แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันนี้เมื่อเช้านี้ก็มารับไปปาฐกถาที่สำนัก กอ.รมน. ได้ไปพูดกันหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่ว่าชุดวันอาทิตย์นี้ก็มีโดยมากเป็นพวกนักธุรกิจ เขาหยุดงานกันวันอาทิตย์เขามาอบรมกันก็นิมนต์พระไปพูดด้วย เพื่อให้คนเหล่านั้นได้เข้าถึงธรรมะ ได้นำเอาธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวัน พูด ๘โมงตรงจนถึงเวลา ๙ โมง แล้วก็นั่งรถกลับมา มาถึงนี่ทันเวลาพอดี จึงได้มาพูดกับญาติโยมทั้งหลายต่อไป
เวลานี้สังคมมนุษย์กำลังต้องการธรรมะ เพราะว่ามนุษย์มีความสำนึกขึ้นมาว่าเราขาดธรรมะ จึงได้เกิดปัญหายุ่งยากดังด้วยประการต่างๆ สำนึกขึ้นได้ว่าเป็นความผิดพลาดของมนุษย์เอง ที่ได้กระทำอะไรในทางที่ไม่ถูกต้อง แต่เป็นการกระทำที่ถูกใจ คือเรื่องพอใจตัวเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ถูกต้องตามหลักคำสอนในทางพระศาสนา ซึ่งเราเรียกกันว่าธรรมะ อันเรื่องของธรรมะนี่เป็นเรื่องสากล เป็นคำสอนที่ผู้รู้ซึ่งเรียกว่าพุทธะเป็นผู้ค้นพบ ได้นำมาประกาศให้ชาวโลกได้เกิดความรู้ความเข้าใจ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการละความชั่ว การประพฤติความดี การทำใจให้สะอาดเป็นคำสอนของผู้รู้ทั้งหลาย ผู้รู้เรียกว่าเป็นพุทธะนี้ย่อมสอนในแนวเดียวกัน คือสอนให้คนละความชั่วทั้งกาย วาจา ใจ ประพฤติความดีด้วยกาย วาจา ใจ และมีการกระทำเพื่อให้จิตใจสะอาดขึ้นปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ อันนี้เรียกว่าเป็นหลักธรรมะ เป็นข้อปฏิบัติที่เราควรนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตกับธรรมะต้องอยู่ด้วยกัน ขืนแยกออกจากกันเมื่อใดความเป็นอะไรๆมันก็ไม่สมบูรณ์ เช่น ความเป็นคนไม่สมบูรณ์ แล้วความเป็นอื่นจะสมบูรณ์ได้อย่างไร เพียงแต่ความเป็นคนก็ยังไม่สมบูรณ์ แล้วความเป็นอย่างอื่นมันจะสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร เมื่อต้องการให้ความเป็นคนสมบูรณ์ และความเป็นอย่างอื่นก็จะได้สมบูรณ์ตามไปด้วย เราจึงต้องเอาธรรมะมาใช้ประคับประคองจิตใจให้จิตใจเราแนบสนิทอยู่กับพระธรรมคำสอนในทางพระศาสนา
แปลว่าเมื่อเรานับถือพระธรรม เราก็มีเกี่ยวข้องกับผู้ประกาศธรรมะด้วย เช่นว่าเรานับถือพุทธธรรม เราก็นึกไปถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ค้นพบพระธรรมแล้วก็นำพระธรรมนั้นมาประกาศให้ชาวโลกได้เกิดความรู้ความเข้าใจ เราก็นึกถึงพระองค์ในฐานะเป็นบุพการีคือผู้กระทำก่อนแก่เราทั้งหลาย เป็นผู้กระทำในเรื่องใด เป็นผู้กระทำในทางเสียสละในความเพียร ในความอดทน ในการที่จะศึกษาค้นคว้าให้รู้ให้เข้าใจในข้อธรรมะ แล้วก็นำธรรมะนั้นมาแจกจ่ายต่อไป ไม่หวงแหนไว้เฉพาะพระองค์ผู้เดียว เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์และความสุขส่วนรวมจึงได้อุตส่าห์เดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆในประเทศอินเดียในสมัยนั้น ซึ่งเราเรียกกันว่าชมพูทวีป เพื่อนำข่าวดีไปประกาศให้ชาวโลกได้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จะได้เอามาใช้แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน ทำให้ตนมีความสุขขึ้น มีความสงบขึ้น การเป็นอยู่ในสังคมก็จะเรียบร้อยขึ้น พระองค์ได้ทรงกระทำอย่างนั้นพร้อมด้วยสาวกผู้ร่วมมือของพระองค์ซึ่งมีจำนวนมาก เวลานี้แม้พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน คือสิ้นพระชนม์ไปแล้วแต่ว่าพระธรรมยังอยู่ ผู้สืบศาสนาที่เป็นพระก็ยังอยู่ ที่เป็นชาวบ้านก็ยังอยู่ ที่เป็นพระเราก็เรียกว่าพระภิกษุ ที่เป็นชาวบ้านก็เรียกว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา
ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกานี่เป็นผู้ร่วมมือกันรักษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ รักษาไว้ด้วยการเรียนให้เข้าใจ รักษาไว้ด้วยการปฏิบัติตามสิ่งที่ได้เรียนได้รู้แล้ว รักษาไว้ด้วยการเอามาประกาศให้ญาติโยมที่ยังไม่รู้ได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ได้สืบต่อๆกันมา เหมือนกับดวงเทียนที่เขาจุดไว้เพียงดวงเดียว แล้วก็จุดต่อๆกันมาไม่ให้ดับ แล้วก็จุดต่อกันไปให้มันหลายดวง ให้มีแสงสว่างโชติช่วง ให้คนผู้ต้องการแสงได้เห็นแสง ผู้อยู่ในที่มืดจะได้พบความสว่าง ผู้หลงจะได้หายหลง ผู้บาปจะได้หายบาป จะได้ประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ชอบตามหลักธรรมะต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่เราควรจะได้นึกถึง