แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาถกฐาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เอ้า! วันนี้อาทิตย์เช้า อากาศดูเย็นสบาย แสงแดดส่อง คงฝนคงไม่ตกตอนใกล้เพล เมื่อวันจันทร์ที่แล้วอาตมาเดินทางไปทางภาคใต้ กลับมาเมื่อเช้านี้เอง เดินทางไปเพราะว่ามีพระมาอารธนาให้ไปพูดธรรมะ ที่อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปรถด่วนไปลงที่จังหวัดสถานีสุราษฎร์ธานี แล้วรถมารับเช้ามืด เดินทางต่อไป ถนนดี เมื่อก่อนนี้แย่มาก เดี๋ยวนี้เขาราดยางเรียบร้อย วิ่งประเดี๋ยวเดียวก็ถึงวัดสามัคคีนุกูล ซึ่งเป็นวัดที่จะต้องไปแสดงธรรม
ในตอนเช้าวันนั้นเวลา ๙ โมง เขาเอานักเรียนจำนวน สักหลายพัน มาประชุมกันเป็นพิเศษที่บริเวณลานวัด ซึ่งร่มรื่น มีต้นไม้ นั่งได้สบาย ปาถกฐากับเด็ก ๆ เหล่านั้น เพื่อชี้แนวทางชีวิต ให้เขาเข้าใจ ว่าเราเกิดมาทำไม เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะประพฤติปฏิบัติในขณะเป็นเด็กคืออะไร เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เด็กนักเรียนเหล่านั้นเรียบร้อยดี นั่งฟังกันด้วยความสงบ จบแล้วเขาก็พากันกลับไป
ตอนบ่ายมีการประชุมอีกครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องชาวบ้าน ผู้หลักผู้ใหญ่มาประชุมกัน แต่ว่าคนหนุ่มคนน้อยไม่ค่อยจะมี แต่ความจริงต้องการจะพูดกับคนหนุ่ม ๆ มากกว่า แต่ว่าไม่ค่อยจะมี เพราะว่าธรรมเนียมคนไทยเรา เวลาไปวัดมักจะไปแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ หรือว่าคนผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ไม่ค่อยจะได้ไป แต่ก็บอกว่า ต่อไปข้างหน้านี่ ถ้านิมนต์มาเทศก์ล่ะ(02.39 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ให้ประชุมคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ให้ได้มาฟังกันบ้าง เพื่อเขาจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ว่าที่วัดนั้น เขาทำเป็นเสาเหล็กสูง เหมือนกับเสารับโทรทัศน์ เอาลำโพงขึ้นไปแขวนไว้ยอดเสา สูงหลาย ๑๐ เมตร ชาวบ้านแถวนั้นได้ยินกันทั่วหมด ญาติโยมที่มาฟังเทศก์บอกว่า ได้ยินแต่เสียงทุกวัน ทุกวัน แต่ว่าไม่ได้เห็นตัว วันนี้ได้มาเห็นตัวจริงกันเสียที อาตมาได้บอกว่า ไอ้ตัวจริงนี่มันไม่ได้ความอะไรหรอก เพราะมันเป็นของเปื่อยเน่าพุพัง แต่ว่าเสียงนั่นแหล่ะ (03.23 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นสิ่งที่จริงแท้กว่า ให้ฟังเสียงดีกว่า
