แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โยม ... พุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ ๘ โมงเขามารับไปที่ กอ.รมน. สวนผึ้ง มารับไปตั้งแต่ ๗ โมง แต่เทศน์ที่โน่น ๘ โมง กลับเวลา ๙ โมง กลับมาถึงวัด ถึงกุฏิได้ยินเสียง สัพเพสังขาราแล้ว ก็รีบมาเพื่อให้ทันเวลา ก็พอดี ๙ โมงครึ่ง ไปพูดที่ กอ.รมน. เขาให้พูดเรื่องความมั่นคงของชาติกับพวกพ่อค้า พิเศษมีแต่พวกพ่อค้า เลยบอกว่าอย่ากักตุนสินค้าให้ประเทศมันวุ่นวายก็แล้วกัน ราคาปูนซื้อมาจากโรงงานเท่านั้น พอมาถึงสต๊อกแล้วก็ขายแพงขึ้นไปตั้ง ๒๐- ๓๐ บาท มันมากเกินไป พูดให้เขาฟังอย่างนั้น เขาว่ามันไม่มั่นคงถ้าแพงนัก อันนี้ก็ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ก่อนวันวิสาขบูชา วิสาขบูชาคือวันพรุ่งนี้ แต่ว่าเมื่อวานนี้ที่สวนลุมเขาก็มีงานวิสาขะ เริ่มตั้งตั้งแต่ ๘โมงเช้า มีการเปิดงานโดยท่านประธานองคมนตรี คุณสัญญาธรรมศักดิ์ เสร็จแล้วอาตมาก็เทศน์ให้ญาติโยมฟังที่เกาะลอย สวนลุมพินี เป็นเวลา ๑ ชั่วโมงแล้วก็กลับวัด เมื่อวานนี้ก็มีไปเทศน์หลายแห่ง ๒-๓ แห่ง เกี่ยวด้วยเรื่องสำคัญที่จะถึงในวันพรุ่งนี้ อีนนี้ก่อนที่จะถึงวันวิสาขะ เราควรจะเตรียมตัวอะไรบ้าง เพื่อจะได้ปฏิบัติงานในวันวิสาขะให้เป็นพิเศษ คือควรจะถือว่าเป็นวันพิเศษจริงๆ ก็เป็นวันประสูติ วันตรัสรู้ วันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียวไม่ใช่มาก วันอื่นๆมันมีหลายวัน หลายอย่าง หลายเรื่อง แต่ว่าวันวิสาขะนั้นมันเรื่องเดียว เรื่องเดียว วันเดียวแต่มัน ๓ เรื่อง คือเรื่องเกิด เรื่องตรัสรู้ เรื่องนิพพาน มารวมอยู่ในวันเดียว ก็สะดวกในเรื่องการฉลองวันสำคัญวันนั้น ถ้ามี ๓ วัน และไม่ตรงกัน เราก็ต้องไปฉลองกัน ๓ วัน เป็นการสิ้นเปลืองมาก แต่นี่รวม ๓ เรื่องมาฉลองในวันเดียวกัน ก็เป็นการประหยัด ไม่สิ้นเปลืองเงินทองอะไรมากเกินไป แต่ว่าเรื่องเงินเรื่องทองนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า (03.17 เสียงไม่ชัดเจน) สำคัญที่ว่าเราควรจะปฏิบัติตนอย่างไรในวันวิสาขบูชาอันเป็นวันสำคัญยิ่งของพระพุทธศาสนา เป็นวันสำคัญของชาวโลกก็ว่าได้ เพราะว่าการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นประโยชน์แก่คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แก่ชาติใดชาติหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกดังคำพระบาลีว่า " โลกานุกัมปายะ” เป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งมวล เพราะผลของการตรัสรู้ ทำให้ธรรมะปรากฏแก่ชาวโลก ถ้าพระองค์ไม่ได้ออกบวช ไม่ได้ตรัสรู้ ธรรมะก็จะไม่ปรากฏ ชาวโลกก็จะไม่รู้จักธรรมะอันเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อันเป็นหลักปฏิบัติที่จะช่วยให้ชาวโลกพ้นทุกข์อย่างแท้จริง สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในเพ็ญวันวิสาขะตอน พ.ศ. ๔๕ ปี อันเป็นเรื่องที่ทำให้ชาวโลกได้รับประโยชน์
ท่านจึงกล่าวพรรณนาไว้ในคำภีร์ว่า คนตาบอดมองเห็นได้ หูหนวกได้ยิน คนใบ้พูดได้ คนง่อยเปลี้ยเดินได้ มีแสงสว่างปรากฏไปทั่วทั้งโลก การที่ท่านเขียนไว้ในรูปอย่างนั้นก็เขียนเป็นรูปภาษาคน เพื่อให้คนเข้าใจง่าย แต่การพูดกันในแง่ภาษาธรรมะ ก็หมายความว่าตาบอดมองเห็น คือไม่ใช่ตาเนื้อมันบอดแต่ว่าตาใจมันบอด ชาวโลกเราที่อยู่ในอำนาจของกิเลสเป็นผู้บอดทางใจ มองอะไรไม่ชัด มองอะไรไม่ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริง ก็เรียกว่าเป็นคนที่ตาบอด ครั้นเมื่อได้รับฟังธรรมมะ เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจนถูกต้องความบอดนั้นหายไป ก็เรียกว่ามีตาสว่างไสวด้วยปัญญา คือตาใจสว่างไสวด้วยปัญญา มองอะไรเห็นชัดตามสภาพที่เป็นจริง ไม่มองสิ่งนั้นด้วยความหลงใหลมัวเมายึดมั่นสำคัญผิด อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ต่อไป คนหูหนวกได้ยินคือเมื่อก่อนไม่มีเสียงจะให้ได้ยิน คนก็เหมือนกับคนหูหนวก คนไม่เข้าวัดไม่ได้ฟังธรรม ไม่รู้จักคำสอนในทางพระศาสนาก็เรียกว่าเป็นคนหูหนวก แม้จะมีเสียงธรรมะดัง ก็ไม่สนใจไม่ตั้งใจฟัง ก็เรียกว่าเป็นคนหูหนวก ตาบอดด้วย หูหนวกตาบอดนี้อยู่ในสภาพอาภัพ ชีวิตจะไม่ก้าวหน้า แต่เมื่อพระพุทธเจ้าตีกลองอามัตตธรรม (06.52 ไม่ยืนยันสะกด) ขอใช้สำนวนว่า "ตีกลองอามัตตธรรม" คือธรรมะที่ทำคนให้ไม่ตาย ทำคนให้มีชีวิตที่ถูกต้องดังขึ้น คนหูหนวกที่ไม่ได้ยินก็มาได้ยิน ไม่ได้สนใจฟังก็มาสนใจฟัง เสียงธรรมะซึ่งเป็นเสียงใหม่ไม่เคยปรากฏในโลกมาก่อน เขาเรียกว่าหูหนวกหายหนวกไป ได้ยินเสียงที่เป็นประโยชน์แล้ว คนง่อยเดินได้ ไม่ใช่ง่อยแข้งง่อยขาเป็นอัมพาต แต่ว่าจิตใจมันเป็นง่อยเปลี้ยไม่มีแรง ไม่มีแรงที่จะทำดี หรือพูดว่าไม่มีศรัทธาในความดี ไม่มีศรัทธาในธรรมะในศาสนา ไม่สนใจที่จะก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ชอบ ยอมอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้า ก็เรียกว่าเป็นคนง่อยในธรรมะวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งๆที่ขาเดินได้แต่ก็เป็นคนง่อย เพราะไม่ได้เดินเข้าไปหาธรรมะ ไม่ได้เดินในเส้นทางของธรรมะ แม้จะเดินก็เดินนอกธรรม เดินนอกทาง ขึ้นเรือผิดท่า เพราะไม่รู้ว่าท่าที่ถูกนั้นคืออะไร ก็เรียกว่าเป็นคนง่อยในธรรมวินัยนี้
