อแม่
หรือบางทีอาจจะไปกราบขอร้องก็ได้ ขอร้องว่า ขอให้คุณพ่อเลิกจากอย่างนั้น อย่างนี้ เหมือนกับปีก่อนนู้น ท่านพยอมแกบวชสามเณร บวชสามเณรเป็นร้อย แล้วพอบวชเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็ให้พ่อแม่มา นั่งเป็นแถว ให้สามเณรเข้าไปขออะไรจากคุณพ่อ ขออะไร บางคนก็ขอว่า ขอให้พ่อเลิกดื่มน้ำเมา ขอให้พ่อเลิกเล่นการพนัน รายหนึ่งมันขอให้พ่อเลิกด่าคุณแม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คือไม่อย่างนั้นพ่อก็ด่าแต่คุณแม่ทุกวันๆ มันก็เลยขอคุณพ่อเลิกด่าคุณแม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
พ่อก็น้ำตาไหล ลูกเข้าไปขอ แต่งตัวเป็นเณรน้อย เข้าไปขอ ปลื้มใจน้ำตาไหล ยกให้หมด เลิกกันเลย ไม่ต้องอะไรกันต่อไป นี่เขาเรียกว่าเด็กโปรดผู้ใหญ่ ทีนี้ผู้ใหญ่ก็ต้องส่งเด็กให้ไปเรียนวิชาโปรดผู้ใหญ่ จะส่งเด็กมาเรียนในโรงเรียนวันอาทิตย์ ในการณ์ต่อไปข้างหน้า เมื่อวัดเราสร้างโรงเรียนขึ้นแล้วก็จะสะดวกแก่ญาติโยมมาก พ่อแม่มาวัด ลูก (52.02) เข้าประตูนั้นญาติคอยรับจูงขึ้นไป พ่อแม่ก็มานั่งคอยฟังที่นี่ คุณตามานี่ คุณปู่มานี่ ทิ้งหลานไว้ที่โน่น พอเสร็จแล้วขากลับก็รับหลานกลับไป
เรียกว่ามาวัดได้ประโยชน์ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก ได้ประโยชน์ทั่วกัน ได้เข้าถึงธรรมะทั่วกัน ถ้าเราทำกันในรูปอย่างนี้มากๆขึ้น สังคมไทยจะเปลี่ยนไป คือจะเป็นสังคมที่ไม่มีการเบียดเบียนรุนแรง ไม่มีความชั่วอะไรมากขึ้น สิ่งทั้งหลายมันค่อยหายไปเอง เราจึงต้องแก้ที่คน จึงจะแก้ปัญหาได้ แก้คนด้วยการนำคนให้เข้าถึงธรรมะ โดยเฉพาะเด็กนี้จำเป็นมากที่เราจะต้องดึงเข้าหาธรรมะ ให้ได้รู้ได้เรียนธรรมะมากยิ่งขึ้น จะได้เกิดความรู้ความเข้าใจ
เวลานี้โรงเรียนบางโรงเรียนก็นำเด็กมาในวันเสาร์ มานั่งในนี้ มาฟังพระอบรม วันเสาร์ เพราะมาวันอาทิตย์คนมาก ไม่ได้สอนโดยเฉพาะ มาวันเสาร์ก็สอนได้ ๒ ชั่วโมง มีพื้นที่ไม่พอ มา ๒ โรงเรียน โรงเรียนหนึ่งเอาไปหมด ศาลากรรมฐาน เอาไปสอนที่โน่น แสดงว่าความต้องการในธรรมะมีอยู่ แต่ขาดผู้ให้ ขาดสถานที่จะให้ เราจึงต้องมีสิ่งเหล่านี้ มีสถานที่ มีครู สำหรับที่จะสอนแก่เด็กเหล่านั้น
หรือว่าบางโรงเรียนก็อยากจะให้พระไปสอนที่โรงเรียน เราก็ต้องมีพระให้ สำหรับไปสอนในสถานที่เหล่านั้น ความจริงในเวลานี้ตื่นตัวขึ้นมากแล้ว ญาติโยมพุทธบริษัทตื่นตัวขึ้นในการศึกษาธรรมะ อยากจะให้ลูกได้รู้ได้เรียน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุการณ์ของบ้านเมือง ของสังคมมันวุ่นวาย เลยคิดหาทางแก้กัน แก้ทางอื่นนี่ไม่สำเร็จ แต่แก้ด้วยการเอาคนเข้าหาธรรมะนี่จะสำเร็จได้ จึงเป็นเรื่องที่ดีที่งามที่พวกเรามาร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันสร้างโรงเรียนขึ้น นับว่าเป็นเรื่องที่จะได้ประโยชน์ต่อไปข้างหน้า เราจะเห็นผลต่อไป ๑๐ปีต่อไปจะเห็นผล ๒๐ปีต่อไปจะเห็นผล
เด็กที่ได้มาอบรมบ่มนิสัยแล้วมันจะเป็นคนดีของพ่อแม่ จะได้ก้าวหน้าในชีวิตต่อไป เมื่อเช้านี้ก็นั่งๆ รอเด็กผมสั้นๆขึ้นมา รีบร้อน มาถึง กราบ ผมจะไปเมืองนอกแล้ว มาลาหลวงพ่อ จะไปเรียนต่อ ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ เขาเคยมาบวชที่นี่ แล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อ ไปเรียนสัก ๒ ปีเพื่อทำปริญญาโท ถ้าว่าคะแนนดีอาจจะทำเอกก็ได้ ก็เลยมอบหนังสือธรรมะให้เล่มหนึ่ง แล้วบอกว่า ไปเอาเทปไปบ้าง (55.18) จะได้ไปฟัง ว่างๆจะได้ฟัง บางทีไปแล้วคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาจะได้เปิดเทปฟัง จะได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ลูกหลานอยู่ต่างประเทศ ส่งเทปไปให้เขาเปิดฟังก็ดี ส่งหนังสือไปให้บ้าง อะไรบ้าง เขาจะได้อ่าน ไปอยู่เมืองนอกแล้วคิดถึงบ้าน แล้วก็คิดถึงอะไรๆหลายเรื่องหลายประการ อันนี้เราก็เอาสิ่งถูกต้องไปให้ เขาจะได้ยินได้ฟัง จะเกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเขาต่อไป นี้เป็นข้อคิดอันหนึ่ง นำมาพูดกับญาติโยมในวันนี้ หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์ตามสมควรแก่ฐานะ สมควรแก่เวลาแล้ว ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจ นั่งตัวตรง คอตั้งตรง หลับตา กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อย่าให้ไปคิดเรื่องอื่น ให้คิดอยู่ที่ลมเข้าลมออก เป็นเวลา ๕ นาที