แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ไม่พัด และผู้ใดผู้หนึ่งที่สามารถได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงชัดเจน แล้วจงตั้งใจฟังให้ดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือน กรกฎาคม ๒๕๔๕ วันอาทิตย์แรกของเดือนนี้ตามปกติก็ไปปาฐกถาทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ แต่ว่าเดือนนี้เขาเลื่อนให้ไปแสดงวันอาทิตย์ที่ ๔ คือวันอาทิตย์ที่ ๒๕ กรกฎาคม วันนี้สมเด็จพระญาณสังวร แสดงแทน แล้วก็เมื่อตะกี้นี้ไปออกโทรทัศน์ พูดทางโทรทัศน์ให้ญาติโยมทั้งหลายฟังด้วยกลับมาถึงวัดก็ทันเวลาพอดี
พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนา คือเป็นวันอาสาฬหบูชา การบูชาในวันเพ็ญเดือนแปดซึ่งเราถือว่าเป็น วันสำคัญขอชวนญาติโยมทั้งหลายมาวัด มาตอนเช้าอย่างนี้แล้วก็มานั่งฟังปาฐกถาอย่างนี้ ตักบาตรอย่างวันอาทิตย์ แล้วก็ควรจะพักอยู่ที่วัดสบายๆเพื่อหา ความสงบทางด้านจิตใจ เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา เพราะว่าวันสำคัญในทางศาสนานั้น เราควรจะถือว่าเป็นวันสำคัญของชีวิต เป็นวันสำหรับพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ให้เจริญก้าวหน้าในทางศีลธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ แก่ตัว แก่ครอบครัว ตลอดจนถึงส่วนรวม คือประเทศชาติอันถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งทีนี้การปฏิบัติบูชานี่เรียกว่าเป็นการบูชาที่ถูกต้องสมจุดหมายของพระพุทธเจ้าในเวลาพระองค์ใกล้จะนิพพาน มีคนเอาดอกไม้ไปบูชาพระองค์เป็นจำนวนมาก เรียกว่า กองต์มบนเรือใบ (02.51 ไม่ยืนยัน)
พระองค์บอกกับพระอานนท์ว่าการกระทำของประชาชนในรูปอย่างนี้ยังไม่ชื่อว่าเป็นการบูชาตถาคตแต่อย่างแท้จริง การบูชาตถาคตแต่อย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่อะไร พระองค์ตรัสว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใด ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติรอบรู้ปฏิบัติตามธรรมะอยู่ ผู้นั้นแหละได้ชื่อว่าสักการะ เคารพนับถือบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันสูงสุด การบูชาอันสูงสุดก็คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือการชำระล้าง กาย วาจา ใจ ของเราให้สะอาด ปราศจากทุกข์อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน นั่นคือการบูชาด้วยการปฏิบัติ การบูชาด้วยการปฏิบัตินั้นทำให้พระศาสนาตั้งมั่น คือตั้งมั่นอยู่ในใจคนผู้ปฏิบัติศาสนาต้องอยู่ในใจคน ถ้าอยู่ที่อื่นนั้นก็ยังใช้ไม่ได้ เรียกว่าเป็นศาสนาด้านนอก ไม่ใช่ศาสนาด้านในศาสนาด้านนอกนั้นอยู่ที่วัตถุ เช่นอยู่ในคัมภีร์ อยู่ที่เจดีย์ อยู่ที่พระพุทธรูปอะไรต่างๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นศาสนาด้านนอก
ส่วนศาสนาด้านในนั้นต้องอยู่ในใจของเรา ใจของบุคคลใดแนบสนิทอยู่กับธรรมะ ผู้นั้นชื่อว่าได้ปฏิบัติบูชา การ ปฏิบัติบูชาเป็นการสืบศาสนาให้ดำรงมั่นต่อไป เราจะสร้างวัตถุมากมายสักเท่าไหร่ เช่นสร้างเจดีย์เต็มเมือง สร้างพระพุทธรูปเต็มเมืองก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง การบูชาพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นเราต้องทำ กาย วาจา ใจ ของเราให้ถูกให้ตรง ตามหลักคำสอนของพระองค์จึงจะชื่อว่าเป็นการบูชาแท้ การบูชาแท้นี้ทำให้เราพ้นทุกข์ ทำให้เราหมดปัญหา แต่ถ้าเราเพียงบูชา ด้วยดอกไม้ ธูปเทียนนั้นยังไม่ถึงจุดที่ต้องการ แต่ว่าก็ใช่ว่าจะไม่ดีซะเลยทีเดียว ก็ดีบ้างเช่นว่า เรามาจัดใส่แจกันให้พอสมควร ไม่มากไม่มายเกินไปเอาแต่พองาม พอดูแล้วมันสบายตาเพียงเท่านั้นก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องเอามามากๆ เอามามากๆก็ทิ้งๆขว้างๆมันเสียประโยชน์ไปเสียเปล่าๆ ได้ดูได้เห็นแล้วรู้สึกว่ามันมากไป จริงอยู่เอามาคนละนิดละหน่อย แต่มากองรวมกันแล้วก็มาก บางอย่างก็ไม่จำเป็น เช่น ธูปนี่ไม่จำเป็น ไม่ต้องคิดซื้อมา เป็นซองๆมาไม่มีธูปก็มาได้ ขอให้มีกายกับใจ มาก็แล้วกัน เราไม่ต้องไปกังวล เรื่องไม่มีธูปไม่มีเทียน ไม่มีดอกไม้ให้ถือว่าเรื่องอย่างนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เรื่องสลักสำคัญก็คือให้ตั้งใจว่าเรามาวัด มาวัดเพื่ออะไร มาวัดเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อปฏิบัติธรรมะ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา นั้นแหละคือยอดแห่งการบูชา ยอดแห่งดอกไม้ ธูปเทียน ที่เราบูชาพระองค์ด้วยการปฏิบัติอันนี้เป็นเรื่องที่ควรกระทำให้มากเป็นพิเศษ ญาติโยมทั้งหลาย ควรจะได้เข้าใจเรื่องนี้
