แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
มีญาติโยมบางคนได้มาบ่นว่าเด็กที่มากับมารดา บิดามักจะวิ่งเล่นซุกซน ทำให้เสียสมาธิ ฟังธรรมไม่สะดวก จึงใคร่ขอร้องญาติโยมที่พาเด็กมาด้วย ให้เด็กมานั่งอยู่กับตัว นั่งอยู่ใกล้ๆ ตัว อย่างไปวิ่ง ไปเล่น ไปวุ่นวายทำให้คนที่เขาตั้งใจฟังธรรมะเสียสมาธิ เป็นโทษแก่เด็กเอง คือไม่มีมรรยาทนั่นเอง ให้นั่งให้เรียบร้อย แล้วก็คอยดูเด็กอย่าให้วิ่งเพ่นพ่านเป็นการรบกวนสมาธิคนอื่น อาตมาเองก็ไม่ค่อยเห็น แต่ว่ามีคนเขาเห็น เพราะว่าเขานั่งฟังข้างล่างนี้ ทีนี้เด็กที่เดินผ่านผู้ใหญ่ก็ให้นั่งลงให้เรียบร้อยตามผู้ใหญ่ก็จะเป็นการดี นี่เป็นเรื่องที่เขาอุทธรณ์มาก็ต้องบอกให้ทราบกันเสียหน่อย แล้วก็มาตั้งใจฟังธรรมกันต่อไป
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคม หรือเดือน ๘ ถือว่าเป็นเดือนสำคัญของพระพุทธศาสนาเหมือนกัน ควรจะเรียกเดือนนี้ว่าเป็นเดือนพระธรรม เดือน ๖ นี่เป็นเดือนพระพุทธเจ้า เดือนกุมภาพันธ์นี่เป็นเดือนพระสงฆ์ เพราะเป็นวันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เดือน ๘ นี่ควรเรียกว่าเป็นเดือนพระธรรม เพราะว่าพระพุทธเจ้าประกาศธรรมครั้งแรกในวันเพ็ญเดือน ๘ ที่จะถึงข้างหน้า คือวันที่ ๑๖ เดือนกรกฎาคมเป็นวันเพ็ญ เป็นวันตรงกับวันประกาศสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อให้ชาวโลกได้เกิดความรู้ความเข้าใจ เราเรียกวันนั้นว่าเป็นวันธรรมจักรเพราะประกาศธัมมจักกัปปวัตตนสูตรให้โลกได้ยินได้ฟัง หรือเรียกว่าวันอาสาฬหบูชา อาสาฬหะ คือวันเพ็ญเดือน ๘ แล้วก็มีการบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพราะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา เพราะจะนั้นจึงใคร่จะอยากบอกให้ญาติโยมทราบว่าเดือน ๘ เป็นเดือนสำคัญเดือนหนึ่งในรอบปี เพราะเป็นเดือนเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราทั้งหลายที่นับถือพระพุทธศาสนาควรจะได้ถือเอาเดือน ๘ นี้เป็นเดือนที่เราจะได้เข้าถึงธรรมะกัน จะได้เข้าถึงธรรมะด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติ และช่วยกันชักจูงญาติมิตรที่ยังไม่ลืมตาเห็นธรรม ยังไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะ ให้มาได้ยินได้ฟังธรรมะ
เช่น เรามาวัด ก็พยายามชักจูงเพื่อนฝูงบ้านใกล้เรือนเคียงให้มาด้วย ถ้าหากว่าเขาไม่มีรถ เรามีรถก็บอกให้มาด้วยกัน ขึ้นรถมาด้วยกัน เมื่อคราวหนึ่งเดินทางผ่านเกาะฮาวายซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วก็มีโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา หัวหน้าโบสถ์นั้นเป็นชาวอังกฤษ ท่านก็ดำรงชีวิตแบบพระ คืออยู่อย่างง่ายๆ แล้วก็เป็นผู้เทศน์ประจำในโบสถ์นั้น พอถึงวันอาทิตย์แกก็เที่ยวขับรถไปรับอุบาสก อุบาสิกาที่อยู่บ้านไกลๆ แกมีรถยนต์คันใหญ่ แกก็ไปรับคนเหล่านั้นมาฟังเทศน์ พอฟังเทศน์จบแล้ว แกก็ขับรถไปส่ง เหมือนกับส่งนักเรียนอย่างนั้น อาตมาถามว่าทำไมจะต้องขับรถไปรับไปส่งด้วย แกบอกว่าเขามาไม่ได้เพราะไม่มีรถยนต์ ผมมีรถยนต์ก็เลยขับไปรับไปส่งให้ความสะดวก ให้คนเหล่านั้นได้มาฟังธรรมกัน ก็นับว่าเป็นการทำงานเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ในด้านส่งเสริมคุณค่าทางจิตใจ อันนี้ควรจะเป็นตัวอย่างแก่เราๆ ทั้งหลายที่มาวัดมีรถยนต์มา คนบ้านใกล้เรือนเคียงหรือว่าคนคุ้นเคยกันที่ยังไม่เคยมาวัดเราก็ไปชวนมา เอารถไปรับถึงบ้าน เรียกว่าเอาราชรถไปเกยตรงหัวบันไดเลย แล้วก็บอกว่าเชิญขึ้นรถไปสู่สวรรค์กัน พามาวัดนี่เรียกว่ามาสวรรค์ ไปเที่ยวบาร์เที่ยวผับนี่เรียกว่าไปนรก แต่นรกไม่ต้องชวนหรอกนั่นไปกันเอง แต่สวรรค์นี่มันต้องเข็นต้องลากมา ชวนคนมาสวรรค์ให้ได้มาฟังธรรม ทีนี้หากได้มาฟังธรรมซักครั้ง ๒ ครั้ง ก็ไม่ต้องชวนอีกต่อไปแล้ว เขาจะมาเอง เพราะว่าฟังแล้วก็ชอบใจในสภาพแวดล้อม ในเสียงธรรมะ ก็จะได้มาฟังกันต่อๆ ไป
ในชีวิตเราหากได้ช่วยดึงเพื่อนเข้าหาพระ เข้าหาธรรมะได้สักคนหนึ่ง ก็น่าจะปลื้มใจว่าเราได้ทำประโยชน์กับเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อยก็คนหนึ่งแล้ว เวลาจะดับใจตายจากโลกนี้ไป ก็จะได้เอาไปเป็นเครื่องเตือนใจว่าฉันได้ทำสิ่งนี้ซึ่งเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นในทางชักจูงเข้าหาธรรมะนี่เป็นการบำเพ็ญตนที่ประเสริฐ คือช่วยเพื่อนให้มียีน (Gene) เป็นมหากุศล เป็นเรื่องที่เราควรทำ ทำได้ทุกคน แม้เด็กๆ ที่เป็นนักเรียน ซึ่งวันนี้ก็มีนักเรียนมานั่งฟังด้วย เราพยายามที่จะจูงเพื่อนนักเรียนให้เข้าหาความงาม ความดี เช่น ชวนเพื่อนนักเรียนให้เป็นคนขยันในการเรียน ให้เอาใจใส่ในการศึกษาเล่าเรียน ให้เป็นคนประหยัดอดออม ให้รู้จักเคารพพ่อ แม่ครูบาอาจารย์ เราจะพูด จะชวนอย่างไรก็ตามใจ เพียงให้จุดหมายมันเป็นออกมาในรูปนั้น อย่างนี้เรียกว่าเรารักเพื่อนจริงๆ เราช่วยเพื่อนจริงๆ ช่วยเพื่อ ช่วยซื้อขนมให้กิน หรือพาไปเที่ยวไปเตร่เป็นการช่วยทางภายนอกผลยังไม่เท่าใด แต่การช่วยยกระดับจิตใจของเพื่อนให้สูงขึ้นนั่นแหละเป็นการช่วยเพื่อนแท้ แล้วก็แสดงว่าเรารักเพื่อนจริงๆ คนรักกันนั้นต้องชวนกันในทางดีทางชอบ ถ้ารักกันแล้วชวนกันไปเที่ยว ไปเล่น ไปสนุกในเรื่องที่ไม่เป็นสาระอย่างนั้นหาชื่อว่าชอบพอรักใคร่กันไม่ เพื่อนไม่รักเพื่อน