ครั้นพระพุทธเจ้าประกาศธรรมะให้คนทั้งหลายได้ยินได้ฟัง เขาก็เลยมีกำลังใจกระปรี้กระเปร่าลุกขึ้นด้วยความว่องไวก้าวไปข้างหน้าด้วยศรัทธาอันมั่นคง ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ผู้นั้นได้เกิดกำลังอันยิ่งใหญ่ขึ้นในใจของเขาแล้ว ไม่ง่อยเปลี้ยต่อไป แต่เป็นคนลุกขึ้นเริ่มเดิน เดินไม่หยุดไปสู่จุดหมายคือความพ้นทุกข์ อันนี้เรียกว่าคนง่อยเดินได้ คือเดินตามปฏิบัติธรรมนั่นเอง ผู้ไม่ปฏิบัติธรรมเรียกว่าเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา ไม่ก้าวหน้าในทางที่ถูกที่ชอบ แม้จะเดินไปก็เดินไปเพื่อความชั่ว เช่นเดินเพื่อไปเบียดเบียนเขา ไปประทุศร้ายเขา อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนง่อยทางธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นคนง่อยในภาษาธรรมะ คนใบ้พูดได้ ความจริงคนมันก็พูดได้อยู่ แต่พูดวาจาที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดวาจาที่ไม่ไพเราะเสนาะหู พูดวาจาหยาบคาย พูดวาจาที่บาดหูคน การพูดเช่นนั้นเหมือนกับไม่ได้พูด เพราะพูดสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นเป็นสาร ก็เรียกว่าเหมือนกับไม่พูด เหมือนกับคนใบ้ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศธรรมะขึ้นในโลกแล้ว คนใบ้เหล่านั้นพูดเป็น คือพูดวาจาจริง พูดวาจาอ่อนหวาน พูดสมานสามัคคี พูดคำที่มีประโยชน์ พูดเป็นสัมมาวาจาในองค์มรรค ๘ ในองค์มรรค ๘ มีข้อหนึ่งว่าสัมมาวาจา สัมมาวาจาคือเจรจาถูกต้อง เจรจาถูกต้องคือเจรจาคำจริง คำอ่อนหวาน สมานสามัคคีมีประโยชน์ พูดถูดต้องตามเวลา ตามบุคคล ตามเหตุการณ์ ถ้าหากว่าไม่สามารถจะพูดคำเช่นนั้น สัตบุรุษคือคนดีทั้งหลายเขานั่งนิ่งๆ นั่งนิ่งเหมือนกับคนใบ้ แต่ถ้ามีโอกาศจะพูดธรรมะ พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของสังคม เขาก็จะพูดจ้อออกมาทันที เรียกว่าหายใบ้ ใบ้เพราะไม่อยากจะพูดในเรื่องที่ไม่ควรจะพูด เช่นพูดด่าเขา ใบ้ซะดีกว่า ในธรรมะตอนหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า มีตาดีก็ทำเป็นตาบอดเสียบ้าง มีหูก็ทำเป็นหูหนวกเสียบ้าง มีลิ้นพูดได้ก็ทำเป็นใบ้เสียบ้าง ลุกขึ้นเดินได้ทำให้เป็นคนง่อยไปเสียบ้าง แล้วก็จะไม่มีเรื่องกับใคร คนเรามีตา ดูทุกอย่าง บางทีดูจนเกิดเป็นทุกข์ ดูให้เป็นทุกข์ ดูแล้วร้อนอกร้อนใจ ร้อนด้วยความอยากได้อยากมีสิ่งนั้น นี่เขาเรียกว่าดูเป็นทุกข์ หูเป็นทุกข์เพราะว่าได้ยินเสียงที่ไม่ควรจะได้ยินเช่น เสียงด่าว่า เสียงนินทา เสียงกล่าวร้าย อันนี้มันควนจะหนวกเสีย อย่าไปฟัง อย่าไปเอาใจใส่ เพราะเสียงนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไร ทำหูทวนลมเสียบ้างมันก็สบายใจ มีปากพูดได้เป็นใบ้เสียบ้าง ในเมื่อไม่มีอะไรจะพูด หรือพูดแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไร เราก็ทำตนเป็นคนใบ้ นั่งเฉยๆ อย่างนี้สบาย
ตามวัดพวกมหายาน คือชาวจีน ญี่ปุ่นนั้น เขาทำรูปลิง ๓ ตัวไว้หน้าวัด เขาปั้นเป็นลิง 3 ตัว ลิงตัวหนึ่งปิดตา เอามือปิดตา ลิงตัวหนึ่งเอามือปิดหู ลิงตัวหนึ่งเอามือปิดปาก ปิดเสีย คือไม่พูดนั่นเอง เรียกว่ามีปากก็ไม่พูด มีหูก็ไม่ได้ยิน มีตาก็ไม่ดู อันนี้เขาทำจากหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา ที่สอนให้สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง คนไทยเรามีพระองค์หนึ่ง เขาถือว่าเป็นของขลัง เขาเรียกว่า " พระปิดทวารทั้ง ๙" คือปิดตาทั้ง ๒ ปิดจมูก ๒ รู ปิดปาก ปิดหู ๒ ข้าง ปิดทวารหนัก ทวารเบา ปิดหมด ทว่าปิดหมดแล้ว ยิงไม่เข้าแล้ว ยิงไม่เข้า ที่ว่ายิงไม่เข้าไม่ได้หมายความว่ากระสุนมันไม่เข้า กระสุนมันแข็งกว่าเนื้อ และก็ทำไว้พิเศษ ถ้าว่ามาถูกตัวมันก็เข้าเนื้อ อย่าว่าเนื้อเลย กำแพงมันยังเจาะเข้าไปเลย ยิงเข้า เหมือนกับโป๊ป ท่านถูกยิงไอ้คนที่ไม่เต็มบาทมันไปยิงโป๊ปไม่น่าเลย ไม่น่าจะยิงท่านเลย เพราะท่านไม่เคยเบียดเบียนใครไม่เคยคิดประทุศร้ายใคร มีแต่เมตตาปราณี เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ ไปไหนก็ไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มนุษย์ทั้งหลาย แต่ว่าไอ้คนนั้นมันยิงได้ คนที่ยิงโป๊ป ได้นั้นควรจะเรียกว่า เป็นคนจิตผิดปกติ โลกเวลานี้มีคนจิตผิดปกติมากขึ้น ชอบทำร้าย ชอบเบียดเบียน ชอบทำลายสิ่งต่างๆ ถ้าได้ทำร้ายทำลายแล้ว เขารู้สึกสบายใจ คนประเภทนี้ชอบหาความสุขจากความทุกข์ของคนอื่นเพราะฉะนั้นเค้าจึงทำร้ายคน แล้วถ้าทำร้ายคนเล็กๆ ชื่อมันไม่ดัง อยากดังเหมือนกัน คนพวกนี้มันอยากดัง อยากมีชื่อเสียง แต่แทนที่จะได้ชื่อเสียงแต่กลับได้ชื่อเสียไป ไอ้ชื่อเสียงกับชื่อเสียมันอยู่ใกล้กัน เอาตัว "ง" ออกมันก็เสียเท่านั้นเอง เลยกลายเป็นคนชื่อเสียไป ไปยิงโป๊ป
เวลานี้ท่าน โป๊ปท่านก็ยังทรงประชวรอยู่ หมอบอกว่าอาการคงที่ คือไม่ดีขึ้นนั่นเอง ความร้อนยังสูงอยู่ในร่างกาย อาจจะเป็นอันตรายเมื่อใดก็ได้ แต่รักษากันอย่างเต็มที่ ฟังข่าวแล้วสลดใจ ว่าชาวโลกเรานี้มันกระไร ใจมันบาปมันบอดอย่างนั้น มันมืดอย่างนั้น ไปทำร้ายคนที่ไม่ควรจะถูกทำร้าย ในทางธรรมะท่านสอนว่า คนทำร้ายคนที่ไม่ควรจะทำร้ายย่อมได้รับโทษหนักทางชีวิตจิตใจ มันก็ได้รับโทษต่อไป แต่ว่ามันก็คงไม่เป็นทุกข์เพราะจิตมันไม่มีอารมณ์ที่จะเป็นทุกข์ มันกลับนั่งหัวเราะชอบใจ กูได้ยิงแล้ว คนมันบ้า อย่างไรก็เรียกคนบ้า จิตผิดปกติ ฝรั่งเขาเรียก " Abnormal" พวก Abnormal ชอบฆ่า ชอบทำลาย อยู่ที่ไหนก็ชอบทำลาย จิตอย่างนี้มันมี คนประเภทนี้มากขึ้นในโลก เพราะว่าไม่ได้ศึกษาธรรมะ แม้มีศาสนา ก็ไม่ได้ถึงธรรมะในศาสนา ไอ้คนยิงนั้นเป็นชาวตุรกี นับถือศาสนาอิสลาม แต่ว่าเขาไม่เข้าถึงธรรมะของอิสลาม ว่าธรรมะอิสลามนั้นคือความสงบ อิสลามนี้แปลว่าสงบสันติ คนนับถืออิสลามต้องสงบถึงจะถูกต้อง แต่นายคนนั้นเขานับถือแต่เพียงชื่อ ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจ ไม่มีธรรมะสถิตย์อยู่ในใจ เขาจึงคิด พูด ทำ ในสิ่งตรงกันข้ามกับธรรมะ สร้างปัญหาคือความทุกข์ความเดือนร้อนให้เกิดขึ้นแก่ชาวโลก ชาวโลกพลอยสะเทือนใจ เสียอกเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า มีกิจรีบร้อนที่เราทั้งหลายจะต้องช่วยกันกระทำ ช่วยกันกระทำให้มาก คือการเป่าร้องให้คนทั้งหลายได้รู้ ได้เห็นธรรมะ ได้เข้าถึงธรรมะ ได้เห็นคุณค่าของธรรมะว่า เป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต เป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ชีวิต ควรจะได้เอามาเป็นหลักดำเนินกิจในชีวิตประจำวัน อันนี้ต้องช่วยกันแล้ว เพราะถ้าเราไม่ช่วยกันทำให้คนเข้าถึงธรรมะ คนก็จะไม่มีธรรมะ เมื่อไม่มีธรรมะ ความเดือนร้อนก็จะเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ที่เขากล่าวไว้ในไม่ใช่คำภีร์แท้ของพุทธศาสนา แต่เป็นคำภีร์รุ่นหลัง ที่เขาเขียนว่า ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้โลก คือไหม้หมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีเหลือ เขาเรียก "ไฟบรรลัยกัลป์" ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้โลก คนดีมีศีลธรรมต้องหนีเข้าไปอยู่ในถ้ำในภูเขา ลอดชีวิตอยู่ได้ คนชั่วคนร้ายทั้งหลายจะถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญหมดไม่มีเหลือ คนดีมีศีลธรรมไม่กี่คนเข้าไปหลบอยู่ในถ้ำในภูเขา และเมื่อไฟดับแล้วก็ออกมาพูดว่า อนิจจาชาวโลกเอ๊ย ช่างไม่รู้ไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตกันเลย เบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่นจนเกิดความเสียหายขนาดนี้ แล้วคนเหล่านั้นก็เริ่มประพฤติธรรม ทำความงามความดีกัน เผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ความดีกัน ให้คนอยู่ในศีลในธรรมกันต่อไป และเมื่ออยู่ไป อยู่ไปนานๆ เข้าชักจะมากขึ้น คนก็ประมาทอีกแล้ว ประมาทอีกก็เลยถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญอีก อันนี้ท่านกล่าวเปรียบไว้ว่าไฟจะไหม้โลก
ไฟคือเป็นเครื่องร้อน ความร้อนนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ พระพุทธเจ้าเทศน์ " อาทิตตปริยายสูตร " ที่ตำบลคยา ว่าด้วยความร้อน ๓ ประการ คือ ราคะ ความกำหนัด โทสะ ความประทุศร้าย โมหะ ความหลง ความร้อน ๓ ประการนี้เรียกว่าเป็นไฟ เป็นไฟเผาตาให้ร้อน เผาหูให้ร้อน เผาจมูกให้ร้อน เผาลิ้นให้ร้อน เผาใจให้ร้อน เผากายให้ร้อน ร้อนภายในแล้วร้อนลามออกมาภายนอก ร้อนคนเดียวไม่พอ ยังส่งความร้อนไปกระทบคนอื่นต่อไปอีก นี่เขาเรียกว่าไฟไหม้โลก ไฟที่แท้นั้นเกิดจากข้างใน ไฟข้างนอกพอดับได้ ไฟไหม้ป่าดับได้ ไฟไหม้บ้านก็ดับได้ ไฟวัตถุนี่ดับได้เพราะมีเครื่องมือให้ดับ แต่ไฟกิเลสนี่ดับยาก เพราะเราไม่รู้ว่ามันเป็นไฟ เราหลงเอาไฟเป็นของดี แล้วก็ให้เหยื่อแก่ไฟ เพิ่มเหยื่อให้แก่ไฟ เพิ่มเชื้อเพลิงให้แก่ไฟลุกลามเผาไหม้ต่อไป ก็ดูชาวโลกเราในปัจจุบันนี้สิ ทำอะไรอะไรก็เป็นการเพิ่มเชื้อไฟทั้งนั้น เพิ่มสิ่งยั่วยุทางตา เพิ่มสิ่งยั่วยุทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้คนหลงใหลมัวเมากันด้วยประการต่างๆ นี่เรียกว่าเพิ่มเชื้อเพลิงให้ลุกลามไหม้ต่อไป แล้วมันก็ไหม้ลุลามไปเดือนร้อนกัน เช่นพวกผู้ชายไปเที่ยวกลางค่ำกลางคืน เที่ยวบาร์เที่ยวไนท์คลับ กินเหล้าเมายาสนุกสนานเฮฮากัน นั่นคือหลงเข้ามาในกองไฟแล้ว แล้วก้ไปเพิ่มเชื้อเพลิงให้แก่กองไฟ ไฟนั้นก็ลุกต่อไป เพราะเราไปเพิ่มเชื้อ การไปสนับสนุนสิ่งเหลวไหล คือการไปเพิ่มเชื้อให้แก่กองไฟ หาน้ำมันไปราด หาฟืนไปราด ให้ไฟมันได้ลุกต่อไป เราไปเที่ยวนั่นก็ไปสนับสนุนกองไฟ ทำให้ไฟลุกลามต่อไป ไฟนั้นลุกลามแล้วก็ไปไหม้คนนั้นคนนี้เดือร้อนวุ่นวาย ครอบครัวมีปัญหา แม่บ้านนั่งเป็นทุกข์เพราะพ่อบ้านไม่กลับบ้าน ทำไมจึงไม่กลับบ้าน เพราะไปหลงกองไฟ ไปกอดกองไฟ ทั้งๆ ที่ร้อนก็อุตส่าห์เข้าไปนั่งกอดนอนกอดกองไฟ แล้วก็ไม่กลับบ้าน แม่บ้านไม่สบายใจ แม่บ้านไม่สบายใจ ลูกก็เลยไม่สบายใจ เพราะแม่บ้านอารมณ์หงุดหงิด เลยอะไรนิดก็ดุลูกดุหลานต่อไป ดุคนใช้ต่อไป ไฟมันกระเด็นไปถูกคนนั้นคนนี้ ทำให้เผาไหม้ไปตามกัน ผิวหนังเผาไหม้ จิตใจถูกเผาไหม้เดือดร้อนวุ่นวายเพราะไฟทั้งหลายเหล่านั้น ผู้มีปัญญาจึงไม่เพิ่มเชื้อให้แก่กองไฟ แต่หาทางดับไฟให้มันมอดไปโดยวิธีใดก็ได้ เราไม่เพิ่มกองไฟ ไม่เพิ่มเชื้อเพลิง ไม่ส่งเสริมให้คนหลงกองเพลิง อย่างนี้ก็เรียกว่าช่วยโลกแล้ว ช่วยตัวเราได้แล้ว ทำให้เราสบายใจ ทำให้เรามีความสุขขึ้น
คนที่ไปหลงใหลมัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งเรียกว่าเป็นกองไฟ ด้วยอาศัยราคะ โทสะ โมหะ ที่ลุกขึ้นในจิตใจแล้วก็ไหลไปกับเรื่องอย่างนั้น ไม่รู้สึกตัว เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี เห็นทุกข์เป็นสุข เห็นสิ่งไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ อันนี้คือความเสื่อมของชีวิต เป็นไฟที่เผาลนโลกให้เร่าร้อน ให้เรามองโลกทั่วๆไป ว่าเร่าร้อนวุ่นวายกันเหลือเกิน เพราะมนุษย์หลงใหลสร้างกองไฟ เพิ่มเชื้อให้แก่กองไฟ แล้วมีการโฆษณาชักจุงให้คนหลงไฟ เข้าไปหากองไฟ เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เราตามไฟไว้ในที่แจ้ง แมลงเม่าทั้งหลาย แมลงเม่าก็บินมาตอมกองไฟแล้วตายกองกันอยู่ตรงนั้น ตายกอง มันไปทำไมอย่างนั้นเพราะมันหลงนั่นเอง มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นั่นมันเป็นตัวแมลงเล็กๆซึ่งไม่มีปัญญา ไม่มีความเติบโตทางสมอง แล้วคนเราเล่า เราโตกว่าแมลงเม่า เรามีสมองพิเศษ คิดได้ พูดได้ ตรองได้ วินิจฉัยได้ในเรื่องอะไรอะไรต่างๆ แต่เราไม่รู้จักกองไฟว่าเป็นพิษ เราชวนกันกระโดเข้าไปในกองไฟ เราส่งเสริมเชื้อเพลิงให้เกิดไฟลุกลามไปทั่วบ้านทั่วเมือง แมลงเม่ากับคนนี่มันพอจะไปกันได้ ใครจะโง่กว่ากว่าใคร คิดดูให้ดี
ถ้าคิดดูให้ดีแล้ว แมลงเม่ามันโง่เพราะมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่คนเรานั้นมิใช่สัตว์เดรัจฉาน แต่เราก็หลงโง่เหมือนแมลงเม่า คุณค่าแห่งชีวิตมันอยู่ที่ตรงไหน ราคาแห่งความเป็นมนุษย์มันอยูที่ตรงไหนถ้าเราหลงใหลมัวเมาในเรื่องอย่างนั้น อันนี้น่าคิด ถ้าคิดได้แล้วบางทีจะเกิดความระอายใจขึ้นมา แล้วเห็นว่า เอ๊..ไม่สมควรแล้วในเรื่องเช่นนี้ เลิกเสียทีเถอะ และเราเลิกไป เราเลิกสิ่งที่จะเป็นไฟเผาไหม้จิตใจคน เลิกส่งเสริมกองไฟ เลิกส่งเสริมเชื้อเพลิงที่จะให้เกิดไฟ แล้วเราก็สบายขึ้น คนโลกทั้งหลายก็พลอยสบายเพราะเราไม่ได้ขุดบ่อตักมันต่อไป เคยเห็นคนเขาไปดักทาง น้ำมันไหลมาทางนี้ น้ำใหม่ น้ำใหม่ ฝนตกน้ำใหม่มาไหลมาลงในห้วย ตรงนี้เป็นห้วยใหญ่ แล้วน้ำก็ไหลมาลงห้วย เวลาน้ำไหลมาลงห้วยนี่ คนที่จบปลาเขาไปขุดเป็นบ่อไว้ตรงนั้น เป็นบ่อล่อปลา แล้วก็น้ำมันก็ไหลผ่านปลามันก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมา ก็น้ำใสๆ มันหลงน้ำใหม่ พอหลงน้ำใหม่ก็ว่ายมา ถึงบ่อหล่นตุ๊บลงไปในบ่อ ลงแล้วขึ้นไม่ได้ เพราะในบ่อนั้นเขามีเครื่องมือวางไว้ ลงแล้วขึ้นไม่ได้ ลงได้ขึ้นไม่ได้ แล้วผลที่สุดย้ายทะเบียนไปอยู่หม้อแกง นี่ปลาตกบ่อ ปลาตกบ่อที่คนขุดไว้ แล้วคนเราตกบ่อหรือเปล่า เราถูกบ่อที่เขาขุดล่อไว้ให้ตกไปบ้างหรือเปล่า คนหนุ่มคนน้อยหลงตกลงไปในบ่อ หลงไปในบ่อเสียผู้เสียคนไปเลย บ่อเป็นของเป็นพิษ บ่อกัญชา บ่อฝิ่น บ่อเฮโรอีน บ่อสิ่งเสพติดนี่เป็นบ่อหนึ่งที่เขาขุดไว้ ราคามันแพง ถ้าใครติดแล้วเลิกไม่ได้ ก็ขายได้กันเรื่อยไป เอาเงินจากความทุกข์ยากคนอื่นมากินมาใช้ ก็เป็นบ่อชนิดหนึ่งที่เขาล่อไว้ บ่อแห่งความสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง ตามไนต์คลับ สถานเริงรมย์ต่างๆ เป็นบ่อประเภทหนึ่งที่เขาขุดล่อปลา ปลาเล็กปลาน้อยปลาใหญ่ปลาหัวหงอกก็ไปเหมือนกัน อุตส่าห์ไป หัวหงอกแล้วก็อุตส่าห์ไป ย้อมมันเสียหน่อย ให้เด็กมันเห็นว่าฉันยังไม่แก่ ก็ไปตกบ่อกันเป็นแถวเลยทีเดียว อันนี้บ่อทั้งนั้น คนไปตกลงไปในบ่อเหล่านั้น เกิดปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ อบายมุขทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เช่นว่าการเสพของมึนเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบเพื่อนชั่ว สนุกสนานไม่เข้าเรื่องไม่เป็นเวลา เกียจคร้านการงาน นั่นคือบ่อทั้งนั้น บ่อที่จะล่อให้คนไปติดตกลงไปแล้วขึ้นไม่ค่อยได้ ขึ้นไม่ค่อยได้ มันตกบ่อแล้วขึ้นยาก จมอยู่ในบ่อนั้น ถ้าไม่มีคนดีไปช่วยดึงมันขึ้นไม่ได้ เสียหายใหญ่โต
เมื่อไปเกาะสมุยคราวที่แล้ว ก็ไปเยี่ยมคนที่ไปดึงขึ้นจากบ่อมา ไปถึงแกก็ดีใจ มือสั่นงันงกไหว้ด้วยความปลื้มใจ ประกาศแก่คนที่ไปด้วยว่า “ไอ้ผมถ้าเป็นเรือแล้ว มันจมล่ออยู่ต้องแต่หัวโขนเท่านั้นเอง หัวโขนที่หัวเรือมันล่ออยู่หน่อย ล่ออยู่นิดเดียว ยังแต่จะจมดิ่งเท่านั้นเอง ท่านเจ้าคุณนั้นท่านมาดึงขึ้นมาให้พ้นจากบ่อนั้นได้ เวลานี้ผมสบายมีเงินมีทองใช้ไม่เดือดร้อน จะทำอะไร จะไปไหนก็ได้ แม้ลำบากยากเข็ญอะไร แกก็ประกาศความไม่ดีให้ได้ยินได้ฟัง แล้วก็ประกาศความดีให้ได้ยินๆได้ฟังว่า ขึ้นมาแล้วเพราะว่าพระมาเทศน์มาโปรดถึงบ้าน เดี๋ยวนี้สบายใจ ครอบครัวเป็นสุข ไม่มีปัญหา ไม่มีความร้อนในครอบครัวต่อไป เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ญาติโยมที่มาวัดนี้เรียกว่า ขึ้นจากบ่อแล้วทั้งนั้น ไม่ร้อนแล้วหล่ะ แต่ว่ายังมีเพื่อนฝูงมิตรสหายของเราที่เขายังเดินอยู่ตามขอบบ่อ หรือว่ากระโดดลงไปในบ่อแล้ว กำลังถูกไฟไหม้จะเป็นภัสมธุลี เป็นขี้เถ้าจนเอาทำอะไรไม่ได้ เป็นขี้เถ้าละเอียดจนใช้อะไรไม่ได้ มีบ้างไหม เพื่อนหญิงของเรา เพื่อนชายของเรา เพื่อนร่วมงานร่วมการกับเรา คนเป็นญาติของเราที่จมดิ่งลงไปในกองไฟ ถูกมันไหม้เป็นจุลมิจุลหน่ะ มีหรือไม่ อาจจะมี ถ้ามีหล่ะก็อย่าเมินเฉย ให้สงสารเขาหน่อย เอ็นดูเขาหน่อย แล้วหาหนทางว่าจะทำอย่างไร ที่จะดึงคนนั้นขึ้นจากบ่อเพลิงนั้นให้ได้ เราก็ช่วยกันดึงช่วยกันลาก ถูลู่ถูกังเอามาให้ได้ พามาวัด เอามาชโลมตากน้ำที่วัด น้ำนั้นคือน้ำศีลน้ำธรรมของพระพุทธเจ้าเอามาล้างเอามาชำระร่างกายให้สะอาดหมดจด แล้วก็ให้รู้ว่าที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร ชีวิตหมดค่าหมดราคา เราเกิดมาเพื่ออะไร เราอยู่เพื่ออะไร ชีวิตที่ผ่านมานั้นมันสมกับความเกิดความอยู่ของเราหรือไม่ เขาจะได้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะได้เลิกละจากสิ่งชั่วร้าย เข้าหาความดีต่อไป การช่วยเพื่อนฝูงมิตรสหายให้หลุดพ้นจากบ่อนรก จากบ่อเพลิง ให้ขึ้นมาในที่เย็นสบายได้นั้นแหล่ะเป็นมหากุศล เป็นกิจที่เราควรจะทำกัน ควรจะช่วยกัน เด็กน้อยๆช่วยเพื่อนให้ขึ้นจากนรกก็ได้ หนุ่มสาวช่วยเพื่อนให้ขึ้นจากนรกก็ได้ คนเฒ่าคนแก่ก็ช่วยได้ พระสงฆ์องค์เจ้าเราก็ช่วยได้ ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากนรก อันนี้เป็นยอดบุญ เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ดีกว่าบุญใดๆทั้งหมด เพราะเป็นการช่วยดับไฟซึ่งกำลังไหม้โลกให้มอดลงไป
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในเรื่องหนึ่งน่าฟัง คือว่าในเรื่องทั้งหมดมีเรื่องเล่าว่า นางวิสาขาเป็นคนมีชื่อมีเสียงในกรุงสาวัตถี เป็นที่เคารพรักของประชาชนทั่วไป ใครจะมีงานการอะไรก็ต้องเชิญนางวิสาขามานั่งเป็นประธาน เช่นทำงานแต่งงานเป็นต้น ถ้างานไหนนางวิสาขาไม่มา คนว่างานอะไรไม่เชิญนางวิสาขามาด้วย เพราะนางวิสาขานั้นเป็นมหาอุบาสิกา เป็นผู้มีชีวิตเป็นตัวอย่างแก่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย เป็นผู้ที่มากลับใจพ่อผัวให้นับถือพุทธศาสนาด้วยธรรมะ และกลับใจคนบ้านนั้นเป็นพุทธบริษัทอยู่ในศีลธรรมทั้งหมด คนก็เคารพบูชา เขาเรียกชื่อว่ามิคารมาตา จะขอบคุณแม่ของมิคาระ มิคาระนี่เป็นพ่อผัว แต่เขาเรียกลูกสะใภ้ว่า คุณแม่ของพ่อผัวคนนั้น ทำไมจึงเรียกว่าคุณแม่ เพราะมิคารมาตานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิมาก่อน ไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมะในพุทธศาสนา นางวิสาขาได้ทำให้ท่านเศรษฐีนั้นเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง แล้วก็สำนึกในบุญคุณของลูกสะใภ้ ถ้าไปดูดนมของลูกสะใภ้ แล้วก็เรียกว่าแม่ตั้งแต่วันนั้นมาชาวบ้านชาวเมืองก็ให้สมัญญานามแกนางวิสาขาว่า มิคารมาตา เป็นคุณแม่ของเศรษฐีมิคาระ ด้วยธรรมะไม่ใช่ด้วยเรื่องอะไร ท่านผู้นี้จึงเป็นหัวหน้าในทางดีทางงาม การนี้เองพวกผู้หญิงในเมืองนั้นอยากจะสนุกกันบ้าง แต่ไปไม่ได้ เช่นเขามีงานสนุกผู้หญิงไม่ได้เที่ยวเลย ผู้ชายไปเที่ยวกันใหญ่ พวกผู้หญิงก็มาประชุมคิดว่าเรามันเสียเปรียบผู้ชายมาก สิทธิมันไม่เท่าเทียมกัน เขาของร้องขอสิทธิเท่าเทียมผู้ชายเหมือนกับสมัยนี้ สมัยนี้ผู้หญิงก็ขอร้องให้แก้กฎหมายอะไรต่ออะไรให้มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย แต่ความจริงนั้นผู้หญิงมีฐานะดีกว่าผู้ชาย ดีกว่าในเรื่องอะไร ดีกว่าในเรื่องเป็นแม่ ผู้ชายเป็นไม่ได้สักคนเดียว มีบ้างไหมที่ผู้ชายเป็นแม่คนได้ เกิดลูกได้มีไหม ไม่มีมีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ตำแหน่งนี้ไม่มีใครแย่งได้ และไม่มีใครจะตีเสมอได้เลย ผู้ชายทั้งหลายที่จะมาตีเสมอเป็นแม่เหมือนคุณแม่ทั้งหลายมันทำไม่ได้ เรามันเป็นแม่มันยอดแล้ว ยอดสตรีแล้วที่ได้มีโอกาสเป็นแม่ ผู้ชายทั้งหลายสุดท้ายเป็นอย่างนี้ ไม่ได้เป็นอย่างเขาหรอก ไอ้เรื่องจะเป็นแม่ เป็นได้อย่างมากก็เป็นพ่อเท่านั้นเอง
เรามันใหญ่อยู่แล้ว แล้วไม่ใช่เป็นแต่แม่ของลูก เป็นแม่บ้านแม่เรือน เป็นหมดทุกอย่าง กำอำนาจไว้ในกำมือ อำนาจในบ้านในเรือนมันอยู่ที่เรา จะไปขออะไรอีก มันมีพอแล้ว จะไปขออะไรนักหนาไม่ต้องขอแล้ว ทำหน้าที่ของความเป็นแม่ให้สมบูรณ์เท่านั้น แล้วพ่อบ้านจะหมอบราบคาบแก้วเลย ไม่หนีไปไหน ถ้าเราทำหน้าที่สมบูรณ์พ่อบ้านไม่ไปไหน เพราะรักแม่บ้านสุดชีวิตจิตใจ รักแม่บ้านสุดชีวิตจิตใจอันนี้สำคัญกว่า จะต้องไปขอร้องทำไม อันนี้ผู้หญิงพวกนั้นมันอยากจะไปเที่ยวก็มาปรึกษา ก็เราไม่มีโอกาสได้ไป แต่ว่าเรามีอุบาย ก็ถามว่าจะทำยังไง เราไปชวนนางวิสาขาไปวัด แล้วเวลาไปวัด เราเอาสุราขวดน้อยๆ ซ่อนไปในชายผ้า ผ้านุ่งอินเดียมันรุ่มร่ามจะตายไป เอาไปซ่อนไว้ที่สะเอว เหน็บไว้ แล้วผ้าสาหรีคลุมเสีย แล้วก็เดินทางไปวัด ระยะทางที่ไปมันไกลพอสมควร เมื่อเดินตามหลังนางวิสาขา พวกนั้นก็เอาเหล้ามาดื่มไปเรื่อย จิบกันไปเรื่อยไป นางวิสาขาก็เดินสำรวมไปข้างหน้า เรียบร้อย พวกข้างหลังเต้นแร้งเต้นกาไปตามเรื่อง เมาแล้ว พอไปถึงพระพุทธเจ้า เข้าไปไหว้พระพุทธเจ้า เมา แสดงท่าทางไม่เรียบร้อย ก็เหมือนคนเมาไหว้พระแหล่ะ ไหว้เสร็จแล้วไหว้อีก ไหว้องค์นั้นไหว้องค์นี้ แล้วบางทีพูดคำหยาบเสียด้วย ไหว้ไปว่าไป มันไม่ได้เรื่อง ผู้หญิงก็ทำอย่างนั้น แล้วก็ประเดี๋ยวก็ลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกา ฟ้อนรำต่อหน้าพระพุทธเจ้า เมาไม่รู้สึกตัวเราก็ทำให้มันมืดขึ้นเลย ใช้อำนาจจิต อำนาจจิตอย่างแรงกล้าทำให้ตรงนั้นมืดหมด พอมืดหมดนั้นตกใจ ตกใจร้องหวีดหวาดโวยวายกันตามประสาสตรี พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า (39.44 เสียงไม่ชัดเจน) น่าหัวเราะอะไร น่าร่าเริงอะไร ว่าโลกสันนิวาสนี่ถูกเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ทำไมเธอทั้งหลายจึงไม่แสวงหาดวงประทีปส่องใจ ทรงตรัสกับพวกนั้นหายเมาไปเลย พอตรัสอย่างนั้นก็รู้ตัว ตายแล้วเรา หายเมาไปทันทีนั่งเรียบร้อย พอนั่งเรียบร้อยมันก็สว่างขึ้น มีความสว่างทางสายตา และมีความสว่างทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นแก่หญิงเหล่านั้น รู้สึกตัวว่าเรามันไม่ดี เลยกลับจิตกลับใจเรียบร้อย
ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า น่าหัวเราะอะไร น่าร่าเริงอะไร เมื่อโลกที่เราอยู่นี้มันถูกเผาไหม้อยู่ด้วยเพลิงตลอดเวลา ทำไมเรามัวไปสนุกกัน ทำไมไม่แสวงหาดวงประทีปส่องใจ ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ทำไมไม่ทำอย่างนั้น อันนี้ตรัสไว้ตั้ง ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้โลกเราเป็นอย่างไร โลกเรามันเผาไหม้มากกว่าสมัยก่อน ไฟสมัยนั้นมันดวงน้อยๆ ที่เผาโลกไป ไม่รุนแรงเหมือนกับสมัยนี้ แต่สมัยนี้ไฟมันไหม้ทุกหย่อมหญ้า ทุกหนทุกแห่งที่มีความเจริญทางวัตถุ สถานที่ใดที่ยังไม่เจริญทางวัตถุนั้น ไฟยังไม่ไหม้ ยังอยู่กันเรียบร้อย ยังสงบสะอาดกันอยู่ จิตใจยังดีอยู่ ยังพอหาความเป็นธรรมได้ แต่ว่าในสังคมที่เต็มไปด้วยวัตถุ มีการแข่งขันกันอยู่มากมาย มันมีแต่ไฟทั้งนั้น เผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ญาติโยมลองพิจารณาดู ถ้าพิจารณาก็จะเห็นว่า เรานี่มันอยู่ในกองไฟ มันร้อน นอนไม่เป็นสุข นั่งไม่เป็นสุข เดินก็ไม่เป็นสุข ไปไหนก็ไม่เป็นสุข ขึ้นรถไฟไปรถทัวร์ไม่เป็นสุข ไปเรือบินค่อยยังชั่วหน่อย แต่บางทีก็กลัวๆเหมือนกัน ประเดี๋ยวมันจี้พาไปประเทศอินโดนีเซียหล่ะก็ เราแย่เลย มันไม่ปลอดภัย ไฟมันไหม้อยู่ทั่วไป เป็นอย่างนี้ เรารู้แล้วว่าเราอยู่ในกองไฟ แล้วทำไมเราไม่ดิ้นรน ไม่ต่อสู้ไม่เคลื่อนไหวเพื่อดับไฟที่กำลังเผาไหม้ทั้งหลายเหล่านั้นให้หายไป เราจะเมินเฉยอย่างนั้นรึ ไม่ได้ ไฟมันจะเผาไหม้มากขึ้นทุกวันทุกเวลา เราก็ต้องช่วยกันแสวงหาน้ำดับไฟ น้ำที่จะเอามาดับไฟนั้นคือ น้ำพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า น้ำศีล น้ำสมาธิ น้ำปัญญา นี่เรียกว่าเป็นน้ำดับไฟ เราต้องเอาน้ำมาดับไฟ ดับไฟในใจของเราก่อน แล้วเราก็ดับไฟคนอื่นต่อไป อย่าให้ไฟมันมาไหม้เราก่อน แล้วเราก็ช่วยดับคนอื่นต่อไป ถ้าเรายังดับไฟในตัวเราให้มอดไหม้ไม่ได้ จะไปดับคนอื่นก็ลำบาก เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะเอาธรรมะมาช่วยโลก พระองค์จึงต้องไปศึกษาค้นคว้าธรรมะ การศึกษาธรรมะก็เท่ากับว่าศึกษาวิธีการ ที่จะดับไฟในใจนั่นเอง ว่าจะทำอย่างไร ใช้เวลาศึกษาค้นคว้ากว่าจะสำเร็จเป็นเวลา ๖ ปี จึงได้พบสัจธรรม ได้พบเครื่องมือดับไฟอย่างแท้จริง ไฟในน้ำพระทัยของพระองค์ก็มอดไหม้ไป เราเรียกว่า “ นิพพาน”
นิพานก็คือความดับสนิทแห่งความร้อน เหมือนไฟดับเย็นสนิท แม้ในก้อนถ่านมีแต่ความเย็น นั่นเรียกว่านิพพาน ในใจคนเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้ายังร้อนอยู่ด้วยเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ก็เรียกว่ายังไม่นิพพาน แต่ถ้าเมื่อใดเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ทั้งหลายมันดับมันมอดไป เราก็ได้ถึงแล้วซึ่งนิพพาน นิพพานไม่ใช่ของสุดเอื้อม ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าไม่ถึง และไม่ใช่สิ่งที่จะถึงได้เมื่อตายไปแล้ว เป็นสิ่งที่จะถึงได้เมื่อเป็นอยู่ ถ้าเราถูกกิเลสเผาเมื่อเป็น เราก็ต้องดับกิเลสเมื่อเป็น ให้ไปดับเอาเมื่อตายแล้วจะดับกันอย่างไร ไม่ได้ พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งให้ประโยชน์เฉพาะหน้า ที่เราเรียกศัพท์ว่า สันทิฏฐิโก เวลาเราสวดมนต์ว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม สันทิฏฐิโก ตัวนั้นแหล่ะ สันทิฏฐิโก หมายความว่าให้ผลเฉพาะหน้า ให้ผลทันทีทันใด เห็นในชีวิตนี้ ไม่ใช่เห็นกันต่อไปข้างหน้า ในเวลานี้ เช่นเราร้อน ด้วยอะไร ด้วยความโกรธ เขม่นคนใดคนหนึ่งมันร้อนขึ้นมาวู่วามเลย พอเรารู้สึกตัว เอ๊ะอะไร นี่สติมันมาแล้ว อะไร พอรู้สึกตัวปั๊บ สติมาแล้ว พอสติมาว่าอะไร ปัญญาก็มา ตามา อ๋อ ความร้อนหน่ะสิ ร้อนเพราะความโกรธ โกรธใคร โกรธเจ้าคนนั้น แล้วเราก็คิดต่อว่าทำไมเราไปโกรธเขา เราโกรธเขาแล้วใครร้อน ใครเป็นทุกข์ ใครไม่สบายใจ ก็ตัวเราผู้โกรธหน่ะสิไม่สบายใจ มีความทุกข์ มีความกลุ้มใจ คนนั้นบางทีมันนั่งเฉยๆ มันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเรากำลังเขม่นมัน รู้ว่าเกลียดมัน นั่งเฉย เรานี่ลุกลี้ลุกลนอยู่ข้างใน ดิ้นรนเหมือนกับอะไรดี เรื่องอะไรที่เป็นอย่างนั้น เราก็พอจะบอกกับตัวเองว่า เจ้านี่โง่ไม่เข้าเรื่อง อยู่ดีๆไม่ว่าดี ไปหาความร้อนมาเผาตัวเอง เหมือนไฟติดหางหนุมานหน่ะมันเรื่องอะไร ไม่รู้จักดับสักที เที่ยววิ่งลงทะเลขึ้นบก วิ่งให้ว่อน ไฟมันติดหาง
เราไฟมันไปเผาอยู่ที่ดวงใจ ร้อน พอรู้ตัวก็ดับมันได้ พอดับได้ก็เรียกว่า มันนิพพานไปแล้ว ความโกรธนิพพานไปแล้ว ความเกลียดนิพพานไปแล้ว ความพยาบาท อาฆาตจองเวร ความเขม่นในคนนั้นมันหายไป ก็เรียกว่านิพพานไป แม้ชั่วขณะ ถ้าเราแก้ด้วยปัญญามันก็ดี แต่ถ้ามันดับไปเพราะว่าคนนั้นมันไปแล้ว มันดับไปเองนี้มันไม่ได้เรื่องอะไร แปลว่าเราไม่ได้กระทำให้มันดับ มันดับไปตามธรรมชาติ เหมือนไฟไหม้เชื้อจนหมดแล้วมันดับ ปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั่นคือว่าเราโกรธเราเกลียดอะไรขึ้นมา ไร นดับไปเฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เหมือนไฟมันไหม้เรือน ไหม้จนหมดทั้งหลังมันก็ดับไปเอง้นมาแล้วเราคิดแก้ไขด้วยปัญญา และเราแก้แล้วเราคิดแก้ไขด้วยปัญญา และเราแก้ได้ เมื่อเราแก้ได้ ก็เรียกว่าเราปฏิบัติธรรม ถ้ามันดับไปเฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เหมือนไฟมันไหม้เรือนจนหมด หมดทั้งหลังแล้วมันก็ดับไป ไม่ได้เรื่องอะไร เพราะเราไม่ได้ไปดับมัน ไม่ได้ไปแก้ไข แต่ถ้า เราหาน้ำยาเคมี เครื่องดับเพลิงมาพ่นใส่มันดับไป มันเรียกว่าดับด้วยการปฏิบัติของเรา ไม่ใช่ดับเพราะมันไม่มีเชื้อจะเผา วันหลังมันมีเชื้อมันก็เล่นงานเราอีก แต่ถ้าเราดับมันได้ด้วยปัญญา เราเกิดความฉลาดในตัวเอง เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรขึ้นา พอเกิดปุ๊บรู้ปั๊บ มันก็ไม่เกิดต่อไป อย่างนี้เรียกว่าเราปฏิบัติธรรม เมื่อเราปฏิบัติธรรม เราก็พ้นจากความทุกข์ เรานิพพานในเรื่องนั้น ความโกรธนิพพานไป ความหลงใหลนิพพานไป ความมัวเมาในเรื่องอะไรต่างๆนิพพานไป ทีละเรื่องทีละเรื่อง ค่อยเป็นค่อยไปก็ยังดี นี่ญาติโยมที่มาวัดมาหลายๆ ปีก็รู้แล้ว ว่ามันนิพพาน อะไรอะไร เช่นความโง่ ความเขลา ความยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิด ในเรื่องอะไรๆต่างๆ อันเป็นเรื่องเหลวไหลมันหมดไปด้วยปัญญา ก็เรียกว่ามันดับไป นิพพานไปเป็นเรื่องๆ เราทำต่อไป ทำต่อไป มันก็ค่อยดับหมดไป ไม่มีเชื้อแห่งความชั่วเหลืออยู่ในใจเราอีกเลย เราก็พ้นทุกข์ เรียกว่าเราถึงจุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของเราทั้งหลายนั้น ท่านได้ตรัสรู้ แล้วท่านก็เป็นพุทธะ แล้วท่านก็นิพพาน เราพูดว่า เกิด ตรัสรู้ นิพพาน วันเดียวกัน พูดวันเดียวกันมันยาวนะ ความจริงมันวินาทีเดียว แว๊บเดียว วินาทีเดียว เกิดวินาทีเดียวกันกับการตรัสรู้ กับการนิพพาน วินาทีเดียว แต่พูดว่าวินาทีเดียวนั้นพูดภาษาธรรมะ ภาษาธรรมะ ถ้าพูดตามภาษาคนภาษาชาวบ้าน การเกิดก็คือการเกิดของร่างกายเจ้าชายสิทธัตถะ การตรัสรู้ก็ที่ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา การนิพพานก็ที่สวนสาระ กรุงกุสินารา นั่นพูดในเรื่องร่างกายเรื่องวัตถุ แต่พูดในแง่นามธรรม หรือในแง่ภาษาคนกันแล้ว ก็เรียกว่าตรัสรู้ เกิดเป็นพุทธะ และนิพพานวินาทีเดียว วินาทีเดียวกันอย่างไร คือเมื่อตรัสรู้ธรรมะ ก็เรียกว่าตรัสรู้ ความเป็นพุทธะก็เกิดขื้นในใจทันที ก่อนนี้ไม่ใช่พุทธะ ก่อนนี้คือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือเรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระมหาสัตว์ หมายความว่าผู้ยิ่งใหญ่ แต่พอได้ตรัสรู้ปั๊บ ความเป็นพุทธะก็เกิดขึ้นในน้ำพระทัย แป๊บเดียวก็เกิดขึ้นแล้ว เกิดเป็นพุทธะแล้ว กิเลสความชั่วทั้งหลายทั้งปวงที่สะสมอยู่ในใจของพระองค์นั้น นิพพานไป หมดไป นี่เรียกว่าเกิดพร้อมกัน ความตรัสรู้ ความเป็นพุทธะ นิพพานพร้อมกันในวินาทีเดียว พูดให้ละเอียดว่า การได้เป็นพุทธะคือการเกิด การตรัสรู้ คือเข้าใจสิ่งทั้งหลายถูกต้อง กิเลสดับมันในวินาทีเดียวกัน แต่ว่าคนฟังไม่เข้าใจ ก็ว่าวันเดียวกัน แต่ถ้าคิดอย่างละเอียด มันวินาทีเดียวกันที่เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น ได้เป็นพุทธะในวินาทีเดียวกัน นิพพานในเวลาเดียวกัน กิเลสหมดไปนิพพานไป แต่ว่าร่างกายยังไม่นิพพาน ยังอยู่ ยังทำงาน ยังสอนคน อยู่อย่างพุทธะ ไม่ได้อยู่อย่างเหมือนกับเราทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ด้วยความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านอยู่ด้วยความสงบใจ ไม่เรียกว่าสุข ไม่เรียกว่าทุกข์ แต่เรียกว่าสงบเยือกเย็น ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้ตื่นเต้น ดีใจ เสียใจ หดหู่ เหี่ยวแห้ง ไม่มี คงที่อยู่อย่างนั้น เรียกว่า สงบ ความสงบมีอยู่ในน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่าอยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่พื่อนมนุษย์ทั้งหลาย การเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย นิพพานไปก็แต่กิเลส แต่ว่าจิตใจของพระองค์ยังอยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ๔๕ ปี แล้วก็นิพพาน จริงๆก็ปรินิพพาน ดับหมดไม่อะไรเหลือทั้งกายทั้งจิตใจ
ในวันวิสาขบูชาเราจึงควรคิดถึงวันนี้ว่าเป็นวันพิเศษจริงๆ เป็นวันที่เราควรจะได้ทำอะไรให้เป็นพิเศษจริงๆ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ดังที่ได้กล่าวมาในวันนี้ ก็สมควรแก่เวลา พรุ่งนี้ คือว่าวันพรุ่งนี้ มาแต่เช้า ใครจะรับศีลอุโบสถก็รับ ควรถือศีลพิเศษในวันพรุ่งนี้บูชาพระพุทธเจ้ากันจริงจัง มีปาฐกถาตอนเช้า มีตอนบ่าย เรื่อยไป กลางค่ำกลางคืน อยู่เรื่อยไป ใครจะอยู่วัดก็ว่ากันไปเรื่อยไป เป็นวันพิเศษ มาศึกษาธรรมะ สงบจิต สงบใจกันเป็นพิเศษตลอดเวลา สำหรับวันนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ ๕ นาที สงบใจ สำรวมใจ เห็นโทรทัศน์มาก็เข้ามาได้ตอนนี้ ถ่ายตอนญาติโยมนั่งสงบใจ เชิญได้