คือนึกถึงผู้สอนธรรมะคือพระพุทธเจ้า นึกถึงหลักธรรมะอันเป็นข้อปฏิบัติ แล้วก็นึกถึงพระสงฆ์ที่สืบทอดศาสนามาจนกระทั่งถึงพวกเราทุกวันนี้ เราจึงมีสิ่งให้นึกถึง ๓ อย่างเรียกว่า พุทธะ ธรรมะ สังฆะ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้พระธรรม พระธรรมก็เป็นหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ พระสงฆ์ก็คือได้รู้ได้เข้าใจธรรมะเหมือนพระพุทธเจ้าและได้สั่งสอนคนอื่นสืบๆต่อกันมาจนกระทั่งถึงพวกเราทุกวันนี้ เราในทุกวันนี้จึงมีสรณะเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ ๓ ประการ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
อันนี้คนเราถ้าอยู่กับพระมันก็ไม่ยุ่ง แต่ถ้าอยู่กับสิ่งไม่ใช่พระก็ยุ่ง สิ่งที่ไม่ใช่พระก็ควรเรียกว่าเป็นผี เป็นมารไป ผีมารนี่มันทำความยุ่งให้แก่เรา แต่พระนั้นทำให้เราสงบไม่วุ่นวาย ไม่เร่าร้อน ไม่มีปัญหาในชีวิตประจำวัน คนเราต้องการอะไรในชีวิตทุกวันๆนี้ต้องการอะไร เราต้องการความสุขกันด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครเลยที่ต้องการความทุกข์ความเดือดร้อน อันความสุขที่เราต้องการนั้น มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉยๆ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้มาดลบันดานให้เป็นไป ไม่มีอะไรจะมาทำให้เรามีอะไรขึ้นได้ นอกจากการกระทำของเราเอง ในทางพระพุทธศาสนาถือการกระทำเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ การกระทำนั่นแหละจะทำให้เกิดผล เป็นความสุขก็ได้ เป็นความทุกข์ก็ได้ สุดแล้วแต่เราจะทำในเรื่องใด ถ้าเราทำในเรื่องเหตุอันจะทำให้เกิดความสุข เราก็จะได้รับความสุข ถ้าเรากระทำในเรื่องเหตุให้เกิดความทุกข์ เราก็จะได้รับความทุกข์
ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ไม่ใช่พระพรหมลิขิต ที่เราพูดว่าสุดแล้วแต่พรหมลิขิตมันไม่ถูกต้อง ไม่มีพระพรหมองค์ไหนที่จะมานั่งลิขิตชีวิตมนุษย์อยู่ทุกวันทุกเวลา แต่ผู้นั้นแหละเป็นผู้ลิขิตชีวิตของตนเอง ตนเป็นผู้สร้างปัจจุบัน สร้างอนาคตให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ถ้าเราเป็นเด็กขยันเอาใจใส่ในการเล่าเรียน โตขึ้นเราก็เป็นคนฉลาด มีความรู้ มีความสามารถ พึ่งตัวเองได้ แต่ถ้าเมื่อเป็นเด็กเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ที่อุตส่าห์แนะนำพร่ำเตือนด้วยประการต่างๆ เด็กคนนั้นเมื่อเติบโตขึ้นก็เป็นคนโง่ ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีความประพฤติดีเป็นหลัก เขาก็จะต้องลำบาก ต้องติดคุกติดตาราง เพราะการกระทำความชั่ว หรือเสียคนเพราะติดยาเสพติดให้โทษด้วยประการต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากอะไร ก็ตอบว่าเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง ที่เราทำอยู่ทุกวันทุกเวลา เราคิดด้วยใจ เราพูดด้วยปาก เราทำอะไรด้วยร่างกาย ด้วยมือด้วยเท้า ที่เราทำอยู่เรียกว่า กาย วาจา ใจ เป็นผู้สร้างอะไรขึ้นมา ในกายกับวาจานั้นมันขึ้นอยู่กับใจ ใจเป็นหัวหน้า เป็นตัวประธาน การพูดการกระทำทั้งหลายทั้งปวง ย่อมเริ่มมาจากใจทั้งนั้น ถ้าใจเราดี เราก็พูดเรื่องดี คิดเรื่องดี ทำเรื่องดี ถ้าใจเราไม่ดี เราพูด คิด ทำไม่ดี ผลก็เกิดขึ้นตามเหตุ คือถ้าคิดดี พูดดี ทำดี ผลก็เป็นความสุขเป็นความเจริญ ถ้าเราคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ผลก็เกิดเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อน เราหนีไม่ได้ ยิ่งหนีจากผลที่เรากระทำไว้ไม่ได้ เหมือนกับเราหนีเงาไม่ได้ ถ้าเราไปยืนกลางแดดจะมีเงา แล้วเราจะวิ่งหนีเงานั่นได้ไหม มันหนีไม่ได้ ตัวไปไหนเงามันก็ไปด้วย เว้นว่าเราอยู่ในที่มืดมันจึงจะไม่มีเงา แต่ถ้าอยู่กลางแจ้ง ท่ามกลางแสงแดด เงามันก็ปรากฏให้เราเห็น แล้วมันติดตามเราไปตลอดเวลาฉันใด สิ่งที่เราก่อไว้มันก็จะติดตามเรามาให้ผลในปัจจุบันนี้ ให้ผลในเวลาต่อไปข้างหน้า ให้ผลไปเรื่อยๆตามผลที่เราได้กระทำไว้ ถ้ามันหนักก็ให้ผลนานหน่อย เบาก็ให้ผลน้อยหน่อย เราจะต้องได้รับผลจากสิ่งนั้นเสมอ หนีไม่ได้ ทำอะไรๆไม่ได้ทั้งนั้น เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย ทำอย่างใดก็จะต้องได้อย่างนั้น หนีไปไม่ได้ นี่แหละคือลิขิตชีวิตของเรา เราสร้างมันขึ้นมา
