แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ นั่งพักที่ใดที่หนึ่งซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้ชัดเจน แล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้วันอาทิตย์ที่ ๒๐ ของเดือนกันยายน อากาศไม่ค่อยจะดีตั้งแต่ใกล้รุ่ง ฝนตกมาก ในบริเวณวัดก็ชื้นแฉะ ญาติโยมจะนั่งตามแถวใต้ต้นไม้คงจะไม่สะดวกสบายเท่าใด แต่ว่าบนนี้นั่งได้สบาย แต่เรื่องฝนตกนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติที่จะต้องมี เพราะถ้าไม่มีฝนคนก็ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มีอะไรที่จะกินจะใช้ สิ่งทั้งหลายที่เป็นปัจจัย เครื่องยังชีพอยู่ได้ด้วยแสงแดดและน้ำ ไม่มีความร้อนก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีฝนก็อยู่ไม่ได้ แต่ว่าบางครั้งเราไม่พอใจในการที่ฝนตกลงมา ทั้งๆ ที่ฝนนั้นไม่ได้มาทำร้ายเรา ไม่ได้ลงโทษเราให้เกิดปัญหา แต่ว่ามาช่วยเราให้เกิดความสะดวกสบายในการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าบางครั้งมันชักจะมากไปหน่อยคือสบายเกินไป ตกท่วมบ้านท่วมเมืองเกิดความเสียหาย
เรื่องข่าวน้ำท่วมในปีนี้มีมาแล้วในต่างประเทศ หลายประเทศด้วยกันได้รับภัยน้ำท่วม เมืองไทยเราก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีน้ำท่วมบ้าง แต่ว่าไม่ต้องวิตกอะไรมากเกินไป เพราะมันเป็นเรื่องที่จะเป็นได้ตามธรรมชาติ เราก็ต้องต่อสู้กับสิ่งนั้นโดยใจสงบเยือกเย็น ไม่ต้องไปกลัวกับสิ่งที่ยังไม่มาถึง แต่เราก็ต้องเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ถ้าบ้านไหนน้ำมันจะท่วมก็เตรียมตัวไว้ อะไรที่จะเปียกจะแฉะเราก็เก็บไว้ในที่จะไม่เปียก ทำไว้ก่อนเป็นการไม่ประมาท ป้องกันไว้ก่อนนั้นดี คำไทยเราจึงพูดว่า กันไว้ดีกว่าแก้ในภายหลัง เพราะฉะนั้นจึงควรจะรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นในการต่อไป เราก็แก้กันไว้ เราทั้งหลายก็จะปลอดภัยด้วยดี
อากาศในสมัยนี้ชักจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ก็เห็นแล้วว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นไปในรูปอย่างนั้น ในชีวิตของเราแต่ละคนที่ผ่านมาทุกๆ ปี มันก็มีอะไรที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องตามราวมากมาย แต่ว่าเราไม่ได้บันทึกไว้ ไม่ได้ทำสถิติไว้ว่าปีไหนฝนแล้ง ปีไหนฝนมาก ตกวันไหนเดือนไหน เราไม่ได้ทำสถิติ จึงไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าได้ทำสถิติไว้ก็จะพอกำหนดรู้ได้ เหมือนขงเบ้งที่หยั่งดินฟ้ามหาสมุทรได้ ก็อาศัยสถิติที่ได้กำหนดไว้หลายปีแล้วคาดคะเนล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแล้วมันก็เกิดขึ้นตามที่คาดไว้ อันนี้ก็เพราะอาศัยการจดสถิติของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทำไว้ทุกปีๆ ครบรอบ ๑๒ ปีก็พอจะคำนวณได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปีใด ปีใดฝนมากปีใดฝนน้อย ปีใดผลไม้ดกปีใดผลไม้ไม่มี ก็อาศัยสถิติที่กำหนดไว้ เพราะธรรมชาตินั้นเขาเปลี่ยนแปลงไปตามกฎไม่ค่อยจะวุ่นวาย ไม่เหมือนมนุษย์มีความวุ่นวายสับสน แต่ธรรมชาตินั้นไม่วุ่นวายเป็นไปตามระเบียบ ถ้าเราสังเกตดูให้ดีก็จะเห็นว่าเป็นไปในรูปเช่นนั้น เมื่อมีการกำหนดจดสถิติไว้จึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็พอจะเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสบายในชีวิตประจำวันได้เหมือนกัน ขอให้ญาติโยมได้เข้าใจไว้ในรูปอย่างนี้
ทีนี้เมื่อวันก่อนนี้ได้พูดถึงเรื่องโทษของอบายมุขในเรื่องเกี่ยวกับการพนัน วันนี้ก็จะพูดต่อในเรื่องเกี่ยวกับอบายมุขต่อไป คือพูดให้มันจบเรื่องจะได้เป็นชุดไปเรียกว่าชุดอบายมุข แล้วก็จะได้เป็นหนังสือเล่มเอาไว้สำหรับให้พ่อแม่ได้อ่าน อ่านแล้วจะได้เอาไปอบรมนิสัยลูกเต้าเหล่าหลานให้มีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ จะได้หลีกหนีจากทางเสื่อม มาดำเนินอยู่ในทางที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไป เพราะว่าการดำเนินชีวิตของคนเรานั้นถ้าไม่รู้ทางเดินก็จะหลงทาง เมื่อหลงทางก็เสียเวลาทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตได้มาก แต่ถ้าเรารู้ว่าทางใดถูกทางใดผิด ทางใดเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม ทางใดเป็นเหตุให้เกิดความเจริญ เราก็ไม่เดินในทางเสื่อม แต่เราไปเดินอยู่ในทางที่เจริญเราก็ปลอดภัย ชีวิตเรียบร้อยเด็กหนุ่มเด็กน้อยทั้งหลายที่เติบโตขึ้น ไม่ได้รับคำแนะนำพร่ำสอนในเรื่องที่ควรจะพร่ำสอน เขาไม่เห็นทุกข์โทษของสิ่งชั่วร้าย เขาก็ไปดำเนินชีวิตในทางที่ผิด เป็นเหตุให้ชีวิตตกต่ำเสียหายไปด้วยประการต่างๆ
