แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ลำดับนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถา อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านผู้มีโอกาส มาประชุมกัน จงตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา พอถึงวันอาทิตย์ อันเป็นวันหยุดงานหยุดการ เราทั้งหลายก็ได้ชักชวนกันมาประชุมกันที่วัด เพื่อเป็นการพักผ่อนทางจิตใจ แม้ว่าในวันอื่นนี้เราต้องทำงานมาตลอดเวลา การทำงานนั้น มีได้ทำชีวิตให้เหน็ดเหนื่อยเกิดความไม่สบายทั้งกายทั้งใจก็ได้ จึงควรจะต้องมีการพักผ่อนตามสมควรแก่โอกาส เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายจึงได้มาประชุมกันที่วัด การมาวัดนั้นเรามีจุดหมายเพื่อจะมาศึกษาหลักธรรมะ อันเป็นคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และจะได้นำไปเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนนั้น ต้องมีธรรมะเป็นเครื่องนำชีวิต เป็นดวงประทีปส่องแสงสว่าง เพื่อให้เห็นสิ่งอะไรถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง ความทุกข์ความเดือดร้อนอันจะเกิดขึ้นเพราะการกระทำผิดพลาดก็จะลดน้อยลงไป ชีวิตจะมีคุณภาพเป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ เป็นไปเพื่อการกระทำสิ่งที่เป็นสาระเป็นแก่นเป็นสาร เพราะว่าคนเราเกิดมามีชีวิตอยู่ในโลก ควรจะมีชีวิตอยู่ด้วยความถูกต้อง ไม่ใช่อยู่ด้วยความถูกใจเสมอไป สิ่งอันใดที่เราชอบใจพอใจ เราก็ถือว่าเป็นเรื่องถูกใจ แล้วเราทำสิ่งนั้น
แม้ว่าการกระทำสิ่งนั้นในบางครั้งบางคราว มันก็ไม่เป็นการถูกต้อง ที่ว่าไม่เป็นการถูกต้องก็เพราะว่าไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรมคือไม่ถูกกับหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ที่เราประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรกับหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ก็เรียกว่าเป็นการไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม การกระทำอันใดที่ไม่เป็นธรรม ย่อมเป็นเหตุเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง เราไม่ต้องการความทุกข์ความเดือดร้อน เราต้องการความสุขความเจริญในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าจะให้ดีต้องทำการศึกษาให้รู้ให้เข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งถูกต้อง อะไรเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง อย่าเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ แต่เอาธรรมะเป็นใหญ่ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า อย่าตามใจตัว แต่ต้องตามใจพระ การตามใจพระก็คือ ตามหลักการในทางพระศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงบัญญัติแต่งตั้งไว้ สิ่งใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีแต่งตั้งไว้ สิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง เป็นไปเพื่อความสุข เพื่อความเจริญ แก่ตน แก่ครอบครัว ตลอดจนถึงส่วนรวม คือประเทศชาติ นี่เป็นหลักที่เราจะต้องใส่ใจ นำมาพินิจพิจารณาเพื่อศึกษาทำความเข้าใจแล้ว จะได้แก้ไขชีวิตประจำวันให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ด้วยความคิดถูกต้อง ด้วยการพูดที่ถูกต้อง ด้วยการกระทำที่ถูกต้อง เราก็จะมีชีวิตถูกต้องยืนนาน ไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไรๆขึ้นในชีวิตของเรา นี้เป็นเรื่องญาติโยมจะได้คิดเป็นหลักเพื่อเตือนใจแล็วก็ได้นำหลักการนี้ไปอบรมบ่มนิสัยแก่ลูกหลานครอบครัวของเรา เพื่อให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะได้ปฏิบัติตนในทางที่ถูกที่ชอบ อันจะช่วยให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิตประจำวันต่อไปตามสมควรแก่ฐานะ
ทีนี้ในทางพระพุทธศาสนาของเรานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง อันมีสิ่งที่มิควรปฏิบัติไว้หลายอย่างหลายประการ ที่เรียกว่า อบายมุข ดังที่กล่าวมาให้ญาติโยมทั้งหลายได้รับฟังมาเป็นลำดับ
คือเรื่องอบายมุข หมายความว่า เป็นปากทางแห่งความเสื่อม เป็นปากทางแห่งความเสียหายในชีวิต ในการงาน ในการกินการอยู่ เป็นเรื่องที่เราไม่ควรจะนำมาประพฤติ แต่ควรจะหลีกหนีให้ห่างไกล ได้แก่การเสพย์ของมึนเมาประเภทต่างๆ การเล่นการพนัน การเที่ยวกลางคืน การคบเพื่อนชั่ว ไม่มากไม่น้อยสี่ประการ ดังที่จะได้กล่าวต่อไปในวันนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับว่า เรื่องความสนุกสนานที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือความสนุกสนานประเภทที่เกิดโดยไม่ได้สาระอะไรให้แก่ชีวิตของเรา หรือว่าเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมโทรมแก่ชีวิตการงานตลอดจนถึงส่วนรวม คือประเทศชาติได้เหมือนกัน อันเรื่องของความสนุกสนานนี่ความจริงก็ควรจะมีบ้างในชีวิตของเรา เพราะว่าคนเรานั้นควรต้องมีการพักผ่อน มีการเปลี่ยนอารมณ์ ทำสิ่งนี้นานๆแล้ว ก็ไปทำสิ่งนั้นบ้าง จึงได้มีการละเล่นที่เป็นเรื่องสร้างสรรค์ คือการเล่นกีฬานั่นเอง การเล่นกีฬานี่เป็นเรื่องสร้างสุขภาพทางร่างกาย ทางจิตใจ แล้วราชการก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นสำคัญประการหนึ่ง จึงได้ตั้งกรมขึ้น เรียกว่ากรมพลศึกษา กรมพลศึกษานี้เป็นกรมที่สั่งสอนอบรมในเรื่องเกี่ยวกับกำลังร่างกาย เพื่อฝึกฝนร่างกายและจิตใจของตนด้วยเหมือนกัน ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงามขึ้น เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในการศึกษา เราเรียกกันว่า พุทธิศึกษา จริยะศึกษา พลศึกษา ในเวลานี้ก็แถม หัตถศึกษา เข้าไปด้วยอีกอันหนึ่ง
