แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพักตามใต้ต้นไม้ให้สะดวกสบายอย่าเดินไปเดินมาให้เป็นการพลุกพล่าน แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี ว่ากันด้วย (00.35 เสียงไม่ชัดเจน) ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้มีพุทธบริษัทจังหวัดสิงห์บุรี อุตส่าห์เหมารถมา ออกมาตั้งแต่ตีห้า มาถึงนี่ทันเวลา เขามาด้วยน้ำใจศรัทธา ที่จะมาฟังปาฐกถาที่วัดนี้ แล้วก็นักเรียน หมู่นี้ก็นักเรียนก็มากัน แต่ว่านักเรียนมาวันอาทิตย์ นี่มาดูกิจการ ถ้าจะมาศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง ควรจะมาอีกวันคือวันเสาร์ แต่วันเสาร์นี่มันอาจจะไม่สะดวกบางแห่ง เวลานี้โรงเรียนสตรีนนทบุรี ได้ส่งนักเรียนมาทุกวันเสาร์ ก็จัดให้พระแสดงธรรมให้ฟังนะ เฉพาะเด็กนักเรียนล้วนๆ เด็กก็จะได้ความรู้บันทึกเอาไป เป็นข้อเขียนให้ครูได้รับทราบ อันนี้เป็นเรื่องที่ดี เรื่องของเด็กกับธรรมะ นี่เป็นเรื่องจำเป็นมากในสังคมในยุคปัจจุบัน เพราะว่าสังคมเราในยุคปัจจุบันนี้ มีความสับสนวุ่นวาย ด้วยปัญหาต่างๆ ข่าวอาชญากรรม ประเภทร้ายๆ เกิดขึ้นมากในบ้านเมืองของเรา จนไม่มีความสงบสุขแล้ว เมื่อเช้านี้ท่านพุทธทาสก็บอกว่านอนอยู่ในห้อง ในบ้านยังไม่ปลอดภัย แล้วจะเอาความปลอดภัยที่ไหน อย่างนี้มันเป็นเรื่องที่เราควรคิดแก้ปัญหาแต่ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ควรจะแก้ปัญหาระยะยาว การแก้ปัญหาระยะยาวก็คือ เราต้องรู้ว่าปัญหามันเกิดจากอะไร ทำไมคนเราจึงได้มีจิตใจตกต่ำ มากมายถึงขนาดอย่างนั้น ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนเราขาดศีลธรรมอันเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ เพราะขาดศีลธรรมจึงไม่มีความสำนึกในชีวิตที่ถูกต้อง แล้วมีการกระทำอะไรที่ผิดพลาดเกิดขึ้น ด้วยประการต่างๆ เราจึงจะต้องแก้ปัญหาด้วยการแก้จิตใจคน การแก้จิตใจคนนั้น ก็แก้ด้วยการ ทำคนให้เข้าถึงศีลธรรม
คำสอนในทางศาสนา ไม่ว่าคนนั้นจะนับถือศาสนาอะไรก็ต้องมีการปลุกระดมให้คนได้เข้าถึงธรรมะในศาสนานั้นๆ เช่นทางพุทธศาสนาเรา ก็ต้องพยายามที่จะชักชวน คนให้เข้าถึงธรรมะ ด้วยการพูดการสอน การอบรมบ่มนิสัยและการแสดงออกซึ่งตัวอย่างในทางศีลทางธรรมให้มากขึ้น เดี๋ยวนี้ตัวอย่างในทางดีนั้น ไม่ค่อยจะปรากฏเป็นข่าว ถ้าเป็นข่าวก็เป็นข่าวร้ายๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชญากกรม ประทุษร้ายทางร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สมบัติ อะไรต่างๆเสียเป็นส่วนมาก ส่วนข่าวดีๆเช่นว่า คนมาวัดนี่ ไม่ค่อยมีข่าว คนมานั่งฟังธรรมะแน่นศาลาอย่างนี้ ไม่ค่อยจะเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ วันนั้นไปสถานีโทรทัศน์ ก็บอกว่าไปถ่ายคนไปวัดบ้างไม่ได้หรือ เขาบอกว่าไม่ได้ เพราะว่าไม่ใช่งานของรัฐบาล ถ้าเราไปถ่ายเขาก็หาว่าเราไปเข้ากับวัดนั้น วัดนี้ มันเป็นเรื่องอย่างนั้นไปเสีย คือความคิดมันแคบไป (04.25 เสียงไม่ชัดเจน) คือคิดให้มันไม่ถูกไปจนได้ คือเราอย่าคิดว่าเราจะไปช่วยวัดนั้นวัดนี้อะไร แต่เราคิดว่าเป็นการโฆษณาจูงใจ ให้คนได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเขามีจิตใจเข้าวัด สนใจในเรื่องพระศาสนา แม้แต่เด็กๆก็มาฟัง หนุ่มสาวก็มาฟัง คนเฒ่าคนแก่ก็มาฟัง จึงเป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมือง อันนี้เขากลัวว่าจะเป็นการลำเอียงไป ไปแต่วัดนั้นไม่ไปวัดนี้ ก็ไปมันทุกวัดสิ ที่มีคนไปฟังเทศน์ แต่วัดไหนไม่มีคนไปฟังก็ไปด้วยเหมือนกัน ไปถ่ายสุนัขที่อยู่ในวัด (05.11 เสียงไม่ชัดเจน) มาให้คนดูบ้างก็ยังได้ คือว่าทำให้มันทั่วๆไปอย่างนั้น มันก็จะได้ประโยชน์เป็นเครื่องจูงใจ ให้คนได้คิด
เพราะว่าคนเรานี่มันชอบเอาตัวอย่าง มนุษย์นี่ชอบเอาอย่างคนอื่น อย่างนี้ถ้าเราได้เห็นตัวอย่างในเรื่องใดมาก ก็จะเอาตัวอย่างเรื่องนั้น เด็กอยู่ใกล้สิ่งใดก็จะเป็นอย่างนั้น เช่นเด็กอยู่ในย่านชุมชน ที่แออัด แล้วก็มีแต่สิ่งที่ไม่ค่อยเหมาะค่อยควร พอเด็กมันเห็นบ่อยๆ ได้ยินบ่อยๆ คำพูดก็เป็นคำหยาบไม่ไพเราะ เสนาะหู ก็มันได้ยินมาอย่างนั้น หรือว่าอยู่กับพ่อแม่ที่พ่อแม่ที่พูดกันด้วยถ้อยคำหยาบคาย เด็กก็จะจำถ้อยคำนั้นเอามาพูดกันจนติดเป็นนิสัย แต่ถ้าเด็กนั้นอยู่กับเสียงที่ไพเราะ กิริยาอ่อนโยนสุภาพเรียบร้อย เด็กก็จะถ่ายทอดสิ่งนั้น เอาไปพูดไปจา ไปแสดงกิริยาท่าทาง อันนี้ เป็นเรื่องที่มันเกิดเป็นอยู่ ในชีวิตของคนเรา ฉะนั้นเราจะต้องหาตัวอย่างที่ดีๆ ให้เด็กได้พบได้เห็นกันบ่อยๆ ตัวอย่างที่ดีนั้นเราก็หาได้จากวัดวาอาราม ตามสถานที่ศึกษา เช่นตามโรงเรียน อะไรต่างๆ ที่เขามีการฝึกการอบรมเด็กในทางดี เราก็เอาไปโฆษณา ไม่ใช่แค่โฆษณา ชื่อวัด ชื่อโรงเรียน ชื่ออะไรอย่างนั้น แต่จุดหมายเพื่อให้คนได้เห็นว่า มีมุมหนึ่งในโลกนี้ ที่มีความงาม ความดี มีความสงบเรียบร้อย มีคนสนใจในเรื่องที่จะสร้างชีวิตให้ก้าวหน้า ในทางที่ถูกที่ชอบ อย่างหนังสือพิมพ์ก็เหมือนกัน ควรจะส่งนักข่าวมาถ่ายภาพที่มันเป็นเครื่องจูงใจคน ให้ไปในทางที่ดีที่งาม นี่มีแต่ภาพคนกินเลี้ยงกันตามโรงแรม หรือว่าชนแก้วเหล้าอะไรอย่างนั้นเรียกว่าลงบ่อยๆ หนังสืออย่างนี้ ทำไมจึงมีข่าวแบบนั้นบ่อยๆ เพราะว่าเขาเชิญนักข่าวไปกินเลี้ยงด้วย เราไม่ได้เชิญนักข่าวมาเลี้ยงธรรมะสักที เขาจะได้เอาไปลงบ้างว่าเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นข่าวอย่างนี้ไม่ปรากฏออกไป คนก็มองแต่เรื่องอย่างนั้น ก็ลงแต่ข่าวอาชญากรรม จั่วหน้าตัวใหญ่ ต่างประเทศเขาไม่จั่วหน้านะ คนไม่ตามดู ทำอะไรเขาไม่จั่วหน้า ตัวเบ้อเริ่มนะ (07.51 เสียงไม่ชัดเจน) ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ถ้าหากว่าอเมริกันกับรัสเซีย เขาก็จั่วหน้าตัวเบ้อเริ่มเลยทีเดียว สงครามเกิดแล้วเขาถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกิดในตรอก ในซอย มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องจั่วหน้า ถ้าเรื่องธรรมดา มันมีกันอยู่ทั่วๆไป
นี่เป็นเรื่องน่าคิด เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาวิธีใด จะชักจูงคน ให้สนใจในธรรมะมากขึ้น เท่าที่เรา จะทำกันได้ ที่วัดนี้ก็พยายามอยู่ทุกวิถีทาง ที่จะดึงคนเข้าหาธรรมะเพื่อที่จะได้รู้ได้เข้าใจในสิ่งต่างๆที่ถูกต้องตามความจริง ในทางพระพุทธศาสนา สถานที่บางแห่งเหมาะแก่การเผยแผ่ธรรมะ แต่ว่าไม่ค่อยจะได้จัดขึ้นเพื่อการเผยแผ่ธรรมะ เช่นว่าปูชนียสถานสำคัญๆน่าจะจัดการเผยแผ่ธรรมะขึ้นในวันใดวันหนึ่ง เช่นว่าวันเสาร์ก็ได้ วันอาทิตย์ก็ได้ หรือว่าวันอะไรก็ได้ ให้คนได้ ไปฟังกันเป็นประจำ ก็จะเป็นการเหมาะการควร ที่จะเป็นจุดหนึ่งจูงคนเข้าหา ธรรมะ ให้คนได้รู้ได้สนใจ หรือว่าเราจัดงานอะไรขึ้น แล้ว ก็รวมญาติรวมมิตรมาประชุมกันมาก ๆ เรา ก็ควรถือโอกาสในการมาร่วมชุมนุมกันนั้น ให้อาหารทางจิต ทางวิญญาณ อาหารทางกายนั้นเราก็เลี้ยง เหมือนกัน แต่ว่าเลี้ยงแต่พอสัณฐานประมาณ อย่าให้ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย แล้วก็อย่าให้ถึงขนาดที่ว่า เลี้ยงสุรายาเมากันเพราะว่าการเลี้ยงสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร ไม่ได้ทำใครให้ดีขึ้น แต่ว่าจะทำคนให้เกิดโรค ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้สุขภาพทางกาย เสื่อม ทางจิตเสื่อม
จะเรียกว่าเรารักเพื่อน รักญาติ รักมิตรก็ไม่ถูกต้อง เพราะเราไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ในแก่คนเหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะได้คิดแต่ว่าคนเรา ก็คิดไม่ค่อยได้ เพราะค่านิยม ของคนในปัจจุบันนี้ มันเป็นไปอย่างนั้น ถ้ามีเลี้ยงโดยไม่ดื่มเหล้า เขาถือว่าเป็นการเลี้ยงโดยไม่สมบูรณ์ ไม่ถึงขั้น ถ้าถึงขั้น มันต้องเมาแปล้ กลับบ้านไม่ค่อยถูก อย่างนั้นเรียกว่าเมาถึงขั้น ถ้าระดับว่าเป็นคนอย่างนั้นก็ได้เลยทีเดียว นี่คือความเสีย ที่ค่านิยมสร้างขึ้นในรูปอย่างนั้น แล้วก็เราจะเห็น ได้ว่าหนังสือประเภทอ่านเล่น อะไรต่างๆ ถ้าพระเอกมีความคิดก็ต้องให้ดื่มเหล้า เดี๋ยวแม่พระเอกกินเหล้า พับคาโต๊ะไปเลยทีเดียว นี่คือตัวอย่าง เด็กอ่านแล้วนึกว่า อ้อ ... การดื่มเหล้านี่แก้ทุกข์ได้ หรือว่านางเอกเป็นทุกข์ก็ดื่มเหล้า เหมือนกัน ให้ดื่มเหล้าให้แสดงในทางมึนเมาอะไรอย่างนั้น อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เราควรจะเขียนไปในรูปที่ว่าสร้างสรรค์ จิตใจคน เพราะฉะนั้นคนบางพวกจึงเรียก วรรณคดีประเภทอย่างนั้นว่า เป็นวรรณคดีน้ำเน่าไป คือมันเน่าไปทาง ซื้อใจคนให้เสีย ไม่มีนักเขียนมืออาชีพ ที่เขียนแล้วจูงใจคนให้เกิดความขยัน มีความรักงาน ก้าวหน้า เช่นว่าเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้นในสังคม ในบ้านเมือง น่าจะเขียนว่า คนนั้นเข้าไปในป่า แล้วก็ไปสร้างตัวอยู่ในป่า จับจอบจับเสียม ทำการเพาะปลูก ทำไร่ถั่ว ไร่มัน ไร่สัปปะรด อะไรๆ ไปตามกาล โดยไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์เหลวไหลนั้นต่อไป จนสามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐาน อย่างนี้ก็จะเป็นตัวอย่างแก่คนที่มีความทุกข์ หรือว่าเขียนให้คนที่มีความทุกข์นั้น
พอทุกข์ขึ้นมาแทนที่จะไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์มีฤทธิ์ตามที่คนปัญญาอ่อนเข้าใจกัน ก็เขียนให้ไปหาพระ และไปถามปัญหาว่ามีความทุกข์อย่างนั้น มีความทุกข์อย่างนี้ ควรจะแก้อย่างไร พระก็สอนแนวทางที่ถูกต้อง ตามหลักพระพุทธศาสนาให้คนเหล่านั้นได้เข้าใจ แล้วก็เอาไปใช้ แก้ปัญหาชีวิตได้ อย่างนี้สิจะเรียกว่า เรามีอุดมการณ์ เป็นนักเขียนมีอุดมการณ์ นักแสดงที่มีอุดมการณ์ เพื่อให้คน ได้เห็นตัวอย่าง ที่ถูกต้องในการแก้ไข ปัญหาชีวิตสิ่งเหล่านี้มันยังไม่มี ขึ้นในสังคมเพราะว่าคนที่เป็น นักๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ค่อยจะได้สนใจในเรื่องหลักธรรมะ ในทางสาสนา ไม่นำศาสนา ไปประยุกต์ใช้ ให้เหมาะแก่เรื่องใน บทละคร หรือในบทนวนิยายที่ตนเขียนขึ้น เพื่อให้คนได้อ่านได้ศึกษา
เคยอ่านบทละครของ เชคสเปียร์ เขาเรียกว่าเป็นนักแต่งบทละครชั้นหนึ่ง ของคนอังกฤษ เขาว่าชื่อเสียงโด่งดังมาก จนถึงกับว่าตายไปแล้วเขาก็เก็บบ้านไว้ ให้คนไปดู บ้านเชคสเปียร์บ้านภรรยาแล้วเมืองนั้นทั้งเมืองเป็นเมืองที่มีแต่เรื่อง เชคสเปียร์ ถนนหนทางชื่อ เกี่ยวกับชื่อบทละครของเชคสเปียร์ทั้งนั้น ความจริงก็เป็นเมืองเล็ก ๆไม่น่ามีคนไปเที่ยวหรอก ถ้าเชคสเปียร์ ไม่เกิดขึ้นที่นั่น ไม่มีใครไปเที่ยวหรอก มันบ้านนอก ก็เหมือนกับอำเภอเล็กๆ อย่างนั้น แต่ว่าคนไปเมืองอังกฤษ เขาต้องไปเที่ยวเมืองสแตรทฟอร์ด ออนเอวอน (14.00 เสียงไม่ชัดเจน) คือเมืองสแตรทฟอร์ดอยู่บนฝั่งแม่น้ำเอวอนและแม่น้ำก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร น้ำแม่น้ำเล็ก ๆ ถ้าบ้านเราก็เป็นห้วยน้อยๆอะไรอย่างนั้นแต่ว่ามันสำคัญอยู่ที่ เชคสเปียร์อย่างนี้เชคสเปียร์ก็แต่งบทละคร ก็แต่งในรูปใดลองอ่านดูแล้ว เวลาลงท้ายนี้มักจะจบลงด้วยดี เช่นคนโกรธกัน คนเกลียดกัน ตอนลงท้ายมักจะหันหน้าเข้ามารักกัน ประนีประนอมทำความเข้าใจกันอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ลงท้าย ตายหมดทั้งคู่ เขาไม่ให้ฆ่ากันตายอย่างนั้น แต่ว่าเขาให้มาเกิดความเข้าใจกัน แต่ว่าก่อนที่จะเกิดเรื่องทำความเข้าใจกัน ทำให้คนอ่าน ใจตุ่มๆ ต่อมๆ เข้าข้างนู้นบ้าง เข้าข้างนี้บ้าง แต่พอลงท้ายก็จบลงด้วยดี ฝรั่งเขาเรียกแฮปปี้ เอนดิ้ง (Happy ending) เขาว่าอย่างนั้น จบลงด้วยดี จบลงด้วยความสุขความสบาย นี่เขาเรียกว่ามีอุดมการณ์ในการเขียน
ทีหลังมาเกิดนักศาสตร์ขึ้นอีกคนหนึ่งชื่อ มิสเตอร์ ชอว์ นาย ชอว์นี่แกก็เป็นนักเบอร์นาร์ด ชอว์ (15.13 เสียงไม่ชัดเจน) แกชื่อเบอร์นาร์ด ชอว์ แกก็ยกบ้านให้ราชการเหมือนกัน แต่ยกให้แล้ว คนก็ไม่ไปดูบ้านนายชอว์ เลย อาตมา ก็ถามคนอังกฤษว่า …… (15.22 เสียงไม่ชัดเจน) เชคสเปียร์ นี่บ้านแกเป็นอนุสาวรีย์ของ เชคสเปียร์ นายเบอร์นาร์ด ชอว์ แกนึกว่าแกก็เก่งเหมือนกัน แกก็ยกบ้านให้ราชการ เพื่อคนจะได้ไปดูบ้าง แต่ว่าคนไม่ไปดู ไม่สนใจ เลยถามคนอังกฤษว่าทำไมคนไม่ไปดูบ้าน เบอร์นาร์ด ชอว์ ก็เพราะเรื่องเขียนของเบอร์นาร์ด ชอว์ นั้นไม่มีเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ หรือเรียกว่าไม่มีเรื่องสร้างสรรค์ชีวิตจิตใจ แต่เป็นข้อเขียนที่เรียกว่าตลกๆไปบ้าง ขำๆ ขันๆ พูดอะไรแปลกๆ ไปอย่างนั้น เช้าหนึ่งแกไปปาฐกถา แกก็พูดว่าพวกเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สมบัติ ใช้รถยนต์คันใหญ่ๆ สิ้นเปลืองเงินทอง ไม่ประหยัด ทีนี้คนฟังพอออกไปถึง ก็เห็นรถยนต์ คันหนึ่งจอดอยู่ครึ่งเข้าไป จะเลี้ยวก็ชนคันนั้น พลิกท้องเลย (16.15 เสียงไม่ชัดเจน) แกก็อ้าว…นั่นมันรถของฉัน รถของฉัน รถของแกคันเบ้อเริ่ม แต่ว่าแกไปด่าคนอื่นว่าใช้รถคันใหญ่ อันนี้ว่าคนจะเข้าไปพลิกรถ ก็นี่รถของฉันนะ พวกนั้นก็เลยหยุดไป นี่เรียกว่าตัวแกพูดอย่างหนึ่ง แต่แกแสดงออกอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น บ้านของแกยกให้ก็ไม่มีใครไปดู แล้วก็ไม่ใช่บ้านเก่า มันเป็นบ้านรุ่นใหม่ บ้านเชคสเปียร์ มันเป็นบ้านรุ่นเก่โบราณ เรือนธรรมดาๆ แล้วบริเวณบ้านก็ไม่กว้างจริง แต่ว่าเขาทำสวนดอกไม้ ดอกไม้ที่มีอยู่ในบทละครเชคสเปียร์ เขาเอามาปลูกไว้หมด เพื่อให้คนได้ศึกษาได้ดู ชื่อเสียงแกเป็นอย่างนั้น ก็แกแต่งบทละครมุ่งสอนใจคน ให้คนดูแล้วเกิดความคิด คิดในทางสร้างสรรค์ เกิดความคิดในการยกระดับจิตใจคนให้มันสูงขึ้น เขาจึงยกย่องว่าเป็นคนที่สำคัญคนหนึ่งของประเทศอังกฤษ
อันนี้เป็นตัวอย่างว่าเราทำอะไร มันต้องมุ่งไปในทางสร้างสรรค์ ชีวิตจิตใจยิ่งในสมัยนี้ด้วยแล้ว เราควรจะคิดในรูป อย่างนั้นกันให้มากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่กำลังตกต่ำลงไปทุกวัน ทุกเวลา ถ้าเราไม่ช่วย แก้ปัญหานี้แล้ว ใครจะแก้พวกเราต้องช่วยกันแก้ คนไทยทุกคนต้องรับผิดชอบในความเสื่อมของชาติ ในความเจริญของชาติ สิ่งใด จะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม ความเสียหาย เราก็ต้องช่วยกันแก้ไข อย่านึกว่า ธุระไม่ใช่ เพราะอะไรๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น มันสะเทือนถึงคนทุกคน ไม่ใช่ว่าเกิดแก่คนหนึ่ง ครอบครัวหนึ่ง แล้วก็ไม่เกี่ยวกับครอบครัวหนึ่ง มันหามีเช่นนั้นไม่แต่มันกระทบกระเทือนถึงกัน ยกตัวอย่างเช่นว่า มีขโมยชุม แล้วทุกครอบครัวจะนอนเป็นสุขหรือไม่ เราเดินไป ไหน ปลอดภัยหรือไม่ นั่งรถไปไหน ปลอดภัยหรือไม่ มีเงินมีทอง ใส่กระเป๋าก็นึกกลัว …… (18.32 เสียงไม่ชัดเจน) มันจะจี้เอาบนรถโดยสาร หรือจะจี้เอาเวลานั้นเวลานี้เราก็ไม่ปลอดภัย ความไม่ปลอดภัยเหล่านี้ เกิดจากสิ่งชั่วร้ายที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ แล้วเรา ก็คอยรับความทุกข์จากสิ่งเหล่านั้น เมื่อเรารู้ว่าอะไรๆ ก็ตาม เกิดขึ้นแล้ว มันเป็นเหตุให้เกิดกระทบกระเทือนไปหมด ไม่ว่าจะใคร แม้เป็นพระสง องค์เจ้า ก็พลอยกระทบกระเทือนไปด้วย
เมื่อวานนี้ไปเทศน์ วัดหัวลำโพง ไปถึงก็เห็นคนเขารุมกันอยู่ที่กุฏิ ก็เลยเข้าไปถามมีเรื่องอะไร... พระถูกฆ่า อ้าว...ทำไมถูกฆ่าล่ะ แล้วก็เข้าไปจัดแจงจะเอาท่านมาวางบนเตียงเพื่อจะรดน้ำ ความจริงพระที่ถูกฆ่านี่ก็คุ้นเคยกัน เมื่อเดือนก่อนนี้ก็ยังไปเทศน์ที่กุฏิของท่าน เราก็เอาศพไปตั้งไว้ที่นั่นไปเทศน์เขายังบูชากัณฑ์ เอามาสร้างโรงเรียนด้วยเลย วันนั้น อันนี้ไปตอนนี้ นอนไม่พูดไม่จาแล้ว แล้วถามว่าทำไมถูกฆ่า เพราะว่า …… (19.39 เสียงไม่ชัดเจน) หั่นคอ หั่นคอพระเลือดใส่เต็มนี่ เลือดเส้นนี้มันไปเลี้ยงสมองเส้นสำคัญ มันหั่นให้เส้นเลือดขาด แล้วมันยังไม่ไว้ใจ ว่าจะไม่ตาย ยังแทงอีก แทงตรงหน้าอกด้านซ้าย ตรงหัวใจเลย ท่านก็ตายไป เมื่อตายแล้วมันก็เที่ยวหากุญแจ เพื่อจะเอาไปไขตู้ ลิ้นชัก (เดิมเป็นเก๊ะ) ที่อยู่ในห้อง ก็ท่านมีหน้าที่รักษา รายได้ของวัด รักษาไว้ ไอ้ความจริงก็ไม่มีอะไรในตู้นั้น มันก็ไขไม่ออก แต่ว่ามันรู้ว่าท่านไปถอนเงินมาหมื่นหนึ่ง คือที่ถอนเงินมาหมื่นหนึ่ง เพื่อมาทำบุญวันเกิด วันนี้วันเกิดของพระองค์นั้น ท่านจะทำบุญ เอามาถึงก็ให้คนทำครัวบอกให้ไปทำอาหาร คาวหวานเลี้ยง ไปหกพัน ยังเหลืออยู่อีกสี่พัน จะได้ทำบุญถวายพระอะไรต่ออะไร ไอ้เจ้านั่น มันรู้ ไอ้เด็กที่รู้ก็เพราะมันเคยเข้าเคยออก เคยไปเคยมาอยู่ในกุฏินั้น มันเคยมานวดท่านด้วยซ้ำไป มันคงเห็นตู้เซฟอยู่ในห้องนั้นโมหะจริตมันก็เกิดขึ้นโลภะจริตก็เกิดขึ้น แล้วก็เลยได้ช่อง ก็เลยหั่นคอซะเลย แล้วมันก็ได้เงินไปไม่เท่าไหร่ แต่เวรกรรมที่ฆ่าพระ มีดมันบาดมือเลือดไหลไม่หยุด ต้องไป โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาล ก็โทรมาบอกตำรวจ ตำรวจก็เลยไปคุมตัวเจ้านั่นกลับมาเลย เรียกว่าคนทำบาปมันหนีไม่พ้น ถูกจับง่าย ฆ่าพระ วัดหัวลำโพง แล้วก็ได้ข่าวว่าที่อ่างทองก็ถูกฆ่าไปอีกองค์ เฮ้อ หมู่นี้พระถูกฆ่าบ่อยๆ ทำให้น่ากลัว อยู่เมืองไทย ฆ่ากันบ่อยๆ อันตราย นี่มันเป็นอันตรายถึงขนาดอย่างนี้แล้ว สมัยก่อน คนเขาไม่ค่อยฆ่าพระกันหรอก เพราะถือว่าพระเป็นผู้ไม่ควรถูกทำร้าย ควรเป็นที่เคารพ สักการะ แต่เรานั้นมันไม่ว่า (21.43 เสียงไม่ชัดเจน) ใครมีอะไรให้กูเอาได้ ต้องเอามา เอาไม่ได้ ต้องฆ่า ที่ฆ่านั้นเพราะพระรู้จักนั่นเอง รู้จักตัวคนจะมาปล้น มาจี้ มาเอาทรัพย์ มันรู้จักมันก็ฆ่า มันก็ฆ่าพระเสียเพื่อไม่ให้กล่าวพูด เอ่ยนามมันออกไป มันนึกว่ากูพ้นแล้ว แต่ว่ามันไม่พ้น เขาเรียกว่ากรรมสนองกรรม ตามหลักธรรมะ ในพระพุทธศาสนา ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มันหนีไม่พ้นคนทำบาปมันก็ได้บาป อันนี้มีเรื่องอยู่ในคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีเหมือนกัน
คือมีคนหากินทางด้าน …… (22.24 เสียงไม่ชัดเจน) เขาเรียกว่านายพราน พรานป่าล่าเนื้อออกไปล่าสัตว์ทุกวันๆ บางวันก็ได้ บางวันก็ไม่ได้ วันไหนไม่ได้กลับมาบ้าน เมียด่าทุกที หาว่าไปเที่ยวไปเตร่ ไม่ไปล่าสัตว์จึงไม่ได้สัตว์มา เมียด่า วันนั้นก็เดินออกบ้านแต่เช้า เจอพระ กำลังจะไปบิณฑบาต แกก็นึกว่า โฮะ วันนี้มาเจอพระ เข้าอีกแล้ว คงจะไม่ได้เนื้อได้สัตว์อีกแล้ววันนี้ กลับบ้านเมียด่า นึกโกรธพระขึ้นมา เลยมีสุนัขล่าเนื้อไปด้วยหลายตัว ก็ไล่สุนัขให้กัดพระ พระท่านก็ต้อง วิ่ง พระนี่เขาห้ามวิ่งใช่ไหม แต่หมาจะกัดแล้วต้องวิ่งหน่อย ขืนไม่วิ่งมันงับแข้งเข้า น่ะสิ ท่านก็วิ่ง วิ่งแล้วก็ไปขึ้นต้นไม้ ขึ้นต้นไม้ให้พ้นปากสุนัข แต่สุนัขก็เห่า เห่าเกรียว ไอ้เจ้าพรานคนนั้นใจเหี้ยมใจโหด พระขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้แล้ว หมากัดไม่ได้ มันเอาหอกแทงเท้า แทงข้างขวาพระยกข้างขวา แทงข้างซ้ายยกข้างซ้าย ก็แทงพระ ให้พระยื่นย่ำเท้าอยู่บนต้นไม้ แทงไปแทงมาก็เลือดไหลออกมา เลือดไหลมาจากเท้าพระ ท่านก็เจ็บปวด จีวรก็หลุด พอจีวรหลุดก็หล่นลง มาคลุมไอ้เจ้าพรานคนนั้น พอจีวรคลุม
ไอ้เจ้าสุนัขนึกว่าพระหล่นลงมาแล้ว แล้วรุมกัดเจ้าของ กัดเอาเจ้าของตายเลย พระก็ …… (23.59 เสียงไม่ชัดเจน) ลงมาปลงอนิจจังว่านี่แลมันกรรมของเจ้า ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่เจ้ามันใจบาปหยาบช้า เห็นพระควรจะเห็นว่าเป็นเรื่องดี เพราะได้เห็นสมณะเป็นมงคล กลายเป็นว่าเห็นพระไม่เป็นมงคลแก่ตัว เลยไล่สุนัขให้กัดฉัน ฉันก็ต้องวิ่งหนี ถ้าฉันหนีแล้วแกก็พาสุนัขไปล่าเนื้อ มันก็ไม่มีอันตราย นี่แกยัง ยังเอาหอกมาตำเท้า ฉันทั้งขวาทั้งซ้าย ฉันทนไม่ได้ เลือดก็ไหล จีวรก็หลุดลงมา คลุมตัวแก กรรมสนองกรรมทันตาเห็น แกจึงถึงแก่ความตายไป อย่างนี้น่าสงสาร ท่านไปรักษาแผลที่เท้าต่อไป
นี่มันเป็นอย่างนี้ คนทำบาปมันก็ได้บาป แต่ว่าคนสมัยนี้ไม่ค่อยจะคิดเรื่องนี้ ไม่เชื่อ เช่นคำสอนที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าบอกแล้วก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครๆก็พูดว่าโอ๊ย... สมัยนี้ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วก็ไม่ได้ชั่วหรอก มันสุดแล้วแต่พรรคพวก สุดแล้วแต่เส้นสาย คือว่ามีเงินมากๆ ทำชั่วมันก็เป็นดีไป ไม่มีอะไรหรอก มันเข้าใจอย่างนั้น นี่คือความเข้าใจผิด ที่ไม่รู้ว่าดีคืออะไร ชั่วคืออะไร การกระทำนั้นมันคืออะไร เขาไม่เข้าใจ ความจริงนั้น เมื่อทำกรรมคือด้วยเจตนา หมายความว่า มีใจเข้าไปเกี่ยวข้อง เรียกว่ามีเจตนาเพราะว่าคำว่ากรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงการกระทำเฉยๆ แต่หมายถึงว่ามีเจตนา เจตนาก็หมายความว่า ตั้งใจทำ ตั้งใจจะตีเขา ตั้งใจจะฆ่าเขา ตั้งใจจะไปลักของเขา ตั้งใจจะให้เขาเสียหายด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ทำด้วยความตั้งใจมันก็เป็นกรรม แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจ เช่นว่าเราขุดดิน ปลูกต้นไม้ แล้วก็จอบมันไปตัดตัวไส้เดือนขาด ไอ้อย่างนี้เราไม่ได้ตั้งใจเราไม่ได้คิดว่าเราจะฆ่าไส้เดือน หรือว่าจะฆ่าสัตว์ที่อยู่ในดิน เราคิดเพียงแต่ว่า ขุดดินปลูกต้นไม้ ใจมันไม่เป็นบาป เพราะการกระทำเช่นนั้น หรือว่าคนทำงานอยู่บนที่สูง แล้วเครื่องมือมันหลุดลงมา มีคนคนหนึ่งเดินมา ตูม!!! (26.29 เสียงไม่ชัดเจน) พอดี เครื่องมือหล่นพอดี โป๊กเข้าให้ หัวแตกไป ไอ้ใจของคนนั้นไม่ได้เป็นบาป เพราะไม่ได้มีเจตนา แต่ว่าต้องถูกตำรวจจับสอบสวนแน่ เพราะในแง่กฎหมาย แต่ว่าตัวผู้นั้นไม่มีบาปเกิดขึ้นเพราะการกระทำเช่นนั้น เพชฌฆาตฆ่าคน ฆ่าโดยไม่มีเจตนา คือทำสักแต่ว่าตามหน้าที่ คือว่า ไม่มีบาปอะไรแก่ผู้นั้น แต่ถ้าตั้งใจว่า ไอ้นี่มันชั่วนัก กูต้องเอามึงแล้วล่ะวันนี้ นี่ความคิดมันมีแล้ว บาปเกิดขึ้นแล้ว ในใจของผู้นั้น แล้วก็ไปฆ่าด้วยความโกรธ ด้วยความเกลียด ด้วยความพยาบาท อย่างนั้นก็เป็นบาป แต่ถ้าว่าลั่นไกปืน ด้วยจิตใจ ที่สงบไม่มีความรู้สึกอะไร บาปมันไม่เกิดในขณะนั้น เพชฌฆาตเขา ถ้าเขารู้จักธรรมะ ก็ทำได้โดยไม่มีโทษอะไร เพราะว่าหน้าที่ เมื่อวานซืนนี้ก็ไปอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษา ตั้งแต่วันจันถึงวันศุกร์ ผู้ช่วยผู้พิพากษา ก็ถามว่า ผมเป็นผู้พิพากษา ตัดสินจำคุกต่อคนนี่เป็นบาปไหม บอกว่าเธอตัดสิน ด้วยตามกฎหมายไม่ได้ตัดสินด้วยความโกรธ ความเกลียด อะไร กฎหมายก็เขียนไว้ว่าถ้าลักให้จำคุกเท่านั้นปี อย่างน้อยเราก็จัดไปตามกฎหมาย ถ้าฆ่าคนตายก็ต้องลงโทษอย่างนั้น เราก็ลงโทษ แต่ทางกฎหมาย ไอ้อย่างนี้ไม่ได้ชื่อว่า เป็นบาปเพราะไม่มีเจตนา ไม่มีเจตนาจะทำเช่นนั้น แต่ถ้าเกิดความโกรธขึ้นมา เกลียดมันขึ้นมา แล้วเราก็แกล้งลงโทษให้มันหนักที่สุด เขาวางโทษจำคุกไว้ตั้งแต่ ๑ ปีถึง ๕๐ ปี เอามัน ๕๐ ปีเลย อย่างนี้เรียกว่าใจ มันเป็นบาป ลงโทษอย่างนั้นด้วยความโกรธ มันก็เป็นบาป เราขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ต้องทำใจเป็นกลางไม่เข้าใครออกใคร ไม่รู้จักกับจำเลย ไม่รู้จักกับโจทย์ มานั่งบนบัลลังก์ ก็ทำไปตามหน้าที่สอบสวนพยาน หลักฐานเขาเบิกมาเราก็เอาคำพยานนั้น ไปพิจารณาอย่างรอบคอบ ว่าคำที่เขาเบิกนั้นเป็นของเท็จหรือว่าเป็นของแท้ พยานมีลักษณะเป็นบุคคลอย่างไร เพราะคนบางคนนั้นเขามีอาชีพ อาชีพทางเป็นพยานเท็จ ใครอยากได้พยานเท็จก็ต้องเอาพยานบ้านนั้นมาเบิกกัน
ที่เมืองโคราชเขามีบ้าน บ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านทูลลวง …… (29.14 เสียงไม่ชัดเจน) พยานบ้านนี้เท็จทุกที เบิกอะไรเท็จทั้งนั้น ผู้พิพากษาบอกพยานมาอยู่บ้านไหน อยู่บ้าน กอกุมดวง (29.21 เสียงไม่ชัดเจน) จะมาเบิกเท็จอีกไหม ถ้าผมเบิกเท็จจะสั่งจับใส่คุกเลย ถ้าหากว่าผมเบิกความเท็จ เขาก็บอกอย่างนั้นเขาก็เบิกพยานไปเบิกว่า (29.31 เสียงไม่ชัดเจน)
ผู้พิพากษาถามพยานว่า “พยานเห็นไหม ว่าจำเลยจูงควายไป”
พยาน “เห็น” ตอบว่าเห็น
ผู้พิพากษา “ แล้วพยานเห็นว่าจำเลยจูงควาย เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน”
พยาน “กลางคืน”
ผู้พิพากษา “เดือนมืดหรือเดือนแจ้ง”
พยาน “เดือนมืด”
ผู้พิพากษา “ แล้วพยานเห็นอย่างไรเมื่อเดือนมืด…”
พยาน “… ฟ้าแล่บ!!!ครับ”
มันเอาตัวรอดไปได้ นี่เขาเรียกว่ามันหาเรื่องเอาจนได้มัน …… (29.56 เสียงไม่ชัดเจน) มันเท็จ มันไม่เห็นแต่ว่ามันบอกฟ้าแล่บ มันเห็นได้ อันนี้ เขาเรียกว่ามันหาเรื่องเอาจนได้ มันบอกฟ้าแล่บ จึงเห็นแต่มันเท็จ มันไม่เห็นแต่มันบอกฟ้าแล่บ มันเห็นได้ อย่างนี้ฟ้าแล่บ มันก็สว่าง พอสว่างมันเห็นได้ อยู่ อยู่ในระยะเท่าใด ผู้พิพากษาถามอีก อยู่ในระยะเท่านั้น มันเห็นชัด อย่างนี้มันเท็จแท้ๆ มันแจ้งเท็จ มันเอาตัวรอด เพราะศาลจะลงโทษมันก็ไม่ได้ แต่ว่ามันลงโทษตัวเองอยู่แล้ว มันชั่วลงไปทุกวันๆ ทุกเวลาจิตใจ …… (30.33 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นคนขี้เท็จเสียเรื่อย พูดอะไรก็เท็จเรื่อยไป มันไม่จบไม่สิ้น มันชั่ว ที่มันได้อยู่ ลักษณะมันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าเราทำอะไร ด้วยน้ำใจที่เป็นอกุศล คือทำด้วยความโลภ ทำด้วยความโกรธ ทำด้วยความหลง สามตัวนี้เป็นตัวการให้เกิดอกุศล คือเป็นบาป แต่ถ้าเราทำด้วยไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่มีเจตนา มีใจสงบอยู่ในขณะนั้น มันก็ไม่มีอะไร ท่านพุทธทาส จึงพูดให้คนฟังว่า ทำด้วยจิตว่าง ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอะไรในจิต แต่ว่ามันว่างจากอกุศล ว่างจากกิเลส ตัณหา ความชั่ว ความร้าย ในขณะที่เราทำนั้น เขาเรียกว่าไม่มีบาปเกิดขึ้นเพราะการกระทำนั้น อย่างนี้เรียกว่าเจตนาไม่มี แต่ถ้ามีเจตนามันก็เป็น กรรม เมื่อเป็นกรรม ก็ต้องได้รับผลของกรรม ผลนั้น เกิดที่ใจ ใจของผู้นั้นถูกความชั่ว ประทับลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราคิดชั่วบ่อยๆ ก็หมายความว่าเราประทับความชั่ว ไว้ในใจ เรื่อยๆ ด้วยความคิด ถ้าเราพูดผิดบ่อยๆ เราก็ประทับความชั่วไว้ในใจด้วยการพูด ถ้าเราทำบ่อย ผิดบ่อยๆ เราก็ประทับความชั่วลงไปในใจด้วยการกระทำ เมื่อเราประทับความชั่ว มันก็ชั่วไปเรื่อย เหมือนกับเอาตราทับกระดาษ ทับมันจนเต็มแผ่น กระดาษแผ่นนั้นก็เลอะไป ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใช้ได้แล้ ว นี่เป็น ตัวอย่าง เห็นง่ายๆ ใจเราก็เป็นอย่างนั้น เรายิ่งทำอะไร อย่าเข้าใจว่าไม่ได้ หรือว่าได้ อย่าไปเข้าใจอย่างนั้น ให้เข้าใจว่าถ้าทำอะไรด้วยเจตนา เป็นบุญก็ได้บุญ คือได้ความดีเพิ่มขึ้นในใจ ทำอะไรด้วยเจตนาที่เป็นบาป บาปมันก็เกิดขึ้นในใจ เช่นคนปฏิบัติงานในหน้าที่ ถ้าเป็นคนสะเพร่าในการงาน ทำอะไรแบบสะเพร่า แบบมักง่าย ก็จะมักง่ายเรื่อยไปไม่มีทางดีขึ้นเลย หรือว่าเป็นคนชอบเลี่ยงงาน ไม่รักงาน ไม่ซื่อตรงต่องาน ถ้าเลี่ยงบ่อยๆ ก็เป็นคนที่เลี่ยงงาน อยู่เรื่อยไป หนีงานเรื่อยไป หรือทำงานโดยไม่ตั้งใจ จิตใจมันก็เป็นอย่างนั้น ในทางตรงกันข้าม ผู้ใดมีใจรักงาน มีความขยัน มีความเอาใจใส่ ใช้สติปัญญา ในการปฏิบัติงาน ในหน้าที่ หน้าที่เขาก็เจริญขึ้น จิตใจเขาก็เจริญขึ้น เราจึงควรจะมีหลักประจำใจไว้ว่า ทำอะไรเพื่อให้จิตใจเจริญ อย่าทำอะไรเพื่อให้จิตใจตกต่ำ จะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จะคบหาสมาคมกับใคร หรือว่าเราจะไปสู่สถานที่ใด เราก็ต้องคิดว่าต้องไม่เป็นการกระทำ ที่ให้ใจเราเศร้าหมองเป็นบาปเป็นทุกข์ ถ้าเราคิด พูด ทำอะไร คบคนใด ไปกับใคร ทำให้จิตใจเราเป็นบาป เป็นทุกข์ เรานั่งลงไม่ยอมไป เราไม่กระทำสิ่งนั้น เพราะการกระทำเช่นนั้น เป็นการเพิ่ม ความชั่วขึ้นในใจ เพิ่มสนิมขึ้นในใจของเรา แล้วเราจะกลายเป็นคนหมดค่า หมดราคา ราคาของเรานั้นเราเป็นผู้ขึ้นได้ เราเป็นผู้ลงได้ เรียกว่าขึ้นราคาก็ได้ ลดราคาลงไปก็ได้ ถ้าเราทำดีทุกครั้ง เราเพิ่มราคา ให้แก่ตัวเอง ถ้าเราทำชั่วบ่อยๆ เราก็ลดราคาของตนเอง ชีวิตตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
อันนี้เป็นเรื่องที่ควรคิดไว้ เป็นเครื่องเตือนใจโดยเฉพาะเด็กๆ อยู่ในวัยที่เรียกว่ากำลังเตรียมเนื้อเตรียมตัว เพื่อจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ในกาลต่อไปข้างหน้า เช่นหนูนักเรียนทั้งหลาย จะต้องสำนึกไว้ในใจเสมอๆ ว่า เราเกิดมาเพื่อเป็นคนดี เราจะคิดแต่เรื่องดี เราจะพูดแต่เรื่องดี เราจะทำแต่เรื่องดี เราจะคบกับใครสักคนหนึ่ง ก็เลือกคบเอาแต่เพื่อนดีๆ ถ้าเราจะไปไหนเราก็ต้องไปสู่สถานที่ดี เช่นมาวัดเพื่อศึกษาธรรมะ เรียกว่ามาดี ถ้าเราไปเที่ยวในสถานที่เหลวไหล เช่นไปดูม้าแข่งไปดูบ่อนการพนัน ไปเที่ยวตามสถานที่ ที่มันสร้างความไม่ดีขึ้นในใจ เราก็ไม่ไป เพราะเราไม่ได้เกิดมาเพื่อสะสมความชั่ว แต่เราเกิดมาเพื่อสะสมสิ่งดีสิ่งงาม ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเราเรื่อยๆ เราก็ต้องคิดให้ได้ในรูปอย่างนั้น ถ้าเราคิดอย่างนี้ ให้สม่ำเสมอชีวิตเราก็มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความตกต่ำ การเรียนก็จะดีขึ้น เราจะได้ความรู้ ที่เพิ่มความสามารถให้กับตัวเอง เวลาสอบไล่ก็จะสอบไล่ได้ แล้วเราก็จะได้เอาความรู้นั้น ไปใช้ในทางที่เป็นทุนต่อไป
คนมีความรู้ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ความรู้ เอาไปใช้ในทางเสียได้ เช่นคนเรียนวิชากฎหมาย ถ้าว่าเป็นคนจิตใจต่ำ มันก็เอาวิชากฎหมายนั้นไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์แก่ตัว หาอะไรเข้าข้างตัวโดยไม่คำนึงว่ามันจะเป็นความเสียหายเป็นการสร้างภาพไม่ดีให้เกิดขึ้นในตัว แล้วตัวก็จะกลายเป็นคนตกต่ำต่อไปเอาตัวไม่รอดแม้จะมีความรู้สักเท่าใด เอาตัวไม่รอด ถ้าจิตใจขาดทุนธรรม เอาตัวไม่รอด อันนี้มันสำคัญมากแต่ว่าเราไม่ค่อยคิดถึง คิดแต่เพียงอย่างเดียวให้มันมีความรู้ ให้มีความสามารถแต่ไม่ได้คิดว่าคนมีความรู้ มีความสามารถ แต่ขาดธรรมะเป็นเครื่องครองใจนั้น จะเอาตัวรอดได้อย่างไร มันไปไม่รอด ก็มีตัวอย่างอยู่ถมไป
คนมีความรู้มีความสามารถแต่ขาดหลักเกณฑ์ทางจิตใจก็เอาตัวไม่รอด บางคนก็ไปเรียนถึงต่างประเทศไปเรียนเมืองนอก กลับมาก็ได้เข้าทำราชการเรียกว่าเมืองไทยเรานี่ถ้าไปเรียนเมืองนอกกลับมา เข้าทำงาน เขาก็ให้เป็นหลวงแล้ว สมัยก่อนนี้ เป็นคุณหลวง แต่ว่ากลายเป็นคุณหลวงขี้เมาไป มันก็เป็นคุณหลวงขี้เมาอยู่จนกระทั่งแก่นั่นแหล่ะ ออกจากราชการ เอาตัวไม่รอดทั้งๆที่มีความรู้มาก แต่เอาตัวไม่รอดสู้คนที่ไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกไม่ได้ แต่เขามีความประพฤติเรียบร้อย อยู่ในศีลในธรรม เขาก็ก้าวหน้าไปเป็นหลวงเป็นพระ จนได้เป็นพระยา บางคนได้เป็นถึง เจ้าพระยา ทั้งๆที่ไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาสักหน่อย เช่นเจ้าพระยายมราชนี่ ท่านเป็นเปรียญ สามประโยค อยู่วัดหงส์ แต่ออกไปแล้วก็ทำราชการเจริญก้าวหน้าจนกระทั่งได้เป็นเจ้าพระยา ยมราช นับว่าเป็นสิ่งสูงสุดนะ อำมาตย์ก็เป็นอำมาตย์มหานายก เขามีกันแต่เพียงมหาอำมาตย์เอกนะ ท่านมหาอำมาตย์นายกเจ้าพระยายมราช ทำไมถึงไปไกลอย่างนั้น เพราะว่าท่านเอาธรรมะ จากวัดไปใช้ ออกไปอยู่บ้านก็เอาไปใช้ ในชีวิตของท่าน ท่านมีคุณธรรม หลายอย่างหลายประการ ประจำจิตใจก็มีแต่ความเจริญ ก้าวหน้า แต่บางคนแม้อยู่วัดก็ไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ ออกไปถึง…ก็ชาวบ้าน …… (38.48 เสียงไม่ชัดเจน) กลัวจะแพ้เขา เพราะว่าไม่ได้เมามาหลายปี ก็เมาชดเชย จนเสียผู้เสียคนไป ไอ้นี่ ก็มีเหมือนกันอย่างนี้เขาเรียกว่า ไม่ได้เรื่องไม่ได้เอาพระไปด้วย ไม่ได้เอาพระในใจไป ชีวิตก็ตกต่ำอย่างน่าเสียดาย นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในตัวแล้วว่าคน เรามีค่า ต้องมีพร้อม มีความรู้ มีความสามารถ แล้วก็ มีคุณธรรมเป็นหลักครองใจ ถ้าไม่มีคุณธรรมแล้วไม่ได้เรื่อง นี่เราทั้งหลายที่เรียนจบมา ทำงาน ทำการ เพื่อนของเราบางคนเหลวไหลไม่ได้สาระ ทำไมมันจึงเหลวไหลอย่างนั้น
นั่นแหล่ะคือคนที่ขาดคุณธรรม ไม่มีธรรมะประจำจิตใจมันก็ไปไม่รอด วันหนึ่งมีการคืน เด็กมาหา หนุ่มมาหา มาถึงบอกว่าผมบวชวัดนี้ แต่ว่าขี้เมาเลย เมา ตั้งแต่บวชคนมาพึ่งเห็นไอ้เจ้าคนนี้ มาเยี่ยมเมามา บอกว่าเธออย่าไปประกาศให้ใครรู้ว่าบวชวัดชลประทาน ฉันตัดออกจากบัญชีแล้ว แล้วก็อย่าบอกว่าเป็นลูกศิษย์ท่านปัญญา นันทะด้วยนะมันเสียชื่อมันบอกว่าผมอยากจะเลิกแต่เลิกไม่ได้ มันไม่เลิก เลิกไม่ได้ได้ไง แล้วถามว่าเราเรียนอะไร เรียนรามคำแหง เรียนมากี่ปีแล้ว เรียนมาหกปี แล้วก็ได้ไปกี่หน่วยกิจแล้ว โอ้ย…ยังอีกเยอะแยะที่ยังไม่ได้เพราะว่ามันไม่ได้เรื่องไง คนเมามันไม่ได้สาระแล้วยังอุตสาห์มาเยี่ยมทั้งเมาอย่างนั้น บอกว่าอ้าวเธอลงไปได้แล้ว ฉันจะนอนฉันไม่อยากจะเจอคนขี้เมา แล้วมันก็ลาไป ยังบอกว่าผมรักหลวงพ่อนะ เมาอย่างนี้ จะรักได้ไง มันไม่รัก เหมือนสามีบอกรักภรรยา แต่ว่าไม่มาบ้าน มันจะรักอย่างไร มันรักไม่ถูก คนเรารักกัน ชอบกัน เรียกว่ารักอาจารย์ มันต้องปฏิบัติตามที่อาจารย์สอน อาจารย์เตือน มันยังบอก หลวงพ่อของผมดีมาก แต่มันไม่เอา เหมือนตักน้ำรดหัวสาก มันไม่ค่อยได้เรื่อง คนอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ มันไม่เอาไปใช้ ออกไปถึงถูกสังคมดูดไป เหลวไหลกันต่อไป มันไม่ได้ได้เรื่องได้ราวอะไร อย่างนี้ไม่ได้เชื่อว่ารัก เหมือนว่าเรา บอกว่ารักชาติแต่เราไม่สร้างคุณงามความดี จะเรียกว่ารักชาติได้อย่างไร รักพระศาสนาแต่ไม่อยู่ในศีลในธรรม จะเรียกว่ารักพระศาสนาอย่างไร รักไม่ถูก เรารักสิ่งใด เราต้องเสียสละเพื่อสิ่งนั้น เรารักชาติก็ต้องประพฤติตนให้เป็นคนดี ทำงานทำการด้วยจิตใจที่สูงส่ง เพื่อให้ชาติเจริญก้าวหน้า รักพระศาสนา ก็ต้องประพฤติสุจริตด้วยไตรทวาร กายให้สุจริต วาจาก็สุจริต จิตก็ต้องสุจริต ไม่คิดสิ่งชั่ว ไม่พูดสิ่งชั่วไม่ส่งเสริม สิ่งชั่วร้าย ไม่คบหาสมาคมกับคนชั่วคนร้าย ที่จะทำให้เราเสียผู้เสียคน อย่างนี้เรียกว่ารักถูกต้อง ไม่ใช่รักแต่เพียงชื่อ รักแต่เพียงปลายลิ้น ไม่รักอยู่ในดวงใจ มันจึงเป็นอย่างนั้น นี่คือความเสียหาย ที่เรา น่าจะได้เห็นไว้ เอามาเป็นเครื่องเตือนใจ เป็นเครื่องพิจารณา คนใดที่ตั้งต้นผิดแล้วไม่คิดกลับตัว เอาตัวไม่รอด แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราผิด เดินทางถูกเสีย กลับตัวเสีย มันก็ไปได้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกตัวว่าผิด คิดกลับตัว ก็เป็นคนดีต่อไป
องคุลีมาล เรียกว่าร้ายที่สุดฆ่าคนมามากมายเหลือเกิน จำนวนมากก็มาพบพระพุทธเจ้าเข้าได้ฟังธรรมเกิดความรู้สึกสำนึกบาปขึ้นมา เลยเลิกละจากบาปจากอกุศล มาบวชในพระพุทธศาสนา บวชแล้วก็บิณฑบาต ถูกคนขว้างด้วยก้อนหิน ก้อนดินหัวร้องข้างแตก แทนที่จะได้ข้าวกลับได้ก้อนหินก้อนดิน กลับมาหาพระพุทะเจ้าทรงบอกว่า ที่เธอทำกับเขามันหนักกว่านี้ เธอนึกดูๆให้ดีว่า ที่เธอทำกับเขามาก่อนหนักกว่านี้ นี่เขาทำกับเธอเพียงเล็กน้อย เขาไม่ได้ตัดคอตัดนิ้วมาห้อยคอ เขาเพียงแต่ขว้าง ทนเอาหน่อย นานๆไปความดีมันก็ชนะความชั่วได้แล้ว ท่านก็ทนไป เดินไปทุกวัน คนก็ขว้างไปเรื่อย เรื่อยไป ท่านหัวแตกก็ไม่ว่าอะไร เดินมันเฉยๆ ปลงตกว่า กรรมของฉันๆ มันยังไม่หมดเวรหมดกรรมก็ต้องว่ากันต่อไป อันนี้วันหนึ่งเดินไปเจอผู้หญิงมีท้องเข้า ผู้หญิงมีท้องคนนั้นก็ตกใจ มาเจอองคุลีมาร ก็วิ่งหนี วิ่งหนีไปรอดรั้ว หัวไปได้ ท้องไปไม่ได้ เพราะรั้วแคบติดท้องดิ้นกระแด่วๆอยู่ตรงนั้นองคุลีมาลท่านเห็นแล้วท่านก็สงสารจับจิตจับใจก็เลยพูดเป็นคำอธิษฐาน อธิษฐานว่า (44.28 คำบาลี) แล้วก็บอกว่าดูก่อนน้อง หญิงตั้งแต่เราได้เกิดเป็นอริยชาติ คือเกิดเป็นอริยชาติ คือเกิดเป็นพระในพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นอริยชาติ เป็นชาติที่เจริญทางจิตใจ เราไม่มีเจตนาในดวงใจที่จะทำร้ายสัตว์ใดๆเลย ด้วยอำนาจสัจจะวาจานี้ ขอความสุขจงมีแก่เธอและเด็กในท้อง พอดีหญิงคนนั้นเจ็บท้องขึ้นมาตรงนั้นเพราะไปดิ้นแด่วๆ เจ็บท้องลูกเกิดออกมาง่ายเหมือนกับเทน้ำออกจากหม้ออย่างนั้น คนก็ลือกันไปหลวงพ่อองคุลีมาลนี่เก่งนะ เรียกว่ามีของดี ทำให้คนเกิดง่าย คนมันก็ไปหาท่าน คนมีท้องไปหาขอน้ำมนต์บ้าง อะไรต่ออะไรบ้างให้วุ่นวายไป ท่านรำคาญเลยหนีเข้าป่าซะเลย ไม่มาในเมืองต่อไปแล้ว ไปในป่าที่ห่างไกลไปเจริญภาวนา จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ สำเร็จไปแล้วก็หมดเรื่องไป
นี่ตัวอย่างว่า ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในที่มืดแล้วก็รู้ว่าเรามันมืด คือนั่งอยู่ในที่มืดทำไม ออกไปหาแสงสว่างดีกว่า ก็เลยออกไปสู่แสงสว่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใด เป็นผู้ประมาทในเบื้องต้น แล้วรู้สึกตัวในความประมาทนั้น กลับชีวิตเป็นคนไม่ประมาท เหมือนกับดวงจันทร์ออกจากหมู่เมฆ ส่องแสงมายังโลกนี้ เวลากลางคืนเราเห็นดวงจันทร์ บางทีเมฆบัง มองไม่เห็น แต่ประเดี๋ยว เมฆลอยผ่านไปแสงจันทร์ส่องโลกสว่างต่อไป คนที่อยู่ในความมืดเหมือนกับดวงจันทร์อยู่ในหมู่เมฆ ไม่สามารถส่องแสงมาสู่พื้นโลกนี้ได้ และเมื่อ กลับตัวได้ก็เหมือนกับดวงจันทร์ที่โผล่พ้นหมู่เมฆ ให้เราได้เห็นแสงต่อไป คนเราต้องอย่างนั้น ต้องเปลี่ยนใจ ต้องกลับใจ ต้องปรับปรุงตนเองให้เจริญด้วยคุณธรรม แต่การที่จะเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจได้นั้น ก็ต้องอาศัยการหมั่นมองดูตัวเอง พิจารณาตัวเองเพื่อแก้ไขตนเอง มีความบกพร่องในหมู่มนุษย์เราอยู่ประการหนึ่ง คือว่าไม่ค่อยมองตัวเองอย่างลึกซึ่ง อย่างถูกต้อง มองผิวเผิน เช่นไปยืนหน้ากระจก มองหน้า มองตัวแล้วก็แต่ง ทาแป้งแต่งตัวอะไรกันไปตามเรื่อง เขาเรียกมองภายนอกไม่ได้มองเข้าไปถึงว่าเรามีจิต …… (47.20 เสียงไม่ชัดเจน) อย่างไร เรามีความคิดอย่างไร มีความเห็นอย่างไร ความคิดความเห็นนั้น ตรงตามคำสอนของพระพุทะเจ้าหรือไม่ เรามีความคิดถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ หรือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ต้องศึกษาเอาธรรมะที่เราได้อ่านได้ยินได้ฟัง เป็นกระจกแล้วเราก็มองดูว่าเรานี่ มีความเห็นเป็นอย่างไร มีความคิดเป็นอย่างไร มีการกระทำอยู่ในรูปใด คบหาสมาคมกับคนประเภทใด อาชีพที่เราดำเนินอยู่ในชีวิตประจำวันเป็นอาชีพ ชนิดอะไร ต้องศึกษาพิจารณา หรือว่าการปฏิบัติงานในหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เรารักงานไหม เราขยันไหม เราเอาใจใส่หในหน้าที่ไหม เราใช้ความรู้ ความสามารถเพื่อปฏิบัติงานให้เจริญ ให้ก้าวหน้า เป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมืองอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า หรือเราทำสักแต่ว่าพอผ่านพ้นไป ๆ อย่างนี้มันก็ไม่ไหว ชีวิตมันไม่ดีหรอกถ้าอยู่ในรูปอย่างนั้น เราก็ควรจะมองต่อไป ถ้าเราอยู่อย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นแก่เรา อะไรจะเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา เราต้องมองให้ไกล มองให้เห็นให้รู้ให้เข้าใจถูกต้อง แล้วรีบแก้ไขตัวเอง อย่าปล่อยให้ สิ่งนั้นหมักหมม อยู่ในจิตใจ ถ้าความชั่วหมักหมมนั้นเขาเรียกถูกดองไว้เขาเรียกอาสวะ ภาษาพระเรียกว่าอาสวะ
อาสวะแปลว่าเครื่องหมักดองเอาความโลภมาดองไว้ เอาความโกรธมาดองไว้ เอาความริษยามาดองไว้ เอาความเห็นแก่ตัวมาหมักมาดองไว้ ความเกลียดแค้น มาหมักมาดองไว้ ดองจนเกินเปรี้ยวแล้ว กินไม่ไหวแล้ว มันเกินไปแล้ว ดองมะม่วงพอเปรี้ยวกินได้ ดองผักดองอะไรพอเปรี้ยวกินได้ พอมันดองเกินเปรี้ยว มันเน่าแล้ว เน่าแล้วเรากินไม่ได้แล้ว ต้องเอาไปเททิ้ง แล้วมันขาดทุนเท่าไหร่ ที่เราอุตส่าห์ดองไว้ แล้วเอาไปเททิ้งมันขาดทุนเปล่าๆ ในใจเราก็นี่เหมือนกันเราดองอะไรไว้บ้าง ลองพิจารณาว่าเราดองอะไรไว้ ดองความชั่วอย่างไรไว้ หมักไว้จนเน่า จนเหม็นแล้ว กลายเป็นคนไม่ได้เรื่องแล้ว เข้าใกล้ใครเขาก็เมินหน้านี้แล้ว เพราะเขาเหม็นกลิ่นที่เราดองไว้มากเหลือเกิน แล้วเราก็จะอยู่กันอย่างไร ชีวิตมันจะมีค่าที่ตรงไหน ลองพิจารณาอย่างนั้น แล้วก็รีบกลับจิตกลับใจ ก้าวหาความงามความดีในชีวิตทุกวันนี้ ต้องอยู่ด้วยการรู้สึกตัว อยู่ด้วยการพิจารณาตัวเองไว้เสมอๆ ว่ามีอะไรควรทำมีอะไรไม่ควรทำ เราก็ต้องทำสิ่งที่เหมาะที่ควรที่พระพุทธเจ้าว่าดี ว่าถูก แต่สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าว่าไม่ดีไม่ถูกเลิกมันเสียบ้าง นี่ควรจะทำกันทั้งเมืองแต่มันไม่ใช่เรื่องขอพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะพลอยโง่กับคนเหล่านั้นทำไม ถ้าเรานึกว่าคนทั้งเมืองก็ทำอย่างนี้ แต่ถ้าคนทั้งเมืองมันโง่ แล้วเราจะโง่ตามเขาทำไม เรามันต้องฉลาดเสียหน่อย ในเรื่องต่างๆ ถ้าเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถูกต้องแล้วเราจะโง่อยู่ทำไม คนเรามันมีเสียอยู่ตรงนี้ก็มากเหมือนกัน รู้ว่าท่านผู้นั้นก็ทำอย่างนั้น ท่านผู้นั้นก็ทำอย่างนี้ ชอบอ้างว่าผู้นั้นก็ทำ ผู้นี้ก็ทำ คือเอาคนมาอ้าง เอา ตำแหน่งมาอ้าง เอาความใหญ่มาอ้าง ว่าท่านผู้นั้นก็ยังทำ เราอย่านึกว่าคนเราโง่ไม่เป็น คนชั้นไหนๆ มันก็โง่ได้ทั้งนั้น มีอวิชชาทั้งนั้น เราพูดจะให้สูงหน่อยเรียกว่ามีอวิชชา พูดภาษาไทยว่าโง่แล้ว หรือว่าปัญญาอ่อน มันอาจจะเกิดแก่ใครได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครเราอย่านึกว่าคนไม่โง่ ไม่ได้เหมือนกับว่าเป็นสมภารท่านเจ้าวัด