ทีนี้วันพรุ่งนี้เรียกว่าเป็นวันอาสาฬหบูชา ก็เป็นวันที่เราควรจะได้มาบูชาพระ มานึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงว่าพระองค์ได้ทรงกระทำอะไรในวันอาสาฬหบูชา เราก็ควรนึกว่าพระองค์ได้ทรงกระทำจิตอันยิ่งใหญ่ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกในสังคมที่ผ่านมา และในสังคมยุคปัจจุบัน เพราะพระองค์ได้ประกาศ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง สิ่งที่พระองค์ประกาศนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ค้นพบด้วยพระองค์เอง การค้นพบด้วยพระองค์เองนี่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องที่ให้เราทั้งหลายได้ตระหนักไว้ในใจว่า มนุษย์เรา จะต้องช่วยตัวเอง ต้องพึ่งตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรม ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราให้เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเราได้ เกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติด้วยการศึกษาค้นคว้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระโพธิญาณภายใต้ต้นโพธิ์ ไม่ใช่เพราะอาศัยอำนาจเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาดลบันดาลให้พระองค์ตรัสรู้ในพุทธศาสนาเราไม่มีหลักการเช่นนั้น แต่พระองค์ตรัสรู้ด้วยความเพียรมั่น ด้วยความอดทนด้วยความตั้งใจจริง ด้วยความเสียสละเพื่อให้รู้ให้เข้าใจสิ่งนั้นชัดเจนถูกต้องแล้วพระองค์ก็ได้พบความรู้นั้น ความรู้ที่ได้ทรงพบนั้นเป็นความรู้ที่ได้ด้วยการช่วยตัวเองพึ่งตัวเอง ด้วยความสามารถของพระองค์เองแท้ๆและอันนี้เป็นหลักที่ควรจะได้ใส่ใจไว้เพื่อจะได้เอามาเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่ด้วยการยืนด้วยขาของเราเองเราจะต้องใช้สมองของเรา ใช้สติปัญญาของเรา ใช้ความสามารถของเรา อย่ามัวไปเที่ยวอ้อนวอนสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้มาช่วยเรา เหมือนที่เราทำกันอยู่ทั่วๆไป ไปไหว้พระก็ไปอ้อนวอน ไปบวงสรวงบนบานให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ การกระทำอย่างนั้น เรียกว่ายังเป็นคนประเภทปัญญาอ่อนอยู่ ยังไม่เข้าถึงจุดที่เราต้องการ
พุทธบริษัทเรานั้นไม่มีการอ้อนวอนอะไร แต่เราจะลงมือทำทันทีในสิ่งที่เราต้องการ เราอยากจะเรียนให้สำเร็จ เราก็ต้องเรียน เช่นลูกหลานนี้เราต้องสอนให้มันเรียนด้วยใจรัก เรียนด้วยความขยัน เรียนด้วยความเอาใจใส่ เรียนด้วยการคิดการค้น เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและผลก็จะตอบเราได้สมความปรารถนาแต่ถ้าหากว่าเราไม่ให้เด็กสนใจในการเรียน ไม่ขยัน ไม่เอาใจใส่ ไม่รัก เด็กมันจะสอบไล่ได้อย่างไร ถ้าโตขึ้นมันก็ไม่มีความรู้ แล้วก็เที่ยวเดินเตร่ไปเดินเตร่มาในที่สุดก็ไปเจอเพื่อนคอกัญชาเข้ามันก็มานั่งสูบกัญชายิ้ม อยู่คนเดียวกับต้นไม้มันก็เสียผู้เสียคนเพราะไม่ได้ใช้ธรรมะกันตั้งแต่เบื้องต้น ทำให้เกิดเป็นปัญหากันขึ้นมา เราจึงต้องเอาหลักการของพระพุทธเจ้าไปสอนเด็กว่าทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความเพียร สำเร็จด้วยความเอาใจใส่ สำเร็จด้วยการคิดการค้น เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ อย่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับอะไรๆต้องฝากไว้กับตัวเอง แต่ว่าตัวเองต้องใช้ธรรมะ พึ่งตนนั่นต้องพึ่งธรรมะ เอาธรรมะมาเป็นหลักเป็นที่พึ่งปฏิบัติเป็นเพื่อให้เกิดความก้าวหน้า คือเราดูว่าชีวิตของคนบางคนที่เขาตั้งต้นชีวิตด้วยความไม่มีอะไร ความจริงมันไม่มีอะไรด้วยกันทุกคน เวลาเกิดมาไม่มีใครเอาอะไรมา มาตัวเปล่าแต่ว่าเขาพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวไม่ละโอกาสเวลาทีเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเพราะเขาทำงานนั้นด้วยความตั้งใจจริง ในที่สุดก็ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มีทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกอง
สิ่งเหล่านั้นเกิดด้วยการประพฤติธรรม ไม่ใช่เกิดมาลอยๆ ไม่ได้เกิดมาเฉยๆ หรือไม่ได้เกิดเพราะว่านี่ดวงมันดี ไอ้นี่มันเจริญ ดวงดีแต่ขี้เกียจ แล้วมันจะดวงดีได้อย่างไร ดวงดีไม่ใช้สติปัญญาคิดค้น มันจะไปรอดได้อย่างไร ดวงดีไม่ดีคบคนดีแล้วเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการงานแล้วมันจะไปกันได้อย่างไร มันอยู่ที่เขาตั้งใจทำดีตามหน้าที่จนสามารถก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ในชีวิตของตน ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่ในด้านไหนๆ ยิ่งใหญ่ด้านการเมือง ในการเศรษฐกิจ ในการเป็นผู้รู้วิชาการต่างๆ สิ่งเหล่านี้สำเร็จด้วยความตั้งใจจริงทั้งนั้น การตั้งใจจริงนั้นน่ะ คือตัวธรรมะ ที่เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราเอาตัวอย่างจากการจัดการชีวิตของพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าท่านไปอยู่ในป่าท่านไปศึกษาไปค้นคว้า ขั้นแรกไปเรียนกับครูอาจารย์ก่อน