แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอน ในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
อาตมาหายหน้าไป จากการแสดงปาฐกถาเสีย ๒ อาทิตย์ คือเดินทางไป ด้วยกิจพระศาสนาทางภาคใต้ ไปจังหวัดสตูล จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา แต่ว่าทำงานมากที่จังหวัดสตูล จังหวัดสตูลนี่ คนไทยส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม แต่ว่าคนไทยที่สตูลที่นับถืออิสลามนั้น เขาพูดภาษาไทย ในครอบครัว ในชีวิตประจำวัน พูดภาษาไทยทั้งนั้น ไม่เหมือนกับอิสลามทางปัตตานี ยะลา นราธิวาส ซึ่งไม่ค่อยพูดไทย แต่พูดภาษามาเลเซีย เวลาไปที่สตูลก็มีโอกาส ไปแสดงปาฐกถาทุกอำเภอ โดยเฉพาะที่อำเภอเมือง มีพี่น้องอิสลามมากกว่าชาวพุทธ แต่เขาก็มาฟังปาฐกถาเหมือนกัน แล้วก็นั่งฟังกันสงบเรียบร้อย เป็นอันดี คืนแรกไปแสดงในโรงเรียน ของพวกอิสลามแท้ ๆ เขาก็ฟังกันด้วยความสงบ เรียบร้อย จบแล้วยังมีการถามปัญหา ก็ได้ตอบให้ทราบ คืนสุดท้ายนี่ที่บ้านควนโดน ที่หน้าโรงเรียนประถมก็พี่น้องอิสลามทั้งนั้น เขาออกรถวิ่งป่าวร้องให้มาฟังกัน ก็มากันอย่างเรียบร้อย นั่งเป็นระเบียบ เก้าอี้นั่งไม่พอก็นั่งกันบนสนามหญ้า ยืนฟังบ้าง ฟังกันด้วยความตั้งอกตั้งใจ ได้เวลาพูด ๑ ชั่วโมง จบแล้ว ยังมีการถามปัญหา และพูดอะไรต่อ รู้สึกว่าเป็นเรื่องประทับใจ ว่าพี่น้องอิสลามเขาก็สนใจฟังเหมือนกัน
และเมื่อฟังจบแล้ว มีครูคนหนึ่ง ที่เป็นครูสอนศาสนา แกได้ขึ้นพูดสนับสนุนถ้อยคำ ที่ได้แสดงไปนั้น ว่ามันตรงกันกับหลักคำสอน ในศาสนาอิสลาม พวกเรารับเอาไปปฏิบัติตามได้ อันนี้นับว่าเป็นเรื่องดี แล้วก็ในตอนหนึ่ง ครูคนนั้นพูดว่า พระนบีมูฮัมหมัด ได้สอนอิสลามิกชน ไม่ให้ดูถูกดูหมิ่นศาสดาอื่น ไม่ให้กล่าวคำติเตียนนินทา คำสอนในศาสนาอื่น เพราะถือว่าคำสอนของทุกศาสดา เป็นคำสอนที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าแก่ชีวิต ถ้อยคำอย่างนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะว่าไม่มีใครพูดอย่างนั้น แต่ว่าครูคนนั้นเขาพูดออกมา ไม่พูดภาษาไทยเฉย ๆ แต่ว่าอ้างคัมภีร์ คือเป็นภาษาอาหรับด้วย ก็นับว่าเป็นการดี ที่จะให้คนได้เข้าหากัน ได้อยู่กันฉันพี่น้อง ที่จังหวัดสตูล โดยเฉพาะในนิคมสร้างตนเองทางภาคใต้ คนไทยพุทธเป็นส่วนมาก ก็ได้ไปเทศน์ทุกแห่ง เขาก็ได้มาฟังกัน ด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ออกจากจังหวัดสตูล ก็เลยไปนราธิวาส แต่ว่าได้แสดงเพียง ๒ ครั้ง คือในจังหวัด กับที่โกลก (04.16) แล้วก็มาปัตตานี แสดง ๒ ครั้ง เช่นเดียวกัน มาจังหวัดยะลา ก็แสดงแก่คณะข้าราชการในตอนเช้า ตอนบ่ายก็ได้แสดงแก่ครูนักเรียน ในวิทยาลัยครู แล้วก็เดินทางมาสงขลา ที่สงขลาก็ได้ที่ค่ายทหารเสนาณรงค์ คอหงส์ แล้วก็ไปอัดเสียงที่สถานีโทรทัศน์ เขาให้หัวข้อพูด ๘ หัวข้อ อัดครั้งละ ๑๐ นาที เขาจะได้ออกเรื่อย ๆ ไป ให้คนได้ยินได้ฟังกัน เสร็จจากนั้นก็มาเยี่ยมพวกพัทลุง หน่อยหนึ่ง แล้วก็เดินทางกลับมากรุงเทพฯ ถึงกรุงเทพฯ ก็ถึงดอนเมืองวันที่ ๑๗ กลางคืน ก็ได้มาพบปะกับญาติโยมทั้งหลาย ต่อไป
อันการเดินทางออกไปเพื่อพบปะประชาชนนั้น เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าเวลามันก็จำกัด หาโอกาสว่าง ๆ ก็ออกไปเยี่ยมเขาบ้าง เพื่อจะได้ไปพูดจาทำความเข้าใจ ในเรื่องการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน จะได้ช่วยแก้ปัญหา ส่วนตัว ครอบครัว ตลอดจนถึงประเทศชาติ ให้มีความก้าวหน้าต่อไป จึงได้ไปทำกิจอย่างนั้น อ้าว เราทั้งหลายที่อยู่ในกรุงเทพฯ นนทบุรี ใกล้เคียง เมื่อวันอาทิตย์ ก็ได้มาประชุมกัน ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์
วันนี้มีนักเรียนพาณิชย์ อะไรกลุ่มหนึ่ง มานั่งอยู่ทางด้านโน้น ก็ว่าจะเอาขึ้นมาที่นี่ มันก็ไม่พอให้นั่ง ก็นั่งฟังอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ก็ขอให้ฟังด้วยความตั้งใจ เสียงดังทั่วไป ให้ใจจดจ่ออยู่ในเสียงที่หลวงพ่อพูดออกไป แล้วคอยกำหนด เพื่อเอาไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันต่อไป เพราะว่าเรากำลังเป็นเยาวชนของชาติ เป็นผู้ที่จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไป คนผู้เฒ่าผู้แก่นั้น มีแต่ว่าจะเดินลงไปแล้ว ใกล้ต่อการแตกดับด้วยกันทั้งนั้น ไม่ใช่พูดแช่งชักอะไร แต่เรื่องธรรมดามันเป็นอย่างนั้น ส่วนเราที่เป็นเด็ก ๆ นี่ กำลังจะเติบโต จะเป็นผู้ใหญ่ต่อไป จะรับภาระหน้าที่การงาน ที่คนเฒ่าคนแก่ได้สร้างได้ทำไว้ เพื่อสืบต่อให้เจริญงอกงามต่อไป เราจะต้องสำนึกไว้ในใจเสมอว่า เราเป็นผู้รับหน้าที่ แทนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ในเรื่องเกี่ยวกับส่วนตัว ครอบครัว ตลอดจนถึงประเทศชาติบ้านเมืองของเรา เพราะว่าคนแก่ ๆ สมัยก่อน บรรพบุรุษของพวกเราทั้งหลาย ท่านได้รักษาแผ่นดินนี้ไว้ รักษาความเป็นเอกราชไว้ รักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีอันงามไว้ ด้วยเลือดด้วยเนื้อ ด้วยการต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้สิ่งเหล่านี้ตกเป็นสมบัติของลูกหลานต่อไป เราเกิดมาในชั้นหลัง สนุกเต็มที่ สบายกายสบายใจ เพราะความทุกข์ยากของคนสมัยก่อน เราจึงต้องคิดถึง ว่าเป็นภาระเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องรักษาสิ่งนี้ไว้ต่อไป ตราบเท่าชีวิตแตกดับ แล้วก็สืบต่อให้คนอื่นต่อไป คล้ายกับเราเล่นกีฬาวิ่งผลัดกัน คนหนึ่งวิ่งมาถึงจุด ก็ส่งไม้ให้คนอื่น แล้วคนอื่นก็วิ่งต่อไป ถ้าวิ่งกันด้วยความตั้งใจ ด้วยความอดทนเราจะได้รับชัยชนะ แต่ถ้าวิ่งด้วยความไม่ตั้งใจ ก็จะพ่ายแพ้ ในชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราอยู่ด้วยความตั้งใจดีงาม เราก็เป็นผู้เจริญ ถ้าเราอยู่ด้วยความตั้งใจเสื่อมทราม เราก็เป็นคนเสื่อม ชีวิตจะไปไม่รอด อันนี้เป็นเรื่องที่ขอฝากเยาวชนทั้งหลาย ให้ได้คิดนึกในชีวิตประจำวัน ควรจะได้บอกตนเองเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อสร้าง ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำลาย
เราเกิดมาเพื่อประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่ได้เกิดมาเพื่อความเสื่อมเสีย ในชีวิต ในหน้าที่ ในการงาน ให้คิดไว้อย่างนั้น ให้สอนตนเองไว้อย่างนั้น ตลอดไป ชีวิตก็จะก้าวหน้าไปในทางดีงาม เป็นประโยชน์ต่อตน ครอบครัว ตลอดจนถึงประเทศชาติ
อันชีวิตของคนเรานั้น จะสมบูรณ์ก็ด้วยอาศัยการประพฤติธรรม ถ้าไม่มีการประพฤติธรรม ชีวิตก็จะสมบูรณ์ไม่ได้ ในสมัยนี้โลกกำลังบกพร่อง ในทางธรรมะ ไม่ได้เห็นคุณค่าของธรรมะ ไม่ได้นำธรรมะมาเป็นหลักปฏิบัติกิจ ในชีวิตประจำวัน พูดภาษาง่าย ๆ ว่าเป็นคนขาดศีลขาดธรรม จึงอยู่กันด้วยปัญหา อยู่กันด้วยความทุกข์ความเดือดร้อน ให้เรามองดูสภาพของโลกในปัจจุบัน ให้เห็นชัด ๆ แล้วเราก็คิดว่า ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเกิดความวุ่นวาย ในประเทศนั้นประเทศนี้ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมธรรมชาติในยุคนี้ มันจึงทารุณโหดร้าย เช่น ฝนตกมากเกินไป แล้วก็ไม่ตกอีกเลย อ่า เหมือนทางภาคใต้ ฝนเทลงมาเพียงชั่วระยะคืนกับวันหนึ่ง พอน้ำท่วมบ้านท่วมเมืองเสียหายแล้ว ก็ไม่ตกเอาเสียเลยทีเดียว ทำให้ข้าวในนาเหี่ยวแห้งกันไปตาม ๆ กัน ได้รับความทุกข์ความเดือนร้อน ไอ้หินที่อยู่บนภูเขานะ มันก็อยู่มาตั้งนานกาเลแล้ว ไม่เห็นจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เออ มันก็เกิดพังลงมา ทำให้เกิดความเสียหาย วัดจะต้องย้ายกุฏิทุกหลัง ที่อยู่ริมภูเขา ออกไปห่าง ๆ หน่อย เขากลัวว่ามันจะพังลงมาอีก
ต่อไปเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เกิดภูเขาไฟระเบิดรุนแรง เกิดน้ำท่วมรุนแรง เกิดพายุรุนแรง อะไร ๆ มันรุนแรงทั้งนั้น ในสมัยนี้ ดังปรากฏเป็นข่าว ในที่ทั่ว ๆ ไป ว่าความรุนแรงทั้งหลายทั้งปวง ที่มันเกิดขึ้นในโลกนี้ มันเนื่องมาจากเรื่องอะไร ถ้าเราพูดกันในแง่ธรรมะ ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่เรียกว่า ชาวโลกทั้งหลาย ไม่เคารพธรรมะ ไม่ประพฤติธรรม จึงได้เกิดปัญหากันด้วยประการต่าง ๆ ในหนังสือบางเรื่อง ไม่ใช่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าเป็นคนผู้ที่เห็นการณ์ไกลเขียนขึ้นไว้ ว่าในกาลต่อไปข้างหน้า คือเขาเขียนในสมัยนานมาแล้ว ข้างหน้าในสมัยนั้นก็คือเดี๋ยวนี้ เขาบอกว่ามันจะเกิดปัญหา ข้าวยากหมากแพง คนจะประพฤติชั่วผิดศีลผิดธรรม ไม่มีความเมตตาปรานีต่อกัน จับอะไรก็เป็นอาวุธไปหมด ไม่ว่าจับอะไรก็ใช้เป็นอาวุธได้ หมายความว่าอยู่กันด้วยความเหี้ยมโหด ดุร้าย ทารุณ ไม่มีเมตตาปรานีต่อกัน เอารัดเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกันด้วยประการต่าง ๆ
เขาเขียนไว้อย่างนั้น ในหนังสือเก่า ๆ ถ้าเราอ่านคำที่เขาเขียนไว้แล้ว เราก็จะนึกว่าคนเขียนนี่เพ้อเจ้อ ไม่ได้เรื่องอะไร แต่ถ้าดูเหตุการณ์แล้ว คนเขียนไม่เพ้อเจ้อ ไม่ได้เขียนด้วยความฝันเลื่อนลอย แต่เขียนจากความคิดเห็นของเขาถูกต้อง เพราะเวลานี้มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างนั้น สิ่งทั้งหลายเป็นไปในทางเหี้ยมโหดดุร้าย มากขึ้นตลอดเวลา การเบียดเบียนกัน การเอารัดเอาเปรียบกัน การทำลายล้างกัน ด้วยวิธีการต่าง ๆ มีมากขึ้น คนที่มีสมองมีปัญญา แทนจะคิดใช้สมองนั้น ให้เป็นประโยชน์ แต่ไปคิดในเรื่องทำลาย เช่น คิดอาวุธร้าย ๆ ขึ้นมาใช้ในสงคราม เพื่อจะให้มันได้ฆ่ากันมาก ๆ ทีเดียวตายกันเป็นแสนเป็นล้าน
อันนี้เขาเรียกว่า เป็นมิจฉาทิฐิ ใช้ปัญญาในทางผิด ใช้ความรู้ความสามารถในทางที่ผิดทาง จึงได้สร้างปัญหาในเกิดขึ้นในสังคม ด้วยประการต่าง ๆ ที่ได้เป็นเช่นนั้นก็เพราะอะไร เราก็มาสรุปความได้ว่า เพราะว่าคนขาดสัมมาทิฐิ ไม่มีความเห็นชอบในจิตใจ ไม่มีพื้นฐานทางธรรมะอยู่ในใจ เวลาจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จะสร้างสิ่งใดขึ้นในสังคม ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดีหรือชั่ว มันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม หรือจะเป็นเหตุให้เกิดความเจริญ จะสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่สังคมหรือไม่ เขาไม่ได้คิดให้ละเอียดอย่างนั้น คิดเอาง่าย ๆ ว่าจะทำลายศัตรูให้วินาศ แต่ว่ามันก็ต้องมีคนคิดแก้กันอีกเหมือนกัน เราคิดได้อย่างนี้คนอื่นเขาก็คิดได้ เพราะคนมันมีสมองด้วยกันทั้งนั้น มีความรู้ มีความคิดอ่านด้วยกันทั้งนั้น เมื่อต่างคนต่างคิดก็เลยแข่งกัน สร้างเรื่องปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน ให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยประการต่าง ๆ ดังที่เราเห็นเป็นอยู่กันในสมัยนี้
นี่แหละคือความบกพร่องทางด้านจิตใจ ความบกพร่องทางศีลธรรม ในจิตใจของคน คนไม่ค่อยสนใจในเรื่องธรรมะ ในเรื่องศาสนา เขามักจะถือแต่เพียงชื่อ เอามาใช้เพื่อประโยชน์เท่านั้น แต่ไม่ได้ใช้เพื่อการปฏิบัติอย่างแท้จริง ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ เพื่อให้จิตใจเข้าถึงธรรมะอย่างถูกต้อง เป็นการปฏิบัติชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อเอาหน้าเอาตา หรือเพื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง ที่เขาต้องการ มันก็เป็นเพียงอารมณ์ ไม่ใช่เป็นไปด้วยศรัทธา เลื่อมใสอย่างแท้จริง ในคำสอนในทางพระศาสนา จึงได้เกิดปัญหาสับสนวุ่นวาย ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในสมัยนี้
