แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้วขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันอาทิตย์นี้โดยโลกสมมุติก็ถือว่าเป็นอาทิตย์แรกของปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ความจริงมันก็เหมือนกับวันอาทิตย์ก่อนๆแต่ว่าจิตใจคนเราที่มันมีความยึดถือในอะไรบางสิ่งบางประการและก็มีความตื่นเต้นต่อสิ่งนั้น เช่นเมื่อเดือนธันวาคมสิ้นไป เราก็ถือว่าสิ้นปี วันที่ ๑ มกราคมก็ถือว่าเป็นปีใหม่ ดังที่เคยบอกญาติโยมไว้แล้วว่า ปี เดือน วัน มัน ไม่เก่าไม่ใหม่ว่าสิ้นปี และก็ปีขึ้นใหม่มาก็เรียกว่าเป็นปีใหม่ เดือนใหม่ วันใหม่ นาทีใหม่ ชั่วโมงใหม่ คนเรามันชอบใหม่ไม่ค่อยชอบเก่าๆแต่ว่าบางอย่างก็ชอบเหมือนกัน แม้เก่าก็ชอบ ใหม่ก็ยิ่งชอบใหญ่ แต่แล้วเมื่อเราชีวิตเราผ่านมาด้วยดีตลอดปี ๒๕๒๔ ซึ่งเป็นปีแห่งคนพิการ เขาประณามว่าปี ๒๕๒๔ ปีแห่งคนพิการจิตใจคนก็ชักจะพิกลพิการอยู่เหมือนกัน ถึงมันสับสนวุ่นวายกันไปทั่วโลกมีการประกอบอาชญากรรมชนิดแรงๆ ฆ่าคนสำคัญของโลก ฆ่าจนกระทั่งโป๊ปแต่ท่านไม่ตาย ฆ่าประธานาธิบดีก็ไม่ตาย แต่ว่าประธานาธิบดีอียิปต์ตายแล้วก็ยังจะคิดฆ่ากันไปอีกเรื่อยๆ มันก็แปลกมนุษย์นี่ มันเรื่องอะไรก็ไม่รู้โลกมันทั้งกว้างทั้งขวางแต่มันก็เกลียดกันอยู่ตลอดเวลา ชอบทำร้ายกัน ชอบเบียดเบียนกัน ชอบทำให้คนเดือดร้อน ทั้งๆที่ตัวก็พูดว่าต้องการความสุขแต่ว่ากลับจะทำเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์แล้วเรามันจะได้ความสุขอย่างไร
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ใดต้องการความสุข แต่ทำคนอื่นให้เป็นทุกข์ ผู้นั้นจะไม่ได้สุขสมปรารถนา ผู้ใดต้องการความสุขทำให้คนอื่นเป็นสุขด้วย ผู้นั้นจะได้สุขสมใจ อันนี้เป็นหลักการที่ถูกต้อง เหตุการณ์ของโลกมันก็บอกเราอยู่ในตัวแล้วว่าผู้ที่ต้องการความสุข แต่ไปทำคนอื่นให้เกิดความทุกข์นั้นไม่มีความสุข ผู้ใดต้องการความสุขไม่ทำใครให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ก็ย่อมจะเกิดความสุขสมหมาย เพราะฉะนั้นเราต้องการจะให้เราเป็นสุข ก็ต้องช่วยให้คนอื่นเป็นสุขด้วยไม่ทำให้ใครเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน การที่คนทำตนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์แก่คนอื่นนั้นก็ทำไปด้วยความหลง ทำไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็เพราะว่าไม่สนใจศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใกล้คนสอนธรรมะ เลยไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ควรจะนำไปใช้ในชีวิตอย่างไรเขาไม่รู้ไม่เข้าใจก็เลยทำตามอารมณ์ตามใจอยาก เมื่อมีความต้องการอะไรเกิดขึ้นในใจ ก็ทำตามที่ตนอยาก การทำอะไรตามที่ตนอยากโดยไม่มีการควบคุมนั้นเป็นวิสัยของความโง่ คนเราเมื่อโง่มันก็เป็นสัตว์เดรัชฉาน สัตว์เดรัชฉานนั้นเมื่อมีความต้องการอะไรมันก็กระโจนเข้าใส่เลย ไม่มีการควบคุม ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ สุนัขที่เลี้ยงไว้ที่กุฏิ ถ้าว่ามันจะกินอะไรพอหยิบจะยื่นให้มันงับเอาทั้งมือคนด้วย สัตว์ใหญ่ทุกที ไม่มีระเบียบ ความโง่นี่ไม่มีระเบียบ สัตว์เดรัชฉานก็คือความโง่ เมื่อใดเราโง่เราหลงผิด เราเข้าใจผิด มันก็ไม่มีระเบียบ การคิด การพูด การกระทำก็ย่อมจะเป็นไปในทางเสื่อมอันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน
เรื่องนี้คนเราหัดคิดเสียบ้างคือคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา ที่เราพูดกันว่าใจเขาใจเรา ใจเขากับใจเรานั้นโดยปกติธรรมชาติมันต้องเหมือนกัน ไม่ได้แตกต่างอะไรกันโดยธรรมชาติปกตินั้นสภาพจิตเป็นอันเดียวกัน เด็กๆแรงไหม ธรรมชาติจิตนั้นมันมีสภาพเหมือนกันก็ไม่ได้แตกต่างกัน ความแตกต่างนั้นอยู่ที่การปรุงแต่ง เมื่อจิตถูกปรุงแต่งด้วยอำนาจกิเลสจิตก็แตกต่างกัน เช่นปรุงแต่งด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร สภาพจิตมันก็แตกต่างกัน แต่ถ้าจิตของใครก็ตามไม่ถูกปรุงแต่งด้วยอำนาจกิเลสแล้วมันก็มีปกติเหมือนกัน จิตปกตินั้นคือจิตที่สะอาดอยู่ จิตที่สงบอยู่ จิตที่สว่างอยู่ ถ้าเราเอาจิตเดิม ของเราของเขายกมาวางลงเทียบเคียงกันดูไม่ออกว่าเป็นของใครเพราะมันมีสภาพเหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน แต่ถ้าจิตนั้นถูกปรุงแต่งแล้วก็จะแตกต่างกันมีสีเปลี่ยนไป รูปเปลี่ยนไป ความคิดความอ่านก็เปลี่ยนแปลงไป เราอย่าไปเอาสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงแล้วมาเป็นอารมณ์ แต่จงเอาสิ่งเดิมแท้มาเป็นอารมณ์ ถ้าเราได้พบใครมีสภาพจิตใจเปลี่ยนแปลงไปในรูปต่างๆ อย่าไปโกรธเขา อย่าไปเกลียดเขา อย่าไปนึกว่าเขาเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ให้นึกว่าน่าสงสาร เขาเป็นคนที่น่าสงสารน่าจะเข้าไปช่วยเหลือให้คลายจากความคิดอย่างนั้น ให้พ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อนในรูปนั้นถ้าเราคิดกันในรูปอย่างนี้แล้วสิ่งทั้งหลายมันก็ดีขึ้น
