แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
พวกเราชาวไทยเรียกตนเองว่าพุทธบริษัท “พุทธบริษัท” ก็คือผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้า นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติ ที่จะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป เรียกว่าเป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทนั้นประกอบด้วยภิกษุ ภิกษุณี (คือพระผู้หญิง) อุบาสก อุบาสิกา แต่ว่าในปัจจุบันนี้ภิกษุณีไม่มีแล้ว หายไปเสียตั้งแต่พระพุทธเจ้า (ปริ) นิพพานได้ราว ๒๐๐ ปี พระภิกษุณีก็สูญพันธุ์ไป ยังอยู่แต่ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทที่ยังเหลืออยู่ในยุคปัจจุบันนี้ เราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท มีหน้าที่ที่จะศึกษา ทำความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูก ให้ตรงตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าบัญญัติแต่งตั้งไว้
เราจะได้มีความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่เอาใจออกห่างไปจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การกระทำอันใดที่เป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจว่าเราขาดความไว้วางใจในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระสงฆ์ การกระทำเช่นนั้นชื่อว่า เป็นโทษ เป็นบาป เป็นการกระทำที่เรียกว่านอกรีตนอกรอยไปจากหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
เราผู้เป็นพุทธบริษัท จะต้องมีการกวดขัน ควบคุม พรรคพวกเราด้วยกันเอง ไม่ให้เขวออกไปนอกลู่นอกทาง ไม่ให้ปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ไปในทางที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะถ้าหากว่าเราเขวออกไปนอกลู่นอกทาง ปฏิบัติไม่คงเส้นคงวาตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว พระศาสนาก็จะเสื่อม คือเสื่อมไปจากจิตใจของพวกเราทั้งหลาย แล้วก็จะเสื่อมหายไปจากโลก แต่มีสิ่งอื่นเข้ามาแทนพระพุทธศาสนาไป การกระทำเช่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นการทำลายธรรมะของพระพุทธศาสนา ให้เหลืออยู่แต่เพียงชื่อ ให้เหลืออยู่แต่เพียงวัตถุของศาสนา ตัวศาสนาที่แท้จริงหายไป ถ้าตัวศาสนาที่แท้จริงหายไปแล้ว จะเรียกว่าเป็นเมืองพระพุทธศาสนาได้อย่างไร จะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะไม่ได้เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ชีวิตก็จะตกต่ำเรื่อยไป ไม่มีความเจริญก้าวหน้า อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราผู้เป็นพุทธบริษัทจะต้องกวดขันกันสักหน่อย
ในศาสนาอื่นนั้น เขามีการกวดขันกันมาก ที่จะไม่ให้บริษัทของเขาทำอะไรนอกลู่นอกทาง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนาที่เขาสอน ไม่ใช่เรื่องปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์แล้ว เขาจะไม่ปฏิบัติเป็นอันขาด ให้เราสังเกตพวกอิสลามมิกชน หรือพวกคริสเตียนไม่ว่านิกายใด เขาจะไม่ทำอะไรนอกออกไปจากหลักการของคำสอนในทางพระศาสนา อันนี้เรียกว่าเขาเคร่งครัด เขาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักที่เขาได้รับมาจากคัมภีร์ของเขา
แต่ว่าเราที่เป็นพุทธบริษัทนั้นไม่เหมือนเขาทั้งหลาย เพราะว่าผู้ที่เรียกตนเองว่าเป็นพุทธบริษัท(นั้น)มีการประพฤติปฏิบัติอะไรหลายอย่างนอกลู่นอกทาง ห่างไปจากแนวคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่มีใครพูดทักท้วง ไม่มีใครเห็นว่าจะเป็นเรื่องเสียหาย และการปล่อยอย่างนั้นก็ที่เรียกว่าสมรู้ร่วมคิดกันทำลายพระพุทธศาสนา ทำลายหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้หายไปจากจิตใจคน ให้คนไปเกาะจับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เรื่องหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เราทำลายตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับไม้บางชนิดมันเปื่อยของมันเอง มีตัวมอดตัวอะไรกัด ก็กร่อนของมันเอง แล้วไม้นั้นก็ผุยืนตายอยู่ เอาไปใช้ประโยชน์ทำอะไรไม่ได้ฉันใด ในวงการพระศาสนาเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเราไม่ช่วยกันปรับปรุงแก้ไขสิ่งถูกต้องให้คงอยู่ ทำลายสิ่งผิดให้หายไป พุทธบริษัทก็เป็นแต่เพียงชื่อ ไม่ได้เป็นโดยน้ำใจ ไม่ได้เป็นโดยการปฏิบัติตามสัจธรรม อันเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนา พระศาสนาก็จะเสื่อมหายไป จะเหลืออยู่แต่โบสถ์ เหลืออยู่แต่พระพุทธรูปสำหรับคนไปไหว้ สั่นติ้ว ขอหวย ขอเบอร์ หรือไปขออะไรๆ ต่างๆ ก็มันไม่มีค่าอะไรแม้กระทั่งไปทางดับทุกข์ ไม่มีค่าอะไรในทางที่จะขูดเกลากิเลสให้หมดไปจากจิตใจของเรา เป็นเด็กอมมือ นับถือศาสนาแบบเด็กอมมือไป
อันนี้คือความเสื่อมมาโดยลำดับในวงการพระพุทธศาสนา ความเสื่อมอย่างนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? ก็เพราะว่าเราเป็นคนใจกว้างมากเกินไป จนไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร เราปล่อยกันเกินไป ไม่ประท้วงพุทธบริษัทที่กระทำกิจนอกลู่นอกทาง ไม่เฉพาะแต่ญาติโยมชาวบ้าน แม้พระสงฆ์ในทางพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้กวดขันเคร่งครัด ให้ปฏิบัติถูกตรงตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ในเมืองไทยเราเวลานี้มีพระประเภทนอกรีตนอกรอย ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์ เป็นหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ในรูปต่างๆ ซึ่งอยากจะพูดให้เข้าใจว่านั่นมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา การทำตนเป็นคนขลัง เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เป็นหลวงพ่อ เป็นเกจิอาจารย์ ที่โด่งดังกันอยู่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นพวกนอกรีตนอกรอย ไม่ได้เข้าแนวทางคำสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ได้เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปสอนคน ให้รู้ ให้เข้าใจ ให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่ว่าเอาไสยศาสตร์บ้าง เอาเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ไปสอนประชาชน ทำให้คนเกิดการหลงผิดในพระพุทธศาสนา