เพราะยังใหม่ก็เรียนไปศึกษาไปเอามาปฏิบัติทดสอบก็มองเห็นว่ายังไม่ใช่ทางที่จะไปถึงจุดหมายคือความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ไม่หลงอยู่ในสิ่งนั้นไม่มัวเมาอยู่ในสิ่งนั้นแม้อาจารย์จะมอบความเป็นใหญ่ให้ พอเรียนเสมออาจารย์ว่านี่เธอเป็นใหญ่สอนศิษย์ต่อไป พระองค์ก็ไม่เมาในความเป็นใหญ่ไม่เมาในความรู้ที่ได้รับเพียงเล็กน้อยเพราะมันยังไม่ถึงจุดหมายที่พระองค์ต้องการ ใจก็ลาออกจากสำนัก นั้นไปศึกษาในสำนักอื่นต่อไป มีอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เมื่อได้เรียนทุกแห่งแล้วก็ได้พบว่า มันไม่ใช่ทางที่จะไปสู่เป้าหมายอย่างแท้จริง คือความดับทุกข์ได้เด็ดขาด พระองค์ก็ไม่เอาวิชานั้นมาใช้ต่อไป ก็ไปเน้นศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยพระองค์เองต่อไปจนได้สำเร็จพระโพธิญาณเรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความสุขในน้ำพระทัยว่ามีความสุขนั่งสงบอยู่ใต้ต้นไม้นั้นหลายวันเรียกว่าเสวยความสุขอันเกิดจากความหลุดพ้นและต่อจากนั้นก็คิดถึงความทุกข์ยากของคนอื่นต่อไป ว่าคนที่ความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนในโลกนี้มีอยู่มากเ หมือนกับดอกบัว4เหล่าที่อยู่ในน้ำ ดอกบัวเสมอน้ำ บางพันธุ์ตูมเมื่อถูกแสงแดด ดอกบัวที่จะบานในวันต่อไป ดอกบัวที่จะบานได้ ดอกบัวที่เน่าเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลาไม่เบ่งบานต่อไป
ชีวิตคนนี่ก็เหมือนกัน พวกที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน พูดอะไรปุ๊บเข้าใจปั๊บมีอยู่ พวกที่จะต้องอธิบายจึงจะเข้าใจมีอยู่ พวกที่จะต้องพูดกันหลายทีหลายหนถึงจะได้เรื่องมีอยู่ ไอ้พวกสอนไม่ได้คือพวกปัญญาอ่อนเกินไป ไม่ยอมรับอะไรก็มีอยู่เหมือนกัน พระองค์ก็ทรงมองเห็นว่าคนที่จะสอนได้มี ทั้งสามภพ (15.47 เสียงไม่ชัดเจน) เราควรจะทดสอบไปสอนดูว่าคนเหล่านั้นจะรู้เรื่องหรือไม่ ก็มาออกจาริกเดินทางไป ไปหาพวกฤาษี ๕ ตน ปัญจวัคคี ปัญจวัคคี นี่บวชก่อนพระองค์ออกบวชด้วยซ้ำไปก็เป็นผู้มีอายุพอสมควรแล้ว(ไอ) โดยเฉพาะท่านโกญฑัญญะ นี่นับว่าแก่แล้วเพราะว่าท่านเป็นพระพราหมณ์หนุ่มในวันที่พระเจ้าสุทโธทนะ เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ ไปทำนาย เป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุดปลายแถว แต่ว่าเป็นคนมีความสามารถพอตัวจึงถูกคัดเลือกให้ตั้งชื่อเจ้าชาย ให้ทำนายลักษณะตามแบบของสำนักพยากรณ์ แล้วท่านก็ทำนายว่าเจ้าชายนี้เมื่อเติบโตขึ้นจะต้องออกบวชแน่ๆคนเดียว ทายอย่างนั้นคนเดียว นอกนั้นทายสองง่าม เพราะว่าถ้าอยู่ครองเรือนก็ใหญ่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถ้าออกบวชก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ยกสองนิ้ว แต่พราหมณ์โกญฑัญญะ ยกนิ้วเดียวบอกว่าเจ้าชายนี้เมื่อโตขึ้นต้องออกบวชแน่ๆ ลักษณะต้องเป็นนักบวชแน่ๆ แล้วท่านก็ไปบวชเลยรอเจ้าชาย จนกระทั่งเจ้าชายออกบวชก็ได้พบกันกับพวกอีก ๔ คน ล้วนแต่เป็นพวกที่ได้รับข่าวคราวเรื่องนี้มาทั้งนั้นคือบำเพ็ญความเพียรร่วมกัน คิดกันมานาน แต่เมื่อพระโคตมะคือพระพุทธเจ้าเลิกความเพียรแบบเก่าที่ได้ปฏิบัติแล้วรู้ว่าไม่ได้ประโยชน์ อดข้าว อดน้ำ ร่างกายผ่ายผอมใจมันก็ไม่เป็นสมาธิ มันมีกำลัง เพราะใจมันอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง ถ้าใจอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอแล้วจะทำอะไรได้ พระองค์ก็เปลี่ยนวิธีการ มาเสวยพระกระยาหาร บำรุงร่างกายให้คงคืนสภาพแข็งแรงตามเดิม แต่ว่าทั้ง ๕ ท่านนั้น เป็นผู้ยึดมั่นในความเชื่อเก่าเกินไป ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดนึกว่าเจ้าชายสิทธัตถะนี่ไม่ไหวแล้ว คลายความเพียร เปลี่ยนมาเป็นคนมักมากเสวยพระกระยาหาร หาความสบายทางอาหารต่อไปก็เลยนึกว่าอยู่ต่อไปก็คงจะไม่ได้เรื่องอะไรเราหนีไปกันซะดีกว่า เลยคิดคบกันหนีไปทั้ง ๕ คน เลยทิ้งพระองค์ไว้เพียงผู้เดียวในบริเวณนั้น พระองค์ก็ไม่ว่าอะไรก็ต้องการความเงียบอยู่แล้ว ต้องการจะคิดค้นด้วยพระองค์เองไม่ต้องการให้ใครยุ่งเมื่อเขาทิ้งพระองค์ไปพระองค์ก็พอใจ แล้วก็ทำความเพียรคิดค้นต่อไปจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