จึงเป็นหน้าที่ของมารดาบิดา ครูบาอาจารย์ที่จะคอยชี้แนะบอกเตือนให้เขาได้เกิดความรู้ความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ไว้ล่วงหน้าเผื่อว่าเขาไปพบเหตุการณ์เช่นนั้นเข้า เขาจะได้รู้ว่ามันจะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เหมือนเราบอกเด็กให้รู้จักงูซึ่งเป็นสัตว์มีพิษ ถ้ากัดแล้วอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ได้ เด็กมันเห็นงูมันก็วิ่งหนี ไม่เข้าไปใกล้เพราะรู้ว่างูเป็นสัตว์มีพิษ อาจจะทำร้ายตนให้เกิดความเสียหายได้ เด็กนั้นก็จะปลอดภัย แต่ถ้าเราไม่สอนให้เขารู้ไว้ล่วงหน้า เขาเห็นงูก็เข้าไปจับงู งูมันก็ฉกเอาเด็กนั้น ทำให้ถึงแก่ความตายไปได้ฉันใด ในเรื่องทางแห่งความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจเราเดินไปผิดทาง หลงเข้าไปในทางเสื่อมและไม่รู้ว่ากำลังเดินอยู่ในทางเสื่อม เพลิดเพลินสนุกสนานไปกับสิ่งเหล่านั้น เราก็จะเสียผู้เสียคนได้ง่าย มีคนเป็นจำนวนไม่ใช่น้อยที่เดินหลงทางเข้าไปในดงแห่งความเสื่อมของชีวิต เป็นเหตุให้ชีวิตตกต่ำเสียหายด้วยประการต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราทั่วๆ ไป บางคนเป็นลูกคนมีเงินมีทอง ถ้าเอาเงินทองไปใช้สอย (08.55 เสียงไม่ชัดเจน) ในทางที่สุรุ่ยสุร่าย ในทางที่เป็นความเสื่อมเงินทองก็หมดไปสิ้นไป กลายเป็นคนยากคนจนไปก็มี
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเคยเล่าเรื่องไว้ว่า มีเศรษฐีตระกูลหนึ่งมีทรัพย์ถึง ๘๐ โกฏิ ๘๐ โกฏินี้มันไม่ใช่เล็กน้อย โกฏิหนึ่งมันตั้ง ๑๐ ล้าน เท่ากับว่า ๘๐๐ ล้าน มีเงินมีนามีไร่มีสวน ตั้ง ๘๐๐ ล้าน มีลูกชายคนเดียว พ่อแม่ก็นึกว่าเรามีเงินมีทองมากมาย ลูกชายเราจะกินจะใช้สักเท่าใดก็ไม่หมดไม่สิ้น เลยไม่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนอะไร ปล่อยให้เติบโตขึ้นด้วยความสนุกสนานร่าเริง ไม่รู้จักทำมาหากินแล้วก็ไปแต่งงานกับลูกสาวเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่ง ซึ่งเป็นตระกูลที่มีทรัพย์เสมอกัน และมีการเป็นอยู่แบบเดียวกันคือไม่ได้สอนลูกให้รู้จักใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่จะเป็นประโยชน์ ปล่อยให้ลูกใช้จ่ายทรัพย์ในทางสนุกสนานเฮฮาเรื่อยไป เมื่อมาแต่งงานกันแล้วก็เรียกว่าคนเสื่อมมาเจอกัน ชายก็เป็นคนเสื่อมหญิงก็เป็นคนเสื่อมมาพบกันเข้า ก็ไม่ได้ตั้งหน้าทำมาหากิน
เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ไม่ได้ทำอะไร ครั้งพ่อแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วตัวได้รับมรดกมากมายก่ายกอง ก็ไม่ต้องประกอบอาชีพ มีแต่เลือกความเพลิดเพลินสนุกสนาน ตามปกติผู้ชายนั้นต้องไปเฝ้าพระราชาอาทิตย์ละครั้ง ก็เดินทางไปเฝ้าพระราชาโดยรถม้า พก ( 10.57 เสียงกระโดด) หยุดรถคุยกัน คุยกันก็ไม่ลงมาจากรถเพียงแค่คุยกัน แต่หยุดรถคุยทุกวันๆ ผลที่สุดก็ลงมาจากรถแล้วก็ไปนั่งใกล้คนเหล่านั้น คนเหล่านั้นก็เลยเอาเหล้าให้ลูกสะใภ้เศรษฐีดื่ม แกก็ดื่ม ขั้นแรกดื่มน้อยๆ ต่อมาก็หลงใหลลืมตัวเลยดื่มมากเมามาย เลยบอกกับคนพวกนั้นว่าเรามันเป็นเศรษฐีมีเกียรติ จะมานั่งดื่มอยู่ตรงนี้มันไม่สมควร วันหลังพวกท่านไปดื่มที่บ้านเราดีกว่า พวกนั้นก็ดีใจไชโยกันเป็นการใหญ่ ว่าเราได้เข้าไปสนุกในบ้านเศรษฐีแล้ว เลยยกพวกกันไปดื่มที่นั้น ทีนี้เมื่อไปดื่มเหล้าแล้วก็ต้องมีการเล่นการพนัน มีการสนุกสนาน ที่เขาเรียกว่า สุรานารีภาชีมันครบสรร (11.53 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ขึ้นมา สนุกกันไปเรื่อยๆ ไม่เป็นอันทำมาหากิน ไม่ได้สอบสวนเรื่องบัญชีเรื่องการเงินการทอง สุดแล้วแต่คนใช้เขาจะทำกันไป ทำไปหลายปีก็รู้สึกว่าทรัพย์ร่อยหรอ ไม่มีเงินจะใช้เลยต้องไปขายนาสวนที่อยู่ไกลๆ ลำบากที่จะไปตรวจตราเลยขายเสีย แล้วก็มาสนุกกันต่อไป …... (12.23 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ไปขายบ้าน นอกบ้าน บ้านเช่าบ้านอะไร ที่มีอยู่ในเมืองก็เลยขายไป เอามาสนุกมากินเล่นกันอย่างนั้น เมื่อเงินหมดก็ต้องไปจำนำบ้านของตัวไว้ ผลที่สุดบ้านขาดจำนำเขาก็ยึดบ้าน เลยต้องออกจากบ้านออกจากบ้านก็ต้องไปนอนอาศัยตามท่าศาลาเดินทางอย่างคนยากคนจน
พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาทางนั้น เมื่อได้เห็น ๒ คนนั้นนั่งอยู่ที่นั่นก็แย้มพระโอษฐ์ทำท่าเหมือนยิ้มอย่างนั้นแหละ ปกติพระพุทธเจ้าท่านไม่ค่อยยิ้มเท่าไร ท่านเฉยๆ แต่ถ้ายิ้มนี่มักจะมีเรื่อง พระอานนท์ก็ทูลถามว่าทำไม พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เรื่องอะไร เราก็บอกว่า อานนท์ ดูเถอะเห็น ๒ คนนั้นไหม พระอานนท์บอกว่าเห็นแล้ว นี่ ๒ คนนี้ ถ้าเป็นคนไม่ประมาทกลับเนื้อกลับตัวได้ในวัยหนุ่ม จะเป็นเศรษฐีชั้นหนึ่งของนครนี้ ถ้ากลับตัวได้ในวัยกลาง จะเป็นเศรษฐีชั้นรอง ถ้ากลับตัวได้ในวัยชราก็ยังไม่ตกต่ำถึงขนาดอย่างนี้ แต่นี่ตกต่ำลงไปอย่างเหลือเกินเพราะเป็นผู้ประมาทมีทรัพย์แต่ไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักทำให้เกิดดอกออกผล มัวเมาแต่ในเรื่องสนุกสนานเฮฮา คบเพื่อนชั่ว แล้วก็ดื่มเหล้า เล่นการพนัน สนุกสนานในยามราตรี จนกระทั่งเงินหมดนาหมดสวนหมดบ้านหมด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ซึ่งพ่อแม่แสวงหาไว้ให้หมดสิ้นไม่มีเหลือ เพราะความชั่วเข้ามาครอบงำจิตใจ จึงตกระกำลำบากเหมือนนกกระเรียนแก่ที่อยู่ในหนองน้ำที่ไม่มีแม้แต่ปลาสักตัวเดียว ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน หากพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบให้พระอานนท์ฟังเพื่อจะได้เห็นว่าความตกต่ำของชีวิตเกิดจากความสนุกสนานเฮฮา ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสิ่งยั่วยุด้วยประการต่างๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในชีวิต
คนเรามักจะประมาทเช่นพ่อแม่มีเงินมีทอง ลูกก็มักจะสนุกสนานไปตามเรื่อง แสวงหาแต่ความเพลิดเพลินมีรถคันงามๆ แล้วก็วิ่งไปเที่ยวกับสาวๆ ไปเที่ยว หรือรับเพื่อนไปเที่ยวสนุกสนาน เคยมีคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าลูกชายเข้าเรียมหาวิทยาลัย เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ทีนี้เมื่อเข้าไปเรียนก็มีรถยนต์ใช้คันหนึ่ง พาเพื่อนไปเที่ยว ขั้นแรกก็ขับรถไปเชียงใหม่ ขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ ๔-๕ วันแล้วกลับบ้าน กลับบ้านแล้วพาเพื่อนไปเที่ยวถึงจังหวัดอุบลฯ ไปหนองคาย ข้ามไปเวียงจันท์นู่นเพราะสมัยนั้นยังข้ามไปสะดวก แล้วก็กลับมาพักบ้าน ๒-๓ วัน พาเพื่อนลงใต้ไปหาดใหญ่ ไปโกลก ปาดัง (16.00 เบซาร์) พ้นไปเที่ยวถึงปีนัง เที่ยวเตลิดเปิดเปิงไปจนกระทั่งโรงเรียนเขาคัดชื่อออกจากนักเรียน จากนักศึกษาเลยไม่ได้เรียน เพราะว่าลูกไปเที่ยวมากเกินไปสนุกสนานมากเกินไป เสียผู้เสียคนไป
อีกรายหนึ่งนั้นก็เป็นเด็กเรียนไปจะจบแล้ว เรียนปีที่ ๓ แล้ว อีกปีเดียวก็จะจบ แต่ว่าไปชอบดนตรีเข้าเลยเข้าไปในวงดนตรี วงดนตรีเขาก็จะ ...... (16.40 เสียงไม่ชัดเจน) เอาดนตรีไปแสดงก็ไปเรื่อยไปลืมการเรียน ทางมหาวิทยาลัยก็เลยคัดชื่อออกไม่ให้เรียนต่อไป นี่เพราะติดดนตรี คือความสนุกสานทางหู สนุกทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย เรื่องเหลวไหลทั้งนั้น ผลที่สุดเอาตัวไม่รอดตกระกำลำบาก แม้กลับตัวได้ คือมารู้สึกตัวทีหลังแล้วก็เข้าวัดมาบวชมาเรียน ออกไปจะเข้าเรียนต่อเขาก็ไม่รับเสียแล้ว ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ คุณแม่ต้องจ่ายเงินมากมายเพื่อให้ลูกชายเหลวไหลนั้นไปสร้างชีวิตใหม่ต่อไป อันนี้มันเกิดจากว่าไม่ได้คิด แล้วบางทีคุณแม่ก็ไม่ได้กระตุ้นเตือนจิตใจของลูกให้เกิดความสำนึกรู้สึกตัวในเรื่องอะไรต่างๆ โดยนึกว่าลูกมันโตแล้ว เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว อันนี้คือความนึกผิด เด็กมันยังไม่โตหรอก ร่างกายโตจริงแต่ว่าจิตใจยังไม่เติบโต คนเรามันโต ๒ อย่าง ร่างกายโตกับใจโต ร่างกายเติบโตนั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติกินอาหารมากๆ แล้วมันก็เติบโตไปตามเรื่องของมัน แต่ว่าจิตใจจะเติบโตนั้นต้องมีคุณธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาจิตใจ ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาจิตใจแล้ว จิตใจก็จะไม่เติบโต เมื่อไม่เติบโตก็เป็นใจอ่อนแอ ไม่สามารถจะต่อสู้กับปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ผลที่สุดก็เสียผู้เสียคนไปตามๆ กัน
อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทั่วๆ ไป ตระกูลใหญ่ๆ แล้วทายาทเป็นคนไม่โตทางใจ ทำลายทรัพย์สมบัติให้สูญเสียไปมากมายไม่ใช่น้อย เงินทองที่พ่อแม่หาไว้ให้ถ้ารู้จักใช้ รู้จักทำให้เกิดดอกออกผล กินไป ๓ ชั่วคนไม่หมดไม่สิ้น แต่เพราะความเหลวไหลของลูกที่ไม่ได้รับการอบรมเลยเสียหายไปตามๆ กัน มีตัวอย่างอยู่ถมไป ในพระนครเรานี้มีตัวอย่างอยู่หลายครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งมีที่ดินมากมาย แต่ว่าลูกชายเหลวไหลไม่เอาถ่าน ประพฤติตนในทางสนุกสนานเฮฮา ลงทุนทำสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ถูกคนที่ร่วมหุ้นร่วมส่วนต้มยำ ผลที่สุดเกือบเอาตัวไม่รอด ฉะนั้นมีอยู่ไม่ใช่น้อย ตัวอย่างมีอยู่ถมไป
สิ่งเหล่านี้มันเป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของทุกครอบครัว เป็นบทเรียนที่เราควรจะเอามาคุย เล่าให้ลูกชายลูกหญิงของเราได้รับฟังบ่อยๆ เพื่อให้เขาได้เกิดความสำนึกว่า วิถีชีวิตนั้นมันผิดง่ายพลาดง่าย เหมือนกับเราเดินทางขอบเหว ถ้าเดินไม่ระมัดระวังก็ตกเหวตายเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเดินด้วยความระมัดระวัง ประคับประคองตัวให้มันสมดุลไว้ ชีวิตก็จะไม่มีอันตรายไปสู่จุดหมายปลายทางได้ด้วยความเรียบร้อย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะคิดกันในสมัยนี้ เพราะว่าในสมัยนี้โลกมันเจริญในทางเสื่อม ไม่ใช่เจริญในทางเจริญ เรียกว่าเจริญในทางเสื่อม เพราะว่าความเจริญของสิ่งที่เหลวไหลมีมากขึ้น คนประเภทหนึ่งคิดจะหาเงินเข้ากระเป๋าจากความเหลวไหลของเพื่อนมนุษย์หรือจากการทำคนให้มีชีวิตตกต่ำ
คนที่หากินในทางทำคนให้มีจิตใจตกต่ำนี้ น่าจะรวมเข้าในพวกที่ทำลายชาติเหมือนกัน คือทำลายชาติ ทำลายวัฒนธรรม ทำลายศีลธรรมของสังคมให้ตกต่ำลงไป เพราะว่าเขาไปสร้างสิ่งยั่วยุให้คนไปเที่ยวสนุกสนานในทางที่ผิด เป็นเหตุให้หลงใหลมัวเมาในสิ่งเหล่านั้น ทางการคือฝ่ายรัฐนี้ควรจะจำกัดจำเขี่ยให้เรื่องความสนุกสนานบางประเภท ไม่อนุญาตให้เปิดขึ้นมากมายเกินไป เพราะว่ามันไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญของบ้านเมืองแต่เป็นไปเพื่อความเสื่อมโทรมทางจิตใจ คนในบ้านเมืองของเรามีจิตใจเสื่อม แม้ว่าบ้านเมืองจะมีถนนหนทางมีตึกรามบ้านช่องสวยงาม แต่ว่าคนที่อยู่ในที่นั้นเป็นคนเสื่อม มันจะเป็นประโยชน์อะไร ความเจริญนั้นมันจะเกิดประโยชน์อะไร จะเป็นคุณค่าแก่ชาติแก่บ้านเมืองที่ตรงไหน
อันนี้คนเราไม่ค่อยจะได้คิด ที่ไม่คิดก็เพราะอะไร ก็เพราะว่าไอ้พวกนั้นมันฉลาด เวลามันจะทำอะไรในทางที่จะยั่วยุคนให้มีจิตใจตกต่ำ มันก็เอาเงินเข้ามายั่วกับคนที่มีอำนาจให้เซ็นอนุญาตให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือมีหุ้นมีส่วนเขาเรียกว่าหุ้นลม คือไม่ต้องลงทุนอะไรแต่มีหุ้นในสถานที่นั้นสถานที่นี้ มีหุ้นมีส่วนมีทางที่จะได้เงินพิเศษจากความชั่วที่เขากระทำขึ้นนั้น คนเหล่านั้นไม่ได้คิดถึงชาติบ้านเมือง ไม่ได้คิดถึงความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมอันจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติล่มจม เขาไม่คิด คิดอย่างเดียวแต่ว่าข้าได้เงินเป็นพอ ก็เลยเซ็นอนุญาตแกร๊กลงไปเลย พวกนั้นก็ไปสร้างสถานที่เหล่านั้นขึ้น เปิดให้คนเข้าไปสนุกสนานเพลิดเพลินเจริญใจ ไม่มีการควบคุม ไม่มีการดูแล เพราะสถานที่เหล่านั้นเขาเจียดผลกำไรที่ได้มาจากความเหลวไหลนั้นให้แก่คนอื่นที่มีส่วนรับผิดชอบ มีการควบคุมก็เลยทำเมินเฉยเสีย ไม่ดูแลเอาใจใส่ในเรื่องนั้นๆ คนใดสนใจเอาใจใส่ก็จะได้รับทุกข์รับโทษเพราะไปเอาใจใส่มากเกินไป เงินเดือนอาจจะไม่ขึ้นก็ได้คนๆ นั้น
อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ในสังคม ได้ไปสนทนากับท่านผู้หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า มีคนๆ หนึ่งเขาเป็นตำรวจที่ซื่อตรงที่สุด รักษากฎหมายมากที่สุด ไปอยู่ที่ไหนแล้วเป็นต้องปราบ เรื่องเหลวไหลให้ราบเรียบไปเลยทีเดียว ทีนี้คราวหนึ่งย้ายไปอยู่ที่จังหวัดหนึ่ง คือแกเป็นคนที่ไม่สั่งลูกน้องให้ทำถ้าเป็นเรื่องเสียหาย ไปเองเลยทีเดียว เช่นเขามาบอกว่าที่นั่นมีบ่อนการพนัน แกไม่สั่งลูกน้อง เพราะถ้าสั่งลูกน้องมันแพร่งพราย มันไปบอกกันให้ซิกแนลกันหมด พวกนั้นก็เลิกเล่นกันไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอแกรู้เรื่องแกไม่บอกใคร แกเรียกลูกน้องมา ไปธุระกันหน่อย ไม่บอกว่าไปไหน ไปบุกจับได้เลย จับได้ตัวการจับอะไรได้เรียบร้อยตลอดมา แต่เหตุการณ์ชั่วร้ายก็ระงับไปในหมู่นั้นไม่มี
ทีนี้คราวหนึ่งมีตำรวจด้วยกันนั่นแหละมาทำศพมารดา เมื่อทำศพมารดาก็เปิดบ่อนเล่นการพนันกัน เมื่อเปิดบ่อนเล่นการพนันแกรู้ แกก็ไปจับเลย จับเอาตำรวจเจ้างานนั้นมาด้วย จับคนเล่นมาด้วยทั้งหมด แล้วก็ลงโทษอะไรกันไปตามเรื่องตามราว ต่อมาตำรวจผู้น้อยนั้นมันหาเรื่องฟ้องแก แล้วก็คดีมันยืดยาวอยู่ตั้ง ๒ ปีไม่รู้จักเสร็จสักที ระเบียบราชการนี้ถ้าคนใดถูกฟ้องร้องไม่ได้ขึ้นเงินเดือน ไม่ได้เลื่อนชั้นในขณะที่มีการฟ้องร้องกันอยู่ แกเลยไม่ได้เลื่อน เพราะว่าพวกนั้นมันแกล้งทำแกอย่างนั้น แต่แกก็ไม่หวั่นไหว ไปอยู่ที่ไหนแกก็ปราบราบเรียบไปทุกหนทุกแห่ง แต่ยศไม่ได้ขึ้น เงินเดือนก็ไม่ค่อยจะได้ นานๆ จะได้ขึ้นสักทีหนึ่ง เพราะเป็นคนจริง
เดี๋ยวนี้คนทำจริงอยู่ลำบาก คนประพฤติธรรมอยู่ยาก เพราะคนชั่วมันมากในสังคมของมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ไปเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมชั่วเหล่านั้น ตัวจึงจะอยู่ได้สบาย แต่ว่ามันสบายส่วนตัว สังคมไม่สบาย ประเทศชาติไม่สบาย คนที่รักชาติรักประเทศย่อมไม่ไปเข้ากับคนเหล่านั้น แต่ว่าจะต้องรักษากฎหมายเคารพศีลธรรม ทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นการถูกต้อง คนอย่างนี้จะต้องเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีน้ำใจยึดมั่นในธรรมะอย่างจริงจัง ถ้าใจไม่มั่นคงแล้วมันอ่อนไป อ่อนด้วยอะไร อ่อนด้วยเงินนั่นเอง แม้ว่าเหมือนว่าเหล็กแข็งกระด้างเอาเงินง้างอ่อนตามความประสงค์ เขาว่าอย่างนั้น เหล็กแข็งเอาเงินง้างได้ คนแข็งนี่ก็เอาเงินง้างได้ ร้อยไม่ลง พอหมื่นพันมากเข้าไป จำนวนมากขึ้นๆ เลยก็อ่อนตามไป ผลที่สุดก็อยู่ไม่ได้ ผลที่สุดก็ต้องเสียหายกับคนเหล่านั้น อันนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะใจอ่อนนั่นเอง คนเข้มแข็งไม่ค่อยจะมีเมื่อเห็นเงินมากๆ เลยเกิดเป็นปัญหา
ถ้าเราจะแก้ปัญหาอย่างนี้ คือต้องแก้ที่สาเหตุ สาเหตุก็คือสิ่งยั่วยุให้คนประกอบกิจชั่ว มีอะไรบ้างก็คืออบายมุขนี่เอง สิ่งเสพติด การพนัน ความสนุกสนานในยามค่ำคืน อันนี้เราจะต้องแก้ด้วยการไม่ให้มีสิ่งเหล่านั้น ถึงแม้จะมีก็ต้องควบคุมกันอย่างดี เพื่อไม่ให้เกิดเสียหายแก่ชีวิตของคนทั่วๆ ไป ให้แต่บุคคลบางประเภทเข้าไปได้ในสถานที่เช่นนั้น เช่นเยาวชนนี่ไม่ควรให้เข้าไปในสถานที่เช่นนั้นเป็นอันขาด แล้วตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ ใครทำผิดก็ลงโทษกันอย่างจริงจัง อย่าเห็นแก่เล็กแก่น้อย บ้านเมืองจึงจะไปรอด เวลานี้เราขาดคนเข้มแข็ง เอาจริง มีความเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว ยังขาดคนประเภทนี้ จึงไม่สามารถจะทำอะไรให้สำเร็จไปได้ หรือว่าอาจจะมีแต่ว่ามันมีสักคนหนึ่ง ไม่ไหว ไปไม่รอด คนเดียวนี่จะทำอะไรได้ มันต้องเป็นกลุ่มเป็นก้อน คนดีนี่มันต้องมารวมกลุ่มกันเข้า จึงจะเกิดกำลังธรรมะ แต่ถ้าคนดีไม่รวมกลุ่มกัน กำลังจะเกิดได้อย่างไร คนชั่วมันรวมกลุ่มกันก็เกิดกำลังเหมือนกัน แต่กำลังฝ่ายอธรรม กำลังมาร กำลังบาปมันมารวมกันเข้า งัดเอาคนดีพลิกท้อไปเหมือนกัน เราอ่านหนังสือพงศวดารจีนหรืออะไรเก่าๆ นี่ ขุนนางตงฉินนี่ย่ำแย่ไปที่สุดเลย ถูกขุนนางกังฉินเบียดเบียนทุกวิถีทาง จะได้รับชัยชนะก็นู่นหน้าสุดท้ายของหนังสือถึงจะชนะกัน ทำให้คนอ่านใจหวิวไปตามๆ กันว่าจะแย่ แต่ไปหน้าสุดท้ายได้รับชัยชนะ ผลที่สุดธรรมะมันก็ชนะเหมือนกัน แต่กว่าธรรมะจะชนะนี่งอมแหงนไปเลย เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้มันต้องช่วยกันทุกวิถีทาง ...... (29.57 เสียงเทปชำรุด) ความเสื่อมโทรมไม่ให้ลุกลามต่อไป นี่เป็นเรื่องที่น่าคิดจึงขอให้ญาติโยมได้พิจารณาประการหนึ่ง
ทีนี้เรื่องเที่ยวกลางค่ำกลางคืนนี่ก็เป็นเรื่องไม่ดี ...... (30.11 เสียงเทปชำรุด) ธรรมชาติเขาแบ่งไว้ดีแล้ว คือมีกลางวันแล้วก็มีกลางคืน กลางวันนั่นสำหรับทำงาน ประกอบอาชีพ กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน นอนพักเพื่อเอาเรี่ยวเอาแรงไว้ประกอบกิจการงานต่อไป คนสมัยก่อนอายุยืนกว่าคนเราสมัยนี้ เพราะอะไร ก็เพราะว่าคนสมัยก่อนนั้นเขามีชีวิตคล้อยตามธรรมชาติ พอตะวันขึ้นเขาก็ตื่น ตื่นแล้วเขาไปประกอบกิจการงานตามหน้าที่ พอตะวันตกดินไม่มีไฟ ไม่มีอะไรสนุกสนานเขาก็นอนเท่านั้น เว้นไว้แต่ถ้าคืนเดือนหงาย เขาอาจจะมานั่งคุยกันท่ามกลางแสงจันทร์หรือก่อไฟขึ้นกลางสนาม แล้วก็มานั่งล้อมกองไฟคุยกันสนุกสนานกันบ้าง มันก็ไม่มากมายเกินไป เพราะว่าไม่มีการปรุงแต่งในเรื่องความสนุกสนานที่จะให้ยั่วกิเลสมนุษย์เหมือนกับที่ทำในสมัยนี้
สมัยนี้มนุษย์เราฝืนธรรมชาติ กลางคืนเราควรจะพักผ่อน ไม่พักผ่อน แต่ว่าไปเที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับสิ่งยั่วยุต่างๆ ที่เขามีเปิดไว้ทั่วๆ ไป สำหรับยั่วคนให้ไปเที่ยวแล้วพอรุ่งขึ้นก็ไปทำงาน อ่อนเพลีย ตาโรย หน้าตาซูบซีด ทำงานก็ไม่กระปรี้กระเปร่า เพราะง่วงเหงาหาวนอนอ่อนเพลียเพราะการสนุกสนานเที่ยวเตร่ งานก็ไม่ดี งานไม่ก้าวหน้า อันนี้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในชีวิตของบุคคลเหล่านั้นเพราะฝืนธรรมชาติ ถ้าเราปฏิบัติตนตามกฎธรรมชาติ ตื่นแต่เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน ค่ำแล้วก็นอนเสีย หรือไม่นอนก็อยู่กับบ้าน อ่านหนังสือหนังหา หาความรู้เพิ่มเติม หรือว่าพักผ่อนทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ แทนที่จะไปเที่ยวหาความยั่วยวนชวนใจมายั่วกิเลส สร้างกิเลสให้เพิ่มขึ้นในใจ อันนี้จะช่วยให้สิ่งทั้งหลายดีขึ้น
ทีนี้ในสมัยนี้นี่มันมีสิ่งชวนให้เที่ยวให้เพลิดเพลิน ถ้าไปเที่ยวแล้วมันก็เพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น ลืมบ้านลืมช่อง ลืมลูกลืมเมีย เพราะความสนุกสนาน เมื่อปีก่อนนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งตาย ยิงตัวตาย ก็ยิงตัวตายเขาเอาศพมาที่วัด อาตมาก็ไปเยี่ยมศพคือว่าไปเยี่ยมเพราะอยากจะไปรู้เรื่องว่ามันตายเพราะอะไร เพราะว่ายังหนุ่มก็ได้ทราบว่ายิงตัวตาย ก็ปล่อยไว้ก่อนยังไม่ได้พบครอบครัว พอตอนเย็นหน่อยครอบครัวก็มา ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้องไห้น้ำตาไหลอยู่ ถามว่า หนูทำไมร้องไห้ ร้องไห้เรื่องอะไร ...... (33.37 เสียงเทปชำรุด) อ้อ ไอ้คนที่ยิงตัวตายนั่นหรือ ใช่ค่ะ แล้วทำไมถึงได้ยิงตัวตายล่ะ เขาก็บอกว่า บ้านเขาอยู่เกาะเกร็ด แล้วก็ไปทำงานที่เกษตร พอเลิกงานแล้วหนุ่มๆ ก็ไปเที่ยวกัน กินเหล้าเมายา สนุกสนานดูหนังฟังเพลง ไอ้เรื่องสนุกมันเยอะ ถ้าเราไปก็เพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น กลับบ้านดึกดื่นทุกคืน เมียก็ต่อว่าต่อขานว่าทำไมไปเที่ยวอย่างนั้น หาเรื่อง ไม่รู้หรือว่าข้างหลังเขานึกถึง นั่งคอย กลัวว่าจะตกน้ำตาย กลัวว่ารถสิบล้อมันจะขยี้เอาตายไม่ได้กลับบ้าน พูดบ่อยๆ ต่อว่าบ่อยๆ แต่ไอ้หนุ่มคนนั้นมันก็ไม่คิดกลับจิตกลับใจ เพราะว่าเมียคนเดียวอยู่ที่บ้าน เพื่อนที่สำนักงานมันหลายคน พอเลิกงานเพื่อนก็ขยิบตากัน ไปกันอีกแล้วหรอ ไปทุกที แล้วกลับบ้านมาก็มีกลิ่นสุราเมรัยฉุยมาตลอดเวลา วันนั้นมาเมียก็ต่อว่าต่อขานตามเคย มันเข้าห้องน้อยใจว่าเมียต่อว่า เลยยิงตัวตาย เลยได้เอาศพมาฝากเผาที่วัดนี้
อาตมาได้ฟังแล้วก็ว่านี่แหละ เรื่องมันเสียหาย ก็เพราะว่าเที่ยวกลางคืนนี่ ไม่ใช่เรื่องอะไร พระพุทธเจ้าท่านจึงบัญญัติว่าเที่ยวกลางคืนนี่เป็นอบายมุข เป็นปากทางแห่งความเสื่อมความเสียหาย ไม่ดีไม่งาม เที่ยวกลางคืนมันมีโทษอย่างไรบ้าง
