แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แล้วก็ตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา ฤดูนี้เป็นฤดูที่ใกล้การเข้าพรรษา เป็นเรื่องที่ชาวพุทธเราถือว่า เป็นฤดูการสำคัญ มีลูกมีหลานก็นำมาบวชตามวัดต่างๆ เพื่อให้ลูกหลานได้เข้าใกล้พระ ได้อยู่กับพระ จะได้สร้างพระขึ้นไว้ในใจ ชีวิตจะได้ก้าวหน้า เป็นไปด้วยดี ในทางที่สร้างสรรค์ เพราะว่าพ่อแม่มีลูก ก็อยากจะเห็นลูกเจริญทั้งกายทั้งใจ ไม่อยากเห็นความเสื่อมของลูก อันนี้เป็นความคิดของพ่อแม่ทั่วๆไป พ่อแม่จึงได้นำลูกเข้าหาพระ เพื่อจะให้ได้มีพระประจำจิตใจ เป็นฐานของชีวิตต่อไป
สมัยก่อนนั้นเขาบวชกันเมื่ออายุ 20 ปี เพราะว่ากำลังหนุ่มคะนอง เป็นระยะที่จะเริ่มอยู่อย่างช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง จะได้เป็นฝั่งเป็นฝา มีเหย้ามีเรือน คนเราจะมีเหย้ามีเรือนมันต้องเตรียมตัว ถ้าเตรียมตัวไม่พร้อมไปมีเข้า มันก็ไม่เรียบร้อย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา เรือนที่อยู่ครองไม่ดีย่อมเป็นทุกข์ คือว่าผู้ครองเรือนไม่ดี เพราะไม่รู้วิถีทางชีวิต ไม่เข้าใจการปฏิบัติตนตามหลักทางศาสนา การครองเรือนก็มีปัญหา มีความยุ่งยาก และความยุ่งยากนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันกระทบกระเทือนต่อผู้ที่เป็นอนุชน ที่เกิดมาจากการกระทำของผู้นั้นด้วย ทำให้เกิดเด็กจรจัด เด็กอันธพาลเกเร ซึ่งมีมากขึ้นทุกสังคมในโลก ในสมัยปัจจุบันนี้ ก็เป็นเรื่องเนื่องจากความบกพร่องของมารดา บิดา ที่ไม่เข้าใจในวิธีการครองบ้านครองเรือน ไม่เข้าใจในวิธีการที่จะอบรมบ่มนิสัยให้ลูกเป็นคนดี
คล้ายกับคนตาบอดมาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ไม่ได้เห็นกันเลย ฝ่ายภรรยาก็บอด ฝ่ายสามีก็เป็นคนบอด ตายังดีนะแต่ว่าใจบอด คือใจไม่รู้เรื่องชีวิต ไม่รู้เรื่องวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง การครองเรือนอย่างนั้นเป็นปัญหา มีความยุ่งยาก ด้วยประการละทั้งปวง ตระกูลที่จะมั่นคงก็จะพลอยเสื่อมโทรมลงไปด้วย พ่อแม่ไม่อยากจะเห็นความเสื่อมโทรมของลูก ของวงศ์ตระกูล ของทรัพย์สมบัติ ที่ตนได้แสวงหาไว้ด้วยความยากลำบาก ก็อยากจะให้เห็น อยากจะให้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นตั้งมั่นถาวรต่อไป การที่จะให้สมบัติตั้งมั่นนั้นก็ต้องอาศัยการประพฤติชอบตามหลักธรรมะในทางพระศาสนา ถ้าครอบครัวใดมีการประพฤติชอบ ครอบครัวนั้นก็เรียบร้อย แต่ถ้าไม่มีการประพฤติชอบ ก็จะเกิดความวุ่นวาย ด้วยประการละต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นประจักษ์กันอยู่ในสังคมในยุคปัจจุบัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นในครอบครัววงษ์ตระกูลของเราที่นับถือพระพุทธศาสนา
ลูกชายนี่เป็นคนสำคัญของครอบครัว เพราะว่าต่อไปก็จะเป็นพ่อบ้าน พ่อบ้านนั้นเป็นผู้นำในครอบครัว แม่บ้านนั้นเป็นผู้ช่วย ถ้าเปรียบครอบครัวเหมือนกับเรือลำหนึ่ง พ่อบ้านเป็นคนถือท้ายเรือ แม่บ้านนั่งอยู่ทางหัวเรือ คอยช่วยคัดช่วยวาดไม่ให้เรือไปชนตลิ่ง หรือไปชนพงหนามที่มีอยู่ข้างลำคลองหรือแม่น้ำ เด็กทุกคนนั้นเป็นผู้อาศัยอยู่ในเรือลำนั้น ทีนี้ถ้าหากว่าคนถือท้ายกับคนถือหัวมีความคิดไม่ตรงกัน มีความเชื่อไม่ตรงกัน มีความรู้ไม่ตรงกัน มีความเป็นระเบียบไม่ตรงกัน มันก็เกิดเป็นปัญหา แทนที่จะถือท้ายพายหัวให้เรียบร้อย เลยมาทะเลาะกัน ตีกัน จนกระทั่งเรือล่มเรือจมไป ทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นในครอบครัวด้วยประการละต่างๆ
เพราะฉะนั้นเราคนไทยหรือชาติไหนๆก็ตาม ถือว่าพ่อบ้านเป็นคนสำคัญในครอบครัว เป็นผู้รับผิดชอบในความเสื่อม ในความเจริญของครอบครัว ครอบครัวใดดีมีความสุข ก็แสดงว่าพ่อบ้านเป็นคนดี ครอบครัวใดไม่มีมีความทุกข์ ก็แสดงว่าพ่อบ้านเป็นคนไม่ดี จึงได้เกิดปัญหาขึ้นด้วยประการต่างๆ ถ้าพ่อบ้านเป็นคนดี แม่บ้านก็สบายใจ มีความสุขใจ การปฏิบัติหน้าที่ก็เรียบร้อย เพราะไม่มีปัญหาทางจิตใจทางอารมณ์ แต่ถ้าพ่อบ้านเป็นคนไม่เรียบร้อย ไม่ประพฤติธรรม ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบดื่มของมึนเมา คบแต่เพื่อนเสเพลเฮฮา พามาบ้านแต่ละรายก็รับไม่ไหวทั้งนั้น แม่บ้านก็มีความยุ่งใจ แต่ก็แสดงอาการประเภทหวานอมขมกลืนไปตามเรื่อง ไม่รู้จะทำอย่างไร ทนอยู่กันไปอย่างนั้น ถ้าความอดทนมันถึงที่สุด ก็ต้องแตกแยกกัน อยู่กันไม่ได้
ถ้านี้เมื่อคนถือท้ายกับคนถือหัวแตกกัน คนโดยสารจะไปไหน จะไปทางหัว หรือว่าจะไปทางท้าย ก็ได้ยินเสียงร้องไห้กระจองอแง อยู่ในเรือลำนั้น เพราะว่าคนท้ายกับคนหัวเขาเกิดขัดคอกันเสียแล้ว ทะเลาะเบาะแว้งกันเสียแล้ว คนโดยสารก็เกิดความลำบาก ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร เด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้นด้วยอารมณ์ที่มีปัญหา มีความทุกข์ ต่อไปก็มีหวังว่าจะเป็นเด็กจรจัด หรือจะเป็นอันธพาล รกบ้านรกเมืองต่อไป ทางราชการก็ต้องสร้างสถานกักกันเด็กเหล่านั้น ลงทุนมาก เสียเงินเสียทองไม่ใช่น้อย ในการที่จะเอาเด็กเหล่านั้นไปอบรมบ่มนิสัย แต่ก็เอาดีได้ยาก เพราะว่าคนที่ไปทำหน้าที่ทำการอบรมนั้น ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เป็นข้าราชการ เป็นลูกจ้างของรัฐ ก็ทำไปอย่างนั้น จิตใจนั้นไม่มีความเอ็นดูกรุณาอย่างแท้จริง จะพูดจะจากับเด็กก็พูดไปตามหน้าที่ ไม่มีน้ำใจที่เป็นธรรมะเพียงพอ เด็กเหล่านั้นก็ไม่ได้รับสิ่งที่เป็นความรัก ความเมตตา จากคนเหล่านั้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขาก็รับแต่ความอึดอัดขัดใจ ความไม่สบายใจ ผลที่สุดออกมาแล้วก็ไม่ดีขึ้น ตกไปสู่ภาวะตกต่ำต่อไป ด้วยอำนาจสิ่งแวดล้อมที่ชักจูงเด็กเหล่านั้นให้เสียผู้เสียคน อันนี้คือปัญหาที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้ ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย แต่ว่าทั่วไปในโลกก็ว่าได้
