แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านรองอธิการและนักศึกษาทั้งหลาย วันนี้เป็นวันทำบุญของคณะมนุษยศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตามธรรมเนียมของเมืองไทยเรานั้น เมื่อถึงวันเกิดของบุคคล ของสถานที่ ของอะไรอะไร เรามักจะนิมนต์พระมาทำบุญกัน เพื่อเป็นการแสดงความสุขในทางจิตใจ ในแง่ของพระศาสนา ในการทำบุญทั่วไปนั้นก็มีเรื่องการนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์ ตามธรรมเนียมที่เคยกระทำกันมาแต่โบราณ แต่ว่าสำหรับคณะที่เรากระทำกันในวันนี้ อาจประยุกต์ให้เกิดประโยชน์มากขึ้นเพราะว่าเรื่องการสวดมนต์นั้นเราฟังไม่รู้ ไม่เข้าใจความหมาย ความจริงบทที่พระท่านนำมาสวดนั้นเป็นคำสอน เป็นข้อเตือนใจทั้งนั้น แต่หากว่าเราฟังไม่เข้าใจเพราะไม่ได้เรียนภาษาบาลี จึงไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่พระท่านสวดในแง่ปัญญา ได้ในแง่บุญ เรียกว่าได้บุญแต่ว่าไม่ได้กุศล
บุญกับกุศลนี้มันมีสภาพไม่เหมือนกัน บุญนั้นเป็นเรื่องความอิ่มใจสบายใจว่าได้กระทำอะไรถูกต้องตามประเพณี ตามพิธีต่างๆ ที่ได้บัญญัติกันไว้ว่าทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็มีความสบายใจ อย่างนี้เรียกว่าได้บุญ นึกถึงการกระทำเมื่อไรก็สบายใจ ก็ยังเรียกว่าได้บุญอยู่นั่นเอง
ส่วนกุศลนั้นเป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เราได้ยินได้ฟัง เช่นว่าถ้าเราฟังกันในรูปภาษาไทย เราเข้าใจความหมาย เขาเรียกว่าได้กุศล กุศลนั้นเป็นเหมือนเครื่องขูดเกลาจิตใจให้สะอาดขึ้น ให้สว่างขึ้น ให้มีความสงบขึ้น เมื่อเราฟังอะไร เรารู้เราเข้าใจ เขาเรียกว่าเราได้กุศล เมื่อกุศลเกิดขึ้น ความรู้ผิดความเข้าใจผิด ความเชื่อที่ไม่ถูกไม่ตรง ก็ปลาสนาการหายไปจากจิตใจ อย่างนี้เป็นเรื่องกุศล
การกระทำอะไรในทางพิธีทางศาสนาอย่าเอาแต่เพียงเรื่องบุญแต่ควรจะให้เป็นกุศลด้วย เพราะฉะนั้นพวกเราที่เป็นผู้มีการศึกษา เป็นชั้นปัญญาชนจึงได้มีการแสดงธรรมก่อนจึงจะมีการสวดมนต์ เรียกว่าให้ได้กุศลก่อนแล้วบุญก็จะตามมา บุญกับกุศลนั้น กุศลใหญ่กว่าบุญ คือถ้าเราได้กุศลก็พลอยได้บุญด้วย แต่ทำแต่เพียงบุญกุศลไม่เกิด เพราะฉะนั้นกุศลใหญ่ยิ่งกว่าจึงควรจะทำสิ่งที่เป็นกุศลด้วย ให้ได้กุศลและให้ได้บุญทั้งสองประการ
การแสดงปาฐกถาธรรมะก็เพื่อให้กุศล เราจะต้องฟังด้วยความตั้งใจ ฟังเพื่อให้รู้เพื่อให้เข้าใจ เพื่อจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไปเพราะว่าเราที่ศึกษาอยู่ในคณะนี้เรียกว่าคณะมนุษยศาสตร์ มนุษยศาสตร์นั้นหมายถึงเรื่องอะไร ก็ควรจะหมายถึงความรู้เกี่ยวกับมนุษย์หรือว่าความรู้เพื่อทำให้เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้น หรือความรู้ที่จะทำให้เรามีความสัมพันธ์ติดต่อกับเพื่อนมนุษย์ได้ดีขึ้น อะไรต่างๆ อย่างนี้ รวมอยู่ในคณะที่เราศึกษาเพื่อให้เกิดความเป็นมนุษย์สมบูรณ์นั่นเอง
การเรียนการศึกษานี่ไม่ว่าจะเรียนเรื่องอะไรถ้าความรู้นั้นไม่เป็นเครื่องอำนวยให้เรามีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้น การเรียนเรื่องนั้นก็ไม่สมบูรณ์ มันเป็นสักแต่ว่าเรียนรู้แต่ไม่ได้เอาความรู้นั้นมาเป็นเครื่องส่งเสริมความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ขึ้น คณะของเรามีชื่อคณะมนุษยศาสตร์ ก็ควรจะมีความมุ่งหมายไว้ว่าเมื่อเราเรียนเรื่องอย่างนี้แล้ว ก็จะใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องเพิ่มพูนความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ขึ้นเพราะความเป็นมนุษย์สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญขั้นมูลฐานในการดำรงชีวิตของเรา เพราะว่าถ้าเราไม่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว เรื่องอื่นมันจะสมบูรณ์ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการศึกษาจึงควรจะมุ่งหนักไปในทางที่ส่งเสริมความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์
ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์นั้นอยู่ที่อะไร เราควรจะทำอย่างไร จึงจะเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขึ้นได้ เพียงแต่มีความรู้จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์ได้หรือไม่ คิดว่ายังไม่สมบูรณ์ เพราะว่าคนไทยเราในสมัยโบราณได้พูดเป็นคำพังเพยไว้ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" อันนี้ก็เป็นหลักยืนยันว่า เพียงแต่ความรู้นั้นยังเอาตัวไม่รอด ก็หมายความว่า ยังเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ หรือเป็นคนไม่สมบูรณ์ หรือว่ายังไม่เป็นมนุษย์นั่นเอง ถ้าเป็นมนุษย์แล้วก็เรียกว่าสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นเพียงคนนั้นยังไม่สมบูรณ์
การเป็นคนนั้นเป็นกันได้ไม่ยาก เวลานี้ประเทศไทยมีพลเมือง ๔๐ กว่าล้าน แสดงว่าเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนรัฐบาลตกใจ ว่าจะไม่มีอะไรกินอะไรใช้ จึงต้องมีการควบคุมการเกิด ไม่ให้เกิดมากเกินไป แต่ว่าการควบคุมการเกิดที่ทำอยู่นั้น มันเป็นการคุมชั้นเปลือกนอกไม่ได้คุมชั้นใน คือไม่ได้ควบคุมทางด้านจิตใจ แต่ว่ามาควบคุมกันแต่เพียงร่างกาย เป็นการกระทำที่ไม่ได้ผลในทางด้านจิตใจ การควบคุมมันต้องคุมใจจึงจะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะกลัวว่าคนจะมากเลยต้องมีการควบคุม แต่ว่าคนที่เกิดมาแล้วนั้น ถ้าเป็นมนุษย์มันก็ไม่ยากอะไร ความเป็นอยู่ก็จะไม่ลำบากไม่เดือดร้อนเพราะจิตใจเขาเป็นมนุษย์ แต่ว่าถ้าเกิดแล้วมันเป็นแต่เพียงคน สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน จึงควรจะได้ก้าวหน้าต่อไป ว่าเกิดเป็นคนแล้ว ทำอย่างไรจึงจะมีความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นในใจของเราต่อไป