เมื่อวานนี้ไปพบอุบาสกคนหนึ่ง ที่หน้าพระลาน ที่จังหวัดสระบุรี แกก็เคยบวชเคยเรียนพระพุทธศาสนา แกเล่าให้ฟังว่าเมื่อแกบวชแล้วนี่ แกอยู่กับอาจารย์ที่บ้านนอก ที่อำเภอพัฒนานิคมนู่น แล้วอยากจะมาเรียนหนังสือกรุงเทพเพื่อให้รู้จักพระพุทธศาสนา อาจารย์ในนั้นก็บอกว่า “เธอจะไปเรียนอะไร(ที่)กรุงเทพ เรียนกับฉันนี่ก็ได้ แล้วก็จะได้ประโยชน์ จะเจริญงอกงามในหลายอย่าง” อันนี้สิ่งที่เอามาให้เรียนนั้น เป็นเรื่องคาถาอาคมสำหรับท่องปลุกเสก เพื่อให้เกิดความขลัง เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ยิงไม่เข้า แทงไม่เข้า แต่ถ้าเอาไม้แยงก้นแล้วก็ตายเหมือนกัน นี่มันไปไม่รอด ให้ท่องคาถาประเภทอย่างนั้น
อุบาสกคนนั้นเมื่อสมัยเป็นพระก็มองเห็นว่า “เอ๊ะ นี่มันไม่ได้เรื่อง” แกไม่เชื่อ ความเชื่อเหลวไหลอย่างนั้นไม่มีในสมอง ก็เลยบอกว่า “อ้ายนี่มันไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่จริงหรอก อ้ายคนที่ว่ายิงไม่เข้า มันก็ตายมาหลายรายแล้ว แทงไม่เข้าก็ไส้ไหลมาหลายรายแล้ว อ้ายพวกที่ถูกยิงตายนี่มีวัตถุเครื่องรางเต็มคอมันก็ตาย ผมไม่เอาละ ผมจะไปเรียนหนังสือกรุงเทพ” แล้วก็เลยมาอยู่วัดมหาธาตุ มาเรียนนักธรรม เรียนพระอภิธรรม เรียนภาวนาอะไรไปตามเรื่อง สมควรเวลาแล้วแกก็ลาสิกขาออกไป ได้พบกันเมื่อวานนี้
นี่แหละเรียกว่าอาจารย์หลงแล้ว ยังจะชวนลูกศิษย์ให้หลงต่อไป คืออาจารย์แกหลงเข้าดงของขลัง เข้าดงเครื่องราง เข้าดงการปลุกเสก ลงเลข ลงยันต์ แล้วก็ถือว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งความจริงสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา แต่ว่าเมื่อทำขึ้นแล้วคนก็นิยมชมชอบเหมือนกัน มันเป็นทางไปสู่ลาภ ไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีทางอยู่สองทาง คือทางหนึ่งไปสู่ลาภสักการะ ทางหนึ่งไปสู่ความดับกิเลส เราไม่สรรเสริญเส้นทางที่จะนำไปสู่ลาภสักการะ เราไม่พอกพูนเส้นทางนั้น แต่เราสรรเสริญเส้นทางที่จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เพื่อความขูดเกลา เพื่อพระนิพพานมากกว่า” อันนี้เป็นเครื่องชี้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่าของขลัง หรือว่าศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช
เราได้ยินคำว่า “ปาฏิหาริย์” ปาฏิหาริย์นั้นมันมีอยู่ ๓ เรื่องด้วยกัน ในคัมภีร์เขาเอ่ยชื่อไว้ เอ่ยไว้ก็เพื่อจะบอกให้พระรู้ว่าปาฏิหาริย์นั้นมีอะไรบ้าง
มีอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง อิทธิปาฏิหาริย์ คือการแสดงฤทธิ์เดชได้ต่างๆ เช่นว่าเหาะเหินเดินอากาศ ดำดินอะไรก็ตามเรื่อง เรียกว่าสำเร็จด้วยฤทธิ์ เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
อาเทสนาปาฏิหาริย์ หมายความว่าทายใจคนได้ ทายความคิดของคนได้ ใครมานั่งลงคิดอะไรบอก คุณกำลังคิดเรื่องนั้น กำลังคิดเรื่องนี้ ทายใจได้ อย่างนี้เรียกว่าอาเทส (นาปาฏิหาริย์) มันเป็นวิชากลางบ้านที่มีอยู่ในประเทศอินเดียในสมัยนั้น พระพุทธเจ้าท่านห้ามพระไม่ให้กระทำ ห้ามไม่ให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ห้ามไม่ให้ใช้วิธีอาเทสนาปาฏิหาริย์ คือการดักใจคน เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น มันไปเหมือนกับวิชาเล่นกลหรือปาหี่ที่เขาเล่นกันอยู่ทั่วๆ ไป
นักบวชในพระพุทธศาสนาไม่ใช่นักบวชประเภทปาหี่ ประเภทแสดงกลให้คนดูอะไรต่างๆ เช่น เสกข้าวทิพย์บ้าง เสกอะไรให้เป็นปลา เสกเกสรบัวให้เป็นปลา เสกให้เป็นปลาหมอ เสกเป็นปลาช่อน เสกแล้วเอาไปขาย ได้เงิน นายอุบาสกคนนั้นก็เล่าให้ฟังเหมือนกันเมื่อวานนี้ บอกว่าที่วัดหน้าพระลานนี่ เคยมีพระองค์หนึ่งมาปักกลดในศาลา คือว่าเพียงแต่ปักกลดนอนนี่ก็คือกางมุ้งนอนนั่นเอง แต่คนก็หลงใหลแล้ว หลงว่า แหม องค์นี้อยู่ในกลด ความจริง กลด มันก็คือมุ้งนั่นเอง ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไร ไปไหนที่แบกกลดไปนั้นก็เพื่อจะเอาไปกางนอนนะ กางมุ้ง กลดก็คือมุ้ง อยู่ในกลดแล้วยุงมันไม่กิน ไม่ใช่ว่าเพิ่มความวิเศษอะไร
ทีนี้ก็อยู่ในกลด แล้วก็มีปาฏิหาริย์ว่าเสกดอกบัวให้เป็นปลาได้ อุบาสกคนนี้เวลานั้นแก (ไม่ได้) เป็นพระ สึกแล้ว แกก็เห็นว่า พระองค์นี้มาหลอกชาวบ้าน แกก็พยายามที่จะจับว่าทำอย่างไร คือให้คนไปซื้อปลาหมอบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวเล็กๆ (ถ้า) ตัวใหญ่มันก็ลำบากหน่อยเล่นกลยาก ตัวมันใหญ่ลำบาก ก็เอามาใส่ไว้ในภาชนะอะไร ซ่อนไว้ในกลดของตัวนั่นเอง แล้วเวลาจะเสกก็ต้องปิดกลดลงเสีย ให้คนนั่งห่างๆ นั่งใกล้กลมันก็จะแตกซี่ แล้วเวลาเสกเอาดอกบัวนี่แหละ เอาเกสรใส่ลงไปในบาตร แล้วก็นั่งเสกๆๆๆ ไป พอเสกไปนานๆ ก็ยกพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง พระพุทธรูปนี่ข้างใต้มันกลวง ตานี่ก็เจาะรูไว้ เอาถุงปลานี่ไปใส่ไว้ในรูนั้น แล้วเวลายกมาก็เปิดปากถุง เอามาวางปากบาตร แล้วก็เสกคลำพระพุทธรูปเรื่อยๆ ไป ปลามันก็ได้น้ำ มันได้ไอน้ำ มันรู้ว่าอ้ายนี่มีน้ำอยู่ในนี้ มันก็ออกจากถุงลงไปว่ายปร๋ออยู่ในน้ำ พอปลาลงไปว่ายสักพัก แล้วก็เปิดกลดยกบาตรมาวาง ในนั้นมีปลา กลีบบัวหายไป คือเก็บกลีบบัวไว้เสีย แล้วก็เอาปลาออกมา ญาติโยมก็ซื้อปลาตัวละพัน ถ้าเป็นปลาช่อนนี่ตัวละ ๓ พัน ไม่ใช่เล็กน้อย ก็ได้เงินไปหลายเหมือนกัน
