แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม อันเป็นหลักคำสอนในทางพุทธศาสนาแล้ว ขอให้นั่งพัก ณ ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ต้นเดือนมีนาคม เดือนกุมภาพันธ์ผ่านพ้นไปแล้ว อาทิตย์ต้นเดือนนี่ต้องแสดงปาฐกถาทางวิทยุกระจายเสียงกรมประชาสัมพันธ์ ได้แสดงไปแล้วเมื่อตอนเช้า จากเทปอัดเสียง แล้วไปแสดงที่สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ เมื่อเช้านี้แสดงกันหลายองค์ ความจริงเมื่อคืนนี้คุณสุพจน์โทรศัพท์กลับมาบอกว่าไม่ต้องไป แต่โทรแล้วไม่พบ เพราะว่านอนอยู่ในรถด่วนขอนแก่นมากรุงเทพฯ เช้าขึ้นก็ไป ก็เลยไปร่วมแสดง พูดกันทั้ง ๔ รูป ก็ดีเหมือนกัน จะได้ฟังอะไรหลายเรื่อง
๒-๓ วันมานี้ก็ไปเรื่องเกี่ยวกับงานศพพระทั้งนั้น ที่ปากเกร็ดนี่ก็มีงานศพพระผู้ใหญ่ คือท่านเจ้าคณะอำเภอ ไปขอนแก่นนั้นเป็นศพพระผู้ใหญ่ท่านเจ้าคณะจังหวัด อายุ ๘๘ ปี มรณะไปแล้วเขาก็ทำศพกัน ไปในงานศพก็ได้พบว่ามีการกระทำที่น่าจะได้แก้ไขให้ดีขึ้นหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า มีมหรสพแสดงมากเกินไป เช่นที่ปากเกร็ด ที่วัดบางพูด เป็นวัดเจ้าคณะอำเภอ มีหนังจอยักษ์ถึง ๓ จอ เต็มวัด แล้วก็ยังไม่ถึงเวลาฉายหนัง เขาก็เปิดเพลงแข่งกัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ไม่รู้จะเอาหูหลบไปไว้ตรงไหนดีเพราะเสียงมันดังมากเหลือเกิน ทำให้เกิดความอึดอัดใจในขณะที่ไปนั่งอยู่ แต่เวลาที่จะแสดงธรรม เขาก็หยุดให้พอได้พูดอะไรบ้าง แต่ว่าระบบการจัดเครื่องขยายเสียงเอ็มที ถ้าเป็นเพลงแล้วมันดังเอง ถ้าเป็นธรรมะแล้วมันดังไม่ค่อยจะเรียบร้อย เทศน์นิดหน่อยแล้วก็กลับวัด
ที่ขอนแก่นนั้นซึ่งเป็นศพเจ้าคณะจังหวัด เขาให้เทศน์บ่ายโมงเมื่อวาน เทศน์แค่ ๒ ชั่วโมง ๑๕ นาที เพราะว่าคนฟังมากพอสมควร แต่ว่าตอนกลางคืนนั้นก็หนังเข้าไปอีก ๓ จอเหมือนกัน ดูแล้วก็ชักจะรำคาญว่าทำไมจะต้องทำอย่างนั้น มันเรื่องอะไรที่ทำงานศพแล้วต้องมีหนังฉาย หรือต้องมีมหรสพประเภทต่างๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับศพเลยแม้แต่น้อย ไม่เกี่ยวกับบุญแม้แต่น้อย แต่มันเรื่องของความสนุกไม่เข้าเรื่อง ซึ่งมีกันทั่วๆไป ชาวบ้านทำงานศพก็เหมือนกัน บางทีเมรุตามวัดมีอยู่แล้วไม่ใช้ กลัวจะเผาพ่อไปซ้ำคนอื่น ต้องไปเช่าเมรุใหม่มาอันหนึ่ง เสียเงินไปตั้ง ๒-๓ หมื่น เอามาตั้งศพแล้วก็เผาบนเมรุนั้น เรียกว่าเป็นความฟุ่มเฟือยที่ไม่เข้าเรื่อง พระก็ฟุ่มเฟือยแบบเดียวกัน ความจริงควรจะใช้เมรุธรรมดาก็ได้ เอาศพตั้งบนศาลา เรียบร้อย สวยงาม แล้วก็ทำการเผาศพแบบเผาหลอก เขาเรียกว่าอย่างนั้น ความจริงไม่ใช่เผาหลอก เขาเรียกว่าสักการบูชาศพ ก็ทำกันให้เสร็จบนศาลานั่นเอง
เสร็จแล้วตอนกลางคืน เที่ยงคืน ก็ยกศพลงไปที่เตาแล้วก็เผาให้มันเป็นขี้เถ้า มันก็เป็นขี้เถ้าเท่ากัน แต่ว่าก็ต้องไปเช่าเมรุมาอีก เสียค่าเช่าเมรุไปสองหมื่นห้าพัน ถ้าเอาสองหมื่นนั้นมาซ่อมเมรุเก่าก็จะดีกว่าที่จะทำอย่างนั้น แต่ว่าคนบางคนบอกว่ามันไม่สมเกียรติ ไม่รู้ว่าเกียรติมันอยู่ตรงไหน เกียรติมันอยู่ที่จ่ายเงินสิ้นเปลืองมากๆหรือ เกียรติอยู่ที่การฉายหนัง ๓ จอหรือ หรือว่าเกียรติมันอยู่ที่ความสุรุ่ยสุร่าย ให้สิ้นเปลืองเงินมากๆ ไม่รู้ว่าเกียรติอะไร อยู่ที่ตรงไหนก็ไม่รู้ แล้วก็เลยทำกันไปในรูปอย่างนั้นทั่วไป ทั้งวัดทั้งบ้าน แข่งขันกันสุรุ่ยสุร่ายในทางสิ้นเปลือง ไม่ได้เรื่องได้สาระ เป็นเรื่องที่เราควรจะปรับปรุงแก้ไขทำให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดที่เป็นเรื่องศาสนา ก็ควรจะจัดให้เป็นไปในทางสงบ ไม่วุ่นวาย มุ่งเผยแผ่ธรรมะในงานให้มาก ให้คนที่มาในงานได้ลืมหูลืมตา ได้ปัญญากลับไป ไม่ต้องให้คนมาสนุกแล้วก็กลับไปโดยไม่ได้อะไร อันนี้คนไม่ค่อยคิด แล้วก็ไม่ค่อยจะร่วมมือกันแก้ไข
อาตมาชักจะบ้าอยู่คนเดียวเวลานี้ในเรื่องอย่างนี้ ไปเทศน์ที่ไหนก็เทศน์ว่าเขาทุกแห่ง เมื่อวานนี้ที่ขอนแก่นก็ว่าเขาพอแรง ว่าเสีย ๔๕ นาที แล้วจึงแสดงธรรมะต่อไป แต่ว่าโยมแก่ๆชอบใจ เสร็จแล้วเข้ามากราบ เจ้าคุณเทศน์ดีเหลือเกิน พวกไอ้หนุ่มๆไม่เข้าเรื่องมันชอบทำแบบสนุก ไอ้พวกผมไม่ชอบ แน่ะ คนแก่มีความคิดเห็นถูกต้อง แต่ว่าคนหนุ่มมากว่า เลยแพร่มาติดคนหนุ่มไป เขาก็เลยจัดแบบสนุกสนานไม่เข้าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นงานนาค เป็นงานศพ ชอบจัดแบบสุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย มีคนเล่าให้ฟังว่าที่เมืองสุพรรณ บวชลูกชาย เอาช้างเข้าขบวน ๑๐ เชือก ไปจ้างช้างมาแต่สุรินทร์เชือกละหมื่น เสียเงินค่าเช่าช้างไปหนึ่งแสน แล้วเรื่องคนนี่หมดเงินไปสองแสน นาคบวช ๕ วัน แล้วก็สึกออกมา เลวกว่าพ่อมันเสียอีก อย่างนี้มันบวชอะไรกัน บวชเพื่ออะไร ได้อะไรขึ้นมา มันไม่ได้เรื่องอะไร เลยถามเขาว่าแล้วถวายอุปัชฌาย์เท่าไหร่ ถวายอุปัชฌาย์ ๒๐๐ ถวายพระคู่สวดองค์ละ ๑๐๐ ค่าหัตถบาสองค์ละ ๕๐ รวมแล้วทำบุญไม่ถึง ๕๐๐๐ บาท แต่ว่าไปทำเรื่องเหลวไหลหมดไปสามแสน หาเรื่องให้ฉิบหายแท้ๆ มันไม่ได้เรื่องอะไร นี่เป็นเรื่องที่มีกันทั่วๆไป
อาตมาเอามาพูดเพื่อจะให้มันเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ เป็นตัวหนังสือไว้ แล้วพิมพ์ออกไปคนจะได้อ่าน จะได้รู้ว่าท่านปัญญานันทะองค์หนึ่งที่ไม่ชอบเรื่องเหลวไหล ไม่ชอบความสุรุยสุร่ายแบบไม่เข้าเรื่อง อยากให้คนรู้จักใช้เงินในทางที่เป็นประโยชน์ ในทางที่เป็นคุณแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่ในทางส่งเสริมกิเลส เพราะความสนุกสนานมันเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลส วัดเรานี่ไม่ควรจะใช้พื้นที่ในวัดเป็นสถานที่ส่งเสริมกิเลส แต่ควรใช้แผ่นดินในวัดทุกตารางนิ้วให้เป็นไปเพื่อส่งเสริมปัญญา ส่งเสริมการชำระชะล้าง ส่งเสริมการขูดเกลาจิตใจคนให้สะอาด พระศาสนาจึงจะอยู่ได้ ถ้าเรามัวแต่เอาเรื่องสนุกมาใส่ไว้ในวัด คนมาวัดจะได้อะไร นอกจากได้ความไม่เข้าใจในเรื่องศาสนากลับไป แล้วศาสนาเราจะอยู่รอดกันอย่างไร
อันนี้เป็นปัญหา อาตมามองเห็นแล้วอดรนทนไม่ค่อยจะได้ จึงพูดออกไปบ่อยๆ เรียกว่าเตือนๆกันไว้ เป็นจิ้งจกกล้าเตือนกันหน่อย มีใครทำอะไรก็ จ๊ก จ๊ก จ๊ก เตือนหน่อย ให้รู้ว่าจิ้งจกตัวหนึ่งมันทักอยู่บ่อยๆ แล้วคนจะได้เกิดความยับยั้งชั่งใจ จะได้เอาไปพูดไปคุยกันว่า นโยบายการพระศาสนาไม่ใช่เรื่องความสุรุ่ยสุร่าย ไม่ใช่เรื่องของความฟุ่มเฟือยที่ไร้สาระ แต่ควรจะเป็นเรื่องที่เป็นไปเพื่อความสงบ
เคยไปทำศพที่เมืองนครศรีธรรมราชครั้งหนึ่ง ท่านที่ถึงแก่มรณะนั้นเป็นพระดี ใจเยือกเย็น ใจสงบ มีความเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมาก ท่านมรณะไป คณะศิษย์ก็พร้อมใจกันกระทำงานศพ อาตมาเคยไปอาศัยอยู่กับท่าน เรียนหนังสือ ๒ ปี ก็นึกว่าท่านเป็นผู้มีบุญคุณ เคยกินข้าวแดงแกงร้อนของท่าน ก็ไปร่วมงาน ไปก่อนงาน ๓ วัน เมื่อไปถึงก็พูดคุยกันในที่ประชุมว่า เราทำศพอาจารย์ครั้งนี้อย่าเอาความสนุกสนานมาลบความดีของท่านอาจารย์ ให้ความดีของท่านอาจารย์เรียกคนมาเอง ถ้ามีเรื่องสนุกมาก คนมามาก แต่ใครๆก็พูดได้ว่ามันมาเพื่อดูหนัง มาเพื่อดูมโนราห์ มาเพื่อสนุก ไม่ใช่มาบูชาศพ ลบเกียรติของอาจารย์เราเปล่าๆ เขาบอกว่า โรงหนังปลูกไว้แล้ว โรงมโนราห์ก็ปลูกไว้แล้ว แล้วไปตกลงกันแล้วยัง เขาบอกว่ายังไม่ได้ไปตกลงกันนา ถ้าอย่างนั้นไม่ต้อง งดหมด ไม่มีสักอย่าง แต่เราจะมีมหรสพทางวิญญาณเพียงประการเดียว แล้วในงานนี้ห้ามใช้เครื่องขยายเสียงทั้งหมด
พวกแม่ค้าพ่อค้าก็มาตั้งร้านในวัดก็เอาเครื่องมาทั้งนั้น อาตมาบอกไปเรียกมาทุกร้าน ประชุมเดี๋ยวนี้ เขาก็ไปเรียกมา เรียกมาแล้วก็บอกว่า พวกเรานี่อยากจะมาขายของในงานศพนี้ใช่หรือไม่ ใช่ครับ ขายของได้แต่ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง เขาบอกว่าอย่างนั้นมันก็แย่สิครับ ไม่ใช้เครื่องแล้วจะพูดกันอย่างไร บอกว่าคนซื้อกับคนขายมันยืนจมูกจะชนกันอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้เครื่องมันก็ได้ยิน เขาไม่ได้ยืนไกลนักหนาอะไร ใช้เครื่องทำไม เขาบอกว่าใช้กันทั้งนั้นแหละ ไอ้ที่อื่นน่ะใช้ได้ แต่ที่นี่ไม่ให้ใช้ ก็พูดมาก พวกนั้นพูดมาก อาตมายื่นคำขาดว่าคุณจะขายของหรือจะเปิดเครื่องขยายเสียง ถ้าขายของไม่ต้องใช้เครื่อง ถ้าใช้เครื่องขนของออกจากวัดเย็นนี้ ไม่มีใครขนของออกสักรายเดียว แล้วก็อยู่ขายโดยไม่ต้องใช้เครื่อง บางคราวมันก็ต้องเฉียบขาดกันบ้างเหมือนกัน เลยก็เงียบ งานไม่มีอึกทึกครึกโครม เครื่องขยายเสียงของงานมีสองเครื่อง ห้ามเปิดเพลงประเภทใดๆทั้งหมด นอกจากพูดเรียกคนมาตักน้ำ ผ่าฟืน เรื่องพระ หรือว่าพูดธรรมะเท่านั้น
มีงาน ๕ วัน ๕ คืน คืนแรกพอหนึ่งทุ่มก็นิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ตามธรรมเนียม ให้ท่านมาเทศน์นิดหน่อยครึ่งชั่วโมง ถวายหน้ากัณฑ์ท่านไปแล้ว อาตมาก็ยืนปาฐกถาบนเมรุ ยอดเมรุตั้งกลางวัด ติดลำโพงไป ๓ ทิศ ๔ ทิศ ปาฐกถา ๒ ชั่วโมง จบแล้วก็ถามว่าญาติโยมมีปัญหาอะไรบ้าง ให้ถามได้ คืนนั้นถามน้อยเพราะไม่ได้เตรียมตัวมา ก็ตอบปัญหาอะไรกันประมาณสัก ๒๓ นาฬิกาก็หยุด แล้วก็พักผ่อน ไม่ต้องมีงานคืนต่อไป ต่างคนต่างพักผ่อน รุ่งเช้าขึ้น ถึงเวลากลางคืนก็ให้พระผู้ใหญ่เทศน์กัน พอทุ่มครึ่งอาตมาก็แสดง ทีนี้ว่ากันถึงเที่ยงคืนเลย เพราะปัญหามันเยอะ ทำอย่างนี้ทุกคืนๆ คืนสุดท้ายจะเผาศพเวลาเที่ยงคืน มาปาฐกถาตั้งแต่หนึ่งทุ่ม แล้วก็พูดตอบปัญหาถึงเที่ยงคืน พอถึงเที่ยงคืนก็เผาศพกัน คนที่มาในงานศพนั้นนั่งเรียบร้อย ไม่ไปไหน คือไปไม่ได้เพราะมันกลางคืน ไม่รู้จะไปอย่างไรก็เลยนั่งอยู่อย่างนั้น ก็นั่งดูเปลวไฟไปตามเรื่อง พอเผาศพดูเปลวไฟ พูดอะไรสลับฉากไปนิดๆหน่อยๆ จนตีห้าสว่าง เริ่มสว่างคนก็ลุกขึ้น ทยอยกันกลับไปๆ
ในงานนั้นได้ปัจจัยเท่าไหร่ ปัจจัยที่ได้ในงานบุญสมัยนั้นได้ถึงสามแสนบาท ไม่มีอะไรยั่วเลย ได้เงินมากมาย เอามาใช้ในงานกัน ข้าวสารในตะข้องที่บรรจุข้าวสารนั้นไม่ได้ลดลงไปเลย ทั้งที่หุงแกงกันมาก แต่มันไม่ลด ก็มีคนเอามาให้มาก ข้าวที่เอามาวันแรกไม่ได้กิน มันกองอยู่ข้างล่าง ข้างบนก็เยอะแยะ ไม่ว่าผักประเภทไหนมากมายก่ายกอง เลยบอกให้ญาติโยมรู้ว่า นี่คือทำศพแบบธรรมะ ทำศพแบบที่เป็นธรรม เราควรจะจำแบบนี้ไปใช้เป็นตัวอย่าง แต่ว่าไม่มีใครเอา พระก็ไม่เอา ชาวบ้านก็ไม่เอา ทำให้ดูแล้วยังไม่เอาเลย สอนยาก
มนุษย์นี่สอนยาก มันฝืนกระแสยาก ไม่มีใครเอาอย่าง แต่ก็ต้องพูดกันเรื่อยๆไป สอนกันเรื่อยไป ใครจะทำศพก็แนะนำไปว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาอ้างว่าชาวบ้านเขาไม่ยอม ชาวบ้านเขาอยากจะสนุกกัน เราเป็นสมภารก็ต้องคล้อยตามชาวบ้าน เพราะสมภารนั้นไม่เก่งจริง ถ้าเก่งจริงชาวบ้านมันก็ต้องตามสมภาร ทีนี้สมภารไปตามชาวบ้าน เขาเรียกว่าไม่เก่ง อยู่ในอำนาจของชาวบ้าน เลยมันก็ไปกันในเรื่องเหลวไหล ไม่ได้สาระ อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด แล้วก็ควรจะได้ช่วยกันเพื่อพยุงฐานะทางศาสนาของเราให้คงคืนสภาพดีต่อไป ถ้าเราไม่ช่วยกันแล้ว มันก็ไปไม่รอด ความเหลวไหลจะเกิดมากขึ้น ยิ่งงานศพชาวบ้านด้วยแล้ว มีความเหลวไหลทุกประเภท ดื่มเหล้า เล่นการพนันกัน มีความสนุกสนานกันทุกย่าง เรื่องแต่เป็นบาป ไม่มีบุญสักหน่อย แล้วจะอุตส่าห์กรวดน้ำ แผ่ส่วนบุญ เหมือนกับจะหลอกวิญญาณพ่อให้มารับ พอมาถึงก็หงายหลังว่า มันแผ่อะไรให้กูก็ไม่รู้ ไม่เห็นได้สักเรื่อง แล้วมันเป็นอย่างไร เอ๊ะ! น่าคิดนะ เป็นเรื่องที่น่าคิด ช่วยกันแก้ดี แต่ว่าไม่ค่อยมีใครคิดแก้ นอกจากปล่อยกันไปตามเรื่อง
อันนี้แหละคือความเสื่อมในวงการพระศาสนาที่น่าคิดมากที่จะต้องช่วยกันแก้ไข อาตมาเห็นแล้วก็เอามาเล่าให้โยมฟัง แล้วก็ไม่ได้เห็นแล้วเฉยๆหรอก เทศน์ด้วย ไปงานไหนก็เทศน์ทุกงาน แนะนำพร่ำเตือน ติเตียน ชม อะไรควรชม มีนิดหน่อยก็ชมให้เจาสบายใจ อะไรควรติก็ติเอาอย่างหนักเหมือนกัน ให้เขารู้ว่าเรามาสอน ไม่ใช่มายอเจ้าภาพ ยกหน้ากันกลับวัด ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าเขาจะนิมนต์หรือไม่นิมนต์ ไม่แคร์ แต่ต้องการสอนเขาให้เข้าใจในเรื่องที่ควรจะสอน หลักการมีอย่างนั้น ก็เลยพูดกันสอนกันไปในรูปอย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ได้ไปพบเห็น แล้วก็นำมาพูดให้ญาติโยมทั้งหลายฟังกันเสียบ้าง เพื่อจะได้รู้ได้เข้าใจ
วันนี้มีนักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรกรรมลพบุรีมาจำนวนตั้ง ๒๖๐ คน อุตส่าห์มากัน เป็นคนหนุ่มคนสาวที่กำลังศึกษาวิชาการเกษตรในวิทยาลัยเกษตร อุตส่าห์มาฟังด้วย ลำพังเด็กคงไม่มีมาหรอก แต่อาศัยผู้นำคืออาจารย์ใหญ่ ซึ่งเห็นประโยชน์ของธรรมะ เลยนำเด็กนั่งรถมาทัศนาจรศึกษาธรรมะ นับว่าเป็นการทัศนาจรที่เกิดประโยชน์ดีกว่าพาไปทัศนาจรตามน้ำตกน้ำโจนอะไรต่างๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องได้ความเพลิดเพลินอย่างเดียว แต่ถ้าพามาวัดนี่ได้ความเพลิดเพลินทั้งกายทั้งใจ ได้ความรู้ความเข้าใจในธรรมะ เพื่อนำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป อนาคตของเด็กๆนี่ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ คือพ่อแม่ ครูอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้าที่ทำหน้าที่ในทางศาสนาจะต้องช่วยกันดึงช่วยกันรั้งให้เด็กเข้าหาธรรมะให้ได้ ถ้าเราไม่พยายามนำเด็กเข้าหาธรรมะ ธรรมะก็จะไม่มีในใจของคน ฉะนั้นใจคนที่ไม่มีธรรมะนั้นเป็นจิตใจที่ว่างเปล่า ไม่มีพระ ไม่ใช่ว่างตามแบบธรรมะ แต่มันว่างจากการมีพระ จากการมีศาสนาประจำจิตใจ เขาจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จะไปสู่สถานที่ใด ก็ไปตามอารมณ์ ไปตามสิ่งยั่วยุ ไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง ความยับยั้งชั่งใจไม่มี สิ่งห้ามล้อจิตใจไม่มี แล้วสภาพชีวิตจะเป็นอย่างไร ชีวิตนั้นจะตกต่ำไม่มีค่า เพราะไม่มีธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ
คนสมัยนี้อาจจะสงสัยกัน คราวหนึ่งไปเทศน์กับนักศึกษาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ เทศน์กลางคืน แล้วเปิดโอกาสให้ถามปัญหามากมาย มีคนหนึ่งถามว่า เมื่อท้องมันแห้งอยู่ จะประพฤติธรรมได้อย่างไร เขาถามอย่างนั้น เขาเข้าใจว่าการประพฤติธรรมนั้นต้องท้องอิ่ม ต้องมีสตางค์เหลือเฟือ ต้องอยู่ตึกหลังใหญ่ ต้องมีอะไรๆพร้อม จึงจะเริ่มประพฤติธรรม นี่คือความไม่เข้าใจ ที่เขาถามนั้นถามด้วยความซื่อ ถามเพราะไม่รู้จริงๆ เขาสงสัยว่าถ้าจูงคนให้ประพฤติธรรม เมื่อท้องยังหิวอยู่จะประพฤติธรรมได้อย่างไร เขาสงสัยอย่างนั้น ก็เลยตอบให้เขาฟังว่า เพราะท้องมันหิวนั่นแหละต้องประพฤติธรรม เพราะธรรมจะช่วยให้มีข้าวกิน ให้มีเสื้อผ้า ให้มียา ให้มีบ้านเรือนอยู่อาศัย ให้มีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เพราะอาศัยการประพฤติธรรม แต่เขาไม่รู้ว่าธรรมะนั้นคืออะไร จึงไม่รู้ว่าจะประพฤติอย่างไร เขานึกว่าการประพฤติธรรมก็คือไปวัด ไปนั่งหลับตาภาวนา เด็กมันก็นึกว่าถ้าท้องหิวไปนั่งหลับตาได้อย่างไร ท้องมันร้องจ๊อก จ๊อก เราจะนั่งหลับตาอยู่อย่างไร เขาเข้าใจอย่างนั้น หาเข้าใจให้มันลึกไม่ว่า ธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่จะต้องใช้ทุกโอกาส ใช้ทุกเวลา ทุกนาที ทุกการงาน ทุกบุคคล ทุกเหตุการณ์ เราจะต้องใช้ธรรมะทั้งนั้น ไม่ใช้ธรรมะมันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นทันที คนอยู่ด้วยกันแล้วมีการทะเลาะกัน เขาเรียกว่าวิวาท คือพูดไม่ตรงกัน แล้วก็ทะเลาะคือทุบตีกัน
ไอ้ที่ทุบตีกันน่ะมันเพราะอะไร ก็เพราะว่าไม่ประพฤติธรรม ไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ จึงรู้สึกขัดข้องใจเมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ การกระทำต่างๆของอีกคนหนึ่ง เมื่อไม่พอใจขึ้นมาก็เลยเป็นปากเป็นเสียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน เกิดเป็นปัญหา เช่นสามีภรรยาอยู่ด้วยกันก็ทุบตีกัน นั่นก็เพราะว่าไม่มีธรรมะครองใจ อยู่กันโดยไม่มีธรรมะมันก็ไม่มีความสุข คนอยู่ครองเรือน ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอำนาจความอยาก ไปติดของมึนเมา ติดการพนัน ติดความสนุกสนานในทางสิ้นเปลือง ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้ ชีวิตตกต่ำอย่างน่าเสียดาย นั่นเกิดจากอะไร ก็เกิดจากว่าเขาไม่ประพฤติธรรม ไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักสิ่งที่อยู่ในตัว ไม่รู้เหตุของสิ่งนั้น ไม่รู้ว่าจะแก้ไขปรับปรุงสิ่งนั้นอย่างไร ชีวิตของเขาก็ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ น่าเสียดาย เพราะไม่ประพฤติธรรม
การงานในชาติในสังคม บางทีมันก็เลวสิ้นดี ซึ่งเป็นข้าราชการ กับเป็นทหาร ตำรวจ พลเรือน อะไรก็ตาม แล้วก็ทำการคอรัปชั่น กินสินบน กอบโกยเอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของตัว ที่เขากระทำเช่นนั้นเพราะอะไร เพราะไม่มีธรรมะเป็นฐานจิตใจ เขามีความคิดไม่ถูก พูดไม่ถูก ทำไม่ถูก คบหาสมาคมกับคนที่ไม่ถูกต้อง ไปเที่ยวในสถานที่ที่ไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านั้นชวนให้จิตใจตกต่ำ อยู่ในอำนาจของกิเลส แล้วก็กระทำสิ่งชั่วร้ายต่อไป เสียผู้เสียคน คนอยู่ในวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์ ที่เราเรียกว่าวันทีนเอจ เป็นวัยที่กำลังคึกคะนอง กำลังส่วนเหลือในร่างกายมีมาก อาจจะเอาไปใช้ในทางใดก็ได้ ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องควบคุมชีวิต คนหนุ่มอาจจะเอากำลังไปใช้ในทางผิด ในทางทำลาย ไม่ใช่ทางสร้างสรรค์ เช่น เอากำลังนั้นไปเที่ยวรบราฆ่าฟันกัน ยกพวกไปตีกันแล้วก็เกิดความทุกข์ทั้งสองฝ่าย ดังปรากฏเป็นข่าวบ่อยๆว่า นักเรียนยกพวกตีกัน ไอ้ชั้นแรกมันเกิดเป็นปากเสียงกันเพียงคนเดียว แล้วก็ไปบอกเพื่อน เพื่อนก็ไม่ฟังเหตุผล ไม่ไตร่ตรองพิจารณา ไมใช้ปัญญาคิดว่าอะไรเป็นอะไร มีความรักเพื่อนอย่างงมงาย รักไม่ลืมหูลืมตา ก็เขาสอนให้รักพวกรักพ้องกัน แต่ไม่ได้สอนให้รักด้วยปัญญา พอรู้ว่าเพื่อนถูกรังแกก็ไม่ได้ มันต้องแก้แค้น แก้แค้น ... พูดกันดังๆเชียว ทุกคนก็บอกว่าต้องจัดการ ต้องจัดการ ... แล้วก็ถือไม้พลองกระบองสั้นกระบองยาวไปกัน เพื่อจะไปตีกับคนเหล่านั้น ขณะเดินไปเพื่อจะไปตีนั้น ธรรมะไม่มี มันมีแต่ความรู้สึกโกรธ เกลียด พยาบาทอาฆาตจองเวรอยู่ในใจ แล้วก็เดินไป เมื่อไปพบโน้นเข้า ๆไอ้พวกโน้นมันก็จิตใจอย่างเดียวกัน อธรรมเหมือนกัน ไม่มีธรรมะตรงกัน ก็เลยทุบตีกันจรหัวล้างข้างแตก ตายไปก็มี คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไปเอาศพไปทำบุญกันต่อไป นี่มันเรื่องอะไร นี่แหละคือการไม่ใช้ธรรมะ ขาดการบังคับตัวเอง ขาดความอดทน ขาดน้ำใจที่เสียสละ ซึ่งเป็นธรรมขั้นพื้นฐาน เป็นธรรมง่ายๆที่เราควรจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน มันก็จะไม่มีปัญหาเพราะเราใช้ธรรมะ
ธรรมะที่จะนำมาใช้นั้นไม่มาก เอาสักสองคำก็ยังพอใช้ได้ คือคำว่าอดทนนั่นเอง คำว่าอดทนเป็นภาษาไทย มันก็สองพยางค์ คือ อด กับ ทน คำบาลีก็สองพยางค์เหมือนกัน คือคำว่า ขันติ ขันตินี้แปลเป็นไทยว่าอดทน เอาคำว่าขันติมาใช้เท่านั้นเอง ใช้คำว่าขันติ หรืออดทนก็ได้ พูดง่ายๆในภาษาไทยว่าอดทนไว้ เพียงแต่ใช้ธรรมะคือความอดทนเท่านั้น อยู่รอดแล้ว ปลอดภัยแล้ว เราลองคิดดู คนที่พอมีความอดทน ถ้าใครมาพูดเรื่องร้ายแก่เขา เขาอดทน เขาก็ไม่ด่าตอบ ไม่ตีตอบ ไม่โต้เถียงกับคนที่มาด่ามาว่า มันก็ด่าอยู่ข้างเดียว ไม่มีธรรมะอยู่คนเดียว แต่ถ้าเราขาดความอดทน เราก็ลุกขึ้นหยักรั้งตั้งท่า มึงด่ากูได้ กูก็ด่ามึงได้เหมือนกันเว้ย เอาแล้ว เลยก็ด่ากันทั้งคู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่อดไม่ทน เมื่อไม่อดทนก็เลยไปยืนด่ากัน ด่ากันมันไม่สมใจ เอาหมัดยัดปากกับจมูกเขาบ้าง เลือดตกยางออก ได้รับอะไรขึ้นมาอีกแถม นี่คือไม่อดทนเท่านั้น ถ้าเพียงแต่ประพฤติคำว่าฉันเป็นคนอดทนก็อยู่ได้
มีฤษีตนหนึ่งอยู่ในป่า ใครไปถามว่าท่านประพฤติธรรมอะไร ท่านก็บอกว่าเราประพฤติธรรมอดทน เรามีปกติ อดทน อยู่ด้วยความอดความทน เขาเรียกว่าขันติวาที ... ขันติวาที แปลว่าผู้มีปกติ อยู่ด้วยความอดทน พูดเรื่องอดทน ประพฤติความอดทน ใครจะมาทำอะไรกับตัวเท่าใดๆก็ไม่ปริปาก ไม่ทำตอบ อยู่ด้วยความอดความทน ครั้งหนึ่งฤษีตนนี้ไปอยู่ในสวนของพระราชา คืออยู่ป่านานๆก็อยากจะเข้าเมืองเสียบ้าง ก็อยู่ป่ากินแต่ผลหมากรากไม้มันไม่อร่อย อยากจะกินของเปรี้ยวของเค็มบ้าง ในเครื่องชูรสเข้าไปบ้างคือเกลือ ไม่ใช่อะไร ก็เลยมาอยู่ในเมือง ไปบิณฑบาตฉันอยู่
วันหนึ่งพระราชาชื่อกะลาปุ ไม่ค่อยเรียบร้อย พระราชาองค์นี้ไม่เรียบร้อย ใจร้อน ใจเลว หุนหันพลันแล่น เอาแต่ใจตัว ขี้โมโหโทโส ทำอะไรก็ไม่ได้คิดว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไปเที่ยวสวนเหมือนกัน เมื่อไปเที่ยวสวนก็ไปพบกับฤษีตนนั้นเข้า ก็เลยไปถามว่าท่านมีปกติอยู่อย่างไร ฤษีก็บอกว่าถวายพระพร อาตมาอยู่ด้วยความอดทน ทนขนาดไหน ทนขนาดหนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทนได้ทั้งนั้น พระราชาก็บอกว่า แหม ! มันต้องลองกันหน่อย แกคนชอบลอง ลองไม่เข้าเรื่อง เลยก็เข้าไปลองพระฤษี ด่าก่อน ใช้คำด่า ด่าว่าให้เจ็บใจ พระฤษีนั่งเฉยเหมือนกับตอไม้ ไม่ได้แสดงอาการหน้าแดงหรือว่ามือไม้สั่นหรืออะไรให้ปรากฏ อดทนจริงๆ นี่เขาเรียกว่าอดทนจริงๆ ไม่ใช่ทนเพราะต้องอดกลั้น แต่ว่ามันทนโดยธรรมชาติ ไม่แสดงอาการอะไรทั้งหมด พระราชาเห็นว่าด่ายังอดได้ทนได้ เลยเข้าไปใกล้ตบหน้าดูซิ เปรี้ยง ๆ เข้าให้ ตบหน้าพระฤษีทั้งมือขวาและมือซ้าย พระฤษีก็เฉย พระราชาถามว่าเป็นอย่างไร ทนได้ พระฤษีตอบว่าทนได้ ตบยังทนได้ ตบครั้งเท่าใดๆก็เฉย เอียงไปเอียงมาตามเรื่องแรงตบแรงๆ ท่านก็นั่งเฉย ไม่ว่าอะไร ยังทนอยู่ เอาอีกหน่อย
เอาอีกหน่อยทำอย่างไร ใช้อวัยวะเบื้องต่ำเลยทีนี้ ไอ้เบื้องสูงมันสองอันหมดแล้ว เอาเบื้องต่ำ ยืนได้ที่ก็เปรี้ยงเข้าให้ ขวาทีซ้ายที ๆ พระฤษีก็เอียงไปเอียงมาตามแรงของพระบาทาของพระราชา เตะเสียพอแรง เสร็จแล้วถามว่าเป็นอย่างไร ทนได้ อ้อ ยังเก่งๆ ยังทนได้ มันต้องลองให้หนักไปกว่านั้นหน่อย อันนี้ลองหนักไปกว่านั้นจะทำอย่างไร ให้พระฤษีนอนลงแล้วเอาไม้แยงเข้าไปในหู แยงเข้าไปในหูแล้วก็แยงหมัน ไม่ใช่เหมือนกับว่าเราคันในหูแล้วเอาหญ้ายอนหูนะ ไม่ใช่ เอาไม้ใหญ่แยงเข้าไป ดึงเข้าดึงออก เหมือนกับชักลูกสูบในหูพระฤษี ถามฤษีว่าเป็นอย่างไร ทนได้ พระราชาก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร มีดาบอยู่ที่สะเอว มือไม้มันไม่พอต้องดาบ ฟันพระฤษีซะเหมือนกับสับปลาเลย ฟันซะฤษีน่วมไปทั้งตัวเลย เหมือนกับเราหั่นปลาช่อนจะทอดมันหมูอย่างนั้น สับๆๆๆ ถามฤษีว่าเป็นอย่างไร ฤษียังพูดได้อยู่ ทนได้ ยังทนอยู่อีก พระราชาก็เลยฟันซ้ำๆ เสร็จแล้วก็เดินไป พอเดินไปก็แผ่นดินทนไม่ไหว หนักเต็มที หนักพระราชาองค์นี้เต็มทีแล้ว เลยแผ่นดินก็เลยต้องแยกให้พระราชาลงไปอยู่ก้นบาดาลซะเลย นี่เรียกว่าไปทำกับพระฤษีผู้มีศีลมีธรรม ไปทดลองมันมากเกินไป ทดลองด้วยนิสัยพาล ไม่ใช่ทดลองแบบบัณฑิต พระฤษีก็ไม่ว่าอะไร ไม่ตายด้วยซ้ำไปพระฤษี แต่พระราชาจมดินไปแล้ว นี่เป็นเรื่องนิทานชาดกที่เขาเล่าไว้ แสดงให้เห็นว่าผู้ประพฤติธรรม เพียงแต่อดทนเท่านั้น ผู้เบียดเบียนต้องแพ้ภัยตนเอง เพราะตัวเป็นผู้ไม่ยอมต่อสู้ด้วยสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เอาชนะด้วยธรรม ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ชนะความตระหนี่ด้วยการให้ ชนะคนพูดพล่อยด้วยการพูดจริง นี่คือวิธีชนะของพระพุทธเจ้า ใช้วิธีการชนะด้วยความอดทน เอาอดทนเข้าสู้
ที่เราที่อยู่ในสังคมในปัจจุบันนี้ต้องใช้ความอดทนไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยการศึกษาเล่าเรียน ถ้าเรียนด้วยความอดทนบากบั่น ชีวิตจะก้าวหน้า เรียนวิชาสำเร็จ ได้เลื่อนชั้นขึ้นไปโดยลำดับ ชีวิตจะรุ่งโรจน์เพราะอาศัยอดทนในการเรียน แต่ถ้าเป็นคนไม่อดไม่ทน หนักก็ไม่เอาเบาก็ไม่สู้ หนีการเรียน ไม่เอาใจใส่ ไม่มีความรู้ เมื่อไม่มีความรู้จะไปทำงานทำการได้อย่างไร เพราะในสังคมโลกปัจจุบันนี้ เขาต้องการคนรู้ให้ทำงาน ไม่ต้องการคนโง่ให้ทำงาน เมื่อเราสมัครจะเป็นคนโง่ เราก็จะมีงานที่ไหนทำ ไม่มีงานทำก็ลำบากเดือดร้อน ต้องเกาะพ่อแม่กินอยู่
มีเด็กคนหนึ่งจะมาขอบวช ถามว่าเธอทำอะไรบ้าง ไม่ได้ทำอะไร แล้วกินอะไร ก็กินข้าวกินน้ำเหมือนเขากินกัน เอามาจากไหนกินน่ะ อาศัยคุณแม่กิน แล้วคุณแม่ทำอะไร ก็ไม่ทำอะไรเหมือนกัน อ้าว แล้วเอาข้าวสารมาจากไหน ไม่ทำอะไรนี่ พี่ชายเขาให้ เขาให้ใคร ให้คุณแม่ เรามันเกาะคุณแม่อยู่เวลานี้ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะมาบวช บวชเพื่ออะไร อยู่บ้านมันลำบาก บวชแล้วจะได้สะดวกหน่อย บอก อ้อ ถ้าอย่างนั้นฉันไม่รับ ที่นี่ไม่รับคนประเภทบวชเอาความสบาย รับแต่คนที่จะมาบวชเพื่ออดทน เพื่ออยู่ด้วยความขยัน หนักแน่น อดทน เธอไปบวชวัดอื่นก็แล้วกัน แล้วมันก็ลาไป เลยไม่ได้บวชที่วัดนี้ นี่มันเป็นอย่างนี้ คือคนไม่เอาไหน แล้วจะเอามาวัดนี่มันอย่างไร พ่อแม่ก็เหมือนกันแหละ เอาลูกมาฝาก ถามว่าเป็นอย่างไรลูก มันไม่ไหว มันไม่ดี อยากจะมาบวช อ้าว ไอ้ไม่ดีทำไมจะเอามาให้บวชเล่า ไอ้ดีๆไม่เอามาให้บวช ก็เหมือนกับว่าวัดนี่เป็นที่ทิ้งหมาขี้เรื้อนอย่างนั้นแหละ ไอ้หมาขี้เรื้อนตัวไหนไม่มีใครเลี้ยงเอามาโยนใส่วัด กองอยู่ในวัด ไอ้ลูกๆขี้เรื้อนก็เอามาให้วัดอีกเหมือนกัน ให้วัดเลี้ยงต่อไป มันไม่ได้ เลี้ยงยาก คนพวกนี้เลี้ยงยาก ฝึกเท่าใดไม่ขึ้น สอนเท่าใดก็ไม่เอา สันดานมันเป็นอย่างนั้นนานแล้ว ฝึกไม่ไหว ทำให้หนักเปล่าๆ เลยบอกว่าไม่เอา ไม่ได้เรื่อง ถ้าจะมาบวชต้องไปแสดงฝีไม้ลายมือทำงานบ้านเสียก่อน ให้เป็นคนเก่งเสียก่อนแล้วจึงจะมาบวช หายหน้าไป ไม่เอา เขานึกว่ามาบวชนี่ง่ายๆ
บวชมันจะเป็นเรื่องของความอดทน อยู่เป็นพระนี่ต้องอดต้องทน ไม่อดไม่ทนมันอยู่ไม่ได้ อาหารไม่เหมือนใจ เที่ยวไหนก็ไม่ได้ ทำอะไรอย่างใจก็ไม่ได้ เพราะมีข้อระเบียบบังคับ ยื่นมือยื่นเท้าไปมันเป็นอาบัติมากมายก่ายกอง แล้วจะอยู่โดยตามใจตัวเองนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่เอา ถ้าเราฝึกหัดอดทนแล้วจะเอาตัวรอด เช่นว่าศีล ๕ ข้อที่เราถือกันอยู่ ๕ ข้อ
๑. ไม่ฆ่าสัตว์เอง ไม่ใช้คนอื่นฆ่า
๒. ไม่ลักเอง ไม่ใช้ผู้อื่นของของใครๆ
๓. ไม่ประพฤติล่วงเกินความรักความใคร่ของใครๆ
๔. ไม่พูดโกหก คำหยาบ คำเหลวไหล คำเพ้อเจ้อกับใครๆ
๕. ไม่ดื่ม สูบ กิน ของมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
เรียกว่าศีล ๕ เป็นหลักสำหรับชีวิต เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันชีวิต ทรัพย์สมบัติ ครอบครัว การพูด สุขภาพทางกายทางใจให้อยู่ในภาพที่เรียบร้อย คนรักษาศีลนั้นต้องอดทน ไม่อดทนก็รักษาไม่ได้ ยุงกัดไม่ทน ตบยุงซะแล้ว มดกัดไม่ทนฆ่ามดเข้าไปแล้ว หรือว่ามีอะไรไม่เป็นที่พอใจก็แสดงอาการออกมาที่เรียกว่าไม่อดไม่ทน อยู่ไม่ได้ แต่คนที่มีความอดทนนั้นจะไม่ฆ่าใคร จะไม่ทำร้ายใคร เห็นทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมันน่าเอา แต่ว่าอดได้ทนได้ก็ไม่ลักไม่ขโมย ถ้าอยากจะมีบ้างก็ไปขอเขา แต่บางคนมันถือว่าขอไม่ดี ลักดีกว่า มันเสียเกียรติในการขอ ลักไม่เสียเกียรติ ไม่รู้ใครตั้งให้ไอ้เกียรตินี้ เลยมันชอบลักชอบขโมย เพราะฉะนั้นบางคนยังพูดว่า ไม่มีงานทำจะให้ผมไปขโมยเขากินอย่างนั้นหรือ หมายความว่าไม่ทำงานก็ต้องขโมย ความจริงไม่ต้องขโมยมันก็ทำได้ งานมี แต่ว่าเลือกงาน จะเข้าไปทำงานอะไรก็ถามว่า เบาไหม สบายไหม เงินเดือนมากไหม ได้พักผ่อนนานๆไหม เอาไอ้ตัวขี้เกียจไปด้วย จะไปทำงานกับเขา อย่างนี้จะไปทำอะไรได้ถ้าไม่มีน้ำอดน้ำทนจะไปทำอะไรได้
เศรษฐีคนหนึ่งมีลูกสาวสวย ยังไม่มีใครมาสู่ขอจะแต่งงาน ต่อมาก็มีคนมาขอบ้าง แต่ว่าล้วนเป็นลูกเศรษฐีทั้งนั้น เศรษฐีแกไม่อยากได้ลูกเขยเศรษฐี เพราะลูกเขยเศรษฐีนั้นมันขี้เกียจสันหลังยาว ไม่ทำงาน มันสบาย อยากจะได้คนมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่านั้น ก็เลยประกาศเรียกสมัครลูกเขย ว่าใครอยากจะเป็นลูกเขยฉัน ให้มาสมัครได้ คนก็มาสมัครกันใหญ่นึกว่าตกถังข้าวสาร ได้เงินลูกสาวเศรษฐี ก็มาสมัครกันเป็นแถว คนมั่งมีบ้าง คนปานกลาง คนยากจน คนเข็ญใจมาสมัครกันใหญ่ จดชื่อเรียบร้อยแล้ว เศรษฐีก็บอกว่า เอ้า ! เมื่อสมัครแล้วฉันจะต้องทดสอบว่าใครควรแก่การเป็นลูกเขยของฉัน พวกนั้นก็ถามว่าจะทดสอบอะไร แกบอก เอ้า ! ทุกคนมาที่นี่ มาที่บ่อน้ำนี้ เอาตะกร้าไปวางไว้ใบหนึ่งที่ข้างบ่อ แล้วก็บอกว่าให้ตักน้ำใส่ตะกร้านี้ให้เต็มแล้วฉันจะให้ลูกสาว บางคนบอก ไอ้เศรษฐีบ้า กูไม่อยากเป็นลูกเขยมัน ให้คนตักน้ำใส่ตะกร้ามันจะอยู่ได้อย่างไรล่ะ ก็ตะกร้ามันรั่ว ไอ้พวกนั้นไปก่อนแล้ว บอกให้ตักน้ำใส่ตะกร้า ไปแล้ว ไม่ยอมตัก หนีไปกันเยอะ ยังเหลืออยู่บ้าง กูลองตักดูว่าจะเต็มหรือไม่เต็ม ตักไปได้สักชั่วโมง ไม่เข้าท่า ใช้คนไม่เข้าท่า ตักน้ำใส่ตะกร้ามันจะเต็มได้อย่างไร เอ้า ! ไป
ครั้งสุดท้ายก็เหลืออยู่เพียงคนเดียว ยากจน ไม่มีทรัพย์สมบัติ แต่ว่าเป็นคนมีคุณธรรมภายในใจ เรียกว่ามีทรัพย์ภายใน คือความอดทนนี่เอง แกก็บอกว่าเขาให้ตักน้ำใส่ตะกร้า จะเต็มไม่เต็ม ไม่ต้องคำนึง เรามีหน้าที่ตักเท่านั้นเอง ตัก ๆ ๆ ๆ มันตักตั้งแต่เช้าจนเที่ยง ตักแต่เที่ยงจนค่ำ ตักกลางคืน ตักจนสว่าง ไม่หลับไม่นอน ตักจนบ่อแห้ง ไม่มีน้ำให้ตักแล้ว ตักจนแห้งเลย แห้งแล้วขอดอีก ตักขอดโคลนขึ้นมา พอขอดโคลนขึ้นมาเทลงไปในตะกร้า ปรากฏว่ามีแหวนติดมาวงหนึ่ง พอมีแหวนติดมาวงหนึ่ง ก็เลยบอกว่าไม่มีน้ำแล้ว โคลนก็หมดแล้ว ได้แหวนวงหนึ่ง ก็เอาแหวนไปให้เศรษฐี คงเป็นของบ้านนี้ทำตกไว้ เราจะเอาไปก็ไม่ดี ก็ไม่ใช่ของเรา เลยก็นำแหวนนั้นไปให้ท่านเศรษฐี บอกว่า นี่ไงครับผมตักน้ำใส่ตะกร้า ตักตั้งแต่เมื่อวาน ตักมาจนวันกลางคืน น้ำไม่เต็ม แต่ว่าแห้งหมดแล้ว ผมไม่รู้จะตักที่ไหนให้แล้ว เลยตักครั้งสุดท้ายก็มีแหวนติดมาวงหนึ่ง ก็คงจะเป็นของคนบ้านนี้ไปทำตกไว้ด้วยความประมาท จึงเอามาคืนให้ เศรษฐีก็ยิ้มชอบใจ บอกว่าไอ้นี่แหละมันควรแก่ตำแหน่งลูกเขยข้า เลยก็จับไปแต่งตัว ไปตัดผมเสียหน่อย มันไม่ได้ไว้ผมทรงฮิปปี้เหมือนกับหนุ่มสมัยนี้หรอก แต่ว่ามันไม่ได้มีโอกาสตัดกับเขา ไอ้เรานี่มันมีร้านตัดผม แต่ไม่ตัดให้มันรกรุ่มร่าม เห็นว่าไอ้นั่นผมรกก็เลยไปตัดผมให้ อาบน้ำทาแป้งแต่งตัว แล้วก็ทำการพิธีแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐี
เมื่อแต่งงานแล้วแกก็ไม่ได้นึกว่าเป็นลูกเขยเศรษฐี แกก็นึกว่าเรามันได้เพราะความอดทน เราจะต้องทำงานด้วยความอดทนต่อไป เราจะต้องสร้างตัวเราให้เจริญก้าวหน้าต่อไป โดยอาศัยฐานคือเงินทองเศรษฐี คนคิดก้าวหน้า แล้วก็ทำงานด้วยความอดทนบากบั่น ชีวิตไม่ตกต่ำ นี่เห็นง่ายๆว่าอาศัยความอดทนโดยแท้ ผู้อดทนย่อมชนะในที่ทุกสถาน ในการทุกเมื่อ สำเร็จในกิจการทุกอย่าง เพราะน้ำอดน้ำทน
พระโสณะไปลาพระพุทธเจ้าเพื่อจะไปสอนธรรมะที่หมู่บ้านหนึ่งซึ่งคนเกะกะหน่อย พระองค์ก็บอกว่าคนบ้านนั้นมันเกะกะนะเธอจะไปสอนได้หรือ ท่านก็บอกว่าสอนได้ เธอจะทำอย่างไร ถ้าเขาด่าเธอด้วยคำหยาบ เธอจะทำอย่างไร ข้าพระองค์จะนึกว่ายังดีกว่าเขาตี เพียงแต่ด่าดีกว่าเขาตี ถ้าเขาตีเธอล่ะเธอจะคิดอย่างไร เพียงแต่ตียังดีกว่าเขาฆ่าให้ตาย แล้วก็จะสบายใจเพียงแต่เขาตี ถ้าเขาฆ่าเธอให้ตายล่ะเธอจะทำอย่างไร ก็คิดว่าดีเหมือนกัน เพราะคนบางคนต้องฆ่าตัวตายเพราะความไม่อดทน แต่นี่เขามาช่วยฆ่าให้แล้วมันก็จะได้หมดเรื่องไปสักทีหนึ่ง ดีเหมือนกัน พระพุทธเจ้าอนุโมทนาว่าชอบแล้ว เธอไปทำงานได้ที่นั่น สำเร็จ เพราะเธอไปด้วยความอดทน ท่านก็ไปอยู่ ใครจะด่าจะว่าท่านก็เฉยๆ ไม่รู้เรื่อง ด่าหนักเข้าท่านก็เทศน์ให้ คนพวกนั้นก็พลอยสำนึกขึ้น รู้สึกตัวดีขึ้น เรียบร้อย ในที่สุดก็สอนธรรมะในบ้านนั้นได้ ด้วยอาศัยความอดทนโดยแท้ อย่างนี้ตัวอย่าง คนเรามันจะทำอะไร ต้องเอาธรรมะเข้าไปใช้ ใช้สองตัวเท่านั้นอยู่รอดแล้ว อดได้ทนได้นี่ก็อยู่รอดแล้ว
พระราชาองค์หนึ่งไปถามพระต่างๆ ถามพระว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี่ ถ้าจะย่นให้สั้นเพียง ๒ คำจะได้หรือไม่ ถามพระสังฆราชบอก โอ๊ย ของเยอะแยะจะมาย่อเพียง ๒ คำ มันจะย่อได้อย่างไร ถามสมเด็จ ถามเจ้าคุณ ถามหมด ไม่มีใครจะทำได้ ตอบไม่ได้ แต่สมัยนั้นศรีธนญชัยมันไปบวชอยู่ด้วย อันนี้เขาก็มาถามพระหนุ่มศรีธนญชัยว่าย่อได้ไหม ศรีธนญชัยบอก โอ๊ย ! เรื่องง่ายๆ ฉันจะไปย่อให้พระราชาฟังหน่อย แหม ! ชาวบ้านก็แตกตื่นกันว่า ท่านศรีธนญชัยจะไปเทศน์ในวังแล้วคราวนี้ เทศน์ด้วยคำพูดเพียงสองคำเท่านั้นเอง ไม่มากมายอะไร คนก็ขอพระราชานุญาติ จะเข้าไปฟังด้วย พระราชาบอกไม่ต้องเทศน์ในวัง เทศน์สนามหลวงดีกว่า ทำปะรำกันแดดเข้า ให้ศรีธนญชัยขึ้นเทศน์ ศรีธนญชัยขึ้นไปเทศน์ก็ไปนั่งบนธรรมาสน์ ตั้งนะโม กล่าวคำถวายพระพรพระราชาเสร็จแล้ว ก็พูดขึ้นมาว่า “อดทน อดทน อดท๊นนนน ... เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้”
มีเท่านั้นเอง ๒ คำเท่านั้น เทศน์ได้ ๒ คำคือ อดทน อดทน บอกว่าในพระไตรปิฎก ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ ย่นลงเหลืออดทนเท่านั้นเอง ๒ คำเท่านั้นเอง พระราชาก็ชอบใจในคำพูดศรีธนญชัยว่าสอนเรื่องอดทน ๒ คำเท่านั้น อดได้ทนได้แล้วมันก็อยู่ได้ นี่ญาติโยมที่มานั่งฟังเทศน์นี่อดทน ร้อน มานั่งในนี้พัดลมมี แต่ว่ามันไม่ทั่ว เรานั่งด้วยความอดทน เราก็อยู่ได้สบาย ถ้าเราจะต้องเดินบ้างก็เดินด้วยความอดทน อดบ้างอาหารไม่ค่อยสมบูรณ์ กินด้วยความอดทน กินได้สบาย ไปไหนเกิดความลำบากก็ยิ้มรับเหตุการณ์ว่าดี จะได้ปฏิบัติธรรม อดทนหน่อย ก็ดี สบายใจ ไม่มีอะไรเดือดร้อน เพราะเราใช้หลักปฏิบัติคือ อดทน เอาตัวรอด
นี่คือธรรมะง่ายๆ ที่เรียกว่า ขันติ คือความอดทน ขันติ ความอดทนนี่เป็นหญ้าปากคอก ถ้าเรียนธรรมะ ขึ้นข้อแรกก็เรียกว่า สอน ๒ ข้อนี้ อันทำให้งาม มี ๒ อย่าง ขันติ โสรัจจะ ขันติคือความอดทน โสรัจจะคือความสงบเสงี่ยม ทำให้งาม คนที่อดทนนั้นเป็นคนงาม คนที่โกรธ ใจร้อน ใจเร็ว หุนหันพลันแล่น ไม่งาม ผู้หญิงสาวสวยๆ เรียกว่าประกวดนางสาวไทยได้ แต่ว่าหน้าเง้าหน้างออยู่ตลอดเวลา ปุ้งปั้ง ปุ๊งปั๊ง อย่างนี้งามตรงไหน ไม่ได้งามอะไร งามแต่ข้างนอก ข้างในไม่งาม งามแท้มันต้องงามที่ใจ ใจงามต้องประดับด้วยความอดทน เมื่ออดทนแล้ว สงบเสงี่ยม เจียมเนื้อเจียมตัว เขาว่านุ่งเจียมดีกว่านุ่งพรม นุ่งห่มเจียม นุ่งเจียม ห่มเจียม หมายความว่าเจียมเนื้อเจียมตัว บังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง ไม่แสดงอาการอะไรที่มันไม่เหมาะไม่ควรออกไป ก็ชื่อว่ามีน้ำอดน้ำทน อยู่ อยู่ได้สบาย หน้านี้เป็นหน้าร้อน เราก็ต้องอดทนหน่อยเพราะมันร้อน ไม่เท่าใดมันก็พ้นร้อน มันอย่างนั้นแหละเวียนกันไปเรื่อย ร้อนแล้วก็ฝน ฝนแล้วก็หนาว หนาวแล้วก็ร้อน เราทนมาหลายปีแล้ว ใครทนไม่ไหวก็ลาโรงกันไปหลายคนแล้วเหมือนกัน มันเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ต่อไปก็ต้องทน ใจเย็นๆ อย่าไปบ่นว่าร้อนอะไรเข้า ยิ่งบ่นมันยิ่งร้อนนะ ถ้าเราไม่บ่นแล้วคนไม่รู้ว่าเราร้อนนะ เรานั่งเฉยๆ มันก็ไม่ร้อนอะไร ทีนี้ถ้าบ่นว่าร้อนจริง ๆ ร้อนใหญ่เลย เพราะฉะนั้นอย่าบ่น
คนอดทนนี่คือไม่บ่น ไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครรู้ใครเห็น เรียกว่ามีน้ำอดน้ำทน ชีวิตอยู่ได้เรียบร้อย สบายดี นี่คือธรรมะที่ต้องนำไปใช้ในฤดูนี้ ในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ในยุคปัจจุบันนี้ เราก็ต้องใช้ความอดความทนไว้ จึงจะอยู่รอดปลอดภัย
ดังแสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็มาหัดอดทนกันหน่อย สัก ๕ นาที คือนั่งสงบใจ เอามือวางไว้บนตัก แล้วก็ตาปิดเสีย กำหนดลมหายใจ หายใจเข้ากำหนดรู้ตามลม หายใจออกกำหนดรู้ตามลม อย่าให้ไปคิดเรื่องอื่น คิดอยู่แต่เรื่องลมเข้าลมออก เป็นการผายปอด ทำให้สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี ทำบ่อยๆดี ตอนนี้ทำสัก ๕ นาที เอ้า ! เริ่มได้ ณ บัดนี้