พุทธิศึกษาก็หมายถึงว่าเรียนเรื่องความรู้อะไรๆ ต่างๆ อันเป็นเครื่องประกอบการทำมาหากิน จริยะศึกษาเรียนเรื่องเกี่ยวความประพฤติในชีวิตประจำวัน ว่าเราควรจะประพฤติตนอย่างไร ในที่อย่างนี้ ในเหตุผลอย่างนี้ ในเหตุการณ์อย่างนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับจริยะศึกษา แม้เป็นเรื่องพลศึกษา เป็นการฝึกฝนการออกกำลังกายร่างกาย ถ้าร่างกายมีสภาพแข็งแรงเป็นปกติ จะได้อยู่ด้วยความสุข ความสนุก ไม่เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นในชีวิต หัตถศึกษา ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการฝึกฝนทางฝีมือให้มีฝีมือในการทำสิ่งต่างๆ คล้ายๆกับเรื่องของศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน. สมเด็จพระบรมราชินีนาถแห่งประเทศไทยเรา พระองค์ได้ส่งศูนย์ศิลปาชีพ คืออาชีพเกี่ยวกับศิลปะ เช่น การทอผ้า การจักสาน การตีเหล็ก หรือว่าการจะทำอะไรๆ เป็นเรื่องเป็นล่ำเป็นสัน ก็จะกลายเป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไป นี่จะเป็นการส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นได้เห็นว่าพลศึกษา คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสนุกสนานร่าเริงประการหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นการร่าเริงที่เกิดประโยชน์แก่ชีวิต เป็นการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ เรื่องพละศึกษานี้ แม้มาควบเกี่ยวกับทางศาสนา เพราะต้องมีการฝึกฝนอบรมเหมือนกัน เช่นลัทธิโยคะ ก็เป็นเรื่องการฝึกฝนร่างกายก่อน เขาเรียกว่า หัตถโยคะ คือฝึกฝนการออกกำลังกาย
ถ้าเราปฏิบัติถูกจะได้เห็นธาตุขยับ ที่เขาทำได้ในแผ่นหินโดยเรียกว่า ฤษีดัดตน ท่าฤษีดัดตนก็คือท่าโยคะ คือฝึกฝนร่างกายให้เกิดความกระปรี้กระเป่า แข็งแรง ตอนเช้าๆ วิทยุประเทศไทย หรือโทรทัศน์ที่ออกในตอนเช้าก็มีการแนะนำให้คนฝึกฝนการพละศึกษาด้วยเหมือนกัน เรียกว่าการบริหารร่างกาย การหบริหารร่างกายก็คือ การทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่ามีความแข็งแรงอยู่เป็นปกติ อันนี้เป็นเรื่องการพักผ่อนทางร่างกายและจิตใจประการหนึ่ง นี่เป็นเรื่องจริงไม่มีโทษ มีแต่คุณประโยชน์แก่ร่างกาย แต่ว่าให้ถือไว้อีกอันหนึ่งเป็นหลักเตือนใจว่าอะไรก็ตามถ้ามันเกินพอดีไปแล้วก็มีโทษเหมือนกัน ต้องทำแต่เพียงพอดี จะเป็นของรับประทาน ของดื่ม ของใช้ หรือการกระทำอะไรก็ตาม ถ้าวางไว้ความพอดีแล้วมันก็เป็นคุณ แต่ถ้าทำเกินพอดีไป ก็เป็นการเกิดโทษเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นต้องเดินสายกลาง คือทำอะไรก็ให้มีความพอเหมาะพอดี อย่าให้มันหย่อนไป อย่าให้มันตึงไป จนเป็นเหตุเกิดปัญหาขึ้นกับชีวิต ด้วยประการต่างๆ ถือเป็นข้อคิดที่อยากนำมากล่าว เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ญาติโยมทั้งหลายไว้ประการหนึ่ง หรืออีกประการหนึ่ง ความสนุกสนานประเภทที่มันเป็นไปเพื่อความเสื่อม ได้แก่ความสนุกสนานที่เจือด้วยกิเลส เจือด้วยราคะ อันเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องสำคัญ ราคะในที่นี้หมายความว่า มีความสนุก มีความพอใจ มีความเพลิดเพลินอยู่ในความสนุกสนานนั้นๆ ไม่เป็นอันทำมาหากิน ไม่เป็นอันก้าวหน้าในชีวิต เพราะติดอยู่ในความสนุกสนาน ในประการต่างๆ ในเมืองไทยนี้พอถึงหน้าแล้ง ก็มักจะมีงานประเภทสนุกสนานในที่ต่างๆทั่วๆไป แม้ว่าใน งานของวัด ก็มีเรื่องสนุกสนานเข้าไปแทรกแซงมากมาย จะได้เห็นตามป้ายแผ่นใหญ่ๆ ที่ติดอยู่ตามสามแยก สี่แยก ติดกันไปมาจะมองเห็นได้ง่ายๆ ป้ายเหล่านี้เป็นป้ายที่โฆษณาชักจูง ให้รู้ว่ามีงานที่นั่นที่นี่ ส่วนมากเป็นป้ายของงานตามวัด เช่นงานผูกพัทธสีมา งานปิดทองพระ หรืองานอะไรๆ ต่างๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วๆไป แม้ป้ายนี้จะประกาศว่าในงานนี้มีภาพยนตร์ มีดนตรี มีลิเก มีละคร หรือมีอะไรๆ ต่างๆหลายอย่าง หลายประการ ซึ่งเป็นเรื่องของความสนุกสนาน ทำให้คนไปเที่ยวเกิดความเพลิดเพลิน มัวเมาหลงใหลในเรื่องเหล่านี้ได้อยู่มิใช่น้อย
ความจริงการงานต่างๆ ที่เราทำในวัดนี้น่าจะยกเว้นจากสิ่งสนุกสนานประเภทยั่วกิเลสให้คนหลงใหลเพลิดเพลิน หลายเรื่อง เช่นว่ามีงานวัดแล้วจัดให้มีการรำวงเป็นตัวอย่าง ความจริงรำวงนี้ก็เป็นเรื่องมีประโยชน์สำหรับในสมัยหนึ่ง แม้ว่าการรำวงนี้เป็นการเล่นสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ใช่เป็นอาชีพอย่างที่ทำกันอยู่ในสมัยนี้ แต่ว่าในสมัยนี้มีบุคคลบางประเภทจับรำวงเป็นอาชีพ คือเปิดเป็น ... อยู่ในย่านชุมนุมชน มีสถานที่ มีเวที แถมผู้หญิงสวยๆ มาเป็นนางรำ แล้วก็เก็บสตางค์จากคนที่เข้าไปรำ คิดเป็นรอบๆ ไป รอบละห้าบาท รอบละสิบบาท รอบหนึ่งก็ไม่ใช่เวลานาน เวลาสามนาทีเท่านั้น แล้วก็จบรอบ ก็ชวนกันลงไป ขึ้นมาใหม่ก็ต้องซื้อตั๋วใหม่ แล้วหนุ่มๆก็ไปหลงสาวๆ ขึ้นไปรำเรื่อยไปจนกระทั่งว่าหมดสตางค์ในกระเป๋า แล้วก็เกิดได้เหมือนกัน เพราะความหลงใหลในรูปเนื้อที่ตนได้เห็น ได้จับได้ต้อง ตาต่อตาเจอกันแล้วก็ร้องเพลงปลุกใจเร่งเร้าอารมณ์ ทำให้เกิดราคะ คือความสนุกเพลิดเพลินในการกระทำนั้นๆ เป็นเหตุให้ติดการกระทำ จนบางคนก็เรียกว่า เป็นบ้าไปเลย บ้ารำวง เพราะว่ารำซะเรื่อยไป ร้องเพลงซะเรื่อยไป จนกระทั่งไม่เป็นอันกินอันนอน ต้องจับมามัดไว้กับเสา เพื่อจะแก้ให้เป็นคนดีต่อไป ถือเป็นความสนุกสนานประเภทที่เป็นไปด้วยความเสื่อม แล้วไม่เป็นไปเพื่อความเจริญ เพราะว่าเป็นกระทำเกินพอดีไป รำกันแต่มืดจนกระทั่งยันสว่าอยู่เรื่อยไป