อันนี้ก็เป็นเรื่องแสดงให้เห็นอยู่อย่างคือว่าเคร่งเกินไปในเรื่องต่างๆ อย่างนี้เราจะพบคนบางประเภทเคร่งเหลือเกิน เคร่งจริงๆ เคร่งจนไม่ลืมหูลืมตา อย่านึกว่าการกระทำเช่นนั้นมันจะพ้นทุกข์ แต่มันจะสร้างความเครียดขึ้นในจิตใจ เครียดเพราะเคร่งไปเห็นคนไม่เคร่งก็รำคาญ เราเคร่งนี้ถ้าเห็นคนไม่เคร่งก็รำคาญ เรากินข้าวมื้อเดียวไปเห็นคนฉันสองมื้อล่ะ ฮื้อไม่เคร่ง แล้วก็รำคาญใจ ก็ว่านุ่งห่มอย่างนั้นว่าเคร่งถ้าเห็นเขานุ่งห่มไม่เหมือนตัวก็ว่าไม่เคร่ง เป็นอยู่อย่างนั้นว่าอยู่ไปเห็นคนอยู่ไม่เหมือนตัวก็ว่าไม่เคร่ง อย่างนี้เขาเรียกว่าฝ่ายตึง ฝ่ายตึงเกินไปแต่ว่าบางพวกก็มันหย่อนเกินไปเหมือนกัน หย่อนยานอันนั้นก็ไม่ดี ตึงเกินไปหย่อนเกินไปก็ไม่ดีมันต้องพอเหมาะพอดี เหมือนกับว่าเครื่องสายถ้าเราขึงตึงไป เสียงมันก็ไม่เพราะ หย่อนไปเสียงมันก็ไม่เพราะ มันต้องพอเหมาะพอดี แล้วเสียงมันก็ไพเราะฟังแล้วมันสบายใจ ในการปฏิบัตินี้ก็เหมือนกันถ้าเราเคร่งเกินไปจนลำบากมันก็เป็นทุกข์ ก็เห็นพระบางองค์ไม่ฉันปลาฉันเนื้อ ไปไหนก็ต้องเอากระป๋องซีเซ็กฉ่ายใส่ย่ามไปด้วย ถามว่าทำไมต้องเอามาด้วย เอาไปเผื่อไว้ไม่มีจะฉันจะได้ฉัน มันไม่ไหวนะอย่างนั้นเรียกว่าไปไหนต้องเที่ยวสะพายกระป๋องซีเซ็กฉ่าย เฮ้อไปเที่ยวสะพายซีเซ็กฉ่าย สะสมเต็มเลยสะสมอาหาร ถ้าเราไปเจออะไรก็กินไอ้นั้นจะดีกว่า ถ้าสมมุติว่าเราไม่กินปลากินเนื้อ ก็กินผักในปลาในเนื้อมันก็ได้ ถ้าแกงปลาเราไม่กินปลาเรากินแต่ผักก็ได้จะยากอะไรถ้าเรากินแต่ผักไม่จิ้มน้ำพริกก็ได้เพราะเราเกลียดน้ำพริกมันมีกะปิแล้วมันก็เคี้ยวจืดๆชืดๆอย่างนั้นไม่มีรสมีชาดอะไร นี่เราเรียกว่าเกินไป เกินพอดีไป ถ้าว่าพอดีเจออะไรก็ฉันไอ้นั้น เราฉันผักได้เพราะมีคนคอยหุงให้ฉันจัดแต่งให้ฉันจัดแต่งให้ ทีนี้ไปที่อื่นเขาไม่รู้ว่าเรากินอะไรบ้างเขาก็ไม่ได้ทำไว้ให้มันก็เกิดปัญหาลำบากเดือดร้อน
เคยเห็นพระบางองค์ไปในงานในการเขาทำกับข้าวทั่วไป แต่ว่าท่านองค์เดียวไม่ฉันปลาฉันเนื้อ ฉันเจ ไปก็ต้องหาหม้อเกาเหลามาเอาผักหั่นๆต้มลงไปน้ำปลาก็ใส่ไม่ได้เพราะว่ามันเป็นปลาก็ใส่เกลือให้หน่อยเห็นว่านั่งฉันอยู่อย่างนั้น และมันไม่อร่อยอะไร ฉันจืดๆชืดๆไปงั้นเอง ร่างกายก็ดูผอมๆ ซีดๆ เซียวๆ ไม่ค่อยมีเลือดมีฝาด มันขาดธาตุอาหารบางอย่างมันก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ คนเรามันต้องเจือกันพระเณรใช่จะฉันอาหารได้ตามชอบใจเมื่อไหร่บางวันเยอะเหมือนวันอาทิตย์นี่ฉันไม่ไหว แต่บางวันก็ไม่มีอะไรก็ต้องฉันจืดๆไปตามเรื่องตามราว วันไหนมากก็เคลียร์มันหน่อย วันไหนน้อยก็ค่อยเติมหน่อย มันก็พออยู่ได้พอดิบพอดีไม่เกิดปัญหาเกิดความผิดความเดือดร้อนที่จะต้องไปยุ่งกับเรื่องยุ่งๆอย่างนั้น ห่มจีวรก็เหมือนกันนะ ต้องเคร่งสีจนเกือบดำเป็นน้ำคลำ มันเกินไปมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น คือคนเราทำอะไรใหม่ๆมักจะเคร่งเครียด แต่พอทำไป ทำไป มักค่อยคลายก็รู้สึกว่า กูมันก็จะบ้าเสียแล้วเลยต้องค่อยคลายความเข้าใจมันสักหน่อย พออยู่ได้อย่างสบาย ทีนี้ญาติโยมไปเห็นที่ท่านคลายลงนั้น อย่าไปว่าท่านบอกว่าพอดีแล้วค่อยหย่อนลงไปสักหน่อยให้มันพอดีๆว่าไอ้อยู่นี่สีเหลืองจ๋อย มันไม่ใช่อย่างนี้มัน ตามที่เขาให้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ติดอยู่ในสี ไม่ติดอยู่ในรสอาหาร ไม่ได้ติดอยู่ในสภาพอย่างนี้ อันก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายด้วยปัญหาต่างๆเรื่องเงินทองนี่ก็เหมือนกัน อ่า พระบางรูปก็ไม่จับเงินจับทองก็ให้คนอื่นจับเก็บไว้ให้
ทีนี้ไปทำหายก็ผิดเหมือนกัน เก็บยังไง ไม่ดูไม่แลให้เรียบร้อยทำไมหาย หายไปเท่าไหร่ หายไปมากมายก็ชักจะโมโหเหมือนกัน เพราะว่าใจมันยึดอยู่ในทางนี้ว่าเงินของกูอยู่นั่นล่ะ ยึดอยู่ว่าเก็บได้เท่าไหร่คอยถามคอยไถ่อยู่ตลอดเวลา ไอ้อย่างนี้มันก็เป็นปัญหามันทำให้เกิดเป็นทุกข์ อาตมาเคยอยู่กับหลวงลุงตั้งกะเด็กๆสังเกตดูท่านไม่จับสตางค์ แล้วท่านไม่เคยถามว่าสตางค์เท่าไหร่สมมติว่าไปเทศน์ที่ไหนๆ ไปเทศน์มหาชาติท่านเทศน์ภาษาธรรม ภาษาธรรมนี่คนฟังไม่รู้เรื่องแต่ว่าเทศน์ฟังเสียงท่านเท่านั้นเอง ฟังเสียงแล้วก็บูชากัณเทศน์เสียเงินเหรียญห้าเหรียญสิบเต็มบาตรใส่ผ้าอุ้มมาเลยหนักอึ้งเลย…มาถึงก็เก็บไว้ท่านไม่เคยถาม ว่าเขาถวายเท่าไหร่ไม่เคยถามถึงว่ามึงเก็บไว้ตรงไหนรึอะไรก็แล้วท่านไม่เคยสนใจ แต่ว่าเวลาต้องการอะไรต้องได้ สมมติว่าไปหาน้ำตาลทรายมาสักสิบชั่ง ก็ไปซื้อมาให้ไปเอากระดาษมา ไปซื้อไอ้นั่นไอ้นี่ก็ซื้อมาให้ได้ ถ้าซื้อมาให้ไม่ได้ละก็มันก็เป็นเรื่องเอง ว่าเอ้า ทำไมไม่มี ทำไมไม่ซื้อ ทำไมไม่ซื้อมา เนี่ยเราก็ต้องบอกว่าสตางค์มันไม่มี ไอ้หยาสตางค์ไปไหนหมดน่ะสืบสวนนะ เอาหวายมาเตรียมไว้แล้วยังไม่ได้สืบสวนเลย คือเฆี่ยนความเลินเล่อไม่ได้เฆี่ยนเรื่องอะไร ไม่ได้เฆี่ยนเพราะว่าทำสตางค์หาย แต่เฆี่ยนว่าเป็นคนยังงั้นยังงี้ซะมากก็มีโทษ อะไรหายแล้วก็ไม่ได้สนใจ สมมติว่าของอะไรวางอยู่แล้วมีคนมาเอาไปเสีย ท่านก็ถามว่าของตรงนี้มันหายไปไหน บอกว่าคนนั้นเอาไปแล้ว ท่านไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไรเวลาเขามาวันหลังก็ไม่ได้มาว่า เฮ้ยมึงทำไมเอาของไม่บอกกูวะ ท่านไม่เคยพูดอย่างนั้นหายไปแล้วก็แล้วไปไม่สนใจ ข้าวของในกุฏิวางไว้เพ่นพ่านแต่คนไม่เพ่นพ่านวางเป็นระเบียบเรียบร้อย เวลาไปไหนก็ไป บอกว่าไป ๒-๓ วันนี่ไป ๒ เดือน ที่อ พวกยู่ทางหลังก็ว่าท่านไป ๒-๓ วัน แต่ว่าหายไป ๒ เดือน กลับมาก็ของก็ยังอยู่อย่างเดิมถ้าหายไปบ้างท่านก็ดูๆมันหายไปบ้างก็ไม่ว่าอะไร มีอยู่คราวนึงถ้วยชามที่ยืมพระหายหมดไม่มีเหลือสักใบ ท่านบ่นคำเดียวว่าไม่เหลือเลย เหลือไว้ให้ฉันข้าวสักใบก็ไม่ได้เหรอ ก็บ่นอย่างนั้นไม่มีอะไรต่อไปท่านเป็นอย่างนั้นแต่ว่าเป็นอย่างนั้นไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอะไรก็เป็นเรื่องตัวอย่างในชีวิตว่าอ้อ ท่านเป็นอยู่อย่างนั้นก็สบายตามสมควรแก่ฐานะไม่ต้องมาลำบากเดือดร้อนอะไร เราก็ควรจะรู้ว่าไอ้ของไอ้ของอย่างนี้มันของสำหรับใช้สอย ใจอย่าเข้าไปยึดมั่นยึดถือมั่นว่าเป็นของเราเป็นเรื่องของตัวเราขึ้นมาแล้วก็พอปลอดภัย แต่ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นอะไรมากเกินไปก็เป็นทุกข์ในเรื่องนั้นๆ แต่ว่าไม่แตะต้องเลยกลัวจะเป็นบาปมันก็เกินไป จับต้องวัตถุเนี่ยมันไม่เสียหายอะไร ถ้าคนไหนเกินไปถ้าไปยึดมั่นว่าของฉันขึ้นมาการยึดมั่นมันก็เป็นทุกข์ เหมือนกับนาฬิกาเรือนนี้ควรใช้สอยอะไรใช้ไปตามเรื่อง ถ้ามันยังใช้ได้ ยังเดินดี ก็ใช้ไปแต่ถ้ามันแตกแล้วไม่ค่อยตรง ก็ว่างั้น มันถึงเวลามันก็ต้องเปิดใจ วันหลังก็จะต้องได้เรือนใหม่ต่อไป ก็ไปซื้อห้าง ไปซื้อห้าง ค่อยก็หาเอาใหม่ก็เท่านั้น ไม่มีอะไร แต่ถ้าไอ้เรือนนี้มันสวยราคา มันก็แพงนะ มันหายแล้วเราจะเสียใจเสียดาย เสียดายหลายๆวัน
ยังงี้ก็เรียกว่าเป็นความเขลา แล้วเขลาไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นว่าเป็นตัวเราเป็นของๆเรามากไปก็เกิดเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อน ปัญจวัคคี นั้น ท่านยึดมั่นในวิธีการอย่างนั้น ทราบว่าต้องวิธีนี้จึงจะพ้นจากความทุกข์ได้ พอพระองค์เปลี่ยนวิธีเท่านั้นแหละไม่ยอมอยู่ด้วยแล้ว ไม่อยู่ด้วยแล้ว ไปเลยไปอยู่เมืองพาราณสีโน่นแน่ะไปอยู่ที่น่าต่อไป พระองค์ก็พยายามศึกษาค้นคว้าปฏิบัติทดสอบจนกระทั่งสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า คือความสำเร็จมันอยู่ที่การหลุดพ้นจากความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง ไม่มีความทุกข์มาพัวพันจิตใจต่อไป มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็พ้นทุกข์ เมื่อพระองค์พ้นทุกข์แล้ว ก็ยังคิดถึงสาวกที่กำลังเวียนว่าย อยู่ในทะเลแห่งความทุกข์พวกเราทั้งหมดนี้เรียกว่ายังว่าย ว่ายอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ เรายังไม่พ้นเรายังไม่ถึงฝั่ง เหมือนกับเรือแตกคนที่ยังว่ายอยู่ก็เรียกว่าไม่ถึงฝั่งแม้จะได้อะไรเกาะ นิดๆ หน่อยๆแต่มันก็ยังไม่ถึงฝั่ง แต่ถ้าเมื่อใดว่ายไปถึงฝั่งได้ขึ้นไปบนฝั่งก็เรียกว่าเราปลอดภัยแล้ว พระองค์นั้นเป็นผู้ว่ายข้ามฝั่งได้ไปเป็นคนแรก
พระองค์ได้กล่าวเปรียบว่าเราเป็นเหมือนลูกไก่ตัวผู้ที่ทำลายกระเปาะฟองไข่ออกมาได้ พระองค์ก็ตรัสให้ฟังเสมอว่า แม่ไก่ออกไข่นั้นหลายฟอง แล้วไข่หลายฟองนั้นมีลูกไก่ตัวนึงได้เจาะกระเปาะฟองไข่ออกมาก่อนเพื่อนเราเรียกลูกไก่ตัวนั้นว่าเป็นลูกไก่ตัวผู้ฉันใด เราตถาคตก็ได้เจาะกะเปาะฟองไข่พระนิพพาน พระนิพพานนี้เหมือนกับเปลือกไข่ที่หุ้มห่อชีวิต ไม่สามารถจะกะเทาะมันออกมาได้เราจึงตกอยู่ในความทุกข์ความเดือดร้อน พระองค์เป็นคนแรกในสังคมโลกนี้ที่ทำลายฟองไข่คือ อวิชชาออกมาได้ ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกอย่างไร เขารู้สึกชุ่มชื่นสบายใจทำให้เขารู้ว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว เรายังมีคนเห็นอกเห็นใจ ในการที่เราไปปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมคือประเทศชาติยังมีคนมาให้อะไรๆแก่เรา อันนี้คือการทำเพื่อช่วยเขาด้วยน้ำใจไม่มีอะไรให้ เรียกว่าไปด้วยน้ำใจ ชวนพรรคพวกมาไปเที่ยวมีของไปแจกนิดๆหน่อยๆ ซื้อยาอมไปแจกแล้วให้มันอม นอนอมเล่นไปพลางๆก็ได้ ซื้อหนังสือธรรมะไปแจกคนละเล่ม คนละเล่ม เขานอนป่วยเขาไม่รู้จะทำอะไร เขาจะได้อ่านธรรมะ เมื่ออ่านหนังสือธรรมะใจมันจะได้สบาย จะได้รู้จักปลงรู้จักวาง
นี่คือการคิดไปเพื่อคนอื่น เท่าที่เราจะช่วยได้ รึว่าเรามีปัจจัยพอจะช่วยเหลืออะไรได้ ช่วยสงเคราะห์เด็กอนาถา คนชรา คนพิการ อะไรต่างๆเราก็ไปช่วย เมื่อวันก่อนนี้ไปเทศน์ที่บ้านคุณพจน์ สารสิน แล้วก็ลูกชายที่เป็นนายตำรวจนั่นมาคุยให้ฟังบอกว่าไอ้เรื่องใน เมืองไทยนี่มันมากเหลือเกิน คนติดมาก เด็กก็ติดมากขึ้น มากขึ้นทุกวันทุกเวลาจนปราบไม่ไหว ใครๆก็คิดแต่จะปราบแต่ไม่มีใครคิดจะป้องกันไม่ให้เด็กเหล่านั้นไปติดยา แล้วเขาก็ร่วม ร่วมพวกกันหลายคนมาคิดกันว่า เราควรจะหาทางป้องกันไม่ให้เด็กติดยามากกว่าที่จะไปปราบปรามทีหลัง เพราะคนไทยเราพูดกันว่า กันนี่น่ะมันดีกว่าแก้ แล้วจะกันได้อย่างไร แล้วเราก็คิดกันว่าเราควรจะตั้งมูลนิธิขึ้นมาสักห้องมาเป็นมูลนิธิไว้ มูลนิธินี้มีทุนแล้วจะได้เอาทุนนี้ช่วยเผยแผ่โทษของเฮโรอีนด้วยวิธีต่างๆเช่นว่าออกโทรทัศน์ ออกวิทยุ พิมพ์เป็นหนังสือภาพการ์ตูนบ้างหรือให้เด็กเขาเขียนเรื่องโทษของยาเสพติด อ้าเป็นคำขวัญรึว่าเป็นคำย่อสั้นๆแล้วก็มีรางวัลให้แก่เด็กเหล่านั้น ต่างคนได้อ่านได้เอาไปจำไว้เป็นเครื่องเตือนจิต สะกิดใจอะไรอย่างนี้ก็ต้องอาศัยทุนจึงคิดตั้งเป็นมูลนิธิอย่างนี้ขึ้นอาตมาได้ฟังแล้วโอน่าอนุโมทนา