สมัยก่อนนั้นเมืองไทยเราไม่มีปัญหาอย่างนี้ เพราะว่าพ่อแม่ทั้งหลายเขาอยู่กันโดยธรรมะ มีความอยู่อย่างรักหน้าที่ มุ่งหน้าที่เป็นใหญ่ เวลาแต่งงานกัน บางทีก็ไม่รู้จักกันเลย สามีผู้ชายหนุ่มก็ไม่รู้จักภรรยา หรืออาจจะให้เห็นสักแวบหนึ่ง เขาพาไปที่บ้านนั้น แม่พ่อบอกว่า เออ ข้าจะไปขอลูกสาวบ้านโน้นให้เอ็ง พรุ่งนี้จะพาเอ็งไปดูสักหน่อย เรียกว่าไปดูแวบเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้ดูอะไรนักเลย เขาไม่ให้คุยกันด้วยซ้ำไป เขาไม่ให้เห็นหน้ากัน รู้และเห็นกันก็ต่อเมื่อวันแต่งงาน คนสมัยใหม่นี้เราพูดกันว่าเป็นระบบคลุมถุงชน เป็นระบบที่เรียกว่า คลุมถุงชนกัน ความจริงนั้นมันไม่ใช่ระบบที่เสียหายอะไร แต่ว่าจิตใจคนมันเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง
สมัยก่อนคนเขาไม่เปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เขาพอใจในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่นำมามอบให้ เพราะเขารักพ่อรักแม่ เคารพพ่อแม่ เชื่อฟังพ่อแม่ คำพูดของพ่อแม่แต่ละคำนั้น เขาถือว่าเป็นประกาศิต เป็นคำที่ลูกจะต้องรับฟัง จะต้องปฏิบัติตาม แต่ว่าพ่อแม่ก็ไม่ใช่ทำด้วยความมักง่าย เช่น จะไปสู่ขอลูกสะใภ้ซักคนหนึ่งนี่ ก็ต้องสืบสวน ทวนถามอย่างละเอียดรอบคอบ เขาศึกษาหลายเรื่องหลายประการ ศึกษาฐานะทางครอบครัว ฐานะของญาติ ความเป็นอยู่ในสังคมในบ้านนั้น ฐานะทางทรัพย์สมบัติของผู้นั้นว่ามีสภาพอย่างไร จิตใจของคนในวงศ์ตระกูลนั้นเป็นอย่างไร มีโรคประจำตระกูลหรือเปล่า คนบางครอบครัวมีโรคประจำตระกูล เช่น เป็นโรคลมบ้าหมู มักจะสืบต่อกัน เป็นกันมาเป็นแถว หรือเป็นโรควิกลจริต มักจะเป็นสืบต่อกันมา มักจะรับช่วงไว้ ไม่ให้ขาดกัน อย่างน้อยก็คนหนึ่ง อันนี้ถ้าว่าวงศ์ตระกูลนั้นเป็นตระกูลที่วิกลจริตทางด้านจิตใจ มีสภาพจิตผิดปกติ แล้วบังเอิญมาตกอยู่ที่คนที่เราจะเอามาเป็นสะใภ้ ก็จะเกิดความเสียหาย
เพราะอย่างนั้นก็ต้องดูกันอย่างละเอียด รอบคอบ ที่จะไปสู่ขอใคร ฝ่ายหญิงก็ดี ฝ่ายชายก็ดี เมื่อใครมาติดต่อ โดยมากฝ่ายหญิง มักจะไปปรึกษาหารือสมภารท่านเจ้าวัด เพราะถือว่าสมภารท่านเจ้าวัดนี่เป็นผู้กว้างขวาง รู้จักคนมาก ไม่เฉพาะในหมู่บ้านนั้น แต่รู้จักไปถึงบ้านโน้นบ้านนี้ ก็ไปปรึกษาหารือว่า คนบ้านนั้นลูกคนนั้นจะมาทาบทาม จะหมั้นลูกสาวของผม หลวงพ่อจะเห็นอย่างไร ถามอย่างนั้น หลวงพ่อท่านก็นั่งนิ่งๆ แล้วก็พิจารณา ดูแล้วบอกว่า มันก็พอไปได้ คนครอบครัวนั้นใช้ได้ พ่อดีแม่ดี ปู่ตาย่ายายเรียบร้อย เขาก็ไม่รังเกียจ แล้วก็รับของหมั้น ตกลงกันว่าจะแต่งงานกันได้ แล้วถึงวันก็ทำพิธีแต่งงานกัน ไปเจอกันวันนั้นแหล่ะ
แต่ว่าแต่งงานกันแล้วไม่ค่อยมีการหย่าร้าง สถิติการหย่าร้างของคนสมัยก่อนนี่น้อยเหลือเกิน ร้อยนับหนึ่งนี่ก็หายาก เขาไม่หย่าไม่ร้างกัน เขาอยู่กันเรียบร้อย มีลูกมีเต้ามากมายก่ายกอง สร้างวงศ์สร้างตระกูลครอบครัวมาตั้งมากมาย เขาอยู่กันเรียบร้อยไม่มีปัญหา นี่สังคมของคนสมัยก่อน เพราะคนสมัยก่อนนั้น พูดกันไปแล้วก็เรียกว่า หลงในสิทธิน้อยไป คือ เขาไม่หลงในสิทธิที่ตัวจะมีจะได้อะไร แต่เขาอยู่กับผู้ใหญ่ อยู่กับพ่อแม่ปู่ตาย่ายาย ถ้าผู้หลักผู้ใหญ่ว่าดีก็ดีแล้ว ถ้าท่านว่าไม่ดีก็ไม่ดี เขาเชื่อ เพราะเขาเชื่อว่าพ่อแม่นั้นคงไม่ทำอะไรให้ลูกเสียหาย คงไม่ทำอะไรให้ลูกต้องลำบากเดือดร้อน แล้วเขาก็อยู่กินกันเป็นสามีภรรยากันด้วยความเรียบร้อย มีลูกมีหลานสืบสกุลมาโดยลำดับ พวกเราทั้งหลายนี่ปู่ตาย่ายายเขาก็อยู่กันมาอย่างนั้นแหล่ะ
แต่มาพอถึงสมัยหลานเหลนนี่ชักจะมีเสรีภาพขึ้นบ้างละ สิทธิบ้างละ อะไรต่ออะไรเรื่องมากขึ้นทุกวันทุกเวลา ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องอะไรที่ผู้ใหญ่ท่านบอกท่านกล่าว เอาตัวเป็นใหญ่ อัตตาธิปไตยมันแรงขึ้น ความเห็นแก่ตัวก็เพิ่มขึ้น คนสมัยก่อนนั้นเรื่องตัวมันน้อย แต่เขาถือผู้ใหญ่เป็นสำคัญ เอาผู้ใหญ่เป็นผู้นำในครอบครัว ในวงศ์ในตระกูล แม้ในหมู่บ้าน ถ้ามีคนที่เป็นคนเฒ่าคนแก่อยู่ในหมู่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านนั้นต้องนับถือ เชื่อฟัง มีเรื่องอะไรก็เรียกมาปรึกษาหารือเรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านผู้ใหญ่ท่านก็แนะนำโดยธรรม การเป็นอยู่ในหมู่นั้นก็มีความสุขความสบาย อันนี้ถอยหลังไปดูสังคมคนไทยเราในสมัยก่อน มันเป็นอย่างนั้น
แล้วผู้ชายส่วนมากก็ได้บวชในพระศาสนา การบวชสมัยก่อนนั้นเขาต้องเตรียมตัวนานๆ ไม่ใช่เตรียม ๓ วัน ๗ วัน แล้วก็มาบวชกัน เขาต้องพาเด็กไปฝากวัดให้อยู่เป็นนาค อยู่เป็นนาคนี่อยู่กันตั้ง ๖ เดือนนะ บางแห่งอยู่กันตั้งปีเลย พอเสร็จการเกี่ยวข้าวก็พาไปฝากทั้งนั้น เสร็จการเกี่ยวก็เข้าวัดเลย เข้าวัดแล้วก็ต้องอยู่เป็นลูกศิษย์วัด ไม่ได้ไปไหน ท่องหนังสือ ท่องคำอภิญญา ปัจจเวกขณะ สำหรับพิจารณาอาหาร จีวร เสนาสนะ ยาแก้ไข้ แล้วก็ท่องสวดมนต์ที่เขาท่องกันในสมัยก่อน แล้วก็ท่องคำขานนาค ท่องกันซ้อมกันจนได้ที่ เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษาก็เลยบวชกัน เขาเป็นอย่างนั้น
ในบางแห่ง โดยเฉพาะที่กลันตัน คนไทยไปตกหล่นอยู่ที่นั่นหลายกลุ่ม เขาบวชนาคกันนี่ นาคมาอยู่วัดตั้งปี ต้องมาเรียนหนังสือไทย ให้อ่านคำบาลีได้ อ่านภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาอ่านเก่งแล้ว เพราะว่าส่งเสริมการเรียนขึ้น ก่อนนี้ต้องเรียนอักขระภาษาไทย เพื่อให้อ่านตัวบาลีได้ อ่าน นโม ตสฺส ภควโต อรหโต นี่ได้ แต่ถ้าไปอ่านตัวภาษาไทยจริงๆ อ่านไม่ออก อ่านออกแต่คำบาลี แล้วก็ท่องสวดอะไรต่างๆ สวดปาติโมกข์ได้นะถึงจะให้บวชกัน เวลาบวชก็บวชพร้อมกันทีเดียวมากๆ อาตมาเคยไป เจองานบวชนาคหลายนาค ๑๐ นาค มีโรงอาหารวางรอบวัดเลย มากินเลี้ยงดูปูเสื่ออะไรกันไปตามเรื่องตามราว ตามแบบประเพณีบ้านนอก เขาบวชกันอย่างนั้น คนที่จะไปบวชต้องเรียนนานๆ และบวชแล้วไม่ใช่อยู่ ๓ เดือนลาสิกขานะ อยู่ ๒ ปี ๓ ปี บางคน ๕ ปี เลย ๕ ปีไปแล้วก็อยู่มันจนแก่ไปเลย พอบวชแล้วเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นวัดแถวนั้นจึงมีพระอยู่กันมากๆ ไม่น้อย
เมืองไทยเราเดี๋ยวนี้ เขาเรียกว่า บวชแบบย่อ บวชสั้นๆ ๑๕ วันลาสิกขา เดือนหนึ่งลาสิกขาไป เพราะอาชีพรัดตัว ก็ยังดี ได้มาบวชบ้าง ได้ศึกษาอบรมบ่มนิสัย พอจะได้เป็นปัจจัย เอาไปสร้างตัวสร้างครอบครัว ให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป ดีกว่าคนที่ไม่ได้เข้ามาบวชเสียเลย ประเพณีอย่างนี้เรียกว่าเป็นเรื่องดี ที่คนโบราณเขาได้ตั้งไว้ แล้วดีอย่างหนึ่งเมืองไทยเรานี่ คือบวชแล้วให้สึกได้ ไม่บังคับกะเกณฑ์ว่าบวชกันจนตาย ไม่เหมือนประเทศลังกา ลังกานี่ไม่บวชก็อย่าบวช แต่ถ้าบวชแล้วก็ต้องบวชกันจนตายเลย วันบวชนาคของเรานี่ ยิ้มแย้มแจ่มใสนะ ชาวลังกานี่พ่อแม่ร้องไห้ร้องห่ม เหมือนลูกตายจากไปอย่างนั้นเลย เวลาแห่นาคไปบวชนี่ ร้องไห้ร้องห่มตีอกชกหัว เหมือนกับลูกไม่ได้กลับบ้านแล้ว คือไม่ได้มาจริงๆ เพราะบวชแล้วก็ไปเลย เป็นนาคเป็นไปไปเลย ไปสามเณรเป็นพระไปเลย ยกให้กับพระศาสนา เขาอย่างนั้น แบบนั้น
มันก็มีดีแต่ก็มีเสียเหมือนกัน มีดีอย่างไร คือคนใดบวชแล้วก็ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ตั้งใจปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เพราะว่าไม่ออกแล้ว ยอมมอบชีวิตให้แก่พระศาสนา จึงอยู่มั่นถาวร แต่ว่าระบบที่บวชแล้วลาสิกขาได้ อยู่ไปอย่างนั้นเอง อยู่ไป ๒๐ ปีแล้วก็ยังไม่ดี ๓๐ ปีแล้วก็ยังไม่แน่ ยังมีคิดว่าจะออกอยู่นั่นแหล่ะ ถ้าเราไปถามว่าเป็นอย่างไร บวชมาตั้ง ๒๐ พรรษาแล้ว มอบชีวิตจิตใจแล้วหรือยัง ยังไม่แน่ ว่าอย่างนั้น อยู่ด้วยความลังเล ไม่แน่ใจ อะไรที่เราทำด้วยความลังเลนั้น มันไม่มั่นคง เหมือนเราไปถึงทางสองแพร่ง เอ๊ะ จะไปขวาดี หรือจะไปซ้ายดี ไปยืนงงอยู่ตรงนั้น เลยไม่ได้เดินเลย เพราะว่างงอยู่ ไม่รู้จะขวาดีซ้ายดีเลยไม่ได้เดิน ถ้าหากว่าตัดสินใจว่า เอาล่ะ อยู่มาจนป่านนี้แล้ว จะออกไปสู่บ้านสู่เมือง ไปแข่งกับชาวโลกก็ไม่ทันกินแล้ว ถ้าจะไปเป็นเกษตรกรปลูกมะพร้าวก็เห็นจะไม่ทันได้กินผล จะเอาตัวฝังที่โคนมะพร้าวเสียก่อน คิดไปในรูปอย่างนั้น แล้วก็บวชต่อไป มันก็ดี มีประโยชน์
แต่ว่าส่วนดีอย่างหนึ่งในเมืองไทยที่บวชให้สึกนี่ ทุกคนบวชได้ ได้เกิดความคุ้นเคยกับพระศาสนา ได้เข้ามาเรียนมารู้หลักธรรมคำสอน รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของพระสงฆ์องค์เจ้า แต่เมืองลังกาคนไม่ได้บวชก็ไม่รู้เรื่องเท่าไร เว้นไว้แต่คนที่สนใจจริงๆ จึงจะมีความรู้ความเข้าใจ ดีไปคนละแง่ บวชสึกก็ดีไปอย่าง บวชไม่สึกก็ดีไปอย่างหนึ่ง มันก็เป็นธรรมดา ของอะไรที่จะดีร้อยเปอร์เซ็นต์มันไม่ได้ มันมีดีบ้างมีเสียบ้าง ปะปนคลุกเคล้ากันไป เมืองไทยเรานี้ก็นับว่าดี ที่โอกาสบวชได้ แล้วก็ลาสิกขาได้
สมัยก่อนนี้เขาต้องบวชกัน ๓ เดือนทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ไม่ถึง บวช ๑๕ วันบ้างอะไรบ้าง บางคนจะมาขอบวช ๗ วัน อาตมาไม่รับ บวช ๗ วันนี่มันไม่ได้ทำอะไร ห่มผ้ายังไม่ทันได้เลย ลาแล้ว อย่างน้อยมัน ๒ อาทิตย์ ๓ อาทิตย์อะไรไปอย่างนั้น แล้วพ่อแม่ก็เหมือนกัน เมื่อจะเอาลูกมาบวชนี่ อย่าให้บวชจิ้มเลย บวชจิ้มคือบวชไป ๓ วัน ๗ วัน ไม่ได้สาระอะไร หรือว่าบวชหน้าไฟนี่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร เด็กๆได้บวชหน้าไฟ เด็กอายุ ๗ ปี ๑๐ ปีนี่เขาบวชหน้าไฟกัน มันน่าเอ็นดูหน่อย จูงศพ บวชจูงศพ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่อายุ ๑๕ ขึ้นไปอะไรอย่างนี้แล้ว อย่าเอามาบวชหน้าไฟ มันไม่ใช่เด็กที่ควรเล่นละครแล้ว เด็กเล็กๆ เล่นละครมันน่าดู แต่ผู้ใหญ่เล่นละครมันไม่เข้าท่าอะไร ทำเป็นเล่นไป อย่าบวชหน้าไฟเลย ถ้าบวชแล้วมันต้องบวชอย่างน้อยซักเดือนหนึ่ง หรือว่าให้มันมากหน่อย จะได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาต่อไป แต่ว่าเราติดประเพณีนั่นเอง ประเพณีมันต้องพิจารณาเหมือนกัน ว่าเขาตั้งไว้เพื่ออะไร เราทำให้มันถูกเป้าหมาย
จุดหมายที่เขาตั้งไว้ว่าให้บวชหน้าไฟนะ หมายความว่า ในขณะที่เพลิงกำลังลุกไหม้ เผาสรีระร่างกายของคุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณตาคุณย่าคุณยาย เราไปยืนที่หน้าไฟแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ในการที่จะทำความดี เช่น อธิษฐานใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลูกขอปฏิญาณต่อหน้าลูกไฟที่กำลังลุกไหม้ร่างกายของคุณแม่ ว่าจะไม่ดื่มสุราเมรัย จะไม่เล่นการพนัน จะไม่เที่ยวกลางคืน จะไม่คบค้าสมาคมกับคนชั่วคนร้าย จะไม่เกียจคร้านการงาน จะไม่ประพฤติตนเป็นคนเหลวไหล จะตั้งใจประพฤติสุจริต อยู่ในศีลในธรรมตลอดไป นี่เขาเรียกว่าบวชหน้าไฟเหมือนกัน ไม่ต้องโกนหัว ไม่ต้องโกนคิ้ว แต่มันต้องเป็นผู้ใหญ่
เด็กๆ ให้บวชไปตามเรื่อง ประเดี๋ยวเดียวเด็กบวชนะ ตอนเช้าพอเผาศพเสร็จก็สึกแล้ว ถือศีล ๑๐ ข้อยังไม่ครบเลย โดยเฉพาะข้อว่าไม่กินอาหารตอนบ่าย ก็สึกไปกินซะแล้ว มันยังไม่ทันครบเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าเด็กเล่นละคร ถ้าเป็นเด็กน้อยๆ มาขอบวชนะ อาตมาบวชให้ เพราะว่าเด็กมันเล่นละครกัน ช่างมันเหอะ แต่ถ้าผู้ใหญ่แล้ว เป็นหนุ่มเป็นน้อยแล้วนี่ มาขอบวช อาตมาอธิบายให้ฟัง บอกว่าอย่าเล่นละครเลย เราไหนๆจะบวชก็บวชให้มันจริงจัง อย่าไปบวชหน้าไฟอย่างที่เขาบวช ถ้าเธอตั้งใจจะบวชละก็ หน้าร้อน โรงเรียนปิดภาค เธอมาบวชสักเดือนหนึ่ง เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ อย่างนี้จะได้เรื่องได้ราวหน่อย บวชแล้วจะได้อบรมบ่มนิสัย จะได้ศึกษาธรรมะ จะได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ดีกว่าที่จะเอาไปบวชหน้าไฟคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็นุ่งกางเกงกลับบ้าน แล้วมันไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่ทันได้อะไร แล้วไม่ได้เรียนอะไร แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมากนัก นอกจากว่าได้เอาผ้าเหลืองมาคลุมกาย เหมือนกับคลุมตอไม้อย่างนั้น มันจะได้สาระอะไร อันนี้มันควรเปลี่ยนแล้วประเพณีบวชหน้าไฟนี่ เอาไว้เด็กๆตัวน้อยๆเอามาบวชกันไปตามเรื่อง เหมือนเมืองเหนือนะ (24.05 เสียงไม่ชัดเจน) สิบคนยี่สิบคนนะตัวเปี้ยกๆ ทั้งนั้นนะ บวชกันไป ตามวัดนี่ก็ต้องหาพระชุดเล็กๆ ไว้ เผื่อพวกบวชหน้าไฟกัน แล้วพอจูงศพไปถึงป่าช้าแล้วกลับมาก็สึกเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าบวชชักศพ อย่างนั้นมันเป็นการแสดงละคร ไม่ใช่เป็นการทำอะไรจริงจัง แต่ถ้าเรามีลูกมีหลานเป็นผู้ใหญ่ เราก็ควรจะให้บวชจริงจัง หลังจากการเผาศพแล้วก็ได้ หรือว่าบวชก่อนเผาซักเดือนหนึ่ง จนถึงวันเผาศพ เผาศพเสร็จแล้วก็ลาสิกขาออกไป อย่างนี้จะได้ประโยชน์ เป็นคุณเป็นค่า ไม่เสียเวลาเปล่าๆโดยไม่ได้อะไร เป็นข้อคิดที่อยากจะฝากไว้ ให้ญาติโยมได้คิดกัน เรื่องการบวชอย่างนั้น
ทีนี้อีกอันหนึ่งเรียกว่า บวชแก้บน คนชอบไปบนบานศาลกล่าวที่นั่นที่นี่ แล้วบอกว่าถ้าสำเร็จสมใจแล้วจะบวช บวชแก้บน ๓ วัน ๕ วัน อาตมาก็ไม่บวชให้เหมือนกัน บวชแก้บนแบบนั้น คือมันไม่ได้ทำอะไร แล้วก็แนะนำว่าคุณไม่ต้องบวชหรอก ไม่ต้องโกนผมให้มันลำบากหรอก คุณมาอยู่วัดถือศีลอุโบสถซัก ๗ วันได้ไหม มาถือศีลอุโบสถ งดสูบบุหรี่ งดเที่ยว งดเตร่ มาอยู่วัดรักษา ศีลฟังธรรม มาเก็บเนื้อเก็บตัว ๗ วัน นั่นมันก็บวชอยู่แล้ว ที่ทำอย่างนั้นก็บวช เขาเรียกว่างดเว้นจากความชั่ว คือเรื่องของการบวช อันนี่เราไปบนบานศาลกล่าวอะไรไว้ เราก็มาบวชในรูปอย่างนั้น บอกว่าไม่ได้ห่มผ้าเหลือง บอกว่าผ้าเหลืองนี่ไม่ได้สำคัญอะไร มันสำคัญอยู่ที่เราตั้งใจละความชั่ว ประพฤติความดี ถ้าเราละความชั่วประพฤติความดี ก็เรียกว่าเราบวชทางจิตทางวิญญาณ เป็นการบวชที่มีคุณค่า มากกว่าห่มผ้าเหลืองเฉยๆ ไปหลอกสิ่งที่เราบนบานศาลกล่าวไว้ เช่น บนบานหลวงพ่อวัดนั้นวัดนี้ บวชเสร็จแล้วก็ไปกราบบอกว่า ที่บนไว้ ผมบวชแล้วนะหลวงพ่อ เสร็จแล้วก็เท่านั้นแหล่ะ อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำเล่น ไม่ได้ทำอะไรอย่างจริงจัง การบนทั้งหลายนั้นอย่าบนอย่างนั้น
บนสร้างพระนี่อย่างหนึ่งขอซะที สร้างพระพุทธรูป บนว่าจะสร้างพระพุทธรูปเท่าอายุ คนอายุตั้ง ๖๐-๗๐ นี่สร้างพระเท่าอายุนี่มันไม่ไหว ต้องเล็กๆเท่าปลายนิ้วชี้ ซื้อมา ๗๐ องค์ สร้างพระเท่าอายุ เอามาถวายวัด หาเรื่องให้พระร้อนอกร้อนใจ คือไม่รู้จะเอาไปเก็บตรงไหน พระเหล่านั้นเล็กเกินไป หนูวิ่งชนล้มระเนระนาดไปเลย ถ้ากุฏิมีหนูนะ แล้วทิ้งไว้ขี้ฝุ่นจับรุงรัง เกรอะกรังไปหมด อย่าบนว่าจะสร้างพระเท่าอายุอย่างนั้นเลย เรามาสร้างพระกันอย่างจริงจังแก้บนกันดีกว่า
บนสร้างพระนะสร้างอย่างไร คือสร้างพระนี่มี ๒ แบบ เขาเรียกว่าสร้างพระวัตถุ กับสร้างพระทางคุณธรรม สร้างพระวัตถุนี่ก็ไปเสาชิงช้า ร้านพุทธพาณิชย์ ร้านพุทธอะไรต่ออะไร เขาหล่อไว้ขายเยอะแยะ ไปซื้อมา ซื้อมาก็เอามาแล้วไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ที่วัดนี้ก็อึดอัดนะ โยมเอาพระมาให้มากๆ อาตมาไม่ค่อยชอบหรอกความจริงนะ ที่เอาพระมาให้นะ คือว่าชอบอย่างอื่นมากกว่า ชอบให้โยมเป็นพระเสียเองมากกว่า ไม่ชอบให้สร้างพระแก้บนอะไร