ความจริงทางราชการควรจะมีการบังคับไม่ให้คนสนุกอย่างนี้จนกระทั่งเกินเวล่ำเวลา กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน แล้วเราทำงานกันในตอนกลางวัน มาถึงกลางคืนควรจะพักผ่อนเอาเรี่ยวเอาแรง แต่หาได้มีการพักผ่อนไม่ กลับไปเต้นเหยงๆอยู่บนเวทีด้วยความสนุกสนาน แล้วมีการไปเต้นอย่างนี้ ไม่ได้เต้นเฉยๆ ต้องมีการดื่มของมึนเมา เพื่อให้เกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง มึนเมาแล้วขาดความสำนึกรู้สึกตัว ความสำนึกมันก็หายไป มีแต่อารมณ์สนุกสนานเพลิดเพลิน เต้นแร้งเต้นกาไปตามฐานะจังหวะเพลงที่เกิดขึ้นในเรื่องรำวง ก็เป็นเรื่องที่เรียกว่า สนุกสนานทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าเราไม่มีการควบคุมการใช้ เงินใช้เกินพอดีไป คนโบราณนั้นเขาทำอะไรไม่เกินไป พอถึงนิดๆ หน่อย ...... (16.15) สบายใจแล้วเขาก็หยุดไป แต่สมัยนี้เราไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ทำอะไรก็เหมือนจะเกินไป จึงทำให้เกิดปัญหาด้วยประการต่างๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดความเสียหาย คณะสงฆ์จึงได้มีประกาศไว้ ไม่ให้มีการรำวงในบริเวณวัด ในเมื่อวัดมีงานประเภทใดก็ตาม แต่ว่าทางวัดก็รู้จักเลี่ยงเหมือนกัน เลี่ยงมีในวัด แต่ไปมีข้างวัด ก็ติดกับวัดนี่หละ แต่นอกรั้ววัดไปหน่อย ได้สตางค์กันไปตามเรื่องตามราว นั่นคือความเสื่อมจากการละเล่นประเภทสนุกสนานเกินพอดีในแง่อย่างนี้ นี่เป็นตัวอย่าง หรือเรื่องอื่นก็เหมือนกัน เช่นว่าการไปดูลิเก ไปดูดนตรี ประเภทต่างๆ เช่นเวทีลูกทุ่ง อะไรที่เขาแสดงกันอยู่ทั่วๆไปนั้น จริงๆก็เป็นเหตุให้เกิดความเพลิดเพลินหลงใหล และติดสิ่งเหล่านี้จนเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นในชีวิตในการงานได้เหมือนกัน เพราะว่าเวลาเราไปดูสิ่งเหล่านี้ต้องไปดูกลางคืน แล้วก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อน รุ่งขึ้นมันก็ง่วงเหงาหาวนอน กลับบ้านก็ต้องนอน เลยไม่ได้ทำงานทำการ
คนทางปักษ์ใต้นี้ทำสวนยางมาก ถ้าไปสนุกแล้วไม่ได้ตัดยาง เพราะว่าสนุกแล้ว สนุกเพลินไปเลยเวลาตัดยาง ยางต้องลุกขึ้นตัดยางตอนตีสี่ตีสาม มันจึงจะไหลออกมากๆ หรือไอ้หนุ่มที่เป็นคนชอบสำราญ มัวไปรำวงเพลิดเพลิน หรือไปดูหนังไปฟังเพลง จนเลยเวลาก็ไม่ได้ตัดยาง กลับมาบ้านก็ต้องนอนพักตลอดทั้งวัน คนเราถ้าไม่หลับในตอนกลางคืนนั้น มาพักตอนกลางวัน งานก็ไม่ทิ้ง มันรู้สึกว่ากลางคืนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ทั้งนี้โดยธรรมชาติจึงให้มีการพักในเวลากลางคืน ในตอนกลางคืนนี้เป็นเวลาพักผ่อน แต่กลับเอาเวลากลางคืนนั้น ไปสนุกสนานประเภทไม่ได้เรื่อง จึงเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย อันนี้เป็นความเสื่อมแก่ชีวิตแก่การงานด้วยเหมือนกัน การจัดงานจึงควรจะงดเว้นให้มีสิ่งเหล่านี้ มุ่งการจัดงานในทางสนุก ในทางธรรมะก็ได้ เพราะว่ามีการเผยแผ่ธรรมะ มีการอภิปราย มีแสดงปาฐกถา หรือถ้าเป็นการฉายหรือเป็นภาพ ก็เป็นภาพยนตร์ทางศาสนา หรือเป็นภาพสไลด์สำหรับที่จะให้คนเห็นอะไรๆ ต่างๆ ให้เกิดปัญญา แต่ต้องไม่เกินกำลังเกินไป ให้มีความพอดี ให้คนได้ไปคิดตาม อย่างน้อยไม่เกินเที่ยงคืน แล้วก็ให้เขากลับไปบ้านไปช่อง ไปพักผ่อน เอาเรี่ยวเอาแรง จะได้ลุกขึ้นมาประกอบกิจการงานตามหน้าที่ต่อไป เป็นเรื่องที่ไม่ให้เกิดความเสียหายในชีวิตด้วยประการต่างๆ
ในเรื่องนี้สมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็มีคนไปถามพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องความสนุกสนานนี้เหมือนกัน คือคนๆ หนึ่งที่เป็นศิลปิน เป็นนักพูดนักรำ นักแต่ง นักเต้น …… (19.54) ขอเดชะ พระพุทธเจ้า อยากจะทูลถามว่า ข้าพระองค์นี้เป็นศิลปิน มีหน้าที่ทำคนให้เพลิดเพลินจำเริญใจ ข้าพเจ้าตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน พระผู้มีพระภาคตรัสให้ว่า เธอไม่ควรจะถามปัญหานี้กระไร ท่านก็ไม่ตอบ เขาก็รบเร้าตื้อถามอยู่อย่างนี้ ถึงสามครั้ง พระองค์ก็ลองตอบเสียว่า การกระทำของเธอ ตายแล้วควรจะไปเกิดในนรก ตายแล้วไปเกิดในนรก นรกขุมนั้นเขาเรียกว่าหาสนรก “หาส” แปลว่า ความสนุกสนาน ไปตกนรกความสนุกสนานเพลิดเพลิน แล้วก็ถามว่าทำไม ข้าพระองค์ทำคนให้สนุกสนานจึงต้องไปตกนรก พระผู้มีพระภาคก็ตอบว่า เธอทำคนให้หลง ทำคนให้มัวเมา ทำคนให้ประมาท เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมในชีวิต จึงควรจะมีโทษถึงกับตกนรก ที่เรียกว่า หาสนรก นายคนนั้นได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าการกระทำของเรานี้เป็นการไม่สมควร ควรจะเลิกได้แล้ว เขาจึงได้เลิกในการกระทำในรูปแบบนี้ แล้วไปหาอาชีพอื่นมากระทำต่อไป
อันนี้ก็เป็นเครื่องแสดงว่า มนุษย์หลุดจากความสนุกสนานก็ดีเหมือนกัน คือสนุกจนเกินไป จนเลยเถิดไป แล้วมันก็สร้างปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ตน แก่ครอบครัว ตลอดจนถึงส่วนรวมก็ได้เหมือนกัน อย่างนี้ในเมืองไทยเรานี้ถ้าพูดกันไปแล้ว ก็มีความสนุกสนานยั่วยุ...อื่นๆมากมายก่ายกอง เป็นความสนุกสนานทางโทรทัศน์บ้าง เป็นความสนุกสนานทางวิทยุบ้าง เป็นความสนุกสนานที่มีจากหน้าหนังสือประเภทสื่อสารมวลชนอะไรต่างๆมาก ล้วนแต่เป็นเรื่องชวนให้เกิดความสนุกสนาน หลงใหลมัวเมาในเรื่องอันนี้ เช่น โทรทัศน์ของเราฉายหนังจีนมากในเวลานี้ เด็กก็ติดเรื่องจีนงอมแงมไปตามๆกัน ไม่เฉพาะแต่เด็กเท่านั้น แม้ผู้ใหญ่ก็หลงใหลมัวเมาในเรื่องนี้ได้เหมือนกัน แต่ว่ามันก็ไม่มากเกินไป เพราะว่าเวลาจำกัด เขาให้ฉายได้เพียงยี่สิบสอง ยี่สิบสองนาฬิกาครึ่ง ก็ปิดสถานีไป ไม่เลยเถิด แต่ว่าภาพยนตร์กลางแปลงนี่ ที่เขาเอาไปฉายตามงานวัด หรือตามสถานที่ต่างๆ ที่มีงาน มักจะเลยเถิดไป คือฉายกันจนยันสว่าง คืนหนึ่งมีตั้งหลายเรื่อง ฉายกันไป คนก็ไปนั่งดูกัน ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ คนที่ไปนั่งดูนั้น ถ้าเป็นแม่ก็เอาลูกน้อยไปด้วย เอาไปวางอยู่บนตัก ความจริงเด็กเหล่านั้นไม่ได้ดูภาพยนตร์ ไม่ได้พอใจในภาพยนตร์เหล่านี้ เพราะเด็กยังไม่รู้ว่าอะไร แต่ผู้ใหญ่ก็พาไป เพราผู้ใหญ่อยากดู ตัวแม่อยากจะดูก็เลยพาลูกไปด้วย นั่งดูตั้งแต่หัวค่ำจนดึก เมื่อดึกอากาศมันเปลี่ยนแปลง มีน้ำค้างตก เกิดความเย็นความชื้นขึ้น ทำให้เด็กไม่สบาย แล้วก็ไปรักษาเยียวยา สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ
อันนี้ก็เป็นเรื่องเกิดความเสียหาย พ่อแม่ควรจะระมัดระวัง โดยเฉพาะเด็กที่มีความสนุกสนานในด้านนี้ ถ้านั่งรถกลางคืน เห็นคนเขามากๆ ก็ว่ามีหนังที่ไหน หรือมีลิเกที่ไหน หรือมีอะไรที่เป็นความสนุกที่ไหน เขาก็ไปกัน ชอบจะไปดูไปชมสิ่งเหล่านี้ อันนี้มันเป็นเรื่องที่เรียกว่า เกินพอดีไป แล้วมันไม่เป็นไปเพื่อการศึกษา เพราะคนดูไม่เป็นดูเอาแต่เรื่องสนุกอย่างเดียว ไม่ได้ดูเพื่อเป็นคติทางจิตใจให้เกิดความคิดในทางปัญญา หรือในทางสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยช์เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่ชีวิต แต่ว่าเขาดูเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินในเรื่องนี้เพียงประการเดียว อันนี้น่าคิดเหมือนกัน เราผู้จัดงานควรจะคิดถึงอนาคตของคน อนาคตของชาติ ของศีลธรรม อันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมความเสียหาย สิ่งใดที่มันไม่เหมาะไม่ควรก็งดๆเว้นๆกันเสียบ้าง แม้ว่าเราจะได้เงินทองข้าวของเกิดจากความสนุกสนานเหล่านี้ก็ถูก แต่ว่าคนมันเสื่อม เราได้วัตถุเงินทองแต่ว่าคนเราเสื่อม แล้วทีนี้จะมีคุณมีค่าอะไรถ้าคนเราเสียไปหมดแล้ว จิตใจคนตกต่ำกันไปหมดแล้ว สิ่งที่เรามีมานั้นมันก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้ อันนี้คือความเสียหายแก่ฐานะทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ตลอดจนถึงเรื่องการบ้านการเมือง กระทบกระเทือนกันไปหมด ไม่มีอะไรดี จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดคำนึงสำหรับสังคมในยุคปัจจุบันของเรานี้ซึ่งมีมากเกินไปในเรื่องความสนุกสนาน ถ้าจะได้ช่วยกันงดเว้นกันเสียบ้าง ก็จะช่วยให้สิ่งทั้งหลายสดใสรุ่งเรืองขึ้นตามสมควรแก่ฐานะ จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดประการหนึ่ง รวมความว่าเรื่องความสนุกสนานประเภทต่างๆ เช่นมีการเต้นรำ มีการเล่นดนตรี มีการดูหนัง มีการฟังเพลง อะไรๆต่าง ที่แม้จะเป็นศิลปะบางประเภท ที่เราควรจะรักษาไว้ เราจะต้องใช้ให้มันพอดี อย่าให้มีเกินพอดีไป อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ชีวิตจิตใจด้วยประการต่างๆดังที่กล่าวมา
เหล่านี้เป็นเรื่องที่ขอฝากให้ประชาชนทั้งหลายที่ได้ศึกษาได้อ่านเรื่องที่แสดงปาฐกถานี้ก็ดี หรือได้ฟังมาบัดนี้ก็ดี ช่วยกันคิด ช่วยกันนึกว่าเราควรจะมีการปรับปรุงแก้ไขอะไรกันบ้าง ยังพอที่จะไม่ทำให้จิตใจของเราเสียหาย ไม่เป็นโทษเป็นทุกข์ทางจิต ทางวิญญาณ เพราะว่าสิ่งใดที่ทำลายความเป็นอยู่ทางจิตใจของคนนั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรที่เราจะสนับสนุนให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะเป็นไปซึ่งความเสื่อมดังที่กล่าวแล้ว เป็นเรื่องที่เราควรจัดกันแต่เพียงพอดี เพราะว่าคนเราต้องการความสนุกสนานบ้าง มีการหัวเราะเฮฮากันบ้าง แต่ก็ต้องเป็นเรื่องที่เรียกว่า พอเหมาะพอดี ไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียทางจิตใจ ไม่ทำให้สิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองที่ตนหามาได้ด้วยความเหนื่อยยาก และไม่ทำให้การงานที่ตนกำลังประกอบอยู่นั้นเสียหาย อันจะเป็นเหตุให้เกิดความตกต่ำทางเศรษฐกิจและครอบครัวในการงาน อันเป็นส่วนตัวและส่วนรวม ก็จะเป็นเรื่องที่เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ความสนุกสนานเฮฮามากเกินไปนั้น เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม เป็นอบายมุขที่จะนำความทุกข์ความเดือดร้อน มาสู่ตัวผู้แสดง บุคคลที่มาดู คนที่แสดงก็เสีย คนที่มาดูก็เสีย เสียกันทุกฝ่าย เป็นเหตุให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในจิตใจ ทำให้เกิดเป็นปัญหาทางความคิดความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ
เรื่องนี้จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าไม่พิจารณาก็จะมองไม่ดีตามสภาพที่เป็นจริง หรือถ้าเราได้นึกคิดพิจารณาให้ลึกซึ้งสักหน่อย ก็จะเห็นว่ามันเป็นความเสื่อม เป็นความเสียหายแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้คนตกต่ำทางจิตใจ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ความตกต่ำในเรื่องอะไรๆ นี้ มันไม่เสียหายเท่ากับความตกต่ำทางจิตใจ เพราะความตกต่ำทางจิตใจนี้มันลดความเป็นมนุษย์ให้น้อยลงไป ลดความเป็นอะไรๆที่ถูกต้องให้น้อยลงไป เช่นลดความเป็นคน ลดความเป็นมนุษย์ ลดความเป็นพุทธบริษัท ให้มันเสื่อมโทรมตกต่ำลงไปจากชีวิตของเรา เราก็เสื่อมจากสิ่งเหล่านี้ ความเสื่อมโทรมอย่างนี้ มันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย แก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ จึงเป็นเรื่องน่าคิดพิจารณา ว่าเราควรจะแก้ไขสิ่งนี้กันอย่างไร เวลานี้อาตมากำลังนึกมีนโยบายที่จะกำจัดสิ่งชั่วร้าย เช่นกำจัดการเล่นการพนัน เพื่อให้ลดน้อยลงไป ก็ควรจะได้กำจัดความสนุกสนานที่มันเกินพอดี ให้ลดน้อยลงไปเสียบ้าง ชีวิตคนก็จะได้สนุกตามสมควรแก่ฐานะ และอีกประการหนึ่งเวลานี้เศรษฐกิจมันตกต่ำ เงินทองไม่พอกินไม่พอใช้ ถ้าเราไปใช้ในเรื่องที่มันไม่เป็นสาระ ไม่ได้ประโยชน์ มันสิ้นเปลืองหมด เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิตดังที่กล่าวมา จึงเป็นเรื่องที่อยากขอฝากไว้ให้ญาติโยมทั้งหลาย สาธุชนทั้งหลายที่มีความ ……