ทีนี้เราทั้งหลายที่เป็นคนไทย นับถือพระพุทธศาสนา เมื่อเรามองสิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญา มองแล้วเราก็ควรคิดว่า เหตุมันคืออะไร ผลมันจึงเป็นอย่างนั้น ถ้าให้ใช้หลักเหตุผลเป็นเครื่องพิจารณา เราเห็นผลปรากฏอยู่เฉพาะหน้า เราก็ควรจะสาวไปถึงว่า มันเหตุอะไรจึงเป็นอย่างนี้ สิ่งนี้เกิดจากอะไร ให้คิดให้ลึกลงไปสักหน่อย เราก็จะพบสาเหตุของเรื่องนั้น ๆ ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นตัวการให้เกิดสิ่งนี้ ๆ ขึ้น และเมื่อเราพบสาเหตุของเรื่องนั้นแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป เราก็ถามตัวเราเองแต่ละคนว่า เราชอบสิ่งนั้นหรือไม่ เราพอใจในสิ่งนั้นหรือไม่ เราก็คงจะตอบได้ตามสามัญสำนึก ว่าเราไม่ชอบใจไม่พอใจในสิ่งนั้น เพราะเรื่องความทุกข์ความเดือดร้อน นี่ไม่มีใครชอบใจ พึงใจ ทุกคนต้องความสุขความสงบในชีวิตประจำวัน
ไอ้เรื่องทุกข์เรื่องร้อนนี่ ไม่มีใครต้องการ การกระทำความทุกข์ให้เกิดแก่ผู้อื่น ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ผู้อื่นมีปัญหา และปัญหาอันใดก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันไม่ได้หยุดอยู่เฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง แต่มันจะแผ่กระจายออกไป เหมือนกับเราทิ้งก้อนหินลงไปในสระ ก้อนหินนั้นเมื่อกระทบกับพื้นน้ำ แล้วก็ตกลงไปที่พื้นดินใต้น้ำ น้ำก็จะกระเพื่อมเรื่อยไป เมื่อกระเพื่อมไปก็กระทบกระเทือน ไปถึงปลาทุกตัว ที่อยู่ในสระนั้น มันคงเกิดความรำคาญ แต่มันพูดอะไรไม่ได้ แล้วตลิ่งก็จะพังเกิดความเสียหาย อันนี้คือผลที่เกิดขึ้นจากจุดจุดเดียว แต่ว่ามันแผ่กระจายออกไป จนถึงอะไรต่ออะไร มากมายก่ายกอง
การกระทำของคนเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อกระทำสิ่งใดลงไปแล้ว อย่านึกว่ามันอยู่ในวงจำกัดเฉพาะตัวเรา แต่มันจะกระทบกระเทือนไปถึงคนอื่น ที่เกี่ยวข้องกับเราทุกคน เช่น เรื่องในครอบครัว ถ้าพ่อบ้านประพฤติไม่ดี ก็จะกระทบกระเทือนทุกคนในครอบครัวนะ ถ้าแม่บ้านประพฤติไม่ดี ก็กระทบกระเทือนทุกคนในครอบครัวนั้น ผลมันเกิดขึ้นแก่ผู้อยู่ร่วมกันในครอบครัว เช่น เกิดแก่ลูก เกิดแก่หลาน เกิดแก่คนใช้ แล้วก็มันไม่หยุดเพียงในครอบครัวของเรา มันจะก่อผลให้เกิดความกระเทือนไปถึงเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง ใครอยู่รอบเรือนของคนนั้น เมื่อเรือนนั้นมีปัญหา ไอ้ปัญหามันก็ส่งไปกระทบเรือนข้างเคียง กระทบต่อ ๆ กันไป เป็นความรำคาญ เป็นความทุกข์ความเดือดร้อน อันนี้จริงหรือไม่ ขอให้เราพิจารณา
คนบางคนไปสร้างบ้านอยู่ใกล้บ้านคนชั่วอยู่ไม่ได้ มันรำคาญต้องย้ายบ้านหนี มีสตางค์ก็พอย้ายได้นะ แต่ถ้าไม่มีสตางค์ไม่รู้จะย้ายไปไหน ก็ต้องอยู่ด้วยความลำบาก เหมือนกับอยู่ในนรกตลอดเวลา ต้องอดต้องทน ต่อสู้กับอารมณ์ กับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จากบ้านใกล้ ไม่ใช่ตัวเราเองเป็นผู้กระทำ แต่บ้านใกล้เคียงกระทำ เราก็เดือดร้อน สับสนกันไปหมด นี่คือตัวอย่าง ให้เห็นง่าย ๆ ว่าการกระทำอะไรของเรานั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจุดเดียว แต่มันจะเกิดขึ้นหลายจุดรอบ ๆ ตัวเรา รอบ ๆ บ้านของเรา แล้วส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงประเทศชาติ บ้านเมืองของเราด้วยเหมือนกัน
อันนี้เป็นเรื่องที่เห็นได้ง่าย ๆ เหมือนกับเด็กหนุ่ม ๆ ที่คิดแต่อารมณ์ เอาแต่ใจตัว ทำอะไรก็ตามใจตัว ตามใจอยาก อยากเที่ยว อยากเล่น อยากสนุก หาความเพลิดเพลิน ไม่ได้คิดถึงอนาคตของตัว ไม่ได้คิดถึงความหนักอกหนักใจของพ่อแม่ แล้วก็ทำไปตามความอยาก ประพฤติเหลวไหล ไม่เอาถ่านในการศึกษาเล่าเรียน เรียนก็ไม่ดี สอบไล่ก็ไม่ได้ ใครเดือดร้อน ไอ้ตัวเองนะ รับรองว่าตกต่ำอยู่แล้ว เพราะการกระทำเช่นนั้น แต่ว่าผลนั้นมันส่งไปถึงคุณพ่อคุณแม่ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจ ทำให้คุณปู่คุณย่าไม่สบายใจ ทำให้คุณย่าคุณตาคุณยายไม่สบายใจ ใครที่มีความเกี่ยวข้องกับคนนั้น ต้องเป็นทุกข์ไปทั้งหมด เป็นทุกข์กันทุกครอบครัว ครูอาจารย์ก็ไม่สบายใจ เพื่อนนักเรียนที่มีความประพฤติถูกต้อง เมื่อมองเห็นเพื่อนคนนั้นประพฤติเหลวไหล เขาก็มีความไม่สบายใจเหมือนกันนะ มันกระเทือนกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้นคนเรานี่ เมื่อจะทำอะไร มันต้องคิดให้รอบคอบว่า ผลอันนี้จะกระทบกระเทือนถึงใครบ้าง จะสร้างความทุกข์ให้แก่ใคร จะสร้างความสุขให้แก่ใคร ถ้าสิ่งใดเราทำแล้ว เป็นความสุขแก่กันทุกฝ่าย ไม่มีใครเดือดเนื้อร้อนใจ มันก็ใช้ได้ แต่ถ้าเราทำลงไปแล้ว มันเกิดปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น กิจนั้นไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศล ไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะกระทำต่อไป แต่เราควรจะหยุดยั้งจากการกระทำเช่นนั้นเสีย แล้วเราก็จะไม่เกิดเป็นตัวปัญหาแก่ใคร ๆ ต่อไป
เพราะเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่น่าคิด ในสังคมปัจจุบันนี้ ชาวโลกเราไม่ค่อยจะคิดถึงปัญหาอย่างนี้ คือเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ แล้วก็ทำอะไรไปตามชอบใจ แม้ในทางการเมือง เราจะเห็นว่าบางประเทศ ยกทหารเข้าไปอยู่ในประเทศหนึ่ง คนไม่กี่คนที่พอใจ คือคนที่เขาได้ประโยชน์นะ ที่เขาได้เป็นใหญ่เป็นโต จากการที่ทหารนั้นเข้าไปอยู่ แต่ว่าพลเมืองทั่วไปเขาไม่ชอบ เขาก็ก่อการขึ้นมา ขัดขวางทหารที่เข้าไปอยู่ในถิ่นนั้น เกิดรบราฆ่าฟันกัน ต้องตาย ต้องบาดเจ็บ ต้องเสียหาย คนก็ต้องอพยพออกจากประเทศ ที่เคยอยู่อู่เคยนอน เที่ยวเร่ร่อนไปในประเทศต่าง ๆ ดังที่เราเห็นปรากฏเป็นข่าวกันอยู่สม่ำเสมอนั้น ไอ้คนชั่วทั้งหลายเหล่านั้น มันคิดได้บ้างไหม มันไม่คิดอะไรหรอก คนเหล่านั้นมันไม่คิดอะไร เพราะว่าคนเหล่านั้นมันไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะเป็นเครื่องประกอบจิตใจ คิดแต่เรื่องเดียวว่า กูจะเป็นใหญ่ กูจะครองโลก กูจะครองเศรษฐกิจในโลกนี้ ในกำมือ นี่มันคิดอย่างนั้น แต่หาได้คิดถึงความยากลำบาก เดือดร้อนของใคร ๆ ไม่ เพราะคนเหล่านั้นขาดหลักศีลธรรมในทางศาสนา เขาไม่ได้สนใจเรื่องศาสนา เรื่องอะไรทั้งนั้น สนใจแต่เรื่องวัตถุ เรื่องของที่เขาจะมีจะได้ แล้วเขาก็ทำกันอยู่ แม้ชาวโลกทั้งหลายจะติฉินนินทา โพนทะนากันอยู่ทุกวันแหละ หนังสือพิมพ์ก็ด่า คนก็ด่า สหประชาชาติก็ลงมติว่า มันแย่ มันใช้ไม่ได้ มันก็ไม่มีหูจะฟัง ไม่มีตาจะอ่านข่าว ไม่มีใจสำหรับจะคิดอะไรทั้งนั้น มันอยู่อย่างตุ๊กตาคน ที่ทำตามคำสั่ง ของหัวหน้า แล้วก็สร้างปัญหาวุ่นวาย อยู่ในสังคมในปัจจุบันนี้มากมาย นี่เป็นเพราะขาดศีลธรรมจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นลัทธิการเมืองบางอย่าง มันไม่ค่อยเหมาะกับสังคมประเทศเรา ซึ่งเราต้องการศีลต้องการธรรม เราก็ควรจะได้คิดว่า อ้อ ปัญหามันอยู่ที่ขาดสิ่งนี้ เมื่อรู้ว่าขาดสิ่งนี้เราก็ทำให้มันเต็มเสีย ช่วยกันหน่อย ช่วยกันทำให้ศีลธรรมสมบูรณ์ขึ้น ให้ศีลธรรมมาตั้งอยู่ในจิตใจของชาวเราทั้งหลาย ให้เราคอยอยู่ด้วยกันด้วยความคิดที่ ให้เป็นประโยชน์แก่ความสุขเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่คิดแต่ประโยชน์ของตนเองฝ่ายเดียว ทำอะไรเพื่อตัวคนเดียว แต่ว่าจะคิดไปถึงประโยชน์ และความสุขของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ทั่วกัน ดังคำไทยที่เราพูดกันว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็หมายความว่า ให้คิดถึงเขาถึงเรา เราจะทำอะไรนี่ก็ คิดถึงตัวเราก่อน ว่าถ้ามีใครมาทำอะไรกับเราอย่างนี้ เราจะชอบใจหรือไม่ ถ้าตอบด้วยสามัญสำนึกที่ถูกต้องแล้ว ก็พูดได้ว่า ไม่พอใจ เมื่อเราไม่พอใจ ทำไมเราจะไปทำกับคนอื่น ให้เกิดความไม่พอใจเช่นเดียวกัน นี่คือความคิดที่ถูกต้อง แต่ว่าใครมันจะคิดอย่างนี้ เมื่อความโกรธเกิดขึ้นมา เมื่อความเกลียดเกิดขึ้น เมื่อความพยาบาท อาฆาตจองเวรเกิดขึ้นแล้ว มันคิดไม่ได้ คิดไม่ถึงในเรื่องอย่างนี้ แล้วการที่คิดไม่ได้ก็เพราะว่า ไม่เคยได้ยินคำเตือนใจ ไม่ได้ฟังความคิดในทางที่ถูกต้อง เขาได้ยินแต่เรื่อง ยั่วยุให้เกิดกิเลสประเภทต่าง ๆ ให้เกิดกิเลสในทางกำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง มัวเมา อยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำเชิญชวน ชักจูง โน้มน้อมจิตใจคน ให้หันเข้าหาธรรมะ ธรรมะจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คนเหล่านั้น เพราะเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย
ทำอย่างไร จึงจะให้เขาได้รู้ ได้เข้าใจในเรื่องอย่างนี้ มันก็ต้องพูดให้มันดัง ๆ ออกไป เช่นว่า พูดทางวิทยุกระจายเสียงบ้าง ทางโทรทัศน์บ้าง ทางหน้าหนังสือพิมพ์รายวันบ้าง หรือว่าหนังสือข่าวประเภทอื่น ๆ บ้าง พูดกันบ่อย ๆ แนะนำกันบ่อย ๆ ชักจูงกันบ่อย ๆ ในเรื่องศีลเรื่องธรรมนี้ คนก็จะได้ยิน เมื่อได้ยินแล้วจะเกิดความยับยั้งชั่งใจ จะคิดจะอ่านในทางที่ถูกต้องขึ้น แต่ว่ายังไม่มีใครคิดจะทำให้รูปอย่างนั้น คือมนุษย์ยังไม่เข็ดเขี้ยวอันนี้ ยังไม่กลัว ยังไม่ตกใจจากสิ่งชั่วร้าย เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นทั่วไป มันเกิดเป็นหย่อม ๆ แต่ถ้าเราคิดสักหน่อยว่า เมื่อมันเกิดตรงนี้ได้ มันจะเกิดตรงนั้นได้ต่อไป แล้วจะเกิดตรงโน้นได้ต่อไป เราเองต่อไปก็จะเกิดเป็นปัญหา ไม่มีความสบายใจ เพราะคนชั่วมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น กินกันไม่ได้นอนกันไม่หลับ กันเลยทีเดียวแหละ เพราะความทุกข์มันรุกราม มาจนถึงบ้านเรือนของเรา ทำลายทรัพย์สิน ทำลายความสงบสุข ในครอบครัวของเรา
เราจะไปมัวคอยให้สิ่งนั้นมาถึง อย่างนั้นหรือ มันก็ไม่ได้ อย่างนั้นเรียกว่า เราประมาทเกินไป เหมือนเราเห็นไฟไหม้อยู่ตรงโน้น แต่ลมมันพัดมาทางบ้านของเรา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ ว่าไฟนั้นมันจะมาถึงบ้านเรา แล้วเราจะนั่งเป่าขลุ่ย อยู่อย่างนั้นหรือ หรือว่านอนเอนก สบาย ๆ รอให้ไฟมันมาใกล้ ๆ ให้มันมาถึงบ้านเราก่อน แล้วจึงจะลุกขึ้นไปดับไฟ มันจะไม่ทันการณ์นะ ดับไม่ทันนะ เพราะไฟมันร้อนนะ แล้วควันมันก็มาก ถ้ามันรามมาใกล้บ้านเรา วิ่งออกไปควันเข้าตา อ้าว ตาแสบ มองอะไรไม่เห็น หายใจก็ไม่ออก สำลักควันไฟ ให้วิ่งไปเอาน้ำมาดับ ก็มันไม่ทัน เพราะปริมาณไฟมันมากกว่าน้ำ แล้วเราจะทำอย่างไร เราก็ต้องสูญเสียบ้านที่เรารักไป สูญเสียทรัพย์สินเงินทองไป แล้วชีวิตของเราก็เหลืออยู่นะ เพราะว่าหนีไฟได้ แต่ว่าไปอยู่ที่ไหน จะกินอะไร จะเอาอะไรมาใช้สอยนะ เพื่อแก้ปัญหาชีวิตต่อไป มันก็เป็นความทุกข์ใหญ่ มันก็เกิดเป็นความเดือดร้อนใหญ่กันเท่านั้นเอง เราจึงรอให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้ รอให้เวลาเช่นนั้นมาถึงไม่ได้ แต่เรารู้ว่า อ้อ ไฟกำลังไหม้ ลมพัดมาทางนี้ เราก็ต้องเตรียมสถานการณ์ เพื่อต่อสู้กับไฟนั้น เตรียมน้ำไว้ แล้วถ้าให้ดี เราก็ต้องหาไม้ เอาใบไม้มัดกันเข้าเป็นก้อนใหญ่ แล้วก็ไปตีไฟไม่ให้รามมา ไม่ให้ไหม้มาถึงบ้านเรา ตีให้มันดับเสียตรงโน้น ให้ไกลบ้านเราสักเส้นสองเส้น เราก็จะได้มาสบาย ไม่ให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
