แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
ขณะนี้ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ท้องฟ้าครึ้มๆ ทำให้คนเป็นโรคไข้หวัดกันมาก เป็นกันทั่วๆไป แม้องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงรักษาอนามัยเป็นอย่างดีก็ยังไม่พ้นจากการเป็นไข้ได้ป่วย มีโรคเข้าเรียกว่าเชื้อไวรัส ชนิดใหม่ๆที่หมอเพิ่งค้นพบทำให้พระองค์ทรงพระประชวรอยู่นาน บัดนี้ก็ได้ทราบว่าเป็นปกติขึ้นแล้วแต่ว่ายังต้องพักผ่อนต่อไป โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เป็นอันตราย เช่น ยุงนี่ก็มองเห็น เสือก็มองเห็น งูนี่เราก็มองเห็นว่ามันเลื้อยมาจะกัดเรา แต่ความจริงสัตว์เดรัจฉานที่ดุนั้น มันไม่ได้มุ่งจะมาทำร้ายมนุษย์หรอก แต่ว่ามันจวนตัวมาเจอกันเข้า หนีไม่พ้นก็เลยต้องปลอดภัยไว้ก่อนก็เลยต้องกัดมนุษย์ให้ถึงแก่ความเจ็บปวดถึงแก่ความตายไปก็มี โดยลำพังตัวสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่ได้เที่ยวดุร้าย มนุษย์ซิร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าเที่ยวมีเขี้ยวมีงาซึ่งด้านวิทยาสาสตร์เขาสร้างขึ้นแล้วเอาไปเที่ยวรังควานกัน ทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ นี่ร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉานซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในป่า สัตว์เดรัจฉานปีหนึ่งมันฆ่าคนไม่กี่คน แต่ว่าคนนี่ฆ่าคนปีหนึ่งตั้งมากมาย นับว่าคนนี่ร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉานเป็นไหนๆ เป็นอย่างนี้กันทั่วไปทั้งโลกก็ว่าได้
ที่นี้เชื้อโรคที่เกิดขึ้นในคนนี่มันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้วมันเข้ามาในร่างกายคนก็ทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยทำให้ถึงแก่กรรมไปก็มี ทำให้เสียอวัยวะเดินเหินไม่ได้ก็มี อันนี้มีอยู่ทั่วๆไป เรียกว่าเป็นเรื่องของโรคาพยาธิ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างปัญหาให้เกิดแก่คนเราไม่ใช่น้อย ถ้ารู้สึกตัวว่าเรามีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นเราก็ต้องรักษาเยียวยากันไปตามเรื่อง โรคบางอย่างรักษาได้หาย แต่โรคบางอย่างรักษาไม่ได้ไม่หายก็มีเหมือนกัน ใครจะเลือกเป็นโรคอะไรนั้นเลือกไม่ได้ ถ้าเลือกเจ็บป่วยเลือกความตายอันนี้เลือกไม่ได้ ใครจะเลือกว่าฉันขอป่วยด้วยโรคนั้นเถอะ มันก็ไม่ได้ หรือขอว่าฉันจะตายอย่างนั้นเถอะอย่างนี้เถอะ มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะเลือกได้ มันเป็นไปตามเรื่องตามราวของธรรมชาติ
หรือว่าตามกฎแห่งกรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพราะว่าคนเรานั้นเกิดมาแล้วไม่ได้อยู่เฉยๆ ย่อมกระทำกรรมด้วยประการต่างๆ ทำกรรมฝ่ายดีก็มี ทำกรรมฝ่ายไม่ดีก็มี กรรมที่เรากระทำนั้นมันก็คอยตามเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องได้รับผลของกรรมไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราไม่ได้มีกรรมแต่เพียงชาตินี้ชาติเดียว ถ้าเรามีความเชื่อว่า ชีวิตของมนุษย์มันยาวนานตามแบบในพระพุทธศาสนาที่สอนว่า สังสารวัฏไม่มีกำหนดว่ายาวเท่าใด ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย มันเป็นวงกลมที่ยาวนานเหลือเกินเราก็เกิดมาแล้วในภพก่อนชาติก่อนคงจะได้ทำอะไรๆไว้ เมื่อใดเราก็ไม่รู้ แล้วสิ่งนั้นอาจจะตามเรามาอยู่ตลอดเวลา เมื่อยังไม่ได้ช่องไม่ได้โอกาสก็ยังไม่เกิดผลแก่เรา แต่เมื่อใดมันได้โอกาสให้ผล เราก็ต้องได้รับผลสิ่งนั้น เมื่อเราได้รับผลจากกกรรมที่ทำไว้แต่เราไม่รู้ว่าเราทำไว้เมื่อใด เราก็มีข้อสงสัยว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เพราะเราไม่รู้อดีตไม่รู้เรื่องอนาคตอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้ปัจจุบันก็ยังรู้ไม่ชัด ปัญหามันจึงมีอยู่เรื่อยไป แต่ถ้าเราเป็นผู้รู้แจ้งในอดีตรู้แจ้งในอนาคตปัจจุบัน สิ่งเหล่านั้นก็จะไม่เป็นปัญหา เรื่องใดจะเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้นแก่เราผู้กระทำสิ่งนั้นไว้ มันตามมาสนองไม่วันใดก็วันหนึ่งดังปรากฎในชีวิตของคนเราทั่วๆไป เช่นว่าคนบางคนเราไม่นึกเลยว่าจะต้องประสบเคราะห์กรรมในรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็มีเคราะห์กรรมเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมนั้นมันมาจากอะไร ความจริงนั้นต้องเป็นเรื่องเก่าที่ตนได้กระทำไว้แล้วมันก็ตามมาสนอง ให้เราได้รับผลจากสิ่งนั้น ถ้าเรายอมรับเชื่อไว้ในรูปอย่างนี้มันก็ช่วยให่เราสบายใจ ช่วยให้เราไม่ทำอะไรอันเป็นเหตุให้เกิดผลแก่ตัวเราในอนาคต
ถ้าเราเชื่อว่าทำกรรมใดก็ได้กรรมนั้นเราหนีไปไม่พ้น เราก็ระมัดระวังในเรื่องการคิด ในเรื่องการพูด ในเรื่องการกระทำ ไม่กระทำในสิ่งที่เป็นบาปเป็นอกุศลอันจะก่อผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนแก่เราในกาลต่อไปข้างหน้า หรือในปัจจุบันนี้เราก็ระมัดระวัง เพราะเราเชื่ออย่างนั้น แต่คนที่ไม่เชื่อนี่มันค่อนข้างจะลำบาก คนที่ไม่เชื่อหลักนี้ คือไม่เชื่อว่ากรรมจะให้ผลแก่ตน หรือเชื่อชีวิตมันไม่มีอดีตไม่มีอนาคตไม่เชื่ออย่างนั้น มีแต่เรื่องปัจจุบันน่ะมันชักจะยุ่ง เพราะปัจจุบันมันน้อยเหลือเกินสั้นเหลือเกิน เราเกิดมามีชีวิตอยู่ในโลกในปัจจุบันนี้ก็ไม่นานเท่าไรอย่างมากก็ร้อยปี หรือว่าอาจจะเกินนั้นไปบ้างนิดหน่อย แต่ว่าถึงเกินไปมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร เพราะคนที่อายุมากนั้นก็อยู่ไปอย่างนั้นเอง อยู่ให้ลูกหลานมีความหวังเท่านั้นมีความสบายใจเท่านั้น ถ้าเป็นคนที่มีทรัพย์สินเงินทองมากๆทำให้ลูกหลานมีความหวังว่าเมื่อคุณย่าคุณยายถึงแก่กรรมเราก็จะได้รับมรดกแล้วก็ต่างคนต่างก็เข้าไปปฏิบัติเอาอกเอาใจ เผื่อว่าจะได้รับส่วนแบ่งอะไรบ้างมันก็เท่านั้น แต่ถ้าเป็นคนไม่ค่อยมีอะไรก็ไม่ค่อยมีคนสนใจอยู่ผู้เดียวตามลำพังลูกหลานก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะไม่มีหวังอะไรจากคุณย่าคุณยายนั้นแล้ว อันนี้ชีวิตเราคงจะเห็นว่ามันน้อยมันสั้น มันไม่ยั่งยืนไม่ถาวรอะไร แล้วเราก็ถึงแก่กรรมลาโลกนี้ไป ถ้าชีวิตมันไปจบกกันเพียงป่าช้าเรื่องมันก็ไม่มีอะไรมากไม่ยุ่งยาก แต่ความจริงมันยังไม่จบเพียงเท่านั้นมันยังมีอะไรต่อไป
สิ่งทั้งหลายที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น เรื่องเกี่ยวกับประเพณีบางอย่าง เกี่ยวกับหลักศีลธรรมในทางพุทธศาสนาให้ลองพิจารณาดูว่าฐานมันอยู่ที่อะไร ถ้าไม่มีฐานแล้วอะไรมันจะเกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนกับไม่มีแผ่นดินนี้ต้นไม้มันจะเกิดอย่างไร สัตว์ทั้งหลายจะอยู่อย่างไร มันต้องมีฐานคือแผ่นดินเป็นเครื่องรองรับ เพราะมีแผ่นดินจึงมีต้นหมากรากไม้แล้วก็มีสัตว์มีมนุษย์อาศัยอยู่บนแผ่นดิน มีสิ่งเหล่านั้นเพราะมีฐาน
ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในทางพระพุทธศาสนานี่ก็เหมือนกันมันต้องมีฐานอะไรสักอย่างอยู่ในจิตใจ ถ้าไม่มีฐานความเชื่ออันมั่นคงแล้ว จิตใจก็จะกวัดแกว่งไปตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อม บางทีก็อาจจะดีแต่บางทีก็อาจจะไม่ได้เรื่อง บางทีก็เป็นไปเพื่องสร้างแต่บางที่ก็อาจจะเป็นไปเพื่อทำลาย มันเกิดตามอารมณ์ที่มากระทบ ไม่มีฐานมั่นคงในจิตใจก็กลายเป็นคนที่เรียกว่ากวัดแกว่งอยู่ตลอดเวลา ชีวิตไม่แน่นอนอะไรๆก็ไม่มั่นคงขึ้นมาได้ เพราะเราไม่มีฐานมั่นคงในจิตใจ แต่ถ้าเรามีฐานที่มั่นคงในจิตใจอย่างมั่นคงสักอย่างหนึ่ง เช่นว่าเรามีฐานมั่นคงในจิตใจว่าชีวิตนี้ไมได่ตายแล้วหมดเรื่องกันเพียงเท่านั้นแต่ว่าเราจะมีการเกิดอีก อย่างนี้ก็เป็นฐานหนึ่งทำให้เราเกิดการระมัดระวังในการที่จะปฏิบัติกิจในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นคนที่ยังมีความหวังอยู่ ยังมีอนาคต ยังมีความหวาดกลัวว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นในกาลต่อไปข้างหน้า ไม่เหมือนคนบางคนที่เรียกว่า มันก็เพียง เท่านี้ เขาเรียกว่าเป็นพวกไม่มีอะไร ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า นัจฉิกะทิฐิ พวก นัจฉิกะทิฐิ นี่คือพวกไม่มีอะไร ไม่มีอะไรคือไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้นรับแต่เพียงว่าชีวิตมันเกิดขึ้นแล้วมันอยู่ไปมันตายไปก็หมดเรื่องกัน ไม่รับอะไรต่อไปจากนั้น อันนี้อันตรายมาก เป็นพวกที่ฝักใฝ่ในด้านวัตถุมากไป เขาเรียกว่าพวกวัตถุนิยมจัด พวกวัตถุนิยมจัดมักจะเพ่งมองแต่เรื่องทางด้านวัตถุ ไม่เพ่งไปในทางจิตใจ ไม่คิดเรื่องด้านใน แต่คิดแต่เรื่องภายนอกแสวงหาแต่สิ่งภายนอกและการแสวงหานั้นก็ไม่มีการควบคุมว่าจะเป้นไปในทางอะไร เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดแต่เพียงว่าให้ได้มาซึ่งวัตถุที่เราต้องการจะได้มาทางใดก็ไม่เป็นไรใครจะเดือดร้อนจะวุ่นวายจากการกระทำของเราก็ไม่เป็นไร คิดอย่างนี้
เราลองนึกดูว่าคนเราถ้ามีความคิดอย่างนี้มากๆ มันจะยุ่งขนาดไหน จะสร้างปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างไรบ้าง ก็ย่อมจะมีปัญหากันมาก นึกจะฆ่าใครก็ฆ่า นึกจะลักของใครก็ไปลัก นึกจะไปชอบใครก็ไปฉุดคร่าไปทำตามชอบใจ อยากจะพูดโกหกหลอกลวงใครก็พูดไปตามชอบใจ อยากจะดื่มของมึนเมาอะไรก็ดื่มไปตามเรื่อง เป็นคนประเภทไม่มีอนาคต ไม่มีกฏแห่งกรรมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เขาก็ทำอะไรตามใจอยากตามใจปรารถนา ก็ความอยากของคนเรานั้นมันอยากไปในทางใดมาก ก็อยากไปในทางที่สะสมกองกิเลสเสียเป็นส่วนมาก ความอยากที่ไปในทางขัดเกลานั้นมีน้อย แต่เป็นความอยากประเภทสะสมพอกพูนสิ่งไม่ดีไม่งามในใจนั้นมีปริมาณสูง แล้วเขาก็จะทำอะไรตามใจอยากใจปรารถนา ครอบครัวมันจะวุ่นวาย สังคมก็จะเดือดร้อนโลกก็จะมีปัญหาไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น เพราะความคิดของคนประเภทนั้น คนที่เป็นโจรโหดร้ายฆ่าคนไม่เลือกทำทารุณโหดร้ายได้ทุกวิถีทาง คนประเภทนั้นเขาไม่มีฐานทางจิตใจ เขาไม่มีความเชื่อตามหลักในทางศาสนา ไม่มีความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่มีความเชื่อว่าชีวิตจะมีอนาคตต่อไป เขาคิดแต่เรื่องเฉพาะหน้าในสิ่งที่เขาอยากจะมีอยากจะได้ และพอมีความอยากอะไรเกิดขึ้นเขาก็ทำตามความอยาก
ซึ่งในภาษาทางวัดเข้าเรียกว่า ลุแก่อำนาจ ของสิ่งนั้น หมายความว่า ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้นแล้วก็ทำสิ่งนั้นตามอารมณ์ ยิ่งทำยิ่งเพลิดเพลินยิ่งสนุกสนาน มันเป็นความสนุกสนานที่เจือด้วยความโลภความหลงความมัวเมา ความประมาท ไม่ใช่ความสนุกสนานที่มีปัญญาเข้ามประกอบแล้วเขาก็หลงไหลมัวเมาอยู่ในสิ่งนั้น ทำสิ่งนั้นเรื่อยไป คนนั้นจะอยู่ในฐานะอะไร เช่นว่าเป็นชาวบ้านธรรมดาก็จะเป็นคนเหี้ยมโหดตามประสาชาวบ้าน ถ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปเช่นพระราชามหากษัตริย์ก็จะเหี้ยมโหดหนักขึ้นไปอีกดังที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ว่ากษัตริย์บางพระองค์นั้นมีความสนุกที่ได้เห็นคนจะต้องไปรบกับสิงโตตัวร้าย จับคนโยนลงไปในคอกสิงโต ให้คนไปสู้กับสิงโตเหล่านั้นแล้วก็นั่งหัวเราะชอบอกชอบใจในการที่คนไปสู้กับสิงโตอันนี้เขาเรียกว่าคนจิตวิปลาส จิตผิดปกติ ภาษาจิตวิทยาเขาเรียกว่า Abnormal มันผิดปกติไม่เหมือนคนธรรมดาชอบดูการชการต่อย การฆ่าการทำอะไรในทางทารุณโหดร้ายตลอดเวลา จิตก็เป็นอย่างนั้นคนประเภทอย่างนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องถ่วงจิตใจ ไม่มีธรรมะไม่มีศาสนาไม่มีหลักอะไรครองใจทั้งนั้น เขาอยู่ตามอารมณ์ตามใจปรารถนาแล้วก็ทำตามอารมณ์เมื่ออยากจะทำอะไรก็สั่งให่ทำทันที อยากจะเห็นคนมีเลือดออกจากตัวก็สั่งให้คนจับมีดหั่นให้เลือดไหลออกมา อยากจะเห็นคนสู้กับสัตว์ร้ายก็ให้มันสู้กัน อยากจะเห็นคนห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้ก็จับมันแขวนคอขึ้นไปทรมานทรกรรมเพื่อมนุษย์ให้ได้รับทุกข์เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ นั้นก็เพราะว่าจิตเขาเป็นอย่างนั้น ไม่มีเครื่องถ่วงไม่มีห้ามล้อทางจิตใจจึงได้พฤติกรรมในทางโหดร้ายปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลก อันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าคนประเภทนั้นเขาไม่มีหลักครองใจ
แต่ว่าถ้าคนประเภทนั้นเขามีความเชื่อในทางศาสนา มีหลักศาสนาประจำจิตใจนั้นเขาเป็นคนที่มีความคิด ไม่ทำอะไรด้วยความไม่รู้สึกตัว ทำอะไรก็ทำด้วยสติปัญญา ด้วยความคิดอย่างรอบคอบแล้วจึงกระทำลงไปและไม่ทำอะไรอันจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ใครๆ เพราะเขาถือว่าการจะทำอะไรให้ใครเดือดร้อนนั้นเป็นเรื่องไม่ดีเป็นเรื่องเศร้าหมองทางจิตใจ เขาเห็นความเศร้าหมองทางจิตใจเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ เห็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องของใจว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญเหมือนกัน สำคัญในทางผ่องใสหากทำชั่วแม้นิดหน่อยก็เป็นเรื่องสำคัญในทางชั่ว ไม่ยอมที่จะกระทำอะไรลงไปมีความละอายแก่ใจในการที่จะทำอะไรที่เป็นเรื่องเสียหาย มีความกลัวแก่ผลที่จะเกิดขึ้นแก่ตนในกาลต่อไปข้างหน้า คนประเภทอย่างนี้มีความยับยั้งชั่งใจ เรียกตามภาษาธรรมะว่าควบคุมตัวเองดีมาก คนเราถ้ามีการควบคุมตัวเองได้แล้วก็จะมีบาปน้อย มีอกุศลทุจริตในทางกายวาจาใจน้อย เพราะมีการควบคุมตนเองไว้ได้มาก แต่คนที่ขาดการควบคุมตัวเอง ก็ย่อมปล่อยไปตามเรื่องตามราว เหมือนกับเราปล่อยปูลงในกระด้ง แล้วมันก็คลานไปตามชอบใจ เราจับมาวางมันก็คลานต่อไป เราใช้คำพูดว่า ยุ่งเหมือนจับปูใส่กระด้ง มันไม่หยุดนิ่ง มันก็ต้องคลานหนีไปคนละทิศคนละทางตามประสาของมัน
จิตใจเราก็เป็นอย่างนั้นถ้าไม่มีระเบียบไม่มีบทบังคับควบคุมไว้มันก็จะไหลไปตามเรื่องตามราว และเมื่อปล่อยนานๆเข้าก็จะเสียผู้เสียคน เป็นคนที่จิตตกต่ำถึงที่สุด สามารถจะกระทำอะไรในเรื่องชั่วเรื่องร้ายได้อย่างยิ้มๆ เรียกว่าทำได้อย่างยิ้มๆ ทำได้โดยไม่ต้องกระดากอะไรแก่ใครทั้งนั้นเพราะเขาชินชากับการกระทำอย่างนั้น
ถ้าสมมติว่าคนเรานี่มีปกติเป็นอย่างนั้นมากเราลองหลับตาดูว่าสภาพชีวิตสังคมจะเป็นอย่างไร มันก็จะเต็มไปด้วยการข่มเหงกัน การรังแกกันด้วยประการต่างๆ แล้วเราจะนั่งเป็นสุขไหม นอนเป็นสุขไหม เดินไปไหนจะเป็นสุขไหม เรามีอะไรจะเป็นจะกินจะอยู่จะเป็นสุขไหม แล้วเราจะมีเงินมีทองมีข้าวมีของแล้วเราอยู่ด้วยความหวาดระแวงอย่างนั้นเราจะมีความสุขได้อย่างไร มันเป็นความสุขไม่ได้ เพราะมีแต่การเบียดเบียนกันข่มเหงกันด้วยประการต่างๆ เราก็จะไม่มีความสุข การอยู่โดยไม่มีความสุขนั้นมันน่าอยู่ไหม ญาติโยมทั้งหลายลองพิจารณาดูให้ดีหน่อย ถ้าพิจารณาดูก็เห็นไหมมันเป็นเรื่องไม่น่าอยู่ไม่น่าพิศมัยอะไร เพราะชีวิตของคนเรานั้นต้องการความสุข ต้องการความเจริญงอกงามแก่ชีวิตการงานครอบครัวลูกหลานวงศ์สกุล แต่มันเป็นไปไม่ได้เพราะมีสิ่งชั่วร้ายอยู่รอบๆบริเวณบ้านของเราอยู่รอบๆตัวเรา เราก็เหมือนนั่งอยู่ตรงกลางแล้วก็มีไฟเผาอยู่รอบๆตัวเรา เราจะนั่งเป็นสุขอย่างไรจะนอนเป็นสุขได้อย่างไร แม้เราจะมีหนองน้ำอยู่ใกล้ๆมันก็ไม่สุขหรอก เพราะไฟมันลุกลามมารอบทิศ มันก็เป็นปัญหาสร้างความทุกข์ความเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะคนเราไม่มีฐานรองรับความคิดนึกการปรุงแต่งทางจิตใจ ไม่มีรากฐานอันมั่นคงในจิตใจจึงได้เป็นไปในสภาพเช่นนั้น
มนุษย์เราจึงต้องมีฐานรองรับชีวิต ฐานรองรับชีวิตก็คือธรรมะในศาสนา เราจึงต้องเป็นคนมีศาสนาเป็นหลักประจำจิตใจทุกชาติทุกภาษาย่อมต้องมีศาสนาด้วยกันทั้งนั้น แม้คนป่าคนดอยที่อยู่ในป่าบนเขาในประเทศไทยเขาก็มีหลักสำหรับยึดครองในจิตใจ เขาทำอะไรก็เคารพต่อหลักการนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรตามชอบใจหรอกเขาไม่ได้มีคำว่าเสรีภาพอย่างที่เราใช้กันอย่างไม่ถูกต้อง แต่ว่าเขาทำอะไรเขาจะนึกถึงสิ่งหนึ่งที่เขาเคารพบูชาว่าจะเป็นการผิดต่อสิ่งนั้นหรือไม่ ว่าจะเป็นการถูกต้องหรือไม่ เขาคิดเขานึกทุกอย่างนะ เขาไม่ได้ทำอะไรตามใจอยาก เพราะฉะนั้นเขาจึงอยู่กันด้วยความสุขในหมู่พวกเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่เขาอยู่กันด้วยความสุขก็เพราะว่าเขามีหลักครองใจ เท่ากับว่ามีศาสนามีธรรมะนั่นแหละ แต่ว่าเป็นศาสนาประเภทที่ยังไม่พัฒนาเท่าใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นเครื่องช่วยเหนี่ยวรั้งจิตใจไม่ให้เขาตกไปสู่ความชั่วความร้ายมากเกินไป พราะเขามีสิ่งนั้นอยู่
คนที่มีการศึกษามีปัญญาก็มีเครื่องมือที่ประณีตขึ้นไป จะยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆว่าคนที่ไม่เจริญก็ใช้สัตว์เป็นพาหนะ ใช้ช้างบ้าง ม้าบ้าง ความบ้าง ขี่กันไปตามเรื่อง พัฒนาขึ้นมาหน่อยเอามันไปเทียมเข้ากับวัตถุเป็นยาน เช่นว่าเทียมเกวียน เทียมรถให้มันลากไปนั่งกันได้หลายคนหน่อย ดีกว่าขึ้นไปนั่งบนหลังมัน นี่ก็พัฒนาไปแล้ว นานๆเข้าพัฒนาเป็นเครื่องยนต์กลไก แล้วก็ขับขี่ไปได้บนถนน เหมือนที่ญาติโยมใช้อยู่ตลอดเวลา พัฒนาหนักเข้าถนนไม่พอ มันก็ออกไปในอากาศ มีเรือบิน มีเรือบินชนิดแบบมีใบพัดมันยังไม่เก่ง ก็มีชนิดไอพ่น ไอพ่นก็ให้มันพ่นแรงไปกว่านั้น ให้เร็วแข่งกับมฤตยูมากขึ้นไปอีก เรียกว่า พัฒนาไปในรูปอย่างนั้นในทางวัตถุอย่างใด ในเรื่องเกี่ยวกับเครื่องคุ้มครองจิตใจคนนี่ก็เหมือนกันก็มีการพัฒนาขึ้นมาโดยลำดับ คนเราชั้นต่ำๆก็ไปยึดถือสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นที่พึ่งไป แล้วก็กลัวสิ่งนั้นไม่กล้าประพฤติชั่วกลัวสิ่งนั้นจะมาลงโทษ ก็อยู่ในขอบศีลธรรมตามขั้นนั้น สูงขึ้นมาก็เคารพสิ่งที่เขาสมมติขึ้นว่ามีตัวมีตนเขาก็กลัวต่อสิ่งนั้นไม่กล้าจะทำความชั่วความร้าย เจริญมากขึ้นทางจิตใจก็มีความเข้าใจว่าสิ่งใดที่เราทำสิ่งนั้นมันอยู่กับเรา เราหนีสิ่งนั้นไปไม่ได้เราทำอย่างไรก็จะต้องได้อย่างนั้น มันเกิดความเจริญขึ้นตามความคิดแล้วก็เป็นเครื่องคอยเหนี่ยวรั้งทางจิตใจ ไม่ให้คิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ในทางที่ตนจะได้รับผลเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อน นี่คือความเจริญขึ้นทางความคิดในด้านศาสนา มีความเชื่ออย่างนั้น
แล้วก็ในศาสนานั้นเรามีผู้สอน มีคำสอน มีผู้สืบต่อคำสอนที่ทำหน้าที่บริหารกิจการสืบต่อพระศาสนาให้ยั่งยืนถาวรเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งหลายสืบไป เช่นเรานับถือพระพุทธศาสนาเราก็นับถือพระพุทธเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นผู้ค้นพบหลักธรรมนำหลักธรรมนั้นมาประกาศแก่ชาวโลก ธรรมะที่พระองค์นำมาประกาศนั้นเราก็ถือว่าเป็นหลักคำสอนเป็นข้อปฏิบัติที่จะทำคนให้หลุดพ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน เราเรียกสิ่งนั้นว่า พระธรรม หมายถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและผู้มีพระภาคทรงปฏิบัติงานองค์เดียวไม่ไหวก็มีผู้อื่นช่วยเหลือทำงาน ผู้ที่เข้ามาช่วยเหลืองานของพระองค์นั้นก็มาบวชแบบพระองค์ ปฏิบัติตนให้พ้นจากความทุกข์ในชีวิตประจำวันด้วยตนเองก่อนแล้วก็ไปสอนผู้อื่นต่อไป เราเรียกท่านว่าพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ช่วยงานพระผู้มีพระภาค ธรรมะให้เข้าถึงคน ดึงคนให้เข้าหาธรรมะ ผู้ได้ประพฤติดีประพฤติชอบกันต่อไป
เราในฐานะเป็นพุทธบริษัท ก็ยึดเอาสิ่งสามประการนี้เป็นหลักใหญ่ เป็นที่ตั้งของความคิด การพูด การกระทำ คือถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ถือพระธรรมเป็นหลัก ถือพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นหลักใหญ่ เราเข้าไปพึ่งสิ่งสามประการนี้ เช่นเราเข้าใกล้พระสงฆ์ เพื่อจะได้รับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต พระสงฆ์มีหน้าที่สอนธรรมะให้แก่ญาติโยมมีหน้าที่เปิดหูเปิดตาญาติโยมให้รู้จักสิ่งถูกต้องช่วยป้องกันไม่ให้ญาติโยมตกไปสู่ความงมงาย อย่างเช่นถ้าเหลวไหลหรือการกระทำที่จะทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนเรียกว่าปิดประตูนรกเปิดประตูสวรรค์ให้ญาติโยมได้เห็นได้รู้ได้เข้าใจ ญาติโยมเข้าไปหาพระก็เพื่อไปรับฟังไปศึกษาด้วยตา ไปศึกษาด้วยหูเพื่อให้รู้ให้เข้าใจในหลักธรรมะนั้นๆ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจแล้ว รูเพียงอย่างเดียวเข้าใจเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ เราจะต้องนำสิ่งนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวัน คือต้องนำมาเป็นหลักในการปฏิบัติตนให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน หรือเอามาเป็นหลักปฏิบัติเพื่อป้องกันตนไม่ให้ตกไปสู่อบายไม่ให้ตกนรกไม่ให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ให้เป็นเปรตเป็นอสูรกายอันเป็นเรื่องของอบายแต่ให้ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นเป็นมนุษย์ สูงขึ้นไปก็เป็นเทวดาเป็นพรมเป็นพระอริยเจ้าตามขั้นของการปฏิบัติธรรมะ อันนี้เราไปศึกษาจากพระสงฆ์ สิ่งที่เราศึกษาจากพระนั้นเรียกว่า พระธรรม คือข้อปฏิบัติอันเราควรจะรู้จะเข้าใจควรจะนำไปใช้ในชีวิตของเราทุกวินาทีของชีวิต ขอญาติโยมเข้าใจว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ทุกขั้นตอนในชีวิตของเรา ทุกขั้นตอนจะต้องใช้อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช้เมื่อใดเกิดปัญหาเมื่อนั้น ความผิดพลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรานั้นเกิดจากอะไร เกิดจากเราไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นหลักนั่นเอง ถ้าเราไม่ได้ใช้ธรรมะก็เกิดความผิดพลาดเกิดความเสียหายขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ เพราะเราไม่ได้ใช้ธรรมะ หรือว่าเรามีความรู้สึกไม่สบายใจมีความกลุ้มใจด้วยเรื่องใดๆก็ตามก็แสดงว่าเราขาดปัญญา ความคิด การพูดการกระทำของเรา เราก็มีความเศร้าโศกความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้น แต่พอเราได้ธรรมะทันทีสิ่งนั้นก็หายไป
เหมือนกับแสงสว่างเกิดขึ้นสิ่งนั้นก็หายไป เช่นในห้องไม่มีไฟฟ้า ความจริงมันมีสวิตช์มีหลอดไฟ แต่เราไม่ไปกดสวิตช์แสงมันก็ไม่ปรากฏ พอเรากดสวิตช์ปุ๊บก็เกิดแสงสว่าง พอสว่างปุ๊บความมืดก็หายไปฉันใดจิตใจเราก็อย่างนั้นละ เวลาที่เราไม่ได้ใช้ธรรมะมันก็มืดอยู่มองอะไรไม่เห้นเป็นทุกข์เดือดร้อนวุ่นวายใจด้วยประการต่างๆ แต่พอเราเอาธรรมะเข้ามาใช้มันเริ่มสว่างแล้ว ค่อยสว่างขึ้นค่อยสว่างขึ้น เมื่อเราได้เอาธรรมะมาเป็นแสงส่องลงไปในสิ่งนั้น พิจารณาสิ่งนั้นให้มันทะลุปรุโปร่งไปว่ามันคืออะไรพอเห็นทะลุปรุโปร่งก็ถึงบางอ้อ คือเราร้องอ๋อขึ้นมาว่า อ้อมันเป็นเช่นนี้เองหลงโง่ไปซะเป็นนาน หายทุกข์ไปทันที ก็เพราะว่าเราได้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องช่วยแก้ พอแก้มันก็หายไปจากจิตใจของเรา พอไปใช้อย่างนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นผู้มีอาชีพอย่างใด เป็นพ่อค้า ชาวนาชาวนสวน เป็นข้าราชการ เป็นทหารเป็นตำรวจเป็นอะไรก็ตาม ถ้าได้ใช้หลักธรรมะเป็นเครื่องประคับประคอง ในการปฏิบัติกิจในชีวิตประจำวันแล้ว ท่านจะมีชีวิตที่ปลอดโปร่งแจ่มใสจะไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นเป็นอันขาด แต่ถ้าเราไม่ใช้ธรรมะก็อาจเกิดปัญหาได้ ความทุกข์เกิดขึ้นเสื่อมเสียชื่อเสียง
เช่น สมมติว่าเราเป็นข้าราชการ เราทำการคอรัปชั่นกินสินบาทสินบนอะไรขึ้นมาก็แสดงว่าเวลานั้นจิตใจเราไม่มีธรรมะแต่มีกิเลสเข้าไปอยู่แทน มีรูปเข้าไปอยู่ มีความอยากได้อยากมี อยากจะเป็นอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ถูกทาง เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ เมื่อมีใครเอาวัตถุปัจจัยมายั่วก็เกิดอารมณ์อยาก ไม่มีความยั้งคิด เราก็ทำสิ่งนั้น เมื่อทำแล้วได้มาตามความปรารถนาเราก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่ากูนี้เก่งฉลาดรู้จักหากิน หารู้ไม่ว่าไอ้นั่นมันเป็นตัวมารร้ายที่มาล่อให้เราตกหลุมหนักลงไปอีก เราก็เพลินไปกับสิ่งนั้น เดินเพลินไปจนถึงที่สุดของสิ่งนั้นเราก็ตกลงไปในเหวแห่งความทุกข์ยาก ถูกออกจากราชการ หรืไม่ถูกออก คนทั้งหลายเขารู้เขาก็ดูหมิ่น เรามีอะไรๆพร้อมแต่ว่าคนเขาดูหมิ่นมันไม่มีเกียรติ อยู่อย่างคนไม่มีเกียรติคืออยู่ให้คนเขาดูหมิ่นได้นี้มันน่าเกลียด
คนเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีใครจะมาดูหมิ่นสิ่งใดเราได้ตัวเราเองก็สบายใจนึกถึงตัวนึกถึงงานที่กระทำเมื่อไหร่สบายใจ ไม่มีอะไรเศร้าหมองไม่มีอะไรที่จะต้องขนพองสยองเกล้าหรือตกอกตกใจ ไม่มีแผลในฝ่ามือ แม้จะไปจับยาพิษก็ไม่เป็นไรเพราะเราไม่มีแผลเราไม่เกิดปัญหาความทุกข์ความเดือดร้อนอะไรทั้งนั้น อันนี้มันเป็นความสุขใจ แม้จะขาดตกบกพร่องในทางวัตถุบ้าง คนอย่างนั้นเขาหาเป็นทุกข์ไม่ เพราะว่าความสุขของเขาไม่ได้อยู่ที่วัตถุแต่อยู่ที่จิตใจที่สงบสะอาดไม่ขุ่นมัวด้วยเรื่องชั่วเรื่องร้ายเขาเป็นสุขอย่างนั้น มีความสงบใจอย่างนั้นเขาก็สบายเมื่อมันเป็นอย่างนี้เผลอไม่ได้ คนเราเผลอไม่ได้แม้พระสงฆ์องค์เจ้าก็เผลอไม่ได้ต้องใช้ธรรมะเป็นหลักปฏิบัติคุ้มครองชีวิตจิตใจอยู่ตลอดเวลา เผลอเมื่อไรก็ตกอบายเมื่อนั้น ตกนรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอะไรไปตามเรื่องตามราวเมื่อนั้น เพราะว่าประมาทไปเผลอไป จึงต้อมีการควบคุมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะยืนเดินนั่งนอนอยู่ในที่ใด ต้องอยู่ด้วยการควบคุมตัวเองบังคับตัวเองไว้ การบังคับตัวเองนั้นก็มีแบบแบ่งการบังคับ คือต้องเอาสิ่งที่เรานับถือนั้นมาเป็นเครื่องบังคับ เรานับถือศาสนาก็เอาข้อปฏิบัติทางศาสนามาบังคับ เช่นเราบังคับด้วยศีล เราบังคับด้วยศีลว่าเราจะไม่ฆ่าใครเบียดเบียนใคร เราจะไม่ถือเอาสิ่งของอขงใครๆ เราจะไม่ประพฤติผิดล่วงเกินของรักของชอบใจของใครๆ เราจะไม่พูดคำโกหก คำหยาบ คำไม่ดีกับใครๆ เราจะรักษาสุขภาพทางกายทางใจให้อยู่ในสภาพปกติ เราก็ไม่ไปกระทำสิ่งอะไรที่มันจะเกิดความเสียหายเราอยู่ด้วยใจรักเพื่อนมนุษย์ คิดพูดทำแต่สิ่งอันจะเป็นประโยชน์แก่เขา ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ให้ใครเกิดปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะเรามีความเชื่อว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นมาถึงเราด้วย ให้สุขทุกข์แก่ท่านทุกข์สุขนั้นก็มาถึงเราด้วย เราโยนลูกหนังไปที่ฝาหรือกำแพง มันไม่ไปไหนหรอกมันก็กระดอนกลับมาหาเราโยนแรงก็กระดอนมาแรงโยนเบาก็กระดอนมาเบา มันมาหาเราตลอดทุกครั้งที่เราโยนไปกรรมที่เรากระทำก็เป็นอย่างนั้นมันกระท้อนกลับมาหาเราทุกเวลาหนีไปไม่พ้น เราหนีไปไม่พ้นต้องกลับมา เรามีหลักนี้ประจำใจ
พอมีหลักประจำใจ ก็กระจายแตกกิ่งที่ดีงามออกจากใจถ้าจะเป็นสถานีกระจายเสียงทางวิทยุเราส่งแต่คลื่นดีงามออกจากสถานีของเรา คือส่งคลื่นความรักความเมตตาไปยังคนทั้งหลาย เราเห็นใครเดินมาเราก็นึกให้เขาเป็นสุขเถอะขอให้เจริญเถอะ ขอให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเถอะ ขอให้อายุมั่นขวัญยืนเถอะ เรานึกอย่างนั้นลองนึกดูใจมันจะดีขึ้นสบายขึ้นหน้าตาผ่องใสยิ้มแย้มแจ่มใสใจเบิกบานเพราะเรานึกเรื่องดี เราพูดเรื่องดี เราทำเรื่องดี ร่างกายดี จิตใจดีมันมีความสุข เราเชื่ออย่างนั้นเราก็ทำอย่างนั้นมีความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์อย่างนั้น แล้วเราก็ทำงานทำการตามหน้าที่ อยากได้อะไรก็ทำเอา เราจะไม่เบียดเบียนใครให้เกิดปัญหา งานที่เราทำนั้นก็ต้องเป็นงานประเภทที่ไม่เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ไม่สร้างสิ่งชั่วร้ายในสังคม
การลงทุนนี่ถ้าเราลงทุนในสิ่งชั่วร้าย ลงทุนเปิดบาร์เปิดผับมันก็อาจจะได้เงินพวกหนุ่มที่ชอบไปเที่ยวสนับสนุน แต่ว่าผลต่อมานั้นคืออะไร คือความสับสนในครอบครัวสร้างปัญหาในสังคม ที่เราลงทุนไปนั้นมันไม่ถูกต้องมันเป็นอกุศลเป็นบาปเป็นเรื่องไม่ดี เราไม่ลงทุนอย่างนั้นเพราะมันเป็นสิ่งไม่ดี ถ้าเราลงทุนไปทำโรงงานต้มเหล้าขายขายดีเวลานี้บริษัทสุราขายดีมากได้เงินเยอะแต่ว่าผลที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นอย่างไรถ้าเราไม่คิดให้มันกว้างเราก็นึกไม่ออกว่ามันจะเป็นอะไรฉันได้เงินก็พอแล้ว แต่ว่าถ้าคิดไปสักหน่อยว่าผลที่จะเกิดขึ้นคืออะไร เราลงทุนไปเช่นนั้นเป็นการส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายเราก็ไม่อยากจะทำ เพราะพระพุทธเจ้าสอนว่าการอาชีพที่ไม่ค่อยดีคือเป็นมิจฉาชีพนี่อะไรบ้าง ขายสุราของเมา ขายยาพิษ ขายเครื่องประหาร ขายสัตว์ที่เขาจะไปฆ่าเป็นอาหาร ขายมนุษย์ นี่เขาเรียกว่าเป็นการค้าขายที่ไม่ชอบธรรมเป็นการสร้างปัญหาให้แก่คนอื่น สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน หรือว่าเราไปลงทุนขายเฮโรอีนขายดีกำไรมากไม่เท่าไรก็เห็นหน้าเห็นหลังละ แต่ว่าคนส่งเฮโรอีนนั้นเป็นอย่างไร ทำให้ใครเดือดร้อนบ้าง พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเดือดร้อนกันไปหมด เพราะคนๆเดียวที่ไปส่งเฮโรอีน เราเป็นคนขายก็เท่ากับว่าส่งเสริมให้คนติดสิ่งเหล่านั้น มันเป็นบาปเป็นอกุศลให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนแล้วเราเองก็คงจะเกิดผลอะไรขึ้นแก่เราสักวันหนึ่งลูกหลานของเรามันจะเสียผู้เสียคนเพราะเอาไปขายคนอื่นลูกหลานมันจะเอามากินเข้ามั่งสูบเข้ามั่ง แล้วมันก็จะเสียผู้เสียคนไปด้วยเหมือนกัน นี่มันก็เสียหาย เรามีเงินมีทองจะลงทุนอะไรก็ต้องคิดว่าลงทุนอะไรมันจะไม่เป็นบาปเป็นอกุศลก็จะเป็นการถูกต้องไม่สร้างปัญหาอย่างนี้เรียกว่าฉลาด เป็นการประกอบการงานที่เป็นอาชีพที่ไม่เป็นไปเพื่อบาปเพื่ออกุศลเราก็ทำอาชีพอย่างนี้
ทีนี้ในการทำงานอาชีพนั้นถ้าทำด้วยสติด้วยปัญญาเราก็ไม่ค่อยจะล่มจมหรอกไอ้ที่ล่มจมนั่นก็เพราะว่าไม่ชำนาญในการกระทำ ใช้คนไม่เป็นบ้างไว้ใจคนไม่ถูกบ้างบกพร่องในเรื่องอะไรหลายอย่างมันเลยไปไม่รอดก็เพราะขาดธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ถ้าเราใช้ธรรมะก็ไม่เป็นไรอาชีพก้าวหน้าเป็นไปด้วยดี การครองชีวิตในครอบครัวถ้าเราเอาธรรมะไปใช้ก็อยู่กันด้วยความสุขไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันไม่มีเรื่องที่จะขัดใจกันเพราะต่างคนต่างก็เสียสละให้แก่กัน สามีก็เสียสละให้ภรรยา ภรรยาก็เสียสละเพื่อสามี พ่อแม่ก็มีความเสียสละเพื่อลูก แล้วก็พยายามอบรมลูกให้มีความคิดถูกต้องให้มีการกระทำถูกต้อง ให้มีหลักศาสนาเป็นพื้นฐานจิตใจแต่น้อยๆ เขาก็จะรู้จักคุณค่าของชีวิตว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไร เขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่งามที่ควรจะประพฤตอปฏิบัติในชีวิตประจำวันคืออะไร เขาก็จะปฏิบัติในสิ่งเหล่านั้น แม้เราจะให้การศึกษาวิชาการแก่ลุกเรามากสักเท่าใด แต่ถ้าขาดการอบรมบ่มนิสัยแล้วเด็กนั้นเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์เรียกว่าเจริญเติบโตโดยขาดคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจ เขาจะเอาตัวไม่รอด แต่ถ้าเขามีคุณธรรมเป็นพื้นฐานทางจิตใจแม้จะมีความรู้ไม่สมบูรณ์เขาคิดหาเอาต่อไปได้ชีวิตเขาสอนตัวเขาเองประสบการณ์มันสอนคนทำให้เขาคิดก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ชอบได้ เพราะมีฐานคือธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ เรื่องนี้คนที่มีเกียรติมีชื่อเสียงเขามองเห็นกันทั้งนั้น เขามองเห็นว่าเพียงวิชาความสามารถยังไม่พอแต่ต้องมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานทางจิตใจด้วย ถ้าขาดคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานทางจิตใจแล้วไปไม่รอดอันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าคนเราต้องมีหลักศาสนามีธรรมะเป็นเครื่องรองรับจิตใจ ขาดธรรมะขาดศาสนาแล้วมันก็ไปไม่รอด ชีวิตจะตกต่ำลงไปเมื่อใดก็ได้ดังที่เราเห็นคนที่มีการศึกษาแต่มีชีวิตตกต่ำอย่างน่าเสียดายน่าเสียดายที่สุด มาเสียดายความรู้ความสามารถที่ทำให้เขาตกต่ำลงไปถึงขนาดอย่างนั้น นั่นก็เพราะว่าเป็นคนไม่สนใจเรื่องบาปบุญคุณโทษไม่สนใจเรื่องพระเรื่องศาสนา เอาแต่นึกว่าตนเก่งแล้วตนสามารถหาเงินได้แต่ใช้เงินไม่เป็น หาในทางผิดใช้ในทางผิดเลยเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัวในการงานแล้วในที่สุดก็ตกระกำลำบากอันนี้มีตัวอย่างอยู่ถมไป ถามว่าขาดอะไรก็ขาดธรรมะที่เป็นพื้นฐานนั่นแหละ
เราทั้งหลายที่ได้อุตส่าห์มาวัดอยู่บ่อยๆก็ย่อมจะได้เห็นประโยชน์ในเรื่องนี้เห็นประโยชน์ทางธรรมะขอให้ได้นำไปใช้กันอย่างจริงจังแล้วก็อย่าใช้คนเดียวเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้แก่คนที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ครอบครัวเดียวในวงงานเดียวกัน ในหมู่เพื่อนฝูงมิตรสหายที่อยู่ด้วยกัน เพียงเรามีหลักประจำใจว่าจะทำอย่างไรให้เพื่อนฝูงของเรามีจิตใจดีขึ้น มีจิตใจสะอาดขึ้น สงบขึ้นมีปัญญามีสติมากขึ้น ถ้าคิดอย่างนั้นและถ้าเห็นว่ามีทางใดช่วยได้ช่วยทันที ช่วยดึงเข้ามา ดึงมาดึงครั้งแรกไม่มาดึงอีกดึงไปจนได้ ก็คนที่มันชวนเพื่อนทำชั่วมันยังชวนทีเดียวหรอ ชวนไปทำชั่วมันยังชวนหลายครั้งชวนแล้วชวนอีก ตัดเพ้อต่อว่าจนเอาเพื่อนไปจนได้ นั่นถ้าอยากชวนกันไปทางอย่างนั้นชวนกันไปสู่นรกนี่ชวนกันจริงๆ ทีนี้เรามาคิดใหม่ว่าเราจะชวนเพื่อนขึ้นสวรรค์ก็คอยชวนมีโอกาสก็ลากมา ชวนพูดชวนคุยวันละเล็กวันละน้อยให้เขาค่อยๆเห็นขึ้นรู้ขึ้น เอาหนังสือไปให้อ่าน ว่างๆ เอาหนังสือไปอ่านทิ้งๆไว้บนโต๊ะ ก็หวังว่าเขาจะหยิบขึ้นอ่าน อ่านไปก็จะพบความจริง หรือว่าเอาเทปไปให้เปิดฟังบ้าง เขาก็จะเปิดเทปฟัง
บางคราวมันมีปัญหาขึ้นก็ไม่รู้จะพึ่งอะไรเห็นหนังสือธรรมะมาลองอ่านดู จะได้พบพระแล้วก็จะได้อาพระเป็นที่พึ่งต่อไปเราช่วยให่เพื่อนได้เห็นพระได้เอาพระมาเป็นผู้นำในชีวิตเรียกว่าทำจิตอันประเสริฐแล้วในชีวิตของเรา เราควรจะช่วยกันอย่างนั้นขวนขวายกันอย่างนั้นให้มากขึ้น ถ้าเราไม่ช่วยกันชักจูงไปในด้านดี แล้วพวกที่จูงกันในด้านชั่วมันขยันชวนแล้วคนชั่วจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อคนชั่วเพิ่มมากขึ้นเราจะอยู่กันอย่างไร ญาติโยมคิดดูเราจะอยู่กันอย่างไร เราจะอยู่กันอย่างชนิดที่เรียกว่าเป็นทุกข์ตลอดเวลาเดือดร้อนตลอดเวลา เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นนั้นเราจะต้องหาทางช่วยกันป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในสังคมของเราด้วยการพยายามดึงคนเข้าหาธรรมะไว้ เช่นเพื่อนร่วมสำนักงานเดียวกันดึงทีละคนสองคน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ร่วมพวกร่วมหมู่กันศึกษาธรรมะปฏิบัติธรรมะ ประพฤติดีประพฤติชอบตามหลักคำสอนทางศาสนานั่นแหละเขาเรียกว่าสังคมเพื่อการสร้างสรรค์ ถ้าเราจัดสังคมเพื่อการสร้างสรรค์แล้วเราสบายถ้าเราสร้างสังคมเพื่อการทำลายเราก็เดือดร้อนเลือกเอาเลยจะเอาข้างไหนจะเอาฝ่ายเดือดร้อนหรือฝ่ายสบายสะดวก ญาติโยมคงไม่ต้องการฝ่ายเดือดร้อนคงต้องการความสะดวกสบาย เมื่อเราต้องการความสะดวกสบายก็ต้องหาทางช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นคุณแก่ส่งเสริมการศึกษาธรรมะ การปฏิบัติธรรมะการเผยแผ่ธรรมะให้มากที่สุดที่จะมากได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลายดังที่ได้แสดงมาในวันนี้ ก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที การนั่งสงบใจก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเขาเรียกว่าการฝึกจิตก็คือการทำสมาธิหรือว่าเจริญภาวนาเพื่อให้จิตสงบให้ตั้งมั่นให้อ่อนโยนเหมาะที่จะใช้งาน ทีนี้การกระทำง่ายๆก็คือการกำหนดลมหายใจเข้าออกเรามีอยู่แล้ว หายใจเข้ากำหนดรู้ อย่าให้ไปคิดเรื่องอื่นหายใจออกกำหนดรู้กำหนดที่ลมเข้าลมออก คุมจิตไว้ให้อยูที่ลมเข้าลมออกเป็นเวลา ๕ นาที