(30.50 เทปดับ) (31.23) …… ถูกต้องดีงามขึ้นสมควรต่อฐานะประการหนึ่ง หรืออีกประการหนึ่ง อบายมุขที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงนั้น ว่าเป็นทางแห่งความเสื่อม ก็คือเรื่องเกี่ยวกับความเกียจคร้าน ความเกียจคร้านนี่เป็นปฏิปักษ์ หรือว่าเป็นศัตรูกับใครที่จะคิดก้าวหน้า คนเราเกิดมาถ้าว่ามีความเกียจคร้านแล้ว ความก้าวหน้าในชีวิตในการงานก็จะหายไป จะเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนขึ้นในชีวิตด้วยประการต่างๆ การที่จะพูดถึงเล่าถึงเรื่องนี้ ชอบที่จะเล่าเรื่องในนิทานชาดกที่มีมาในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังซักเรื่องหนึ่ง คือว่าในสำนักของอาจารย์ทิศาปราโมทย์ จะเรียกว่า สำนักทิศาปราโมทย์ คือเป็นสำนักที่ให้การศึกษาแก่ผู้สนใจในการศึกษา และน่าจะอยู่ในป่า นักเรียนนักศึกษาต้องไปอยู่ในสำนักของอาจารย์ กินนอนอยู่ที่นั่นเสร็จสรรพแล้วก็ทำงานให้แก่อาจารย์ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์แก่ตนไม่ต้องเพื่อผู้ใดผู้หนึ่ง เรียกว่าทำกันเพื่อกินเพื่อใช้ ไม่ต้องเสียเงินค่าศึกษาเล่าเรียนเหมือนดังที่เราทำๆกันอยู่ในสมัยนี้ ในสมัยนี้การเรียนต้องเสียเงินเสียทองมาก พ่อแม่ก็เกิดความลำบากเดือดร้อนหากมีลูกมาก เขาจึงรณรงค์ให้มีลูกน้อย ๆ จะไม่ลำบากในการที่จะบำรุงส่งเสริมให้เด็กมีความก้าวหน้าในการศึกษาตามสมควรแต่อฐานะ เรื่องมีอยู่ว่าในสำนักอาจารย์ทิศาปราโมทย์นั้น มีเด็กไปอยู่ศึกษาเป็นจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ช่วยกันทำงาน เช่น ช่วยกันปลูกผักมาไว้เป็นอาหาร ช่วยกันทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับชีวิต เท่ากับว่าเรียนไปด้วย ปฏิบัติงานไปด้วยในตัว มันก็ดีเหมือนกัน ถ้าเรียนแต่ทฤษฎีอย่างเดียวไม่มีการปฏิบัติ มันก็จะไม่ได้ประโยชน์ นักเรียนที่ไปอยู่ในที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ มาจากตระกูลไหนก็ตามต้องอยู่ในสภาพเดียวกัน มีความเท่าเทียมกัน ไม่มีช่องว่างระหว่างนักศึกษา แต่ว่าคนนู้นว่ามี คนนี้ว่าจน เพราะมาอยู่เหมือนกัน ทำมาหากินด้วยกัน เรียนด้วยกัน นั่งในที่เสมอกัน เล่นกีฬาด้วยกัน อะไรกันก็ตาม
นี่เป็นการฝึกนิสัยให้รู้จักประชาธิปไตย รู้จักการกินการอยู่ที่ถูกต้อง ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามสมควรแก่ฐานะ เป็นการช่วยสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่งามให้เกิดขึ้นในจิตใจ วันหนึ่งอาจารย์ได้เรียกลูกศิษย์เหล่านี้มาบอกว่า เวลานี้ ไม้ฟืนของเรามันร่อยหรอลงไปมากแล้ว นักเรียนทุกคนจะต้องเข้าป่า เพื่อสรรหาไม้ฟืนมาสำหรับไว้ใช้ในฤดูฝนต่อไป เพราะว่าเวลานี้คือฤดูฝน หากว่าฝนตกหาไม้ลำบาก หุงข้าวกินก็ยาก จึงควรจะไปหาเสียในตอนนี้ นักศึกษาเหล่านี้ได้ฟังคำของอาจารย์แล้ว ก็เข้าไปในป่าเพื่อหาไม้ฟืน ในหมู่นักศึกษานั้น มีอยู่คนหนึ่งมีนิสัยเป็นคนเฉื่อยชา เกียจคร้าน ไม่ค่อยจะทำงานเท่าไหร่ พอเข้าไปในป่าก็เห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง คือมันผลัดใบหมด ไม่มีใบเลย เลยก็เข้าใจว่าต้นไม้นี้เป็นไม้ตาย เราไม่ต้องไปหาที่ไหน นอนหลับพักผ่อนก็ยังได้ ก็เลยนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้นั้นอย่างสบายอารมณ์ คนอื่นเขาก็เข้าไปหาในป่า ได้ไม้มาคนละนิด แล้วก็แบกมาที่คนนี้ เห็นว่าคนนี้ยังนอนอยู่ ก็ชวนกันปลุกให้ลุกขึ้น แล้วก็บอกว่าทำไมมานอนอยู่ที่นี่ เขาให้มาทำงานไม่ใช่ให้มานอน นี่เวลานี้มันถึงเวลาจะกลับแล้ว ไม้แกอยู่ที่ไหน เจ้านั้นลุกขึ้นมางัวเงียๆ นั่งซึม แล้วก็บอกว่า ไม่ต้องห่วงสบายมากรเองไม้ฟืนเดียวฉันจะจัดการของฉันเอง ฉันมีอยู่พร้อมแล้ว แล้วเขาก็ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้นั้น ไปทำการตัดกิ่งไม้ที่ตนเข้าใจว่าเป็นไม้ตาย แต่ว่าไม้มันไม่ตาย มันผลัดใบ แล้วเป็นไม้ประเภทมียางที่ถูกเนื้อตัวแล้วทำให้ปวดแสบร้อน เขาก็หักอย่างแรง ยางมันก็ออกมา กระเด็นเข้าสู่ไปนัยตา พอเข้าตาทั้งสองข้างคนนั้นก็แสบตา แสบตาก็ขยี้ ขยี้ตาลืมไปเพราะความแสบ เลยพลาดจากกิ่งไม้หล่นลงมาที่ดินแห้ง หลังหัก คนที่เป็นเพื่อนฝูงก็ช่วยกันหามเด็กคนนั้นไปสู่สำนักอาจารย์เพื่อทำการเยียวยารักษากันต่อไป อาจารย์เห็นเช่นนั้นก็ถามว่า เอ้า ทำไม ทำไมจึงมากันในรูปอย่างนี้ พวกนั้นก็บอกเล่าเรื่องให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็บอกว่า นี่แหละเธอทั้งหลายจำไว้ มันเกิดจากความเกียจคร้าน ไม่ได้เกิดมาจากอะไร ไม่ทำงานนี่เรียกว่าคนเกียจคร้าน ความเกียจคร้านนี่เป็นเป็นมลทิลของตระกูล เป็นมลทินของผู้ประกอบกิจการงานด้วยประการต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะไม่ควรเลยแม้แต่น้อย เธอทั้งหลายควรจำไว้ อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างแบบบุคคลนี้เป็นอันขาด เรื่องนี้ก็เป็นเครื่องสอนใจให้เห็นว่า ความเกียจคร้านนั้นมันไม่ดี เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ต่อการงาน