นิสัยมนุษย์ในสังคมปัจจุบันนี้ มักจะอยู่ด้วยความประมาท คิดว่ายังไกล คิดว่ายังไม่ถึง คิดว่าไม่เป็นไร คงจะไม่มาถึงเรา นี่คิดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า นั่นแหละ นั้นคือตัวความประมาทละ ความประมาทคือทางแห่งความตาย แห่งความล่มจมเสียหาย เพราะเราคิดในรูปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ให้ไม่ประมาท ให้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ในการที่จะขจัดปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ในวิถีชีวิตของตน ครอบครัว ตลอดจนถึงส่วนรวม คือประเทศชาติ อ่า ท่านสอนอย่างนั้น เราจึงควรจะไม่ประมาทในเรื่องอย่างนั้น เราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ที่จะแก้ปัญหา และตัวปัญหาที่เราควรแก้นั้น เรามันต้องขุดให้ลึกลงไปสักหน่อย คือให้รู้ไปถึงว่า รากเหง้าเค้ามูล (30.36) ของตัวปัญหานั้นมันคืออะไร รากเหง้าเค้ามูลของตัวปัญหา มันคืออะไร อย่ามองแต่เพียงผิวเผิน แล้วก็ทำลายไป เหมือนอย่างหญ้าคาขึ้นในบ้าน ให้เราเอาเครื่องตัดหญ้าวิเศษขนาดไหนก็ตาม มาตัดไป ๆ ตัดแล้วมันก็ขึ้นอีก ตัดแล้วมันก็ขึ้นอีก เพราะว่ารากมันยังอยู่ในดิน มันยังเจริญงอกงามต่อไป ถ้าเราจะตัดหญ้าคาไม่ให้ขึ้นในบ้านของเรา เราก็ต้องขุดลงไปจนถึงรากมัน เมื่อขุดพบรากของมันแล้ว เราก็ขุดออกให้หมด ไม่เหลือไว้ แม้แต่ข้อนิ้วเดียว รากหญ้าคาเพียงเท่านี้ ข้อนิ้วเดียวนะ มันยังงอกได้นะ มันเก่งนักหนาแหละ ไอ้นี่ มันรากไม้ หญ้าที่ไม่รู้จักตาย มันเก่งนักหนา ต้องเก็บให้หมดเหลือไว้ไม่ได้ เก็บแล้วเอาไปทิ้งมันก็ไม่ได้ มันขึ้นตรงนั้นต่อไป ต้องเผาไฟมันเสียเลย เผาให้เป็นจุลไปเลย เป็นขี้เถ้าไปเลยทีเดียว จึงจะปราบมันได้
ฉันใด ในเรื่องปัญหาของคน ปัญหาของชาติ ปัญหาของบ้านเมือง อะไรก็ตาม เราจะต้องคิดลึกลงไปถึงตัวปัญหา ว่ามันมาจากอะไร อะไรเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น อย่ามองแต่เพียงผิวเผิน แล้วแก้แต่เพียงผิวเผิน ไม่ได้แก้ให้ลึกลงไป การแก้ปัญหานั้นก็ไม่สำเร็จ เวลานี้เราแก้ปัญหาอะไรต่าง ๆ นั้น มักจะแก้กันแบบตัดหญ้า แต่ไม่ขุดรากทิ้ง ชั่วครั้งชั่วคราว ไปเพียงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็เลิกรากันไป ไม่ได้ทำอะไรอย่างจริงจัง ทำเมื่อเขาสั่ง แล้วก็เลิกไป ปล่อยให้มันขึ้นต่อไป พอขึ้นรกแล้ว เขาสั่งทำไมไม่ตัดอีก เอ้า ก็ตัดกันอีกต่อไป แต่ไม่ตัดให้หมดรากหมดเหง้าของมัน มันก็เจริญเติบโตต่อไป สิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนั้น
การปฏิบัติงานของคนไทยเรานั้น มันอยู่ในสภาพอย่างนั้น คือทำงานแต่เฉพาะเรื่อง เฉพาะหน้า แต่ไม่ได้คิดถึงกาลไกลกาลนานไปข้างหน้า ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกในกาลต่อไป เราทำเอาแต่เพียงว่า ให้มันเสร็จไปเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีก ไม่ได้คิดอย่างนั้น อีกอันหนึ่งที่เห็นกันอยู่ทั่ว ๆ ไป ก็คือว่า เมื่อน้อยไม่แก้ พอใหญ่แล้วแก้ มันก็เป็นปัญหาอีกเหมือนกัน ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้ามีน้อย ๆ ก็ช่างมันเถอะ นิดหน่อยไม่เป็นไร แล้วต่อมาไอ้ตัวนิดหน่อย มันก็เพิ่มขึ้น ๆๆ พอมากขึ้นแล้วแก้ไม่ได้ เพราะมันมากเสียแล้วแก้ไม่ไหว
ยกตัวอย่างเช่นว่า ที่ตรงไหนมันว่าง คนก็ไปสร้างบ้านอยู่สักหลังหนึ่ง เราไม่ว่าอะไร หลังเดียวช่างมันเถอะ ให้มันอยู่ไปก่อน แล้วต่อมามันสร้างเป็น ๑๐ หลัง ๒๐ หลัง ๑๐๐ หลัง พอมากขึ้นแล้ว อ้าว ไม่ได้แล้ว ไอ้นี่มันที่สาธารณะ เป็นที่หลวง จะต้องไปไล่กันแล้ว อ้าว ไล่ไม่ไหวแล้ว มันมากแล้ว จะไปไล่กันได้อย่างไร มันก็ไปไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ทำเสียตั้งแต่เริ่มแรก
เมื่อวานนี้ อ่า วานซืน ไปเทศน์ที่โรงพยาบาลกลาง แล้วก็ออกมาจะขึ้นรถนะ กำลังยืนอยู่นะ เห็นไอ้พวกอาซิ้มอาเจ๊ทั้งหลาย ที่ขายของอยู่หน้าโรงพยาบาล วิ่งกันให้วุ่น วิ่งใหญ่ รถน้ำแข็งคันหนึ่งเข็น รถพลิกคว่ำ ไอ้ขวดน้ำอัดลมแตกกระจาย เต็มถนน เลยถามว่า ทำไม เขาทำอะไรกัน อยู่ดี ๆ แล้วทำไม ลุกขึ้นวิ่งอะไร วุ่นวายอย่างนั้น ถามไอ้คนงานนั้นบอกว่า ตำรวจเทศกิจมา อย่างนั้น อ้าว แล้วกัน แล้วตำรวจเทศกิจเขามาจับอะไร มารถหรือว่าเขาเดินมา เดินมา พวกนี้ตามันไว คอยจ้องอยู่ เห็นเดินมา เดินมาก็วิ่งหนีกัน เข็นของหนี ยกของหนี หนีไม่ทันของก็หล่น ก็แตกเสียหาย บอกว่า อ้าว แล้วทำไมทำอย่างนั้น แล้วตำรวจมาถึง มันก็ยืนยิ้ม ๆ อย่างนั้นเอง ก็ไม่ว่าอะไร มันยืนยิ้ม ๆ มันนึกขำว่า ไอ้พวกนั้นวิ่งหนี แล้วมันก็ไปนะ ไม่เห็นมาว่าอะไร กับคนเหล่านั้น พอตำรวจไป เอ้า ยกมาวางขายกันต่อไป วางขายตามเดิมน่ะแหละ ทีนี้พอตำรวจมาก็วิ่งหนีต่อไป เลยกลายเป็นเล่นเจ้าล่อกันอยู่ ระหว่างตำรวจกับแม่ค้าขายของตามริมฟุตบาท แล้วมันหายเมื่อไร มันก็ขายกันอยู่อย่างนั้น แล้วตำรวจมาแล้วก็อย่างนั้น มันก็วิ่งไป ตำรวจไป มันก็วิ่งมาต่อไป แล้วเมื่อไรมันจะจบ ประเทศไทยเราจะเรียบร้อยไปได้เมื่อไร มันก็อยู่กันในรูปอย่างนั้น เพราะว่าไม่ได้จัดการต้นเหตุของเรื่อง อันเป็นตัวปัญหา จึงไม่จบไม่สิ้น นี่มันเป็นอย่างนี้ แต่นั่นมันเป็นเรื่องของบ้านของเมืองเขา ไอ้เรามันจะไปพูดมาก มันก็ไม่ได้ เรามันนอก เรียกว่าล้ำเส้นไปสักหน่อย เพียงแต่เอามายกตัวอย่างให้ฟังว่า เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้เรามาพูดภายในตัวเรากันดีกว่า ว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรานั้น มันเกิดขึ้นจากอะไร นี้เป็นเราพูดด้านใน พูดเรื่องในตัวกันโดยเฉพาะ เราก็จะมองเห็นว่า เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจ ในเรื่องนั้นถูกต้อง ถ้าพูดตามหลักธรรมะก็เรียกว่าอวิชชา อวิชชานี่คือความไม่รู้ หรือรู้ไม่ชัดเจน ไม่แจ่มแจ้ง รู้แบบสลัว ๆ ไปอย่างนั้นนะ ไม่สามารถจะแก้ปัญหาในชีวิตของเราได้ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำไมเราจึงรัก อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทำไมจึงเกลียด อย่างชนิดที่ว่าไม่ต้องดูหน้ากันต่อไป หรือว่าโกรธกันชนิดที่ว่า ไม่ต้องเผาผีกันต่อไป หรืออะไร ๆ หลายอย่าง เช่น พยาบาท ถ้าไม่ได้แก้แค้นแล้ว กูจะไม่เลิกเป็นอันขาด อะไรอย่างนี้ ทำไมมันจึงเกิดอย่างนั้น ขึ้นในจิตใจ ก็เพราะว่าคนนั้น เหตุการณ์นั้น เกิดแล้ว เขาไม่รู้ว่า ไอ้เรื่องแท้จริง มันเป็นอย่างไร เขาโกรธอะไร เขาเกลียดอะไร เขารักอะไร เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่เขาโกรธ เขาเกลียด เขารักนั้น มันคืออะไรกันแน่ และมันมีของแท้ของจริง อยู่ตรงไหน ที่เราโกรธ ที่เราเกลียด ที่เรารัก ที่เราพยาบาท อาฆาต จองเวร อะไรกันอยู่นั้นนะ ไอ้เนื้อแท้มันอยู่ตรงไหน หรือว่าเราเคยคิดอะไร ในเรื่องนี้ บ้างหรือเปล่า ไม่มีเวลา ไม่มีเวลาที่จะไปคิดในเรื่องอย่างนั้นหรอก เพราะมีเวลาสำหรับให้โกรธเท่านั้น ให้เกลียด ให้พยาบาท ให้อาฆาตจองเวรกันอยู่เท่านั้นแหละ แล้วคราวนี้มันก็ฆ่ากัน ทำร้ายร่างกายกัน ไม่จบไม่สิ้น เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ ในเรื่องนั้นที่ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราทั้งหลาย ได้เรียนรู้สิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ในทุกสิ่งทุกอย่าง คือเมื่อเรารู้ความจริงของสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าจะไปรัก น่าจะไปโกรธ ไปเกลียด ไปพยาบาท อาฆาต จองเวร อะไร เพราะมองเห็นแล้วว่า ก็มันไม่มีอะไร มันมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง ไม่เท่าใด มันก็แตก ก็ดับไป เท่านั้นเองนะ ถ้าเราโกรธกัน เรามาคุยกันได้ เกลียดกัน เราก็มารักกันต่อไปได้ มาเป็นเพื่อนกันได้ต่อไป พยาบาทกันก็เลิกพยาบาทเสีย แล้วเราก็มาแผ่เมตตาปรานีต่อกันก็ได้ แต่ว่าไม่ได้คิดอย่างนั้น เพราะคนเหล่านั้นไม่ค่อยได้ยินธรรมะ เขาไม่เข้าวัดหรอก เขากลัวว่าพระจะสอนไม่ให้โกรธ กลัวพระจะสอนไม่ให้เกลียด กลัวพระจะสอนไม่ให้พยาบาท แล้วกูจะไม่ได้ฆ่าไอ้คนนั้นต่อไป มันไม่ชอบเข้าใกล้พระ
พวกที่มันหน้ามืดตาลาย ด้วยความชั่วนี่ เขาไม่เข้าใกล้พระ เขาไม่ฟังคำสอนของพระ เพราะเขาดิ่งลงไปในนรกเสียแล้วนะ เขาไม่มีความต้องการที่จะไปสวรรค์แล้วนะ ถ้าใครมาพูดมาดึงให้ขึ้นสวรรค์ เขาโกรธนะ แล้วเขาจะฆ่าคนนั้นเสียด้วยนะ หาว่ามาดึงให้ขึ้นสวรรค์นะ พระเราไปเทศน์บางทีนี่ก็ต้องระวังเหมือนกัน คือไปเทศน์กับคนที่ไม่ต้องการ เดี๋ยวมันโกรธขึ้นมา ถ้ามันทุบเอาหัวแตกนี่ไม่เป็นไร พอเย็บได้นะ แต่ถ้ามันยิงเปรี้ยงเข้าให้ แล้วก็ไม่ต้องเทศน์กันต่อไป
เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนไว้เหมือนกัน บอกว่าจะเทศน์กับใคร ก็ต้องดูเสียก่อน เช่น คนมีอาวุธในมือนี่ห้ามเทศน์ให้ฟัง ไม่ได้ เทศน์ไม่ได้คนมีปืนในมือ นี่เทศน์ไม่ได้ มีมีดอยู่ในมือก็ไม่ได้ มีกระบองอยู่ในมือก็ไม่ได้ ห้ามเทศน์ให้ฟัง ถ้าจะเทศน์ก็ให้มันเอาไปวางไว้ไกล ๆ เสียก่อน ปืนเอาไปวางไว้โน้น วางไว้หน้าศาลา อย่าเอาเข้ามา กระบองก็เอาไปวางไว้ มีมีด เหล็กขูดชาร์ป อะไร ก็เอาไปทิ้ง ๆ ไว้ก่อน แล้วมาฟังเทศน์กัน พอจะพูดกันรู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นไม่ได้นะ พูด ๆ ไป เดี๋ยวมันลุกขึ้นมา เปรี้ยงเข้าให้นะ แล้วก็พระก็ม่องไปเท่านั้นเอง ก็พระเรานี่ จะไปสู้ใครได้นี่ มันไม่มีอะไรนี่ มีแต่มือติดนิ้ว จะไปสู้ใครได้ มันโกรธขึ้นมาก็ไม่ได้ อันนี้ก็ต้องระวังเหมือนกัน ที่จะไปพูดกับคนเหล่านั้น ให้เข้าใจ แต่ถ้าพูดกันได้ มันรับฟัง มันก็ดีนะ เขากลับใจได้ เข้ามาหาความถูกต้องได้เหมือนกัน ถ้าเขารับฟังนะ แต่ถ้าเขาไม่รับฟังมันก็พูดกันยาก
เหมือนกับคนไม่กินยา เราจะให้ยาวิเศษสักเท่าไร ๆ มันก็ไม่กิน ก็ตายเท่านั้นเอง เคยมีพระ เป็นท่านเจ้าคุณฯ วัดหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่ ท่านเป็นโรค แล้วก็หมอเอายามาให้ ต่อหน้าหมอแกก็อม ๆ ไว้ พอหมอไปแกคายใส่กระโถน ไม่กินยา ก็เลยได้ตายสมใจเลย ได้ตายสมความปรารถนา เพราะไม่กินยา
อันนี้ธรรมะมันก็เป็นยาชนิดหนึ่ง ที่รักษาโรคทางจิตใจ รักษาโรคโลภ โรคโกรธ โรคหลง โรคริษยาพยาบาท โรคความเห็นแก่ตัว อะไรต่ออะไร ต่าง ๆ รักษาด้วยธรรมะ แต่ถ้าคนนั้นไม่เอาธรรมะรักษา เราให้ไปก็อย่างนั้น เขารับไปเหมือนกัน แล้วเขาเอาไปทิ้งเสีย ไม่เอาไปใช้ ก็ยังไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ถ้าคนนั้นรับเอาไปใช้ ก็จะเกิดประโยชน์ทันที ประโยชน์จากธรรมะนั้น มันเกิดทันทีเมื่อเราใช้ คล้ายกันเราดื่มน้ำแก้กระหายได้ทันทีเหมือนกัน เราทำอาบน้ำมันก็เย็นได้ทันที ฉันใด ธรรมะที่เราใช้ มันก็เกิดความสงบ เกิดความเย็นขึ้นมาทันทีเหมือนกัน ฉันนั้น
เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามที่จะให้ธรรมะ ไอ้การให้ธรรมะแก่คน นี่มันต้องให้ตั้งแต่ยังไม่มีอะไร คือให้ไว้ก่อน เพื่อจะได้เอาไปป้องกันตัวได้ ควรให้กับใครก่อน ให้กับเด็กก่อน เด็ก ๆ ของเรานี่ควรให้ธรรมะไว้ หน้าที่ของพ่อแม่ จะต้องสอนศีลธรรมให้แก่เด็ก พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็น่าชมพี่น้องศาสนาอิสลาม ที่เขาสนใจมากเป็นพิเศษ ในเรื่องการที่จะอบรมหนุ่มสาวของเขา ให้เข้าถึงธรรมะในศาสนา ถ้าเราไปดูในเขตของอิสลามิกชนแล้ว ทางภาคใต้ เขาจะมีโรงเรียนสอนศาสนาทั่วไป เด็กที่ไปเรียนหนังสือโรงเรียนประชาบาล ไปเรียนมัธยม อะไรก็ตาม กลางคืนต้องมาเรียนศาสนา เวลามาเรียนศาสนาเขาแต่งตัว เช่น ผู้หญิงเขาแต่งตัวเหมือนกัน เดินเป็นแถวเลย มาเรียนศาสนา เขามีครูคอยสอนให้ สอนให้เปล่า ๆ ไม่คิดมูลค่าอะไร เพราะเรื่องศาสนานี่เขาถือเป็นเรื่องที่ควรให้ แล้วไม่ควรจะคิดมูลค่า อาจารย์ทั้งหลายก็สอน เอาใจใส่เล่าเรียนกัน คือเขาไม่ละเลย ให้เด็กทำชั่ว ไม่ละเลยให้เด็กห่างศาสนา ห่างธรรมะ
เพราะฉะนั้นคนของเขาจึงหนักแน่นในศาสนา เพราะรับมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการฝึกฝน การอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงศรัทธามั่นคงเหลือเกิน ไม่เปลี่ยนใจไปนับถือศาสนาอื่นเป็นอันขาด อิสลามนี่ยาก เรียกว่าหาเปอร์เซ็นต์ที่ไปเปลี่ยนแปลงนับถือศาสนาอื่น นี่ยากเต็มที เพราะว่ามันฝังหัวตั้งแต่ตัวน้อย ๆ ติดเป็นนิสัย สันดานไปก็ว่าได้ เพราะเขาทำกันอย่างนั้น แต่ในหมู่พวกเราชาวพุทธนี่ ยังไม่ได้ทำกันถึงขนาดอย่างนั้น ยังไม่ได้เอาใจใส่อบรมบ่มนิสัย ลูกหลานของเราอย่างแท้จริง คือยังไม่มีพิธีกรรมประจำวัน ที่จะต้องกระทำ ในชีวิตประจำวัน
จึงอยากจะขอให้กระทำไว้เป็นประจำสักอย่างหนึ่ง คือว่าเรามาสวดมนต์ประจำบ้าน ก่อนหลับก่อนนอนนี่ ต้องมีเรื่องสวดมนต์กันก่อน ไหว้พระกันก่อน แล้วก็ทุกคนในครอบครัวต้องมาพร้อมกัน มีสัญญาณตีบอกก็ได้ ตีบอกแล้วก็สัญญาณนั้น ให้มาพร้อมกันในห้องพระ เรามักจะมีห้องพระไว้ ห้องพระไม่ได้มีไว้เพียงเพื่ออวดว่า ฉันมีพระเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง ลพบุรี แล้วนาน ๆ ก็ยกหลวงพ่อไปประกวดในงานกันสักทีหนึ่ง อันนี้มันไม่ได้เรื่องอะไร ที่มีไว้อย่างนั้น เอาพระไว้ประกวดกันเล่น มันจะได้เรื่องอะไร
เรามีไว้สำหรับบูชากราบไหว้ แทนความงามความดีของพระพุทธเจ้า กลางคืนก่อนนอนก็มาประชุมพร้อมกัน ไหว้พระสวดมนต์ ก็ไหว้ตามหนังสือสวดมนต์นี่ก็ได้ ที่เราสวดมนต์กันทุกวัน ๆ นี่ เอาไปสวด ๆ ซ้ำก็ได้ ถ้าสวดซ้ำก็เอาแต่เพียง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดเริ่มต้นคำบูชาพระ อรหังฯ บูชาเสร็จแล้วก็ว่า นโม แปลด้วย เสร็จจาก นโม ก็สวดพุทธคุณ อิติปิโสภะคะวา ถ้าเป็นสวดแบบตอนเช้าก็ โยโสปะถาคะโต อะระหังสัมมาสัมพุทโธ แปล แล้วก็ โยโสสะวาขาโต โยโสสุปัตติปันโน แปล เอาเท่านั้น เสร็จแล้วก็นั่งสงบใจ ให้ทุกคนนั่งนิ่งทำใจให้สงบ แผ่เมตตา ปรารถนาความสุขแก่กันและกัน พอพ้นจากนั้นแล้ว ก็พ่อบ้านหรือแม่บ้านก็ได้ ทำหน้าที่อบรมบ่มนิสัย พูดปลุกใจนะ ปลุกใจให้เขารู้ว่าเขาเป็นใคร นับถือศาสนาอะไร การนับถือศาสนานี้ ควรจะประพฤติตนอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำอย่างไร ให้เราเลิกอะไร ให้เราละอะไร พูดให้เขาฟัง ทุกคืน ๆ พูดมาตั้งแต่ตัวน้อย ๆ จนกระทั่ง เป็นเด็กไปโรงเรียน เป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วสิ่งนั้นก็ฝังอยู่ในจิตใจ
อะไร ๆ ที่เราให้ตั้งแต่เขายังเด็กนี่ มันมั่นคงถาวร จะอยู่ในจิตใจของผู้นั้นไม่กลืนคลาย เราลองให้อะไรกับเขาเมื่อเด็กเถอะ ถ้าเราให้ความชั่ว มันก็จะชั่วอย่างโหดร้ายเลยทีเดียวแหละ แต่ถ้าเราให้ความดี เด็กของเราก็จะดีขึ้น เพราะสิ่งนั้นมันฝังอยู่ในใจ
เรื่องที่เราจะแก้ปัญหาสังคม ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากภัยพิบัตินั้น ไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่า การเพาะจิตใจให้รักธรรมะไปตั้งแต่เริ่มต้น คือตั้งแต่ตัวน้อย ๆ ให้รู้จักไหว้พระ สวดมนต์ ทำกิจทางศาสนา ให้รู้เรื่องศีลของพระพุทธเจ้า ให้รู้ว่าข้อศีลนั้นมันมีอะไรบ้าง ทำไมจึงให้มีศีลอย่างนั้นอย่างนี้ ให้สอนให้เขาเข้าใจ หรือให้รู้จักเรื่องพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ตามที่มีอยู่ในประวัติ เอามาอ่านสู่กันฟังก็ได้ เอามาเล่าสู่กันฟังก็ได้ คือว่าในวันหนึ่งในบ้านนี่ ให้มีเวลาอยู่กับพระสักชั่วโมง หรือสัก ๓๐ นาที ทุกวัน ๆ เราให้ได้เข้าอยู่กับพระสักวันละ ๓๐ นาที แล้วถ้าเป็นวันที่มาวัดได้ เอ้า ชักชวนกันมาวัด มาฟังธรรม มารักษาศีล มาปฏิบัติกิจทางศาสนา
เมืองลังกานี่ มารดาไปวัดตอนเย็น ๆ พาลูกไปด้วย แล้วเขาเข้าไปในวิหารนะ เขาไปนั่งสวดมนต์อยู่ในวิหาร แม่สวดลูกก็นั่งฟังไป พนมมือตามแม่ ต่อมามันก็สวดเป็น เพราะทำเป็นประจำ เวลาเขาเดินทางไปทำงานทำการ ถ้าไปพบต้นโพธิ์มีพระพุทธรูป เขาก็ยืนสำรวมใจ ไหว้พระ นิดหน่อย แล้วก็ไปทำงานกันต่อไป เขาระลึกนึกถึงอยู่อย่างนั้น เรียกว่าจิตใจอยู่กับพระตลอดเวลา จึงปรากฏว่าสังคมเขาสงบเรียบร้อย ไม่ค่อยมีโจรผู้ร้าย ไม่มีการลักขโมยข้าวของ อะไรต่อกัน นี่ก็เพราะว่าจิตเขาอยู่กับพระ ศีลธรรมมั่นอยู่ในจิตใจ เขาเกิดความละอายบาป เกิดความกลัวบาป ไม่ทำอะไรที่เป็นความผิด ความเสียหาย จากหลักศีลจากหลักทำ การอยู่กันก็มีความสุข มีความสงบ