อุบาสกนั้นก็เข้าไปคัดค้าน คัดค้านมากเข้า...เกือบไปเหมือนกัน อุบาสกที่คัดค้านนี้คือเกือบถูกรุม ถูกรุมตีนรุมมือเข้าไปเลยทีเดียว เพราะอ้ายคนโง่มันมากกว่าคนฉลาด อันนี้เราไปคัดค้านคนโง่มันก็ไม่เชื่อ (หาว่า) “อ้ายนี่มันพวกนอกศาสนา” อ้ายคนในศาสนากลับหา (ว่า) เป็นคนนอกศาสนา อ้ายพวกนอกศาสนากลับยกตนเองว่าเป็นคนในศาสนา นี่เป็นความหลงผิดที่เกิดขึ้นเพราะการกระทำอย่างนั้น แล้วก็อยู่ไม่นาน อ้ายของอย่างนี้อยู่ไม่นาน ต้องไปที่อื่น แล้วก็ล้มหายไป ไม่ได้ทำต่อไป
ของหลอกนี่มันไม่ถาวร ของจริงเท่านั้นจึงจะถาวร สัจธรรมของพระพุทธเจ้านี่อายุถึง ๒,๕๐๐ ปีกว่าแล้วยังอยู่ แต่ของหลอกๆ ทั้งหลาย เดี๋ยวเกิดหลอกที่นั่น เกิดหลอกที่นี่ ไม่กี่เดือนก็หายไป เพราะเป็นของชั่วคราว หลอกกินกันชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าศักดิ์สิทธิ์อะไร น้ำศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แม่ย่านางเรือศักดิ์สิทธิ์ ต้นกล้วยศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมันดังอยู่สักไม่กี่วันหรอก แล้วก็เพลาๆ ไป หายไป ที่เจ็บใจก็คือว่า อ้ายศักดิ์สิทธิ์นี่มันอยู่ในวัดเสียด้วย สมภารก็นั่งยิ้มแฉ่งอยู่ ในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ได้ลาภสักการะ นั่นเรียกว่า เดินในเส้นที่พระพุทธเจ้าไม่โปรดให้เดิน คือไปเดินในรูปหาลาภจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นานา ทำคนให้หลง ทำคนให้งมงาย ทำคนให้ไม่เข้าถึงศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ว่าไปเชื่อความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดชทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้น่าเสียดาย ที่ไปอยู่ในวัดวาอารามต่างๆ แต่ว่าพระท่านก็ไม่พูด เพราะว่าปัจจัยมันมาปิดหูปิดตา อุดปากแน่นพูดไม่ออก อมเงินแล้วมันพูดไม่ออก เสียงมันอ้อแอ้ อ้อแอ้ พูดไม่ออกไปตามๆ กัน เห็นแก่ลาภสักการะ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ลาภสักการะนี่มันฆ่าคนได้เหมือนกัน สักกาโร กาปุริสัง หันติ แปลว่า ลาภสักการะฆ่าคน ไม่ได้ฆ่าคนให้ตายทางร่างกาย แต่ฆ่าคนให้ตายทางจิต ทางวิญญาณ คือจิตเขาตายด้าน ไม่เจริญงอกงามในธรรมวินัย ไม่ก้าวหน้าในการศึกษา ในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไปติดอยู่ในวัตถุเหล่านั้น ในความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีคนนิยมกันอยู่ แล้วก็พระเราทำด้วย คนก็นึกว่าเป็นเรื่องทางพระพุทธศาสนา เลยเข้าใจเขวไป
ความไขว้เขวในสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะว่านักบวชนี่ไม่สอนโยมให้เข้าใจความจริง ที่ไม่สอนให้เข้าใจความจริงก็เพราะว่าตัวไม่ศึกษาจริง ไม่เรียนจริง ไม่คิดค้นจริง ในทางหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา รู้งูๆ ปลาๆ ไม่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการค้นคว้าศึกษาธรรมะ แล้วก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสอนญาติโยม เวลาญาติโยมทำอะไรไม่ถูกต้องก็ไม่กล้าพูด เพราะไม่มีหลักในใจ ไม่มีความเชื่อมั่นในสิ่งถูกต้อง จะพูดไปก็เดี๋ยวเขาจะไม่เชื่อบ้าง เขาจะขัดคอบ้าง ก็เลยปล่อยกันไป
ปล่อยกันไปจนกระทั่งว่าเป็นผู้ใหญ่ เช่น พระองค์นั้นมาเติบโตขึ้นเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ก็เลยทำไปตามในรูปอย่างนั้น ทำตามๆ กันมา โดยไม่ได้นึกว่าอันนี้ไม่เหมาะไม่ควร ไม่กล้าที่จะตัดสิ่งไม่ถูกต้องออกไปจากวงการของพระศาสนา ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ที่เป็นความจริงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบ เพราะตัวนั้นชอบสิ่งเหล่านั้น คือชอบสักการะที่ได้จากสิ่งเหล่านั้น ตัดไปเสียแล้วมันก็จะขาดรายได้ไป ก็เป็นพวกประเภทติดอยู่ในลาภสักการะ ลาภสักการะก็ทำลายจิตวิญญาณของท่านผู้นั้น ไม่ให้เจริญงอกงามในทางดับทุกข์ดับร้อนตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา นี่เป็นเรื่องเสียหาย ไม่ใช่เสียหายเพียงเล็กน้อย เพราะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทำคนให้หลง ให้เข้าใจผิดไปด้วยประการต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นเรื่องที่เราควรจะพูดจา ทำความเข้าใจกับญาติโยม ให้รู้ชัด เข้าใจชัดในเรื่องอย่างนี้ไว้ ให้เขาได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
ถ้าเราเห็นคนโง่ (21.10 ไม่ยืนยันว่า โง่ หรือ โลภ) แล้วเราให้ความโง่เพิ่มแก่เขา เราไม่ได้ช่วยอะไรเขา ถ้าเราเห็นคนจน เราทำให้เขาจนหนักลงไป ก็ไม่ได้ช่วยคนจนนั้นให้อยู่ดีกินดีขึ้น ถ้าเราเห็นคนงมงาย แล้วเราก็ช่วยให้มันงมงายหนักลงไป อะไรมันจะดีขึ้นในวงคนเหล่านั้น อะไรจะเจริญงอกงามในคนเหล่านั้น ผู้กระทำก็ไม่ชื่อว่าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะเป็นนักบวชนุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนหัวขูดคิ้ว (ไม่ยืนยัน) แต่หาได้ปฏิบัติตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ ได้ร่วมมือร่วมใจกันทำลายหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาที่เป็นของแท้ของจริงให้จมหายไป แต่ให้สิ่งซึ่งไม่ใช่สัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเจริญงอกงาม นั่นคือการทำลายนั่นเอง