ทำไมคนเราจึงเกิดความเกียจคร้านขึ้นมา ความเบื่อหน่ายในหน้าที่การงานที่เราจะประพฤติปฏิบัตินั่นเอง มันจึงเกิดความเกียจคร้าน ครั้นเราคิดว่าไอ้สิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันเป็นหน้าที่ของชีวิต เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องกระทำ ความจริงชีวิตของเรา การงานเป็นของคู่กัน อาตมาเคยกล่าวกับผู้ฟังทั่วไปว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุข คำพูดนี้เกิดขึ้นในสมัยใดสมัยหนึ่ง ทางรัฐบาลมีการพูดออกมาว่า งานคือเงิน เงินคืองาบันดาลสุข คำว่างานคือเงิน เงินคือง่านบันดาลสุขนี้ ทำให้คนเห็นเงินเป็นใหญ่ แล้วก็วิ่งแต่จะหาเงินกันท่าเดียว เพราะว่าหมายถึงเงินเป็นเรื่องสำคัญ เงินมันบันดาลให้เกิดความสุข นั้นมันไม่ถูกหลักธรรมะ ไม่ถูกหลักความจริงในชีวิตของคนเราทั่วๆไป จริงอยู่ทำงานมันต้องมีเงินใช้ แต่ถ้าถือเงินเป็นใหญ่แล้วมันก็เกิดปัญหา ทำอะไรก็เอาเงินเป็นใหญ่ เวลานี้คอร์รัปชั่นเกิดขึ้นมากในวงการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงราชการ มีการคอร์รัปชั่นโดยทั่วไปเลยทีเดียว ทำไมจึงได้เกิดการคอร์รัปชั่นขึ้นในบ้านเรา ก็เพราะว่าคนมันถือเงินเป็นใหญ่ จนพูดกันว่ามีเงินซะอย่างสบายไปแปดอย่าง
อย่างนี้แสดงให้เห็นว่า เงินเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตไปเสียแล้ว ไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้เกิดความอยากได้เงิน ความอยากได้เงินมันรุนแรงขึ้นมา ก็อาจจะกระทำความผิดความเสียหาย เช่นเราทำงานมีคนมาให้เงิน เราก็ทำให้เขา คนอื่นมาไม่ให้เราก็ไม่ทำให้เขา เพราะเราเคยได้ นิสัยมันเสีย เพราะได้เงินมา พอไม่ได้ เราก็ไม่อยากจะทำงานต่อไป นี่คือความเสื่อมโทรมทางด้านจิตใจ ที่เกิดขึ้นจากคำที่ว่าไว้ งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข เพราะว่าเด็กๆที่เป็นกรรมกรต่างๆ มันพูดว่า งานดีเงินดี เงินดีงานดี ไม่มีเงินก็ไม่ได้ เพราะว่าเงินเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องการ แทนที่จะคิดว่างานเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต เพราะงานมันเป็นเหตุให้เกิดปัจจัยเครื่องใช้สอยขึ้นมา เราถึงว่างานเป็นเรื่องสำคัญกว่า อย่าถือว่าเงินเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าถือเงินเป็นเรื่องสำคัญแล้ว มุ่งแต่จะเอาเงินท่าเดียว ไม่ได้คำนึงถึงอะไร จิตใจคนก็ตกต่ำ เขาเรียกว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน เป็นคนเห็นแก่ได้ ทำอะไรเอาแต่ใจในทางที่จะส่งเสริมความอยาก ความเสื่อมโทรมในชีวิตก็จะเกิดขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายด้วยประการต่างๆ เพราะฉะนั้น การแสวงหาปัจจัย เราอย่าไปคิดถึงเรื่องสิ่งที่เราจะได้มากเกินไป ให้คิดว่างานนี้คือหน้าที่สำคัญของชีวิตเราเกิดมาเพื่อทำงาน เพราะว่าร่างกายนี่มันเกิดจากงาน ร่างกายทุกส่วนนี่ทำงานอยู่ตลอดเวลา หัวใจทำงาน ปอดทำงาน ตับไตไส้พุง
อวัยวะภายในทำงานอยู่ทั้งนั้น แม้แต่เซลล์ทุกส่วนในร่างกายมันทำงาน เราจึงมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าทุกส่วนไม่ทำงานแล้วก็อยู่ไม่ได้ ชีวิตมันเกิดจากงาน ชีวิตเกิดจากงาน เราก็ต้องทำชีวิตให้เป็นงานต่อไป ด้วยการปฏิบัติตามหน้าที่ ที่เราได้รับมอบหมาย แต่ว่าคนบางคนไม่อย่างนั้น ทำงานแบบเฉื่อยๆ ช้าๆ ไม่ตื่นตัว ไม่ว่องไว ไม่คิดก้าวไปข้างหน้า ทำตามสบาย สบายแบบคนขี้เกียจสันหลังยาว ไม่ได้สบายอย่างเป็นสุข เราได้ทำงานอยู่ได้ ไม่ได้สบายอย่างนั้น …… (42.48) ไม่ได้ทำงาน ได้งานมาก ได้เล่นมาก แล้วจะรู้สึกว่าเป็นคนสบาย กลายเป็นคนประเภทเจ้าสำราญ พวกนี้เจ้าสำราญ เจ้าสำราญมันชอบหาความสบายด้วยการหลับนอน การหลับนอนนั้นมันสบาย จริงอยู่ แต่ว่ามันไม่เกิดอะไรขึ้นมา เหมือนกับหมูที่อยู่ในเล้า มันก็กิน กินแล้วมันก็นอน กินแล้วก็นอน อย่างเดียว เราเอาอาหารไปให้มันกิน กินแล้วมันก็นอน หลับปุ๋ยเชียว แล้วมันก็อ้วน โตวันโตคืน อ้วนขึ้นมาแล้วเป็นประโยชน์เอาไปฆ่า กินเนื้อมันต่อไป เรียกว่ามันอ้วนเพื่อตาย กินนอนเพื่อตาย ชีวิตมันจะเป็นประโยชน์อะไร ถ้าคนเราเป็นอย่างนั้น
หมูมันเป็นอย่างนั้นได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น หมูมันกินแล้วนอน หมามันก็กินแล้วนอน เราได้ลูกหมามา พอว่ามันกินอาหารเสร็จมันก็นอน น่าเอ็นดู พอนอนหลับไปซักพักหนึ่งมันก็ลุกขึ้นมาเคล้าแข้งเคล้าขาเลียตีนแล้วมันก็ได้กินแล้ว กินอะไรเสร็จแล้วมันก็ไปนอนอีกแล้ว มันเรื่องของธรรมชาติสัตว์เดรัจฉาน มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าสัตว์ป่านี้มันจะต้องหาอาหาร มันนอนเมื่ออิ่ม พออิ่มแล้วมันก็หมดฤทธิ์ของอาหารในท้อง อาหารย่อยหมดแล้วมันก็หิว หิวแล้วก็ไปหาอาหาร ไปเที่ยวดักจับอะไรมากิน หรือไปหาอะไรมากินตามเรื่องตามราวของมันต่อไป นั่นคือธรรมชาติของสัตว์ มนุษย์เรานี่ก็เหมือนกัน เราจะต้องทำงาน ถ้าเราไม่ทำงาน เราจะมีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มียาได้อย่างไร สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้ มันเกิดได้ด้วยความเคลื่อนไหว ทางร่างกาย ทางจิตใจ เพื่อสร้างงานให้เกิดขึ้น จึงเป็นการก้าวหน้าเพราะงาน ไม่ได้ก้าวหน้าเพราะความขี้เกียจสันหลังยาว คนเราจึงควรคิดก้าวหน้าในการงาน อย่าเป็นคนเกียจคร้าน แต่ว่าคนบางคนก็มีนิสัยเกียจคร้านมาตั้งแต่เด็กๆ อันนี้เป็นความผิดของพ่อแม่ ที่ไม่ฝึกเด็กให้ตื่นตัวให้ว่องไว เช่นตื่นแต่เช้า แล้วก็ลุกขึ้น ลุกขึ้นแล้วนั่งอมน้ำลาย ไม่ไปล้างหน้าไม่เข้าห้องน้ำ เข้าห้องน้ำ ไปถึงก็เอาแปรงจะมาถูฟัน เอายาหย่อนลงแปรง แล้วถือแปรงอยู่นั่นแหละ ไม่ถือเปล่า เปิดน้ำเปิดท่าให้ไหลมันอยู่นั่นแหละ แล้วก็เสียไป ไม่ได้อาบ ไม่ได้ล้างหน้าน้ำมันก็สูญเสียไป เวลาก็สูญเสียไป เลยไม่ได้เรื่องได้ประโยชน์อะไร เวลานี่เป็นของมีค่าสำหรับชีวิต