ถ้าเวลานี้เราคิดแต่จะแก้แต่เราไม่คิดป้องกันการแก้นั้นมันหนักแต่กันนั้นมันดีกว่าอย่าให้เขาติดดีกว่า ถ้าเด็กติดล่ะติดแล้วมันออกไม่ค่อยรอดมันหลุดไปไม่ค่อยจะได้มันติดแน่นจนกระทั่งว่าเสียผู้เสียคน ได้พบเด็กที่ติดหลายคน ติดคุกก็แล้วก็ไปรักษาถ้ำกระบอกก็แล้ว อาจารย์ๆทั้งหลายที่คุยว่ารักษาได้ มันไปรักษาหมดแล้ว แต่มันก็ยังไม่หาย มันก็ยังรบกวนคนในครอบครัว ขอวันละ ๒๐ บาท ๒๐ บาท แต่ว่าต้องให้มันเป็นประจำเพื่อมันไปซื้อ ไม่ใช่เรื่องอะไร ซื้อมาเสพแล้วก็เสพวันละ ๒๐ บาท มันก็สบายใจแล้วให้มันไปตามเรื่องจนกว่ามันจะตาย แล้วมันไหวรึอย่างนั้นน่ะ ทีนี้ถ้าหากว่ามีคนที่ใจบุญสุนทานคิดว่าควรที่จะหาทางแก้ไขไม่ให้เด็กเหล่านั้นไปข้องเสพสิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นวิธีการช่วยกันได้ทางหนึ่ง คือเราให้คำปรึกษาธรรมะแก่เด็ก เช่นว่า การเปิดโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้น เด็กเหล่านั้นได้มาเรียนธรรมะได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ได้มีใจรักพระพุทธเจ้า รักพระธรรม รักพระสงฆ์ แล้วก็รักตัวเองในทางที่ถูกที่ชอบ เขาจะไม่เสียคน
การกระทำเช่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นการป้องกันเหมือนกันป้องกันไม่ให้เด็กตกไปสู่อบาย เช่น มีหลุมขุดกันไว้มากมายในสังคมในยุคปัจจุบันนี้ ขุดมาตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศไทยจนกระทั่งถึงกรุงเทพฯ แม้จะจับได้บ่อยๆก็ไม่เข็ดไม่หลาบ เพราะว่ามันขายได้แล้วมันรวย คนเราไม่ได้คิดว่ารวยแล้วจะทำอะไรต่อไป ใครจะเดือดร้อนเขาไม่คิดนี่คือความเห็นแก่ตัวนั่นเอง บรรดาศาสดาทั้งหลายนั้นสอนคนให้ไม่เห็นแก่ตัว แต่ให้มีน้ำใจเสียสละเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ว่าเรามีอะไรเราได้อะไร เราเป็นศิษย์อย่างไรแล้วก็นึกถึงคนอื่นที่มีความทุกข์มีความเดือดร้อน พระในกรุงเทพฯมีอยู่ไม่ใช่น้อย ที่มาจากบ้านนอกมาเล่ามาเรียนได้เจริญเติบโตขึ้นในวงการพระศาสนา มีญาติโยมเคารพนับถือ ก็คิดถึงบ้าน ก็คิดถึงบ้านก็หาโอกาสไปเที่ยวเช่น เอากฐินไปช่วยบ้าน ช่วยไปสร้างศาลาให้คนเขาได้นั่งทำบุญสุนทาน ไอ้บางแห่งนี้มันน่าสงสารจริงๆ อาตมาไปเที่ยวเทสน์ตามบ้านนอกบางแห่งนี่น่าสงสาร คนยากคนจน ถ้าทางกรุงเทพฯไม่ไปเที่ยวเขาก็ไปไม่ไหว แต่พระเหล่านั้นท่านมาเล่ามาเรียนแล้วท่านก็คิดถึงบ้านท่านก็ไปช่วย เป็นอีกอันหนึ่งวันตรุษจีน วันตรุษเนี่ยรถออกจากกรุงเทพฯเป็นร้อยๆ คัน ล้วนแต่เป็นรถของคนที่กลับบ้านในงานวันตรุษทั้งนั้น เขาไม่กลับๆปเปล่าหรอก เอาผ้าป่าไปช่วยบ้านเดิม เช่น เด็กผู้หญิงนี่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาทำงานอยู่ตามโรงงานต่างๆเยอะ เช่นโรงงานทอผ้า โรงงานอะไรนี้ อันนี้ตรุษจีนเขาหยุดนี่ หยุดกัน ๒-๓ วัน พวกนี้ก็ชวนเพื่อนกรุงเทพฯ เอ้าไปทอดผ้าป่ากัน
วันหนึ่งอาตมาไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือตรงกับวันตรุษนะ เห็นขบวนรถผ่านมากมายก่ายกอง ก็คนที่ขับรถเขาบอกนี่ล่ะครับ คนบ้านนอกเขาได้ทำงานกรุงเทพฯเขาคิดถึงบ้าน แล้วก็มาช่วยบ้านด้วยการมาทำบุญทอดผ้าป่า ให้ไปช่วยที่บ้านช่วยมาไหว ช่วยที่วัดมันก็ช่วยกองกลาง ทำให้มีอะไรขึ้นเช่นมีสระน้ำ ให้คนได้ดื่มน้ำ มีโรงเรียน มีศาลา สุขศาลาอนามัย นี่คือเอาไปช่วยนี่ก็เกิดจากความคิดว่าเราสบายแล้วก็คิดถึงคนที่ไม่สบาย เมื่อเราสบายแล้วถ้าเราสบายอยู่คนเดียวมันก็ไม่ดี เรียกว่าเห็นแก่ตัวไป สุขคนเดียว สบายคนเดียวนี่ไม่ได้ และไม่เป็นสุข มีพระพุทธภาษิตหนึ่งว่า เนกาสี ละภะเต สุขัง แปลง่ายๆว่า กินคนเดียวไม่เป็นสุข กินคนเดียวไม่เป็นสุข กินคนเดียวไม่เป็นสุข นี่เรามีอะไรมานั่งกินอยู่คนเดียวนั้นมันไม่อร่อยน่ะ แต่ถ้าเราเอาออกมาล้อมนั่งรับทานกันหลายๆคนรู้สึกว่าทานได้ แม้ไม่ค่อยอยากแต่ก็หลายคนก็ทานกันไปคุยกันไปหมดจานเมื่อไหร่ไม่ทันรู้ตัว มันจะสบาย แต่ถ้าแอบเอาไปนั่งกินอยู่คนเดียว เข้ามุมกำแพงกินอยู่คนเดียว มันไม่มีความสุขอะไร เรามั่งมีคนเดียวจะเป็นสุขได้อย่างไร เราเป็นสุขคนเดียวนี่ไม่ได้ ความสุขในสังคมจะต้องเป็นความสุขที่เฉลี่ยแบ่งปันกันออกไป เพื่อให้เกิดความสุขทั่วกัน แบ่งปันด้วยความเต็มใจ อย่าให้ต้องบังคับที่เขาแบ่งปันแบบบังคับนั่นคือระบบการเมืองที่เรียกว่าสังคมนิยม แบบบังคับไปบังคับให้ทุกคนเหมือนกัน ทำงานให้แก่รัฐนั่นคือการบังคับ การบังคับนั้นไม่เป็นที่ชอบใจของพี่น้องชาวไทย หรือใครๆที่มาอยู่ในเมืองไทยนี่มีใจอิสระเสรี ไม่ชอบให้บังคับอย่างนั้น เราจึงต้องทำโดยไม่ต้องใครบังคับ แต่เราทำด้วยความเต็มใจ เราเสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น ด้วยความเต็มใจ