ถ้าเราสร้างด้วยความโง่ความเขลา มันก็เป็นทุกข์ ถ้าสร้างด้วยความฉลาดด้วยปัญญามันก็เป็นความสุข คนเราโดยปกติทั่วไปนั้น มักจะทำอะไรด้วยความเขลา ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงได้เกิดปัญหาขึ้นบ่อยๆ มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจขึ้นบ่อยๆ และเมื่อมีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจแล้ว ไม่พยายามศึกษา ไม่พยายามสังเกต ว่าไอ้นี่มันมาจากอะไร อะไรเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในชีวิตของเรา เราไม่ค่อยจะสนใจศึกษา ทำไมจึงไม่ศึกษาในเรื่องอย่างนี้ ก็เพราะว่าคนเรานั้นมีปกติเข้าข้างตัว มักจะไม่ยอมรับว่าตัวผิด อันนี้สำคัญมาก เรียกว่ามีปกติเข้าข้างตัว แล้วไม่ยอมรับว่าตัวผิด ตัวทำอะไรลงไปแล้วไม่ยอมรับว่าตัวผิด ไม่คิดแก้ไข นึกว่าฉันถูกๆอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจับได้แล้ว ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวผิด นี่แหละคือปัญหาใหญ่ที่ทำให้ชีวิตตกต่ำ ไม่มีทางที่จะเข้าสู่ทางที่ถูกที่ชอบได้ ก็เราไม่ยอมรับว่าเราผิด ไม่ยอมรับว่าเราเป็นผู้กระทำ แต่เที่ยวซัดไปให้เรื่องอื่น ซัดให้ดินฟ้าอากาศ ซัดให้โชคชะตาราศี ซัดให้ดวงดีดวงร้าย ซัดให้ไปถึงดวงดาวในท้องฟ้า ความจริงดาวไม่รู้เรื่องอะไรกับเรา แต่เราก็ไปเที่ยวซัดเหตุไปเรื่อยๆไม่ยอมเอามาเป็นของตัวเลยไม่รู้ว่าตัวผิด คนเราเมื่อไม่รู้ว่าตัวผิดจะถูกได้อย่างไร ไม่รู้ว่าตัวสกปรกจะไปหาน้ำอาบได้อย่างไร ไม่รู้ว่าตัวเป็นโรคแล้วจะไปหาหมอได้อย่างไร คิดอย่างนี้ ไม่รู้แล้ว มันไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีทางจะถูกขึ้นมาได้
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราทั้งหลายหันมามองข้างใน มองด้านในอย่าไปมองด้านนอก อย่าไปโทษคนอื่น อย่าไปโทษสิ่งอื่น แต่ให้มองมาที่ตนเอง ชี้เข้ามาหาตัว อย่าไปชี้ไปทางโน้น ทางนั้น ทางนี้ แต่ชี้เข้ามา มีอะไรเกิดขึ้นก็หันมาถามตัวเองว่า แกทำอะไรบ้าง แกทำผิดอะไรไว้บ้าง พูดกับตัวเองอย่างนั้น แกทำอะไรไว้จึงเกิดผลอย่างนี้ ให้คิดอย่างนั้น มองให้ชัด มองให้ตรง มองอย่าลำเอียง แล้วเราจะพบความจริงว่า ฉันเองเป็นผู้ผิด ไม่ใช่คนนั้น คนโน้น คนนี้ ไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนี้มาดลบันดาลให้เราเป็น แต่เราเป็นเพราะเราคิด เราพูด เราทำ ด้วยความประมาท
พูดตามประสาธรรมะ ก็เรียกว่าด้วยอวิชชา เราคิดพูดทำด้วยอำนาจอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจในเรื่องนั้นๆถูกต้องชัดเจน แล้วก็ทำไปด้วยอำนาจความหลง เช่น เราไปดื่มสุราเมรัยนี่เขาเรียกว่าดื่มด้วยอวิชชา เราไม่คิดว่ามันมีทุกข์มีโทษ พอเห็นน้ำลายมันก็ไหลออกมาอยากจะกิน แล้วก็ดื่มเข้าไปๆ ดื่มจนเมา จนไม่รู้สึกตัว แล้วก็กระทำความผิดเรื่องอื่นๆ เช่น มีอาวุธอยู่ในมือก็เที่ยวลั่นเปรี้ยงปร้างออกไป แล้วไปถูกคนอื่นถึงแก่ความตาย ตัวก็ต้องติดคุกติดตารางเพราะอำนาจอวิชชา คือความไม่รู้ว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ ตัวกำลังเกี่ยวข้องกับอะไร และสิ่งนั้นมันจะให้อะไรแก่ตัว นึกไม่ได้ คิดไม่ได้
ที่นึกไม่ได้คิดไม่ได้ก็เพราะว่าไม่มีสิ่งคอยเตือนให้นึก ไม่มีสิ่งคอยกระตุ้นให้เกิดความคิดในทางที่ถูกที่ชอบ เพราะว่าไม่ค่อยเข้าใกล้ผู้รู้ ไม่ฟังคำสอน ไม่เอาไปคิดไปตรอง ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง มันสัมพันธ์กัน คือไม่เข้าใกล้พระ ไม่ฟังเสียงพระ แล้วก็ไม่เอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน เลยไปกันใหญ่ เป็นคนเกลียดธรรมะ เกลียดผู้พูดธรรมะ เกลียดคนที่มาสอนมาบอกตัวว่าไอ้นั่นไอ้นี่ไม่ถูก ตัวไม่ชอบ เช่น ลูกบางคนนี่โกรธพ่อแม่ หาว่าพ่อแม่สอนอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนพูดว่าโตป่านนี้แล้วจะมาสอนอะไรกันนักหนา มันยังไม่รู้ ที่พ่อแม่ยังต้องสอนเพราะมันยังไม่รู้ มันโตแต่ร่างกาย เหมือนโตวัวโตควาย แต่ว่าจิตใจยังไม่เติบโต ยังไม่มีปัญญา ยังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่รู้สิ่งที่มันเกิดขึ้น ไม่รู้เหตุของสิ่งนั้น แล้วก็ไม่รู้วิธีแก้ไข
พ่อแม่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านมองลูกมานาน ท่านมีประสบการณ์ชีวิต ท่านรักลูกสงสารลูก ไม่อยากให้ลูกเสียผู้เสียคน มาเห็นว่าลูกจะก้าวผิดท่านก็เตือน แต่ลูกไม่ได้ฟังไม่เอาใจใส่ เพราะมีอวิชชาเข้าครอบงำจิตใจ นึกว่าตัวนี้เกิดมาเพื่อ ... (20.28) เพื่อเล่น เกิดมาเพื่อสนุก เกิดมาเพื่อหาความเพลิดเพลินสบายใจ ถ้าหากใครไปขัดคอก็หาว่ากีดกันเสรีภาพไม่ปล่อยให้สนุกตามชอบใจ ไม่ปล่อยให้ไปจ่ายเงินเล่นตามชอบใจ กลับไม่พอใจคุณแม่ ไม่พอใจคุณพ่อ ถ้าคุณพ่อคุณแม่นำมาวัด โกรธพระไปด้วย หาว่าไปชักจูงคุณแม่ให้หันเข้าวัด แล้วให้คุณแม่มาเทศน์ตนอย่างนั้นอย่างนี้ โกรธหมด ไอ้ของดีน่ะโกรธหมด แต่ว่าชอบเพื่อนที่ชวนให้ไปทางชั่วสนุกสนาน กลับพูดว่านี่เพื่อนผม เขาไม่ขัดคอผมเลย ตามใจผมทุกอย่าง ไอ้เพื่อนที่จะฆ่าตัวกลับชอบ พ่อแม่จะชุบชีวิตกลับไม่ชอบ ครูบาอาจารย์ช่วยชุบชีวิตให้เป็นผู้เป็นคนนี่ไม่ชอบ กลับไปชอบเพื่อนที่ชักจูงไปในทางเสีย