ท่านสมภารวัดนั้นมีหัวคิดทางด้านเผยแผ่ธรรมะ เช้าเปิดทีหนึ่ง เย็นก็เปิดทีหนึ่ง เอาเทปไปจากที่นี่มากมาย อาตมาเลยสัญญาไว้ว่าทีนี้ จะส่งเทปเทศก์วันอาทิตย์ไปให้ทุกอาทิตย์ แต่ว่า ๒ – ๓ สามอาทิตย์ก็ส่งสักทีหนึ่ง มันทุ่นค่าส่ง เลยต้องหาเทปอัด ส่งไปให้ แล้วก็มีวัดอื่นที่ทำแบบเดียวกัน นี่มีอยู่หลายวัด บอกว่าเอาไปแล้วให้มาอัดจากที่นั่น เอาไปเปิดให้ญาติโยมชาวบ้านฟังกัน มีอยู่ประมาณ ๑๐ แห่ง พระสมภารแกมา บอกว่าเปิดเสมอ ยกเสาสูงอย่างนี้ ชาวบ้านได้ยินทั่วกัน
พระหนุ่ม ๆ หลายองค์ที่นั่น รู้สึกว่ามีความว่องไว ตื่นตัว คิดก้าวหน้า ในการที่จะเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน คืนนั้นก็จำวัดที่วัดนั้น รุ่งเช้าขึ้นก็ ตอนเช้าไปที่วัดธารหาดสูง (04.34 เสียงไม่ชัดเจน) เขาเรียกว่าบ้านธารพอ (04.36 เสียงไม่ชัดเจน) อยู่ใกล้เขาศูนย์(04:37) ซึ่งเป็นแหล่งทำแร่ ถามคนที่นั่นว่า การขุดแร่ที่เขาสูญ (04.43 เสียงไม่ชัดเจน) นี่ คนตายไปแล้วสักเท่าไหร่ เขาบอกว่าตายไปแล้วประมาณสัก ๓,๐๐๐ คน ถามว่าตายเรื่องอะไร ดินทับตายบ้าง ถูกยิงตายบ้าง ถูกทุบตายบ้าง บอกว่าทำไมถึงได้ยิง ได้ทุบกัน มันแย่งแร่กัน แย่งหลุมกัน และก็ทุบกันตายไป ตอนนี้เงียบเหงา เพราะว่าเขาปิดไม่ให้คนขึ้นไปทำงานขุดแร่ที่นั่น ตลาดก็ซบเซาไปด้วยเหมือนกัน
ตอนเวลา ๙ โมง ก็เทศก์กับเด็กนักเรียนด้วย ชาวบ้านด้วย เด็กนักเรียนมาก แต่ชาวบ้านผู้ใหญ่มี ???? (05.21 เสียงไม่ชัดเจน) เดียวกัน ผลที่สุดก็ไปอยู่อย่างเดียวกัน คือไปอยู่กับธรรมชาติ ร่างกายลงไปอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับดิน กับน้ำต่อไป บางคนก็เอาไปฝังดินไว้ บางคนก็เอาไปเผาเป็นขี้เถ้า เป็นขี้เถ้าแล้วก็เอาไปทิ้งในทะเล ก็ดีเอาไปทิ้งทะเลนี่ดีมาก ๆ มันไม่วุ่นวาย ไม่ไปเที่ยวสร้างที่บรรจุไว้ตามวัดต่าง ๆ ให้มันเต็มวัด เต็มวา บางวัดนี่อยู่กันครึ่งวัดนะ เหมือนวัดราชบพิธ ริมถนนนี่อยู่สักครึ่งวัดนะ
วัดราชบพิธก็ไม่ใหญ่เท่าใด แต่ว่ากระดูกอยู่สักครึ่งวัด กระดูกคนสำคัญทั้งนั้น กระดูกเจ้านาย เอาไปไว้ที่นั่น พระก็อยู่ไม่ได้ มีแต่กระดูกอยู่ ที่วัดนี้ก็มีคนเอามาฝากไว้ สมัยแรกก็รับไว้ แต่เหตุต่อมาคิดได้ว่า โอ้นี่ ถ้ารับแล้วมันก็เต็มวัดนะ มันจะมากเกินไปแล้ว ไม่รู้จะไว้ตรงไหน ไหนบอกว่าให้สร้างกุฎิ ถ้ามีเงินพอจะสร้างกุฎิได้ พระจะได้อยู่ด้วย จะได้อยู่เป็นเพื่อนกระดูก ไม่ว้าเหว่เกินไป ก็เลยให้พระอยู่ด้วย ก็เปลี่ยนมา ก็เวลานี้สร้างเป็นกุฎิ สร้างเป็นกุฎิไว้ แต่ก็บรรจุไม่ได้มาก ไม่กี่ชิ้น บรรจุไว้ในฝาเลย ไม่ต้องลำบาก เป็นอนุสรณ์แก่ลูกแก่หลาน ส่วนที่เหลือนั้น จะเอาฝังไว้ที่วัดนี้ก็ได้ โคนต้นไม้ ต้นไม้ใดต้นไม้หนึ่งฝังไว้ จะได้เป็นปุ๋ยของต้นไม้ต่อไป เป็นธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนั้น ก็ดีไป แต่ถ้าเอาไปทิ้งทะเล ก็ไม่รู้จักเต็มหน่ะ (07.27 เสียงไม่ชัดเจน) มหาสมุทรมันลึก มันกว้าง ทิ้ง...