คือเราบนบานศาลกล่าวอะไร บนบานในทางละ ในทางเจริญ ในทางสร้างสรรค์ชีวิตจิตใจให้มันดีมันงามขึ้น เช่น เราเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเราก็บนบานศาลกล่าว คราวนี้ถ้าหายป่วยแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่โกรธใคร จะไม่เกลียดใคร จะมีแต่น้ำใจเมตตาปราณีแก่เพื่อนมนุษย์ ในเรื่องดีเรื่องงาม เช่น ตั้งใจว่าถ้าหายป่วยคราวนี้ จะถือศีล ๕ เคร่งครัดตลอดชีวิต หายป่วยคราวนี้ จะถือศีลอุโบสถทุกวันพระ หายป่วยคราวนี้จะไหว้พระสวดมนต์ทุกคืนก่อนนอน นั่งสงบจิตสงบใจ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน อย่างนี้ก็เรียกว่า อธิษฐานใจถูกต้อง เป็นการบนบานศาลกล่าวตามหลักการพุทธศาสนา
นี่เราไปบนบานว่าจะสร้างพระบ้างละ สร้างนู่นนี่ มันยิ่งรกขึ้นไปทุกวันทุกเวลา สร้างเอามากองไว้ที่วัดนี่อะไรต่ออะไร ซึ่งไม่จำเป็น จะไปสร้างทำไม เราสร้างสิ่งที่จำเป็นที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุดแก่ตัวเรา คือสร้างคุณธรรมขึ้นในใจ นั่นแหล่ะเรียกว่าเป็นการบนบานศาลกล่าวที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะบนที่ไหน ไปบนกับหลวงพ่อแก้ว หลวงพ่อโต หลวงพ่ออะไรก็ตามใจ อย่าไปบนบานสร้างวัตถุเลย แต่บนบานสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในใจของเรา
บนบานว่าเราจะเป็นคนไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่ประทุษร้ายต่อใคร อย่างนี้เขาเรียกว่า เป็นการบนบานที่ถูกต้อง เป็นการบนบานในทางสร้างสรรค์ แล้วก็จิตใจก็มีความก้าวหน้า ตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา ดีกว่าในการที่จะทำในเรื่องอย่างอื่น ขอให้เข้าใจอย่างนี้ บนบานแบบใหม่ อย่าบนตามแบบที่เขาทำกันไว้ แล้วก็สร้างนั่นสร้างนี่ ซึ่งมันวุ่นวายสับสนด้วยประการละต่างๆ มีมากเรื่องหลายประการด้วยกัน
หรือว่าเราบนบานจะเอาของไปแก้ เช่น บนบานว่าจะเอาละครชาตรีมารำถวาย ยิ่งผิดใหญ่เลยทีเดียว เพราะว่าทางพุทธศาสนานี่ ไม่ส่งเสริมการมัวเมา ในเรื่องสนุกสนาน ผู้ที่บวชนั้นมีรับศีลข้อหนึ่งว่า นจฺจคิตวาทิตวิสูกทสฺสนะ เวรมณี งดเว้นจากการฟ้อนการรำ การขับเพลง ประโคมดนตรี ดีด สี ตี เป่าทุกประเภท อันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ คือเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ให้เพลิดเพลิน ให้มัวเมาอยู่ในสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าท่านไม่ส่งเสริมในเรื่องอย่างนั้นสำหรับผู้ที่เป็นนักบวช หรือว่าผู้ที่ถือศีลเพื่อชำระจิตใจให้สะอาด ไม่ให้ทำอย่างนั้น เราไปบนบานกับพระพุทธรูปว่าเราจะเอาละครชาตรีมารำให้ดู จนกลายเป็นอาชีพของพวกละครไป ต้องไปแต่งตัวรอคนจ้างอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าบนผิดทางเหมือนกัน ไม่เข้าเรื่องอะไร หรือบนบานว่าจะทำอะไรไปอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเรื่องแปลกๆ เช่น ไปบนบานที่วัดโพธิ์ แล้วมีอยู่แล้วอันหนึ่งแล้ว แล้วเราจะสร้างเพิ่มอีกซักอัน อันนี้มันเลอะไปกันใหญ่ สร้างให้มันรกวัดขึ้นไปทุกวันทุกเวลา นี่เขาเรียกว่าบนไม่เข้าเรื่อง ไม่ใช่วิธีการผู้มีปัญญา ไม่ใช่หลักการทางพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนานั้นเราให้เข้าใจว่า มีเรื่องละ กับเรื่องเจริญ ๒ เรื่องที่สำคัญ สิ่งควรละ คือ ความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง ที่มันก่อจับอยู่ในจิตใจของเรา ด้วยความเผลอ ด้วยความประมาท เรามารู้ว่าอันนี้ไม่ดี ต้องมาศึกษาทำความเข้าใจ แล้วเราก็ตัดสินใจเลิกละสิ่งนั้น อธิษฐานใจว่าเราจะเลิก เราจะไม่ทำสิ่งนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่าเป็นการถูกต้อง บนในทางละ อันนี้บนในทางเจริญ เช่นว่า เราบนอธิษฐานใจว่า เราจะไปฟังธรรมทุกวันอาทิตย์ เราจะรักษาศีลทุกวันอาทิตย์ หรือทุกวันพระ เราจะสวดมนต์ภาวนา เราจะนั่งสงบจิตสงบใจ เราจะเป็นคนไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่เคืองใคร ไม่ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน นี่เป็นเรื่องเจริญขึ้น ทำให้จิตใจของเราเจริญด้วยคุณธรรม เรียกว่า สร้างพระไว้ในใจ
พระข้างนอกนะเขาสร้างกันมากมายก่ายกองแล้วเวลานี้ ชอบสร้างกันใหญ่กันเหลือเกิน สร้างพระใหญ่ๆ ไม่ใช่เรื่องอะไร สร้างด้วยกิเลศ คืออยากเอาชื่อเอาเสียง ว่าฉันนี่เป็นคนสำคัญ เกิดในสมัยนั้น ได้สร้างวัตถุให้รกแผ่นดินไว้อีกชิ้นหนึ่ง เอาชื่อเสียง ไม่สอนคนให้สร้างพระข้างใน เอาแต่พระข้างนอก อันนี้โลกก็ยุ่งวุ่นวายกันอย่างนี้ แล้วพระที่ทำไว้คนก็ไปหลงอีก ไปวิงวอนขอร้องบนบานศาลกล่าว เพื่อจะให้ตนได้สิ่งที่ตนปารถนา ซึ่งเป็นเรื่องที่มันไม่ถูกตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
เราควรจะได้ช่วยกันให้คนได้สร้างพระขึ้นไว้ในใจ ปลุกคนให้ตื่นตัว ให้เกิดปัญญา ให้มีความรู้ถูกตรงตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ช่วยกันสร้างพระไว้ในใจ สร้างพระกรุณาไว้ในใจ สร้างพระปัญญาไว้ในใจ สร้างพระบริสุทธิ์ไว้ในใจของเรา เรียกว่า สร้างพระแท้ ถ้าเรามีพระอย่างนี้อยู่ในใจของเรา เราก็ปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง ไม่ยุ่งไม่มีปัญหา คนที่ได้รับภัยอันตรายคือ คนไม่มีพระ ไม่ได้สร้างพระขึ้นไว้ในใจ แต่เอาผี เอามาร มาไว้ในใจ แล้วผีมารมันก็สั่งให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ให้ไปฆ่าเขา ไปลักของเขา ไปเบียดเบียนเขา เอารัดเอาเปรียบเขา ด้วยประการละต่างๆ จิตใจไม่เป็นพระ ไม่มีพระประจำใจ จึงได้เกิดเป็นปัญหาขึ้นด้วยประการละต่างๆ อันนี้ขอญาติโยมได้เข้าใจไว้อย่างนี้ ในเรื่องบนบานศาลกล่าว อธิษฐานทางจิตใจ ก็ให้อธิษฐานไปในรูปอย่างนั้น
เราอย่าไปขออะไรจากพระเลย แต่ว่าเราจงเอาคำสอนนั้นมาปฏิบัติเถิด เพราะการเอาคำสอนมาปฏิบัติ เรียกว่า เราได้อัญเชิญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาไว้ในใจของเราแล้ว อัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไว้ในใจ ก็หมายความว่า เราเอาข้อปฏิบัติ มาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราได้ปฏิบัติตามหลักศีล หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า เราเชิญพระมาไว้ในใจของเรา เชิญวิญญาณพระพุทธเจ้ามาสิงสถิตอยู่ในใจของเรา วิญญาณของพระพุทธเจ้าก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเรียกว่าเป็นวิญญาณของพระพุทธเจ้า
วิญญาณของพระพุทธเจ้า เข้ามาอยู่ในใจใครแล้ว คนนั้นไม่เป็นคนป๋ำๆเป๋อๆ ไม่เป็นคนประเภทพูดจาแบบตาแก่ยายแก่ เหมือนกับที่เขาเข้าทรงทั่วๆไป ใครเคยไปดูเขาทรงบ้าง ท่าทางมันแปลกๆ เข้าทรงนี่นั่งก็ไม่เหมือนใคร พูดจาก็ไม่เหมือนใคร ปากเบี้ยวไปบ้าง บิดไปบ้าง หน้าตาผิดปกติ มันพวกผีเข้า มันไม่ใช่เรื่องอะไร ผีเข้าก็ต้องอย่างนั้น หน้าตามันก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าพระเข้าหน้าปกติ หน้าสดใส หน้ามีเลือดมีฝาด มีอาการสงบ มีความเยือกเย็น ใครมาเห็นแล้วไม่ขนพองสยองเกล้า แต่เราไปดูคนที่เขาทรงเจ้าเข้าผี โยมไปเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร ชักจะกลัวๆ ทำไมถึงกลัว เรานึกว่าผีเข้า มันไม่ใช่พระ ผีเข้า แต่ไปอ้างว่าหลวงพ่อนั้นเข้าทรง หลวงพ่อนี้เข้าทรง พระพุทธาจารย์เข้าทรงบ้างละ หลวงพ่อทวดเข้าทรงบ้างละ อันนี้มันพวกหากิน เรียกว่าเที่ยวแอบอ้างชื่อหลวงพ่อทั้งหลายที่เกิดมาในประเทศไทยในสมัยหนึ่ง แล้วก็มีชื่อมีเสียง ก็เอามาหากินได้ ก็ได้ผลพอสมควร เรียกว่ากินดีอยู่ดีกันไปตามๆกัน ด้วยวิธีหลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่ออย่างนี้ ใครไปแล้วก็เกิดอาการกลัว ตกอกตกใจ
ในเรื่องการทรงเจ้าเข้าผี อาตมาก็เคยไปดูกับเขาเหมือนกัน บังเอิญ ไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าไปถึงก็ไปไหว้สวดมนต์ แม่ผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างหน้า นั่งๆ ก็ ปุ๊ดๆ ปุ๊ดปู๋ ลุกขึ้นกระทืบบ้านโครมคราม นี่มันเรื่องอะไร อาตมาก็มองว่ามันบ้าอะไร ว่าเจ้าของบ้านนะ บอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้ เลอะเทอะ นั่งดูๆมันเลอะเทอะแล้ว เจ้าของบ้านก็เสียอกเสียใจ แหม ไม่นึกเลยว่าผีจะแทรกเข้ามาตอนที่พระมานั่งอยู่อย่างนี้ ช่วยกันจับไว้ ช่วยกันจับแม่ผีตัวนั้น เลยเอาไปข้างนอก พอออกไปข้างนอกก็หายไป เขาเรียกว่ามันออกแล้ว ผีมันออกแล้ว นี่เขาเรียกว่าพวกทรงเจ้าเข้าผี เชิญเจ้ามาทรง เชิญผีมาเข้า
คนอยู่ดีๆ ไม่ชอบไปหาผีมาเข้า ไปหาเจ้ามาเข้านี่มันเรื่องอะไร เรื่องหากินไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เพราะคนที่เชื่อในเรื่องนี้มันมีอยู่ มีอยู่ทั่วๆไปนะ พวกนั้นก็ชอบมาหาเจ้าหาผี คนพูดมันไม่เชื่อเวลานี้ ผีพูดมันเชื่อ เจ้าพูดมันเชื่อ แล้วก็เชื่อกันเละไปทุกที ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรหรอก มันเป็นซะอย่างนี้ นั่นมันไม่ใช่เรื่องอะไร เป็นเรื่องวิธีการหากินชนิดหนึ่งของหมู่มนุษย์ในสังคมในยุคปัจจุบัน เวลานี้เจ้ามันมากกว่าสมัยก่อน ผีก็มากกว่าสมัยก่อน คือบ้านเมืองเจริญขึ้น พัฒนาเหมือนกันในเรื่องทรงเจ้าเข้าผีมันก็พัฒนาขึ้น ทำให้ทันสมัย มีเทปอัดเสียงไว้ เสียงผีก็เอามาอัดไว้ เอามาเปิดฟังแล้วก็ไม่เข้าท่าเลย พูดจาไม่ประสีประสาอะไร พูดธรรมะก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร คนก็เชื่อ มันบอกว่าหลวงพ่อนั่นพูด หลวงพ่อนี่พูด อะไรต่ออะไร คนก็เชื่อฟังกันไปตามเรื่องตามราว
อันนี้มีมากขึ้น มีขึ้นทุกหนทุกแห่ง ในวัดนี่ก็มี พระเป็นผู้ทรงเองก็มี เป็นพระแล้วยังไม่ดี ไปเอาผีมาเข้าพระได้ เลยพระออกไปเหลือแต่ผีนั่งหัวแดงอยู่ตรงนั้นเอง อย่างนี้ไม่ได้เรื่องอะไร เรียกว่าพระทรงเจ้า พระผีเข้า ไม่ใช่พระลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เป็นพระอะไรก็ไม่รู้ นั่งดีๆก็ลุกขึ้นปึงปังๆ ผีเข้าแสดงอาการผิดปกติ เจ้าเข้าก็แสดงอาการผิดปกติ แต่ถ้าพระเข้า สงบ เรียบร้อย ไม่วุ่นวาย พอเรามีพระเข้าไปอยู่ในใจแล้ว เราสงบ พูดจาสงบ กิริยาท่าทางสงบ หน้าตาเป็นปกติ มันแตกต่าง
โยมจำไว้สังเกตนะ ผีกับเจ้ากับพระมันไม่เหมือนกันนะ ถ้าเจ้าเข้าแล้ว หน้าตาพิลึกพิลั่นเลย แบบนั้นแหล่ะ แต่เจ้ากับผี หน้าตาแปลกๆ แต่ถ้าพระเข้านะ พระกรุณาเข้ามาอยู่ในใจเรา เรามองใครด้วยสายตาที่มีความรัก ตาใสแจ๋ว ไม่มีขุ่นนะ แต่ถ้าผีเข้านะมองขุ่นๆ ดูพวกทรงเจ้าตามันขุ่นๆ ยังไงพิกลนะ บางทีทำตาปะหลับปะเหลือก มันแปลกๆ พิกลพิการ จิตมันผิดปกติ ถ้าพระเข้าเรียบร้อย นั่งเรียบร้อย พูดจาเรียบร้อย กริยามารยาทเรียบร้อย นี่เป็นเรื่องของพระ พระกรุณาเข้าสิงใจใครแล้ว มีแต่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักเพื่อนมนุษย์ สงสารเพื่อนมนุษย์ อยากจะช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน พระอย่างนี้