เราเคยอ่านเรื่องจักรๆวงศ์ๆน่ะ เขาว่าพระฤๅษีอยู่ในป่า พระฤๅษีนี่มีวิชาอำนาจจิตชุบคนตายให้เป็นได้ ถ้าพระฤๅษีไปเจอคนตายก็ชุบให้เป็น ฟื้นขึ้นมาใหม่ ทั้งที่ว่าไปชุบคนตายให้เป็นนั้นไม่ได้หมายความว่าทำให้คนที่ตายแล้วตามร่างกายกลายเป็นคนเป็นขึ้นมา แต่ว่าในเรื่องนิทานเขาก็เขียนอย่างนั้นแหละ เขียนว่าฤๅษีชุบพระกุมารให้ฟื้นขึ้นมา หรือว่าชุบนางสาวสวยให้พระกุมารอีกคนหนึ่ง เขาว่าอย่างนั้น นั่นพูดตามภาษานิทาน พูดตามภาษาชาวบ้าน แต่ถ้าเราพูดในแง่ภาษาธรรมะ ก็หมายความว่าฤๅษีท่านไปชุบชีวิตจิตใจของคนนั้นให้เป็นคนสมบูรณ์ขึ้น เพราะที่เป็นอยู่แล้วมันเป็นไม่สมบูรณ์ เป็นแต่เพียงร่างกาย หายใจเข้าหายใจออก แต่ว่าทางด้านจิตวิญญาณยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่เป็นผู้เต็มด้วยคุณธรรมด้วยความงามความดี ชีวิตมันก็เป็นเพียงครึ่งเดียว คือมีชีวิตทางกายสมบูรณ์แต่ทางจิตใจไม่สมบูรณ์
พระฤๅษีเป็นผู้อยู่ป่า สนใจในเรื่องจิตใจ ฝึกฝนอบรมตัวเองนั่งเจริญภาวนาเพื่อให้ใจสะอาด สงบ แล้วก็สว่าง ท่านเมื่อเห็นคนตายเดินมา หรือว่าเห็นคนตายนอนอยู่ หมายความว่านอนตายทางจิตใจ หายใจอยู่แต่มันตาย คือใจมันตายจากคุณงามความดี พระฤๅษีท่านสงสารเห็นว่ามันจะเกิดมาเสียชาติ ไม่มีประโยชน์อะไรกับคนอื่น กับตัว กับครอบครัวพ่อแม่ เลยไปชุบชีวิต ก็หมายความว่าไปสอนให้คนนั้นได้รู้คุณค่าของชีวิต ให้ได้คิดว่าเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันคืออะไร เป็นสิ่งที่พระฤๅษีท่านไปชุบคนนั้นให้ได้รู้จักชีวิตถูกต้อง ได้เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เหมือนคำที่กล่าวว่า ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นชื่อว่าได้ชีวิต คือได้ชีวิตจากธรรมะ ชีวิตที่ยังไม่มีธรรมะก็เรียกว่ายังไม่เป็นชีวิตสมบูรณ์ เป็นสักว่าลมหายใจเข้าออก คนที่เป็นอยู่สักว่าลมหายใจเข้าออก แต่ขาดธรรมะนั้น ก็มีชีวิตเหมือนกันกับสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย เหมือนวัวควายช้างม้า ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต หายใจเข้าหายใจออก กินอาหาร สืบพันธุ์ มีความกลัวภัยอันตราย แต่ว่าด้านจิตใจขาดคุณธรรม ก็ไม่เป็นอะไรดีไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้น
ถ้าจะเป็นให้สมบูรณ์ต้องชุบชีวิตใหม่ด้วยพระธรรมคำสอนในทางพระศาสนา เอาธรรมะมาใส่เข้าไปในใจ ให้ใจได้ดูดซึมธรรมะไว้ แล้วก็อยู่ด้วยธรรมะ อยู่ด้วยธรรมะก็อยู่ด้วยความรู้ว่า ฉันเป็นมนุษย์ ฉันมีหน้าจะต้องประพฤติปฏิบัติในฐานะเป็นมนุษย์ ฉันไม่ควรจะคิดเรื่องชั่ว ไม่ควรจะพูดเรื่องชั่ว ไม่ควรจะทำอะไรที่มันชั่วๆ อันจะเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้มีชีวิตสมบูรณ์ เป็นชีวิตที่ถูกต้องทั้งร่างกายทั้งจิตใจ อันนี้ก็เป็นหลักที่ควรจะได้ใช้เป็นเครื่องพิจารณาไต่ถามตัวเราเองว่าวันนี้ชั่วโมงนี้เรามีชีวิตสมบูรณ์หรือเปล่า ถ้าเรามีธรรมะประจำใจ เราก็มีชีวิตสมบูรณ์ ถ้าเราไม่มีธรรมะประจำใจ เรามีชีวิตแต่ฝ่ายกาย ทางจิตไม่มีชีวิต ทางวิญญาณไม่มีชีวิต เพราะขาดคุณธรรม เพราะฉะนั้นธรรมะนี้สำคัญที่ทำให้คนเป็นอะไรได้ถูกต้องเรียบร้อย เป็นประโยชน์ เราจึงต้องหันหน้าเข้าหาสิ่งนี้ ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมะ
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์แสดงจำแนกแจกแจงไว้นั้น มีมากมายหลายเรื่องหลายประการ ทำไมจึงมากนักหนา มากเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านมีชีวิตอยู่นานนั่นเอง นี่เรียกว่าเห็นนาน อยู่นานมันก็สอนมาก สอนมากมันก็หลายเรื่อง สอนคนทั่วไป สอนพระเจ้าแผ่นดิน สอนคณะเสนาบดี ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชาวนา ชาวสวน คนยากคนจน สอนทั้งนั้น ไม่ว่าเดินไปเจอใครเข้าต้องแจกของดีให้ ของดีของพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรมนั่นเอง เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่ค่อยจะแจกของดีคือพระธรรมให้คนได้รู้ได้เข้าใจ แต่ไปแจกวัตถุกันเสียหมด คือไปแจกวัตถุที่เขาเรียกว่าเป็นเครื่องรางของขลังอะไรต่างๆ ให้คนไปมีไว้กับเนื้อกับตัวจะได้ป้องกันภัยอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นแก่ตัว อันนี้เรียกว่าขัดกับหลักการเทศน์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ทรงแจกสิ่งที่เป็นวัตถุ แต่แจกสิ่งที่เป็นธรรมะ แจกคำสอนแจกข้อปฏิบัติให้เขาเอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าว่าคนได้ปฏิบัติธรรมะแล้วมันปลอดภัย พระองค์ตรัสว่า “ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจารี” ธรรมะเท่านั้นจะรักษาผู้ประพฤติธรรม