ไม่รักกันอย่างแท้จริง ถ้ารักกันจริงต้องช่วยแนะ ช่วยเตือน ช่วยบอกให้เพื่อนได้เกิดความสำนึกรู้สึกตัว อย่างนี้เรียกว่ารักกันจริง ถ้าเราได้ช่วยกันทำอย่างนี้ คนหนึ่งชวนเพื่อนมาสัก ๓ คนอย่างน้อย คนมาวัดก็จะเพิ่มขึ้น คนเข้าหาศีลหาธรรมก็จะเพิ่มขึ้น แล้วนี้แหละเป็นวิธีการที่จะช่วยให้สังคมมีความสุข มีความสงบ เดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยชวนกันในด้านดี แต่ว่าชวนกันในด้านร้าย ชวนเพื่อนไปกินเหล้า ชวนเพื่อนไปเที่ยว ไปสนุก วันเสาร์ วันอาทิตย์ก็ดึงเพื่อนไปสนามม้า เจ้าตัวถูกเตะมาโครงหักแล้ว ยังไปชวนเพื่อนให้ถูกเตะต่อไปอย่างนี้ทำกันมาก แล้วก็ถือว่ารักชอบกันจริงๆ จนเราพูดว่า เขารักผม ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน มันจะดีอะไร ร่วมหัวจมท้ายมันจะดีอะไร เราลองนึกถึงเรือซิ ถ้าหัวมันล่ม ท้ายมันจมนี่มันจะเป็นอย่างไร มันก็อยู่ก้นคลอง ก้นแม่น้ำ ไปไหนก็ไม่ได้ ทีนี้เรามาพูดว่าเป็นเพื่อรักมันร่วมหัวจมท้าย นั่นก็หมายความว่าเป็นเพื่อนรักให้ฉิบหายนั่นเอง แล้วมันจะได้เรื่องอะไรขึ้นมา
อันนี้เราควรจะคิดว่าหากเรารักเพื่อนจริงแล้ว ไม่ใช่รักแบบล่มหัวจมท้าย แต่รักแบบให้เรือมันเบา เมื่อเรือเบาแล้วมันจะได้แล่นไปไวไว ไปถึงฝั่งคือความสุข ความสบาย พระพุทธเจ้าท่านก็จัดคำเตือนไว้เรื่องเรือว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงวิดน้ำออกจากเรือ เรือที่เธอวิดน้ำออกแล้วจะเบา เมื่อเบาแล้วก็จะแล่นไปถึงฝั่งคือพระนิพพานได้ง่าย หมายความว่าให้วิดเรือ หรือวิดน้ำ เอาของที่ไม่ดีไม่งามออกจากเรือเสีย แล้วเรือก็จะเบา เมื่อเรือเบามันก็ไปถึงฝั่งได้ง่าย ในชีวิตเรานี่ก็เหมือนกัน บางทีมันหนักจนไปไม่ไหว หนักด้วยเรื่องอะไร ด้วยเรื่องไม่ดีไม่งามด้วยประการต่างๆ ของชั่วนี่มันเป็นของหนัก ของดีนั้นมันเป็นของเบา ของชั่วมันหนักมันทำให้จมลงไป จมลงไปจนกระทั่งจมดิ่งสู่ก้นเหว แต่ว่าของดีนั้นทำให้เบา เมื่อเบามันก็ไปง่ายถึงปลายทางได้ เราจึงชวนให้ช่วยกันวิดน้ำจากเรือของเรา เรือของเพื่อน เห็นว่าเพื่อนคนใดแย่แล้ว จะเสียผู้เสียคนแล้ว เราก็ช่วยกันดึง ช่วยกันดันให้เพื่อนคนนั้นได้ลืมหูลืมตา ได้เข้าวัดเขาวาเข้าหาพระสงฆ์องค์เจ้า อย่างนี้ก็จะเป็นความดี ในครั้งพุทธกาลก็มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องนายครหัตถ์กิน (10.45 ไม่ยืนยันตัวสะกด) นายครหัตถ์กินนี่แกมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง แล้วต่อมานายครหัตถ์กิน (10.53 ไม่ยืนยันตัวสะกด) มานับถือพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบริษัท แต่เพื่อนนั้นยังไม่ได้เข้าหาพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ฟังธรรม ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไร แกก็ไปเล่าให้ฟัง แล้วก็ชวนเพื่อนให้ไป เพื่อนไม่ไป ชวน ๒ หน ๓ หนเพื่อนก็ไม่ไป วันหนึ่งแกไปชวน เพื่อนก็ยังขัดขืน แกเลยใช้กำลังกันเลยทีเดียว ใช้กำลังดึงมวยผม คนอินเดียเขาไว้ผมยาวเหมือนแขกซิกซ์ แกไปดึงมวยผมลากไปเลย เพื่อนนึกในใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว เรื่องมันใหญ่เพราะว่าหัวนี้ใครๆ เขาก็ถือกัน เมื่อเพื่อนเราจับมวยผมเราลากนี่แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องสลักสำคัญ มันอยากให้เราไป คงจะไปดีมีคุณค่าก็เลยบอกว่าปล่อยผมเถอะ ไม่ต้องลากไปกรอก ขายหน้าเขา ฉันจะไปด้วยแล้ว แล้วเขาก็พาเพื่อนคนนั้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
เมื่อไปถึงที่เฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็เล่าเรื่องให้ฟังว่าเพื่อนคนนี้เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์ให้ฟัง เมื่อเทศนาให้ฟังเพื่อนคนนั้นก็เข้าใจในหลักธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เลยประกาศตนเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ยอมรับว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจของตนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่างนี้เรียกว่ารักเพื่อนจริง ช่วยดึงเพื่อนเข้าไปสู่ทางที่ถูกที่ชอบ อย่างนี้ก็เป็นอันว่าใช้ได้ วันก่อนนี้มีแม่บ้านคนหนึ่ง สามีเป็นคนขี้เมา ชอบดื่มเหล้า แต่ก็อุตส่าห์มานิมนต์อาตมาไปที่บ้าน คือให้ไปเทศน์ที่บ้านเพื่อให้สามีได้ฟังด้วย สามีก็ทิ้งขวดเหล้ามานั่งฟังด้วยจนจบ แต่ฟังแล้วก็บอกว่ายัง ยังไม่เลิก ยังดื่มอยู่ อันนี้บอกว่ามันต้องเทศน์กันหลายครั้ง แบบนี้ก็เรียกว่าต้องชะล้างนานๆ เพราะว่าสิ่งโสโครกมันมาก มันหนา เหมือนเราซักผ้าที่เปื้อนของโสโครกมากมันต้อซักนานๆ ขยี้แล้ว ขยี้อีก ฟอกแล้วฟอกอีกจนผ้าสะอาด คนเรานี่ก็เหมือนกัน มันหนัก มันหนาฟอกนิดหน่อยมันไม่ออกหรอก มันต้องฟอกกันนานๆ หลายครั้งหลายหน ให้พามาวัดบ้าง แต่ยังไม่ค่อยว่างจะพามาเลยก็ยังไม่สำเร็จ ตอนหลังนี่จะไปพูดอีกเหมือนกัน เพื่อชักจูงให้หันเข้าหาความถูกต้องในชีวิตต่อไป อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ คนเรานี่ไม่ค่อยคิดถึงเรื่องอย่างนี้ โดยที่ไม่คิดก็เพราะว่า ไม่เคยตั้งปัญหาถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันคืออะไร หรือไม่เคยคิดว่าเราเป็นพุทธบริษัทนี่เราเป็นกันที่ตรงไหน เป็นอย่างไรเรียกว่าเป็นพุทธบริษัท แต่เราไม่เคยคิด เป็นกันไปเรื่อยๆ เป็นไปตามเรื่องตามราว เลยไม่ได้เป็นชาวพุทธที่แท้จริงกับเขาเสียเลย
การเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงนั้นต้องยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งทางใจอย่างแท้จริง และเมื่อยอมรับนับถือว่าเป็นที่พึ่งทางใจอย่างแท้จริงแล้ว ก็ต้องยอมปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วย ถ้าเราไม่ยอมปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทได้อย่างไร จะเรียกว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้ทำตามเลยจะเรียกว่านับถือได้อย่างไร คนเรานับถือกันมันก็ต้องเชื่อถือกัน ฟังกัน เขาพูดอะไรเราก็ฟัง ฟังแล้วเราเอามาปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่านับถือ เหมือนเรานับถือพ่อแม่ ถ้าท่านขอร้องเรื่องอะไร เราก็งดเว้น เรานับถือครู ครูอาจารย์ขอร้องเรื่องอะไร เราก็งดเว้น เรานับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าว่าไม่ดี เราก็ไม่ฝืนทำ สิ่งใดที่พระองค์ว่าดี เราก็ทำสิ่งนั้น ถ้าเราทำอย่างนั้น ผลที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา คือเราเป็นคนเจริญทางด้านจิตใจ คนเราถ้าจิตใจมันเจริญแล้ว อะไรอย่างอื่นก็จะเจริญหมด ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันก็เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบ มีความเจริญ มีความก้าวหน้าไปในทางที่ดีที่งาม มันตั้งต้นที่ใจ ถ้าใจดีแล้วอะไรมันก็ดีไปด้วย แต่ถ้าใจไม่ดีแล้วอะไรมันก็เสียไปหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องขวนขวายในการที่จะยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น พระพุทธเจ้าท่านจึงตักเตือนว่าจงยกตนขึ้นจากหล่มด้วยความไม่ประมาท คืออย่าไปตกอยู่ในหล่ม อย่าไปแช่อยู่ในสิ่งโสโครกที่เราตกลงไปแล้ว เช่น เราถลำลงไปในโคลน เรารู้สึกตัวว่าถลำลงไปในโคลน เราก็ต้องรีบชักแข้งขึ้นจากโคลน แล้วก็ไปหาน้ำที่สะอาด เอามาชำระชะล้างให้มันสะอาดหมดจด เราจะได้สบายใจไม่ต้องไปนอนเกาจนนอนไม่หลับอย่างนี้ฉันใด สภาพจิตใจของเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นว่าอะไรมันไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควรตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็มาเลือกมาละสิ่งนั้น หันมาประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ชอบตามหลักธรรมะอันเป็นคำสอนในทางพระศาสนา ก็เรียกว่าเราเดินทางไปกันพระ อยู่กับพระตลอดไป
ในเดือนกรกฎาคมนี่ควรเป็นเดือนตั้งต้นในการเข้าถึงธรรมะ เพราะเป็นเดือนที่ธรรมะดังก้องโลก ก้องในประเทศอินเดีย ไม่ได้ก้องไปทั่วโลกเหมือนในสมัยนี้ แต่ว่าก้องไปในประเทศอินเดีย คนได้ยินได้ฟังกัน ได้รู้ได้เข้าใจกัน แล้วก็ดังก้องมาจนถึงประเทศไทยในสมัยหลังเมื่อพระองค์นิพพานแล้ว ธรรมะมันก็ดังมาสู่ประเทศไทย เราเกิดมาในแผ่นดินนี้ได้ลืมตาขึ้นก็ได้เห็นพระ หูก็ได้ยินเสียงพระ แล้วถ้าเราไม่เดินตามพระมันก็ดูกระไรอยู่ ได้ยินแล้วไม่ไป เห็นแล้วไม่เดินตามจะเรียกว่าอย่างไร เขาเรียกว่ายังเป็นคนดื้ออยู่นั่นเอง ยังดื้อยังดันอยู่ ยังไม่ยอมไปข้างหน้า และเมื่อเรายังไม่ยอมเดินไปข้างหน้าตามเสียงของพระ เราก็จมอยู่ที่นั่นต่อไปไม่มีวันจะก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ชอบได้ แต่ว่าพอเราได้เห็นเราเดินตามไป ได้ยินเสียงเราก็สนใจฟังแล้วเราก็ตามฟังเรื่อยไป เพื่อเอามาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อันนี้ก็จะช่วยให้เรามีความก้าวหน้าในทางหลักพระศาสนา เป็นการรักษาพระศาสนาให้ดำรงมั่นต่อไป การรักษาพระศาสนานั้นก็รักษาด้วยการศึกษาให้เข้าใจ ด้วยการปฏิบัติตาม ด้วยการส่งเสริมให้คนอื่นได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อไป ก็เรียกว่าเราบำรุงศาสนา เรารักษาพระศาสนาให้เจริญ เนื้อแท้ในศาสนาเจริญหมายความว่าเจริญอยู่ในใจของเรา จิตใจเราดี สะอาด ประณีต ไม่พ่ายแพ้ต่อกิเลสที่เกิดขึ้น หรือต่อสิ่งยั่วยุอันจะทำให้เราเสียผู้เสียคนก็เรียกว่าเราเป็นคนเจริญ เจริญด้วยศีลด้วยธรรม เจริญด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี่เรียกว่าเจริญแท้ ถ้าเจริญแต่เพียงวัตถุ เช่น การแต่งกายทันสมัย มีรถยนต์คันใหญ่นั่ง มีบ้านหรูหรา แต่ว่าจิตใจนั้นยังไม่เจริญ เพราะว่าสิ่งที่ตนได้สร้างขึ้นนั้นมันมาจากสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งนั้นมันก็สร้างปัญหาชีวิตให้กับเราต่อไป คนเรานี่ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวเป็นธรรมดา เธอต้องทำงานทำการสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อให้เป็นหลักเป็นฐานเจริญห้าวหน้าต่อไป แต่ว่าคนบางคนนั้นสร้างตัวสร้างตนจากสิ่งชั่วร้ายคือกระทำแต่สิ่งที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลผิดธรรมด้วยประการต่างๆ
ฉะนั้นการกระทำที่ผิดศีลผิดธรรมนั้นย่อมกระทบกระเทือนบุคคลอื่น เมื่อมีการกระทบกระเทือนกัน ประโยชน์มันเกิดขัดกันขึ้น พอประโยชน์ขัดกันขึ้นก็ต้องทำลายกัน ใครมีกำลังก็อยู่ได้ ใครมีพวกมากก็อยู่ได้ อันนี้เขาเรียกว่าไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เพราะว่าต้องใช้กำลัง ใช้ผืน ใช้ดาบฆ่ากัน เบียดเบียนกัน ก็ยังอยู่ในเรียกว่าวิสัยของเดียรัจฉานอยู่นั่นเอง ยังไม่เจริญ จิตใจยังไม่ก้าวหน้า ยังมีเดียรัจฉานอยู่ในใจ และยังทารุณโหดร้ายยังใช้เขี้ยวใช้เล็บ เดียรัจฉานมันมีเล็บมีเขี้ยวสำหรับที่จะกัดจะข่วนอะไรกัน ทำร้ายกัน ทีนี้มนุษย์นี่มีความเจริญกว่าสัตว์เดียรัจฉานประดิษฐ์อาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นมาใช้แล้วก็ซื้อเถื่อน (21.11 เสียงไม่ชัดเจน) อาวุธสงครามก็มี เอามาไว้ให้ลูกน้องถือไว้สำหรับป้องกันตัวที่ได้มีลูกน้องถือปืนป้องกันตัวนั้นแสดงอยู่แล้วว่าตัวไม่เรียบร้อย ตัวมีศัตรู ใครเป็นคนก่อศัตรูขึ้น ก็การคิด การพูด การกระทำของตัวนั่นแหละเป็นที่สร้างศัตรูให้แก่ตัว ตัวจึงรู้ว่ามีศัตรู ตัวรู้อยู่แก่ใจว่าเรามีศัตรู การที่เรามีศัตรูแสดงว่าเราเป็นศัตรูกับเขา เราเป็นพิษเป็นภัยแก่เขาก่อน เมื่อเราเป็นศัตรูเป็นพิษเป็นภัยแก่เขา เราก็เลยกลัวว่าเขาจะทำร้ายเรา เมื่อความกลัวมันรุนแรงขึ้นก็ทำร้ายคนที่ตัวนึกว่าจะทำร้ายตัวเสียก่อน เรียกว่าเอาเขาเสียก่อนเพื่อตัวจะได้อยู่ได้ แล้วก็ทำลายคนนั้นลงไปแล้วตัวจะเป็นสุขหรือ จะมีความสบายหรือ จะนอนหลับเป็นสุขหรือ เปล่า นอนหลับก็ไม่เป็นสุขเพราะอะไร เพราะว่าคนที่ตายไปนั้นไม่ได้เกิดมาคนเดียวในโลก หรือไม่ได้เกิดจากโรงไม้ (22.44 เสียงไม่ชัดเจน) แต่มันเกิดจากคน จากพ่อแม่ พ่อแม่ก็มีพี่มีน้อง มีลูกพี่ลูกน้อง มีพรรคมีพวก ทีนี้เมื่อพวกของตัวถูกทำร้ายลงไป คนที่อยู่ก็รู้ว่าถูกทำร้าย ถูกเบียดเบียน เขาก็ต้องมุ่งประหัตประหารคนที่มาทำร้ายพวกตนต่อไป เป็นทุกข์ทั้ง ๒ ฝ่าย
พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้นอนเป็นทุกข์ คนชนะก็ก่อเวรต่อไป ก่อเรื่องให้มันยาวออกไปส่วนคนแพ้นั่นนอนเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ว่าเรามันเสียเหลี่ยมคราวนี้ทำให้เขาลบเหลี่ยมเราได้ เรามันเสียเกียรติเสียชื่อไปในคราวนี้จึงนอนเป็นทุกข์ แล้วก็คิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรเพื่อกู้เหลี่ยมของตัวคืน จะทำอย่างไรเพื่อจะไปปราบคนนั้นได้ หาวิธี จึงนอนไม่เป็นสุข ส่วนคนชนะก็นอนเป็นทุกข์เหมือนกัน เพราะว่าตนได้สร้างกรรม สร้างเวรไว้ สร้างปัญหาไว้เลยไม่มีความสุขทางจิตใจ ไปไหนก็ระแวงภัย จะกินก็ระแวงภัย จะนอนก็ระแวงภัย มีคนๆ หนึ่งเล่าให้ฟังว่าเคยไปที่จังหวัดเพชรบุรีแล้วก็ไปรับประทานอาหารที่บ้านเจ้าพ่อคนหนึ่ง ขณะที่นั่งรับประทานอาหารนั้นนอกบ้านมีมือปืนยืนล้อมอยู่หลายคนด้วยกัน แล้วเจ้าพ่อก็กินพลางมองไปทางหน้าต่างพลาง ดูกินไม่เป็นสุขเลย ต้องมองหน้าต่างบ่อยๆ ทำไมจึงมองหน้าต่างบ่อยๆ มองว่ายามมันอยู่หรือเปล่า หรือว่าใครจะแอบเข้ามาแทงยามแล้วเอากระสุนมากำนัลตนขณะกินอาหาร
นี่แสดงให้เห็นว่ากินไม่เป็นสุข แล้วเวลานอนก็ไม่เป็นสุขเหมือนกัน ก็ต้องมีลูกน้องมานอนอยู่ข้างๆ วางผืนไว้ใกล้ๆ ตัว …… (24.33 เสียงไม่ชัดเจน) เหล่านี้มันช่วยให้มีความสุขได้อย่างไร มันมีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจที่ผู้ชนะเป็นทุกข์ ผู้แพ้ก็มีความทุกข์ คนที่ไม่ทุกข์นั้นคือคนที่ไม่เอาชนะใคร และไม่ทำใครให้แพ้ตนนั่นคือคนเป็นสุข คนเป็นสุขคือคนที่ไม่สร้างเวรสร้างกรรมให้แก่ใครๆ มันก็อยู่สบายไม่ค่อยมีปัญหาเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน เราจะได้ยินข่าวปรากฏบ่อยๆ เช่น ทางภาคเหนือจังหวัดลำปางมีมาก ฆ่ากันบ่อยๆ ทำไมจึงฆ่ากันบ่อยๆ ที่ลำปางก็เพราะเรื่องค้าฝิ่น ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ค้าฝิ่นเถื่อนทั้งนั้น บ้านช่องหรูหราใหญ่โต ทางเลยถนน รถไฟไป …… (25.23 เสียงไม่ชัดเจน) ทางมีบ้านสวยๆ นั่นแหละ พวกค้าฝิ่นทั้งนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน ได้เงินจากการค้าฝิ่นร่ำรวย สร้างบ้านใหญ่ๆ โตๆ แต่ว่านอนไม่เป็นสุขทุกคน มีความกลัว หวาดระแวงเพราะว่าเคยหักหลังเพื่อนไว้บ้างอะไรต่ออะไร คนค้าของเถื่อนนี่ย่อมมีการหักหลังกัน ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ก็ใจมันเถื่อนแล้วมันจะไปซื่อกับใครได้ มันไม่ซื่อ แล้วผลที่สุดก็สร้างกรรมสร้างเวร แล้วทีนี้ก็ถูกยิงถูกฆ่ากันไป เพราะภัยเวรอย่างนี้ แถวเพชรบุรีนี่ก็ยิงกันบ่อยๆ ได้ไปศึกษาไต่ถามแล้วว่าที่ฆ่าที่แกงกันนั้นล้วนแต่เป็นคนที่เคยพบการฆ่าคนอื่นมาแล้วทั้งนั้น (26.14 “ไม่ฆ่าเองก็ น้อยที่ฆ่าเองน้อย” พวกที่ฆ่าเองเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนมากมักเป็นผู้บงการเพราะว่าลูกน้องเยอะ ขยิบตาเพียงเล็กน้อยลูกน้องก็จับปืนไปจัดการให้แล้ว”) บ่นเพียงเล็กน้อยให้ฟังว่า คนนี้เรารำคาญมันจริงๆ ประเดี๋ยวก็ได้เรื่องแล้ว บ่นไม่ได้นะ พวกเจ้าพ่อนี่บ่นไม่ได้ เพราะพอบ่นนิดเดียว คนนั้นคืนนั้นก็เรียบร้อยแล้วเพราะลูกน้องจัดการเรียบร้อย ลูกน้องนี่ก็เหลือเกิน มันทำทุกสิ่งทุกอย่างให้นายเดือดร้อน นี่เขาเรียกว่าได้ลูกน้องไม่ดีเพราะนายไม่ดี คนเราถ้าดีแล้วก็จะได้คนดี ถ้าไม่ดีก็จะได้คนไม่ดี เพราะว่าคนไม่ดีก็ต้องไปหาคนไม่ดี วัวมันต้องไปหาวัวด้วยกัน ควายมันก็ไปหาควายด้วยกัน แพะมันก็ไปหาแพะ ไม่มีแพะที่จะไปอยู่กับวัว หรือว่าวัวจะไปอยู่กับควายนี่มันน้อยมันเข้าฝูงพวกตัวทั้งนั้น
ทีนี้คนมีนิสัยอย่างไร มีการหากินอย่างไรมันก็ไปเข้าหาพวกของตัวอย่างนั้น ก็พวกรวมหมู่กันเข้าแล้วก็ทำความชั่วด้วยกัน ทีนี้เมื่อทำความชั่ว พวกที่จะต้องถูกทำลายก็คือหัวหน้า เหมือนกันร่างกายคนนี่เขายิงที่หัวทั้งนั้น หากถูกหัวล่ะก็ตาย ไม่ยิงหัวก็ต้องยิงตรงหัวใจ แต่ยิงหัวใจบางทีมันไม่ค่อยถูกมันพลาดไปนิดๆ หน่อยๆ บางทีมันไม่ตาย แต่ถ้ายิงหัวนี่ตาย ทีนี้ใครเป็นหัวหน้าเพื่อน เป็นหัวโจก เป็นหัวหน้าโจรผู้ร้าย คนมันก็ต้องยิงให้ถูกหัว พอโดนหัวก็ม้วยเลย มันก็ต้องยิงที่ตรงนั้นแล้วก็ถึงแก่ความตายไป ถึงเวรถึงกรรมที่ตัวทำไว้ หนีไม่พ้น แม้จะมีคนคอยระมัดระวังก็หนีไม่พ้น คนที่มีเวรมีภัยนี่ไปไหนเขาเตรียมตัวหนักหนา เตรียมพระเครื่อง พระเครื่องดีๆ จะมีคนเอาไปให้ …… (28.16 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่ใช่เรื่องอะไร รู้แล้วว่านี่จิตใจมันไม่ค่อยเรียบร้อย มันมีปกติขี้ขลาด ขี้กลัว เลยเอาพระเครื่องดีๆ ไปให้ ราคาเป็นแสน พระเครื่องราคาตั้งแสน บอกว่านี่เก่า เก่าเพียงใดก็ไม่รู้ก็เอาไปให้ แล้วก็ลงทุนซื้อในราคาตั้งแสน เอามาห้อยคอ สายสร้อยเส้นใหญ่ …… (28.39 เสียงไม่ชัดเจน) เอามาแล้วเอาพระเครื่องห้อยเต็มคอเลยทีเดียวพอจะไปไหนก็ยกพระขึ้นพนมมือ…… (28.48 เสียงไม่ชัดเจน) ขอให้ลูกช้างปลอดภัยไปคราวนี้ ขอให้กลับบ้านเรียบร้อย สวมคอพระแต่ว่าพร้อมๆ กับสวมพระที่คอนะคือแบกปืนไปด้วย ตนเองแบกเพียงคนเดียวก็ยังไม่พอ ให้ลูกน้องนั่งข้างหลังอีก ข้างหน้าอีก แล้วในรถยนต์ที่ตัวนั่งนั้นมีปืนมากมายหลายกระบอกเพื่อป้องกัน แต่พอถึงบทจะตายแล้วไม่ได้โอกาสยิงเลย เพราะคนที่จะมายิงเขาวางแผนแล้วว่าต้องยองอย่างไรไม่ให้ยิงเลย มันต้องเตรียมกระสุนที่ดีกว่า แล้วก็หลายคน แล้วก็พุ่งไปจุดเดียวเพื่อไม่ให้มีโอกาสได้ยิงตอบ ผลที่สุดก็ช่วยไม่ได้ พระก็ช่วยไม่ได้ ปืนก็ช่วยไม่ได้ บริวารก็ช่วยไม่ได้ เงินทองที่ตัวหาไว้ด้วยทางที่ไม่ดีไม่งามมากมายก่ายกองกลายเป็นของไม่มีสาระ ไม่เป็นแก่นสาร ไม่สามารถจะช่วยตนได้ทั้งนั้นนี่คือบทแห่งการที่สร้างชีวิตมาในทางไม่ดี เรียกว่ามีฐานอันไม่สดสวย แล้วผลก็ไม่ดี เกิดความทุกข์ เกิดความเดือดร้อน
แต่คนเราไม่ค่อยได้คิดถึงข้อนี้ เพราะไม่ค่อยได้เข้าใกล้พระ ไม่ได้ฟังคำเตือน ถึงรู้จักพระพระก็ไม่ค่อยกล้าเตือนคนเหล่านั้นเสียด้วย บางทีเข้าไปก็ชมเชยว่านี่เขาเก่งเขาดีอย่างนั้นอย่างนี้ ยอให้บริจาคเงินสร้างกุฏิสร้างอะไรต่ออะไรไปตามเรื่องเสียเลย แต่ไม่รู้ว่ามันจะฉิบหาย เราไม่สอนไม่เตือน ไม่กล้าสอน ไม่กล้าเตือนคนเหล่านั้น ทีนี้เขาก็เลยนึกว่าตัวเองเก่ง เขาชมทั้งนั้นเลย พระก็ชม เจ้าเมืองก็ชม ตำรวจก็ชม ผู้พิพากษา อัยการก็ชมเชย คนนี้เขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ยกย่องให้เป็นหัวหน้าเพื่อนคนใหญ่คนโต นี่เขาเรียกว่ามันยกคนกันผิดนั่นเอง สังคมมนุษย์เรานี่มันผิดมาอย่างนี้เหมือนกัน คือยกย่องคนผิด เชิดชูคนผิด บูชาคนที่กระทำความผิดเลยเกิดความเสียหาย เราไม่ได้พร้อมใจกันว่าคนชั่วคนผิดอย่าไปยกย่อง อย่าไปให้เกียรติ แม้ว่าเขาจะทำอะไรก็อย่างไปยุ่งกับเขา อย่าไปให้เกียรติ ช่วยกันติเตียนนินทา ไม่ร่วมมือด้วย ถ้าพูดภาษาพระก็เรียกว่าไม่ลงสังฆกรรมด้วย หรือไม่ร่วมกับคนที่ชั่วๆ เหล่านั้น คนชั่วก็ชักจะเกรงใจเหมือนกัน อาจพอจะนึกได้ว่า นี่เราเป็นคนที่เขาไม่คบ เขาไม่คบเป็นเพราะเรามันไม่ดี ฐานชีวิตไม่เรียบร้อย ไม่ดีไม่งามก็พอจะคิดเลิกคิดละได้ แต่ว่าถึงแม้เลิกแล้ว กรรมที่ตัวหว่านไว้มันมี มันยังหนีไม่ค่อยพ้น หลายคนที่ได้กลับจิตกลับใจมาเริ่มทำความดี แต่ว่าสิ่งที่ทำดีนั้นก็เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะเรียบร้อย เพราะสิ่งที่ได้มามันไม่ดี เงินที่ได้มามันไม่ดี เช่น ได้มาจากเปิดบ่อนการพนันในบ้านบ้าง จากค้าของเถื่อนบ้าง จากทำอะไรๆ ที่เบียดเบียนคนอื่นด้วยประการใดประการหนึ่งบ้าง มันไม่บริสุทธิ์ เงินไม่บริสุทธิ์ ในเรื่องการทำบุญนี่เขาจึงวางหลักไว้ว่า ของที่ทำบุญนั้นต้องบริสุทธิ์ คือได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ได้มาด้วยเรี่ยวแรงบากบั่นทำงานทำการในทางที่ถูกที่ชอบ ไม่ได้มาโดยทางทุจริตผิดกฎหมาย ผิดศีลผิดธรรม เรียกว่าของนั้นบริสุทธิ์ ของที่เราจะให้นี่บริสุทธิ์ แล้วเราให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ด้วยความตั้งใจที่จะให้ ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน แต่หวังว่าจะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก แล้วผู้ที่รับก็เป็นผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์สะอาด รับมาแล้วก็เอาไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่า ไม่เอาไปใช้ในเรื่องเหลวไหล
ทานอย่างนี้เขาเรียกว่าทานบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ต่อทั้งผู้ให้ทั้งผู้รับ ทั้งวัตถุที่ตัวจะให้ เมื่อบริสุทธิ์ทั้ง ๓ อย่างนี้ ทานนี้มันเป็นบันไดของสวรรค์หรือเป็นบันไดแห่งความสุขในสังคม ให้อยู่กันด้วยความรักฉันท์พี่ฉันท์น้อง มีน้ำใจดีงามเข้าหากัน มันบริสุทธิ์อย่างนี้ แต่ถ้าเราได้มาในทางที่ไม่บริสุทธิ์ เช่น เราไปค้าเฮโรอีน ได้เงินมาล้านหนึ่ง เอาไปช่วยสร้างโบสถ์เสีย ๕ แสน โบสถ์นั้นก็เรียกว่าไม่ค่อยบริสุทธิ์ เงินมันไม่บริสุทธิ์ เพราะเฮโรอีนนั้นมันเป็นของเป็นพิษ ไปทำลายคนมากมายก่ายกองให้เกิดปัญหา คนเสพแล้วมันติด เสพแล้วเสียผู้เสียคน สร้างปัญหาให้แก่พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นความทุกข์ด้วยประการต่างๆ คนที่ไปค้าสิ่งเหล่านั้นแม้ได้เงินมา ก็เรียกว่าเป็นเงินที่ไม่สะอาด เราจะเอาไปทำอะไร ความไม่สะอาดมันก็ติดไปด้วยเหมือนกัน แล้วให้สังเกตดูว่าครอบครัวที่พ่อแม่ดำเนินชีวิตในทางไม่ดีไม่งาม ลูกไม่เรียบร้อย ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เหตุผลเพราะอะไร เพราะสิ่งแวดล้อมในครอบครัวมันไม่ดี การพูด การกระทำ การแสดงออกของพ่อแม่เป็นไปในทางชั่วทั้งนั้น พูดก็พูดแต่เรื่องชั่ว สั่งอะไรออกไปเป็นเรื่องชั่วลูกได้ยิน แล้วก็ได้เห็นแต่คนไม่ดี เห็นคนถือปืน นักการพนัน พวกขี้เหล้าเมายา พวกค้าของเถื่อน เห็นในสิ่งไม่ดีไม่งามอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้มันเข้าไปเพาะจิตใจของลูกให้เป็นคนมีนิสัยโน้มเอียงไปในทางอย่างนั้น ลูกไม้มันหล่นไม่ไกลต้น อันนี้สำคัญมาก มันไปเพาะนิสัยทำให้ลูกมีจิตใจโน้มเอียงไปในทางชั่ว ก็ฟังข่าวดูลูกของคนที่ไม่ค่อยเรียบร้อย มันฆ่าคนก็ได้ ฆ่าแล้วมันหนีหายไปตำรวจยังจับไม่ได้อยู่จนบัดนี้ ไปเมืองไหนก็ไม่รู้ อาจกลับไปประเทศของเขาแล้วก็ได้ ไม่ปรากฏตัว หรืออาจจะอยู่เมืองไทยก็ได้ แต่มันไม่ค่อยปรากฏตัว ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะมันอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น คนใช้ของพ่อแต่ละคนหน้าเหี้ยม ใจเหี้ยมทั้งนั้น พูดจาแต่เรื่องเกะกะระราย ส่งเสริมแต่สิ่งชั่วสิ่งร้าย เขาก็ได้ยินได้ฟังมาอย่างนั้นตั้งแต่ตัวน้อยๆ จนกระทั่งเติบโตขึ้น แล้วบางทีก็ไปร่วมมือกันคนเหล่านั้นบ้าง ไปนั่งถือไพ่ให้เขาบ้าง ไปนั่งในวงไฮโลบ้าง ไปนั่งในหมู่อะไรต่ออะไรอย่างนั้นบ้าง เอาเหล้ามาให้เขากินบ้าง แล้วคนกินเหล้าก็ เออ ไอ้หนู หัดกินซะบ้าง ก็ยอนยุให้กินเหล้าบ้าง เลยเสียคนเพราะสิ่งแวดล้อมในครอบครัวไม่ดี การที่ทำสิ่งแวดล้อมในครอบครัวไม่ดีก็เพราะว่า พ่อแม่เป็นคนไม่ดี สร้างฐานชีวิตไม่ดี เลยทำให้ลูกเสียไป แล้วลูกที่เสียนั่นแหละจะนำความทุกข์มาให้แก่พ่อแม่อีก ดังที่เราได้ยินข่าวอยู่ว่า ลูกสร้างปัญหาให้แก่พ่อแม่ หรือสร้างความทุกข์ให้แก่พ่อแม่ เหมือนกับที่พ่อทำ แม่ทำมาก่อน โดยมากแม่ไม่ค่อยร้ายเท่าใดนัก แต่ว่าพ่อร้าย
ทีนี้เขาก็กระทำเหมือนกับที่พ่อเคยกระทำมา เหมือนกับพ่อทำ แล้วก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน บางทีอยู่เมืองไทยไม่ได้ ต้องส่งไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อหนีอะไร หนีกระสุนที่เขาจะเอามากำนัลให้แก่ตนอย่างไรล่ะ ไม่ใช่เรื่องอะไร นี่มันมาจากอะไร ก็มาจากฐานะ ความเป็นอยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ได้สังเกตเห็นว่าในครอบครัวใดที่เป็นบ่อนการพนัน ลูกของคนในครอบครัวนั้นก็เป็นนักการพนัน ทำไมเขาจะไม่เป็นล่ะ ก็เพราะว่าเขาเห็นอยู่ทุกวันๆ นี่ เห็นเขาเล่นการพนันทุกวัน เขาเรียนทุกวันนิสัยก็กลายเป็นนักการพนันไป แม้พ่อแม่จะค้าขาย ทำงานการหาเงินมาได้ในทางที่ไม่ดี ร่ำรวย มีฐานะร่ำรวย ไปไม่รอดหรอก ไม่สามารถจะมั่นคงไปได้สักเท่าใด บางทีหมดในยุคของพ่อมีชีวิตนั่นเอง แต่หากไม่หมดในยุคพ่อ ขั้นลูกก็หมดแล้ว เพราะว่าลูกมีความประพฤติเสียหาย ไม่ได้สร้างตนในทางดีงาม คือทำดีไม่เป็น แต่เก่งในทางกระทำชั่ว แล้วคนที่มาประจบสอพลอก็ล้วนแต่เป็นพวกที่มาปอกลอกทั้งนั้น มาคบเด็กลูกของคนอย่างนั้น นั่นก็เป็นคนชั่วทั้งนั้น มาป้อยอคุณอย่างนั้น คุณอย่างนี้ คุณจะเอาอะไรผมจะรับอาสา ถ้าสมมติว่าลูกของพ่อคนนั้นมันโกรธใครเคืองใคร พอพูดเท่านั้น พวกแถวหลังก็กระโดดใส่เลย เตะมันเลย ต่อยมันเลย มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้นายก็ชอบใจคนเช่นนั้น บางทีก็ชมเชยว่าไอ้นี่มันสำคัญ มันไม่ต้องใช้ มันทำได้เองเลย มันทำได้ดังใจ เลี้ยงคนประเภทชั่วๆ ไว้ เพื่อทำตนให้เสียหาย แล้วช่วยผลาญเงินผลาญทองผลาญวงศ์ตระกูลจนล่มจมเสียหาย อันนี้เราสังเกตได้
เราศึกษาชีวิตคนเราก็จะเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างนั้นมากมายก่ายกอง เมืองใหญ่ๆ มีคนประเภทอย่างนี้อยู่ไม่ใช่น้อย กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต สงขลา หาดใหญ่มีเยอะแยะ ตัวอย่างในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่จำนวนมากที่เอาตัวไปไม่รอด ทรัพย์สมบัติพ่อแม่หาไว้มากมายก่ายกอง ไม่กี่ปีหรอก ลูกชายมาถลุงพักเดียวหมดเลย ไม่มีเหลือ เอาไปจำนำจำนองไปเป็นของธนาคารจนหมดจนสิ้น นี่เพราะอะไร เพราะสิ่งแวดล้อมไม่ดี เกิดมา และเติบโตในสิ่งที่เต็มไปด้วยของชั่วของร้ายที่พ่อแม่ได้กระทำมาในรูปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงเกิดเป็นปัญหา ไม่ใช่บาปแต่เพียงชั้นเดียวนะ มันบาปไปถึง ๒ ชั้น ๓ ชั้น ดังที่เราสังเกตจะเห็น เช่นในอายุเรา ลองสังเกตดูบางครอบครัว ศึกษาให้ละเอียด ความเป็นมาในครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร ตกต่ำไปอย่างไร มันมีเรื่องที่จะเสียหาย ทีนี้ในหมู่พวกเราที่เป็นข้าราชการก็เหมือนกัน เรียกว่าถ้าเราได้ความเจริญมาเพราะการคอรัปชั่นกินสินบาทสินบน เอาไปสร้างเนื้อสร้างตัวก็ไม่เจริญอีกเหมือนกัน ไปไม่รอด ไม่เท่าใดก็หมดไป สิ้นไป มีคนเขาเล่าให้ฟังว่ามีคนๆ หนึ่งมีไหวพริบในการที่จะโกงอะไรต่ออะไร ๑๐๘ เป็นงานบริษัท ไม่ใช่ราชการ แต่ว่าโกง ๑๐๘ หาวิธีโกงได้ จับไม่ได้ ฉลาดมากในการโกง สร้างบ้านช่องในราคาของเงินสมัยก่อน ไม่ใช่เงินสมัยนี้ สร้างบ้านในราคาตั้ง ๒ ล้าน ไม่ใช่หลังเล็กๆ หรูหราฟู่ฟ่า รถยนต์มีใช้หลายคัน อะไรต่ออะไรก็ดี แต่ว่าพอต่อมา ออกจากงานไม่เท่าไรเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็เกิดเคราะห์หามยามร้ายมากมายก่ายกอง คนเราที่เรียกว่าเคราะห์ร้ายนี่มันมาจากอะไร ที่ชอบพูดว่า แหม หมู่นี้เคราะห์ร้าย ดวงไม่ดี มันไม่ได้มาจากอะไรหรอก มันมาจากผลที่ตัวได้หว่านไว้ เราหว่านต้นไม่เป็นพิษ มันก็เกิดเป็นพิษ เอาลูกตำแยมาหว่าน มันก็ออกเป็นต้นตำแย ทีนี้ถ้าเราหว่านดอกกุหลาบ มันก็ออกเป็นดอกกุหลาบ หว่านมะลิมันก็ออกเป็นดอกมะลิสวยงาม มีกลิ่นหอม เราหว่านไว้ตั้งเยอะแยะแล้ว ทำชั่วไว้เยอะแล้ว พอออกจากงานจากการผลก็เกิดปรากฏขึ้นมา ตกระกำลำบาก ติดคุกติดตะราง บ้านช่องถูกธนาคารยึดไป มีเรื่องเสียหายหลายเรื่องหลายประการระดมเข้ามา อันนี้คนดีๆ ที่เขาไม่ประพฤติชั่วด้วยก็บอกว่าดูเถอะดูตัวอย่างว่ามันเป็นอย่างนี้
ผลกรรมนี่มันมีอยู่ มันหนีไปไม่พ้น หนีไม่ได้ เราหนีไม่ได้ เรายอมจนเสียดีกว่าที่จะแสวงหาอะไรๆ จากความชั่ว ถ้าเราจะหาอะไรก็ควรจะหาในทางสุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม หรือพูดง่ายๆ ว่าอาชีพนั้นไม่ส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายในสังคม อาชีพส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายในสังคมมีจำนวนมาก เช่น เราเปิดบ่อนการพนัน เปิดบาร์ เปิดไนต์คลับ เปิดสถานที่ทำให้คนเหลวไหล ส่งเสริมราคา โทสะ โมหะ ทำให้เกิดปัญหาในครอบครัว เช่นว่าพ่อบ้านเหลวไหลก็เพราะมีสถานที่เหลวไหลให้ไปเหลวไหล ฐานมันอยู่ที่คนสร้างด้วยนะ อย่านึกว่าบาปมันจะไม่ถึงตัวผู้สร้างหากเราสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้น อาจจะร่ำรวย ได้เงินได้ทองแต่มันไปไม่รอด ลูกเต้าเหล่าหลานก็ไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า เพราะมันมีบาปติดเนื้อติดตัว บาปพ่อบาปแม่ส่งไปถึงลูกถึงหลานถึงเหลน กินกันไปไกล ไม่ใช่กินแค่เพียงคนเดียว บาปกรรมนี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่สู้จะกระไร แต่ว่าถ้าคิดได้ลึกซึ้งแล้วก็จะรู้ว่ามันสืบต่อกันไป ทีนี้คนที่สร้างฐานมาดี มันก็ดีอยู่ตลอดไป มีลูกดี มีหลานดี ตราบใดที่คนในครอบครัวนั้น ในสกุลนั้นยังไม่เบื่อหน่ายความดี ยังรักความดีอยู่ ยังเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องอยู่แล้ว ไม่มีการตกต่ำ จะต้องเจริญก้าวหน้าเรื่อยไป แต่มันก็อาจจะมีได้เหมือนกั
อันนี้มันเกิดได้นะ คือว่าคนเรานี่ มันมักจะเมา แล้วลืมตัว เมาในเรื่องอะไร เมาในความสุข เมาในความเป็นใหญ่ เมาในบริวาร อำนาจวาสนาที่ตัวมีตัวได้ ตัวเมานี่สำคัญนักหนา เผลอนะมันเมาได้ง่าย ทีนี้คนที่จะช่วยให้เมามันก็มีเหมือนกัน คือคนที่อยู่ใกล้นั่นเอง คนเรานี่มันเสียกับคนอยู่ใกล้ ขอให้ระลึกถึงเรื่องนี้ไว้ให้ดี มันเสียกับคนอยู่ใกล้ ไม่ว่าสมภาร เจ้าวัด คฤหัสถ์ ชาวบ้านเป็นใหญ่เป็นโตในหน้าที่การงาน มันเสียเพราะคนอยู่ใกล้ทั้งนั้น พวกที่อยู่ใกล้ๆ นี่มักจะทำให้นายเสีย เพราะอะไร พวกนั้นคอยป้อยอ ประจบประแจงอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีขัดคอเลย ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ดีทุกอย่างนั่นแหละ เรื่องเสียไม่ค่อยให้นายได้ยินหรอก เพราะกลัวนายจะรำคาญ มีแต่เรื่องดีทั้งนั้น นายก็เข้าใจว่ามันดีทั้งหมดแล้วก็เลยไม่คิดแก้ไขอะไร ปล่อยไปตามเรื่องตามราวให้เสียหาย แล้วลูกน้องมักถือโอกาสเอาอำนาจ ตำแหน่งหน้าที่ของนายไปหาประโยชน์จากคนนั้นคนนี้ต่อไป นี่เขาเรียกว่าลูกน้องทำให้นายเสีย พอได้มาก็เอาไปให้นายบ้าง นายก็นึกว่าเออไอ้นี่มันมายังไงมันไปยังไงก็ไม่รู้ แต่หากมันมาแล้วก็ช่างหัวมัน ไม่ได้ศึกษาไต่ถาม พวกนั้นก็คิดว่าดี นายไม่ว่าอะไร เอาไปตั้งไว้แล้วนายพอใจ วันหลังจึงหาไปให้อีกเมาอีก เมาของแล้ว เมาของที่ตัวได้ เมากับพวกที่ตัวเอาของมาให้ ลืมเนื้อลืมตัว เสียผู้เสียคน ลองศึกษาประวัติศาสตร์ดูแล้ว พบว่าคนที่เสียคนก็เพราะเรื่องนี้ อาณาจักรต่างๆ ที่ตั้งอยู่นานแล้วล้มก็เพราะเรื่องเมาทั้งนั้น อาณาจักรโรมันล้มไปก็เพราะความเมา อาณาจักรนโปเลียน ฝรั่งเศสล้มไปก็เพราะความเมาของคนในยุคหลัง เมามายกัน ผลที่สุดเสียหายไปไม่รอด มีตัวอย่างอยู่มากมาย คนเป็นใหญ่เป็นโตนี้ ถ้าไม่เมา หรือไม่ลืมเนื้อไม่ลืมตัว
สำคัญตัวอยู่เสมอว่าไอ้นี่มันตัวละคนที่เขาเอามาให้แสดงชั่วครั้งชั่วคราว ตำแหน่งหน้าที่ยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายนั้นมันเป็นแต่เพียงหัวโขนเท่านั้นเอง ไม่ใช่อะไร หัวโขนเอามาสวมให้ ตัวเราธรรมดามันก็เป็นเพียงคนธรรมดา พอเอาหัวของลิงหนุมานใส่เขาก็ว่าหนุมานออกแล้ว เขาเรียกเป็นหนุมานไปเพราะสวมหัวหนุมานเข้า สวมหัวทศกัณฑ์ก็ทศกัณฑ์ออกแล้ว แล้วคนออกก็ทำท่าเป็นทศกัณฑ์ ทำท่าเป็นหนุมาน เป็นองคต เป็นลิงบริวารเกายุกยิกๆ ไปตามเรื่องตามราว มันเป็นไปตามที่สมมติ แล้วก็เป็นเอามากจนลืมไปว่าเดิมเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ เดิมเราไม่ได้เป็นหนุมาน เราไม่ได้เป็นทศกัณฑ์ เดิมเรามันเป็นคน แต่ว่าลืมไปว่าตัวเป็นอะไร เลยลืมตัว บางทีก็ไปแสดงนอกบทเข้าให้ นอกฉากกันไป