๑ ชื่อว่าไม่รักษาตัว ไม่รักษาตัว ไม่รักษาตัวเพราะอะไร เพราะว่าการไปเที่ยวกลางคืนนะ ไม่รักษาตัว ที่เห็นง่ายที่สุดก็คือว่า ไม่รักษาสุขภาพทางร่างกาย เพราะไปเที่ยวดึกดื่น จึงจะกลับมาบ้าน ไม่ได้หลับได้นอน นี่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมแล้ว ไม่รักษาเนื้อรักษาตัวเพราะว่าร่างกายทรุดโทรม แล้วไปเที่ยวไม่ได้เที่ยวเฉยๆ ต้องไปดื่มเหล้า หรือบางทีก็ไปเล่นการพนัน แล้วก็ไปหาความสนุกสนานประเภทต่างๆ ที่เขามีไว้ยั่วยุจิตใจคนให้ไปเที่ยว ก็เรียกว่า ลดสุขภาพของตัวเอง ทำลายร่างกายจิตใจให้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ เรียกว่าไม่รักษาตัวเพราะตัวจะเสื่อมลงไปทุกวันทุกเวลา เพราะการไปเที่ยวไปเตร่อย่างนั้น คนที่รักตัวนั้นเขาต้องประคับประคองตัว ไม่ปล่อยตัวปล่อยตนไปในทางเสื่อม พอรู้ว่าความเสื่อมนั้นมันทำลายเรา มันไม่ได้สร้างเรา ไม่ได้ช่วยให้เราเจริญ ไม่ช่วยให้เราก้าวหน้า เขาก็ไม่ไป ถ้าไม่ไปก็เรียกว่า ประคับประคองตนไว้ในทางที่ถูกที่ชอบ แต่ถ้าไปเที่ยวก็ชื่อว่า ไม่รักษาตัวแล้ว เพราะว่าตัวเป็นผู้ที่ไปเที่ยวเตร่ อดหลับอดนอน แล้วบางทีก็ไปหาโรคหาภัยใส่ตัว ทำให้เกิดความเสียหายนี่เรียกว่าไม่รักษาตัวอย่างนี้
ประการที่ ๒ ไม่รักษาลูกเมีย เพราะว่าเมียอยู่ที่บ้าน ลูกก็อยู่ที่บ้าน พ่อมีหน้าที่จะต้องคอยดูแลสุขทุกข์ของคนภายในบ้าน เวลากลางคืนนี่มันมีอันตราย เพราะว่ากลางคืนเดือนมันมืด อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ พ่อบ้านไม่อยู่ ทำให้คนที่อยู่ในบ้านเกิดว้าเหว่ไม่สบายใจ เป็นทุกข์เพราะว่าในครอบครัวต้องมีผู้ชายเป็นผู้ให้ความอุ่นใจแก่ครอบครัว แต่ตัวไปเที่ยวเสียอย่างนั้น ก็ชื่อว่า ปล่อยปะละเลย ไม่รักษาลูกเมียให้มีจิตใจสบาย ให้มีความอบอุ่นใจ ตัวไปหาความสบายในทางเหลวไหลคนเดียว จึงได้ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย ถ้าจะมีคนเข้ามาในบ้านเพื่อทำร้ายครอบครัว ก็ทำร้ายง่าย เพราะไม่มีใครต่อสู้ ไม่มีใครป้องกัน บ้านใดที่ไม่มีผู้ชายอยู่เฝ้าบ้านหรือไม่มีพ่อบ้าน ไอ้พวกผู้ร้ายมันก็มุ่งมาเอาบ้านนั้น ขึ้นไปจี้ไปปล้นเอาทรัพย์สมบัติของบ้านนั้นไป ลูกเมียก็ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนจากการเที่ยวเตร่ของพ่อยอดผัวนั่นเอง มันจึงเสียหาย เรียกว่าไม่รักษาลูกเมีย ทำให้ลูกเมียได้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
อีกประการต่อไปนี้ชื่อว่า ไม่รักษาทรัพย์สมบัติของตัว ตัวไปเที่ยวใครดูแลทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ในบ้าน วัวควายทิ้งไว้ เงินทองทิ้งไว้ คนมันอาจจะมาลักมาขโมยได้ง่าย แต่ถ้าตัวอยู่บ้าน ขโมยมันก็เกรงๆ สักหน่อยว่ามีผู้ชายอยู่ในบ้าน มันจะต่อสู้กับเรา แต่ว่าโจรสมัยก่อนมันอย่างนั้น แต่โจรสมัยนี้มันอาจจะไม่คิดอย่างนั้นก็ได้ ถึงอยู่มันก็เข้ามาจี้มาปล้นเอาได้ แต่ก็ยังชั่วเพราะว่าผู้ที่อยู่ทุกคนก็นึกว่ามีคนคอยสู้ตัวจะได้หนีทัน มีแนวหน้าว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ถ้าไม่มีพ่อบ้านอยู่ก็เรียกว่าขาดแนวป้องกัน แนวป้องกันมันไม่มี พอมาถึงโจรเข้ามาถึงแนวหลังเลย ลูกเมียก็ได้รับความเดือดร้อน ทรัพย์สมบัติก็เสียหาย นั่นได้ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งคนเที่ยวกลางคืนไม่รักษาทรัพย์ เพราะว่าการเที่ยวมันต้องใช้จ่าย ไปไหนมันต้องใช้ จ่ายค่ารถ จ่ายค่าอาหาร จ่ายซื้อความสนุกสนานเช่นเราจะไปฟังเพลง ก็ต้องค่าผ่านประตูเข้าไป เมื่อไปนั่งฟังเพลง นั่งเฉยๆ มันได้เมื่อไหร่ มันต้องสูบบุหรี่ เสียสตางค์ค่าบุหรี่ ต้องดื่มเบียร์ เสียสตางค์ค่าเบียร์ ดื่มน้ำอัดลม เสียสตางค์ค่าน้ำอัดลม บางทีนั่งคนเดียวไม่สนุกเพราะว่ามันขาดรสชาติ ต้องมีคนมานั่งข้างสักคนหนึ่งก็เสียค่าชั่วโมงนั่งของคนนั้นเข้ามาต่อไป มันเสียทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลยที่จะไม่เสีย เงินมีเท่าใดก็ควักใหญ่ ลืมตัวประเดี๋ยวร้อยหมดแล้ว สองร้อยหมดไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว แค่นี้เขาชมเข้าบ้าง ป้อยอเข้าบ้าง ไอ้ตัวก็เหลิงไป ลืมตัวไป ล้วงเรื่อยจ่ายเรื่อย กลับบ้านเข้า สตางค์หมดแล้ว อันนี้เรียกว่าไม่รักษาทรัพย์ของตัว ทรัพย์สมบัติก็หมดสิ้นไป ทรัพย์ภายนอกหมดสิ้นไปเรื่อย อาการอย่างนี้ กลับบ้านก็ต้องเสียค่ารถ มาถึงบ้านก็ต้องทำอะไรอีก มันหิวกระหาย ต้องดื่มต้องกิน เรื่องสตางค์ทั้งนั้น เรียกว่าไม่รักษาทรัพย์เพราะการเที่ยวเตร่ ทรัพย์ภายนอกหมดไปสิ้นไป
นอกจากทรัพย์ภายนอกหมดสิ้นแล้วทรัพย์ภายในก็หมดไปด้วย ทรัพย์ภายในคือคุณงามความดี ที่มีเป็นทุนอยู่บ้าง ถ้าเราไปเที่ยวเตร่สนุกสนานเฮฮาอย่างนั้น คุณงามความดีนั้นก็ค่อยลดลงไป เสื่อมลงไป จนกระทั่งหมดคุณงามความดี จิตใจก็ไปอยู่กับความชั่วความร้าย ไม่มีพระเหลืออยู่ในใจแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่มีพระห้อยคอนั่นแหละ แต่ว่าพระข้างในมันหมดไปเสียแล้ว ไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองตนต่อไป อย่างนี้เรียกว่าไม่รู้จักรักษาทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัติของตนก็จะหมดสิ้นไปเรื่อยๆ อย่าประมาทว่ามีเงินมากจะใช้ไม่หมด