ธรรมะเท่านั้นจะรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าเราไม่ประพฤติธรรม ธรรมะมันก็ไม่รักษาเรา เหมือนเรามีร่มฝนตกไม่กาง ร่มมันจะกันฝนได้อย่างไร แดดออกร้อนเดินบ่นอยู่ได้ร้อนจริงๆ แต่เอาร่มหนีบรักแร้ไว้ หรือเอาใส่กระเป๋าไว้ไม่กางออก ร่มนั้นมันจะช่วยคนนั้นให้พ้นร้อนได้ไหม ก็ช่วยไม่ได้ อันนี้เราอยากจะพ้นทุกข์ เราไม่อยากให้มีภัยอันตรายเกิดขึ้น เราก็ต้องประพฤติธรรม ถ้าเราไม่ประพฤติธรรม เรามีแต่วัตถุ ช่วยไม่ได้ ถ้าเราไม่ประพฤติธรรม วัตถุมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะวัตถุนั้นเป็นแต่เครื่องหมายแทนธรรมะ เครื่องหมายอย่างเดียวมันยังใช้ไม่ได้ เราจะตีความเครื่องหมายนั้นให้ถูกต้อง ตีความออกไปเอง ว่าสิ่งนี้คืออะไร เราควรจะใช้อย่างไร เราจึงจะปลอดภัย เช่น เรามีพระห้อยคอ เราก็ต้องนึกถึงความงามความดีของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็ต้องปฏิบัติตามความงามความดีนั้น หรือว่าเราเชิญความงามความดีนั้นมาใส่ไว้ในใจของเรา
พูดภาษาง่ายๆว่าเชิญพระมาไว้ในใจ อย่าเชิญผีมาไว้ในใจ เพราะถ้าเชิญผีมาไว้ในใจเราก็จะเป็นผี ถ้าเราเชิญพระมาไว้ในใจเราก็จะเป็นพระ หน้าที่ของเรามันต้องเชิญพระเข้ามาสู่ดวงใจ สู่ตัวเรา แล้วเราก็จะได้มีพระประจำใจ เมื่อมีพระประจำใจ คิดอะไรก็ใช้ปัญญา พูดอะไรก็พูดด้วยปัญญา ทำอะไรก็ทำด้วยปัญญา มีความละอายในการที่จะพูดเรื่องชั่ว คิดเรื่องชั่ว ทำเรื่องชั่ว ละอายในการที่จะเดินตามหลังคนชั่วๆ ละอายในการที่เราจะไปสู่สถานที่ชั่ว เช่น ไปร้านเหล้า ไปเที่ยวบาร์ เที่ยวไนท์คลับ หรือไปสู่บ่อนการพนัน สนามม้า สนามอะไรต่างๆ ละอายในการที่จะเดินร่วมทางกับคนชั่วคนร้าย เรามีความสำนึกว่าถ้าเราไม่ได้มีเพื่อนที่ดีเดินร่วมทาง ไปคนเดียวยังดีกว่า เพราะไปคนเดียวนั้นความยุ่งมันน้อย แต่ถ้าไปกับเพื่อนไม่เต็มบาทไม่เต็มเต็ง เป็นเพื่อนที่ไม่มีพระมีแต่ผี เราก็จะไม่ปลอดภัย เราจะได้รับความทุกข์ไปกับเพื่อนด้วย เพราะเพื่อนเขาทำ เราก็พลอยรับผลจากการกระทำของเพื่อน เราจึงควรละอายต่อสิ่งเหล่านั้น กลัวต่อสิ่งเหล่านั้น อย่างนี้เรียกว่าปลอดภัยแล้ว
ความปลอดภัยนั้นมันมีสองแบบ เรียกว่าปลอดภัยข้างใน แล้วก็ปลอดภัยข้างนอก ปลอดภัยข้างในคือใจไม่ถูกกิเลสรบกวน ไม่มีโลภ โกรธ หลง รบกวนจิตใจ ไม่มีความพยาบาท อาฆาตจองเวร หรือกิเลสประเภทใดๆ ตัวเล็กตัวใหญ่ตัวน้อยไม่เกิดขึ้นกลุ้มรุมใจ เราปลอดภัยเพราะเรามีธรรมะ แล้วเมื่อใจเรามันปลอดภัยแล้ว ข้างนอกมันก็ปลอดภัยด้วย ถ้าเราไม่ไปเที่ยวหาภัยใส่ตัว คนที่มีภัยข้างนอกเพราะมันมีภัยข้างในก่อน ภัยข้างในคือความโง่ความเขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้รอบคอบในเรื่องอะไรๆต่างๆ ถูกเขาหลอกเขาต้มไปในทางผิดทางเสียได้ง่าย เพราะว่าเราไม่มีปัญญา ไม่มีสติ เรียกว่ารู้ไม่ทันหันไม่ทั่ว ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่ารู้เท่ารู้ทัน ไม่รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งเหล่านั้นจึงได้กระทำความผิดความเสีย เขาเรียกว่านำภัยมาสู่ตัว เมื่อเราไม่ปลอดภัยข้างใน ข้างนอกก็ไม่ปลอดภัย บ้านไม่ปลอดภัย ทรัพย์สินไม่ปลอดภัย ประเทศชาติไม่ปลอดภัย เพราะคนในชาติยังไม่ปลอดภัยจากความชั่ว ยังกระทำชั่วกัน ยังพอใจในสิ่งชั่วสิ่งร้ายกันอยู่ เลยกลายเป็นผู้ไม่ปลอดภัย