เป็นพระเอกหนัง แล้วก็ไปแสดงตามร้านกาแฟ ตามบาร์ ตามไนต์คลับ นึกว่าจอ นึกว่าเวทีแสดงหนัง พระเอกก็เลยเข้าซังเตไป เข้าคุกเข้าตารางไปเพราะความเมาไม่ใช่เรื่องอะไร คนเราจะอยู่ในตำแหน่งใดในฐานะใดก็ตามอย่างเมาเป็นอันขาด อย่าลืมตัวเป็นอันขาด ต้องนึกไว้เสมอว่าเขาให้เรามาแสดงในหน้าที่นี้ ต้องแสดงให้ดีให้งามให้เป็นที่พอใจของคนดูที่ดีทั้งหลาย อย่าให้พอใจแก่คนชั่วทั้งหลาย ถ้าเราแสดงให้พอใจคนชั่วมันไปไม่รอดหรือก ลิเกโรงนั้นไปไม่รอด ละคนโรงนั้นก็ไปไม่รอดหรอก เพราะคนชั่วมันน้อยกว่าคนดี ไม่ใช่มากนะคนชั่ว เราอย่านึกว่ามาก คนดีมันมากกว่าคนใดที่เอาใจใส่ให้คนชั่วพอในจะล้มทุกราย แต่ถ้าเราคิดว่าจะทำให้คนดีพอใจ ทีนี้คนดีพอใจเขาจะพอใจในเรื่องอะไร เขาพอใจในเรื่องความถูกต้อง ความเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว ไม่ใช่เฉพาะตัวคนดี เขาคิดอย่างนั้น คนดีเขามองอย่างนั้นคิดในรูปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราทำอะไรให้ถูกใจคนดี แม้จะไม่ถูกใจคนชั่วก็ไม่เป็นไร เพราะคนชั่วนั้นไม่มีมาตรฐานทางจิตใจเป็นเครื่องวัดว่าอะไรถูกต้อง อะไรดีงาม มันมีอันเดียวว่าตัวชอบละก็ใช้ได้แล้ว มีเท่านั้นเอง
แต่คนดีนั้นเขามองด้วยปัญญา มองด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าอะไรถูกต้อง อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นคุณเป็นค่า เขามองด้วยปัญญา มองด้วยปัญญาเขาจึงวินิจฉัยได้ถูกต้องว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกอะไรผิด เรื่องมันก็เรียบร้อย ไม่ยุ่งยาก เพราะอย่างนั้นจึงควรจะถือหลักว่าจะทำอะไรให้คนดีเขาสรรเสริญ อย่าให้คนชั่วสรรเสริญ หลักความดีจึงมีอยู่ว่า ทำความดีเรียกว่า ๑. เป็นประโยชน์ตน ๒. เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ๓. ผู้รู้รับรองว่าดี ผู้รู้รับรองว่าดีสิ่งนั้นดี เป็นประโยชน์ตนคนเดียวไม่ได้ ถ้าเป็นประโยชน์ตนคนเดียวมันไม่ดีมันเข้าข้างตัว ต้องเป็นประโยชน์ตนด้วยเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย เป็นประโยชน์ตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแต่บางทีมันไม่ดี เพราะว่าตนและผู้อื่นนั้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี มีการกระทำที่ไม่ดี คนไม่ดีเท่านั้นสรรเสริญเยินยอ เราจึงต้องเอาหลักอันที่ ๓ ว่าวิญญูชน คือผู้รู้รับรองว่าดีว่าถูกว่าชอบ สิ่งนั้นจึงจะเรียกว่าเป็นความดี แล้ววิญญูชนนี่เราจะเอาคนธรรมดาก็ไม่ได้ เพราะคนธรรมยังเข้าข้างตัว ยังเข้าข้างพวกตัวอยู่ มองไม่ค่อยเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง วิญญูชนต้องเอาพระพุทธเจ้า เรื่องนี้พระพุทธเจ้าว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าว่าดี ว่าถูก ว่าชอบหรือไม่ ถ้าพระพุทธเจ้าว่าดี ถูก ชอบ ก็ใช้ได้ แต่ถ้าพระพุทธเจ้าว่าไม่ดี ไม่ถูก ไม่ชอบลูกเอ๋ย เราไม่ทำเป็นอันขาด เพราะเราเชื่อพระพุทธเจ้า เราทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ทำสิ่งชั่วร้าย เมื่อเราไม่ปฏิบัติในสิ่งชั่วร้ายฐานมันก็มั่นคง คนใดสร้างชีวิตอยู่บนฐานแห่งความชั่วก็เหมือนไปสร้างบ้านบนเลน มันไม่มันคงอะไร แต่ถ้าสร้างบนรากฐานแห่งความดีก็เหมือนไปสร้างบ้านอยู่บนหินแท่งทึบไม่หวั่นไหวด้วยอะไรๆ ทั้งหมด ชีวิตมันต้องเป็นอย่างนี้ ตัวอย่างมีถมไป
เราสร้างรากฐานมาบนความชั่วแล้วก็ได้รับผลเป็นความทุกข์เป็นความเดือดร้อนดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ ข่าวอะไรๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์เราก็ต้องเอามาคิดพิจารณาในแง่ธรรมะ คิดว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แล้วเราก็ต้องเอาหลักของพระพุทธเจ้าว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ไม่มีเหตุผลจะเกิดไม่ได้ มันต้องมีเหตุ เหตุมีอะไรต้องศึกษาต้องทบทวนให้รู้ว่าเหตุอะไรจึงเกิดเช่นนั้นขึ้น เพื่อจะได้รู้ไว้เป็นบทเรียนสอนจิตสะกิดใจ เอาไปสอนลูกสอนหลานให้รู้ว่าตัวอย่างแห่งความชั่วร้ายมันมีอยู่ ใครทำชั่วได้ชั่วทำดีได้ดีหนีไม่พ้น เราได้พูดย้ำกันในเรื่องหลักธรรมะให้คนที่เราอยู่ใกล้ๆ เขาได้เกิดความรู้ความเข้าใจ คนเราถ้าได้พูดกรอกหูกันบ่อยๆ มันก็พอมีความคิดบ้าง แต่ถ้าไม่ได้พูดกันเลย ไม่ได้เตือนกันเลย มันก็ไปตามอารมณ์ตามสิ่งแวดล้อมเสียผู้เสียคนไปตามๆ กัน อันนี้เป็นเรื่องน่าคิด เพราะฉะนั้นเดือนกรกฎาคมให้เราถือว่าเป็นเดือนแห่งการเข้าถึงธรรมะ เป็นเดือนแก่งการชักจูงเพื่อฝูงมิตรสหายให้ได้มาปฏิบัติธรรมในฤดูกาลเข้าพรรษา เข้าพรรษาเป็นฤดูแห่งการถือบวช คือการงดเว้นจากความชั่วความร้าย พี่น้องอิสลามเขาถือบวชตั้งแต่วาน เขางดเว้นอะไรหลายอย่าง เขาอดทนเขาบังคับตัวเอง อะไรหลายอย่างก็ดี การถือบวชนั้นดี เราชาวพุทธก็ถือบวชในฤดูกาลเข้าพรรษา พระท่านบวช ญาติโยมเอาลูกหลายมาบวชก็เพื่อให้ได้มาอยู่กับความดีจะได้มีความดีติดเนื้อติดตัวเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป วันนี้พูดมาก็พอสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจนั่งตัวตรง หลับตาหายใจเข้ายาว หายใจออกยาว แล้วคอยกำหนดลมเข้าลมออก อย่าให้คิดไปในเรื่องอื่น ให้ติดอยู่เฉพาะเรื่องลมเข้าลมออก เป็นการฝึกสมาธิแบบง่ายๆ ขอให้ทุกคนตั้งใจนั่งสงบ ณ บัดนี้