เมืองไทยเรานี้ ขออภัยเถอะ ที่จะกล่าวว่าเราละเลยกันเสียนาน คือเราเป็นคนสมัยใหม่กันหน่อย แต่มันก็ไม่ใหม่กัน มันครึ่งเก่าครึ่งใหม่ ฝรั่งก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง อะไรอย่างนั้น มันเป็นอยู่กันแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เหมือนสมัยโบราณ คนโบราณนั้นเขาก็เรียกว่าเป็นคนโบราณแท้ ไม่กลางเก่ากลางใหม่อะไร เขามั่นคงในศาสนา เขาไหว้พระสวดมนต์ เมื่อเด็ก ๆ เคยเห็นคนแก่มาพักที่บ้านคนหนึ่ง แกก่อนนอนแกก็ไหว้พระดัง ๆ แกไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน แกไหว้ แกสวดมนต์นานเสียด้วยนะ สวดมนต์นาน คราวนี้พอตี ๕ แกลุกขึ้น แกสวดอีกแล้วนะ สวดมนต์ดัง อาตมาเป็นเด็กได้ยินแกสวด แกสวดอย่างนั้น คืออย่างนั้น แกว่าแกทำประจำ อยู่บ้านแกก็ทำ ไปนอนที่ไหนแกก็ทำ มานอนบ้านเพื่อนแกก็ทำ ความจริงก็ดีนะ แกมาสวดในบ้าน ก็เป็นสิริมงคล แก่บ้านแก่เรือน แล้วก็ทำให้เจ้าของบ้านละอายใจ ว่าแหม เจ้าคนอื่นเขามาสวด แต่เราเองไม่สวด ก็จะได้สวดกันขึ้นบ้าง อะไรอย่างนี้ อ่า นี่เรียกว่าเขาทำกันอยู่อย่างนั้น จิตใจของเขาจึงหนักแน่นในศาสนา รักบุญ กลัวบาป ละอายบาป ละอายในการกระทำความชั่ว กลัวผลจากความชั่ว ชีวิตก็เรียบร้อย ไม่สับสน
ตั้งแต่เราเปลี่ยนบ้านเมืองมาสู่ยุคใหม่สมัยใหม่ เรามันใหม่ เวลาใหม่นี่มักจะลืมของเก่านะ คนเรานี่มันเห่อเหมือนกันนะ เรียกว่าเห่อของใหม่ แล้วมักจะลืมของเก่า ถ้าเราไปเมืองนอกเมืองนากลับมาใหม่ ๆ นี่ ก็ต้องแสดงท่าทาง กิริยา อะไรต่ออะไร นี่เป็นฝรั่งนิดหน่อย กว่าจะเปลี่ยน พอนาน ๆ ไปมันชักจะละลายไปเอง เป็นไทยต่อไป มาใหม่ ๆ อย่างนั้นนะ ไม่ว่าลูกหญิงลูกชาย ถ้าไปเมืองนอกกลับมาแล้ว มันแข็ง ๆ ทื่อ ๆ ตามแบบฝรั่ง ไหว้คนแก่ก็ไม่เป็น ไหว้ก็ไม่สวย ไหว้เก้งก้าง เดินเหินก็เหมือนกับไม้กระทู้ (52.44) เดินได้ ใช่ไหม มันไม่อ่อน ๆ เพราะว่าฝรั่งเขาเป็นอย่างนั้น มันติดมา แต่มาอยู่นาน ๆ ก็ค่อยเปลี่ยนไป เป็นแบบไทย ๆ ต่อไป อย่างนี้ เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นคนสมัยใหม่นี่ มักจะทำตนเป็นคนไม่นิยมของเก่า มองเห็นของเก่า ว่าเป็นของครึคละไม่ทันสมัย มันต้องอย่างนี้จึงจะทันสมัย แต่ว่ามันไม่ใช่ทันสมัย มันเกินสมัยไป มันล้นสมัยไป เลยกลายเป็นคนขี้เหล้าเมายา เสเพลเฮฮา คนเสียผู้เสียคน กันไปตาม ๆ กัน พ่อแม่ก็เป็นทุกข์เดือดร้อน อันนี้มันไม่ใช่ความผิดของใคร เป็นความผิดของพ่อแม่ ที่ไม่เอาของดีใส่เข้าไปให้หัวเขา ตั้งแต่ตัวน้อย ๆ แล้วมันไปเอาของชั่วมาเต็มหัวเลย คืนไม่ออก มันรับมาเต็มหมดแล้วนะ เราเอาของดีใส่มันก็ล้นไป ไม่เอาหรอก เหมือนกับน้ำเต็มถ้วยแล้ว เราจะเอาน้ำอะไรใส่ มันก็ล้นไปหมด มันไม่อยู่ในถ้วยได้ ความชั่วที่อยู่ในจิตใจของเยาวชน คนแก่เอาของดีใส่ก็ใส่ไม่ลง มันฟังแล้วมันนั่งหัวเราะไป แล้วมันบางทีแอบไปพูด อือ คนแก่ ๆ ชอบของเก่า ๆ ไม่ทันสมัยเสียเลย อ่า มันว่าอย่างนั้น
ไอ้ตัวมันทันสมัยนะ ได้สูบเฮโรอีนบ้าง กัญชาบ้าง แต่งตัวเลอะเทอะ ผมเผ้ารุ่มร่าม เขาเรียกว่าเขาทันสมัย แต่งตัวอย่างนั้นนะ ผู้ชายนี่แต่งตัวเหมือนกับผู้หญิงนะ มีสายสร้อยน้อย ๆ ห้อยข้อมือ เดินกระตุ้งกระติ้ง เขาทันสมัย ทันสมัยจนเป็นไอ้ตัวเมียไปเสียให้ได้ เห็นไหม มันทันสมัยอะไรก็ไม่รู้ ถ้าพ่อแม่ต่อว่าก็ ฮื้อ คนแม่คนสมัยก่อน ไอ้นั่นมันโบราณครับ สมัยนี้เขาต้องเป็นอย่างนี้ค่ะ พูดจาพูดคะพูดขา มันอะไรนะ มันจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นบ่อย เดี๋ยวนี้นะ ชักจะเป็นไปอย่างนั้น มันทางระบายอารมณ์ เพราะเราไม่เอาของดีใส่ให้มัน มันก็รับแต่เรื่องเหลวไหล เละเทะเข้ามาใส่ไว้ในจิตใจ มันจึงเกิดปัญหา ไอ้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่เหมือนกัน ที่น่าคิดและก็น่าจะช่วยกันแก้ไข
ในคราวฉลอง ๒๐๐ ปี ของเมืองไทยนี่ เรียกว่าเราฉลอง ๒๐๐ ปี ไม่ใช่ฉลองกรุงเทพฯ ฉลองมันทั้งประเทศ ทั้งประเทศที่อยู่มาปลอดภัย ๒๐๐ ปี แล้วที่อยู่มาได้นี่มันเพราะอะไร มันต้องศึกษา ต้องคิดว่าอยู่มาได้ ๒๐๐ ปี นี่เพราะอาศัยธรรมะในศาสนา เพื่อคุ้มครองรักษา แต่เราพูดเขวไปว่า พระสยามเทวาธิราชช่วยไว้ พูดให้ยุ่งไปอย่างนั้น สยามเทวาธิราชนะ พระสยามเทวาธิราช ก็เป็นตุ๊กตาที่เขาปั้นขึ้นมาเอง แต่เนื้อแท้คือพระธรรมช่วยชาติ ช่วยบ้านเมืองไว้ ธรรมะที่อยู่ในใจของพระเจ้าแผ่นดิน อยู่ในใจของข้าราชการ ทหารตำรวจ ที่ได้ช่วยกันประพฤติธรรม บ้านเมืองมันจึงอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ แต่เราเรียกเป็นภาษาชาวบ้าน ว่าพระสยามเทวาธิราช ก็หมายถึงว่าตัวพระธรรมนี่แหละ ไม่ได้หมายถึงตัวเทวดาที่เขาปั้นขึ้นมาใช้ แต่เขาปั้นให้ได้เห็นง่าย ๆ สำหรับคนปัญญาอ่อนเท่านั้นเอง ไม่ใช่คนชั้นปัญญาชนฉลาดอะไร
อันนี้เนื้อแท้มันคือธรรมะ ๒๐๐ ปี เราควรจะดึงคนเข้าหาธรรมะ ช่วยกันสร้างระบบชีวิตใหม่ ชีวิตที่อยู่กับพระ อยู่กับธรรมะ อยู่กับศีล อยู่กับธรรม แล้วก็ช่วยปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่มันเลอะเทอะ เต็มบ้านเต็มเมืองนะ ให้มันหยุดกันเสียบ้าง ดื้อ (56.39) กันเสียบ้าง มันต้องเข้มแข็ง ที่จะปัดกวาดสิ่งชั่วร้าย ให้หมดไปจากแผ่นดินของเรา แล้วก็พอเราสร้างเมืองของเราใหม่ สร้างจิตใจคนใหม่ ตามระบบศาสนา ตามระบบศีลธรรม อย่าไปสร้างตามระบบเศรษฐกิจ มันจะยุ่งต่อไป ถ้ามีคนคิดจะสร้างบ้านเมืองใหม่ ในระบบเศรษฐกิจ มันจะยุ่งนะ แต่ถ้าใช้ระบบศีลธรรมแล้ว มันก็ไม่ยุ่ง หลักการมันเป็นอย่างนี้
อ่า จึงนำมาพูดกับญาติโยมทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอให้ญาติโยม นั่งสงบใจ เป็นการทำจิตให้เข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธก็คือความสงบ ความสว่าง ความสะอาดของใจ เราก็นั่งกำหนดลมหายใจเข้าออก อย่าให้ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่น คอยกำหนดรู้เวลาลมหายใจเข้า กำหนดรู้เวลาหายใจออก ให้จิตอยู่ที่ลมเข้าลมออกตลอดเวลา ๕ นาที