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราขยัน ท่านให้พากันคิดถึงเวลา ให้คิดว่าเวลาล่วงไปๆ บัดนี้ ฉันทำอะไรอยู่ เพราะว่าถ้าไม่ทำอะไรเวลามันก็สูญไปซะเปล่าๆ สูญอะไรก็ไม่สูญเท่าเวลา เรียกว่า เสียเวลานี่เสียหายมาก เพราะเวลานั้นมันไม่ได้ผ่านไปเฉยๆ มันทำชีวิตของเราให้ชราลงไป ให้แก่ลงไป ให้ชำรุดลงไปด้วย คนอายุมาก ก็เรียกว่าแก่มากนั่นเอง แก่มาก แล้วก็แก่เปล่าๆ มันจะมีค่าอะไร เรียกว่าอยู่ให้มันรกโลก ให้มันหนักแผ่นดิน ไม่ได้ทำแผ่นดินให้มีคุณมีค่า ที่จริงแล้ว จำแนกคนที่เกิดมาในโลกนี้ได้สามประเภท สามประเภท คือ หนึ่ง เกิดมาทำโลกให้งาม สอง เกิดมาทำโลกให้ทราม สาม เกิดมาให้เต็มจำนวนคนเท่านั้นเอง พวกที่เกิดมาทำโลกให้งามนั้น คือคนประเภทเกิดมาเอาการเอางาน ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบกิจการงานตามหน้าที่ ทั้งสนุกในงาน เพลิดเลินในงาน ก็ทำเรื่อยไปไม่หยุดไม่ยั้ง ประเภททำโลกให้งาม ประเภทหนึ่งทำโลกให้ทรามหมายความว่า คือไม่ทำอะไร ถ้าจะทำก็ทำแต่เรื่องเสียหาย สร้างปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับคนอื่น เช่น บางคนชอบเที่ยวกลางคืน เสพย์สุรายาเมา คบเพื่อนชั่ว สนุกสนานประเภทไม่ได้สาระเกินไป เลยเป็น ประเภทที่เรียกว่าไม่ได้เรื่องอะไร ชีวิตมันตกต่ำเพราะว่าไม่ได้ทำงานในเรื่องเป็นประโยชน์ แม้จะขยัน ก็ขยันในเรื่องที่ไม่เป็นคุณเป็นค่า ก็อยู่ในประเภทขยันไม่ได้เรื่อง เป็นคนทำให้โลกมันทรามลงไปด้วยเหมือนกัน นี่ประเภทหนึ่ง อีกประเภทหนึ่ง ก็เกิดมาแล้วอยู่เฉยๆ แล้วไม่ทำอะไร ได้กินไปตามเรื่อง กินกับเขา
คนบางคนเกิดมาในตระกูลที่พ่อแม่มีฐานะ มีเงินมีทอง แล้วก็ไม่ทำอะไร เอาแต่เงินของพ่อแม่ไปกินไปใช้ สนุกสนาน ไปเที่ยวไปเพลิดเพลินไป แล้วก็นอน ตื่นขึ้นมันก็กิน กินแล้วก็เที่ยว อย่างนี้มันอยู่ในประเภทจำพวกเกียจคร้าน ชีวิตไม่ก้าวหน้า เพราะไม่ได้เป็นไปในการสร้างสรรค์อะไรให้เกิดขึ้นในชีวิต แต่เป็นไปเพื่อการทำลายความก้าวหน้า เรียกว่า อยู่ในจำพวกคนขี้เกียจสันหลังยาวเหมือนกัน ไม่ทำงาน ในเมืองไทยเรานี้ก็มีคนประเภทนี้ อยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ที่ไม่ทำอะไร อาศัยคุณแม่ คุณพ่อ คุณลุง แล้วคุณพ่อ คุณแม่ก็สนับสนุนคนเกียจคร้าน ไม่ด่าอะไร มันอยู่ไปตามเรื่องของมัน ไม่ให้ไปทำงานทำการที่ไหน อย่างนี้ชาติจะก้าวหน้าได้อย่างไร ตระกูลจะเจริญได้อย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกลูกให้รู้จักทำงาน มันก็ไปไม่รอด คนบางชาติเขาฝึกเด็กให้ทำงาน ชาวจีนที่มาอยู่ในเมืองไทย คนจีนนั้นมันขยันโดยธรรมชาติ ... ขยันโดยธรรมชาติ ญี่ปุ่นนี่ก็ขยันโดยธรรมชาติ เพราะว่าเขาอาศัยอยู่ในประเทศที่ลำบาก ชีวิตต้องต่อสู้ อยู่นิ่งไม่ได้ เพราะว่าไม่ต่อสู้มันก็ตาย ไม่มีอะไรจะกิน ไม่มีอะไรจะใช้ มันเกิดปัญหาเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่าง ๆ ฉะนั้น เขาก็ขยันมาตั้งแต่เด็กๆ งั้นไม่ว่าเด็กในเมืองจีนนี่ ตื่นเช้าขึ้นต้องเอาเหล็กแหลมไปเที่ยวเสียบใบไม้ เพื่อเอามาทำฝีน เพราะไม้ฟืนหายาก ใบไม้แห้งก็เป็นฟืนได้ หญ้าก็เป็นฟืนได้ อะไรก็เป็นฟืนได้ คนในอินเดียนี่เวลาไป ... ก็เอาตระกร้าไปด้วย ถ่ายออกมาก็ต้องเอาเทใส่ตระกร้า เอามาบ้าน ขยำกับเศษใบไม้ ขยะเปล่าๆ แต่ทำเป็นแผ่น ผึ่งแดดให้แห้งเอาไปทำฟืน เขาต้องทำงานตลอดเวลา หยุดไม่ได้นิ่งไม่ได้ เพราะว่าถ้าหยุดนิ่งเมื่อใด มันก็ไม่มีกินไม่มีใช้ ชีวิตมันก็ลำบาก อันนี้เรียกว่าธรรมชาติบังคับ ให้คนทำงาน แต่ว่าในไทยเรานั้น มันเป็นเมืองที่สบาย ไม่ทำอะไรก็มีกิน ไม่ทำอะไรก็มีใช้ ที่บ้านไม่มีก็ไปอาศัยที่อื่นกินก็ยังได้ แต่ถ้าไม่มีอะไรจะกินก็ไปวัดก็ยังได้ เพราะอาหารที่วัดมันเหลือเฟือ พระฉันไม่หมด คนก็มาเอาไปกินไปใช้ได้ เมื่อได้กินได้ใช้มันก็เลยไม่ทำอะไร กินแล้วก็นอน กินแล้วก็นอน ชีวิตมันก็ไม่เจริญงอกงาม มันอ้วนเนื้อแต่ไม่ได้เติบโตด้วยปัญญา
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนที่มีความเจริญภายเนื้อใน แต่ไม่เจริญปัญญา เป็นคนประเภทโง่เขลา ไม่ได้เรื่องอะไร ชีวิตมันไม่มีความหมาย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ความเกียจคร้านนี้จึงเป็นศัตรูอันร้ายกาจของชาติของประเทศ เป็นสิ่งที่เรียกว่าทำลายโดยส่วนรวม ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์อะไรๆ ให้เกิดขึ้นในชีวิตของคนแม้แต่น้อย จึงเป็นเรื่องที่ควรจะได้พิจารณาว่าเราจะทำอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะเพาะนิสัยความขยันขันแข็งเอาการเอางาน ให้เกิดขึ้นแก่ชาติแก่ประเทศของเรา ให้กับคนในชาติของเรา อย่าให้เป็นคนที่ชอบความสบายโดยไม่ทำอะไร แต่ให้เป็นคนชอบความสบายโดยการใช้ชีวิตให้มันเป็นการเป็นงาน ให้เป็นประโยชน์ แล้วก็สนุกในงาน เพลิดเพลินในงาน อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องทำงานทำการกันตลอดเวลา คนที่ไม่อยู่นิ่งเคลื่อนไหวอยู่เสมอนั้น เป็นการบริหารร่างกายไปด้วยในตัว แล้วก็ไม่มีโรคไม่มีภัย สมัยหนึ่งอาตมาอยู่ที่จังหวัดสงขลา อยู่ในวัดนั้น หลวงพ่อสมพรท่านอายุแปดสิบกว่าแล้ว แต่ว่าท่านขยันมากทีเดียว ท่านฉันอาหารเพลเสร็จแล้ว ท่านพักนิดหน่อย แต่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แล้วท่านก็ลุกขึ้นเดินไปมาในบริเวณวัด ไปเที่ยวเก็บใบมะพร้าวที่มันตกลงมานี่ เก็บมาเรียงๆๆ ไว้ที่หน้ากุฏิของท่าน .... แล้วก็เหลา ริดเอาใบมันออกให้เหลือแต่ทางมะพร้าว แล้วก็ตัดเป็นท่อนๆ ผึ่งแดดไว้ ทำเป็นแห้งๆ แล้วทำเป็นไม้ฟืน ท่านทำอย่างนี้ทุกวันๆ ได้เดิน ได้เคลื่อนไหวทุกวันๆ ท่านก็ไม่มีโรคไม่มีภัยอะไร แต่ว่าวันหนึ่งท่านตัดใบมะพร้าว พลาดไปถูกมือท่าน เลือดมันออกมา เราก็ช่วยรักษาให้ท่านเรียบร้อย แล้วก็คิดว่า อย่าให้ท่านทำงาน เอามีดไปซ่อนซะ เมื่อไม่มีมีดท่านก็ทำงานไม่ได้ ท่านก็เลยพักผ่อน ทีนี้ท่านก็เลยไม่สบาย แล้วก็ถึงแก่มรณภาพไป