ในทางพระพุทธศาสนามีคำตรัสของพระพุทธเจ้าอยู่บทหนึ่งว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ (07.24 ภาษีบาลี) การได้อัตภาพเป็นมนุษย์นี้ยาก อันนี้หมายความว่าอย่างไร ไม่ได้หมายความว่า การได้ร่างกายมาอย่างที่เราเป็นกันอยู่นี้เป็นของยาก มันไม่ค่อยจะยากอะไรหรอก เรื่องที่จะได้อัตภาพทางร่างกาย เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มีการเกิดกันอยู่มากมายก่ายกอง แต่ที่ท่านตรัสว่า การได้อัตภาพเป็นมนุษย์ยาก หมายถึงว่าการได้อัตภาพทางใจ คืออัตภาพทางใจที่เป็นมนุษย์นี้มันลำบาก ใจมันจะตกต่ำเสียเรื่อยไป เพราะอัตภาพใจคนนั้น ชอบลอยไปตามเรื่องตามราว มันก็มันจะไหลเลื่อนไปสู่ที่ชั่วที่ต่ำ เช่นกับน้ำมีปรกติไหลไปสู่ที่ต่ำตลอดเวลา ถ้าเราจะเอาน้ำขึ้นที่สูงต้องใช้พลังงานสูบส่งขึ้นไป เหมือนเอาน้ำไปไว้บนหลังคาจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก แต่ถ้าให้ไปในที่ต่ำไม่ต้องใช้อะไร มันไหลไปเองตามธรรมชาติฉันใด จิตใจของคนเรานี้ก็มีสภาพเช่นนั้น คือสิ่งใดที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์ มันคิดง่าย ทำง่าย พูดง่าย แต่ถ้าสิ่งใดดีมีประโยชน์แล้ว ก็รู้สึกว่า เหมือนกับกลิ้งครกขึ้นภูเขา เป็นคำเปรียบของคนโบราณ ว่ากลิ้งครกขึ้นภูเขา กลิ้งได้น่ะแต่ว่ามันยาก มันต้องออกแรงดันอยู่ตลอดเวลา เผลอนิดเดียวมันก็กลิ้งลงไปแล้ว ใจเรานี้ก็เหมือนกัน ต้องกลิ้งมันขึ้นที่สูงไว้ตลอดเวลา เผลอเมื่อใดก็หล่นตุ๊บลงไปสู่ที่ต่ำทันที นี้แหละท่านจึงว่าเป็นมนุษย์นี้ยาก แต่ว่าไม่ใช่เป็นของที่ทำไม่ได้
มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ในหมวดเดียวกับเรื่องจิตว่า จิตนี้เป็นธรรมชาติดิ้นรน กลับกลอก รักษายาก ห้ามยาก แต่ผู้มีปัญญา ห้ามมันได้ ผู้ใดใช้ปัญญา ใช้ความเพียร ใช้ความอดทน ใช้ความตั้งจิตมั่น ในเรื่องที่จะยกระดับจิตใจของเราสูงขึ้น ผู้นั้นก็ทำสิ่งนั้นได้ แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีความรู้ ไม่มีความเพียร ไม่มีความอดทน ไม่มีความตั้งใจมั่นในเรื่องนั้น ก็ยกระดับขึ้นไปไม่ค่อยจะได้ คอยแต่จะตกต่ำลงไปเสียเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงต้องหาวิธีการ ว่าเราจะทำอย่างไร จึงจะยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นไปสูงขึ้นไป ลำพังแต่เพียงความรู้ที่เราได้รับการศึกษามานั้น ยังไม่เป็นหลักประกันเพียงพอ ที่จะช่วยให้เราเอาตัวรอด หรือพ้นจากความทุกข์ยากลำบาก พ้นจากความตกต่ำทางจิตใจ ก็วัตถุพยานที่ปรากฏอยู่ในสังคม ของชาวโลกเราในปัจจุบันนี้มันมีมากมายเหลือเกิน ว่าคนที่มีความรู้ มีความสามารถในเรื่องวิชาการต่างๆนั้นยังเอาตัวไม่รอด คือไม่รอดไปจากความตกต่ำทางจิตใจ จิตใจยังตกต่ำไปติดอยู่ในกับสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องทางวัตถุ คือ ติดอยู่ในเรื่องรูป เรื่องรส เรื่องกลิ่น เรื่องสัมผัส เรื่องความเพลิดเพลินพอใจในสิ่งต่างๆที่มากระทบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นอยู่ตลอดเวลา บางคนตกจมดิ่งลงไปเลย ไม่สามารถที่จะดึงขึ้นมาจากสิ่งที่ตนตกไปนั้นได้ อันนี้เป็นเรื่องปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆในที่ทั่วๆไป
จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า เพียงแต่มีความรู้อย่างเดียวนั้นจึงยังไม่พอ ที่จะยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น จึงควรจะมีอะไรที่ดีไปกว่านั้น เป็นเครื่องช่วยให้เกิดกำลังใจในการที่จะยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในการศึกษาวิชาการนั้น ก็ศึกษาไปตามหน้าที่ เพราะวิชาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนำไปใช้เป็นเครื่องประกอบการทำมาหากิน เพื่อเลี้ยงร่างกาย แสวงหาปัจจัย ๔ เพื่อหาอาหาร หาเสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยาแก้ไข้ อันเป็นสิ่งที่เราจะต้องแสวงหา ด้วยวิชาความรู้ แต่ว่าคนเรานั้นไม่ใช่มีแต่เพียงร่างกายเท่านั้น ก็แสดงว่าเพียงพอแล้ว เรามีใจอยู่ในร่างกาย เราจะเอาใจใส่แต่ร่างฝ่ายกายอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่เราจะต้องเอาใจใส่ในเรื่องภายใน เรื่องเกี่ยวกับจิตใจของเราด้วยเหมือนกัน การที่เอาใจใส่เกี่ยวกับเรื่องภายใน หรือก็คือเรื่องยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตมีค่า มีราคา ทำให้เกิดความสมบูรณ์ขึ้นในชีวิตของเรา
เราควรจะเอาอะไรมาใช้ ก็ควรจะมีศาสนาเป็นหลักครองใจ พูดถึงเรื่องศาสนาที่เป็นหลักครองใจนั้น คนเราในสมัยปัจจุบันนี้ บางทีก็มีจิตใจเหนื่อยหน่ายไปจากเรื่องของพระศาสนา คือมองศาสนาไม่ถูก มองไม่ชัด มองไม่ให้เข้าใจว่า ตัวแท้ของศาสนานั้นเป็นอย่างไร คือมองไปแต่รูปแบบของศาสนา มองไปในเรื่องพิธีกรรมของศาสนา ซึ่งนั้นไม่ใช่ตัวศาสนา แต่มันเป็นเรื่องภายนอกของสิ่งเหล่านั้น เหมือนกับเรามองคน ถ้าเรามองไปที่เสื้อผ้าเราจะตัดสินคนว่า เป็นอะไรนั้นมันไม่ได้ หรือมองเพชรนิลจินดาที่เขาประดับ หรือว่ามองบ้านว่าเป็นบ้านหลังใหญ่น่าอยู่ น่าอาศัย หรือมองรถยนต์คันที่เขานั่ง ว่าเป็นรถยนต์คันใหญ่ ก็ไม่ใช่เป็นเครื่องที่จะตัดสิน ว่าคนคนนั้นเป็นคนดี มีคุณธรรมเสมอไป เพราะสิ่งนั้นเป็นแต่เรื่องภายนอก คนแต่งตัวดีอาจจะมีใจทรามอยู่ในร่างกายนั้นก็ได้ หรือว่ามีเครื่องประดับประดาเพชรนิลจินดาราคาแพง แต่ว่าสิ่งนั้นอาจจะได้มาจากทุจริตคอรัปชันก็ได้ หรือว่าบ้านหลังใหญ่ที่เขาสร้างไว้ให้หรูหราในถนนนั้น อาจจะได้จากเงินที่กระทำความชั่วมา ค้าเฮโรอีน ค้าฝิ่นเถื่อน หรือว่าอะไรต่อมิอะไร อันเป็นเรื่องชั่วเรื่องร้ายก็ได้ สิ่งนั้นไม่เป็นเครื่องวัดความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่ง ท่านมหาตมะ คานธี ได้เดินทางไปประชุมโต๊ะกลมในประเทศอังกฤษ ในเรื่องเกี่ยวกับการบ้านการเมือง ท่านแต่งตัวแบบคนอินเดียยากจน คนอินเดียยากจนนั้นนุ่งผ้าผืนเดียว ไม่มีเสื้อ ไม่มีรองเท้า ไม่มีหมวกใส่ แต่ว่ามีหมวกแบบอินเดียซึ่งถักง่ายๆ ท่านแต่งตัวอย่างนั้นไปสัมผัสมือกับพระเจ้ายอร์จ ซึ่งแต่งเครื่องเต็มแบบรูปของกษัตริย์มีเหรียญตรา มีสายสะพาย ดูรูปแล้วเหมือนกับกระยาจกไปจับมือกับกษัตริย์อย่างนั้นแหละ ที่นี้เมื่อออกมาจากสำนักที่ประชุม นักหนังสือพิมพ์อเมริกันเข้าไปสัมภาษณ์ สัมภาษณ์ว่าทำไมต้องแต่งตัวอย่างนี้ ท่านก็บอกว่า ผ้ามันไม่ได้ทำคนให้เป็น คน ท่านตอบว่าอย่างนั้น ก็หมายความว่า เครื่องหมายการแต่งตัวภายนอก ไม่ได้เป็นสิ่งวัดความเป็นคน เราจะเอาวัตถุมาเป็นมาตรฐานวัดความเป็นคนสมบูรณ์ หรือวัดความเป็นมนุษย์ด้วยสิ่งนั้นหาได้ไม่
ท่านมหาตมะ คานธี นั้นแม้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างนั้น ดูเป็นเรื่องแสดงว่าไม่มีอะไร แต่ว่าในใจท่านนั้นมันสูงเหลือเกิน เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม เปี่ยมไปด้วยความเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง ท่านเสียสละอย่างมากมายจะเล่าให้ฟังซักตัวอย่างหนึ่ง คือ เมื่อท่านไปอยู่แอฟริกาใต้ ท่านได้ไปทำประโยชน์แก่ชาวอินเดียอย่างมากมาย ในฐานะเป็นทนายความ แต่ว่าการเป็นทนายความของท่านมหาตมะ คานธี นั้น ท่านไม่ชอบให้เป็นความกัน อยากจะให้คู่ความมานั่งจับเขาคุยกันแล้วมาตกลงกัน ดีกว่าจะไปเป็นความกัน มันเสียยืดยาวถึง ๒ ศาล ๓ ศาล ซึ่งเสียเงินมาก แล้วผลที่สุดก็สู้กัน มองหน้ากันไม่ได้ ต้องใช้ ๑๑ มม. ช่วยทีหลัง ท่านไม่ชอบอย่างนั้น ท่านไปว่าความ ท่านก็พยายามที่จะดึงคู่ความมาพบกัน คือไปพูดฝ่ายหนึ่งก่อนแล้วก็ไปพูดอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วก็นัดมาเจอกัน ท่านเป็นคนกลางที่จะพูดจาประนีประนอม ทำความเข้าใจกัน ผลที่สุดเขายอมกันได้ คืออีกฝ่ายหนึ่งยอมผิดซะ ยอมว่าตนผิดซะ ได้ทำการโกงเขาจริง แล้วก็ไม่ต้องให้ศาลตัดสิน คานธี ตัดสินซะเอง แต่ว่าท่านมหาตมะ คานธี ไม่ได้เหมือนกับตาอยู่ ในเรื่องตานาตาอิน ที่ตัดสินแล้วเอาท่อนกลางไปกินซะเลย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านไม่เอาอะไรจากการกระทำนั้นนอกจาก ได้รับเบี้ยเลี้ยงในการเดินทางไปศาล การติดต่อ อะไรนิดๆหน่อยๆ แต่ต้องการให้คนอื่นสบาย เมื่ออยู่แอฟริกาทำประโยชน์แก่คนอินเดียมาก อยู่ได้ต่อมาก็คิดว่าควรจะกลับอินเดียเสียที ชาวอินเดียเขาก็จัดเลี้ยงรับขวัญ ส่งเสียกัน ในการเลี้ยงคราวนั้นก็ให้ของขวัญแก่ท่านมากมาย สายสร้อยประดับเพชร แหวน อะไรต่ออะไร เอาให้แก่ท่านเพื่อให้แก่ภรรยาท่านรับมาแล้วท่านนอนไม่หลับตลอดคืน เมื่อเขาเอาของนั้นมาให้แล้ว ท่านเดินคิดพิจารณาของนั้นอยู่ตั้งคืนหนึ่ง ไม่ได้หลับได้นอน ผลที่สุดตัดสินใจว่า เราไม่ควรจะรับสิ่งนี้ เพราะถ้ารับสิ่งนี้ไป มันก็ผิดอุดมการณ์ ที่เราตั้งไว้ในใจ
ท่านเป็นคนมีความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์ที่ได้ตั้งไว้ และผลที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่เอา แต่ว่าเครื่องแต่งตัวนั้น เวลานี้ไปอยู่กับตัวภรรยาแล้ว สายสร้อยภรรยาเอาไปห้อยคอแล้ว เอาแหวนไปสวมแล้ว ก็จะเอาคืนมาได้อย่างไร ท่านก็คิดมากเรื่องนี้ ก็ท่านบอกว่า ขออภัยเถอะ ผู้หญิงนี้ย่อมรักของอย่างนี้เป็นธรรมดา แล้วจะไปดึงออกมานี้ก็คงกระทบกระเทือนจิตใจ ท่านก็เรียกลูก ๒ คนมา มาพูดทำความเข้าใจ ลูกชายนี้ท่านฝึกอบรมจิตใจให้เหมือนท่าน ให้พูดให้เข้าใจแล้วค่อยพูดกับแม่ซะ ทำความเข้าใจกับแม่ พอลูกไปพูดได้ ๒ ถึง ๓ ประโยค แม่ก็ออกมา เรียกว่า ออกมาก็น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาทีเดียว ก็มาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ ก็บอกว่าเธอคิดง่ายๆ เราไม่ได้คิดถึงอนาคต ชีวิตคนมันไม่แน่นอน เวลานี้เธออยู่ครอบครัวก็อยู่ได้ ถ้าเธอไม่มีแล้วฉันจะอยู่อย่างไร แล้วต่อไปลูกชายจะต้องแต่งงาน แต่การแต่งงานของคนอินเดียนั้นฝ่ายหญิงต้องเสียขันหมากไม่ใช่เหมือนบ้านเรา แต่ว่าฝ่ายชายก็ต้องมีอะไรไว้ สำหรับเอาไปให้แก่ลูกสะใภ้ เมื่อได้ลูกสะใภ้มาแล้วก็มีเครื่องแต่งตัวให้สมน้ำสมเนื้อ คานธีบอกว่า ไอ้นั้นมันยังไม่ถึงเวลา เธอไม่ต้องตกใจหรอก สิ่งทั้งหลายมันเกิดขึ้นเองตามเรื่อง พูดกันไปพูดกันมา ภรรยาก็ยังมีน้ำตาไหลอยู่ แต่ก็ปลดสายสร้อยออกจากคอ ถอดแหวนออกจากนิ้ว ถอดออกปุ๊ปเอามาห่อเรียบร้อย เสร็จแล้วไปในที่สมาคม เรียกกรรมการมา เรียกว่าผู้พิทักษ์ ให้ดูแลทรัพย์เหล่านี้ เอาไปฝากธนาคาร แล้วก็คิดเป็นเงินว่าเท่าไร เอาเป็นหลักประกันไว้ แล้วเอาเงินนั้นมาใช้จ่าย เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนยากคนจนต่อไป ท่านทำอย่างนั้น
นี่คือ น้ำใจของท่านมันสูงขนาดอย่างนี้ แล้วเป็นคนที่เรียกว่าทำอะไรก็ได้ เช้าหนึ่งมีการประชุมของคริสต์ที่เมืองกัลกัตตา คนมาประชุมกันมาก คนอินเดียนี้เขามักง่ายในเรื่องการถ่าย ไม่ค่อยระมัดระวัง แล้วก็ส้วมสกปรกที่สุดเลย ท่านไปเห็นแล้วก็รำคาญ ก็เลยจัดหาน้ำ หาไม้กวาด เข้าไปกวาดเสียเอง แต่เวลานั้นท่านยังไม่ได้รับ สมัญญา ว่าเป็น มหาตมะ แต่ว่าใจท่านเป็นแล้ว ท่านก็กวาด คนมาเห็น ก็พูดขึ้นว่า นั่นมันไม่ใช่งานของท่าน ท่านก็บอกว่า ถ้าทุกคนคิดว่าไม่ใช่งานของตัวแล้ว ใครจะทำอะไรได้อย่างนี้ แล้วท่านก็กวาดเฉย กวาดอุจจาระ ล้างส้วม อะไรเรียบร้อย เสร็จแล้วก็ ล้างมือล้างไม้ให้สะอาด ไปเข้าประชุมกับเขาต่อไป นี้คือความสูงส่งทางจิตใจ ที่อยู่ภายในร่างซึ่งผอมไม่มีเสื้อผ้าราคาแพงสวมใส่ ไม่มีรองเท้าอย่างดี ไม่มีอะไร สมบัติของท่านก็มี ผ้านุ่งผืนหนึ่ง เสื้อไม่มี แล้วก็มีหมวกใบหนึ่งถักเอาเอง แว่นตาอันหนึ่ง ฟันปลอมชุดหนึ่ง แล้วก็ปากกาด้ามหนึ่งไอ้ฟันปลอมไม่ได้ใส่ไว้ในปากนะ ใส่เวลาเคี้ยวอาหาร พอเคี้ยวอาหารเสร็จแล้ว ก็แล้วให้สะอาด ห่อผ้าแล้วก็ผูกไว้ที่สะเอว ไปไหนก็ผูกเอวไว้เรื่อย ความจริงใส่ปากอมไปก็ได้ แต่มันเสียบุคลิก เกิดถ้าใส่แล้วไม่สวย หรือเกิดเขาถ่ายรูปมาแล้ว เกิดปากท่านมหาตมะบุ๋มเข้าไป ทำให้เรียกว่า ลักษณะพิเศษของคนที่ยิ่งใหญ่มักจะมีอะไรไม่เหมือนเพื่อน แต่ว่าจิตใจท่านสูง
นี้เอามาเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างว่า ผู้มีคุณธรรมนั้นมันอยู่ข้างใน ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว แล้วส่วนมากคนที่มีจิตใจสูงนั้น ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องวัตถุ ท่านจะใช้วัตถุเพียงเพื่อประโยชน์ของร่างกาย แต่จะไม่ต้องการใช้วัตถุเพื่อความสวยงาม เพื่อความอวดมั่งอวดมี หรือเพื่ออะไรอะไรทั้งนั้นแหละ ลักษณะมันเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นเครื่องแสดงออกว่า เครื่องภายนอกไม่ได้เป็นเครื่องวัดคน เราไปเห็นคนอย่าไปตีความว่า คนนี้ท่าจะดีเพราะว่าแต่งตัวดี ไม่แน่คนแต่งตัวดีอาจจะเป็นนักล้วงกระเป๋าก็ได้ วันก่อนที่หัวลำโพงไปส่งพระ คนใส่เสื้อผ้าอย่างดีเดินมาล้วงปากกาในย่ามพระ แต่พระท่านจับมือได้เลยดิ้นไม่หลุด เอะอะโวยวาย หลวงพ่อเข้าไปถึง ถามว่ามีเรื่องอะไร คนนี้ล้วงย่ามของเขา แต่งตัวดีๆมาล้วงย่ามเลยเรียกตำรวจมา คนนั้นยกมือไว้บอกว่า ขอเถอะครับอย่าเรียกตำรวจเลย ปล่อยผมเถอะ ผมเพิ่งออกจากคุกมาเมื่อวานซืนนี้เอง ในเมื่อเพิ่งออกมาจากคุกมาเมื่อวานซืน แล้วยังมาล้วงกระเป๋าพระอีก ไม่ได้ต้องส่งคืนไป เลยเรียกตำรวจมาจัดการเอาตัวไป เนี่ยตัวแต่งดีๆมา เดินเฉียดเข้ามามือไวอย่างกับอะไรดี ไม่ได้เรื่องนะ ของภายนอกนี้วัดไม่ได้ เราจะต้องดูให้ซึ้งเข้าไปถึงใจ
พระพุทธสุภาษิตมีบทหนึ่งที่ว่า สังวาเส นถิลา เวทิตะภัง …... (23.43 ภาษีบาลี) ระเบียบชีวิต จิตใจจะรู้ได้เมื่อการอยู่ร่วมกันนานๆ อยู่ร่วมกัน อยู่ร่วมกันนานๆ แล้วจึงจะรู้ว่า นิสัยเป็นอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร ความคิดความเห็นเป็นอย่างไร มันต้องอยู่ร่วมกันน่ะ แล้วก็นานๆด้วย
ถ้าเป็นเพียงแป๊ปเดียวนะรู้ไม่ได้ เพราะว่าคนเรามันเล่นละครกันเก่งนัก มันแสดงในรูปนั้นรูปนี้ได้ในหลายแบบ ดูกันยากเพราะฉะนั้นต้องดูกันนานๆ เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวนี้ที่รักกันง่ายแล้วก็เลิกกันง่ายนี้ เพราะดูง่ายเกินไปเพราะดูรูปหล่อบ้าง ดูท่าทางดีบ้าง อะไรต่อมิอะไร เอาแต่เรื่องภายนอก ไม่สงวนท่าทีกันไว้ เลยแสดงอะไรออกไปรวดเร็ว มันเป็นความต้องการทางเนื้อทางหนัง ไม่ได้เป็นความรู้สึกลึกซึ้งทางจิตใจ จึงเกิดความเสียหาย คนเรามันต้องดูกันนานๆแล้วก็เห็นว่าดีแท้แล้วก็ไม่ลอก ไม่ใช่ของปลอม ไปซื้อถูกของปลอมเข้าก็เสียใจในภายหลัง นั่งเป็นทุกข์ไปเปล่าๆ นี้คือเรื่องที่น่าคิดในเรื่องนี้
ที่นี้เราจึงต้องมีสิ่งสำหรับประคับประคองจิตใจ ก็เรียกว่าต้องมีศาสนาเป็นหลักครองใจ พูดว่ามีศาสนานี้ อย่างเข้าใจในรูปแบบ แต่เข้าใจว่าหมายถึงว่า มีหลักปฏิบัติสำหรับควบคุมจิตใจ เพื่อให้อยู่ในสภาพที่สูงส่งอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือ เรื่องของศาสนา เรื่องศาสนานั้นก็จะเป็นเรื่องที่จะช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน ทุกขั้นตอนของชีวิต ไม่ว่าเราจะอยู่ในที่ใด ในสถานะอะไร ถ้าเรามีศาสนาเป็นหลักประจำใจแล้ว เราก็มีความสบายใจ มีความสุข มีความเป็นอยู่ที่อิสระ ไม่ถูกสิ่งนั้นครอบงำ ไม่ต้องตกเป็นทาสของอะไรอะไรที่เขาเป็นทาสกันอยู่ทั่วๆไป นี้เรียกว่าเรื่องของศาสนา แต่ว่าตัวของศาสนานั้นก็คือตัวธรรมะนั้นเอง ความจริงหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ค่อยใช้คำว่า ศาสนาหรอก ในภาษาบาลีนั้นไม่มีคำใช้คำว่า ศาสนา มีใช้อยู่นิดเดียวเท่านั้นเองในโอวาท ๓ ประการที่ว่า …... (26.11 ภาษีบาลี) การไม่กระทำบาปทั้งปวง …... (26.16 ภาษีบาลี) การทำกุศลให้ถึงพร้อม …... (26.21 ภาษีบาลี) การทำจิตของตนให้ขาวโล่ง …... (26.26 ภาษีบาลี) นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เนี่ยใช้คำว่าศาสนา มีอยู่เท่านั้น ที่อื่นไม่ค่อยใช้ ใช้คำอะไรบ้าง ใช้คำว่า ธรรมะ หรือ ใช้คำว่า พรหมจรรย์ เวลาพระพุทธเจ้าจะส่งพระสาวกไปประกาศสิ่งที่พระองค์พบเนี่ย แล้วให้สาวกไปประกาศ ไม่ได้บอกว่า เธอจงไปประกาศศาสนา หรือว่าไปสอนศาสนา ไม่ใช่อย่างนั้น แต่พระองค์ทรงบอกว่า เธอจงไปประกาศ พรหมจรรย์ คือการครองชีวิตที่บริสุทธิ์ ด้วยการพูดให้เขาฟัง ด้วยการทำให้เขาดูเป็นตัวอย่าง ให้ไปสอนอย่างนั้น ให้ไปสอนพรหมจรรย์ คือการดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ ที่สะอาดหมดจดยิ่งๆขึ้นไป ตัวพรหมจรรย์เนี่ย เป็นตัวปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือเราจะเรียกว่า พุทธธรรม
พุทธธรรม คือ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พุทธธรรมนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะได้นำมาใส่ไว้ในใจของเรา ถ้าเราเป็นผู้ปฏิญาณตนว่า เป็นพุทธบริษัท เป็นผู้แวดล้อมพระพุทธเจ้า หรือว่าเป็นพุทธสาวก ผู้รับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องพยายามนำเอาหลักธรรมเนี่ยมาเป็นดวงประทีปนำทางชีวิตของเรา เพราะพระธรรมนั้นสดุดดวงประทีป ดั่งคำที่ว่า …… (27.59 ภาษีบาลี) พระธรรมของพระศาสดาสว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป เป็นดวงประทีปนำทางให้เราคิดถูกทาง ให้เราพูดถูกทาง ให้เรากระทำถูกทาง ให้เราดำเนินชีวิตถูกทาง ให้เราปฏิบัติอะไรในทางที่ถูกที่ชอบ ไม่พลาดไปจากแนวทางที่ถูกต้อง ชีวิตมันก็สมบูรณ์ ความสมบูรณ์ของชีวิต จึงอยู่ที่ความมีธรรมะ ถ้าขาดธรรมะแล้วมันก็ไม่สมบูรณ์ ที่นี้เรื่องของธรรมะเนี่ย เราลองคิดให้เห็นง่ายๆ ว่ามันมีประโยชน์แก่ชีวิตของเราอย่างไร
เมื่อสมัยเด็กๆ เนี่ยได้ฟังคนแก่พูดบ่อยๆว่า พระธรรมให้เกิดพระธรรมรักษา พระธรรมคุ้มครองชีวิต ท่านพูดอย่างนั้น พูดตามแบบคนแก่ ท่านพูดตามๆกันมา ไอ้เราฟังแล้วมันก็เฉยๆเพราะว่า ไม่รู้ว่าพระธรรมคือ อะไร คุ้มครองอย่างไร รักษาอย่างไร จนกว่าเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ได้มาบวชเรียนในพระศาสนาก็นึกถึงคำคุณยายที่พูดบ่อยๆว่า พระธรรมให้เกิดพระธรรมคุ้มครอง พระธรรมเลี้ยงเราขึ้นมาได้ มองเห็นความจริงว่าเป็นเช่นนั้น เราเกิดมาได้โดยอาศัยธรรมะ ธรรมะในน้ำใจของพ่อแม่ แล้วท่านเลี้ยงเราด้วยความเอาอกเอาใจใส่ เพื่อให้เราเจริญเติบโตได้อย่างดี ก็โดยอาศัยคุณธรรมในใจของท่าน เราอยู่อย่างในชีวิตประจำวัน สมมุติว่า เราออกจากบ้านมา มหาวิทยาลัย มาถึงเรียบร้อย เราลองนึกว่ามันเรียบร้อยเพราะอะไร ถ้าเราเผลอเดินข้ามถนนไม่ดูรถสิบล้อ เราก็มาไม่ได้มันชนเรา คอหักไปเลย ตายไปเลย เราก็ไม่ถึง แต่ว่ารถไม่ชนเราเพราะอะไร เพราะเราเดินข้ามถนนถูกตามกฎจราจร เดินข้ามทางม้าลาย ไม่เดินข้ามในทางที่เขาไม่ให้ข้าม หรือว่าถึงสี่แยกก็ดูว่าไฟเขียวไฟแดง เราจะไปทางไหน ไอ้ที่เราทำอย่างนั้นแสดงว่าเราใช้ธรรมะ ธรรมะนั้นก็คือ ตัวสติ ตัวปัญญา ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติอันจำเป็นยิ่งในชีวิตประจำวัน เราก็เดินทางเรียบร้อย คนขับรถที่ไม่ทับคน ไม่ทับสุนัข ให้ตายเนี่ย คือ ขับด้วยความมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะ ก็จะชนดะไปเลย รถยนต์กี่คันกี่คันก็ชนดะไป นั่นมันขาดธรรมะแล้ว ทั้งๆที่ในรถนั้นติดยันต์หลวงพ่ออะไรไว้บ้างก็ไม่รู้ แต่มันไม่รู้เรื่องมันอ่านไม่ออก ยันต์มันไม่ใช่หนังสือที่มันอ่านได้ ชนดะมันเรื่อยไป ชนวินาศสันตะโร เสร็จแล้วมันก็หนีต่อไปจับไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าขาดธรรมะ สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน เถียงกันบ่อยๆ ทะเลาะกันบ่อยๆ ทุบถ้วยทุบจานแตก โกรธกัน ก็เรียกว่า ไม่มีธรรมะของการเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้อง ก็เกิดเป็นปัญหา คนอยู่กันมากๆไม่ค่อยจะเรียบร้อย ไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่สามัคคีกัน ก็เพราะว่าขาดธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ การอยู่กันจึงไม่เรียบร้อย แต่พอเอาธรรมะเข้ามาใส่ในใจแล้ว เรียบร้อย
เพราะอะไร เพราะใจที่มีธรรมะนั้นมีสภาพเหมือนกัน ใจที่มีธรรมะนั้นเป็นใจที่เหมือนกัน คือว่าใจนั้นสะอาดเหมือนกัน สงบเหมือนกัน สว่างเหมือนกัน ก็เป็นอันเดียวกัน แล้วหลายคนก็เป็นใจเดียวกัน แต่ถ้าใจขาดธรรมะ มีกิเลสเข้าครอบงำ ใจโลภ, ใจโกรธ, ใจหลง, ใจริษยา, ใจพยาบาท, ใจเห็นแก่ตัว, ใจมานะ, ใจถือดี, ใจโอ้อวด, ใจหัวแข็ง มันหลายใจ หลายคนเหลือเกินอยู่ในที่นั้น ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างทำ ก็แข่งดีกัน ไม่ใช่แข่งดีกันแต่เป็นแข่งชั่วกัน แต่ว่าพูดไปอย่างนั้น แข่งดีกัน มันดูไม่ถูกน่ะ แข่งกันไปแข่งกันมา ก็เลยต่อยกันเลยดีกว่า มันเป็นอย่างนี้เพราะว่า มันขาดธรรมะ ที่ใดไม่มีธรรมะที่นั้นสับสนวุ่นวาย มืดบอด แต่ว่าที่ใดมีธรรมะ ที่นั่นสว่างรุ่งโรจน์ อยู่ด้วยความคิดที่ถูกต้อง ลักษณะเป็นอย่างนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่เราต้องเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เราจึงต้องมีธรรมะ
แต่ว่าธรรมะเนี่ยมีคนมาพูดให้ฟัง ผู้คิดค้นธรรมะนี้ เราเรียกว่า ศาสดา เช่นพุทธธรรมเนี่ยก็มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ไปศึกษา ค้นคว้า ใช้เวลานานเหลือเกิน ตั้ง ๖ ปีแหนะ ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย จึงได้พบธรรมะอันประเสริฐสุด สำหรับเอามาแก้ไขปัญหาชีวิต และเมื่อได้คันพบแล้ว ก็ไม่ตระหนี่ไม่หวงแหนไว้ สำหรับพระองค์ผู้เดียว อุตส่าห์เอาไปจ่ายแจกแก่ชาวโลกทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ สืบต่อๆกันมา จนกระทั่งถึงพวกเราทุกวันนี้ เราก็ต้องนึกถึงเจ้าของ ผู้ค้นพบธรรมะนี้ เรียกว่าเป็นศาสดาของเรา เราถือว่าพระองค์นั้นเป็นผู้นำในชีวิตของเรา เราจึงได้เปล่งวาจาว่า
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาธรรมะ หลักคำสอนที่พระองค์แสดงนั้น เป็นที่พึ่งทางใจ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็น สะระณะ เป็นที่พึ่งทางด้านจิตใจ
๓ อย่างนี้ก็เรียกว่า หลักที่พึ่งทางใจ คนเราอยู่โดยไม่มีที่พึ่งก็ไม่ได้ มันว้าเหว่ มันเกิดปัญหา ขอให้ดูคนเราทั่วๆไป ที่ช่วยไปไหว้อะไรต่อมิอะไร ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เป็นเรื่องของการไปหาที่พึ่ง แต่ว่าคนที่มีปัญญาก็มีที่พึ่งสูงๆ แต่คนที่ขาดปัญญาก็พึ่งง่ายๆ เช่นเป็นพึ่งต้นไม้ ไปไหว้ต้นไม้ เอาผ้าไปห่มให้ต้นไม้ ทั้งๆที่ต้นไม้ไม่เคยรู้สึกหนาวร้อนอะไร และก็ไม่เคยบอกใครว่า กูร้อน กูหนาว แล้วก็เอาผ้าไปห่มให้ นี้เขาเรียกว่า ปัญญาอ่อน แล้วก็ไปไหว้ส่งเหล่านั้น ไปพึ่งสิ่งเหล่านั้น ผ่านหน้าโรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ก็เห็นว่า คนไปไหว้พระพรหมที่เขาตั้งไว้ แล้วมันเรื่องอะไร มันก็เรื่องต้องการที่พึ่งทางใจ เขาจึงไปไหว้สิ่งเหล่านั้น หรือไปไหว้อะไรเยอะแยะ ที่มนุษย์เขาคิดว่าช่วยได้ ไปไหว้กัน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คนเราเมื่อเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ มีภัยคุกคามจิตใจแล้ว ย่อมพึ่งป่าบ้าง พึ่งต้นไม้บ้าง ภูเขาบ้าง แม่น้ำบ้าง ว่าเป็นที่พึ่ง ตรงกับว่า …… (35.40 ภาษีบาลี) นี้ไม่ใช่เป็นที่พึ่งอันเกษม ไม่ใช่เป็นที่พึ่งอันสูงสุด เราปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น ว่านั้นไม่ใช่เป็นที่พึ่งอย่างสูงสุด มันเป็นที่พึ่งของคนที่ยังด้อยการศึกษา ด้อยปัญญา จึงจะต้องไปพึ่งสิ่งเหล่านั้น แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสต่อไปว่า …… (36.04 ภาษีบาลี) บุคคลใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ไม่ได้เพียงเท่านั้น ยังจะแถมท้ายต่อไปว่า มีความเข้าใจในเรื่องปัญหาชีวิตถูกต้อง คือ เข้าใจว่าความทุกข์คืออะไร เหตุที่เกิดทุกข์คืออะไร ทุกข์เป็นเรื่องแก้ไขได้ และแก้ได้โดยวิธีใด ผู้นั้นแหละจะพ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริง หลักการเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะพึ่ง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะต้องเข้าถึงตัวพระธรรม อันเป็นหลักคำสอน และเรานำเอามาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ใช้ธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจไว้ขณะใดใจเรามีธรรมะใจเราก็สูงขึ้น เหมือนกับดอกบัวในสระน้ำ มันโผล่พ้นน้ำ น้ำไม่เปื้อน โคลนไม่เปื้อน เราเก็บดอกบัวไปบูชาพระ ดอกบัวเป็นดอกไม้สาธิตแห่งความสะอาดทางวัตถุฉันใด เราก็ต้องทำใจให้สะอาดเหมือนดอกบัว เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งโสโครกนานาประการ แต่เราจะต้องเป็นดอกบัวของโลก เป็นดอกบัวของสังคม ที่จะไม่แปดเปื้อนด้วยสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วๆไป เรียกว่ามีใจสูงอย่างนั้น เมื่อมีใจสูงแล้วเราจะพ้นจากปัญหาในชีวิตประจำวัน จะไปคบกับใครไปสู่สถานที่ใดหรือจะทำอะไร เราก็เอาธรรมะมาเป็นดวงประทีปไว้ เอามาคิดเอามาเป็นมาตรฐาน สำหรับพิจารณาว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว อะไรจะเป็นความเสื่อม อะไรจะเป็นความเจริญ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในเรื่องอย่างนั้น เราก็ทำแต่สิ่งถูกต้อง เมื่อเราทำสิ่งถูกต้องใจก็สบาย ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวเศร้าหมอง คือไม่ต้องมานั่งคิดว่า แหมไม่น่าจะทำอย่างนั้นเลย แหมเผลอไปแล้ว จะทำอย่างไรดี นอนไม่หลับต้องเอามือมาวางบนหน้าผากให้หัวหนักหน่อย เราฝึกจิตแล้ว (39.40 เสียงไม่ชัดเจน) มันเป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าเราทำถูกต้อง เวลาทำก็สบายใจ ทำเสร็จแล้วก็สบายใจ หมดปัญหาหมดเครื่องกังวลใจ นอนสบาย นั่งสบาย ไปไหนก็สบาย ไม่ต้องระแวงอะไรในเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นแก่เรา นี่เป็นความสุขหรือไม่ ก็จะเห็นว่าเป็นความสุขในชีวิตประจำวัน ความสุขนั้นเกิดจากเราประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ธรรมะย่อมรักษาคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ให้เข้าใจคำนี้ให้ดีว่า คุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ผู้ไม่ประพฤติธรรม ธรรมะไม่รักษา เหมือนยาแก้ไข้อยู่ในขวดรักษาใครไม่ได้ เราจะต้องเอายามารับประทานดื่มเข้าไป จะดื่มก็ต้องดื่มให้ถูกด้วยนะ ก่อนอาหารหลังอาหาร ปริมาณเท่าไหร่ ถ้าดื่มผิดก็ผิดเหมือนกัน ธรรมะก็เหมือนกันต้องเอามาใช้และควรใช้ให้ถูกต้อง จึงมีหลักว่าต้องมีการพิจารณาว่าควรใช้ธรรมะอะไร เวลาไหน เกี่ยวกับบุคคลไหน เกี่ยวกับเหตุการณ์ใด พระผู้มีพระภาคเจ้าจัดธรรมะไว้เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นเรื่องเป็นราว อันนี้เราต้องเอามาศึกษาว่า ท่านวางไว้อย่างไร เป็นเครื่องมือที่จะเอามาใช้ในชีวิตทุกขั้นตอน ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพอย่างไร ในเหตุการณ์อะไร เกี่ยวข้องกับบุคคลไหนในเวลาใด หยิบมาใช้ได้ทั้งนั้น เราต้องเรียนรู้ไว้ให้ชำนาญคล่องแคล่ว เหตุการณ์นั้นควรหยิบธรรมะข้อนั้นมาใช้ หรือเหตุการณ์อย่างนี้ควรจะใช้ธรรมะอย่างนี้ คล้ายกับเรามียาหลายขนาน เป็นยาสำเร็จรูป เราก็ต้องหยิบมาใช้ให้ถูก ปวดหัวกินยาอะไร ปวดท้องกินยาอะไร คันตามผิวหนังจะใช้ยาอะไรทา หรือว่าท้องอืดเป็นอย่างไรมียาเฉพาะก็หยิบมาใช้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นธรรมโอสถที่จะแก้ปัญหาทางจิตใจ เราควรศึกษาทำความเข้าใจ
โดยเฉพาะคณะเราเนี่ย มนุษยศาสตร์ มันต้องเรียนหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาที่เราเคารพนับถืออยู่ นับถือพระพุทธศาสนาต้องรู้จักพุทธศาสนาให้ถูกต้อง ถ้ารู้ไม่ถูกต้องแล้วจะใช้อย่างไร เหมือนเราเดินทางไม่มีสมุดนำทาง ก็เดินสะเปะสะปะไป ขับรถก็ไปถึงทางแยกหยุดพิจารณาถึงสี่แยกก็หยุดอ่านป้าย มันก็เสียเวลา ไปไม่สะดวก แต่ถ้าเรารู้ทางขับปรู๊ดไปเร็วไปได้สะดวกสบาย ชีวิตเราก็เป็นอย่างงั้น ธรรมะเป็นเครื่องนำทางชีวิต ซึ่งเราก็ต้องนำมาใช้นำมาศึกษา เวลานี้ธรรมศึกษาในโรงเรียนศึกษาน้อยไป ชั้นประถมก็ไม่ค่อยได้เรียน ชั้นมัธยมก็เรียนนิดหน่อย ชั้นอุดมศึกษาก็เรียนนิดๆหน่อยๆหรือบางทีก็เรียนในแง่ปรัชญาไป ปรัชญามันช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้ มันต้องเรียนในแง่ศาสนา ในแง่ศาสนานั้นหมายความว่าเราเรียนเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาชีวิต เพื่อนำเราไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน อย่างนั้นถึงจะเรียนถูกแง่ของศาสนา ทีนี้ต้องเรียนให้ลึกซึ้ง ให้มีปัญญาที่จะมองทะลุในสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้น ให้รู้ชัดในเรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นจริง ตามหลักการในทางพระศาสนาที่สั่งสอนว่ามองอะไรมองให้ชัด ดูอะไรดูให้ลึก ให้เข้าใจในเรื่องนั้นถูกต้องตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ เราก็จะไม่หลงใหลมัวเมาเพลิดเพลิน ในสิ่งเหล่านั้นจนเกินไป รู้จักนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตเมื่อเดือดเนื้อร้อนใจ นี่คือตัวปัญหาที่จะต้องสนใจศึกษาไว้ อันนี้คือปัญหาหนึ่ง
ต่อไป ความเป็นมนุษย์เนี่ยเราควรจะมีอะไรบ้างจึงจะเรียกว่ามีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ เนี่ยเรามีฐานแล้วนะ มีธรรมะเรียกว่ามีฐานเพื่อให้รองรับชีวิต เพื่อให้มีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ขั้นหนึ่งแล้ว ขั้นปลีกย่อยต่อไปจะขอยกอีกเรื่องหนึ่งคือเราจะต้องมีความรักเพื่อนมนุษย์ มนุษย์จะต้องรักเพื่อนมนุษย์ เป็นคนมันต้องรักคน ถ้าไม่รักเพื่อนมนุษย์มันก็เป็นเพื่อนมนุษย์ไม่ได้ มองเพื่อนมนุษย์เป็นอะไร ทำไมต้องไปฆ่ากัน ไปทำร้ายกัน ไปเบียดเบียนกัน ที่จริงก็ไม่ค่อยรู้ ดังนั้นเราจะต้องรักเพื่อนมนุษย์ ต้องมีคุณธรรมประจำใจอยู่ข้อหนึ่งว่า เราอยู่เป็นสุขก็ให้ผู้อื่นอยู่เป็นสุขด้วย อย่าสุขคนเดียว แต่ว่าอยู่ให้ผู้อื่นเป็นสุขด้วย อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนานั้นอยู่ที่อะไร อยู่ที่ว่า เราอยู่แล้วให้คนอื่นอยู่ด้วย หรืออีกอย่างหนึ่งพูดง่ายๆว่า เรามีจิตใจรักเพื่อนมนุษย์ปรารถนาความสุขความเจริญแก่เพื่อนมนุษย์ หรือเรามีความคิดอยู่ในใจว่าเราอยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่ได้อยู่เพื่อเรา เพื่อเรานั้นมันไม่ต้อง เพื่อเราไม่ต้องคิดถึงอะไร แต่เราคิดว่าชีวิตเราจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร เราจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อย่างไร เช่นเราเป็นนักศึกษาเนี่ย ที่เรามีหลักการณ์ว่าเราเรียน เพื่อนำวิชานี้ไปให้เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เราก็เรียนด้วยความตั้งใจ เพื่อเอาวิชานี้ไปใช้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ในขณะเรียนก็ต้องทำตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ อย่างน้อยก็ให้เป็นประโยชน์แก่พ่อแม่ อย่าให้พ่อแม่เดือดร้อนเพราะการเรียนของเรา จะเรียนอย่างไรต้องตั้งใจเรียนอย่าใช้เงินเปลืองมากเกินไป ใช้แต่เพื่อการเรียนการศึกษา อย่าเอาเงินที่คุณพ่อคุณแม่ให้นั้นไปเที่ยวกลางคืน ไปดื่มของมึนเมาหรือไปหาความสนุกเพลิดเพลินไม่เข้าเรื่อง อย่างงี้ก็เรียกว่าเราอยู่ในขอบเขต ชีวิตมีระเบียบ เรียนดีเรียนก้าวหน้า สอบไล่ได้สำเร็จเรียบร้อย เมื่อสอบไล่ได้แล้วเราก็จะไปทำงานเราจะมีอุดมการณ์ในการทำงานเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของเพื่อนมนุษย์
เมื่อเราคิดว่าจะทำงานเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของเพื่อนมนุษย์ เราเป็นสุขเลย ใจเราเป็นสุขแล้ว เราคิดให้คนอื่นสบาย เราสบายเลย ถ้าเราคิดให้คนอื่นเดือนร้อน เราก็เดือดร้อน เช่นเราโกรธคนอื่นมัน คนที่เราโกรธบางทีมันยังไม่รู้เลย แต่เราเนี่ยเดือดร้อนก่อนเขาแล้วนะ ใจร้อนแล้วหน้าตาถมึงตึง แล้วใจมันร้อน ใจเป็นบาปเป็นอกุศล มีสภาพเปลี่ยนแปลงไปสู่ทางต่ำ เรียกว่าตกอยู่ในอบายแล้ว คืออยู่ในสภาพที่ชั่ว นี่แสดงว่าใจไม่ดีแล้ว แต่ถ้าเราคิดว่า เราจะช่วยให้คนอื่นสบาย ช่วยให้คนอื่นมีความเพลิดเพลินเจริญใจในทางสร้างสรรค์ เราสบายใจ เราคิดรักคนอื่นเนี่ยเราสบายใจ รักในที่นี้ไม่ใช่ความรักที่มีราคะตัณหาเข้ามาเจือปน เป็นความรักที่ต้องการให้เขาสบายในทางที่ถูกที่ชอบ
ถ้าพูดภาษาวัดก็เรียกว่ามีเมตตา เมตตาคือปรารถนาที่จะให้เพื่อนมนุษย์เป็นสุข โลกนี้อยู่ได้ด้วยเมตตา ขาดเมตตาเมื่อใดโลกพังทลาย เกิดปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อน เราจึงต้องมีหลักการประจำใจว่า เราอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์เกิดความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย อาชีพอันใดที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ความเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์ เราจะไม่ทำอาชีพนั้นเพราะเป็นการทำลายสภาพจิตใจ สภาพชีวิตสังคมให้เกิดปัญหา เราจะไม่หาเงินโดยวิธีนั้นแต่เราจะทำเฉพาะเรื่องที่จะให้ทุกคนสบายใจ ที่เป็นฐาน
ข้อแรกที่เราควรจะต้องปฏิบัติในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ต้องรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในทางพระพุทธศาสนาเราสอนว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นพี่น้องกัน ไม่เฉพาะคนนะ แผ่กว้างไปจนถึงสัตว์เดรัจฉานว่า สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่ามีเวร อย่ามีภัย อย่าเบียดเบียนแก่กันและกันเลย นี้เป็นเรื่องเป็นหลักสำหรับเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราทำจนเป็นคนอย่างนั้นนะเราจะรู้สึกสดชื่นหน้าตาแจ่มใส ใจเป็นปกติ สมองปกติ ประสาทในร่างกายปกติ ท้องไส้ปกติ มันดีหมดเลยอายุมั่นขวัญยืน แต่ถ้าคนไหนโกรธบ่อยๆจิตใจกระทบบ่อยๆอายุสั้นตายเร็ว ประเดี๋ยวก็ช๊อคเพราะว่าโกรธบ่อยๆ คนเราก็เหมือนกันล่ะ กระตุกบ่อยๆ เดี๋ยวโกรธเดี๋ยวอาฆาตริษยาพยาบาทคนนั้นคนนี้ มองใครตามันก็ขุ่นเพราะใจมันก็ขุ่น แต่ถ้าใจมันสะอาดมองใครตาก็ใสแจ๋ว เหมือนเด็กใครเห็นใครก็รัก คนไม่มีอารมณ์ขุ่นไงเด็กๆอ่ะจะขุ่นก็ต่อเมื่อไม่ได้กินนมเท่านั้นเอง พอกินแล้วก็นอนตาแจ๋วแหววน่าเอ็นดูอ่ะ ทีนี้คนเราผู้ใหญ่ควรจะต้องทำใจให้เป็นเด็กในบางครั้งมันก็สบายดีเหมือนกัน คือเราไม่เป็นทุกข์มันก็สบาย จะเกิดปัญญาขึ้นแก้ไขปัญหาชีวิตได้ นี่เป็นฐานอันแรกรักเพื่อนมนุษย์ และก็คิดในเรื่องให้คนอื่นสบายใจ อันนี้มันกว้างขวางนะในเรื่องนี้หน่ะ ละเอียดถ้าคิดอย่างนี้ละเอียด คนที่มีฐานมีความรักเพื่อนมนุษย์ นี่ทำอะไรเละเทะหน่ะไม่ได้ อย่างสมมติว่าเราไปเที่ยวสวนสาธารณะ กินลูกเงาะแล้วทิ้งเปลือกเพ่นพ่านเนี่ยไม่รักเพื่อนมนุษย์แล้ว สร้างเชื้อโรคสร้างสิ่งโสโครกขึ้นในสังคม ราดน้ำสกปรกไปตามสถานที่ต่างๆ ทำบ้านเมืองสกปรกก็ไม่รักเพื่อนมนุษย์แล้ว เพราะถ้ารักเพื่อนมนุษย์เราทำแบบนั้นไม่ได้ ทำให้ใครรำคาญก็ไม่ได้ สมมติว่าเราจะใช้เครื่องขยายเสียงเปิดจนคนรำคาญ เนี่ยเรียกว่าไม่รักเพื่อนมนุษย์ เค้าจะหลับจะนอนกันเช่นมีงานเปิดเพลงดังหนวกหูตลอดคืน เนี่ยไม่รักเพื่อนมนุษย์ไม่สงสารว่าเค้าจะหลับจะนอนมันก็จะหนวกหูไม่ได้คิดอย่างนั้น คุณธรรมมันขาดไป คิดอะไรไม่ค่อยจะได้ เป็นการเบียดเบียนเขา ทำอะไรเบียดเบียนเขาไม่ดี คิดให้ละเอียดในเรื่องรักเพื่อนมนุษย์เนี่ยแล้วเราจะเป็นคนที่มีนิสัยประณีตงดงาม มีความรู้สึกไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยต่อใครๆ ในเรื่องอะไรอะไร เวลานี้คนเรามันยังรักกันน้อยไป จึงยังชอบสร้างปัญหาขึ้นในสังคมด้วยประการต่างๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายสับสน ด้วยประการต่างๆ จึงอยากจะขอฝากแนวคิดนี้ไว้ ว่าเราจะอยู่อย่างมีใจรักเพื่อนมนุษย์จึงจะสมกับเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ประการที่สอง เราจะต้องรักงานในหน้าที่ของเรา มนุษย์สมบูรณ์ต้องเป็นคนรักงาน งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข เราจะอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราได้รับมอบหมายให้ทำอะไร เราที่มีใจสูงต้องขยันในสิ่งนั้น ต้องเอาใจใส่ในสิ่งนั้น ทำสิ่งนั้นด้วยสติปัญญา ทำเพื่อให้ดี ให้เจริญ ให้ก้าวหน้า ให้เกิดผลสุขอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย เรียกว่าเป็นคนรักงาน คนไทยเราโดยทั่วไปนั้น ขอพูดตามตรงตามสภาพที่เป็นจริงว่ายังรักงานน้อยไป เรื่องชอบเลี่ยงงาน ชอบหนีงาน อู้งาน จึงไม่ค่อยรักงานอย่างจริงจัง ทำอะไรก็ทำนิดๆหน่อยๆ แต่ว่าจะเอาผลมากๆเลย มันไม่ถูกหล่ะ เราทำน้อยแต่จะเอาผลมากๆ มันก็ไม่ได้ เหตุกับผลมันต้องสัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้นเมื่อทำอะไรถ้าจะเอาผลมากต้องลงทุนให้มาก ลงทุนสติปัญญาความสามารถความคิดลงไปในเรื่องนั้น ทำให้มันจริงจัง ทำอะไรให้มันทำจริงเราก็จะก้าวหน้าในชีวิต อย่าทำแบบเหยาะแหยะไม่เอางานเอาการ ทำนิดหน่อยแล้วก็จะไปเที่ยวแล้ว เวลามาทำงานเนี่ยมาสายแต่เลิกเช้า พอใกล้ได้เวลาก็เลิกแล้วไปแล้ว จะเห็นว่าตามสำนักงานทั่วไป ๑๖ นาฬิกาออกมายืนรอรถเมล์เป็นแถวแล้ว นี่มันยังไม่ครึ่งซะที แต่ออกมารอรถเมล์แล้ว นี่แสดงว่าไม่เอาเรื่อง ทำให้มันพอผ่านพ้นไปวันหนึ่งๆ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่รักงาน มีความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ ถ้าเป็นคนไม่รักงานอย่างนั้น
ดังนั้นเราจึงต้องเพาะนิสัยรักงานขึ้น ต่อไปข้างหน้าประการที่สามคือ ถ้าเรามีครอบครัวเราจะต้องรักครอบครัว รักครอบครัวนั้นคือผู้ชายก็รักแม่บ้าน แม่บ้านก็รักพ่อบ้าน มีลูกก็รักลูก แล้วไม่ไปหาความสุขนอกบ้าน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อแม่บ้าน ท่านมหาตมะคานธีก็เป็นตัวอย่างนี่แหล่ะชีวิตของท่าน ท่านแต่งงานตั้งแต่เป็นเด็ก ก็ธรรมเนียมอินเดียเป็นอย่างนั้น ทำไมชาวอินเดียจึงแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพิ่งเกิดเมื่อภายหลัง เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามาสู่อินเดียเพราะว่าคนอิสลามนั้นชอบลักเด็กผู้หญิง เพื่อเอาไปเลี้ยงไว้ ดังนั้นถ้าเป็นคนแต่งงานแล้วเขาไม่ลัก เพราะฉะนั้นอินเดียก็เลยต้องแต่งงานตั้งแต่ตัวน้อยๆ อายุสิบขวบแต่งงานแล้ว ก็ต้องเลี้ยงไว้ต่อไป พ่อแม่ฝ่ายหญิงเลี้ยงเองก็ได้หรือว่าจะไปอยู่บ้านสามีพ่อแม่สามี พ่อแม่สามีก็เลี้ยงเหมือนเลี้ยงลูก เลี้ยงไปจนกระทั่งเติบโตอายุสมควรที่จะแต่งงานกันได้จึงจะแต่งงานกัน ท่านมหาตมะคานธีก็แต่งงานกับภรรยาแกตั้งแต่อายุน้อยแล้วก็ภรรยาก็ไม่รู้หนังสือ ท่านพยายามสอนให้ภรรยาเรียนหนังสือแต่ว่าไม่สำเร็จสักที เรียกว่าสอนไม่ได้ สอนคนอื่นได้แต่ว่าสอนภรรยาไม่ได้ แต่ก็อยู่กันมาได้อยู่กันมาเรียบร้อย และตอนที่ท่านไปอยู่ประเทศอังกฤษ เนี่ยท่านก็ไปอยู่ในครอบครัวคนอังกฤษพวกสาวๆมาพูดจาหยอกล้อเล่นหัว แล้ววันหนึ่งแกก็บอกว่าผมแต่งงานแล้ว พอท่านบอกพวกผู้หญิงก็หัวเราะกันบอกว่า แต่งงานแล้วก็ไม่เป็นไร ท่านมาบ้านเราได้มาเที่ยวมาพูดคุยมาสนุกสนาน ท่านไม่ยุ่ง ท่านไม่ทำผิด ท่านมีความซื่อสัตย์ต่อภรรยา มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเดินทางโดยเรือโดยสาร เรือไปจอดพักที่ท่าเอเดน ฝรั่งก็ขึ้นไปเที่ยวแล้วก็ชวนท่านไปเที่ยวด้วยโดยชวนท่านไปเที่ยวโสเภณีด้วย สุดท้ายผู้หญิงไล่ท่านออกมาจากห้อง ท่านก็โล่งใจว่าท่านไม่ได้ทำผิดต่อภรรยา ท่านรักษาความซื่อสัตย์เหลือเกินไม่ทำผิดเลยในเรื่องอย่างนี้ เราผู้ซึ่งจะมีครอบครัวในอนาคตข้างหน้าต่อไปนี้จะต้องมีคุณธรรมข้อนี้ คือรักครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวเป็นสุขและเสียสละเพื่อครอบครัวเช่น พ่อแม่ต้องเสียสละเพื่อลูกทุกอย่าง อบรมบ่มนิสัยให้ลูกได้เป็นผู้มีความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ชีวิตให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ตั้งแต่ตัวน้อยๆจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จิตใจของคนเราอาจจะพลุ่งพล่านไปบ้างในบางครั้งบางคราว ต้องมีการบังคับตนเอง ต้องมีความอดทนอดกลั้น ต้องมีความเสียสละประจำจิตใจ จิตใจจึงจะไม่เสียหาย ไม่เสียผู้เสียคน
อันนี้เป็นเรื่องที่จะต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา ชีวิตจะเรียบร้อย เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยจะเรียบร้อยในสังคม เพราะความรักครอบครัวน้อยไป แต่งงานแล้ว แล้วก็ไปมีใหม่ คนเก่าก็เหงาหงอยเศร้าสร้อยเพราะว่าเราไม่รักเพื่อนมนุษย์ แล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนวุ่นวาย เป็นอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องน้อยๆนะเรื่องสำคัญ เราจึงมีคำพูดว่า เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร ผู้ชายเราไม่ค่อยคิดเรื่องนี้ ผู้ชายคงคิดว่า ไม่ยอมเสียทองเท่าหัวแต่ต้องไปหาอีกหลายๆคนใหม่ คิดอย่างนี้สังคมก็ยุ่ง แล้วลูกก็ไม่เรียบร้อยสิทีนี้ เพราะว่าแม่ไม่สบายใจ ไม่สบายใจเมื่อไหร่ก็ลงกับลูกบ่อยๆ ทำให้ลูกจิตใจต่ำ ประสาทพิกลพิการเพราะว่าพ่อไม่เอาถ่านในเรื่องอย่างนี้เรื่องเสียหาย คนเราที่จะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เป็นคนสำคัญของชาติของบ้านเมือง มันต้องสำรวมในเรื่องอย่างนี้ ในสหรัฐอเมริกาเวลาเขาจะเลือกคนที่จะเป็นประธานาธิบดี เขาก็จะต้องพิจารณาในเรื่องการครองชีวิตในครอบครัว เพราะคนที่ครองครอบครัวไม่เรียบร้อย จะไปปกครองประเทศได้อย่างไร เรื่องครอบครัวยังไม่เรียบร้อย แล้วจะไปครองประเทศชาติบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เลือกคนที่มีปัญหาทางครอบครัว อันนี้เป็นเรื่องสำคัญเราทั้งหลายก็ต้องมีความรักในครอบครัวที่ได้แต่งงานแล้ว นอกจากนั้นก็มีคุณธรรมอื่นๆที่เราควรนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา หมายความว่าไม่ปล่อยจิตใจเป็นทาสของอะไรอะไรในเรื่องใฝ่ต่ำ ต้องพยายามที่จะยกระดับจิตใจให้สูงไว้ให้อยู่ด้วยคุณงามความดี ต้องมีศีลมีธรรมเป็นหลักประจำจิตใจควบคุมจิตใจไว้ โดยเฉพาะเราที่เป็นนักศึกษา ในอินเดียเขาเรียกนักศึกษาว่าพราห์มจารีย์ เพราะนักศึกษาต้องมีชีวิตอย่างนักบวช สมัยก่อนนี้ไปอยู่กับสำนักเรียนตรรกศิลา อาจารย์ที่สอนนั้นเป็นฤาษีหรือเป็นอาจารย์ที่ไม่มีครอบครัวสั่งสอนศิษย์ด้วยความเอ็นดูกรุณาอย่างแท้จริง เดี๋ยวนี้นิสิตเราสูบบุหรี่กันมากเหลือเกิน หลวงพ่ออยากจะแนะนำว่าให้เอาเงินที่ซื้อบุหรี่ไปซื้อข้าวราดแกงกินดีกว่าเพราะว่าข้าวมีคุณค่ามากกว่าบุหรี่ เพราะบุหรี่เวลาเราสูบเข้าไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หลวงพ่อนี้ไม่สูบบุหรี่ ท่านคานธีก็ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มของมึนเมาทุกประเภท ท่านเป็นคนที่เคร่งครัดในทางศาสนา
ก็พอสมควรแก่การเวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้