ถ้าเรามองด้วยปัญญาไม่ได้มองด้วยกิเลส เอาปัญญาเข้ามาเป็นแม่ ส่องลงไปเราก็จะเห็นสิ่งนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ถ้าเรามองด้วยความโง่ ความเขลามันก็เกิดปัญหาเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นจึงควรจะคิดกันว่าเราจะทำอย่างไรให้สังคมมนุษย์เป็นสุข ให้อยู่กันด้วยความสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่สับสน เราก็ต้องอยู่กันด้วยน้ำใจที่มีเมตตาปราณีต่อกัน ไม่ใช่น้ำใจที่มีกิเลสเข้าใส่กัน เพราะถ้าเอาจิตใจที่มีกิเลสเข้าใส่กันแล้วมันก็ต้องเกิดเรื่องทางการเกิดเป็นข่าวว่าฆ่ากันมากเหลือเกิน ในรอบปี ๒๕๒๔ นี่คนฆ่ากันมาก ตายด้วยการฆ่า ตายด้วยอุบัติเหตุ แต่ตายปกตินั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา แก่ตายไป เจ็บไข้ตายไปเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ฆ่ากันตายมันไม่ใช่ธรรมชาติ อุบัติเหตุก็ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความประมาท ไม่ใช้ธรรมะ ไม่มีความระมัดระวังในเรื่องนั้นๆ ก็เลยการการตายกันขึ้น คนบางคนยังไม่ควรจะตายควรจะอยู่ในโลกใบนี้ เพราะมีความรู้ มีความสามารถ มีความประพฤติดี ควรจะอยู่ในโลกเพื่อช่วยสร้างโลกให้งดงามต่อไป แต่ก็ต้องตายด้วยอำนาจอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนมากกว่าเพื่อน ที่อื่นไม่ค่อยเกิดเท่าไร เกิดขึ้นบนท้องถนน เกิดจากรถยนต์สองคันมันรักกัน ชอบกัน เลยเข้าไปกอดกันกลางถนนอย่างนี้ มากมายก่ายกอง ปีหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่น้อยคิดแล้วก็น่าเสียดาย สูญคนไปแล้ว สูญทรัพย์สินสมบัติของบ้านเมืองปีหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย นั่นก็เพระว่าเขาขาดสติปัญญา ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี หรือคนอีกประเภทหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้หวังดีต่อประชาชนต้องการจะช่วยให้ประชาชนพ้นจากเหตุ ไม่รู้เหตุอะไร แล้วก็จะทำให้ทุกคนสบายแต่ว่าตัวเองหาได้สบายไม่ ชอบก่อกรรมทำเข็ญอยู่ตลอดเวลา ชอบทำลายสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ เป็นของประชาชน เช่นทำลายสะพานรถไฟ ทำลายสถานีรถไฟ ทำลายโรงเรียนสำหรับเด็กศึกษา ทำลายสุขศาลาอนามัย อันเป็นสถานที่สงเคราะห์คนเจ็บไข้ได้ป่วย
คนอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนรักบ้านรักเมืองได้อย่างไร รักชาติรักประเทศได้อย่างไร เป็นคนที่จะทำให้คนอื่นเป็นสุขได้อย่างไรก็มีนิสัยก้าวร้าว ชอบทำลาย ชอบล้างชอบผลาญ ไม่ใช่คนควรที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดินหรือสร้างอะไรๆที่จะอยู่ เพราะความคิดมีแต่จะทำลายล้างแล้วจะไปทำอะไรได้ คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในโลกนั้นต้องเป็นคนมีน้ำใจเมตตาปราณี มุ่งแต่จะทำให้คนอื่นเป็นสุขไม่สร้างปัญหาให้แก่ใครๆ คนอย่างนี้มีน้อย ก็มีอยู่คือพระพุทธเจ้าเรียกว่ายอดละ เพราะว่าไม่ได้ให้ร้ายแก่ใคร ไม่ทำใครให้เดือดร้อนมีแต่สร้างสันติให้เกิดขึ้นในสังคม แม้คนก็จะรบราฆ่าฟันกันก็อุตสาห์ไปห้ามว่าอย่ารบกันเลย พูดกันรู้เรื่องพูดกันก็ได้ ประนีประนอมกันก็ได้เลยไม่ต้องฆ่าต้องแกงกัน โดยตรงจะทำอย่างนั้น ก็เป็นการช่วยเพื่อนมนุษย์ให้อยู่กันด้วยความสุข ความสันติ ถ้าเราหวังจะสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในสังคมเราก็ต้องสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจเราเสียก่อน การสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจเรานั้นเป็นฐานสำคัญของชีวิต เป็นฐานที่เราควรจะทำให้เกิดขึ้นก่อน เหมือนกับเราจะสร้างบ้านมันต้องมีที่ดิน ไม่มีที่ดินจะไปสร้างตรงไหน ดินนั้นก็ต้องเป็นของเราเองตามกฏหมาย ถ้าดินมันไม่เป็นของเราตามกฏหมาย เราไปสร้างลงไปมันก็ไม่สำเร็จ เจ้าของเขาก็จะมาเกี่ยวข้องกับเราก็จะเที่ยวเดินกันต่อไปไม่รู้จะปักลงที่ไหนดีฉันใด เราจะสร้างอะไรให้เกิดขึ้นในครอบครัว ในประเทศชาติในสังคมก็ต้องสร้างที่ตัวเราเสียก่อน คือมันตั้งต้นที่ตัวเรา ไม่ใช่ตั้งต้นที่อื่นอะไรๆ มันก็ตั้งต้นที่ตัวเรา