ทำไมพระพุทธศาสนาจึงเสื่อมสูญไปจากประเทศอินเดีย ก็ไม่ใช่ว่ามีคนอื่นมารังแกอะไรหามิได้ มาในตอนปลายแล้วเรียกว่าอิสลามรังแกบ้างในตอนปลาย แต่ว่าส่วนสำคัญที่สุดนั้นก็คือว่าเพราะเราไม่ยืนหยัดอยู่ในหลักการของพระพุทธศาสนา พูดตามภาษาปัจจุบันว่าไม่มีจุดยืนที่แน่นอน จุดยืนแน่นอนไม่มี แต่ว่ากวัดแกว่งไปตามอารมณ์คน อารมณ์โลก ต้องการจะเอาพวกมาก ต้องการเอาบริษัท ต้องการลาภสักการะจากคนเหล่านั้น ก็เลยโน้มเอียงไปตามความต้องการของคน คนต้องการอะไรก็ทำสิ่งนั้นให้ ทำหนักเข้าๆ ชาวบ้านก็มองเห็นว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานี่เหมือนกับนักบวชพราหมณ์ ไปเหมือนกับพราหมณ์ทั้งหลายที่มีอยู่ก่อนยุคพระพุทธเจ้า พราหมณ์ทำไสยศาสตร์ ทำน้ำมนต์ สวดวิงวอน บนบานศาลกล่าว เซ่นเจ้า เซ่นผี ไหว้เทวดา พระสงฆ์ก็ทำอย่างนั้น เมื่อทำเหมือนกับพราหมณ์แล้ว ก็มีพราหมณ์มาก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพระสงฆ์ แล้วทำไมเราจะต้องมานับถือพระสงฆ์อีก นับถือพราหมณ์แบบเดิมดีกว่า เพราะเหมือนกันแล้ว เลยหมดเท่านั้นเอง คือหมดไปจากอินเดีย ก็เพราะว่าพระเราลดตัวลงไปทำทุกอย่างที่พราหมณ์กระทำ จนชาวบ้านเห็นว่าพระกับพราหมณ์เหมือนกันเสียแล้ว แล้วก็เลยไม่นับถือพระ ไม่สนใจพระต่อไป พระก็เลยหายไปจากประเทศอินเดีย ไม่มีพระเหลืออยู่ เวลานี้เพิ่งแตกหน่อใหม่ขึ้นมาบ้างไม่กี่หน่อ เพราะว่าเอาพันธุ์ไปจากลังกาบ้าง ไปจากประเทศไทยบ้าง ได้ไปปลูก ไปเพาะ ให้เกิดเชื้อขึ้นในประเทศอินเดียต่อไป นี่คือการสูญพันธุ์
ในบ้านเมืองของเราเวลานี้ เรียกว่ามีพันธุ์นักบวชอยู่ แต่ว่าพันธุ์ปลอมก็มี พันธุ์แท้ก็มี บางอย่างก็จะทำให้เสื่อมต่อไปเหมือนกัน ถ้าเราอยู่กันในรูปส่งเสริมความเชื่องมงาย ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา ต่อไปก็คน(ก็)จะเสื่อมศรัทธามากขึ้น แม้เฉพาะคนใหม่ๆ ในยุคปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้าในวิชาการ ไม่มีความเชื่อในทางอย่างนั้น เขาก็มองเห็นว่านักบวชในพระพุทธศาสนานี่ไม่ได้เรื่องอะไร เพราะไปทำสิ่งที่นอกเรื่องนอกราวของพระพุทธศาสนา คนเหล่านั้นก็จะไม่เข้าวัด ไม่ฟังธรรม ไม่ศึกษาพระศาสนา จิตใจก็จะห่างจากหลักธรรมะ สังคมก็อยู่ในความมืดบอด เหตุที่จะให้เกิดความมืดบอดก็เพราะว่าเราเอาน้ำมันปลอมมาใส่ตะเกียง ควันมันก็โขมงขึ้นมา ปิดบังดวงตาคนไม่ให้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา อันนี้คือความผิด เป็นสิ่งที่เราควรจะช่วยกันแก้ไข ปรับปรุง (ไม่) ให้เกิดขึ้นในวงการของพุทธบริษัทต่อไป นี่เรื่อง (แรก)
อีกเรื่องหนึ่งที่เราเห็นว่ามีคนหลงใหลใฝ่ฝันกันอยู่ เช่น เรื่องการทรงเจ้าเข้าผีอะไรต่างๆ เชิญคนวิญญาณเข้าทรงอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าวิญญาณของผู้นั้นผู้นี้มาทรงจริงหรือไม่ การทรงเจ้าเข้าผีนั้น อยากจะบอกให้ญาติโยมรู้ไว้ แล้วก็บอกต่อๆ กันไปว่าไม่ใช่วิธีการของพุทธศาสนา ไม่ใช่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะไม่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์บทใดในพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนาว่าให้ภิกษุเข้าไปทรงเจ้าเข้าผี หรือไปเชิญวิญญาณเข้ามาสิงสู่ แล้วก็สนทนาอะไรๆ กับคนที่ต้องการจะรู้จะเข้าใจ
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรากระทำอย่างนั้น ไม่มีหลักการอย่างนั้นในวงการพระพุทธศาสนา ทีนี้อ้ายเรื่องทรงเจ้าเข้าผีทั้งหลายทั้งปวงนั้น ความจริงก็เป็นเรื่องของการสะกดจิตของ บุคคลผู้นั้นเอง เพื่อให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขาสร้างขึ้น สร้างอำนาจจิตขึ้น แล้วก็พูดไปตามอำนาจของความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจในขณะนั้น คนฟังก็เชื่อไป เพราะว่าคนที่ไปนั้นเชื่อไปตั้งแต่ (อยู่ที่) บ้านแล้ว ไม่ได้ใส่แว่นไปด้วย ไม่ได้เอาปัญญาไปด้วย สุดแล้วเขาทำอะไรก็เชื่อมันทั้งหมด เจ้าว่าอย่างนั้น เจ้าพ่อว่าอย่างนั้น เจ้าพ่อว่าอย่างนี้ อ้าวหลงเชื่อไป กลายเป็นเหยื่อของคนทรงเจ้าเข้าผี หรือของคณะที่ทรงเจ้าเข้าผี ที่จะเรียกร้องอะไรจากคนเหล่านั้นได้โดยไม่ลำบากใจ เพราะคนเราถ้ามันเชื่อแล้ว มันทำได้ทั้งนั้น ก็ดูข่าวเมื่อปีก่อนโน้น คนอเมริกันที่ไปฆ่าตัวตายที่ประเทศกานาจำนวนเท่าไร เป็นร้อยๆ ฆ่าตัวตายตามคำสั่งของผู้นำในศาสนา ให้ฆ่าตัวตาย เพื่อชีวิตที่ดีกว่าต่อไป คนเหล่านั้นมันเชื่อด้วยความงมงาย ไม่ได้คิดมาก มีแต่ความเชื่อ เชื่อหลับหูหลับตาเชื่อ สุดแล้วแต่เขาจะจูงไปในทางไหน ผลที่สุดเขาให้ฆ่าตัวตาย มันก็ยอมฆ่าตัวตาย อันนี้คือความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับหลักการทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าเราสอนความเชื่อเหมือนกัน แต่พระองค์บอกว่าต้องเชื่อด้วยปัญญา ไม่ได้เชื่อด้วยความงมงาย ไม่ได้เชื่อง่ายเชื่อดาย ตามที่เขาแสดง เขาทำ เขาเปิดให้เราดู แต่เราจะต้องเอาไปคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ว่าสิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วจึงจะปลงใจเชื่อลงไป แต่ว่าในเบื้องต้นนั้น เราควรจะมีความเชื่อเป็นหลักประจำจิตใจว่าสิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นไม่ใช่พุทธศาสนา ให้ถือหลักอันนี้ไว้ก่อน ว่าสิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นไม่ใช่พุทธศาสนา สิ่งใดที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เราผู้เป็นพุทธบริษัท จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง จะไม่ไปยุ่ง ไม่ไปสนใจ ไม่ไปหา ไม่ไปทำอะไรกับคนเหล่านั้นทั้งนั้น เราไม่ยอมไป เราไม่ยอมโง่กับคนพวกนั้น
อันนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของนักต้มมนุษย์ทั้งหลาย ที่อาศัยผี อาศัยเจ้า หรืออาศัยวิญญาณของใครๆ มาทรง แล้วก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราว เราจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านั้น เพราะเราไม่ยอมหลับหูหลับตาเชื่อ เราเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ใครเขาทำอะไรกันที่ไหน เราไม่ไป เพราะไปมันก็ไม่ได้อะไร ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางจะดับกิเลส ไม่ใช่ทางที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทางคือนิพพาน เราก็ไม่ไป ไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียเงินทอง ในการที่จะไปเอาสิ่งเหล่านั้นไปหาสิ่งเหล่านั้น ไปถึงแล้วพวกนั้นก็เห็นว่าคนโง่มาอีกหมู่หนึ่งแล้ว เขาก็ยิ้มเยาะ
ยิ้มเยาะเราที่ไปหา “มาให้กูต้มอีกแล้ว” แล้วมันก็ต้มตามชอบใจ ขูดตามชอบใจ มันเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพุทธบริษัท เสียศักดิ์ศรีของคนปัญญาชน ที่ไปให้คนพวกทรงเจ้าเข้าผีต้มยำได้ตามชอบใจ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ยิ่งเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าแล้วก็ ยิ่งไม่สมควรเป็นการใหญ่ เขาจะนิมนต์ไปทำพิธีอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนา เราก็ไม่ควรกระทำ ไม่ควรไปร่วมมือกระทำกับคนเหล่านั้น เราควรจะกล้าที่จะพูดกับใครๆ เสียบ้างว่าไอ้สิ่งนี้มันไม่ใช่เรื่องพระพุทธศาสนา ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า “ฉันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า จะให้ไปทำอะไรที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ฉันกระดาก ฉันอายในความเป็นพุทธบริษัทของฉัน” (31.22 ข้อความซ้ำ) เราก็ไม่ต้องไป แม้จะได้ลาภสักการะ ได้จากการไปทำพิธีอย่างนั้น มันก็ไม่พอกินอะไร เราไม่ทำก็ยังไม่ตาย เรายังมีข้าวฉัน มีกุฏิอยู่ มียาแก้โรค มีปัจจัย ๔ ใช้ ทำไมจะต้องไปนั่งรับจ้างทำสิ่งโง่ๆ กับคนโง่ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้มันน่าคิด
ในความจริงควรจะคิดอย่างนั้น ถ้าเราคิดอย่างนั้นพระศาสนาของเราจะสดใสขึ้น จะก้าวหน้าขึ้น เพราะเราไม่ยอมทำอะไรแบบโง่ๆ ให้คนทั้งหลายที่มาขอให้เรากระทำ เราไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เพราะเราถือว่าไม่ใช่แนวปฏิบัติตามหลักพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเสียหาย เหมือนกับสำนักที่ล่มไปนี้มีพระไปอยู่หลายองค์ พระเหล่านี้ขาดการศึกษา ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ในเรื่องอะไร ไปตามความโง่เท่านั้นเอง ไปอยู่ก็มีอาหารกินสบาย มีอะไรสะดวก ก็เลยอยู่มันไปต่อไป อยู่ให้มันโง่ต่อไป จนกระทั่งสำนักล้มไป แล้วก็ได้ออกไปหาที่อื่น (อยู่) ต่อไป อย่างนี้มันก็มี เรียกว่าไปอย่างนี้
วันหนึ่งคราวหลายปีมาแล้ว อาตมาไปเทศน์ที่เพชรบูรณ์ แล้วไปที่หล่มเก่า ไปพักอยู่ที่วัดศรีสะเกษ มันชื่อศรีสะเกษเหมือนกันวัดนั้น นอนในโบสถ์ เขาให้นอนในโบสถ์ พอตอนเย็นสัก ๕ โมงนี่มีขบวนใหญ่มาแล้ว ขบวนมาคนมาก แต่งตัวแปลกๆ คนแก่ๆ ผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี ใส่เสื้อใส่แสง มองดูแล้วมันไม่เต็มบาททั้งนั้นเครื่องแต่งตัวนี้นะ คืออย่างเสื้อมันก็เที่ยวแต้มใส่สีนั้นสีนี้ ตัดนั่นตัดนี่ให้วุ่นวาย มองดูแล้ว เอ๊ะ มาจากไหนกัน ดูมันแปลกๆ นะ แล้วในหมู่นั้นก็มีพระไปด้วย ๓-๔ รูป ก็เลยสนทนากับเขาถามว่า “นี่มาจากไหนกัน” แล้วในหมู่นั้นมีผู้ชายอยู่คนหนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก ใหญ่โตสูงหน่อย แขวนลูกกระพรวน ลูกกระพรวนที่เขาแขวนหมานี่แกเอามาแขวนไว้ที่คอแก แล้วไม่ได้แขวนลูกเดียวนะ หลายลูกเป็นพวงเลย “อ้ายคนแขวนลูกกระพรวนนั่นเป็นอะไร” “นั่นแหละหัวหน้าเขา” ถุย หัวหน้ามันเป็นอ้ายอย่างนี้ แล้วลูกน้องตามหลังมามันจะเป็นขนาดไหน อาตมาก็นึกในใจว่า หัวหน้ามันก็โง่ ลูกน้องมันก็แย่น่ะซิ แขวนลูกกระพรวนนี่ เวลาเดินมันก็ดังกริ๊งกร๊างๆ เรานึกว่าม้าวิ่งมาแล้ว แต่มันกลายเป็นม้า ๒ ขาไป มากัน
เลยถามว่า “อะไรนี่ พวกไหนกันนี่” มันบอกว่า “นี่หลวงพ่อเขียด” หลวงพ่อเขียดว่างั้น “เอ๊ะ ชื่อเกียรติรึ” “ไม่ใช่เกียรติ ข สระเอีย ด สะกด เขียด หลวงพ่อเขียด” บอก “โอ้ ทำไมชื่อนี้” “หลวงพ่อเขียดบอกว่าเขียดมันตัวเล็กกว่ากบ” ว่าอย่างนั้น เพราะว่าที่ลพบุรี ที่อำเภอบ้านหมี่ มีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง เขาเรียกว่าหลวงพ่อกบ หลวงพ่อกบนี่ท่านอยู่ในที่ถ้ำสาลิกา ที่ภูเขาบ้านหมี่นั่นแหละ ทางตะวันตกสถานีบ้านหมี่นี่เขาเรียกว่าเขาสาลิกา หลวงพ่อกบแกอยู่ที่นี่ นี่ไม่ใช่หลวงพ่อกบ นี่หลวงพ่อเขียด คือมันเล็กกว่ากบหน่อยหนึ่ง
“แล้วก็จะพากันไปไหนล่ะนี่” บอกว่า “ไปเที่ยวนมัสการสถานที่ต่างๆ ก็เลยมานมัสการที่นี่” เลยอาตมาก็นึกว่า อ้ายพวกนี่มันจะนมัสการกันตรงไหน อาตมาพักในโบสถ์นี่ คนหนึ่งเป็นลูกน้อง หัวหน้าให้มาถึงบอกว่า “ท่านครับ ถ้าพวกผมจะมาไหว้พระในโบสถ์นี้จะได้ไหม” บอกว่า “เอ๊ย เป็นไรไป เรื่องไหว้พระไม่มีอะไรเสียหาย” ก็มาไหว้ มานั่งไหว้ ก็สวดมนต์ธรรมดาแหละ สวดอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน อะไรนี้ ก็เริ่มต้นมันก็เข้าทีละ สวดกันธรรมดา แต่ว่ามันประหลาดใจว่าลูกน้องนี่นั่งหลับตาสวดทั้งนั้น ไม่ลืมตาสวด ส่วนหัวหน้าที่แขวนลูกกระพรวนสำหรับแขวนสุนัขนี่ แทนที่จะสวด นั่งขัดสมาธิสูบบุหรี่ฉุยคนเดียวอยู่ในโบสถ์นั่น อ้ายพวกนั้นก็หลับตาสวดกันไป แต่หัวหน้าไม่สวด นั่งสูบบุหรี่
อาตมาออกมาอยู่นอกโบสถ์แล้ว ปล่อยเขาให้เขาแสดงกันไปตามเรื่อง ก็ไปยืนมองทางหน้าต่างว่า เอ๊ะ อ้ายลูกน้องลูกชอบหลับตาสวด แต่หัวหน้า กำลังนั่งสูบบุหรี่ไม่สวดมนต์อะไรสักหน่อย ก็สวดกันจบ พอจบแล้วก็นั่งสงบใจนิดหน่อย พอนั่งสงบใจแล้วหัวหน้าก็เทศน์ให้ฟัง ไม่พูดภาษาไทย ไม่พูดภาษาที่พวกมนุษย์ฟังได้ พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ เอามาเขียนเป็นหนังสือก็ไม่ได้ เอามาเลียนแบบก็ไม่ได้ มันว่ากะรกโป๊กๆ อะไรมันก็ไม่รู้เรื่องว่าๆ อะไร ว่ายืดยาว ว่าคล่องอ้ายภาษาบ้าบอนี่ว่าไปได้
อาตมาฟังๆ เอ๊ะ มันสวดอะไร ก็พอเขาจบแล้วมีคนหนึ่งออกมาจากโบสถ์ อาตมาถามว่า “เอ๊ะ หัวหน้านี่เทศน์ภาษาอะไร” เขาบอกว่า “ภาษาวิญญาณ” “แล้วพวกเราฟังรู้เรื่องหรือ ?” “ไม่รู้หรอก ฟังไม่รู้” “แล้วไม่รู้ ฟังทำไม ?” “หัวหน้าเขาให้ฟังก็ต้องฟัง” นี่มันหลับหูหลับตาเชื่อแท้ๆ มันเชื่อไปแล้ว หลับหูหลับตาฟังไปอย่างนั้น เอ้า ฟังไป พอเสร็จแล้วออกจากโบสถ์ ออกจากโบสถ์ตีกลองอีก มีกลองยาว กลองสั้น ตีกลองแห่กันไปรำไปรอบๆ โบสถ์ ๒-๓ รอบ เสร็จแล้วก็เดินรำไปอีก ไปทางโน้น อ้ายตรงโน้นมันมีศาลอยู่หน่อย เรียกว่าเป็นศาลเก่า คนก็ยังไปไหว้อยู่นะ คล้ายกับศาลหลักเมืองอะไรอย่างนั้น ตีกลองไป ไปไหว้กันอยู่ตรงนั้นแหละ ตีกลองสนั่นหวั่นไหว รำฟ้อนกันไป คนแก่ๆ ทั้งหมดนี่ลุกขึ้นรำป้อแป้ ป้อแป้ อู้ฮู้ อาตมาก็ไปยืนดู เสียดายไม่มีกล้องวีดีโอเทปสมัยนั้น ถ้ามีแล้วจะได้ถ่ายภาพ มันน่าดู เรียกว่าคนแก่รำกัน รำกันจนเหนื่อย ทีนี้พอเหนื่อยแล้วก็อ้ายคนหนึ่งอยากจะหยุดรำ อ้ายพวกตีกลองไม่ยอมหยุดตีกลอง ทะเลาะกันน่ะสิ อ้าว แล้วกัน ตีกันแล้ว นี่ตีกันอ้ายพวกนั้นตีกัน ตีกัน ชกกัน ต่อยกัน วุ่นวายกันไปหมด จนสมภารต้องลงมาห้ามบอกว่า “เอ้า ทำไมตีกันล่ะ” “ความเห็นมันไม่ตรงกัน ก็เลยตัดสินกันด้วยหมัดด้วยมวยกันหน่อย” (ว่าอย่างนั้น) ตีกันใหญ่
เสร็จแล้วรุ่งเช้าออกมาก็ถามว่า “เมื่อคืนนี้ทำไมรำนานเลย” “อ้อ รำถวายเจ้า” ว่าอย่างนั้น ไปอย่างนั้นเสียแล้ว “แล้วทำไมถึงตีกันล่ะ” “ก็มันไม่ตกลงกันน่ะ อ้ายคนหนึ่งจะหยุดรำ อ้ายพวกตีกลองไม่ยอมหยุด มันจะตีเรื่อยไป ทีนี้อ้ายกลองขึ้น เราก็ทนไม่ได้มันต้องลุกขึ้นรำ รำกันจนเหนื่อยหอบไปตามๆ กัน เพราะคนบางคนอายุมัน ๖๐ กว่าแล้ว จะให้รำมากๆ มันก็จะสลบไสล” พอมาดูๆ แล้วว่า “เอ้อ มันบ้ากันสิ้นดีอ้ายพวกนี้นะ” เรียกว่ามันตามหลวงพ่อเขียด มันก็เลยเป็นเขียดกันไปตามๆ กัน นี่เป็นตัวอย่างที่มองเห็น ที่ความเชื่องมงายนะ
นี้คนที่เขาเป็นหัวหน้าคนในเรื่องอย่างนี้ มันมีจิตวิทยาพวกนี้ เข้าใจวิธีการต้ม วิธีการหลอก มีกลเม็ด เขาเรียกว่ามี Trick ถ้าพูดภาษา (อังกฤษ) เขาเรียกว่ามี Trick นะสำหรับที่จะล่อจะหลอกให้คนเพลินไปกับอารมณ์ จูงใจ เขามีวิธีการจูงใจให้เพลิดเพลิน มัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้น แล้วเขาก็ทำอะไรให้มันแปลกๆ ตามวิธีการของเขาที่เคยฝึก เคยอบรมมาในเรื่องอย่างนั้น คนก็เลยเชื่อเพราะถูกจูงใจแล้ว คนเราถ้าถูกจูงใจให้มันเชื่อ มันเดินไปตกเหวก็ตกเหวนะ ตกบ่อก็ตกบ่อนะ มันไม่ถอยมันเชื่อ เขาจึงใช้วิธีการอย่างนั้น คนก็หลงไป
อันนี้มันขัดกับหลักพุทธศาสนา คือพระพุทธศาสนานั้นไม่มีวิธีการจูงใจให้คนหลง ให้คนงมงาย ให้คนเชื่ออะไรอย่างหลับหูหลับตา พระพุทธเจ้าจะจูงใครไปไหน ท่านให้เดินลืมตา ให้มองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ให้เดินอย่างงมงาย ไม่ให้เดินตกหลุมตกบ่อแห่งความโง่ ความเขลา ความหลงผิดต่างๆ พระพุทธศาสนาไม่มี เรื่องความบริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนานี้คุยได้ว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พระพุทธศาสนานี่มีคำสอนที่บริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรเข้าไปเจือปนเลยแม้แต่น้อย แต่ที่เราเห็นปนกันอยู่บ้างนั้น สานุศิษย์ในยุคหลังเอามาเที่ยวปนเข้าไว้ เป็นเนื้อไม้ผุๆ ที่เอามาใส่ไว้ในเนื้อไม้ดีๆ พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ว่าต่อไปข้างหน้ามันจะเกิดอะไร
พระองค์จึงได้กล่าวอุปมาเปรียบเทียบว่า “มีกลองอยู่ใบหนึ่ง ทำด้วยไม้อย่างดี แต่ว่าต่อมาสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลง ไอ้เนื้อไม้อย่างดีของกลองใบนี้มันผุไปบางส่วน แล้วผุไปก็เอาไม้อื่นมาใส่ไว้ ต่อมาผุอีกก็เอาไม้อื่นมาใส่ไว้ ใส่ๆ เข้าไปจนกระทั่งว่าเนื้อกลองนี้เดิมไม่มีแล้ว” มีแต่ไม้โบกปูนมาใส่ไว้ทั้งนั้นแหละ กลองใบนั้นไม่ใช่กลองเดิมแล้ว แต่มีไม้อื่นมาปะจนไม่รู้ว่ากลองเดิมคือไม้อะไร อันนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นฉันใด “ต่อไปข้างหน้า ศาสนาของตถาคตจะมีพวกมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย เอาคำสอนที่ไม่ใช่สัจธรรมเข้ามาปะปนไว้ในคำสอนของตถาคต ปะปนเข้าไปทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั่งว่าหมดเลย คำสอนไม่มี เนื้อแท้ไม่มี มีแต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นไม้ผุๆ เข้ามาปะปนไว้ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นเนื้อแท้” นี่แหละมันสำคัญ พระพุทธเจ้าท่านวาดภาพไว้แล้วว่าให้ระวังไว้ บอกว่า “สิ่งนี้ไม่เกิดในปัจจุบัน แต่จะเกิดในอนาคตข้างหน้า” ท่านพูดอย่างนั้นเพื่ออะไร เพื่อเตือนภิกษุบริษัท และอุบาสก อุบาสิกา ให้รู้ไว้ว่า “กลอง” คือสัจธรรมของพระพุทธเจ้านี้ จะถูกเอาไม้ไม่ดีเข้ามาปนจนจำไม่ได้ แล้วก็ไปยึดถือเอาสิ่งไม่ดีนี้ว่าเป็นตัวพระพุทธศาสนา
อันนี้มันเป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเราได้เห็นว่ามีอะไรมากมายก่ายกองที่เข้ามาแทรก มาปน ในธรรมะของพระพุทธเจ้า จนคนไม่ถึงธรรมะ ไม่รู้จักเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา หลงใหลมอมเมากันไปด้วยรูปต่างๆ นี่เรื่องที่น่าคิด
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำคนให้มัวเมาไม่เข้าเรื่อง ให้สังเกตญาติโยมที่มาจากไกลๆ นี่นั่งรถผ่านทางถนนสายใหญ่ๆ เช่น โยมมาจากนครปฐมเข้ามา ก็มีถนน ๓ แยก ๔ แยก หรือตลาด จะเห็นป้ายใหญ่โตเท่านี้ ป้ายแผ่นโตๆ อะไร งานอะไร งานวัด...ผูกพัทธสีมาวัดนั้นวัดนี้ ลงทุนเขียนไม่ใช่น้อยนะ แถมใช้สีใช้สันอย่างดี แล้วไม่ใช่ป้ายเดียวนะ เป็น ๑๐๐ ป้ายนะที่จะต้องเอาไปปักไว้ตามที่ต่างๆ ลงทุนไม่ใช่น้อยนะ อาตมาดูป้ายแล้วสลดใจ ไม่ใช่สลดใจว่าป้ายใหญ่ หรือว่าเปลืองสี ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มันสลดใจว่าชวนคนให้มาทำอะไรในงานเหล่านี้ ไม่มีป้ายที่จะโฆษณาชวนคนมาลืมหูลืมตาเลย แต่ชวนคนให้มาโง่กันทั้งนั้น มาหลับหูหลับตากันทั้งนั้น (พากัน) มาทำอะไร เพราะในป้ายเหล่านั้นไม่มีเรื่องศาสนาเลย แต่บอกว่าในงานนี้มีดนตรีลูกทุ่งวงสายัณห์ สัญญา สุรพล อะไรต่ออะไรนะ สังข์ทอง สีใส มีอะไร ดูหนังจอยักษ์ แล้วก็มีอะไรๆ มันเรื่องสนุกทั้งนั้น แปลว่าให้คนมาวัดนี่มาเพื่อความสนุกสนานเฮฮา ไม่ได้มาศึกษาธรรมะ แล้วทางวัดก็ไม่ได้ประกาศธรรมะอะไร แต่หาโฆษกอย่างดี “ท่านทั้งหลายได้ปิดทองลูกนิมิตแล้วหรือยัง” อะไรต่ออะไร โฆษณาแต่ให้คนชื้อทองปิดหินเท่านั้นเอง
แต่ไม่โฆษณาว่าให้เชิญไปฟังธรรมที่นั่น ให้ไปนั่งสวดมนต์ที่นี่ไม่มี แล้วญาติโยมที่ไปในงานลูกนิมิตนี่ก็ไปด้วยความ...ขออภัยเถอะ ก็ไปด้วยความโง่อีกเหมือนกันนะ ไม่ใช่ไปเพื่อความฉลาดอะไร ไปให้มันโง่หนักลงไปอีก คือเข้าใจว่าถ้าได้ปิดทองหินลูกนิมิตแล้วจะไม่ไปนรกอะไร มันจะกั้นนรกได้อย่างไร เพียงปิดทองลูกนิมิตเท่านั้นนะ อ้ายนั่นมันเป็นอุบายของเขาที่จะให้คนไปซื้อทอง เพื่อเอาเงินมาบำรุงวัด แต่ว่าเงินบำรุงวัดไม่เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันต้องแบ่งให้คนขายทองบ้าง คนขายเข็มบ้าง คนขายเชือกบ้าง คนขายธูปขายเทียนบ้าง วัดได้กี่เปอร์เซ็นต์ที่จะได้มาใส่วัดมันก็ไม่เท่าใดหรอก เรียกว่าได้ไม่เท่าไร แล้วก็ยังไปแบ่งให้หนังละครอีก (แล้วยังมีวงดนตรี) ลูกทุ่งทั้งหลาย ลูกกรุงทั้งหลาย เพลงอะไรทั้งหลายมันมากมายก่ายกอง ๕ วัน ๕ คืน ๗ วัน ๗ คืน ทำให้เศรษฐกิจของชาติซบเซาไปสักเท่าใด เพราะคนไปเที่ยวกลางคืน แล้วรุ่งเช้าไม่ต้องตัดอ้อยแล้ว มันง่วง มันตัดอ้อยไม่ได้ เดี๋ยวจะตัดมือของตัวเองเข้าก็เท่านั้นเอง ไอ้พวกทำอะไรก็ไม่ได้ทำแล้ว นี่เราไม่ได้คิดถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ ไม่ได้คิดถึงความเสื่อมโทรมทางจิตใจ เราคิดแต่ว่าจะสนุกกันเท่านั้น
ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ลำพังแต่วัด ชาวบ้านที่มันเข้าไปนั่นแหละตัวดี (46.33 ไม่ยืนยัน) คนเวลานี้นะโยมนะ ถ้าวัดไหนจะมีงานแล้วรับอาสา ผมจะไปหาดนตรีมาให้ ผมจะช่วยเรื่องดนตรี ไม่ได้ช่วยให้วัดได้นะ ช่วยให้วัดฉิบหายเข้าอีกนะ กรรมการครึ่งหนึ่ง วัดครึ่งหนึ่ง จนมาร้องเป็นเพลงแล้วเวลานี้ โยมเอาไปร้องเป็นเพลงนะขอช่วย...ผมจะหาดนตรีมาช่วย ผมจะเอามวยมาช่วย ชกมวยในงานวัดมีชกมวย พอชกมวยเสร็จแล้ว มาถึงบอก “แหม หลวงพ่อ ไม่ได้กำไรอะไรเลย ขาดทุน” วัดไม่ได้สักสตางค์หนึ่งค่าชกมวย เพราะมันบอกว่าขาดทุน แล้วมันจะเอาอย่างไรล่ะ สมภารจะไปฟ้องร้องที่ไหน มีพันธะสัญญาอะไรกันมั่งว่ากี่เปอร์เซ็นต์นะ มันก็ชกมวยเสร็จแล้ว มันก็กลับบ้านมัน กลับบ้านไม่กลับเปล่านะ แต่ทิ้งเวทีไว้ให้พระรื้อด้วยนะ พระก็ต้องไปรื้อเวทีมวย โกยขยะมูลฝอย เศษกระดาษ ถุงพลาสติก ว่าถ้ามีงาน ๗ วัน ๗ คืน นี่วัดเหม็นทั้งวัดเลย คนเที่ยวขี้รด เยี่ยวรด เต็มวัดเลย ไม่สามารถจะเดินได้แล้วนะ
อาตมานี่ถ้าเขามานิมนต์ “เอ้า ไปงานอะไร” “งานลูกนิมิต” “จะเทศน์วันไหน” “วันสุดท้ายของงาน” “โอย ไม่เอาแล้ว มลพิษมันมากในงานนี้ ฉันไม่ไป” ไม่ไปแล้ว คือไม่ไปส่งเสริมในงานที่บ้าๆ บอๆ อย่างนั้นล่ะ มันไม่ไหว มันยุ่ง นี่ก็เรียกว่าเราไม่ได้ส่งเสริมหลักศีลธรรม ไม่ได้ทำคนให้ฉลาด ให้ลืมหูลืมตากันเลย ทุกวัดทุกวาทำกันอย่างนั้น ส่งเสริมแต่สิ่งที่ว่าไม่ถูกต้อง มันเป็นอย่างนี้
นี่วันนี้ตอนบ่าย เขาจะ (นิมนต์ให้ไป) เทศน์วัดมหาธาตุ นักศึกษา พระหนุ่มๆ เขาจัดงาน จะต้องไปพูดสักหน่อย ทำไมจะต้องมีภาพยนตร์ด้วย ทำงานในวัดมหาธาตุ วัดท่าพระจันทร์ ทำไมจะต้องมีภาพยนตร์ด้วย มันไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องมีภาพยนตร์ฉาย เพราะว่ารอบวัดมันก็มีอยู่แล้ว สนามหลวงเขาก็ฉายกันบ่อยๆ แล้วคนกรุงเทพนี่เราไม่ต้องเอาภาพยนตร์มาให้ดูแล้ว โยมดูกันจนตาเปียกตาแฉะ จนตาบอดไปตามๆ กันแล้ว แล้วทำไมจึงมี คือพระหนุ่มๆ แกอยากดูเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร ฉันเลยเอามาแสดงในวัด แล้วทีนี้เอาสตางค์โยมมาใช้ (เป็น) ค่าภาพยนตร์นี่เอง เอ้า วันนี้เขาจะให้ไปเทศน์ ต้องเล่นงานเสียหน่อยพวกพระหนุ่มๆ มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำอะไรคือจะให้ขาดทุนไปเสียเรื่อย ไอ้ขาดทุนเงินมันไม่สำคัญนะโยมนะ ขาดทุนทางจิตทางวิญญาณนี่มันสำคัญนักหนา คือทำให้จิตฟุ้งซ่าน ให้จิตเสื่อม เพิ่มราคะ เพิ่มโทสะ เพิ่มโมหะ เพิ่มความชั่ว เข้าในจิตใจ อันนี้มันเสื่อม
อาตมานี่ไม่ส่งเสริมสิ่งเหล่านั้น คือตั้งแต่นานมาแล้วจิตใจมันไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น คือไม่ชอบความสนุก มันติดมาตั้งแต่ (สมัยยังเป็น) โยม ที่บ้านนี่พวกมโนราห์ มโนราห์โรงหนึ่งมันตั้ง ๒๐ คนนะที่มาพัก มาขอข้าวที่พักสักหน่อย มานอนก็หุงข้าวให้กิน พอหุงข้าวให้กินเสร็จแล้วไปบอกโยมพ่อ “ผมจะรำให้ชาวบ้านดูหน่อย” โยมบอกว่า “นอนดีกว่า นอนเถอะ เธอเหนื่อยๆ อย่ารำเลย นอนเถอะ” โยมแกไม่ชอบให้มารำ ให้มันนอนเถอะ นอนพักผ่อน พรุ่งนี้จะได้เดินทางแต่เช้า รุ่งเช้าขึ้นก็โยมผู้หญิงหุงข้าวหม้อใหญ่ๆ แกงหม้อใหญ่ให้มันกิน กินเสร็จแล้วไปเลย ไม่ต้องรำอะไรล่ะ คือไม่ชอบให้รำ
อันนี้อาตมามันอยู่ในบ้านอย่างนั้น คือก็ไม่ค่อยชอบอะไร อ้ายดนตรีลูกทุ่ง ลูกกรุงอะไร เขาว่าคนไม่ชอบดนตรีมันเป็นคนป่า แต่มันก็ป่าในเมือง เราไม่ใช่ป่าอย่างนั้น คือฟังได้เหมือนกัน ถ้าดนตรีที่เป็นประโยชน์ ฟังเพื่อศึกษาเพื่ออะไรอย่างนั้น แต่ก็ถ้าฟังแล้วมันเพลิน มันไม่ได้เรื่องอะไร เช่น มีงานวัด มีลูกทุ่งวงใหญ่สลับกัน คืนนี้สายัณห์ สัญญา คืนพรุ่งนี้อะไรต่ออะไร อะไรไม่รู้เอามาเล่นๆ กันในวัดนั้น ตอนนั้นพวกวงดนตรีนี้บัญชียาวเหยียด งานลูกนิมิตวัดนั้นวัดนี้ ไปแสดงๆ กันเป็นการใหญ่
เมื่อแสดงดนตรีสนุกสนานมาก เป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในวัด เพราะว่าคนมันมาก มันสนุก มันขอเพลง อ้ายนี่พอขอ ขอแล้วไม่ให้ เดี๋ยวมันก็ขว้างเวทีแล้ว เกิดเรื่องแล้ว ตีรันฟันแทง ชกต่อยกันในงานบุญงานกุศลแล้ว นี่แหละคือความเสื่อม ยิ่งรำวงด้วยยิ่งเละเทะใหญ่ หารำวงมาเล่น ในงานบุญกุศลนี่แหละ รำวง รำวงต้อง แหม นุ่งชายหาด ไม่มีหาดสักหน่อย ไม้กระดาน ไม่ได้ไสกบด้วยซ้ำไป ที่ขึ้นไปเต้นอยู่นั่น บอกว่ารำวงชายหาด แต่งตัวไม่เข้าท่า ไม่น่าจะเอามารำกันในบริเวณงานวัดเลย
เอ๊ะ งานศาสนานี่ งานวัดนี่ เราควรจะมีจุดหมายว่าทำงานเพื่อให้คนเข้าถึงศาสนา ให้คนได้เรียนรู้ธรรมะ เงินไม่สำคัญ เงินนั้นถือว่าเป็นผลพลอยได้เท่านั้น เราไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ให้ถือว่าจิตใจสำคัญ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ แล้วเงินนั้นเป็นผลพลอยได้ มันเกิดทีหลัง เมื่อคนดีแล้วเขาทำเอง คนเข้าใจแล้วเขาทำเอง แล้วทำถูก ทำดี เขาไม่งมงาย ไม่ทำด้วยความงมงาย ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ทำอะไรมันก็ดี เป็นการบำรุงศาสนาถูกต้อง
ทีนี้เราไม่ได้สอนให้เขารู้ธรรมะ ไม่แจกธรรมะ มีงาน...แจกเครื่องรางของขลัง บางทีก็มีหลวงพ่อไปนั่งอยู่ด้วย มานั่งปลุกเสก นั่งปลุกนั่งเสกให้ญาติโยมทั้งหลาย แทนที่จะเสกด้วยธรรมะ ไปเสกด้วยความโง่ ความเขลา เข้าไปอีกนะ ไปนั่งเสกอย่างนั้น หลวงพ่อก็อุตส่าห์นั่งกันจนปวดเอวปวดหลัง นั่งเสก นั่งรดน้ำมนต์ไปบ้าง อะไรต่ออะไรไปบ้าง สะเดาะเคราะห์ สะเดาะโศกอะไรไปตามเรื่องตามราว อาตมาก็เคยไปเห็น เห็นแล้วมันสลดใจ สลดใจว่า ทำไมจึงไปกันถึงขนาดนี้ ช่างไม่รู้บ้างว่าสมเด็จพ่อของเรานั้นชอบอะไร สั่งให้เราทำอะไร แล้วเราทำกันอยู่เวลานี้ มันถูกไหม มันตรงไหม กับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วเราพูดว่า บำรุงศาสนา...บำรุงศาสนา บำรุงอะไร บำรุงที่ตรงไหน ญาติโยมลองคิดดูซิ บำรุงศาสนานั้นมันต้องบำรุงด้วย (การ) ศึกษาให้เข้าใจ นี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องต้น ศึกษาให้เข้าใจ ให้รู้เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ต่อไปก็ว่าปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้รู้ ได้เข้าใจแล้ว ปฏิบัติด้วยตนเองก็ไม่พอ ต้องชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายให้ช่วยกันปฏิบัติสิ่งถูกต้องตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาต่อไป ที่ใดเขามีการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราก็เข้าไปช่วยเหลือ สนับสนุน ให้สำนึก บุคคลที่เขาทำถูกทำชอบนั้น ได้มีกำลังใจที่จะทำอะไรให้มันถูกต้องต่อไป นี่แหละเรียกว่าบำรุงศาสนา
พระศาสนาคือตัวธรรมะ ศาสนาเจริญก็คือจิตใจคนเจริญด้วยธรรม ถ้าศาสนาเจริญด้วยวัตถุ มีโบสถ์สวยงาม ปิดทองอร่ามตา แต่คนข้างวัดมีขี้เมาหยำเป บ่อนการพนันเลอะเทอะกันอยู่ทั้งนั้น แล้วมันจะเจริญได้อย่างไร นั่นมันเจริญเปลือก ไม่ได้เจริญด้วยเนื้อ แล้วถ้าเปลือกเจริญ ประเทศชาติจะอยู่ได้อย่างไร นี่มันกินไปไกล บาปคุณโทษมันจะมองเห็นกันทั้งนั้น อันนี้เรามันต้องแก้ เวลานี้ต้องช่วยกันแก้ไขที่จะให้คนเข้าใจถูกในเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติถูก สิ่งใดที่เป็นความงมงาย ไม่ถูกไม่ตรงต่อหลักคำสอน เราก็ค่อยขูดค่อยเกลาไปตามเรื่องตามราว นี่ญาติโยมมาวัดชลประทานฯ นี่อาตมาก็ขูดกันมาเรื่อยๆ ขูดเกลากันไปเรื่อยๆ ก็ดีขึ้นเยอะแล้วเวลานี้นะ เรียกว่าอะไรที่งมงายไม่เข้าเรื่องก็ค่อยเบาไป จางไป มีความเข้าใจถูกขึ้น
แล้วขอให้ช่วยนำสิ่งถูกต้องนี้ ไปบอกกล่าวแก่เพื่อนบ้าน แก่อนุชนรุ่นหลังของเรา เช่น มีลูก มีหลาน เราก็สอนให้เข้าใจถูกต้อง ตามหลักพระพุทธศาสนา กวดขันให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปตั้งแต่ตัวน้อยๆ เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ก็จะเป็นนิสัย เป็นสันดานในด้านธรรมะ มีนิสัยธรรมะ มีสันดานเป็นธรรมะ มีอะไรถูกต้องเป็นธรรมะ ชีวิตเขาจะมั่นคง ครอบครัว สกุล ประเทศชาติจะอยู่รอดปลอดภัย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ จึงขอฝากให้ญาติโยมทั้งหลายได้คิดนึกไว้ด้วย เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ
ดังที่ได้พูดมาวันนี้ ก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจคือนั่งตัวตรง หลับตาเสียหน่อยจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เสร็จแล้วก็หายใจเข้าลึกๆ หายใจแรง ... ลึก หายใจออกก็ให้ออกหมด แล้วก็ให้กำหนดว่าหายใจเข้า ... รู้ทุกเวลา หายใจออกก็กำหนดรู้ตามลมหายใจออก จิตจะได้สงบจะได้ตั้งมั่น จะได้อ่อนโยน เหมาะที่จะเอาไปใช้งานต่อไป ขอให้ญาติโยมเริ่ม ณ บัดนี้