พระปัญญาเข้ามาอยู่ในใจ จิตใจสว่างไสว มองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควรกระทำ อะไรไม่ควรกระทำ จิตใจเรียบร้อย อยู่ด้วยปัญญา พระบริสุทธิ์ยิ่งวิเศษใหญ่เลย พอพระบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในใจแล้ว สงบเยือกเย็น มีอะไรมากระทบก็ไม่หวั่นไหว ไม่โยกโคลง มีความเป็นอยู่เหมือนกับศิลาแท่งทึบ ลมพัด ลมไต้ฝุ่น ลมพายุโซนร้อนพัดมาทิศไหนก็ตาม หินไม่โยกไม่โคลง จิตใจของคนที่มีพระเข้ามาสิงนั้นมีแต่ความสงบ มีแต่ความเยือกเย็น ไม่มีความบ้าๆบอๆเข้ามาอยู่ในจิตใจเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นอย่างนี้ โยมอย่าไปเชื่อสิ่งเหลวไหล
คือให้ถือหลักง่ายๆว่า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราจะไม่ไปสำนักเจ้า สำนักผีทั้งหลาย พวกที่ทรงเจ้ามา มากันร้อยเจ้านะ ไม่เอาด้วย เพราะว่าเรามีพระพุทธเจ้าแล้ว พอแล้ว พระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าใครๆ โดยประวัติ โดยการกระทำ โดยคำสอน วิเศษทั้งนั้น แล้วเราจะไปเอาเจ้าต๊อกต๋อยที่ไหนมาอีก พวกเจ้าเบ็ดเตล็ดทั้งหลาย พวกเจ้าไม่มีศาลทั้งหลาย เที่ยวเร่ร่อน เที่ยวหาร่างทรงอยู่นะ พวกนั้นนะ แล้วโยมสังเกตดูนะ คนที่ทรงเจ้าเข้าผีทั้งหลาย มันไม่ค่อยเต็มบาททั้งนั้นแหล่ะ จิตใจก็เรียกว่าพวก Abnormal ภาษาจิตวิทยาเขาเรียกว่าพวก Abnormal คือจิตผิดปกติ บ้าๆบอๆ คนบ้าๆบอๆนี่ผีเข้าง่าย แต่ถ้าคนมีสติมีปัญญา มีความหนักแน่นในจิตใจ ผีไม่เข้านะ ให้เขาใช้มาตุภูมิ เข้าไม่ได้ เพราะใจเขาไม่ยอมรับ คนที่ยอมรับเรียกว่ามันเปิดอยู่ ใจมันเป็นผีอยู่แล้ว มีอะไรนิดหน่อยก็ผีเข้าอีกแล้ว นั่งอยู่ดีๆเดี๋ยวก็ปึงปังๆขึ้นมาล่ะ ผีเข้าอีกแล้ว เป็นอย่างนั้นแหล่ะ แล้วก็สังเกตดูสิพูดจาไม่มีอะไร ไม่จริงจังอะไรซักอย่างเดียว ผีเข้า ไม่ได้สาระอะไร เรื่องอย่างนี้มีอยู่ทั่วๆไป
เราจึงควรจะได้เอาพระเข้ามาสิงใจ เชิญวิญญาณของพระพุทธเจ้า เชิญศีลเข้ามาไว้ที่กาย วาจา เชิญสมาธิมาไว้ที่ใจ เชิญปัญญามาไว้ที่ใจของเรา เราจะคิดอะไร จะพูดอะไร จะทำอะไร จะไปสู่สถานที่ใด เราไปกับพระ เราไปด้วยปัญญา ไม่ไปด้วยความโง่ความเขลา ไม่ได้ไปด้วยอารมณ์ คนบางคนทำอะไรด้วยอารมณ์ พออะไรกระทบหน่อยก็ระเบิดเลย คล้ายกับดินประสิว มันไวไฟ เขาเรียกว่า คนเจ้าอารมณ์ คนเจ้าอารมณ์นี่ปึงปังโป้งป้าง โกรธง่ายเกลียดง่าย รักก็ง่าย ง่ายทั้งนั้นแหล่ะคนเจ้าอารมณ์นี่ ไม่มีเหตุไม่มีผลในจิตใจ ไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องอะไรๆต่างๆ พอกระทบปุ๊บ ก็ปึ้งขึ้นมาเลยทีเดียว พวกเจ้าอารมณ์เป็นอย่างนั้น คนประเภทนี้ล่อแหลมต่อการเป็นทุกข์ เพราะหวั่นไหวกับสิ่งที่ยั่วยุได้ง่าย แต่คนที่มีจิตใจมั่นคง หมายความว่า เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เช่นว่า โลกธรรม เขาเรียกว่าธรรมสำหรับโลก มี ๘ อย่าง
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์
มันมีแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายที่เราชอบใจ เช่น มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นี่เราชอบใจ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ นี่เราไม่ชอบใจ เรารู้ เราหัดพิจารณา เราบอกตัวเองไว้ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมะ กฎเกณฑ์ธรรมะสอนเราว่าอย่างไร สอนว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อะไรเกิดขึ้นก็ไม่ถาวร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันเป็นกระแสที่ไหลไปอยู่ตลอดเวลา เราจะไปจับเอาตอนใดตอนหนึ่งว่าเป็นของเราก็ไม่ได้ เป็นตัวเราขึ้นมาก็ไม่ได้ ถ้าไปขืนจับไว้ต้องเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะหลุดมือ เราจับปลาไหล ปลาไหลนี่ลื่นจับยาก อาตมาเป็นเด็กๆเคยไปจับปลากับเขา แหม ปลาอื่นจับง่ายทั้งนั้น ปลาไหลนี่จับยากจริงๆ จับปุ๊บหลุดหายไปแล้ว แล้วมันไชชอนไวนะ พอหลุดปุ๊บ จมโคลนไปเลย หัวมันเก่งปลาไหลนะ ไชดินจมหายไปเลย ต้องคุ้ยต้องเขี่ย อ้าว พอเจอจับอีก หลุดไปอีกแล้ว แต่ว่าจับยาก มันเหมือนกับปลาไหล มันลื่น
อารมณ์ทั้งหลายที่มากระทบเรา ไม่ว่าจะเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นปลาไหล ถ้าเราไปขืนจับไว้ต้องเป็นทุกข์ พอไปยึดว่าของฉัน มันไม่ยอมรับกับฉัน แล้วเราก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเราไม่ได้ดังใจ ไม่เหมือนใจ สิ่งนั้นไม่อยู่กับเรา เราก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ เราสวดเช้าๆ
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ เป็นทุกข์
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง ต้องการสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์
จริงหรือไม่ เราอ่านแล้วต้องคิด เอาไปสวดที่บ้านได้ โอ้ นี่จริง นี่เรากำลังเป็นทุกข์อยู่เวลานี้ ทุกข์เรื่องอะไร เรื่องไม่เหมือนใจ ไม่มาซักที ไม่ได้ดังใจ อะไรต่ออะไรที่มีอยู่ในตัวเรา นี่เกิดมาแล้วมันทุกข์เพราะอะไร เพราะเราไปยึดถือสิ่งนั้นไว้ ยึดถือว่าอะไร ว่าเป็นของฉันขึ้นมา อันนี้ถ้าเราไม่ยึดถือ ก็ไม่มีอะไร ไฟไหม้บ้านเพื่อนเรา เราจะไปทุกข์ร้อนอะไร ทุกข์นิดหน่อยถ้าอยู่ใกล้ รีบขนของหนี แต่ถ้าหากอยู่ไกล เราอยู่บางลำพู ไหม้บางรัก เราไม่เป็นทุกข์อะไร เฉยๆ เราไม่เป็นทุกข์หรอก แต่ถ้าบ้านเราอยู่บางรัก ไฟไหม้ก็กลุ้มใจแล้ว สมมุติว่าใครบอกว่าไฟไหม้ที่ตรงนั้น บ้านเราอยู่ใกล้ล่ะ นั่งไม่ได้แล้ว ออกรถไปแล้ว เพราะเราเป็นทุกข์ กลัวไฟจะไหม้บ้าน เป็นทุกข์เพราะว่า บ้านของฉัน เงินทองของฉัน คนนั้นเป็นของฉัน เธออย่ามายุ่งนะ ได้เห็นดีกันละ เรื่องมันอย่างนั้น ยึดถือทั้งนั้น
พอไปยึดถือสิ่งใดเข้า เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น มันอยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ที่เขา เขาก็ไปตามเรื่องของเขา เขาเดินมา เขาก็เดินไป อะไรเกิดขึ้นมันก็ผ่านไป มีอะไรที่คงที่บ้าง เกิดขึ้นผ่านไป เกิดขึ้นผ่านไป เรากินอาหารอร่อย ประเดี๋ยวก็หมดแล้ว กลืนลงไปหมดเรื่องแล้ว อร่อยด้วยรสเผ็ด อร่อยด้วยรสเปรี้ยว อร่อยด้วยรสหวาน รสมัน รสเค็ม อร่อยแวบหนึ่งก็หายไป หายไปทั้งนั้น ไม่มีอะไรคงทนถาวร อันนี้เป็นธรรมะอยู่ใกล้ตัวที่สุด ซึ่งเราสามารถจะเรียนเอาได้ ศึกษาได้ แต่ว่าเราไม่ค่อยได้ใช้
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้ใช้ปัญญา ให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตของเรา พิจารณาในแง่ว่า มันไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร มันไม่ยอมรับกับเรา ว่าจะเป็นของท่านตลอดไป อย่ามาตู่ฉัน ธรรมชาติบอก อย่ามาตู่ฉัน ถ้าเราไปตู่ว่า เป็นของฉัน เดือดร้อนทุกราย มีปัญหาทุกราย แล้วเราจะอยู่ด้วยความทุกข์ทำไม คนฉลาดเขาไม่อยู่ให้เป็นทุกข์ แต่อยู่ให้มีความเบาใจ มีความโปร่งใจ ไม่หนักใจ
นี่ญาติโยมลองสังเกตตัววันไหนนั่งหนักใจบ้าง ถ้านั่งหนักใจนี่แสดงว่าเผลอแล้ว ประมาทแล้วเวลานั้น ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของเรา เราจึงนั่งหนักใจ กลุ้มใจ เวลานอนต้องเอามือวางทับสมอง ให้มันหนักลงไปอีกหน่อย มันหนักอยู่แล้ว เอามือไปทับซ้อนให้หนักลงไปอีก มันเรื่องอะไร มันไม่ใช่หนักวัตถุ มันหนักที่ความคิด เราไปยึด ไปคิดอะไรต่ออะไร บางคนบอก แหม เมื่อคืนนอนไม่หลับตลอดคืน ทำไม เจ็บใจ คิดด้วยเจ็บใจ มันก็นอนไม่หลับ คิดด้วยพอใจ มันก็นอนไม่หลับ อันนี้คิดอย่างไรให้นอนหลับ คือไม่คิดอะไร ทำใจให้มันว่างเสีย
ถ้าว่าจะนอนแล้วก็นอนพิจารณา กำหนดลมหายใจ หายใจเข้า หลับสบาย หายใจออก หลับสบาย หายใจเข้าหลับสบายแล้ว ว่าอย่างนั้นนะ ประเดี๋ยวก็หลับปุ๋ยเท่านั้นเอง เพราะเราว่าหลับนิ ร่างกายมันอยู่ในอำนาจของเรา อำนาจของจิต จิตสั่งว่าหลับ มันก็หลับนะ อันนี้เราไม่ให้มันหลับแล้ว ตื่นไว้ก่อน ฉันจะคิดเรื่องนี้ก่อน ฉันจะกลุ้มใจก่อน อย่านอนนะคืนนี้ แล้วมันจะหลับได้อย่างไร เราคิดแต่เรื่องกลุ้มนะ มันก็ไม่หลับ เราอย่าไปคิดเรื่องกลุ้ม พอจะนอน นอนดีกว่า เรื่องนั้นเอาไว้คิดพรุ่งนี้ ตื่นก่อนค่อยคิดกันใหม่ ค่อยวางแผนกันใหม่ คืนนี้ฉันจะนอนแล้ว
พอจะนอนก็นั่งไหว้พระซะหน่อย สวดมนต์ เอาหนังสือนี่ไปสวดก็ได้ สวดย่อๆสั้นๆ ทำใจให้สงบ นั่งภาวนาซัก ๕ นาที แล้วก็นอนลงไป นอนหงาย นอนหงายดี จะทำกำหนดลมง่าย หายใจเข้ายาว หลับสบาย หายใจออก หลับสบาย เดี๋ยวก็หลับไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง มันหลับไปเอง เราไม่ได้คิดเรื่องยุ่งนะ เราคิดเรื่องหลับสบาย แล้วก็หลับไปเท่านั้นเอง ลองไปใช้ดูก็ได้ หลับสบาย เวลาตื่นก็อย่าไปคิดเรื่องยุ่ง เรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ โอ้ ของไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของฉัน ฉันไม่มีอะไร ฉันมาตัวเปล่า ฉันไปตัวเปล่า
สิ่งทั้งหลายผ่านมาแวบเดียวก็หายไป เหมือนฟ้าแลบ ใครจะจับได้มันแลบตรงไหน ปุ๊บหายไปแล้ว ถ้าเราไปเที่ยวเดินหาฟ้าแลบมันก็ไม่เต็มบาทเท่านั้นเอง ถ้าใครถามเที่ยวหาอะไร เมื่อตะกี้ฟ้าแลบ เที่ยวหาดูมันแลบตรงไหน ไม่ได้เรื่องแล้วนะ คนไม่เต็มเต็งแล้ว เที่ยวหาฟ้าแลบ เราก็เที่ยวหาอารมณ์ เที่ยวเก็บเรื่องนั้น เที่ยวเก็บเรื่องนี้ เอามาให้มันกลุ้มใจ นอนปวดหัว กินไม่ได้ นอนไม่หลับเท่านั้นเอง เขาเรียกว่า ไม่รู้ ไม่เข้าใจ อวิชชาไง พระพุทธเจ้าเรียกว่า อวิชชา คือความไม่รู้ชัดแจ้งจริงในเรื่องนั้น มันสร้างปัญหาให้เกิดความทุกข์แก่เรา เราจึงควรจะระมัดระวัง ไม่ให้อารมณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น อยู่ด้วยปัญญา มีพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา อยู่ด้วยความบริสุทธิ์ อยู่ด้วยความกรุณาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ เรียกว่าเรามีพระอยู่ตลอดเวลา เป็นพระเอง เป็นพระทุกคน บวชทุกคนได้ ไม่ลำบากยากเข็ญที่ตรงไหน ดังแสดงมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้ ต่อนี้ไปเรามานั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า นั่งสงบใจเรียกว่านั่งกับพระพุทธเจ้า นั่งกับพระพุทธเจ้า ๕ นาที ด้วยการทำใจให้สงบ หายใจเข้า หายใจออก กำหนดที่ลมหายใจ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น ๕ นาที เชิญทุกคนทำได้