แล้วลองสังเกตดูว่าเวลาใดที่เราได้ทำอะไรเป็นประโยชน์แก่คนอื่นนั้นเรารู้สึกอย่างไร เรารู้สึกสบายใจรึไม่ ทุกคนรู้สึกสบายใจเรามีอะไรรับทานแล้วเราแบ่งให้คนที่นั่งใกล้ๆ รู้สึกว่าสบายใจ มีเสื้อผ้าไปแจกก็สบายใจ มีเงินไปแจกเขาก็แจกเด็ก แจกอะไรยังงั้น สบายใจนี่คือสบายใจ คนเราสบายเมื่อได้ให้ความสบายแก่คนอื่น คนเราไม่สบายเมื่อสบายคนเดียว สบายคนเดียวนี่มันไม่สบายนะแต่ถ้าเฉลี่ยความสบายความสุขให้แก่กันแล้วเราจะสบายใจ อายุมั่นขวัญยืน คนตระหนี่นั้นคือคนที่ไม่สบาย อาตมารู้จักคนตระหนี่มาหลายรายแล้ว แต่ไม่สบายใจนะเรียกว่า ฉุกคิดแต่เรื่องว่าจะเสียหาย คนนั้นจะเอาไอ้นั่น คนนี้จะเอาไอ้นี่ แม้คนใกล้ชิดเข้ามาแกก็รำคาญ บอกว่ามันมาแล้วมันต้องจ่ายตังค์ ว่างั้นต้องเพิ่มค่าอาหาร ไอ้นั่นไอ้นี่ ผมไม่อยากจะให้ใครมาบ้านผม ผมอยากอยู่ของผมคนเดียว โอ๊ะ มันคิดแปลก คนตระหนี่นี่มันคิดแปลกๆ หรือไม่อยากให้ใครร่วมกินด้วย ไม่อยากให้ใครทำอะไรด้วย แม้ทำบุญก็ไม่อยากบอกใคร ผมจะทำของผมคนเดียวเพื่ออะไรคือทำด้วยความตระหนี่ ไม่ได้ทำลายความตระหนี่ เกิดความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะได้ไปอยู่บ้านหลังนั้นแล้วอยู่ในโลกนี้ก็จะอยู่คนเดียว อยู่กับครอบครัว ตายแล้วก็จะไปเป็นเทวดา อยู่คนเดียวอย่างนั้นเถอะแล้วมันจะสุขอะไรเป็นเทวดาอยู่คนเดียว มันต้องมีบริวาร มันต้องมีพรรคมีพวกเราไปไหนไปคนเดียวนี้มันสุขเมื่อไหร่มันไม่ได้เรื่อง
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เฉลี่ยกันให้เฉลี่ยความสุขแก่กันและกันอย่าสุขคนเดียวอย่ามั่งมีคนเดียวอย่าได้อะไรแต่เพียงผู้เดียวจงแบ่งกันทุกคนก็สบาย คนเรามั่งมีอยู่ครอบครัวเดียวข้างๆไม่มียากจนทั้งนั้น เราไม่เป็นสุขพวกนั้นจะเล่นงานเรา แต่ถ้าเราเฉลี่ยให้เขา เขารักเรา การให้นี้เป็นเครื่องผูกไมตรีจิตไว้ได้ย่อมสบายใจ พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างนี้ พอได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็คิดว่าเราพ้นทุกข์แล้ว แล้วคนที่ยังไม่พ้นทุกข์ยังมีอีกมากเราต้องไปช่วยเขาให้เขาพ้นความเดือดร้อน แต่ว่าคิดต่อไปว่าแล้วจะไปช่วยใครก่อน ครั้งแรกมันก็ต้องคิดว่าจะไปช่วยใครก่อน จะไปช่วยทั้งหมดคือช่วยคนที่พอจะช่วยได้พอจะรับฟังได้ก่อน เพราะถ้าไปสอนคนทั่วไปเดี๋ยวก็ฟังไม่รู้เรื่องจะละบาก สอนใครก่อนก็นึกว่าเออ ๕ ท่านที่เคยอยู่ร่วมบำเพ็ญความเพียรมาด้วยกันเนี่ยมีปัญญาเป็นพื้นฐานพอสมควรแล้ว จิตใจก้าวหน้าพอสมควรแล้วพอจะรับสิ่งนี้ได้ เอ ไปอยู่ไหน ก็ไม่รู้ตอนนี้ก็นึกว่าคงจะไปอยู่พาราณสี ทำไมนึกอย่างนั้น เพราะพาราณสีนั้นเป็นแหล่งรวมของนักจาริกแสวงบุญ ใครๆก็ต้องไปแสวงบุญที่นั่น ต้องไปอาบน้ำคงคากันที่นั่น ต้องไปอะไรๆกันที่นั้นแหละ คงไปอยู่แถวนั้นแหละ ตกลงก็ออกจากเมืองคยาเดินทางมุ่งหน้าไปพาราณสี แล้วก็บุกขึ้นเหนือไปไปก็ได้พบกับท่านเหล่านั้นจริง นี้คือไปให้ อุตสาห์เดินทางไม่ใช่ไกล้นะเดี๋ยวนี้เรานั่งรถไฟจากคยาไปพาราณสีใช้เวลาตั้ง ๖ ชั่วโมง
พระพุทธเจ้าเดินเท้าเดินสักเท่าไหร่ แต่ว่าในหนังสือเขาเขียนว่าไปถึงวันนั้น ถึงวันนั้นล่ะ คงจะไม่ได้ถึงวันนั้นหรอกแต่ว่าเขียนให้มันเร็วหน่อยเรียกว่าเขียนให้มันรวบรัดจับใจความ แค่คืบมือเดียว ถึงทวีปอุดรเฉลิมสินทีเดียว เอาให้มันเฮไปหน่อยไม่ต้องพรรณนาระยะทางว่าต้องผ่านอะไรมั่ง แล้วก็พบกันเลย พบกันแล้วก็ทำความเข้าใจ ท่านเหล่านั้นก็ยอมรับฟังคำที่พระองค์จะพูดให้ฟัง อันนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท ความสำคัญของศาสนานี่เรายังให้ความสำคัญน้อยไป สำคัญน้อยไป วิทยุกระจายเสียงก็ให้ความสำคัญน้อย โทรทัศน์ก็ให้ความสำคัญน้อยไป ยังทำอะไรน้อยไป หนังสือพิมพ์ก็ให้ความสำคัญแก่เรื่องอย่างนี้น้อยไปไม่มีเลยนักเขียนคอลัมภ์ที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับอันนี้ให้มันน่าอ่านหน่อยไม่ค่อยจะมี นี่เรียกว่าให้ความสำคัญน้อย
ที่ให้ความสำคัญน้อยไปก็เพราะว่าคนเราไม่ค่อยเห็นประโยชน์ทางธรรมะ ทำไมจึงไม่เห็นประโยชน์ทางธรรมะ ก็เพราะว่ามีการคัดเกณฑ์ส่งเสริมให้คนเห็นธรรมะน้อยไป เรามักจะจูงไปในเรื่องอื่น จูงไปในเรื่องของขลังในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องอะไรๆที่เป็นเรื่องวัตถุกันเสียมากแต่ไม่โฆษณาให้เห็นประโยชน์ของธรรมะจึงลำบากอยู่ในข้อนี้ ต่อไปนี้มันต้องช่วยกันแล้ว เราจะต้องช่วยกันที่จะปลุกระดมให้คนทุกคนได้เห็นประโยชน์ของธรรมะ ให้ได้ประพฤติธรรมถ้าทุกคนได้ประพฤติธรรมแล้วชีวิตก็จะเรียบร้อยไม่เกิดปัญหาด้วยประการใดๆ
ฟังข่าวทางวิทยุบางวันก็พบว่าเนี่ยคนขาดธรรมะ เช่น สามีเป็นคนชอบเที่ยวชอบสนุก แม่บ้านก็อุตส่าห์ทำหากิน เก็บหอมรอมริบ เจ้าประคุณมาถึงก็ออกไปเลย ออกไปเที่ยว ไปเตร่ไปสนุกสนานพอหมดเงินก็กลับบ้านมาข่มขู่ภรรยาต่อไป ภรรยาก็ต้องให้ไปด้วยความจำใจรำคาญมากเข้าเห็นว่าไอ้นี่ไม่ไหวแล้วมันต้องจัดการกันซะทีแล้วอ้าเลยก็จัดการให้คนมาฆ่าซะเลยไอ้นั่นมันหนักไปหน่อยว่าจัดการมันหนักไปหน่อยแต่เพราะไม่รู้ว่าจะออกทางไหนดีเพราะไม่รู้ว่าอะไรพอจะช่วยได้ดีกว่านั้นแต่มันไม่เข้าใจ แกไม่รู้จักพระที่จะจูงสามีแกได้ แกก็เลยหาทางออกว่ายิงทิ้งซะเลยแล้วฆ่าสามีเสียแล้วตัวเองก็ถูกจับได้ ผลที่สุดก็คงจะไปนอนอยู่ในคุกในตะรางต่อไป นี่คือทางออกที่มันไม่ถูกต้อง แต่ว่าจะโทษแม่บ้านคนนั้นก็ไม่ได้สามีมันแย่มันไม่ได้เรื่องไม่ประพฤติธรรม ไม่เอาธรรมะไปใช้ในชีวิตครอบครัว ชอบตามใจตัวเอง ขาดความซื่อสัตย์ ขาดความบังคับตัวเอง ขาดความอดทน ขาดความเสียสละ เพื่อบ้านเพื่อลูกเพื่อแม่บ้าน ชีวิตมันก็วุ่นวายสับสนด้วยประการต่างๆ แทนที่จะช่วยให้อยู่รอดนั้นก็มีทางเดียวเท่านั้น คือเราต้องช่วยกันประกาศธรรมะให้มันดังออกไปมากๆ ทุกวิถีทางมีอะไรที่เป็นเสียงให้ธรรมะอาศัยดังได้
เอา มีหน้ากระดาษพอจะให้ธรรมะไปถึงคนได้ ใช้ ต้องใช้ทุกอย่างเพื่อให้ธรรมะเข้าถึงคน พระพุทธเจ้าท่านไม่มีเครื่องมือ สมัยก่อนนี้ท่านไม่มีสถานีวิทยุ ถ้ามีสถานีวิทยุพระพุทธเจ้าไม่ต้องเหนื่อย คือไปนั่งในสถานีวิทยุนั้น พูดตอนเช้า พูดตอนบ่าย พูดตอนค่ำ พูดเรื่อยไป คนก็เปิดรับฟังกัน สมัยนั้นไม่มี พระองค์จะต้องจาริกไปเมืองพาราณสี ไปเมืองสาวัตถี ไปเมืองสาเกต (47.33 ไม่ยืนยัน) ไปกันมากมายหลายรัฐที่พระองค์เสด็จไปเที่ยวอยู่ในสมัยนั้น มีเส้นทางที่จาริกนั้นมากมายใหญ่ๆกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำไป ที่เที่ยวจาริกอยู่ก็ต้องการที่จะให้ธรรมะไปถึงคน ต้องการให้คนเข้าถึงธรรมะด้วยน้ำใจ กรุณาปราณี ปรารถนาความสุขแก่บุคคลอื่นนั้นเองไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องนี้น่าคิดเราควรจะคิดถึงบ่อยๆ ถ้าคิดถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าแล้วเอามาคิดนึกให้ละเอียดเราจะรักพระองค์มากขึ้น แล้วก็รักที่จะทำตามพระองค์มากขึ้น เกิดความรักในพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยรักแล้วได้ประโยชน์เป็นคุณเป็นชาติแก่ชีวิต เราจึงต้องน้อมใจคิดเรื่องของพระองค์
โดยเฉพาะวันพรุ่งนี้ (ไอ) เป็นวันสำคัญที่เราทั้งหลายควรจะได้เข้ามาน้อมจิตระลึกถึงงานของพระผู้มีพระภาค เห็นการปฏิบัติของพระองค์ คิดว่าทำอย่างไร มานั่งนึกนั่งตรองให้ละเอียดแล้วเราจะเห็นพระพุทธเจ้าในแง่มุมต่างๆที่เราสามารถจะเห็นได้แล้วเอามาเป็นหลักปฏิบัติ แก้ปัญหาชีวิตของเราต่อไป ชีวิตเราก็จะดีขึ้นแล้วอย่าทำคนเดียว ไปไหนอย่าไปคนเดียว มาวัดก็อย่ามาคนเดียวถ้ามีเพื่อนมีสหายที่เป็นอยู่อย่างลำบากในโลกนี้มีบ้างมั้ยเพื่อนท่านเป็นทุกข์มีบ้างมั้ย มีถ้าเราพบเพื่อนเหล่านั้นเราก็ไปบอกเขาว่ามาไปเที่ยววัดกันสักวัน วันอาทิตย์เราก็ชวนมาวัดชลประทานนี่แหละ ไม่รู้จะไปวัดไหนมาวัดนี้ ถ้าชวนเพื่อนมาได้มาเห็นสภาพแล้วเขาก็คงจะติดอกติดใจเพราะมาเห็นร่มรื่น สะดวกสบาย ที่เขาจะได้มาสนใจฟังธรรมะ เขาสนใจฟังธรรมะจะได้ศึกษาทำความเข้าใจ เมื่อเอาไปใช้เขาก็จะเกิดความสุขใจ พอได้รับความสุข เขาก็เกิดติดในความสุขอยากจะมาอีก ถ้าเราได้นำเพื่อนของเรามาอย่างนั้นเราเป็นผู้ฉุดพื่อนขึ้นมาจากบ่อสกปรกได้คนนึง แล้วก็ฉุดต่อไปฉุดดึงมาๆต่อไป ให้เพื่อนได้มาพบ ได้มาลิ้มกับสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตนี่แหละคือ การสงเคราะห์แก่กันและกันตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้สงเคราะห์แก่กันอย่างนี้ ช่วยอะไรๆ มันไม่ดีเท่าช่วยยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น
การยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นนั้นเป็นการช่วยทุกอย่างทุกชนิดที่เขาต้องการในชีวิตประจำวัน เราช่วยเขาอย่างแท้จริง อันนี้ขอฝากไว้กับญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายทุกถ้วนหน้า พรุ่งนี้เราก็มากันยังงี้ล่ะ เก้าโมงครึ่งก็เปิดการแสดงธรรมตามปกติ แล้วก็ตอนบ่ายก็มีการฝึกฝนอบรมภาวนา อธิบายธรรมะอะไรกันไปเรื่อยๆ ฝนฟ้าไม่ตกก็ว่ากันที่โคนไผ่ จนถึงสี่โมงเย็นก็ทำพิธีเวียนเทียนรอบโบสถ์อะไรกัน ญาติโยมจะกลับบ้านก็ได้นอนวัดก็ได้ไม่เป็นไร นอนในศาลาโน้นมีที่พักให้สบายแต่ว่าบ้านใกล้ๆ ก็ไม่ต้องไปนอนที่บ้าน มาพักผ่อนทางใจกันเสียบ้าง พักร่างกายนั้นนอนหลับ พักใจนั้นก็ต้องให้มันสงบ ให้มีกำลังต่อสู้กับอารมณ์ต่างๆตามสมควรแก่ฐานะ ดังที่ได้แสดงมาก็พอสมควรแก่กาลเวลาขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อนี้ไปก็เรามานั่งสงบใจกันหน่อยสัก ๕ นาที นั่งสงบใจคือนั่งตัวตรง หลับตาซะหน่อย มันจะได้ไม่ยุ่งแล้วก็หายใจเข้ายาว คอยกำหนดรู้ หายใจออก คอยกำหนดรู้ คอยกำหนดตามลมหายใจเข้า ออก ให้ติดอยู่ที่ลมเข้า ลมออก อย่าให้ไปนึกเรื่องอื่น เดี๋ยวมันต้องไป ดึงกลับมาพอไปรู้สึกอ้าวมาอยู่ตรงนี้มา นึกเรื่องนี้ก็คลุมไว้อย่างนั้น เพื่อฝึกสมาธิให้ ต่อนี้ไปก็เชิญญาติโยมทำได้ ณ บัดนี้