อันนี้เราเรียกว่าทำผิดพลาดไป ไม่ให้คนแก่ทำงาน คนแก่ที่อยู่ไม่นิ่ง คือทำนี้บ้าง ทำนู้นบ้าง กวาดขยะบ้าง ทำอะไรบ้างเล็กๆ น้อย ลูกๆ มักจะนึกว่าคุณแม่ไม่เห็นหยุดพักบ้างเสียเลย อันนี้ไม่ควร มันไม่ถูก ตามหลักไปว่าท่านอย่างนั้น ตามใจท่านดีกว่า ท่านชอบทำก็เป็นความสุขของท่าน อันที่จะนั่งนิ่งๆ มันไม่เป็นความสุขของท่านเลย ท่านจะกวาดขยะ ทำนู่นทำนี่ ยิ่งคนทำงานมากๆ ยิ่งขยันมาก เพราะท่านคิดว่าเวลามันน้อยแล้ว ไม่เท่าใดก็จะตายแล้ว ท่านก็รีบใช้ชีวิตบั้นปลายให้เป็นประโยชน์ด้วยการทำงานทำการ ไม่อยู่นิ่งไม่อยู่เฉย บางคนก็มีที่มากหน่อยก็ขุดดินไป นั่งขุดกล้วยไป แล้วก็ปลูกถั่ว ปลูกผักไว้หน้าบ้าน ได้กินได้ใช้ เคยไปเที่ยวจังหวัดสิงห์บุรี พบคนแก่คนหนึ่งถืออีโต้ขุดดินอยู่ที่หน้าบ้านริมแม่น้ำ ก็เข้าไปถามว่าคุณโยมทำอะไร บอกว่าขุดดินเจ้าค่ะ อยู่กันไม่กี่คน อยู่แต่เด็ก ๆ ลูกเต้าไม่มีรึ มีก็ไปอยู่กรุงเทพหมด ทำอะไร ...... (55:23) ทำราชการกันทั้งนั้น ดิฉันอยู่บ้านกับเด็กๆอย่างนี้ ทำไมโยมไม่ไปอยู่กรุงเทพหละ ดิฉันไม่ค่อยสบาย ร้อนก็ร้อน ไปอยู่แล้วมันไม่สบายใจ ไม่มีดินให้ขุด ให้ปลูกหญ้าเขียวๆ ให้ปลูกดอกไม้ ต้นไม้ ดิฉันไม่ได้ทำงานแล้วก็ไม่สบาย ก็เลยกลับออกมา คุณยายขยันเอางานเอาการ ไม่อยู่นิ่งไม่อยู่เฉย ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ จริงๆเป็นชอบ ท่านก็ทำงานไปตามประสาของท่านตลอดเวลา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ท่านก็สบาย เราจึงควรจะได้ละความเกียจคร้าน มาคิดในทางขยันขันแข็ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ว่า ให้รีบลุกขึ้น แต่เช้า ให้ทำงานในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่นพระนี้ ท่านสอนให้ลุกขึ้นแต่เช้า คือต้องการให้ลุกเช้า ลุกขึ้นแล้วให้ ... (56.25) ... หมายความว่า พิจารณาสังขาร ร่างกาย พร้อมสิ่งทั้งหลายให้เห็นว่ามันมีสภาพอย่างไร แล้วก็ต้องออกไปบิณฑบาตร การไปบิณฑบาตรนั้นก็เป็นการไปปฏิบัติงาน เป็นการทำคามขยันขันแข็งให้เกิดขึ้นในจิตใจ ถึงขนาดว่าฉันแล้ว ก็ยังมีงานอื่นให้ทำอีก เช่นว่า ไปทำวัดเช้าา หรือว่าทำวัดเย็น ไม่ใช่เวลาทำวัด ก็เที่ยวกวาดขยะบริเวณวัด ทำความสะอาดสถานที่ ไม่ให้มีเวลาอยู่นิ่งอยู่เฉย มีกิจที่จะต้องทำตลอดเวลา
แม้พระผู้มีพระภาคเอง พระองค์ก็ทรงมีความขยันขันแข็ง ในการประกอบกิจหน้าที่ โดยการอบรมสั่งสอนประชาชน ชี้แนะแนวทางชีวิตให้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นงานเป็นภาระ เป็นหน้าที่ ที่พระผู้มีพระภาคได้ปฏิบัติตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์จึงเป็นบุคคลตัวอย่าง เป็นศาสดาที่มีความขยันขันแข็ง เราทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ควรจะมีชีวิตอยู่ด้วยความตื่นตัว ว่องไว ก้าวหน้า พุทธบริษัทต้องเป็นคนประเภทมีความตื่นตัว ว่องไว ก้าวไปข้างหน้า นี่ถ้าประเภทเฉี่อยชา ชักช้า ไม่ทำงานทำการชอบนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร นั่งเฉยนี่ บางคนนั่งเฉยเพราะทำงาน โดยทำงานทางจิต เรียกว่าไม่เกียจคร้าน ขยันในการเจริญภาวนา ในการศึกษาค้นคว้าด้านจิตใจ ทำใจให้สงบ นั่นเป็นเรื่องของพระ ท่านนั่งนิ่ง สงบนั่นคือการทำงานเหมือนกัน แต่ชาวบ้านนั้น จะมานั่งนิ่งๆ เฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องตื่นตัวเข้า ทำงานทำการ อย่าอยู่นิ่งอยู่เฉย ชวนกันก้าวหน้าพร้อมๆกันทุกคน สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ มันเป็นสมบัติของคนขยัน ไม่ได้เป็นสมบัติของคนเกียจคร้าน เพราะฉะนั้น คนเกียจคร้านจะไม่มีอะไรกิน จะไม่มีอะไรใช้ แล้วจะไม่มีเพื่อน ไม่มีชื่อเสียงในสังคมด้วยซ้ำไป จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน พระพุทธเจ้าจึงถือว่า (59.06) ละนิด เป็นปากทางแห่งความเสื่อม ความเสียหายแก่ชีวิต และพุทธบริษัททั้งหลายจึงไม่ควรจะเป็นคนเกียจคร้าน แล้วก็ควรจะชักชวนลูกหลานให้ขยันขันแข็ง แนะนำ เร่งเร้าอารมณ์ให้ตื่นตัว ให้ว่องไว ก้าวหน้า ปฏิบัติงานทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยเป็นไปด้วยดี จึงจะชื่อว่ามีชิวิตเป็นคุณเป็นค่า เป็นประโยชน์แก่ตน เป็นประโยชน์แก่ชาติ เกิดมาไม่เสียชาติ ไม่อยู่ให้มันหนักแผ่นดิน แปลว่าทำสิ่งทั้งหลายให้เจริญงอกงามขึ้นในแผ่นดินนี้ ตามสมควรแก่ฐานะ ชีวิตจึงจะมีประโยชน์ ทางเสื่อมที่กล่าวมา ความสนุกสนานเกินไป ความเกียจคร้านการงาน เป็นปากทางแห่งความเสื่อม ที่ชาวพุทธทั้งหลายไม่ควรจะเดินในทางสายนี้ แต่เดินในทางที่เรียกว่าตรงกันข้าม เพื่อความเจริญ เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตกันเถิด ดังที่ได้แสดงมา ก็พอสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ขอยุติการกล่าวเรื่องเกี่ยวกับอบายมุขไว้เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าก็จะได้กล่าวเรื่องอื่น เป็นเครื่องเตือนจิตใจแก่เราท่านทั้งหลายต่อไป ตามสมควรแก่ฐานะ ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมทั้งหลายนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที