แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถที่จะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แล้วจงตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้ตอนเช้าฝนเทลงมาห่าใหญ่ ทำให้ไม่สะดวกแก่ญาติโยมที่จะนั่งตามใต้ต้นไม้หรือตามพื้นดิน เอาเสื่อปู แต่ว่าตอนนี้ฝนหยุดแล้วคงจะหยุดต่อไปจนถึงเวลาพระฉันอาหารเพล แล้วก็ตกกันตอนบ่ายไม่ว่าอะไร วันอาทิตย์นี่คนเขาก็จะทำบุญสุนทานกัน อย่ามาตกเลย เวลามันตั้งเยอะแยะตกเวลาไหนก็ได้ ไม่ควรจะตกตอนนี้ถ้าพูดกันได้ก็ควรจะพูดอย่างนั้น แต่ว่านี่พูดกันไม่รู้เรื่องธรรมชาติก็เป็นอย่างนี้เขาก็ตกไปตามเรื่องของเขา
วันที่ ๒๗ นี้ อาตมาเดินทางไปไชยา เป็นวันเกิดของท่านเจ้าคุณพุทธทาส หรือพระเทพวิสุทธิเมธี ผู้ก่อตั้งคณะธรรมทานที่ไชยา และได้มีการฉลองครบรอบ ๕๐ ปีของคณะธรรมทานด้วย ฉลองงานที่ได้ทำมาครบรอบ ๕๐ ปี ในวันเกิดนี้ คนก็ไปร่วมชุมนุมกันมากแต่ว่าไม่ได้ทำอะไรเหมือนที่อื่นเขาทำ คือวันเกิดนี่ทั่วไปเขาก็ทำบุญเลี้ยงพระ ทำบุญต่างๆ แต่ว่าท่านไม่ได้เลี้ยงพระแต่ว่าชวนพระให้อดอาหารกันวันหนึ่ง และญาติโยมที่ไปก็อดกันด้วย อดด้วยกันทุกคน ไม่มีการหุงหาอาหาร เว้นไว้บางคนอดไม่ได้ก็ไปซื้อกินหน้าวัด สำหรับคนท้องไส้ไม่ปกติ แต่ถ้าท้องไส้ปกติก็ชวนกันอดกัน ที่ท่านบอกว่าให้อดอาหารในวันเกิดเพราะว่า เมื่อวันเกิดนี่ไม่ได้กินอะไร เกิดใหม่ๆนี่ไม่ได้กินอะไร มันสับสนวุ่นวายตอนนั้น ไม่ได้กินอะไร ถึงวันเกิดก็ควรจะไม่กินอะไรถ้าทำบุญวันเกิดโดยไม่กินอะไรไม่เลี้ยงกันนี่ประหยัดมาก ไม่ต้องรบกวนใครๆให้ลำบากในเรื่องการมาเลี้ยงอาหาร เราควรจะได้มีเวลาพักผ่อนศึกษาตัวเอง แต่ว่าท่านเจ้าคุณท่านไม่ฉันอาหารแล้วท่านก็เทศน์ให้ญาติโยมฟัง เทศน์ตอนเช้ากัณฑ์หนึ่ง ว่ากันสองชั่วโมงรวด ตอนบ่ายอีกสองชั่วโมง กลางคืนอีกสองชั่วโมง แต่ว่าตอนบ่ายนี่เมื่อท่านพูดจบแล้วท่านขอร้องให้อาตมาพูดให้ญาติโยมฟัง อาตมาก็พูดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาที ให้ญาติโยมได้ฟังกัน นับว่าเป็นการทำบุญวันเกิดที่ไม่เหมือนใครและก็ไม่มีใครทำเหมือนท่านด้วย เป็นประโยชน์อยู่
ญาติโยมที่นั่งอยู่ที่นี่อาจจะไม่รู้ว่าท่านพุทธทาสคือใคร คณะธรรมทานคืออะไรเขาทำงานอะไรกันบ้าง เพราะว่ามีคนไม่รู้มากเหมือนกัน แม้พระผู้ใหญ่บางองค์ท่านก็ไม่รู้ ท่านถามอาตมาว่า พุทธทาสนี่เขาทำอะไรหรือ ท่านถามอย่างนั้นพูดแบบนักเลงหน่อย ครั้งแรกก็นึกในใจว่าแย่เต็มที เป็นผู้ใหญ่ไม่รู้ว่าลูกน้องในปกครองทำอะไรบ้าง แต่ว่าไม่พูดออกไปหรอกแค่นึกในใจ ก็เลยพูดออกไปว่า ท่านพุทธทาสท่านทำสิ่งที่พระอื่นไม่ทำ ทำไม่ได้ เป็นประโยชน์แก่พระศาสนาเหลือหลายแล้วอธิบายให้ท่านฟัง ท่านก็บอกว่ามากรุงเทพไม่มาหาผมบ้างเลย ท่าน (พุทธทาส)จะไปหาทำไมเพราะไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านรูปนั้น ท่านจะไปหาก็เพื่อไปหาประโยชน์ศึกษาหาความรู้ความเข้าใจ สมัยก่อนสมเด็จวัดเทพสิรินทร์พระพุทธโกศาจารย์ยังอยู่ ท่านมาทีไรก็ไปหาทุกที ไปแล้วก็ให้คำแนะนำในเรื่องภาษาบาลีแล้วท่านก็ชมท่านเจ้าคุณว่า เธอแปลหนังสือดีมากแปลแล้วคนอ่านเข้าใจ ท่านไปหาอย่างนั้น องค์อื่นท่านก็ไม่ไปท่านเฉยๆ จึงไม่รู้ว่าท่านทำอะไร ญาติโยมนี่ก็จะได้ยินแต่ชื่อยังไม่รู้ว่าท่านทำอะไร ท่านเป็นประโยชน์แก่พระศาสนาอย่างไร ก็จะเล่าให้ฟังนิดหน่อยในวันนี้ตามเวลา
ท่านพุทธทาส ชื่อเดิมท่านชื่อ เงื่อม น้องชายท่านชื่อ ธรรมทาส แต่ว่าเชื่อเดิมชื่อ ยี่เก้ย คือเชื้อสายบรรพบุรุษท่านเป็นคนจีน ต่าว่ามารดาท่านเป็นคนไทยแท้ ครอบครัวของท่านเจ้าคุณ เป็นครอบครัวที่หนักแน่นพระศาสนามาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย โดยเฉพาะมารดาท่านนั้นหนักแน่นในพระศาสนามากชอบสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ตามวัดต่างๆ สนใจในการศึกษาธรรมะ มีลูกสามคนก็อบรมลูกให้เป็นคนดี ท่านเจ้าคุณเป็นลูกหัวปี แล้วก็น้องชายคือนายธรรมทาส แล้วก็น้องคนเล็กเป็นผู้หญิง เมื่อท่านเป็นเด็กก็เรียนหนังสือ ก็ไม่มากอะไร เรียนได้ชั้นม.๓ ในสมัยนั้น เรียนรุ่นเดียวกับคุณ หิรัญ สูตะบุตร ที่เป็นอธิบดีกรมสรรพากร ก็ติดตามไปทำราชการอยู่ที่นั่น แล้วก็ออกทำมาหากิน เที่ยวค้าขาย ไปบ้านดอนซื้อของมาขายที่พุมเรียง สมัยนั้นเดินทางโดยทางเรือ คือขึ้นเรือไปซื้อของมาขายถ้าทำการค้าขาย จนกระทั่งอายุครบยี่สิบปี คุณแม่ก็ขอให้บวชในพระศาสนา ท่านนึกจะบวชสักสามเดือน เวลาบวชท่านก็สั่งคนที่บ้านว่ามานับบัญชีเก็บไว้ก่อน ฉันสึกแล้วค่อยมาจัดการกันต่อไป