ทีนี้เราจะต้องพิจารณาที่ตัวเราเอง ว่าเราอยู่อย่างมีเครื่องคุ้มกันหรือเปล่า เครื่องคุ้มกันที่แท้นั้นต้องเป็นเรื่องพระธรรม ขอให้โยมจำสิ่งนี้ให้ดีว่า เครื่องคุ้มกันที่แท้นั้นต้องเป็นพระธรรม ไม่ใช่วัตถุที่จะคุ้มกันเราได้ ถ้าเรามีวัตถุก็เพียงแต่มีไว้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราได้นึกถึงพระธรรม แล้วเราก็ประพฤติธรรม เมื่อนั้นเราจึงจะปลอดภัย แต่ถ้าเรามีวัตถุแล้วเราเชื่อว่า วัตถุนี้ขลังศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการปลุกการเสกจากอาจารย์ทั้งหลายแล้ว จะดลบันดาลให้เราปลอดภัยจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ นี่คือความเชื่อผิด ไม่ตรงตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นการพูดของบุคคลที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ลาภแก่สักการะ พูดหลอกคนที่ยังโง่กว่าตัว ให้โง่หนักลงไปอีก ไม่ได้ช่วยคนให้ฉลาดปราดเปรื่องในทางปัญญา แต่ทำคนให้หลงผิด เข้าใจผิด แล้วก็ไปเที่ยวแสวงหาสิ่งเหล่านั้น เอามาไว้กับเนื้อกับตัว เป็นผู้ไม่แสวงหาธรรมะ ไม่แสวงหาสิ่งที่แท้ แต่ไปแสวงหาเปลือก
คนๆ หนึ่งเข้าไปในป่าต้องการแก่นไม้ แล้วก็เลยไปเด็ดเอายอดไม้มา เอาใบไม้มา เอาเปลือกมันมา เอากระพี้มันมา เอารากมันมา ไม่ได้แก่นไม้ เข้าใจผิดว่าไอ้นี่แหละคือแก่นไม้ นึกว่าใบเป็นแก่นไม้ นึกว่าเปลือกเป็นแก่นไม้ นึกว่ากระพี้เป็นแก่นไม้ เลยไม่ได้แก่นไม้ที่แท้จริง เพราะไปหลงผิดเสียแล้ว ไปเชื่อว่าไอ้นี่แหละคือแก่นไม้ เพราะไม่ได้มีใครบอกให้รู้ว่าแก่นไม้นั้นคืออะไรฉันใด เราทั้งหลายก็เหมือนกัน สังคมโลกในปัจจุบันนี้ก็มีสภาพคล้ายกัน คือไม่ค่อยได้แก่น แต่ไปได้เปลือกบ้าง ได้กระพี้มาบ้าง แล้วเอามาเชิดชูกันว่านี่แหละคือแก่นๆ คนที่เขารู้จักแก่น เขาก็นึกหัวเราะอยู่ในใจ ว่าเรามันถูกต้มเสียแล้ว เขาหลอกให้ไปเอาเปลือกว่าเป็นแก่น ให้ไปเอากระพี้ว่าเป็นแก่น ให้ไปเอาใบเอายอดของไม้นั้นว่าเป็นแก่น น่าสงสาร แต่ว่าคนที่หลอกมนุษย์นั้นเขาไม่สงสาร เขาต้องการให้คนถูกหลอกเรื่อยไป โง่เรื่อยไป ตนจะได้หากินจากความโง่เหล่านั้น แล้วอ้างว่าเพื่อศาสนา เพื่อศาสนาไม่ได้ เพื่อศาสนาต้องทำคนให้ฉลาด ให้เข้าใจในพระศาสนาถูกต้อง ให้ได้ปฏิบัติกายวาจาใจถูกต้องตามหลักศาสนา จึงจะเรียกว่าเพื่อศาสนา แต่ถ้าเราทำคนให้โง่ให้งมงายให้ไม่รู้ไม่เข้าใจเนื้อแท้ของพระศาสนา ก็เรียกว่าช่วยกันทำลายพระศาสนา มอมเมาประชาชนให้หลงผิดว่าสิ่งเป็นเปลือกเป็นกระพี้นั้นเป็นตัวศาสนา นั่นแหละคือมารศาสนาที่ทำให้ศาสนาล่มจมลงไปโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าตัวได้สิ่งที่ตัวต้องการ หรือว่าได้วัตถุมาไว้ในวัด แต่วัตถุนั้นไม่ได้ทำคนให้เข้าใจศาสนา ไม่ได้ทำคนให้เข้าถึงแก่นของพระศาสนา วัตถุนั้นเป็นเครื่องลบวัดไป เป็นเครื่องหมายแห่งความโง่ไป ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งปัญญาแห่งความฉลาด อันนี้น่าคิด
มันเป็นกันมากในสมัยปัจจุบันนี้ ซึ่งดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าสงสารญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ถูกชักจูงไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เอาพลาสเตอร์มาปิดตาญาติตาโยม จากนั้นก็จูงไปตามตัวศาสนา จูงไปเพื่อลาภ จูงไปเพื่อสักการะที่ตนจะเอาจะได้ ทำให้ศาสนาเสื่อมลงไปทุกวันทุกเวลา อันนี้คนไม่ค่อยคิด แม้จะเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้แต่ก็ไม่คิด ไอ้ที่เรียนรู้กับความเข้าใจมันอาจจะไม่ตรงกันก็ได้ ใครก็เรียนได้รู้ได้ แต่เรียนแล้วรู้แล้วได้ปฏิบัติตามที่ตนเรียนตนรู้หรือเปล่า ได้พยายามที่จะทำจิตใจให้เข้าถึงแก่นของสิ่งที่ตนเรียนตนรู้หรือเปล่า
ถ้าเราเรียนปริยัติธรรมอันเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แล้วไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเรียนตนรู้ พระพุทธเจ้านั้นตรัสว่าปริยัตินั้นเป็นงูพิษ การเรียนการรู้นั้นเป็นงูพิษ เป็นงูพิษที่จะทำลายผู้เรียนผู้รู้ให้เสียหาย ถ้าเพียงแต่เรียนรู้แต่ไม่ปฏิบัติตามที่ตนรู้ตนเรียน กลับชักจูงคนไปในทางผิดทางเสียเสียก็มี อันนี้เรียกว่ามันเป็นพิษ ถ้าเป็นพิษก็เรียกว่าทำลาย เพราะสิ่งเป็นพิษนั้นไม่เกิดประโยชน์แก่ใคร ไม่ว่าพิษจากคน พิษจากสัตว์ พิษจากต้นไม้ พิษจากแก๊สประเภทต่างๆที่วิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้น แล้วแต่เป็นเรื่องทำลายทั้งนั้น ไม่เป็นไปเพื่อสร้างสรรค์สิ่งทั้งหลายให้ดีขึ้น เราจึงต้องระมัดระวังในเรื่องอย่างนี้ อย่าส่งเสริมสิ่งที่เป็นพิษ อย่าส่งเสริมความโง่ความเขลาของประชาชน แต่ควรชักจูงคนให้เดินทางถูกทางชอบตามหลักของพระพุทธเจ้า บางคนอาจจะพูดว่าคนเขาชอบอย่างนี้ๆ แล้วเราก็ทำตามที่เขาชอบ ถ้าเรารับรู้ของเรา เรามีลูกชายน่าเอ็นดู แล้วลูกมันชอบอะไรสักอย่างหนึ่งแต่ว่ามันเป็นพิษ มันจะทำลายชีวิตของเด็ก เราจะปล่อยให้เด็กนั้นไปแตะต้องสิ่งนั้นหรือ ไปกินสิ่งนั้นหรือ โดยอ้างว่าเด็กมันชอบ ถูกต้องไหม อย่างนี้เป็นการถูกต้องไหม โยมลองพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นว่าแม่คนนั้นใช้ไม่ได้ พ่อนั้นก็ใช้ไม่ได้ เพราะเอาแต่ใจลูกจนลูกตาย เพราะลูกมันชอบ มันก็ไม่ถูกต้อง ในศาสนาเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อประชาชนเขาชอบอะไร แต่มันขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ถูกไม่ตรงตามธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติแต่งตั้งไว้ แล้วเราจะส่งเสริมสนับสนุน เพราะอ้างเหตุว่าโยมเขาชอบ แล้วพระรูปนั้นจะเป็นอย่างไร เป็นการช่วยหรือเป็นการทำลาย โยมคิดดูให้ดี ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการช่วยหรือเป็นการทำลาย ถ้าเราคิดก็จะมองเห็นว่าไม่ได้ช่วยอะไร แต่กลับทำลายคนนั้นเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าคนนั้นรับมาโดยไม่รู้ รับมาโดยธรรมเนียมโดยประเพณี เห็นปู่ตาย่ายายเขาทำกันมาอย่างนั้นแล้วก็รับสืบต่อกันมา แต่ว่าเราไม่บอกว่าไอ้นั่นมันไม่ถูก แม้ว่าทำกันไม่นานแต่ว่ามันไม่ถูก เราไม่กล้าที่จะบอกเพราะกลัวว่าโยมจะโกรธจะเคืองเอา แล้วจะไม่ใส่บาตรให้ฉัน อย่างนี้ก็เรียกว่ายังเห็นแก่ตัว เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่เห็นแก่ธรรมะ ไม่เห็นแก่พระศาสนา
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราจงเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อรักษาธรรมะไว้ รักษาสิ่งถูกต้องไว้ รักษาความจริงไว้ เราจะไปเอาใจคนโดยทำลายสัจจะทำลายความจริงก็เป็นการไม่ถูกต้อง เราจึงต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ไอ้เรื่องที่ทำอยู่นี้ความจริงมันไม่ถูก ไม่ตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ไม่มีใครอธิบายให้เธอฟัง เธอจึงยึดถือไว้ด้วยความหลงผิดเข้าใจผิด ฉันสงสารเธอ ไม่อยากให้เธอโง่เธอหลงต่อไป จึงขอพูดความจริงให้เธอฟัง ก็ไม่โกรธ ไม่มีใครโกรธสักรายเดียว แต่กลับพออกพอใจเสียอีกว่า เออ..หลวงพ่อองค์นี้มาช่วยเราให้ฉลาด มาแกะพลาสเตอร์ที่ปิดตาออก เอาสำลีอุดหูออก แล้วก็จับเราไปยืนในที่สว่าง ที่ทางเดินไปหาสิ่งถูกต้อง เขาชอบใจ เขาไม่โกรธหรอก และเขาจะชอบใจเราผู้แจ้งข่าวดีให้เขาทราบ ทีหลังเขาก็จะทำถูกต่อไป ทีนี้เรามันมากลัวจะเสียลาภเสียผล เพราะถ้าเขาโง่อยู่อย่างนั้นยังต้มได้ ยังหลอกได้ แล้วก็ติดในลาภสักการะเล็กๆน้อยๆ ที่ตนจะมีจะได้จากการกระทำนั้น ก็เรียกว่าเราไม่เห็นแก่สัจธรรม ไม่เห็นแก่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสิ่งถูกต้อง เราเห็นแก่ตัวเราด้วยลาภสักการะเล็กๆน้อยๆที่ตัวจะมีจะได้ แล้วศาสนามันจะอยู่ได้อย่างไร พระธรรมจะส่องแสงโชติช่วงชัชวาลได้อย่างไร เมื่อเราเอาอะไรไปปิดเสียไม่ให้คนเห็น ไอ้ของถูกกลับปิด ของผิดกลับเปิด แล้วมันจะได้เรื่องอะไร
ญาติโยมลองพิจารณานะ ไอ้ของถูกเราปิดของผิดเราเปิด คนมันก็ผิดกันหมด มันไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องอะไรๆถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง พระพุทธศาสนาที่ถูกต้องก็เลยถูกปิดไว้ ไม่มีใครเปิดเผยให้คนได้รู้ได้เข้าใจ นี่คือความเสียหาย เรียกว่าเป็นความเสื่อม พระศาสนาจะเหลืออยู่แต่เพียงชื่อ เป็นพุทธบริษัทโดยชื่อ ไม่เป็นพุทธบริษัทโดยการเข้าถึงธรรมะ ไม่เป็นพุทธบริษัทโดยการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เรารู้เราเข้าใจ พระศาสนาที่แท้หายไป เหลือแต่อสัจธรรม หรือเขาเรียกว่า ธรรมะปฏิรูป คือ สัจธรรมปลอม มีแต่ธรรมะปลอมๆ ไอ้ของจริงของแท้หายไปหมดแล้ว เพราะลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าไม่รักษาสิ่งถูกต้องไว้ ไม่เผยแผ่สิ่งถูกต้องให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ธรรมะจึงถูกบดบังด้วยอวิชชา สิ่งที่ผิดกลับถูกแสดงออกให้ปรากฏเปิดนิทรรศการสิ่งชั่วร้ายให้คนได้รู้ได้เห็น แต่ว่าสิ่งดีสิ่งงามนั้นไม่แสดง นี่แหละคือการทำลาย แล้วเราทั้งหลายก็จะไม่ปลอดภัย คือไม่ปลอดภัยจากอันตรายภายใน แล้วจะไม่ปลอดภัยจากอันตรายภายนอกที่จะเกิดขึ้นจากความโง่ความหลงต่อไป เพราะศาสนาที่เสื่อมไปจากบางประเทศก็เพราะเรื่องนี้ เพราะเรื่องไม่เปิดเผยสิ่งถูกต้องให้ประชาชนเข้าใจ ถูกข่มไว้ในเรื่องงมงายตลอดเวลา
เคยไปเที่ยวเมืองไพลินประเทศเขมร ที่นั่นมีเจดีย์สูงอยู่บนยอดภูเขา ไอ้ภูเขาเล็กๆนั่นเขาบอกว่ามีเพชรพลอยมาก แต่คนไม่ขุดเพราะว่าสงวนไว้ สงวนเจดีย์ไว้ถ้าขุดเจดีย์พังแน่เลยไม่ขุด ทางขึ้นไปบนเจดีย์ก็ทำหลังคากั้นไว้แล้วมีที่พักเป็นแห่งๆ มีพระมานั่งอยู่ตามศาลาเหล่านั้น อาตมาเดินขึ้นไปดูว่าพระท่านทำอะไร ดูหมอทุกองค์ปลุกเสกลงเลขลงยันต์ทั้งนั้นไม่มีทำอะไรเลย อาตมาดูแล้วก็นึกปลงสังเวชในใจว่าเสื่อมแล้วไม่มีอะไรแล้ว นี่แหละคอมมิวนิสต์มันจึงว่าศาสนาเป็นยาเสพติด เสพติดเพราะไม่ใช่ตัวศาสนา มันเป็นเรื่องนอกศาสนา แต่ว่ามาในรูปแปลกๆ เขาจึงด่าเอาได้ แต่ถ้าเป็นเนื้อแท้ เป็นน้ำธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครจะติได้ ไม่มีใครจะว่าได้เลยเป็นอันขาด แล้วสามารถจะเอาไปใช้ในคนทุกคน ทุกลัทธิอะไรทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะถือลัทธิอะไรก็เอาสิ่งที่เป็นธรรมะนี้ไปใช้ได้ ใช้ได้ไม่กีดกัน แล้วก็ไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่สิ่งที่เรากระทำอยู่นั้นมันไม่ถูกต้อง ดูแล้วนึกในใจว่า นี่ตายแล้ว พอพวกแดงเข้ามา พระเหล่านั้นก็หมดไม่มีเหลือ เพราะว่าไม่ได้สอนสัจธรรมให้คนได้รู้ได้เข้าใจ คนมันไม่ถึงธรรมะ มันไปถึงหมอดู ไปถึงดวงชะตาราศี ไปถึงการสะเดาะเคราะห์ ถึงน้ำมนต์ น้ำพร ลงเลขเสกยันต์ แล้วก็ติดมาถึงเมืองไทย
เมืองไทยเราคนบางคนสักลายไปทั้งตัว อวิชชาทั้งนั้น เรียกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่อวิชชาที่มาจับไว้กับเนื้อกับตัวนั่นคือความโง่ สักไว้ด้วยความโง่ไม่ใช่เรื่องอะไร นึกว่าจะอยู่ยงคงกระพันอย่างนั้นหรือ ลองเอามีดเฉือนดูมันก็ขาด กินเข้าไปลึกในเนื้อไปหาหมอเย็บแผลเท่านั้น นี่เรียกว่าเดินตามหลังอาจารย์โง่ๆ แล้วลูกศิษย์ก็พลอยโง่ตาม สักลายไปทั้งตัว สักที่ตัวยังไม่พอยังไปสักบนหัวไว้อีก บางคนสักไว้บนกระหม่อม มาก้มหัวให้รดน้ำมนต์ บอกว่าเป่าหัวที เลยเขกกบาลให้ บอกว่าสักแล้วยังร้องอีกหรือ เขกแรงๆก็เจ็บ บอกว่าสักแล้วนึกว่าไม่เจ็บ เลยลองเขกกบาล มันไม่ได้เรื่องอะไร นี่คือความเขลา ที่ติดมาตั้งแต่สมัยก่อน มาสมัยนี้เราต้องฉลาดกันเสียที ว่าไม่ควรจะเที่ยวทำเนื้อหนังให้มันเลอะเทอะเปรอะเปื้อนอย่างน้อย แล้วไม่ควรจะไปยุ่งกับพวกลงเลขเสกยันต์ พ่นน้ำหมากขากน้ำลายใส่ อย่างนั้นมันไม่ได้เรื่อง
เรามาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติธรรมะกัน เอาสิ่งถูกต้องมาใช้ในชีวิตประจำวัน คนก็จะดีขึ้น เพราะว่าคนมีธรรมะอะไรมันก็ดี เศรษฐกิจก็ดี สังคมก็ดี การเมืองมันก็ดีทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ที่มันไม่ค่อยเรียบร้อยเพราะขาดธรรมะ ไม่เอาธรรมะมาใช้ เวลาเป็นอะไรขึ้นก็เป็นเพราะเขาตั้งให้เป็น ไม่เป็นโดยธรรมะ ก็เลยทำความยุ่งวุ่นวาย ขาดเหตุขาดผล ขาดความรอบคอบ มีแต่ความหวาดระแวงว่าคนนั้นจะเป็นศัตรูกับกู คนนี้จะเป็นศัตรูกับกู เลยทั้งเมืองมีแต่ศัตรูแล้วจะนอนเป็นสุขได้อย่างไร ก็เพราะใจเรามันเป็นศัตรูแก่คนอื่น เราก็นึกว่าคนอื่นเป็นศัตรูกับเรา ถ้าเรามีเมตตาต่อคนอื่น คนอื่นก็ไม่มีพิษมีภัยแก่เรา เพราะเราแผ่เมตตา เมื่อเราแผ่เมตตาก็ไม่มีศัตรูไม่มีผู้มุ่งร้าย มีแต่เพื่อนมนุษย์ผู้เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่ทำใจให้วุ่นวายสับสน ไม่สร้างปัญหาขึ้นด้วยความหวาดระแวงในภัยที่จะเกิดขึ้น อันจะเป็นความยุ่งแก่ตัวแก่สังคมแก่ครอบครัวประเทศชาติ มันก็อยู่กันเป็นสุขตามสมควรแก่ฐานะ จะทำอะไรมันต้องใช้ธรรมะ ใช้ความหนักแน่น ใช้เหตุใช้ผล มีความอดความทนในเรื่องนั้นๆ ไม่ได้ทำด้วยอารมณ์ด้วยใจร้อนด้วยประการต่างๆ สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้นดังที่ได้แสดงมา
เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่ญาติโยมทั้งหลายในวันนี้ ก็พอสมควรแก่เวลา ฝนฟ้าไม่ตกครึ้มๆสบายดี ไปนั่งที่ม้าหินได้วันนี้ ปูเสื่อนั่งได้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจคือนั่งตัวตรง ยืดให้ตรง หลังตรงคอตั้งตรง ให้หายใจสะดวก หายใจเข้ายาว หายใจออกยาว หายใจเข้ากำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออกกำหนดรู้ลมหายใจออก ให้ความคิดมาอยู่ที่ลมเข้าลมออก อย่าให้ไปคิดในเรื่องอื่นสิ่งอื่น คิดอยู่แต่เรื่องลมเข้าลมออก จิตมันจะได้เป็นสมาธิอยู่ในเรื่องเดียว ถ้ามันวิ่งไปวิ่งมาก็เรียกว่ายังไม่เป็นสมาธิ เพราะอย่างนั้นต้องมีสติคอยควบคุมความคิดของเราไว้ให้สงบเป็นเวลา ๕ นาทีขอเชิญ
แผ่เมตตา ปรารถนาความสุขแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย สัพเพ สัตตา อเวรา อัพพะยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จนเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจเลย จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