ถ้าจะใช้กันแล้วมันหมดเหมือนกับน้ำในโอ่ง ถ้ามีรูรั่วเราไม่อุด แล้วมันก็รั่วๆ ตลอดทุกเวลามันก็รั่วหมด ผลที่สุดเราก็ไม่มีน้ำใช้ เพราะโอ่งมันรั่ว แต่ถ้าเราอุดรูรั่วไว้แล้วก็ตักน้ำใส่ น้ำก็จะเต็มโอ่ง เราจะได้กินได้ใช้ตลอดไป ฉันใด ในเรื่องชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน คุณงามความดีนั้นมันค่อยรั่วหมดไป เพราะเราไปมัวเมาหลงใหลกับสิ่งชั่วสิ่งร้าย ทรัพย์ภายในก็จะสิ้นไป ศรัทธาความเชื่อหมดไป ศีลความเป็นระเบียบเรียบร้อยหมดไป ความอดทนก็หมดไป การควบคุมตัวเองก็หมดไป ความละอายบาปกลัวบาปก็หมดไปสิ้นไป ทรัพย์ภายในหมด ไม่มีเหลือ คนเที่ยวกลางคืนนี้ทรัพย์ภายในก็หมดไปสิ้นไป ทรัพย์ภายนอกก็หมดไปสิ้นไป ผลที่สุดก็ตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้
ถ้าเราทำงานเช่นว่าทำงานเป็นเสมียนห้างร้าน หรือว่าเป็นข้าราชการ ถ้าเรามัวเที่ยวกลางคืนนี่ มันอันตรายแล้ว คือคนเขารู้ว่าเราเป็นข้าราชการ มีนิสัยชอบเที่ยวกลางคืน เขาก็จะเอาเรานั่นแหละเป็นเครื่องมือของเขาต่อไป คือมาตีสนิทสนมแล้วก็ให้ความช่วยเหลือในเรื่องความสนุกสนาน แล้ววันหลังก็จะใช้เราให้อำนวยประโยชน์ให้แก่เขา คอรัปชั่นมันก็เกิดขึ้น เพราะการไปเที่ยวสนุกสนานอย่างนี้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติได้ ถ้าเป็นทหารไปเที่ยวสนุกสนานยามค่ำคืน อันนี้มีคนประเภทหนึ่งที่เรียกว่า เขาทำจารกรรม ต้องการจะรู้ความลับของกองทัพ เขาก็มาตีสนิทสนมคนนั้น พอรู้ว่าคนนั้นเป็นคนกลางคืน ชอบเที่ยวชอบเตร่ เขาก็เอาไปเลี้ยงดูปูเสื่อให้พอมึนๆ ทีนี้คนเราพอมึนแล้วมันพูดไม่มียับยั้งเรียกว่าไม่มีเบรกแล้ว เขาก็ถามอะไรก็พูด ถามอะไรก็พูด เรื่อยไป ความลับของทางราชการที่ควรจะปกปิดก็เปิดเผยให้แก่คนที่เขามายั่วยุ แล้วก็ถามเอาจากคนนั้น ผลที่สุดก็ความลับกองทัพไม่มี ข้าศึกรู้หมดว่าอะไรเป็นอะไร เขาจะทำลายพวกเราเมื่อไหร่ก็ได้ นี่เป็นความเสื่อมหรือไม่ ขอให้เราทั้งหลายลองพิจารณา
ถ้าพิจารณาในแง่นี้ก็จะพบความจริงว่ามันเสื่อมสลายมาก ชีวิตของคนกลางคืนนี้นำความเสื่อมมาในทางทรัพย์สมบัติ ไม่เฉพาะส่วนตัวครอบครัว แต่จะทำให้ทรัพย์สมบัติของชาติหมดไปสิ้นไป ข้าราชการที่ทำการคอรัปชั่น อันเนื่องมาจากอะไร อันเนื่องมาจากการเที่ยว เที่ยวเตร่สนุกสนานบางคนชอบดื่มของเมา บางคนชอบการพนัน บางคนชอบเที่ยวกลางคืน แล้วเงินทองมันฝืดไม่พอใช้ ทีนี่คนที่เขาจะทำให้เราเสียคนนั้นมี คือให้เราเสียคนเพื่อเป็นเครื่องมือของเขา เขาก็มาช่วยเหลือให้เงินให้ทอง ให้ไปกินไปใช้ แล้ววันหลังเขาจะใช้เราเพื่อทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขา เกิดคอรัปชั่น ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ก็เพราะสิ่งที่เป็นอบายเหล่านี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เกิดมาจากเรื่องอะไร
ผู้มีปัญญามีความรักตน รักครอบครัว รักวงศ์สกุล จึงต้องหลีกเลี่ยงจากความสนุกสนานในยามค่ำคืน สิ่งต่างๆ ที่เขามีอยู่เวลานี้เช่นบาร์ ไนต์คลับ โรงแรม ม่านรูดทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งมีมากในเมืองไทย นั่งไปตรอกไหนซอยไหนก็มักจะเจอ อาตามานั่งรถไปบางทีก็ผ่านไปซอยนั้นก็เจอ เมื่อวานนี้ก็ไปซอยงามดูพลี ไปสมาคมธรรมศาสตร์ก็นั่งไปถึง อ้อ ไอ้นี่ก็ม่านรูดเหมือนกัน ใหญ่โตรโหฐานดีเลย โรงแรมประเภทนี้ ไอ้พวกเหล่านี้ตำรวจควรปราบให้มันเด็ดขาดสักหน่อย สั่งปิดเสียเลยก็รู้อยู่ว่ามันไม่ใช่โรงแรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของชาวต่างประเทศอะไรที่ไหน แต่มันส่งเสริมความชั่วร้ายในสังคม ทำให้คนหนุ่มทั้งหลายเสียผู้เสียคนไปตามๆ กัน ควรจะปิดให้หมดโรงแรมเหล่านี้ ตีตราประตูเอาตราครั่ง (46.40 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ทับ ไม่ให้คนเข้าให้ออกกันต่อไป ให้มันฉิบหายไปก็ช่างหัวมัน แต่ว่ามันไม่ปิดไม่ได้ก็เพราะว่าผลประโยชน์ร่วมกันนี่เอง ไอ้พวกแนวร่วมมันเยอะไอ้ของชั่วเหล่านี้มีแนวร่วมมาก มันก็อยู่สบายๆ กันต่อไป ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นสิ่งที่เรียกว่า เป็นประตูอบาย ที่เปิดไว้สำหรับคนให้ไปเที่ยวเตร่ แล้วหมดเนื้อหมดตัวเกิดความเสียหายด้วยประการต่างๆ นี้ประการหนึ่ง
ประการที่ ๔ คนเที่ยวกลางคืนนี่เป็นที่ระแวงของคนทั่วไป เห็นคนเดินกลางคืนนี่เขาระแวงแล้วว่า ไอ้นี่เป็นนกเค้าแมว นกเค้าแมวนี่มันหากินกลางคืน เพราะว่าตามันมืดในเวลากลางวัน เราจึงเห็นนกเค้าแมวกลางวันนอนพัก พออากาศมืด ก็ออกเลยนกเค้าแมว ทีนี้คนเที่ยวกลางคืนนี้เรียกว่าเป็นคนประเภทนกเค้าแมว พอกลางคืนก็ออกเที่ยว เที่ยวไปเข้าในตรอกในซอย คนเห็นก็ชักจะระแวงว่า ไอ้นี้จะเป็นนัก (47.54 เสียงไม่ชัดเจน) นักล้วงกระเป๋า นักจี้นักปล้น นักอะไรต่างๆ คนก็ระแวงสงสัย ตำรวจระแวงอาจจะจับไปโรงพักก็ได้ เพื่อไปสอบสวนดูว่าทำไมมาเดินอยู่กลางค่ำกลางคืน ไม่หลับไม่นอนมาเดินทำอะไร เป็นที่ระแวงสงสัย ไม่ปลอดภัยแก่ตัว ไม่ปลอดภัยแก่คนอื่น ในการที่ไปเที่ยวในรูปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ตนด้วยประการต่างๆ