เมื่อบวชเข้ามแล้วก็ได้เรียนนักธรรม นักธรรมชั้นตรีบ้านนอกเขาเรียนอย่างนั้น เมื่อเรียนนักธรรมแล้วท่านก็นึกว่าเรามีความรู้พอจะสอนคนได้ ก็เลยเทศน์ให้คนฟังทุกคืนวันพระที่วัดที่ท่านอยู่ เทศน์เรื่อยๆไป คนฟังก็พอใจฟัง ออกพรรษาแล้วไม่สึก เลยบวชต่อไปเรียนนักธรรมชั้นโทได้ บวชต่อไปเรียนนักธรรมชั้นเอกได้ สามปีบวชเข้าไปสามปีแล้ว คุณแม่ก็ไปปรารภกับท่านพระครูเจ้าคณะอำเภอ บอกว่าคุณเงื่อมนี่แกบวชมาสามปีแล้วควรจะสึกได้แล้ว จะได้ให้ยี่เก้ย คือคุณธรรมทาสบวชบ้าง ท่านพระครูท่านบอกว่า ยี่เก้ยไม่ต้องบวชหรอกเขาเป็นพระอยู่แล้ว ใครรู้จักคุณธรรมทาสก็เหมือนรู้จักพระในรูปชาวบ้าน เพราะแกอยู่เหมือนพระ อยู่ง่ายๆไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัว อาบน้ำไม่เคยใช้สบู่ ตัดผมสั้นเกรียน อาหารการกินก็ไม่เคยบ่น ท่านพระครูบอกว่าธรรมทาสเขากินอะไรก็กินได้ เขาไม่เคยบ่นว่าจืด ว่าเค็ม ว่าเผ็ด เขาไม่เคยเติมน้ำพริก มะนาว ไม่เคยเติมยน้ำปลา เขาทำให้อย่างไรก็กินอย่างนั้น เรียกว่าอยู่เหมือนกับพระอยู่แล้ว ท่านพระครูท่านบอกว่า แม่เคลื่อน ยี่เก้ยเขาเหมือนพระอยู่แล้วไม่ต้องบวชหรอก คุณเงื่อมแกบวชมาสามปีแล้ว มีความรู้พอจะได้ช่วยงานพระศาสนาได้ ขอให้บวชต่อไปอีกหน่อย ก็เลยบวชต่อ ในพรรษาต่อมานี้ก็มาช่วยสอนนักธรรมที่วัดพระธาตุไชยา นักเรียน ๓๒ คน สอบได้ ๓๑ ตกไป ๒ คนเท่านั้นเอง เวลาท่านสอนนี่เจ้าคณะอำเภอมาแอบฟังอยู่ข้างหลัง ท่านบอกว่า คุณเงื่อมนี่แกสอนเพลินเหลือเกิน ผมนั่งฟังก็เพลินไปด้วย สอนให้นักเรียนเข้าใจดี สอบได้ถึง ๓๐ รูป อันนี้ก็ คุณน้า (10.20) คนหนึ่งที่อยู่บ้านดอน รู้ว่าสอนนักธรรมได้คะแนนดี เลยให้รางวัลเป็นพิมพ์ดีดเครื่องหนึ่ง ได้ใช้อยู่จนกระทั่งบัดนี้
คืนวันหนึ่งไปอาบน้ำกันในคลองข้างวัดกับท่านพระครู อาบกันแช่น้ำอาบกันไปคุยกันไป หน้าร้อน คุยกันไปด้วยเดือนหงายด้วย พอดีท่านพระครูท่านถามว่า เออที่เขาว่าโลกกลมเวลามันเดินนี่มันเดินอย่างไร พอดีมะพร้าวกระรอกเจาะมันลอยมาพอดี ก็ยกขึ้นอุปมาให้ดู นี่ลูกมะพร้าวนี่ลูกดวงจันทร์ เหมือนกับว่าดวงอาทิตย์ ลูกที่มันหมุนรอบตัว ประเทศไทยอยู่จุดนี้ หมุนมาทางนี้มันก็มืดประเทศอื่นก็สว่าง แล้วมันก็หมุนเคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ ๓๖๕ วัน อธิบายให้ท่านพระครูฟัง ท่านพระครูฟังเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็เลยคุยเรื่องอื่นต่อไป แล้วก็ตั้งปัญหาถามขึ้นว่าคุณเงื่อม คุณนี่จะบวชต่อไปหรือว่าสึก ท่านบอกว่าก็คิดว่าจะสึกเหมือนกัน ท่านพระครูถามว่าคุณคิดว่าจะทำอะไรในชีวิตนี้ ท่านก็ตอบว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ให้มาก แล้วท่านพระครูก็บอกว่า โอ้ถ้าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์นั้นท่านก็ไม่ควรสึก เพราะถ้าสึกไปแล้วจะทำประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ไม่ได้เต็มที่ เพราะยุ่งกับปัญหาครอบครัว คนที่จะทำประโยชน์แก่คนอื่นนั้น ต้องเป็นพระเพราะเป็นพระไม่ต้องมีความกังวลอะไร พูดกันไปพูดกันมาก็ตกลงกัน ว่าไม่สึกแล้วท่านก็บอกว่าถ้ากระผมไม่สึกนี่กระผมก็ต้องไปเรียนหนังสือกรุงเทพ เพื่อเรียนภาษาบาลี ก็ตกลงกันว่าออกพรรษาแล้วจะไปเรียนกรุงเทพ ท่านก็เลยมาเรียนหนังสือกรุงเทพที่วัดปทุมคงคา การที่มาเรียนวัดนั้นก็เพราะมีพระไชยามาอยู่ก่อนแล้ว รูปหนึ่งสองรูปก็มาอยู่ง่ายหน่อย ท่านก็มาอยู่ที่นั่นแล้วก็เรียนด้วยความตั้งอกตั้งใจ เรียนจนสอบได้เป็นเปรียญสามประโยค และก็เรียนต่อไปอีกสอบอีกครั้งหนึ่งประโยคตรีไม่ได้ สอบตก เมื่อสอบตกท่านก็บอกว่าพอแล้วเรียนเท่านี้พอ คราวนี้ท่านคิดว่าจะไปทำงานอะไรต่อไป ครั้งแรกท่านคิดว่าจะไปอินเดีย ไปประเทศทิเบตอะไรโน่น เพื่อไปศึกษาศาสนาไปดูการปฏิบัติของท่านเหล่านั้น เคยเขียนจดหมายถึงนายธรรมทาสปรารภว่าจะไปอย่างนั้น ต่อมาก็เปลี่ยนใจ บอกไปยังน้องชายว่า ความคิดที่ว่าจะไปต่างประเทศนั้นไม่เอาแล้ว กลับบ้าน
เมื่อกลับบ้านแล้วก็ไปพักที่วัดใหม่ ซึ่งเป็นวัดที่เคยอยู่ เมื่ออยู่ไปสักเดือนหนึ่งก็เรียกประชุมพรรคพวก คนเฒ่าคนแก่ บอกว่าฉันจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อพระศาสนา จะหาที่เหมาะๆสักแห่งหนึ่งไปอยู่เงียบๆ ชาวบ้านก็บอกว่าโน่นวัดพังจิก (14.02) นั่นแหละดี วัดพังจิกนี่แหละเป็นสวนโมกข์เก่า อาตมาเคยไปอยู่กับท่านที่นั่นเหมือนกัน วัดนั้นอยู่ห่างจากตัวตลาดไชยา อยู่มาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เงียบ เป็นวัดร้าง มีหนองใหญ่ ท่านก็เลยพาคนมาดู มันรกเต็มที ก็เลยบอกว่าช่วยถางรอบๆคูให้มันเตียนหน่อย แล้วก็ไปขอสังกะสีที่คุณน้า น้าหงวนที่ให้พิมพ์ดีดนั่นแหละอยู่บ้านดอน น้าหงวน เศรษฐภักดี น้าหงวนบอกว่าคุณนี่แปลกนะวัดวาอารามดีๆมีไม่อยู่จะไปอยู่ในป่า เรื่องอะไร เขาให้สังกะสีมาปูตามโบสถ์ร้างปูพออยู่ได้ แล้วก็เลยอยู่ที่นั่น อยู่คนเดียวอ่านหนังสือค้นคว้าอ่านพระไตรปิฎกคนเดียว อยู่ไม่พูดกับคนนี่สองปี คือไม่มีคนเข้าไปพูดด้วยแล้วก็ไม่เปิดประตูให้คนเข้า มีประตูเข้าพอไปบิณฑบาตเสร็จแล้วก็ใส่กุญแจเลย ไม่ให้ใครเข้า แล้วก็อยู่คนเดียวเงียบๆศึกษาค้นคว้าอ่านพระไตรปิฎก ได้พระไตรปิฎกชุดหนึ่งก็อ่าน กันเป็นการใหญ่แล้วก็ไม่ยุ่งกับใคร เป็นเวลาสองปีที่เงียบ
เช้าก็ออกไปบิณฑบาต คนที่เป็นอิสลามอยู่แถวนั้นก็มีมากเหมือนกัน เขาก็ซุบซิบกันบอกว่าพระองค์นั้นเป็นบ้า เขาเอาไปขังไว้ในป่าไม่ให้อยู่กับพระอื่นในเมืองเพราะว่าเป็นพระบ้า แล้วก็ไม่พูดไม่จากับใคร เขาเล่าลือกันอย่างนั้น การไปบิณฑบาตรก็ชาวบ้านเขาก็ใส่ข้าวใส่แกงให้ ห่อด้วยใบตองเอามาฉันเพียงมื้อเดียว แล้วก็อยู่อย่างนั้น อยู่แล้วก็ตั้งคณะธรรมทานขึ้น มีจุดหมายเพื่อจะรื้อฟื้นการปฏิบัติธรรม ส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศานา ส่งเสริมการศึกษาของเด็กอะไรต่างๆให้ดีขึ้น ตั้งเป็นคณะธรรมทานแล้วก็ออกหนังสือรายปีบ้าง สามเดือนบ้าง ชื่อว่าหนังสือพุทธศาสนา เวลาหนังสือก็ยังออกอยู่ ออกมาเป็นเวลา ๕๐ ปีแล้ว นับว่าเป็นหนังสือทางพระพุทธศานาฉบับแรกที่ออกในเมืองไทยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเล่มหนึ่งท่านก็เริ่มออกหนังสือ แต่นั้น หนังสือที่ออกในกรุงเทพนี่ เพิ่งออกทีหลังหนังสือนั้น เพราะว่าหนังสือเล่มนั้นออกที่หัวเมือง พระในกรุงเทพคงเริ่มจะละอายใจขึ้นมาเลยออกกันบ้างออกหลังทั้งนั้น หนังสือนั้นออกก่อน แล้วท่านก็เขียนเอง นายธรรมทาสเขียนบ้าง ช่วยกันเขียน เขียนแล้วให้อ่านสามเดือน ทำอยู่อย่างนั้น ไม่เป็นที่รู้จักของคนอื่น เงียบๆไปก่อน
คนกรุงเทพที่ไปรู้จักคณะธรรมทานไชยา เป็นพวกข้าราชการกระทรวงยุติธรรม มีพระยารัชรีธรรมประกัน (18.01) คุณธรรมศักดิ์ พระยาประรถราชสุพิศ (18.05) พระบุญภาพภูวมัน (18.07) ท่านเหล่านี้รู้จักท่านเจ้าคุณในเวลานั้นแล้วก็ได้ไปช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำชูด้วยปัจจัย ด้วยเครื่องใช้ไม้สอย ท่านไม่ขอร้องอะไรจากใคร ไม่เรี่ยไรอะไรจากใครไม่โฆษณาหาสตางค์อะไรจากใครทั้งนั้น อยู่ป่าเงียบๆ ต่อมาก็สร้างกระต๊อบขึ้นมาหลังหนึ่ง กว้างวาหนึ่ง ยาวนิดหน่อยริมสระน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด กุฏิน้อยที่ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดนี่แหละ สร้างหนังสือให้พวกเราอ่านหลายเล่ม เป็นหนังสือที่แพร่หลาย เช่นพุทธประวัติจากพระโอฐษ์ เป็นต้น เขียนขึ้นที่นั่น และหนังสืออื่นๆก็เขียนขึ้นที่นั่นหลายเล่ม อยู่ที่พุมเรียงหลายปี ต่อมาเขาก็ย้ายที่ว่าการอำเภอมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟ พุมเรียงก็กลายเป็นสถานที่ล้าหลังไป เห็นว่าไม่สะดวกในการติดต่อ ต่อไปข้างหน้า ก็เลยดำริจะย้ายสวนโมกข์ไปอยู่ด้านทิศตะวันตกทางรถไฟ ก็พอดีไปได้ที่ของคุณหลวงคนหนึ่งซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ เมื่อที่เก่าอยู่ไกลเขาขายให้เพียงสี่ร้อยบาทมันถูกเหลือเกิน แล้วก็มีสวนผลไม้ ทุเรียน มังคุด เงาะ ขนุน ด้านหน้าเขาและก็ซื้อไปหลังเขา เอาภูเขาไว้เป็นของวัดเสียด้วย มีเนื้อที่ขยายออกไปประมาณสักสามร้อยไร่ เป็นป่าก็เริ่มไปทำงานใหม่กันที่นั่น ก็ยังชื่อว่าสวนโมกขพลาราม ที่ชื่อสวนโมกขพลาราม เพราะว่าที่สวนเก่านั้นมีไม้โมกข์ เขาเรียกว่าโมกข์มัน เนี่ยมีมาก ต้นพลาก็มีมาก เลยเอาต้นโมกข์กับต้นพลามารวมกัน เรียกว่าสวนโมกขพลาราม แปลว่าสวนเป็นที่น่าพอใจ เป็นกำลังแห่งความหลุดพ้น สวนที่รื่นรมย์หรือน่าพอในเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ ท่านก็ทำงานเรื่อยมา เรียกว่าทำงานคนเดียว
เมื่อปี ๒๔๗๖ อาตมาก็ได้ไปอยู่ที่นั่นด้วยอยู่ที่สวนโมกข์เก่า ท่านเจ้าคุณประกาสิทธิชุมพร เวลานั้นเป็นพระชื่อบุญชวน เขมาพิทักษ์ ก็เลยไปอยู่ร่วมกัน ได้ทำงานร่วมกัน ปรึกษาหารือกันต่อมา แล้วตอนหลังมาพวกเราแยกมาเพื่อศึกษาอะไรต่ออะไร ท่านก็ยืนหยัดอยู่ผูเดียวทำงานคนเดียวต่อไป แล้วก็มีพระอื่นไปอยู่ร่วมบ้าง เป็นสภาพอยู่ในป่าเงียบๆ ไม่วุ่นวาย ฉันอาหารมื้อเดียว แล้วที่สวนโมกข์นี่ไม่มีหีบเรี่ยไร ไม่มีตู้ตั้งไว้เรี่ยไรสตางค์ แม้คนไปท่านก็ไม่เรี่ยไร ไม่บอกคนว่าจะสร้างอะไรจะทำอะไรไม่บอก ญาติโยมที่เคยไปจะเห็นว่าท่านไม่เคยเอ่ยเรื่องขอเลย ไม่เอ่ยเรี่ยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่เคยปรารภว่าจะสร้างนั่นจะสร้างนี่ ไม่เคยพูด แต่ว่าคนก็ทำบุญตามสมควร เมื่อทำแล้วก็ได้รับแจกหนังสือไป ปัจจัยที่ได้นั้นก็เอามาสร้างสิ่งในวัด จะสร้างกุฏิหลังน้อยๆ สำหรับพระอยู่สมัยนั้นกุฏิหลังเล็กๆนี่ ราคาเพียง ๑,๒๐๐ บาท ไม่แพงอะไร ไม้ก็ไปซื้อของชาวป่าที่เขาตัดมาขาย แล้วก้ช่วยกันทำขยายกิจการสร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้มีบ้านสำหรับคนไปพักหลายหลัง สามสิบกว่าหลัง และก็มีเรือนพักสำหรับคนไปเที่ยวคือไปศึกษา ไม่ใช่ไปทัศนาจร พวกทัศนากรนี่เขาไปแป๊ปเดียว เดินเข้าไปหน่อยแล้วก้เรียกให้ขึ้นรถไม่ได้เรื่องอะไร แต่คนที่ไปศึกษานั้นก็ไปพักสองคืนสามคืน โดยเฉพาะนักเรียนครูก็พามาพักสองสามคืนแล้วก้ฟังธรรมะเทศนาแต่ละคำสอนคำเตือน
สถานที่นั้นน่าดูน่าอยู่เพราะมันเป็นธรรมชาติ แต่ว่าตอนนี้กรมป่าไม้ได้เข้าไปทำวณอุทยานแล้ว กรมป่าไม้ทำวณอุทยานนี่ก็คือทำทำลายป่านั่นเอง เพราะว่าป่ามันรกก็ไปถางให้มันเตียน ทีนี้พอถางเตียนแล้วแดดมันก็ส่องลงไปถึงแผ่นดิน น้ำแห้ง น้ำในห้วยของวัดสวนโมกข์เมื่อก่อนมีมาก พอพวกป่าไม้เริ่มเข้าไปทำวณอุทยาน น้ำเริ่มแห้งลดน้อยลงไป เพราแผ่นดินถูกแสงแดด แล้วก็ถางเอาหญ้าออกหมดแล้วมันเตียนไป ต้นไม้ต้นอะไรมันไม่พอโตก็ตัดทิ้งไป คนก็เลยเอาไปทำฟืนแล้วก็เหลืออยู่บ้าง อาตมาไปดูมาแล้วเมื่อวาน ก่อนจะมานี่ไปดูมาแล้วทำสวนป่าทำอย่างไร ก็คือการทำลายป่านั่นเอง ได้ถือโอกาสตัดไม้เอาไปขายเป็นฟืนแก่ชาวบ้านด้วย แต่ว่า วณอุทยาน ของท่านพุทธทาสมีแล้ว ท่านรักษาป่าไว้ตามธรรมชาติ ไม่แตะต้องแต่ว่าทำถนนผ่านเข้าไป แล้วก็สร้างกุฏิหลังเล็กซ่อนไว้ในป่า ทีนี่พระที่อยู่ตามกุฏินั้นก็รักษาป่าไปด้วยในตัว ต้นไม้งอกงามเจริญดี แล้วที่โคนมันรกก็ไม้ที่รกอยู่ที่โคนนั้นก็ช่วยทำให้เกิดความชื่นความเย็น ต้นไม้ไม่ตายท่านรักษาป่าอย่างนั้น ในต่างประเทศที่เขาเรียกว่า วณอุทยานแห่งชาติ เช่นในอเมริกา เขามีวณอุทยานที่เมืองซานฟรานซิสโก ก็ไปเที่ยวมาต้นไม้มันใหญ่ สามคนเอามือโอบยังไม่รอบเลยต้นไม้มันใหญ่เหลือเกิน มันล้มมาต้นหนึ่ง เขาเอามาตัดหน้าให้ดูต้นไม้นั้นอายุมันยืนก่อนพระพุทธเจ้าเกิดด้วยซ้ำไปที่มันเกิดมา เขาเขียนไว้ว่าปีหนึ่งๆต้นไม้นั้นมันโต โตมาก ทีนี้ป่าสงวนเขาไม่ไปยุ่งกับป่าแต่ว่าเขาไปสร้างบ้านไว้เป้นที่แห่งหนึ่ง แล้วก้ทำถนนเล็กให้คนเดินไปชมป่า ต้นไม้ในป่าเขาไม่แตะต้องให้มันอยู่อย่างนั้น นั่นเขาเรียกว่ารักษาป่า แต่ของเรานี่ไปถากถางป่าเพื่อทำลายป่าทำให้ต้นน้ำลำธารแห้ง ทุกแห่งไปเห็นมาทุกแห่ง ถ้ากรมป่าไม้เริ่มเข้าไปทำวณอุทยานแล้วต้นไม้เริ่มตาย เพราะว่าไปถางต้นไม้ให้ดินแห้ง ดินก็จะเสียไป ชาวบ้านก็บ่นกันทำวณอุทยานก็เหมือนทำลายป่านี่มันผิด ผิดหลักเกณฑ์ แต่ถ้าไปถามพวกป่าไม้ก็บอกว่านี่หล่ะมันถูกหลักเกณฑ์ หลักวิชาเขาต้องทำอย่างนี้ ไม่รู้หลักวิชาอะไร ก็ทำอย่างนั้น
ของท่านเจ้าคุณท่านรักษามาห้าสิบปีแล้วอยู่ในสภาพเรียบร้อย ต้นไม้ใหญ่โต ร่มรื่นสบาย ไม่ทำลายต้นไม้ เพียงแต่ทำถนนไปเป็นสายๆ แล้วระหว่างถนนนั้นก็ยังมีสภาพป่า ยังมีสัตว์เช่นว่า กระรอก ไก่ป่า กระจง อะไรนี้มันก็อยู่ตามสบาย ค่างมีมาก ยังอยู่ตามสบาย แต่พอเป็วณอุทยานแล้วสัตว์เหล่านั้นอยู่ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนมันจะเดินโทงๆ อยู่เดี๋ยวเด็กก็เอาหนังสติ๊กยิงเท่านั้นเอง มันก็เคือความผิดทำไม่ถูก ผู้ใหญ่ไม่ค่อยไปดูว่าเขาทำอย่างไร ทำผิดหลักการ ไปเห็นมาแล้วก็รู้สึกเสียดาย ท่านรักษาป่าไว้ดี แล้วน้ำก็รักษาไว้ดีให้น้ำไหลมาไม่ขาดระยะ ให้คนอาบก็ทำเป็นบ่อไว้ให้คนอาบยืนล้อมรอบบ่อ อาบเท่าใดๆน้ำก็ไม่ลด น้ำมันไหลมาจากลำห้วย แล้วก็สูบจากลำห้วยไปใช้ตามกุฏิต่างๆ ท่านไม่ประมาท ท่านคิดว่าต่อไปน้ำจะแห้งเพราะพวกทำลายป่า สร้างถังน้ำฝนไว้เยอะทีเดียว แล้วก็มีเรืออยู่สองลำ เรือลำหนึ่งนั้นทำเป็นเรือแต่ว่าในนั้นมีน้ำฝน แล้วข้างบนทำเป็นสวนญี่ปุ่น สวนหินแบบเซน ให้คนได้ดูได้ศึกษา แล้วก็อีกลำหนึ่งนั้นตัวลำเรือนั้นในนั้นมีน้ำแต่บนลำเรือนั้นทำเป็นตึกสองชั้นขึ้นไปทำเป็นที่ประชุมฤดูฝน ถ้าฤดูร้อนก็ประชุมกันตามใต้ต้นไม้ ฤดูฝนนี่พระมาสวดมนต์กันที่นั่น แล้วก็ทำเป็นห้องสมุดให้พระศึกษาค้นคว้าต่อไป การก่อสร้างวัตถุภายในวัด ถ้าโยมไปวดสวนโมกข์ทำบุญ ๑๐๐ บาท ท่านได้ ๒๐๐ อย่างไรรึ ก็พระทำกันเองท่านช่วยกันทำ รูปไหนไม่เป็นก็มาฝึกทำ ทำไปๆมันก็เป็น ทำจนเก่งแล้วที่ในวัดนั้นท่านสร้างอนุสรณ์ไว้อันหนึ่งเรียกว่า ธรรมทูตอนุสรณ์ ธรรมทูตอนุสรณ์นี่เป็นที่เก็บศพของท่าน ทำเป็นบ่อกลมๆถังกลมๆ เหมือนที่เราใส่น้ำกลมๆ แล้วก็เวลาท่านสิ้นบุญก็เอาศพหย่อนลงไปในนั้นแล้วก็ปิดเสีย ปิดแล้วข้างบนก็มีรูปปั้นวางไว้ แล้วก็ข้างห้องนี่ก็ทำเป็นตู้ ในตู้นั้นก็บรรจุหนังสือทั้งหมดที่ท่านเขียนท่านแต่งไว้ หนังสือที่พิมพ์แล้วมีจำนวนเท่าใดกี่เล่มเอามาวางๆไว้ เทปอัดเสียงมีจำนวนเท่าใดก็เอามาวางไว้ พร้อมกับหนังสือ แล้วก็มีรูปภาพเกี่ยวกับความเป็นมาการทำงานเอาวางไว้ให้คนข้างหลังศึกษาต่อ ว่าสิ่งที่ท่านยังเหลืออยู่เมื่อท่านสิ้นบุญไปแล้วท่านทำไว้อย่างนั้น คนข้างหลังจะได้ศึกษาได้อ่านเรื่องต่างๆ นี่ทำไว้ให้คนได้ศึกษา เป็นธรรมทูตอนุสรณ์ นี่คืองานที่ท่านทำ
ทีนี้งานที่ท่านทำนี้เป็นงานส่วนใหญ่ทางศึกษาค้นคว้าธรรมะลึกซึ้ง และก็มีการปฏิบัติด้วย คือท่านเคยพูดปรารภให้ฟังว่าประเทศไทยเรานี่นับถือพระพุทธศาสนามาก็นานแล้ว แต่เราน่าละอายแก่ชาวต่างประเทศที่เขามาศึกษาทีหลังเรา เขามีความรู้ทางพุทธศาสนาลึกซึ้งกว่าแตกฉานกว่า ของเราไม่ค่อยมีการศึกษาเชิงลึกธรรมะ อยู่กันอย่างผิวๆเผินๆ แล้วก็มีความเชื่อโน้มเอียงไปในทางไสยศาสตร์มากกว่าพระพุทธศาสนา ท่านมองเห็นว่ามันน่าละอายที่เราอยู่กันเช่นนั้น
ครั้งหนึ่งพระลังกาสองรูป เดินทางในรถไฟแล้วก็เอาหนังสือที่เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ท่านอ่านคือเป็นคำเทศนาของพระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ท่านอ่านจนจบพออ่านจบแล้วท่านก็บอกว่า ไม่มีโลกุตรธรรมในหนังสือเล่มนี้ นี่เขาดูหมิ่นแล้ว พระลังกาสองรูปนั้นเป็นพระนักศึกษา ชื่อโสมะ กับเขมินละ อาตมาไปทีหลังยังไปพบท่านที่เมืองลังกาเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งเคยนั่งรถไฟไปสายใต้แล้วก็ได้เลี้ยงอาหารด้วยกัน ท่านก็บอกว่าเออท่นจำแม่น สองรูปนั้นพูดว่า หนังสือทั้งสือทั้งเล่มนี้ไม่มีโลกุตรธรรมเลย เขาดูหมิ่นว่าการศึกษาของเรามันยังน้อยอยู่ในขั้นศีลธรรมแต่ยังไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นโลกุตรธรรม การเทศนาของพระก็เทศน์อยู่ในวงจำกัดไม่ก้าวหน้า หนังสือตำหรับตำราก็ไม่ค่อยจะมี อันนี้พวกมหายานที่เขานับถือพุทธศาสนานิการมหายาน เขามีหนังสือที่คนเขียนขึ้นน่าอ่านลึกซึ้ง ทำให้ฝรั่งชาวตะวันตกมาสนใจศึกษาค้นคว้าเอาไปอ่าน เขามาไทยเรานั้นไม่มีถึงขนาดนั้น น่าละอายฉะนั้นเราต้องศึกษาค้นคว้าให้ลึกซึ้ง ให้ฝรั่งเขาเห็นว่าเมืองไทยก็มีเรื่องลึกซึ้งเหมือนกันแล้วก็ผลปรากฏว่า ครั้งหนึ่งมีการประชุมชาวพุทธทั่วโลกที่เชียงใหม่ ท่านก็เขียนไปอ่านให้เขาฟังเป็นภาษาอังกฤษ อ่านให้เขาฟังเมื่อเขาฟังแล้ว ฝรั่งนายฮัมฟรีย์ นี่เป็นชาวอังกฤษที่นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี เป็นนายกสมาคมใหญ่ในอังกฤษพอแล้วเขาก็แสดงความรู้สึก บอกว่าไม่นึกเลยว่าพระเมืองไทยจะมีความคิดก้าวหน้าลึกซึ้งอย่างนี้ เขาไม่นึกว่ามีอย่างนั้น แล้วถ้ไม่มีท่านพุทธทาสเขียนอะไรไปแสดงครั้งนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร พระเมืองไทยเราก็ไม่ได้มีความหมายในสายตาฝรั่งพวกนั้น แต่เมื่อเขาได้ฟังแล้วเขาบอกว่าเขาดีใจว่าในเมืองไทยก็ยังมีพระอย่างนี้ นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าท่านทำงานในด้านที่คนอื่นทำไม่ได้ ในด้านที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน
แม้ท่านอยู่ในป่าท่านทำงานอย่างนั้น ศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง คัมภีร์พระไตรปิฎกนี่ อาตมาอยากจะคุยว่าพระในเมืองไทยนี่ไม่มีใครอ่านพระไตรปิฎก มีอ่านอยู่แต่ท่านเจ้าคุณองค์เดียวเท่านั้น อันนี้คุยได้ แม้จะลงชื่อไว้ในสัญญาบัตรว่าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎก แต่ไม่เคยชม ไม่เคยอ่าน ไม่เคยรู้ เรียนบาลีนี่ เรียนได้เก้าประโยค เสร็จแล้วไม่เคยเปิดคัมภีร์อ่าน ไปทำอะไรไปนั่งดูหมอ ได้เก้าประโยคไปนั่งดูหมอ ถ้าไปนั่งดูหมอไม่ต้องเสียเวลาเรียนถึงเก้าประโยคหรอก เรียนอะไรก็ไปดูหมอได้ มันไม่ลำบากยากเย็นอะไร ไม่ศึกษาค้นคว้าเรื่องพระพุทธศาสนา ท่านมีความรู้สามประโยคเท่านั้น ถ้าเปรียบกันแล้วความรู้ท่านน้อย แต่ว่าท่านใช้ความรู้นั้นทำการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จนกระทั่งว่าแปลหนังสือเล่มโตๆให้คนได้อ่านได้ศึกษา เป็นเรื่องที่คนไม่เคยได้อ่าน วันหนึ่งอาตมาไปพูดกับพระเปรียญเก้ารูปหนึ่งว่า ท่านเจ้าคุณพุทธทาส กำลังเทศน์เรื่องอิทัปปัจจยตา ท่านถามว่า อะไรนะอิทัปปัจจยตาอะไร ท่านไม่รู้เรื่อง คืออะไรเขียนว่ายังไง ก็เขียนให้ดูด้วย มันอยู่ที่ไหน ไม่เคยได้ยินคำนี้ นี่โยมคิดดูนะไม่เคยศึกษาให้ลึกซึ้ง คำที่ลึกซึ้งมันมีอยู่ในพระไตรปิฎกไม่เคยพบ เป็นเก้าประโยค เป็นนักเทศน์ด้วยนะ เทศน์ตามงานวัด เทศน์คู่ เทศน์เดี่ยว เทศน์อยู่อย่างนั้นละ แต่ไม่รู้ว่าอิทัปปัจจยตาคืออะไร เลยแปลให้ฟังว่า เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ ความหมายของอิทัปปัจจยตา ซึ่งมีอยู่ในพระคัมภีร์ ความรู้ในพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้งนี่ไม่เคยมีปรากฏในเมืองไทยทั้งที่เรานับถือพุทธศาสนามานานแล้ว ท่านไปขุดขึ้นมาไปค้นออกมาเอามาพูด
บางทีพูดแล้วฮือฮากันทั้งประเทศเลย ยกตัวอย่างเช่น พูดว่าเรื่องสูญญตา เรื่องจิตว่างนี่ ฮือฮา เขียนด่าท่านเจ้าคุณกัน พวกอภิธรรมนี่ ที่กรุงเทพเขียนด่ากันเป็นหนังสือเล่มโตเลย บอกว่าเอาอะไรมาพูดมันไม่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา เอาเรื่องมหายานมาพูด นะด่าใหญ่เลยรุมกันด่ารุมกันโขกสับใหญ่โต ท่านเฉยๆ อ่านเหมือนกันอ่านที่เขาด่าแล้วท่านก็ยิ้มๆไปตามเรื่อง วันหลังมาเทศน์ใหม่ มาเทศน์ที่กรุงเทพ เทศน์คราวนี้ท่านตั้งเป็นคำถามคำตอบเลย ถามตอบแล้วก็อ้างที่มาซะด้วย อ้างว่าอยู่ในพระสูตรไหนคัมภีร์ไหน หน้าไหนด้วย อ้างให้ละเอียดด้วย อ้างว่าอยู่ในสูตรไหน เล่มไหนหน้าที่เท่าใด พวกที่ด่าทั้งหลายเงียบเลยเงียบกริบ ถ้าไม่มีหลักฐานท่านไม่เอามพูดหรอกท่านเจ้าคุณพุทธทาส ก็มีหลักอยู่ในคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ พูดเฉพาะพระอภิธรรม ฮือฮากันเลยด่าขรมด่าเป็นหนังสือ แล้วด่าบ่อยด้วยพูดวิทยุก็ด่าทุกคืน ท่านก็เฉยๆไม่ได้ว่าอะไร ก็บอกว่าเขาด่าหลวงพี่ ท่านก็บอกโธ่เอ๋ยโลกมนุษย์มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ มันไม่ชอบกันก็ด่าไปตามเรื่อง ถ้าชอบก็ชมไปตามเรื่อง เราไม่สนใจ นี่ท่านพูดออกมาเรื่องสูญญตา ยังมีอีกคราวหนึ่งเทศน์ว่าภูเขาแห่งวิถีพุทธรรม คือท่านมาเทศน์กรุงเทพครั้งแรกนี่ ตั้งแต่ทำงานไม่เคยได้มาเทศน์ เขานิมนต์มาครั้งแรกนี่
เรื่องที่ได้นิมนต์มาครั้งแรกนี่ก็เพราะว่าสมัยนั้น เป็นสมัยสงคราม แล้วก็คุณวุฒิ สุวรรณรักษ์ นี่ก็เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎ์ เอาหนังสือที่ท่านเขียนอะไรต่ออะไร ไปให้ท่านปรีดี พนมยงค์ อ่าน ท่านปรีดี พอท่านอ่านแล้ว ต่อมาพอท่านว่าง เพราะเป็นผู้สำเร็จราชการงานก็เลยว่าง สมัยเป็นรัฐมนตรีงานท่านเยอะไม่ค่อยว่าง พอว่างแล้วก็บอกท่านวุฒิว่าไปนิมนต์ท่านพุทธทาสมาคุยกันหน่อย มาคุยกันตั้งสามวันคุยกันตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงสี่ทุมตั้งสามวัน วันสุดท้ายนี่พาอาตมาไปด้วย ที่พาไปด้วยนี่คุณปรีดี เกิดเลื่อมใส อยากจะสร้างวัดแบบสวนโมกข์ที่อยุธยา ที่วัดพนมยงค์ ใกล้บ้านเกิด ก็บอกว่าจะให้พระองค์ไหนไปอยู่ ท่านก็มาพาอาตมาไป บอกว่าองค์นี้ละจะให้ไปอยู่ แต่ไม่ได้อยู่หรอกมันสร้างไม่เสร็จ มันเกิดเรื่องยืดยาวจนไม่ได้สร้าง ทีนี่ในการมาคุยกันสามวันนี่ ก็ได้นิมนต์ให้เทศน์ที่ พุทธสมาคม เทศน์เรื่องแรก ชื่อว่า วิถีการเข้าถึงพุทธรรม เราจะเข้าถึงพุทธรรมได้อย่างไร เข้าถึงพระพุทธะที่แท้ได้อย่างไร ท่านเทศน์ที่นั่น คนฟังมาก ท่านปรีดีกับท่านผู้หญิงมานั่งฟังด้วยตลอด ต่อมาก็มาเทศน์กัณฑ์ที่สอง เทศน์ว่าภูเขาวิถีพุทธรรม คือ สิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้คนเข้าไปสู่พุทธรรมได้ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เรายึดถือไม่ถูกนั่นแหละ มันทำให้ขวาง ไปยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ถูกต้องสิ่งนั้นขวางไม่ให้บรรลุสัจธรรม
ฮือฮากันใหญ่เลยทีเดียว โดยเฉพาะท่านอุบาสกอายุมากคนหนึ่ง คือ ... (41.01) ปริญญา เขียนหนังสือด่าอีกแล้ว เรียกว่าด่า หาว่าเป็น ... (41.09) เสเพลไปเรื่อย ถ้าเราเอามาอ่านแล้วเหลือเกินนะ พูดถ้อยคำหยาบคาย ว่าท่านอย่างรุนแรง ท่านก็ไม่ว่าอะไร เฉยๆ แล้วทีหลังก็มาเทศน์ต่อไปอีก เทศน์เรื่องนั้นอีก ท่านวางแนวของท่านไว้แล้วใครจะมาเขย่า มาโค่นเท่าไร ไม่มีเปลี่ยนแปลง ท่านจะต้องพุ่งไปตามแนวนั้นให้คนเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องสุญญตา พูดมาครั้งแรกฮือฮา คนไม่รู้เรื่อง ท่านบอกว่า น่าขอบใจหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ที่เขาอุตส่าห์ด่าบ่อยๆ ทำให้คนสนใจอ่าน คือ ว่าบ่อยๆ พูดแซวบ่อย อย่างนั้น คนเลยสนใจ ท่านเคยคิดว่าต้องใช้เวลาสัก ๒๐ ปีคนจึงจะเข้าใจสุญญตา แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึง ๒๐ ปี แล้ว เพราะหนังสือพิมพ์มันช่วยแซวบ่อยๆ พูดภาษาบ้านๆว่า แซว คึกฤทธิ์ ก็แซวบ่อย หนังสือพิมพ์เขานั่นก็แซวบ่อย ว่าบ่อย ไม่มีอะไร กระทบเรา เรามันไม่ใช่คนจิตว่างอะไรอย่างนี้ กระทบกระแทกท่านบ่อยๆ แต่ท่านก็ยืนหยัดไปตามแนวของท่าน ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะได้ศึกษาค้นคว้ามาในรูปอย่างนั้นแล้วก็พูดไป
ปกติท่านอยู่ที่วัด ท่านไม่รับนิมนต์ทั้งนั้น คนไชยา คนสุราษฎ์ จะนิมนต์ท่านไปที่บ้าน จะไปงานศพ จะไปงานอะไร ท่านไม่ไปทั้งนั้น ท่านบอกว่าพระอื่นถมไป อย่ามารบกวนฉัน ไอ้งานอย่างนั้นพระไหนๆก็ทำได้ ฉันทำงานที่พระอื่นเขาไม่ทำ เวลามันไม่มีสำหรับไปทำงานอย่างนั้น เมื่อท่านไม่ไปท่านมีเวลาสำหรับศึกษาค้นคว้าของท่าน แปลหนังสือบาลีออกมาให้คนอ่าน เทศน์ให้คนเข้าใจ ท่านทำอย่างนั้นจึงไม่มีกิจนิมนต์ แต่ว่าพระในวัดนั้นไปได้ เขามานิมนต์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นสมภาร ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส สวนโมกข์ ท่านไม่ยุ่ง ท่านทำแต่งานของท่าน ถ้าเขามานิมนต์ก็พระอื่นไปตามเรื่องแต่ท่านไม่เคยไป ไม่ไปไหน น้องสาวตาย ยังไม่ไปเลย ที่ท่านไม่ไปท่านปรารภว่า เรากำลังแก้ไขปัญหาสังคม แก้ไขงานสงฆ์ที่มันไม่เข้าเรื่อง ท่านไม่ไป คุณโยมหญิงท่านถึงแก่กรรม ท่านก็มาดูมาเยี่ยมทุกวัน มาคุยธรรมให้ฟัง พูดเรื่องการปล่อยการวางไปตามเรื่อง แล้วก็กลับไปพักที่วัดใกล้ๆ บ้าน เรียกวัดไชยาราม
ตอนนั้นคุณโยมเจ็บหนักมากเข้าขั้นโคม่า เขาไปบอกว่าโยมเจ็บมาก ท่านก็เดินปกติ เดินตามปกติมาเรื่อยๆ มาถึงก็นั่นดูโยมที่อาการมาก ก็ไม่พูดไม่จาอะไร ดูไปตามเรื่อง พูดก็ไม่ได้ยินแล้ว จะพูดอะไรอีก พูดกันมานานแล้ว ก็ไม่พูดอะไร แล้วโยมก็สิ้นใจ เมื่อโยมสิ้นใจแล้วท่านก็ลุกขึ้นกลับวัด คือนึกว่าจะไม่มีอะไรแต่ว่าโยมเคลื่อนท่านเที่ยวทำบุญไว้ในวัดอำเภอไชยานี้ทั่วไป สมภารวัดต่างๆก็พากันมาเป็นการใหญ่แล้วมาบอกเจ้าคุณว่า โยมเคลื่อนนี่ไม่ใช่เป็นโยมท่านเจ้าคุณคนเดียว แต่เป็นโยมของพวกผมด้วย ผมจะทำศพให้สมฐานะ ท่านบอกว่าตามใจ แล้วเขาก็ทำกันไป นิมนต์พระมาสวด มาเทศน์ มาอะไรต่ออะไร ทำที่เผาเป็นปรำขึ้น ทำลวดลาย ท่านไม่ยุ่งงด้วย เขาทำของเขา ไปตามเรื่องของเขา ท่านก็ไปดู วันเผาท่านก็ไปเผา ท่านก็ดูไปตามเรื่องเมื่อเผาเสร็จแล้ว กระดูกคุณโยมเอาไว้ไหน ท่านบอกนู่นภูเขาท่านชนะ นั่นแหละที่บรรจุอัฐิของโยม โยมชายก็อยู่ที่นั่น โยมหญิงก็อยู่ที่นั่น คือขึ้นไปบนภูเขาวูงแล้วมันมีเหวลึกๆ เราก็หยอดลงไป ท่านบอกว่านั่งเรือในทะเลก็เห็น นั่งรถไฟก็เห็น อยู่ที่สวนโมกข์ ขึ้นไปบนเขานารีก็เห็น นั่งเรือบินก็เห็น อนุสาวรีย์คุณโยม ถ้าโลกยังไม่สลายแล้วภูเขานั้นก็ยังอยู่ตลอดไปเลยบรรจุไว้ที่นั่น เลยไม่ต้องสร้างอะไร ท่านทำอย่างนั้น ตามเรื่องของท่าน
ท่านมุ่งเผยแผ่ธรรมมะเป็นงานหลัก สมัยก่อนมาเทศน์กรุงเทพ ที่อื่นไม่ไป มาเทศน์กรุงเทพ แต่ว่ามีอยู่เจ้าคุณพระยาอมรพิพิธดำรงค์เป็นผู้ว่าการภาค ท่านเป็นนักธรรมมะ นิมนต์ท่านไปเที่ยวเทศน์ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด อบรมข้าราชการ ท่านไป ไปอย่างนั้นท่านไป แล้วก็มากรุงเทพ ตอนนี้ก็มาอบรมผู้พิพากษา เขาเรียกว่าผู้ช่วยผู้พิพากษาที่จะรับงานใหม่ มีการอบรม ๑๐ ชั่วโมง ท่านอบรมทุกปี เป็นหนังสือไว้หลายเล่ม เขามาพิมพ์อยู่ แล้วพอท่านอายุ ๖๐ เขามานิมนต์ท่าน ท่านบอก อาตมาเกษียนแล้ว นิมนต์ท่านปัญญาโน่น อยู่ใกล้ อาตมาก็เลยรับช่วงเวลาต่อ ก็ ๑๖ ปีแล้วตั้งแต่ท่าน ๖๐ นี่ท่านก็ ๗๗ ปีแล้ว พรรษานี้ก็นิมนต์ไว้แล้ว อบรม ๕ วัน งานท่านเป็นอย่างนั้น ผลงานที่ท่านทำนี่มันไม่ใช่มีในเมืองไทย แต่มันดังออกไปต่างประเทศ เพราะสิ่งที่ท่านพูดนี้มันทำให้คนสนใจศึกษา ฝรั่งมังค่าที่มาหาท่าน มาสนทนาแล้วมันได้เรื่อง แต่พวกทัศนาจรนี่ไม่ได้เรื่องอะไร ไปดูรถจอดอยู่นี่ก็ไปดูสวนโมกข์ ถ้าถามว่ามาธุระอะไร ตอบว่ามาเที่ยว ท่านไม่ค่อยพูดด้วยแล้วพวกมาเที่ยว แต่ถ้าบอกว่าอยากจะมาศึกษาธรรมะ พอคุยกันได้ คุยกันทั้งวันก็ได้ ทั้งคืนก็ยังได้ ท่านไม่นอนนั่งหาวให้ดูนะ คุยกันไปไม่มีหาวทั้งคืน คนฟังซะอีกหาวนะ ท่านบอกว่าคนธรรมะเขาไม่ง่วงนอน อยู่คุยกันต่อ สนใจธรรมะแล้วคุยกันได้นั่งคุยกันได้ สนทนากันได้นานๆ
หนังสือที่ท่านพูดออกไปบางเรื่องนี่เขาแปลเป็นภาษาต่างประเทศ แปลเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาเขมรอันนี้ใกล้ๆ แปลเป็นภาษาลาว แปลเป็นภาษาจีน ต้นฉบับท่านก็เก็บไว้ หนังสือที่เขาแปลเป็นภาษาอื่นเขาก็ส่งกลับมาให้ท่านก็เก็บไว้ดูว่าหนังสืออะไรที่เขาแปลไปบ้าง มันก็แพร่หลายไปทั่วโลก งานของท่านนี่ไปทั่วโลก ทำคนให้รู้จักพระพุทธศาสนา ให้เข้าถึงหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ภาษาอังกฤษท่านเสนาขันธ์ ได้เขียนด่าท่านไว้ในหนังสือเดียรถี บอกว่ามีความรู้เท่ากับ มศ.๓ เด็กประถมหก มาพูดเขียนภาษาอังกฤษ หาว่าท่านอวด ความรู้นิดหน่อยเหมือนแงป่องชูหางร่าอยู่ตลอดเวลา อยากจะบอกให้ญาติโยมทราบว่า ท่านเจ้าคุณท่านรู้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เล็กน้อย ถามว่าจะคุยกับด็อกเตอร์ชาวอังกฤษ อเมริกันได้ สามวันก็ไม่จบ คุยกันสบายๆสามวันก็ไม่จบ พวกด็อกเตอร์ฝรั่งมานั่งพับเพียบอยู่ข้างเท้าท่าน คุยกันสามวันสามคืนเลย คราวหนึ่งด็อกเตอร์อินเดีย เก่งบาลี มาถึงก็คุยภาษาบาลี พูดบาลีเลยท่านบอกว่าอย่าคุยภาษาบาลีเลย คนอื่นเขาไม่รู้เรื่อง นี่ด็อกเตอร์ฝรั่งนั่งอยู่นี่ฟังไม่รู้ คุยอังกฤษกันดีกว่าคนอื่นจะได้รู้เรื่องมั่ง คุยกันไปคุยกันมาหลายแง่หลายมุม พอถึงบทสูญญตานี่ ท่านเจ้าคุณพูดถึงสูญญตา ไม่มีไม่มีในคัมภีร์พุทธเถรวาท ท่านเดินเข้าห้องหยิบหนังสือมา อ่านบาลีให้แขกฟัง แขกฟังแล้วนิ่ง ยกนิ้ว เรานี่มันที่หนึ่งนะ ด็อกเตอร์บาลีอ่านคัมภีร์ไม่ทั่ว ด็อกเตอร์แขกอ่านไม่กี่เล่ม นี่ด็อกเตอร์นะ เจ้าคุณยังอ่านหมด แหมความรู้เยอะเหลือเกินเลยยกนิ้วให้ ยอมๆๆ คุยกันแล้วก็ยอม ไม่รู้จริงๆ ลึกซึ้ง ในคัมภีร์บาลีมี ไม่ได้พูดเอาเองแปลเอาเอง ภาษาท่านเก่งพูดได้สบาย ฝรั่งที่ไปบวชอยู่ที่นั่นก็ได้ความรู้ได้ความเข้าใจ บวชวัดนี้อาตมาไม่ให้อยู่ส่งไปวัดไชยา ให้ไปเรียนที่โน่น ไปแล้วก็ได้ประโยชน์ท่านจะได้สอนให้เข้าใจพุทธศาสนาลึกซึ้ง จะได้เอาไปสอนเพื่อนของท่านในเมืองฝรั่งต่อไป
งานของท่านที่ทำอยู่ห้าสิบกว่าปี งานคณะธรรมทานไม่ใช่งานเฉพาะพระศาสนา แต่งานสร้างคนอำเภอไชยาให้มีความรู้ความเข้าใจ ตั้งโรงเรียนพุทธนิคมวิทยาลัยขึ้น ทั้งหญิงทั้งชาย สอนถึง มศ.๕ ลูกศิษย์ของโรงเรียนพุทธนิคมวิทยาลัย เดี๋ยวนี้เป็นอธิบดีกรมศิลปากร เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วก็เป็นอะไรต่ออะไรที่ต่างประเทศก็มี ลูกศิษย์ที่สร้างขึ้นจากผลงานที่ท่านได้เริ่มทำมาโดยลำดับจนกระทั่งบัดนี้ห้าสิบปี จึงได้มีการฉลองและก็ได้ทำหนังสือพิเศษเล่มหนึ่งเรียกว่าครบรอบ ๕๐ ปีเพื่อให้ใครๆได้รู้บ้างและให้ใครเขียนมาลงหลายคน อาตมานี่ก็เรียกว่าได้ร่วมงานกับท่านมาโดยลำดับ ช่วยพูดช่วยโฆษณาให้คนได้รู้ได้อ่านศึกษาหนังสือของท่าน หนังสือของท่านพุทธทาสนั้นเราจะต้องอ่านช้าๆ เหมือนกับกินเนื้อติดกระดูก เคี้ยวไม่ออก เอากระดูกใส่ปากแล้วไม่ได้เรื่องอะไร เคี้ยวถูกเนื้อกระดูกละไม่ไหว ต้องค่อยๆแคะออก ต้องค่อยๆอ่าน อ่านช้าๆ อ่านทีละหน้าแล้วก้นั่งนึกนั่งคิด ถ้าได้อ่านอย่างนั้นไม่ได้อ่านรวดไปแล้วบอกว่าอ่านแล้วไม่ได้เรื่องอะไรหรอก
คำพูดบางคำที่ท่านพูดคนอื่นเขาไม่พูดกันเขาหาว่าท่านพูดหยาบ เช่นคำว่า ตัวกูของกู บางคนบอกว่าท่านพุทธทาสพูดภาษาต่ำๆ ตัวกูของกู ถ้าพูดอย่างนั้น พ่อขุนรามคำแหงก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน พ่อขุนรามคำแหงพูดภาษาธรรมเหมือนกัน กูไปรบได้ของมาเอามาให้แก่พ่อกูแม่กู พ่อกูตายแม่กูตายเหลือแต่พี่กู กูบำเรอพี่กู กูทั้งนั้น ไม่ได้มีครับกระผมท่านใต้เท้า กู ทั้งนั้น ที่เชียงใหม่มีพระอยู่องค์หนึ่ง ชื่อว่าครูบาวัดฝายหิน ท่านพูดกับใครก็มึงกูทั้งนั้น เจ้าผู้ครองนครไปท่านก็ว่า มึงบ่อมาวัดโดนแล้ว กูคิดถึง นี่มึงกูทั้งนั้น รัชกาลที่ ๕ เสด็จเชียงใหม่ไปไหว้ท่านถึงวัด ท่านบอกว่า โอ้มึงอุตส่าห์มาถึงเชียงใหม่กูดีใจแท้ ก็ท่านพูดอย่างนั้นจิตบริสุทธิ์ คนอย่างนี้จิตบริสุทธิ์ธรรมดาไม่มียกยอปอปั้น กูดีใจแต้ที่มึงมาถึงเชียงใหม่ ว่างั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ชอบอกชอบใจ ตั้งให้เป็นเจ้าคุณเลย ชื่อว่าอภัยสารธะ แปลว่าผู้แกล้วกล้าในสิ่งที่เป็นไป พอพูดมึงพูดกูนี่เราอย่าไปถือว่ามันหยาบเลยมันอยู่ที่คนพูด แม้พูดใต้เท้าแต่ใจมันมีอกุศลแล้วมันหยาบเหมือนกันแหละ มันอยู่ที่ใจเราเราพูดด้วยเจตนาอะไร นี่ท่านพูด ตัวกูของกู เพื่อให้มันฟังง่าย มาจากบาลีว่า อะหังกาละ มะมังกาละ อะหังกาละ ก็คือตัวกู มะมังกาละ ก็คือของกู ท่านพูดให้ฟังง่าย แล้วก็มีคำน่ารักๆแปลกๆออกมาเรื่อย เช่นคำว่า ไม่น่ารัก ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น และก็มีคำว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง มาจากคำว่า ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มีอะไรเกิดขึ้นก็ให้พูดว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นลูกตาย เราก็ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ก็ต้องตายกันทั้งนั้น คิดได้ว่าเป้นเช่นนั้นเองก็สบายใจ ท่านพูดอะไรออกมาอย่างนั้น
ผลงานท่านเยอะญาติโยมศึกษาได้จากหนังสือ อยากรู้จักท่านพุทธทาสไม่ต้องไปศึกษาวัดไชยา อ่านหนังสือของท่าน คนบางคนถามว่าอ่านหนังสืออะไรบ้างแล้ว ยังไม่ได้อ่านเลยไม่ได้เรื่องอะไร ท่านให้อ่านหนังสือ ท่านทำหนังสือไม่ใช่ไปรู้ตัว ตัวท่านก็ไม่ได้สวยได้งามอะไรอ้วนเทอะทะนั่งอยู่บนม้าหินนั่น นั่งอยู่ตรงนั้นละไม่รู้ใครถวายก็ไม่รู้ ท่านนั้งอยู่แต่ตรงนั้นละ เวลาท่านสิ้นบุญม้าหินตัวนั้นก้ต้องยกเข้าพิพิธภัณฑ์เพราะว่านั่งอยู่ทุกวันตัวนั้นละไม้เท้าอันหนึ่งเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ ชีวิตท่านเป็นอย่างนั้น เป็นพระรูปหนึ่งในประเทศไทยที่มีชีวิตเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่พระศาสนาจริงๆ ทำงานจริงๆ มีคนรู้จักเฉพาะคนที่ศึกษา
วันฉลองวันเกิด มีคนมาจากเชียงรายมาจากพะเยาว์ มาจากภาคอีสาน มาจากสุรินทร์ มาจากจันทบุรี ไม่ใช่คนใกล้ๆไปกัน แต่ว่ามาทุกทิศ พระก็มาสองร้อยกว่ารูปไปก็ไปอดข้าวกันไม่ได้อะไร อาตมาก็จะอดเหมือนกันแต่มันอดไม่ได้เช้าก่อนขึ้นเครื่องบินก็ฉันมาแล้ว ขึ้นมาเขาให้ขนมอีกสองอันก็เลยฉันเสียด้วยเลยไม่ได้อดกับเขา จะไปอดทุกทีก็ไม่ได้อด ไม่ได้ไปนอนก่อนวันเกิดถ้าไปถึงวันที่ ๒๖ ก็จะได้อด นี่ไม่ได้อดทุกที
นี่เอามาเล่าสู่กันฟังว่าท่านทำงานอย่างไร ก็พอสมควรแก่เวลาขอยุติไว้แต่เพียงนี้ ฝนฟ้าไม่ตกก็พอนั่งใส่บาตรกันได้ ต่อนี้ไปก็ขอญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งตัวตรงหลับตา หายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ อย่าให้จิตวิ่งไปที่อื่นกำหนดรู้ลมเข้าลมออกเป็นเวลา ๕ นาที