เช่นอาตมานี่ ท่านปัญญาเป็นสมภาร ก็นึกว่าเออ ท่านปัญญา ท่านไม่โง่ มันโง่ได้เหมือนกัน ได้บางเรื่อง บางประการที่ยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ มันก็โง่อยู่ มีอวิชชาครอบงำอยู่ เราก็ต้องรู้ว่าเราโง่ รู้ว่าเราโง่เราแก้เสีย แก้ให้มันฉลาดให้แหลมคม จะได้รู้แจ้งแทงตลอดในสิ่งนั้นๆต่อไป คนเป็นใหญ่เป็นโตก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าโง่ไม่ได้นะ โง่ได้ในเมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือว่าทำอะไรก็เรียกว่าจำยอม จำยอมหมายความว่าเขาทำกันมาอย่างนี้ ติดต่อกันมา อย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าจำยอม จำยอมจะต้องกระทำตามแนวนั้น เพราะตั้งแต่ไหน แต่ไรก็ทำมาอย่างนี้ เรียกว่ายอมรับสิ่งโง่เง่าเหล่านั้นเข้ามา เป็นหลักปฏิบัติต่อไป มันไม่ถูกตามหลักทางพระพุทะศาสนา พระพุทธเจ้าท่านไม่ยอมโง่ ตามบรรพบุรุษ ของท่าน ท่านเกิดในประเทศอินเดีย อินเดียนั้นคนนับถือศาสนาพราหมณ์ทั้งนั้น ในสมัยก่อนพระเจ้าสุทโธทนะ ท่านก็นับถือพราหมณ์ท่านทำอะไรอย่างพราหมณ์แต่พระองค์ทรงมองเห็นว่ามันไม่ได้เรื่อง ที่ทำอยู่นี่ไม่ได้เรื่อง แต่ว่าท่านจะปฏิรูปสังคม ในบ้านเมืองของท่าน โดยเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วทำมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพอเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว มีแต่คนแวดล้อมป้อยอ ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ถ้าไม่ทำเขาบอกนี่ราชประเพณี ต้องทำตามราชประเพณี ราชประเพณีอาจจะถูกก็ได้ จะผิดก็ได้ อาจจะดีก็ได้ไม่ดีก็ได้ แต่ก็ต้องทำ เพราะเขาอ้างว่าเป็นราชประเพณี ก็ต้องทำอย่างนั้นไปตามเรื่องตามราว คัดค้านก็ไม่ได้เพราเขาให้เป็นใหญ่ คนเขาให้เป็นใหญ่ใช่ไหม จะค้านได้อย่างไร ...... (53.33 เสียงไม่ชัดเจน) อันนี้คือออกของพระพุทธเจ้าไปเหอะ อย่ากระนั้นเลย กูไม่เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ออกไปเป็นนักบวชดีกว่า จะได้ปฏิรูปความคิดชาวบ้าน จะได้เปลี่ยนสังคมให้มันดีขึ้นให้ฉลาดขึ้น ในแนวทางที่ถูกต้อง เพราะเป็นพระเจ้าแผ่นดินพูดก็ไม่ได้ ทำก็ลำบาก เป็นพระทำได้ เพราะเป็นคนที่คนไว้ใจแล้ว เป็นนักบวช แล้วนักบวชชั้นพระพุทธเจ้า ท่านพูดอะไรคนก็เชื่อ ท่านออกไปบวช ออกไปบวชแล้วท่านก็กล้าสอน กล้าเตือนสิ่งที่มันผิด ที่เขาทำกันมาตั้งเป็นพันปีแล้ว แต่พระองค์บอกว่าอริยะชน เขาไม่ได้ทำอย่างนี้ ก็ควรแก้การกระทำนั้นๆ ให้เป็นการถูกต้อง เหมาะสมขึ้น แต่ว่าในยุคของพระองค์ ก็แก้ได้ พอสมควร มีคนฉลาดยอมรับ แล้วก็ปฏิบัติหลุดพ้นจากความทุกข์ ความเดือนร้อนไปมากมาย แต่ว่าต่อมาๆ เมื่อพุทธศาสนาล่วงเลยมา ๕00 ปี ๑,๐๐๐ ปีไอ้ของที่พระองค์กวาดทิ้งไปแล้วนั้นมากอดจับกันอีกแล้วมาสุมกันในพระพุทธศาสนาเขาเรียกว่าเนื้องอกในพระพุทธศาสนา เป็นมะเร็งร้าย ที่เกาะจับในวงการพระพุทธศาสนา พระสงค์องค์เจ้า มาในสมัยหลัง ก็ไม่กล้าพูดไม่กล้าสอน ไม่กล้าพูดให้ญาติโยมเข้าใจ กลัวโยมจะโกรธ ถ้าเรากลัวโยมจะโกรธ มันกลัวไม่ถูกต้อง เรากลัวโยมจะโง่นั้นดีมากกว่า เพราะถ้าโยมโง่ คนเรามันจะฉลาดได้อย่างไร น่าจะอธิบายทำความเข้าใจให้ญาติโยมได้รู้ได้เข้าใจ
ผู้มีความคิด เมื่อเราอธิบายสิ่งที่ถูกต้องให้เข้าใจนั้น เขารับได้ คนที่รับไม่ได้ก็คือคนที่มันไม่มีสมอง ไม่มีปัญญาจะคิดเท่านั้น พูดอะไรไม่รับ ไม่ได้ หาว่าไม่เหมาะแก่เวลา อะไรต่ออะไร แล้วเมื่อไหร่มันจะเหมาะล่ะ ที่จะสอนกัน จนเราตายก่อน แล้วเราจึงค่อยจะมาสอนกันอีก มันจะรอเวลาอยู่ไม่ได้ บอกว่า เมื่อเด็กนี่เราจะไม่สอนให้เด็กเข้าใจถูกหรือ จะปล่อยให้เด็กโง่ อยู่อย่างนั้นได้หรือ มันก็ต้องค่อยสอน ค่อยไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล ค่อยสอนทำความเข้าใจปลูกพื้นฐาน สร้างโรงเรียนอนุบาล …… (55.55 เสียงไม่ชัดเจน) นี่เพื่ออะไรเพื่อสร้างเด็ก สร้างทางจิตใจ ทางความรู้ ความสามารถ ขึ้นไปตามลำดับของอายุจนเติบโตก็จะได้เป็นคนสำคัญของชาติของบ้านเมือง แต่เวลานี้โรงเรียนอนุบาลยังน้อยไม่ทั่วถึง การสร้างเด็กอย่างนั้นมันก็น้อยไป เด็กที่ได้เข้าเรียน โรงเรียนอนุบาลครูเขาพยายามสอน พยายามฝึกให้มีอะไรดีขึ้น อันนี้ก็เพราะ …… (56.23 เสียงไม่ชัดเจน) เด็กเมื่อไปโรงเรียนมันต้องทำตามครู พอกลับมาถึงบ้านมันอ้อนแม่ (56.28 เสียงไม่ชัดเจน) ทำอีกอย่างหนึ่งแล้วนะ มันบังคับแม่ได้นะ ให้กินตรงนี้ไม่ได้ จะไปกินตรงนู้น กินตรงนู้น จะกินตรงนี้ เอ้อ... นั้นเวลาจะไหว้หลวงปู่ หลวงปูต้องนั่งตรงนี้จึงจะไหว้ มันบังคับเราทุกอย่างเลย แต่ถ้าไป โรงเรียนมันไม่อย่างนั้นให้ทำอะไรก็ทำตาม นี่มันอย่างนี้แล อันนี้เขามีโรงเรียนขึ้นเพื่ออย่างนี้ เพื่อสอนเด็ก ให้มีความคิดที่ถูกต้องมีการกระทำที่ดีเช่น เราพุทธบริษัท ก็เหมือนกันเราก็ถือว่าพุทธบริษัท ยังเป็นเด็ก จะก้าวหน้าได้อย่างไร ก็ต้องยกระดับจิตใจญาติโยมให้สูงขึ้น ด้วยการสอนว่าอะไรเป็นอะไรให้เข้าใจไปโดยลำดับ แต่นี่คือไม่ได้สอน สุดแล้วแต่โยมทำอะไรเอาใจโยมทุกอย่าง โยมไม่ถูกก็ชมดี ให้โยมทำอยู่อย่างนั้นแล ไม่คิดแก้ไขแล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไรนี่มันเป็นข้อที่น่าคิด อาตมานี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดว่ามันต้องสอน ต้องแสดงให้โยมเข้าใจต้องพูดกันให้รู้เรื่อง จึงพูดออกไป ที่วัดบ้าง ทางสถานีโทรทัศน์บ้างทางวิทยุบ้าง
ก็ว่ากันไปตามเรื่องนะ แต่ว่าคนบางคนเขาก็ไม่ชอบ เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงเรื่องถูก แต่ว่ามันยังไม่ควรพูด แล้วจะให้พูดเมื่อไหร่ พูดเมื่ออาตมานอนในหีบแล้ว แล้วจะไปพูดได้อย่างไร คนตายแล้วจะไปพูดกันได้อย่างไร มันต้องพูดเมื่อยังเป็นอยู่ ให้คนเข้าใจ แล้วเรามันคิดไม่ถูก ว่ายังไม่ถึงเวลา บ้านเมือง จะฉิบหายอยู่แล้ว ยังไม่ถึงเวลาอีก แล้วจะพูดกันเมื่อไหร่ นี่มันเป็นอย่างนี้ มันลำบากนะคนเรา พูดมาวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยม นั่งสงบใจ สงบใจ ก็คือฝึกกำลังจิตให้มีความสงบให้มีความตั้งมั่น ให้เหมาะในการที่จะใช้งาน ฝึกง่ายๆ คือกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ ปิดตาเสียนั่งตัวตรง หายใจแรงๆ สักสองสามครั้ง แล้วก็กำหนดรู้ หายใจปกติ ก็กำหนดรู้ อยู่ที่ลมหายใจเข้า หายใจออก อย่าให้คิดเรื่องอื่น มันไปก็ดึงกลับมา ให้มาคิดอยู่ตรงนี้ …