แล้วคนเที่ยวกลางคืนนี่มักถูกใส่ความ ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในซอยนั้นในตรอกนั้น คนใดเป็นคนเที่ยวกลางคืนก็สงสัยก่อน สงสัยว่าท่าจะไอ้นี่ล่ะ ก็เห็นมันเดินกลางคืนบ่อยๆ ตำรวจก็ถือโอกาสจับเอาไปไว้โรงพัก จับก่อนค่อยพูดกันทีหลัง เหตุผลค่อยว่ากัน จับก่อนเพราะว่ามักจะเป็นคนเที่ยวกลางคืน เลยถูกใส่ความว่าเป็นขโมยเป็นโจรผู้ร้าย หรือเป็นนั่นเป็นนี่ เราอยู่กับบ้านใครจะมาจับเราไป เราไม่ไปไหน นอนอยู่กับบ้านไม่ถูกจับหรอก แต่ถ้าไปเที่ยวกลางคืนอย่างนั้นคนเขาก็ระแวงแล้วก็มักถูกใส่ความว่าอย่างนั้นอย่างนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็สงสัยคนนั้นไว้ก่อน เพราะเห็นเป็นคนชอบกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ชอบเที่ยวกลางคืนมักถูกใส่ความอย่างนี้ และผลสุดท้ายคนนั้นก็จะได้รับความลำบาก ไม่ลำบากแต่ตัวคนเดียว ลำบากไปถึงครอบครัวด้วย แม่บ้านเดือดร้อน ลูกเดือดร้อน ทำให้เพื่อนบ้านเรือนเคียงก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย
นี่คือโทษที่เกิดขึ้นจากคนเที่ยวกลางคืน รวมความว่าเที่ยวกลางคืนนี้มีโทษ ๖ อย่าง คือ
๑. ชื่อว่าไม่รักษาตัว
๒. ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย
๓. ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ
๔. เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย
๕. มักถูกใส่ความ
๖. ได้รับความลำบากในเรื่องการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะการเที่ยวเตร่อย่างนั้น
ทีนี้เรามีลูกมีเต้า อย่าให้มันไปเที่ยวกลางคืน เรียนกลางคืนนี้มันอันตราย ความจริง เดี๋ยวนี้ชอบให้มีโรงเรียนกลางคืน เด็กหนุ่มก็ไปเรียน เด็กสาวก็ไปเรียน ไอ้หนุ่มก็ไปเรียนนี่ก็ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ว่าเด็กสาวไปเรียนกลางคืนนี่ไม่ค่อยจะปลอดภัย เดินเข้าบ้านในตรอกในซอกในซอย อาจจะมีใครมาฉุดมาคร่าไปเมื่อใดก็ได้ เป็นเรื่องที่เสียหาย ไม่ควรจะส่งเสริมการเรียนกลางคืน เมืองไทยเรานี่การศึกษายังไม่พอใช้ โรงเรียนไม่พอ เรียนสองผลัดนี่ก็ไม่ดีแล้ว ผลัดเช้าไปเรียน ผลัดบ่าย มันตั้งแต่เช้า ผลัดบ่ายแต่มันไปเที่ยวก่อน ไปดูหนังไปอะไรต่ออะไร พอเวลาเที่ยงหรือบ่ายโมงก็ไปเข้าเรียน ไอ้พวกผลัดเช้าพอเลิกเรียนแล้วก็ไม่กลับบ้านไปเที่ยวต่อไป เปิดช่องให้เด็กเหลวไหลมาก การเรียนสองแบบนี้ อาตมาเคยสนทนากับครู ครูบอกไม่ดีแล้ว ไม่ไหว อึดอัดผมไม่รู้จะทำอย่างไร ทางการเขาให้ทำอย่างนี้ก็ต้องทำอย่างนี้ นี่เราส่งเสริมความเสียหายให้แก่เด็ก เพราะการเรียนสองผลัด
แล้วก็พวกเรียนโรงเรียนผู้ใหญ่ก็ต้องไปเรียนกลางคืน ถ้าโรงเรียนมันอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่บางทีก็อยู่ไกล ต้องเดินทางไปไกลกลับบ้านมันก็จะเกิดความเสียหายได้ง่าย แล้วก็ยังมีสถานที่ต่างๆ ซึ่งมันควรจะเป็นเวลาปิดเปิดเป็นเวลา ไม่ให้มันดึกดื่นเกินไป ความจริงบ้านเมืองของเรานี่ไม่ควรจะให้สนุกเกินไปแล้ว เพราะบ้านเมืองมันคับขัน เศรษฐกิจไม่ดี ไม่ควรจะให้สนุกมากไป กลางคืนนี่เอาเพียงซักแค่ ๒๒.๐๐ นาฬิกาก็พอ ๒๒.๐๐ นาฬิกาก็ปิดหมดร้านรวงปิดหมด บาร์ไนต์คลับปิดหมด คนเดินบนถนนไม่ได้แล้วต้องรีบกลับบ้าน ใครเดินบนถนนเวลานั้นตำรวจจับเอาไปโรงพักให้ไปนอนโรงพักให้ยุงกินสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็ปล่อยกลับบ้าน บ้านเมืองมันจะมีระเบียบขึ้น เรียบร้อยขึ้น แต่ทำไมจึงทำไม่ได้ มันยังไม่มีคนกล้าหาญที่จะทำเรื่องอย่างนี้ เพราะผลประโยชน์มันสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา จึงไม่กล้าทำอะไร ความจริงทำมันก็ได้
สมัยก่อนนี้เมื่อมีการเคอร์ฟิวอะไรในสมัยรัฐบาลธานินทร์นั้นล่ะ คนเขาชอบกันทั้งนั้นนะ แม่บ้านก็ชอบใจว่า พวกพ่อไอ้หนูก็กลับบ้านเร็วหน่อย อันนี้ลองถามพวกภัตตาคารร้านค้า เขาบอกว่าไม่ขาดทุนอะไร ดีซะด้วยค้าขายดี แล้วได้หยุดพักไวๆ พอเวลา ๒๒.๐๐ น. นี่ก็หยุดพักแล้ว กลับบ้านแล้ว เก็บข้าวเก็บของ ถ้าอยู่ไปถึงเที่ยงคืนกว่าจะได้กลับไปนอนนี่ เจ้าของ ตี ๑ ตี ๒ เก็บข้าวของกว่าจะเสร็จอะไรต่ออะไรมันนาน คนมากินเสร็จแล้วมันไม่กลับ นั่งอยู่ตรงนั้น กินจานเดียวแต่ว่านั่งอยู่ ๓ ชั่วโมง ฟังเพลง มีเพลงด้วย มีร้องเพลง ไอ้ภัตตาคารไหนขายอาหารด้วยร้องเพลงด้วย ล้มไปหลายรายแล้ว ขาดทุน เพราะอะไร คนเข้ามานั่งแล้วมันไม่ถอย มีโต๊ะ ๑๐ โต๊ะมันนั่งเต็มหมด คนอื่นไม่ต้องกินอะไรหรอก ก็นั่งอยู่นั่นแหละ จะไปไล่ก็ไม่ได้เพราะว่ายังไม่ได้คิดสตางค์แล้วมันไม่ลุกขึ้นจะเสียมรรยาท ล้มไปหลายรายแล้ว แต่ภัตตาคารที่เขาไม่มีร้องเพลงให้กินเฉยๆ กินเสร็จเขาก็ไป อย่างนี้ดี แล้วเวลาเกิดเคอร์ฟิวก็สบายไม่เดือดร้อน คนก็ไม่เที่ยวไม่เตร่ อะไรมันก็ดีขึ้น แต่ไม่ชอบ ทีหลังก็เลิกเสียปล่อยตามใจ
เมืองไทยนี่ถ้าไม่มีระเบียบกวดขันความเป็นอยู่ของคนแล้วจะไปไม่รอด เพราะคนไทยเรามันเสรี ๑๐๐ ๑๕๐ เปอร์เซ็นต์ มันไม่ใช่ ๑๐๐ เรียกว่า ๑๕๐ ๒๐๐ ฟรีกันเหลือเกิน อะไรๆ ก็ฟรีกัน มันต้องมีการจำกัดลงไปว่าควรทำเท่านั้นควรทำเท่านี้ บ้านเมืองจึงจะอยู่เย็นเป็นสุขตามสมควรแก่ฐานะ พูดฝากๆ ไว้เผื่อว่าผู้หลักผู้ใหญ่เขาจะได้ยินแล้วจะรำคาญท่านปัญญาเท่านั้นเองไม่ใช่เรื่องอะไร ได้ฟังแล้วก็รำคาญ ท่านเจ้าคุณนี่พูดไม่เข้าเรื่อง แต่ก็พูดมันไปตามเรื่อง ก็พูดให้มันรู้ว่ามันไม่ไหวแล้วถ้าไม่แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นมันจะเสียหาย
ดังที่แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้