ก็ดูพระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย พระองค์มีความปรารถนาที่จะช่วยโลกให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน ให้อยู่กันด้วยความสุข พระองค์ก็ทรงกระทำพระองค์เองให้ถึงจุดสุขนั้นเสียก่อนด้วยการลงทุนออกไปบวช ไปศึกษา ค้นคว้าธรรมะ เป็นเวลานานถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าถึงยอดสุขที่พระองค์ปรารถนา ครั้นเมื่อสำเร็จเป็นสุขส่วนพระองค์แล้วก็ไม่ได้นิ่งอยู่เฉยได้นำความสุขนั้นไปประกาศแก่ชาวโลกต่อไป ที่ทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรเป็นความสุข อะไรเป็นความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดอะไรขึ้นในชีวิต พระองค์ได้ทรงกระทำตลอดพระชนม์ชีพซึ่งเวลาไม่ใช่น้อยถึง ๔๕ ปี พระองค์ทำพระองค์เองให้เป็นสุขแล้วช่วยตัวเองให้เป็นสุข เราว่ายน้ำเป็นจึงจะช่วยคนตกน้ำได้ ว่ายไม่เป็นไปช่วยก็ตายทั้งพ่อทั้งลูกเท่านั้นเอง หรือว่ายเป็นแต่ว่าแก่ ว่ายไม่ไหวผลที่สุดก็ไปไม่รอด คนที่เห็นมันก็ไม่ช่วยนี่เรียกว่าไม่มีความสุขในจิตใจคนเหล่านั้น ไม่มีธรรมะอยู่ในใจที่จะสงสารคน ที่จะช่วยกันดึง ช่วยกันทำ ไม่ให้คนมันจมน้ำได้ไปต่อหน้าต่อตานี่เขาเรียกว่าขาดคุณธรรม ขาดหลักประคับประคองจิตใจจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นซึ่งไม่ควารจะเกิด นี้เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าคนเรามันขาดแล้ว มันก็อะไรขาดไปหมด ถ้าสมบูรณ์แล้วอะไรมันก็สมบูรณ์ไปหมดเราจึงต้องทำชีวิตเราให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยคุณธรรม ด้วยความงาม ความดี ตามหลักคำสอนในทางพระศาสนา การทำชีวิตให้สมบูรณ์นี่แหละป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องช่วยกันเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะในปีใหม่นี้ เราถือว่าเป็นปีสำคัญ เขามองไทย เพราะว่าเราได้เป็นไทมาครบ ๒๐๐ ปี หรือว่ามันเป็นกันมานานแล้วแต่ว่าย้ายบ้านย้ายเมืองบ่อยๆ ย้ายมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย ย้ายมาอยุธยา ย้ายมาอยู่ธนบุรี แล้วก็มาตั้งหลักแหล่งตรงที่กรุงเทพฯ ตั้งมามั่นคงได้ถึง ๒๐๐ ปี ไม่ใช่เล็กน้อย ๒๐๐ ปีนั้นเป็น ๒๐๐ ปีแห่งการต่อสู้ การฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆนั้นเกิดขึ้นมามากมาย แต่อาศัยพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลนั้นๆ ที่ทรงปกครองบ้านเมือง เอาตัวรอดมาได้ทุกยุค ทุกสมัย รอดมาได้ถึง ๒๐๐ ปี ใน ๒๐๐ ปีนั้นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเราตกต่ำ ต้องตกต่ำ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเราต้องตกต่ำหลุดไปเป็นเมืองขึ้นของชนชาติอื่นไปแล้วทำไมเราจึงอยู่รอด นี่มันคือเคล็ดลับที่เราควรจะสำนึกว่าอยู่รอดเพราะอะไร ไม่ใช่อยู่รอดด้วยเพราะมีทหารม้า มีกองทัพเกรียงไกร หามิได้ เพราะกองทัพที่เรามีนั้นมันน้อยนิดเหลือเกินถ้าจะไปเทียบกับกองทัพนักแสวงหาเมืองขึ้นในสมัยนั้น สู้ไม่ได้ กำลังมันห่างไกลกัน แต่ว่าเราก็อยู่ได้ อยู่ได้ด้วยอะไร
นี่แหละเรียกว่าอยู่ได้ด้วยธรรมะ แต่เรามักจะพูดเป็นภาษาชาวบ้าน พูดว่าพระสยามเทวาธิราชช่วยชาติไทยให้รอดพ้นอันตราย พระสยามเทวาธิราชนั้นไม่มีตัวมีตน เป็นแต่รูปสมมุติที่ปั้นขึ้นด้วยความคิดของมนุษย์เท่านั้นเอง องค์พระสยามเทวาธิราชที่แท้จริงนั้นคืออะไร คือพระธรรมนั่นเอง พระธรรมที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินที่สำคัญ นั่นแหละคือองค์พระสยามเทวาธิราช คือธรรมะนั่นเอง แทนที่เราจะไปกราบไหว้ตัววัตถุที่เขาปั้นไว้ เราก็ต้องไหว้ธรรมะ นึกถึงธรรมะที่อยู่ในน้ำใจของผู้ครองบ้านครองเมืองคือพระเจ้าแผ่นดิน ท่านใช้ธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะมาเป็นเครื่องมือวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วก็อยู่รอดมาได้จนกระทั่งถึงบัดนี้ นั้นแหละคือองค์พระสยามเทวาธิราช คือองค์พระธรรมนั่นเอง พระธรรมในพระพุทธศาสนานั่นแหละที่ช่วยชาติ ช่วยบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่ใช่ว่าเทวดาองค์ไหนมาดลบันดาลให้รอด ไม่ใช่ แต่ธรรมะทที่พระเจ้าแผ่นดินเอามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ชาติไทยอยู่รอด ถ้าเราจะขอบคุณก็ต้องขอบคุณพระธรรมที่ช่วยให้จิตใจของพระเจ้าแผ่นดินอยู่รอด แต่ว่าลำพังพระธรรมก็ทำอะไรไม่ได้ มันต้องอาศัยคนประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมนั่นแหละคือคนที่เราควรจะขอบใจให้มากเหมือนกัน แต่ว่าเพราะมีธรรมะอยู่ท่านจึงได้ประพฤติธรรม
เราก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรมที่พระองค์บัญญัติไว้ นึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ช่วยสืบต่อพระศาสนามาจนกระทั่งถึงพวกเราทุกวันนี้ และเราก็นึกถึงบรรพบุรุษตั้งแต่เริ่มสร้างชาติ สร้างบ้านเมืองมา ว่าท่านบรรพบุรุษเหล่านั้นได้ช่วยกันศึกษาช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันประกาศธรรมะไว้ไม่ให้สูญไป เราทั้งหลายจึงได้เรียนได้รู้ ได้ปฎิบัติ ได้เอามาใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กับปัญหาในชีวิตประจำวัน และเราก็อยู่รอดปลอดภัยมาได้ สิ่งที่ควรนึกถึงก็คือสิ่งนี้ คือตัวพระศาสนา ตัวธรรมนี่แหละ เป็นสิ่งที่เราควรนึกถึง นึกถึงเฉยๆ มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร นึกแล้วเราก็ต้องเอามาใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป พระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทยตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ สู่ยุคกรุงเทพฯ ยุคกรุงศรีอยุธยานั้น มันหลายวงศ์เหลือเกิน วงศ์หนึ่งก็ครองไม่เท่าไหร่ไม่ถึง ๑๐๐ ปีสักองค์เดียว เรียกว่าอยู่ในขณะ ๗๐-๘๐ ปี อะไรอย่างนั้นแล้วก็ล่มกันไป จมกันไป ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าเกิดการแก่งแย่งกัน แข่งดีกัน ไม่ยอมกัน คนนั้นมีสิทธิ์ที่ควรจะได้เป็น เป็นแล้วเพื่อนก็ไปดึงแข้งดึงขา เอาลงมาเสีย แล้วก็คนที่ไปดึงนั้นขึ้นไปนั่งแทน นั่งอยู่ได้สักพักเพื่อนก็ดึงมาอีก กรรมสนองกรรม คือกรรมนี่มันสนองกันอยู่ชัดๆ
กรรมในทางการเมืองนี่เห็นง่ายที่สุดเลย ว่าสนองกัน คนที่ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ได้เป็นใหญ่อยู่สักพักเดี๋ยวก็คนอื่นมาปฏวิตอีกแล้ว แล้วคนนั้นก็ได้เป็นสักพักหนึ่ง อีกคนก็มาปฏิวัติอีกแล้ว มันสนอง สนองกันไปในตัว เคยเทศน์ไปแล้วปีหนึ่งแล้วว่าหยุดกันสักทีการปฏิวัติแบบนั้น มันไม่จบ มันสนองกรรมกันไม่จบไม่สิ้น หยุดกันเสียทีปกครองกันให้เป็นธรรมกันสียทีหนึ่ง ไม่ต้องปฏิวัติกันต่อไปมันจะได้อยู่กันด้วยความสุข ความสงบ ในสมัยโบราณเราก็เห็นว่าพระเจ้าอชาติศรัตรูนี่ฆ่าพ่อ ลูกฆ่าพ่อ แล้วลูกก็ฆ่าพ่อ พระเจ้าอชาติศรัตรูฆ่าพระเจ้าพิมพิสารเพื่อบัลลังก์ ลูกพระเจ้าอชาตศรัตรูก็ฆ่าพระเจ้าอชาติศรัตรูเพื่อบัลลังก์ หลานพระเจ้าอชาติศรัตรูฆ่าลูกพระเจ้าอชาติศรัตรู เพื่อบัลลังก์ ฆ่ากันเป็นสามช่วงกันไป สนองกรรมกัน เป็นเหตุประชาชนเห็นว่าไม่ไหวแล้วราชวงศ์นี้ไม่ค่อยจะดีแล้วพ่อฆ่าพ่อกันมาสามชั่วคนแล้วก็เลยทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยึด ประชาชนเข้ายึดอำนาจ แล้วก็สืบต่อมาจนถึงพระเจ้าอโศกมหาราชครองบ้านครองเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขกันไปพักหนึ่ง ท่านสิ้นบุญไปคนที่ครองราชย์ต่อไม่เข้มแข็งก็เลยเปลี่ยนแปลงกันไปตามเรื่อง กรุงศรีอยุธยาเราก็เป็นอย่างนั้น องค์หนึ่งครองเมืองพอเสด็จสวรรคตลูกขึ้นครอง อาไม่ยอมมาแย่งแผ่นดินอาไป อาเอาไปครอง แต่ว่าลูกกับหลานก็ยกให้โดยดีไม่มีเรื่อง แล้วต่อมาอาตาย หลานก็มาเอาอีก ลูกของอาก็เคืองอีก มันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีความรัก ไม่มีการให้ มีแต่คิดจะเอาเลยก็สับสนวุ่นวาย หลายวงศ์ หลายวงศ์กษัตริย์ จนกระทั่งเสียกรุงแถบพม่าในสมัยนั้นแล้วก็มาสร้างกรุงธน พระเจ้ากรุงธนก็ท่านกู้ชาติ กู้บ้านเมืองมาอยู่มาก็ ๑๔ ปี ท่านปฏิบัติธรรมมากไปหน่อย ตึงไป จนเสียพระสติฟั่นเฟือนไปหน่อยนึกว่าเป็นพระอรหันต์ ถามพระสงฆ์องค์เจ้าว่าพระสงฆ์นี่ไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระอรหันต์ได้หรือ พระที่กลัวอันตราย ก็เลยถวายพระพรว่าไหว้ได้เลยไหว้แนแถว แต่มีอยู่องค์หนึ่งไม่กล้าไหว้ ไม่ยอม ถูกถอด ถูกถอดจากตำแหน่งสมณศักดิ์ ทีหลังก็เลยได้คืนสมณศักดิ์เป็นใหญ่เป็นโตต่อไป ข้าราชการก็พระเจ้าตากท่านฟั่นเฟือน ท่านบอกว่าใครจะตามเสด็จไปสวรรค์กับข้าพเจ้าบ้าง หรือ ถ้าตามไปก็ต้องตาย ทุกคนจะไปกันทั้งนั้น แต่พระยาพัทลุงนี่ท่านเก่งกว่า ท่านฉลาดท่านบอกว่าบารมีไม่ถึง ขอให้พระองค์เสด็จไปลำพังเพราะว่าบารมีแก่กล้าแล้ว พวกข้าพระองค์ทั้งหลายนี้บารมียังไม่ถึง ขออยู่ในโลกอันทรมานนี้ต่อไป เลยอยู่รอดไม่เป็นไร พระยาพัทลุงนี่ก็สำคัญเหมือนกันเรียกว่ากราบทูลเอาตัวรอดได้ แสดงแววของคนพัทลุงว่าฉลาดพอสมควร ยอหน่อยเดียวเรียกว่าเอาตัวรอดได้น่ะ ไม่ยอม นี่ท่านฟั่นเฟือนไปหน่อยแล้วก็เลยต้องเปลี่ยนวงศ์กษัตริย์
พระพุทธยอดฟ้าท่านเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไปปราบประเทศเวียงจันทน์อะไรตอนนั้น ปราบเขมร พอรู้ว่าในกรุงเทพฯ วุ่นวายก็รีบเสด็จกลับมา พวกก่อความวุ่นวายนั้นมันอีกพวกหนึ่งไม่ใช่พวกของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระยาจันทน์กับพวกก่อความวุ่นวาย ท่านก็เสด็จกลับมา ทีนี้เมื่อกลับมาก็เพราะว่าท่านมีบุญบารมีมากว่าพวกนั้นคนนิยมมากกว่าเป็นแม่ทัพ ก็เลยพวกนั้นก็มาอ่อนน้อมยอมกับพระองค์ ผลที่สุดก็ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องบำรุงส่งเสริมทุกสิ่งทุกประการ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบำรุงไพร่ฟ้าประชาชีให้อยู่เย็นเป็นสุข ก็ทรงรวบรวมสิ่งต่างๆหลายอย่างหลายประการ เช่นว่า รวบรวมพระสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถที่หนีกระสานซ่านเซ็นไปเพราะถูกพม่ารังแก หลบไปอยู่ตามหัวบ้านหัวเมืองก็เอามารวมกันที่กรุงเทพฯ ทำสังคายนาร้อยกรองธรรมะไว้ให้มระเบียบเรียบร้อยกันต่อไป แล้วก็ทรงจัดการกับกรุงเหตุจดหมาย เขตปกครองบ้านเมืองให้เข้าเป็นระเบียบแบบแผนทุกสิ่งทุกประการ งานที่ทรงทำไว้มากมายแล้วเวลาจะย้ายเมืองหลวงนี่ ท่านย้ายอะไรก่อน คิดถึงพระศาสนาก่อน ก็เลยมาสร้างวัด ก่อนจะสร้างวัง สร้างวัดก่อน เกิดสร้างวัดพระแก้วนั่นเอง สร้างวัดพระแก้วเสร็จแล้ว แต่ว่าไม่เสร็จในยุคของท่าน เพราะว่าใหญ่ แล้วก็ได้อันเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐาน มาเสร็จเรียบร้อยได้ฉลองกันรัชกาลที่ ๓ เพราะว่าสมัยนั้นพระเจ้าแผ่นดินท่านครองเมืองไม่กี่ปี ในหลวงพระพุทธยอดฟ้านั้นครองราชสมบัติ (31.00 เสียงสะดุด) ๑๕ ปีเท่านั้นเอง น้อย ไม่นาน ก็เลยมาเสร็จเอาชั้นหลาน วัดพระแก้ว แล้วก็สร้างบ้านสร้างเมืองเรียบร้อย วางแผนวางผังไว้เรียบร้อย เรียกว่ากรอบรัตนโกสินทร์ คือบริเวณพระราชวัง เรียกว่าบริเวณวัดมหาธาตุ วัดโพธิ์ล้อมเป็นเขต เรียกว่า กรอบรัตนโกสินทร์ แล้วสร้างกำแพงเมืองกั้น ไปเอาอิฐมาจากอยุธยาสร้างไว้เรียบร้อย
ทีนี้การสืบต่อราชสมบัตินี่เรียกว่าเรียบร้อย ไม่แก่งแย่งไม่แข่งดีกัน คนที่มีสิทธิ์จะได้ เมื่อไม่ได้ก็ไม่โกรธ ไม่เคือง แต่กลับไปบวชเสีย ตัวอย่างเช่นเมื่อรัชกาลที่ ๒ สิ้นพระชนม์ ผู้ที่ควรจะได้ครองราชย์ก็คือเจ้าฟ้ามหามงกุฏ คือ รัชกาลที่ ๔ นั่นเอง แต่ว่าพระชนม์มายุยังน้อยกว่ารัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๓ ได้ปฏิบัติงานในหน้าที่มามาก ข้าราชการทั้งหลาย ไพร่ฟ้าประชาชีก็พอใจ เลยสถาปนาเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ ๓ เจ้าฟ้ามหามงกุฏเห็นว่าท่านไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินถ้าจะอยู่เป็นคฤหัสถ์จะลำบาก จะเป็นที่ระแวงสงสัย อาจจะเกิดปัญหาแก่แผ่นดิน แก่บ้านแก่เมืองแน่ ท่านเสียสละไปบวชเสียเลย การไปบวชของรัชกาลที่ ๔ เรียกว่าเป็นบุญแก่บ้านแก่เมือง เพราะว่าเหตุการณ์มันช่วยให้คนที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินในต่อไปนี้ได้เข้าไปบวชในพระศาสนา ทีนี้การไปบวชในพระศาสนาเรื่องมันก็ไม่มีอะไร แต่ท่านได้ทรงศึกษาภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาลาติน แล้วก็ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์แผนใหม่จากฝรั่งมังค่า ทรงอบรมพระองค์ในด้านความรู้ประเภทต่างๆที่จะไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินในกาลต่อไป ความจริงท่านก็ไม่ได้หวังนึกว่าท่านบวชแล้วก็จะบวชกันจนเป็นสังฆราช แต่เพราะว่าเป็นคนเก่ง เมื่อบวชอยู่ก็ได้ทำประโยชน์แก่พระศาสนามากมาย ทรงปฏิรูปพระศาสนาให้ดีขึ้น หลายอย่างหลายประการ ครั้นเมื่อพระจอมเกล้า พระนั่งเกล้ารัชกาลที่ ๓ สวรรคต ข้าราชการพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายก็มองเห็นว่าเจ้าฟ้ามหามงกุฏที่บวชอยู่นั่นแหละเหมาะที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ก็เลยไปกราบทูลให้ลาสิกขา ท่านก็ลาสิกขาเท่านั้นเอง ท่านก็มาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระเจ้าแผ่นดินในยุคที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็ฝรั่งเขากำลังมาหาเมืองขึ้นแถวนี้ แต่ว่าพระองค์สามารถพูดกับฝรั่งได้ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกในเอเชียก็ว่าได้ที่จับภาษาฝรั่งโดยไม่ต้องใช้ล่าม ก็พูดจากันได้ เขียนจดหมายติดต่อกันได้เรียบร้อยก็เลยกลายเป็นมิตรกัน ฝรั่งก็เห็นว่าประเทศไทยนี้เป็นอารยประเทศอยู่ ไม่ใช่ป่าเถื่อน ไม่ต้องเข้าไปจัดการก็ได้ คนไปจัดการกันเองก็ได้ ก็เลยไม่มายุ่งอะไร แม้จะรังแกก็ไม่รุนแรง สมัยรัชกาลที่ ๕ ถูกรังแกบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรง เพราะว่าท่านฉลาด ฉลาดในการคบเพื่อน คบมิตร เช่นคบกับประเทศใหญ่ๆไว้ ที่ไม่มีผลประโยชน์ทางด้านนี้ ไปคบกับประเทศเยอรมัน ประเทศรัสเซีย ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินทั้งนั้นในยุคนั้น คบไว้เป็นเพื่อน เขาก็ให้ความช่วยเหลือทำให้ประเทศที่อยากจะได้ประเทศไทยเกรงใจประเทศเหล่านั้น ก็เลยไม่กล้า นี่เขาเรียกว่าอุบายฉลาด
ใช้ธรรมะเป็นเครื่องประกอบในการปกครองบ้านเมือง คือรู้จักผ่อนผันสั้นยาว เข้าหลักที่ว่ารู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้เวลา รู้บุคคล รู้ประชุมชน เรียกว่าเป็นธรรมของสัตบุรุษ คนดีทั้งหลายรู้สิ่งเหล่านี้ถูกต้อง ไม่ใช่รู้เฉยๆ แต่เอามาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย เพราะฉะนั้นอยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง ประเทศใกล้เคียงไปเป็นเมืองขึ้นเขาหมดเพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ฉลาดแหลมคม ไม่ใช้ธรรมะในการแก้ปัญหา ของไทยเรานั้นแก้ปัญหาด้วยธรรมะ พม่าก็นับถือพระพุทธศาสนาเหมือนเรา แต่พระเจ้าดินของพม่าผยองหน่อยนึกว่าตัวเก่งเพราะรบชนะเมืองไทย ๒ ครั้ง นึกว่าฝรั่งนี่ก็จะสู้ได้ แต่ว่ามันมวยคนละชั้นจะไปสู้กันได้อย่างไร เลยผลที่สุดก็เรียบร้อย เพราะอย่างนี้ แต่ไทยเรานั้นรู้ว่าพลเมืองน้อย ทรัพยากรน้อย กำลังคนน้อยเราจะไปสู้กันไม่ได้เราต้องโอนอ่อนผ่อนตาม เขาต้องการอะไร เขาต้องการมาค้าขายทำมาหากินมันไม่ได้เสียหายอะไร เปิดท่าเรือให้เขาเข้ามาค้าขาย ให้เขามาตั้งห้าง ตั้งร้าน เขาจะเผยแผ่ศาสนาก็ยินดีก็ต้อนรับ ไม่รังเกียจ เพราะว่าเราใจกว้าง นี่เป็นเหตุให้อยู่รอด ประเทศไทยอยู่รอดเพราะความเป็นผู้มีใจกว้าง รู้จักรับแขก รู้จักผ่อนผันสั้นยาว รู้จักกำลังตัว กำลังคน กำลังทรัพยากรของแผ่นดิน เจียมเนื้อเจียมตัว ถ่อมตัวไม่มีทิฐิมานะ ไม่ถือดีในเรื่องเวลาที่ควรจะถือก็เลยอยู่รอด
รอดเพราะธรรมะ ซึ่งเราเรียกว่าพระสยามเทวาธิราช เนื้อแท้ก็คือพระธรรมนั่นเองที่ได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันขององค์พระมหากษัตริย์ สมัยนั้นถ้าจะพูดถึงประชาชนแล้วก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยเพราะว่าขาดการศึกษาเรียนหนังสือเหมือนกันแต่ยังไม่แพร่หลาย เรียนพออ่านออกเขียนได้ คิดเลขถูก เรียนเพื่อไปเป็นข้าราชการ ความคิดความอ่านในเรื่องอะไรก็ยังไม่เป็นมอบไว้คนเดียวคือพระเจ้าแผ่นดินเรียกว่ายกแผ่นดินให้แก่ท่านสุดแล้วแต่ท่านจะจัดการอย่างไร ถ้าเป็นเรือก็เรียกว่ามอบให้กัปตันพาเรือไปเถิด ลูกเรือไม่ว่าอะไรทั้งนั้น กัปตันสั่งอะไรก็จะทำตามทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนที่เป็นกัปตันนี้ต้องเป็นคนสำคัญจริงๆ จึงจะนำบ้านเมืองมาได้ เราเมืองไทยนี้ได้กัปตันชั้นดีมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ จนกระทั่งถึงรัชกาลปัจจุบัน กัปตันดีทั้งนั้น เอาตัวรอดปลอดภัย แต่ว่าในสมัยนี้มันเป็นประชาธิปไตยแล้ว ความรับผิดชอบอยู่ที่คณะรัฐบาลผู้บริหารประทศชาติ ทำหน้าที่แทนองค์พระเจ้าแผ่นดิน ความอยู่รอด ความอยู่ไม่รอดขึ้นอยู่กับรัฐบาล ผู้บริหารบ้านเมือง ถ้าคณะรัฐบาล ๔๐ คนที่เข้าไปบริหารนี้ใช้ธรรมะเป็นหลัก ดำเนินตามรอยพระยุคลบาลของพระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายที่ได้กระทำกันมาตั้งแต่เริ่มสร้างกรุงเทพฯ บ้านเมืองไปรอด แต่ถ้าเราออกนอกลู่นอกทางกัน ไม่เอาธรรมะเป็นหลักครองใจ มีความเห็นแก่ตัว แก่ได้ เห็นแก่พรรคแก่พวก ต้องการทำอะไรจะให้มันเด่นเฉพาะตัวไม่ทำงานให้มันเป็นทีมกันแล้วบ้านเมืองจะไปไม่รอด ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ท่านหวั่นวิตกในเรื่องนี้มากเวลาที่เกิดปัญหาคับขันขึ้น
ท่านยังตรัสกับพวกน้องๆของท่าน กรมพระยาดำรง กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ และ น้องหลายคนที่ร่วมงานกัน ปฏิบัติงานเพื่อชาติ เพื่อประทศ ท่านบอกว่าฉันอยากตาย ถ้าบ้านเมืองอยู่ไม่รอด เรียกว่าท่านพูดออกมาด้วยความรู้สึกในใจที่วิตกกังวลมากที่สุด แล้วก็ไม่เสวยพระกระยาหาร พวกน้องๆที่เป็นเจ้ากรมต่างๆก็เข้าไปกราบทูล วิงวอน บอกว่าให้พระองค์ต้องอยู่ต่อไป เพราะถ้าว่าไม่มีพระองค์แล้ว เหมือนเรือไม่มีกัปตัน เรือมันจะไปได้อย่างไร มีแต่ลูกเรือไม่มีกัปตัน นี่เรือจะไปได้อย่างไร ขอให้ทรงเป็นกัปตันต่อไป พวกหม่อมฉันทั้งหลายก็จะส่ง จะช่วยกันเต็มที่เพื่อพาเรือไปให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ด้วยดี แล้วก็เลยยอมเสวยพระกระยาหาร แล้วก้ทำหน้าที่ต่อไปด้วยความรัก ความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือผู้บริหารงานตั้งแต่องค์พระเจ้าแผ่นดิน เสนาบดีทุกพระองค์ ซึ่งในสมัยนั้นเป็นพระน้องๆ ของท่านเป็นส่วนมากมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะบริหารประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัยไม่คิดเรื่องตัว เอาแต่เรื่องงาน
ผลที่สุดก็ผ่านอุปสรรคมาได้ด้วยดีให้เราทั้งหลายได้ภูมิใจกันอยู่ในสมัยนี้ เราได้อิ่มใจ ได้ภูมิใจ ได้มาฉลองพระนครครบ ๒๐๐ ปีกันนี้ เพราะอะไรเราต้องนึกย้อนหลัง ย้อนถึงไปงาน การ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้กระทำเพื่อชาติ เพื่อประเทศของเราว่าท่านทำมาอย่างไร ต้องศึกษาให้ละเอียด เมื่อเราศึกษาแล้วเราจะเห็นว่าโอ, ท่านทำงานมาด้วยความเสียสละอย่างยิ่งด้วยความอดทนอย่างยิ่ง ด้วยความซื่อสัตย์ต่อประชาชนอย่างยิ่งประเทศชาติจึงอยู่รอดมาได้ให้เราฉลอง ๒๐๐ ปีในปีนี้ อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องมองไปข้างหน้า มองดูประวัติศาสตร์ข้างหลัง จะได้รู้อดีต จะได้เอาอดีตนั้นมาเป็นครูสำหรับใช้ในปัจจุบัน เพื่อสร้างอนาคตต่อไป ถ้าเราเพียงแต่ไปร่วมใจกันฉลองสนุกสนานกันไปดูภาพยนต์ในสนาม ดูไปทำอะไรกัน มันก็เท่านั้น มันไม่ได้เรื่องอะไร มันฉลองในแบบที่เขาทำกันทั่วๆไป เหมือนฉลองโบสถ์ ฉลองศาลาตามวัดต่างๆ มีลิเก มีหนัง มีภาพยนต์ มากมายโฆษณากันไป (45.57 ไม่ยืนยัน) แต่ว่าไม่มีอะไร เป็นเครื่องคิดย้อนจิตใจคนให้เกิดความสำนึกในความเป็นมนุษย์ สำนึกในความเป็นไทย สำนึกในความเป็นพุทธบริษัท แล้วมันจะได้อะไร ถ้าเราทำเพียงเท่านั้น เราจะต้องมานั่งคิดนึกว่าเออ, ทำไมเราจ้องฉลอง ฉลองอะไร เราฉลองความมั่นคงของชาติ ฉลองความเป็นเอกราชของชาติ ฉลองคุณธรรมทั้งหลายที่บรรพบุรุษเราได้ประพฤติปฏิบัติมาตั้ง ๒๐๐ ปี ไม่ให้บ้านเมืองเราล่มจมเสียหาย ไม่ให้เราต้องยิ้มไม่ออก ไม่ให้เราเป็นขี้ข้าคนอื่น ชาติอื่น เราปลื้มใจหรือไม่ในสิ่งนี้ทุกคนปลื้มใจ ชื่นใจ ในสิ่งเหล่านี้
ทีนี้จึงต้องนึกว่าท่านดำเนินชีวิตมาอย่างไร ท่านรักงาน และ รักประเทศอย่างไร รักบ้านเมืองอย่างไร ท่านเสียสละอย่างไร ท่านลำบากมาอย่างไร เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองของเราทำให้เราได้อยู่เย็นเป็นสุขมาจนกระทั่งทุกวันนี้เราต้องคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้นแล้วเราก็ต้องช่วยกันสร้างเสริมจิตใจของเราให้เหมือนกับจิตใจของบรรพบุรุษ ที่ท่านได้ทำมาเพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองของเรา เราอย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ได้ อย่าแก่งแย่งแข่งดีกัน อย่าแตกแยกกันเป็นกลุ่ม เป็นเหล่า เป็นพรรค เป็นพวก จนกระทั่งว่าไม่ได้เรื่องอะไรก็ไม่ได้ คนสมัยก่อนเขารักกันจริงๆ ช่วยงาน ช่วยการกัน ด้วยน้ำอดน้ำทน รับไปคนละส่วนคนละหน้าที่ใครมีหน้าที่ได้เป็นเสนาบดี เป็นมหาดไทยทำงานเต็มที่ เรื่องภายในเรียบร้อย เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศทำงานติดต่อกับต่างประเทศด้วยความสุขุมรอบคอบตามแบบคนไทย ท่านก็รับหน้าที่ของท่านไป ภายในเรียบร้อย ภายนอกเรียบร้อย สร้างอะไรๆให้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาโดยลำดับ ให้ของไม่มีมันก็มีขึ้นแล้วก็มีขึ้นทีละอย่าง ทีละน้อยๆ แต่โดยลำดับ ไม่ใช่มีมาก แต่ว่าค่อยทำค่อยไป ค่อยเปลี่ยนไปตามสิ่งที่จะทำได้เพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในบ้านในเมืองของเรา เอาตัวอย่างมาจากต่างประเทศ เอามาสร้างกันในบ้านเมืองของเรา
เรามีอะไรดีๆ อยู่ในบ้านเมืองนี้เพราะว่าท่านเหล่านั้น ท่านฉลาด ท่านเอามาสร้างสรรค์ให้เป็นตัวอย่างเกิดความนิยมขึ้นในราชสำนักแล้วเกิดความนิยมขึ้นในหมู่ข้าราชการ เกิดความนิยมขึ้นในหมู่ประชาชนต่อไป ท่านทำพระองค์เป็นตัวอย่างในเรื่องที่จะทำให้มีขึ้นในบ้านในเมืองของเรา มันก็ค่อยดีขึ้นโดยลำดับ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เป็นไปอย่างชนิดวูบวาบ วู่วาม อย่างคนใจร้อน ใจเร็ว ไม่อย่างนั้น แต่ว่าวางแผนแนบเนียน ว่ามีจะอะไร จะทำอะไรก็ให้คนรู้ ให้คนเข้าใจกันก่อน คนไม่รู้ไม่เข้าใจจะให้ทำอะไรมันก็ไม่ได้ อันนี้ต้องรากฐานคือความรู้ความเข้าใจให้คนยอมรับในสิ่งนั้น แล้วก็ทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน สิ่งต่างๆจึงเกิดขึ้นในแง่ตามกัน ในแง่ความเจริญก้าวหน้า คนไทยเราสมัยก่อนนี้การศึกษามันน้อย จะทำอะไรมันก็ทำมากไม่ได้ก็ต้องไปจ้างชาวต่างประเทศให้มาช่วย ให้มาช่วยสร้างงาน สร้างทาง สร้างรถไฟ สร้างไปรษณีย์ โทรเลข การปะปา การไฟฟ้า ถนน หนทาง อะไรต่างๆ ไปจ้างเขามา เป็นที่ปรึกษาหารือ แล้วคนที่จ้างมานั้นล้วนแต่มาด้วยดี ตั้งใจมาทำงานให้แก่บ้านเมืองเพราะว่าทางฝ่ายโน้นเขาเลือกให้ จากคนประเทศไหนมีพระเจ้าแผ่นดินเลือกให้ไม่ใช่จ้างส่งเดชมาอย่างนั้น ไม่ใช่ เขาเลือกส่งมาให้ ไม่ให้เสียชื่อ เลือกคนดีในประเทศนั้นมาให้เอามาช่วยสร้างงานให้แก่ประเทศไทย แล้วก็ได้คนดี
ทีนี้เมื่อเขามาแล้วเราต้อนรับดี เลี้ยงดูดี เขาก็รักบ้านรักเมืองไทย บางคนมาแล้วก็ไม่กลับไปบ้านไปช่อง อยู่มันเสียเมืองไทยนี่แหละคือมีครอบครัวกับคนไทย เป็นไทยไป หลายสกุลที่ทำงานเป็นประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมืองอยู่นี้ สืบต่อจากคนที่เขาส่งมาเป็นที่ปรึกษาแล้วก็มากลายเป็นสกุลของไทย ได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่ประเทศไทยอยู่ในสมัยนี้มีอยู่หลายสกุลซึ่งมาจากฝรั่งเหล่านั้น อันนี้ก็เพราะว่าคุณธรรมของไทย ทำให้คนที่มารัก อะไรทำให้คนเข้ารัก ธรรมะของคนไทยทำให้คนรัก คือความเป็นผู้มีใจกว้างอารีย์อารอบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับฟังคำแนะนำของคนเหล่านั้นด้วยดีให้เขาปฏิบัติงานตามความสบาย เพื่อความเจริญของเรา เขาก็พอใจและรักเมืองไทย ก็เพราะเราประพฤติธรรมจึงทำให้เขารักเขาชอบใจ นี่ก็คืออาศัยธรรมะที่เราเอามาใช้ ถ้าธรรมะช่วยเราทำให้เราอยู่รอดมาได้กิจการทั้งหลายค่อยเจริญขึ้น จนกระทั่งคนไทยเราได้เรียน ได้ศึกษาพอจะช่วยตัวเองได้เราก็ทำของเราเอง มาในยุคนี้ว่าคนไทยช่วยตัวเองได้แล้ว เพราะงานของท่านเหล่านั้น ท่านสร้างไว้ ท่านปลูกไว้ ท่านรดน้ำพรวนดิน ท่านใส่ปุ๋ย ให้ต้นไม้แห่งปัญญาเจริญงอกงามขึ้นในสังคมไทย กิจการต่างๆก็เจริญขึ้น ลองไปศึกษาเช่นเรื่องการพยาบาลนี้เป็นตัวอย่าง
คนไทยสมัยก่อนไม่ชอบไปโรงพยาบาลต้องจ้างให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล ตั้งโรงพยาบาลศิริราชแล้วไม่ใช่มีคนไปรักษานะ เจ้านายต้องไปป่วยเป็นตัวอย่างให้เขารักษาให้ดู คนถึงไปๆกัน ไปกันแล้วก็ต้องให้รางวัลแก่คนป่วย ไม่ใช่เอาสตางค์กับเขา คนมันไม่ไป ก็กินแต่ยาต้ม ตามบ้านทั่วๆไป ยังไม่นิยมรักษาแผนใหม่ ตั้งขึ้นแล้วก็ยังไม่มีคนใช้ โรงพยาบาลสร้างแล้วก็ยังไม่มีคนใช้สมัยก่อน ต้องไปเที่ยวหาคนไข้มา แต่ว่าเมื่อตั้งมานาน มาก่อน ด้วยความอดทน ด้วยความตั้งใจจริง เงินทองไม่พอ ก็เจ้านายท่านไปเที่ยวหามา หาเงินมา เช่นว่าสมเด็จพระราชบิดา นี่เขาเรียกว่าบิดาแห่งวงการแพทย์ ทำไมจึงเรียกอย่างนั้น เพราะท่านลงทุนไปเรียนแพทย์ด้วยตนเองเพื่อจะมารักษาคนไทย แต่มารักษาไม่ได้เพราะคนไทยไม่ยอมให้เจ้านายรักษา เกรงใจ เคารพ ไม่ยอมเป็นคนป่วย ไม่รักษาเสียแล้ว ต้องไปอยู่บ้านนอก ไปอยู่เชียงใหม่ ไปอยู่กับฝรั่ง ในโรงพยาบาลฝรั่ง แล้วเห็นว่ากิจการแพทย์นี้มันไม่ไหว เงินทองมันน้อย ท่านไปอเมริกา ไปเที่ยวหาฝรั่งมังค่า ที่เขาร่ำรวยสตางค์มันเยอะแยะ ถ้ามันเซ็นต์เช็ค เช็คสักใบหนึ่งได้เงินมา สิบล้านยี่สิบล้าน สมัยก่อนเงินมันเยอะ ได้มาเท่านั้นมาสร้างโรงพยาบาล ส่งนักเรียนแพทย์ไปเรียนต่อ ส่งนางพยาบาลไปเรียนต่อ งานที่ผู้ใหญ่เขาทำ พระเจ้าแผ่นดินท่านทำมาโดยลำดับ
คนสมัยใหม่อาจจะไม่มองเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้เพราะไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์ ไม่ได้ศึกษาเรื่องอดีตของท่านเหล่านั้น แต่ถ้าเราได้ศึกษาแล้วจะรู้สึกว่า โอ, ท่านทำงานไว้มาก เป็นประโยชน์แก่ชาติแก่บ้านเมือง เพราะฉะนั้นเราจึงดีใจกันจึงได้มาฉลองกันในปีนี้ เรียกว่าเริ่มการฉลองมาแล้ว ก็ทำการฉลองกันไปเรื่อยๆ ขอให้เรามาฉลองกันด้วยการประพฤติธรรม มาอยู่กันด้วยธรรมในปี ๒๕๒๕ ก็เรียกว่าเราอยู่ด้วยธรรม อยู่ด้วยธรรมเรียกว่าข้อสำคัญคือมีเมตตาต่อกัน รักใคร่เอ็นดูกัน เอาใจใส่ต่อกัน ช่วยเหลือกันฉันท์พี่น้อง อย่าได้คิดเบียดเบียนกัน อย่าได้คิดทำอะไรให้ใครเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ให้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าในปี ๒๕๒๕ เราจะอยู่ด้วยความเมตตาปราณี อยู่ด้วยความเสียสละ ด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว สิ่งใดที่เราจะทำให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้ก็ทำ อย่าชักช้า อย่าเสียเวลา เดี๋ยวมันจะตายเสียก่อนแล้วมันไม่ได้ทำ รีบจับรีบทำสิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์เป็นคามสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ทุกวันๆ ในวิถีชีวิตขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างที่เป็นปะโยชน์ เป็นความสุข แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แก่คนที่อยู่ร่วมกัน แก่คนบ้านใกล้เรือนเคียง แก่ส่วนรวมคือประเทศชาติ ขอให้ได้กระทำ ทำแล้วจะได้สบายใจ ภูมิใจ อิ่มใจ ถ้าวันนี้เราไม่ได้อยู่เปล่า แต่เราอยู่เพื่อทำชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นแล้วตามสมควรแก่ฐานะ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน เป็นชาววัด ให้คิดอย่างนั้น ให้คิดว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ร่วมฉลอง ๒๐๐ ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยการประพฤติธรรม ตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศานา ช่วยยกระดับจิตใจให้ใหม่ ให้สูง ให้สวยสดงดงาม ด้วยเครื่องประดับคือพระธรรมตลอดไป ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นความสุขแก่พวกเราทั้งหลาย ดังที่ได้แสดงมาในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที การนั่งสงบใจ นั่งตัวตรง หายใจเข้ายาวกำหนดรู้ หายใจออกยาวกำหนดรู้ อย่าให้ความคิดไปอยู่ในเรื่องอื่น แต่ให้อยู่ที่ลมหายใจ เข้า ออก เป็นเวลา ๕ นาที เชิญได้