เวลาเอาไปทิ้งอย่าไปห่อ อย่าไปใส่ภาชนะ เดี๋ยวพวกลงอวนไปกวาดทะเลก็ติดอวนขึ้นมา ???? (07.41 เสียงไม่ชัดเจน) เอาไปทิ้งอีกนั่นแหล่ะ ไม่ดีนะ (07.43) เอาทำให้ผงเลย บดให้เป็นผง บดง่ายกระดูกเผาไฟนี่มันเกรียม เอามาบดขวดกลม ๆ เอาขวดแม่โขงก็ได้ วางลงบนหินแล้วก็บดไป บดมา ก็ผง เป็นขี้เถ้า เอาไปโปรยได้เลย โปรยลงในแม่น้ำ ไม่ต้องไปถึงพัทยา ถ้าฉะนั้นโปรย บ้านอยู่ใกล้แม่น้ำ ก็ไปโปรยลงไปได้ มันก็ปนไปกับกระแสน้ำ เรียบร้อยดี ไม่ ไม่เกิดปัญหาอะไร
สิ่งที่เราควรเก็บมันไม่ใช่กระดูก แต่ว่าเป็นคุณธรรม ความงาม ความดีของคนนั้น เราเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเอาไว้ในใจของเรา เก็บไว้ในใจนี่ไม่เปลืองเนื้อที่ ไม่ลำบากอะไร เอามาเก็บไว้ในใจของเรา คนเรามันก็เป็นไปอย่างนี้ เหมือน ๆ กันทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น ราชา มหากษัตริย์ เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ก็ต้องไปทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ตั้งแต่เกิดโลก เกิดคนมา มันก็เป็นอย่างนั้น เพราะสิ่งทั้งหลายมีเกิด ก็มีดับ เกิดแล้วไม่ดับไม่มี ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม นามธรรม เกิดดับ เกิดดับ กันทั้งนั้น
ชีวิตเรามันก็ผ่านมาก็เป็นไปอย่างนั้น อายุเพิ่มขึ้นก็ต้องบอกตัวเองว่า ใกล้เข้าไปแล้ว คล้าย ๆ กับสัตว์ ที่เขาจูงไปสู่โรงฆ่าสัตว์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่จูงแล้ว บรรทุกรถสิบล้อไป สมัยก่อนจูงไป เวลาจูงไปก็เดินไปก้าวหนึ่ง ก็ใกล้เข้าไป เดินไป ใกล้ไป ใกล้ไป ใกล้ไป จนกระทั่งถึงโรงฆ่า เขาก็มัดกับหลัก แล้วก็เอามีดเชือดคอถึงแก่ความตาย ชีวิตเรานี่ก็เหมือนกัน เดิน เดิน เดินไป ก็ไปถึงจุดนั้นเช่นเดียวกัน มันเป็นไปตามธรรมชาติของชีวิต แต่เมื่อเรายังไม่ถึงเวลานั้น เราก็อยู่ต่อไป อยู่เพื่ออะไร เป็นเรื่องที่จะต้องคิดเหมือนกัน ว่าเราอยู่เพื่ออะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร เราอยู่เพื่ออะไร มีอะไรที่เราควรจัด ควรทำในชีวิตของเรา ถ้าว่าคิดหาคำตอบ และถ้าตอบถูกชีวิตสมบูรณ์ แปลว่าสอบไล่ได้ ถ้าตอบผิด ชีวิตตกต่ำ เช่นตอบว่าเกิดมาเพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อความสนุกสนานไปวันหนึ่ง วันหนึ่งนี่ ชีวิตไม่มีค่า ไม่มีราคาอะไร แปลว่าเกิดมาก็อยู่ไปอย่างนั้น อยู่ให้มันพอเต็มรูป ให้เต็มจำนวน มันไม่ได้ประโยชน์ แต่ถ้าเราคิดถูกว่าเราเกิดมาเพื่อหน้าที่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ที่เรามีเราเป็นอยู่ หน้าที่อะไรของเรามี เราก็ทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์ ให้เรียบร้อย ชีวิตมีความหมาย มีค่า มีราคา อยู่ที่ใดก็เป็นประโยชน์ อยู่ในบ้านเป็นประโยชน์แก่บ้าน ไปอยู่ที่วัดก็เป็นประโยชน์แก่วัด อยู่ในสังคมใดก็เป็นประโยชน์แก่สังคมนั้น
ชีวิตคนนั้นมีค่า เป็นผู้ที่เรียกว่าไม่ตาย เราแม้ตัวจะตายไป แต่ก็ทิ้งสิ่งต่าง ๆ ไว้ในโลกนี้ ได้สร้างได้ทำทิ้งไว้ในโลกนี้ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นใหญ่ในบ้านเมือง ท่านเกิดมาทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง รักษาคนในบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านอย่างดี อย่างสมบูรณ์เรียบร้อย พระมหากษัตริย์ในประเทศไทยเรานี้ ท่านเกิดมาเพื่อหน้าที่ ทำหน้าที่สมบูรณ์เรียบร้อย แต่ก็มีบางองค์ เหมือนไม่ทำหน้าที่ให้เรียบร้อย คือชอบสนุกเพลิดเพลินอยู่ในวัง ไม่คิดทำอะไร คิดแต่เรื่องสนุก สบาย เวลาสิ้นพระชนม์ไป ก็ไม่มีใครคิดถึง แต่ว่าองค์ใดที่ทำประโยชน์แก่ชาติ แก่บ้านเมือง คนเคารพบูชา สร้างรูปไว้เคารพบูชา มีที่ไปที่ไหนคนก็เอ่ยถึงท่านผู้นั้น ก็เพราะว่าท่านทำสิ่งเป็นประโยชน์ เป็นคุณงามความดี ท่านสำนึกว่าเกิดมาเป็นกษัตริย์ต้องทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้สมบูรณ์ แล้วก็ทำอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ในกรุงรัตนโกสินทร์นี่ ท่านทำตามหน้าที่สมบูรณ์เรียบร้อยทุกพระองค์ ไม่มีความบกพร่อง ไม่มีความเสียหาย ทำดีตลอดมา ทุกรัชกาล ตามยุค ตามสมัย เรียกว่าดีตามสมัยที่ท่านเป็น ท่านอยู่ สร้างสิ่งต่าง ๆ ตามยุคสมัยของท่าน เราจึงมีสิ่งสวยงามประดับกรุงเทพฯ วัดวาอารามใหญ่โต มโหฬาร ชาวต่างประเทศก็มาดูมาชมกัน ก็เป็นจุดหนึ่งสำหรับจูงนักท่องเที่ยวให้มาดู เป็นสิ่งสำหรับโฆษณาเมืองไทย เช่นพระปรางค์ วัดอรุณฯนี่มันก็สวยงามตามแบบนั้น เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย เขาโฆษณาเอาพระปรางค์ วัดอรุณฯ นี่ไปโฆษณา
พระปรางค์ วัดอรุณฯ นี่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านไปค้าขายเมืองจีน ส่งสำเภาไปค้าขาย ได้ถ้วยชามสวย ๆ งาม ๆ มา เอามาทุบให้แตก เขาทุบอย่างมีศิลปะ ทุบแล้วไปประดับไว้ที่องค์พระเจดีย์ เราไปดูพระปรางค์นี่ ดูไม่ละเอียดหรอก ไปเดินดู ???? (14.12 เสียงไม่ชัดเจน) เดินรอบ ???? (14.15 เสียงไม่ชัดเจน)) ก็เท่านั้นเอง เรียกว่าได้ไปดูพระปรางค์ ถ้าดูให้ละเอียดต้องไปดูลวดลายถ้วยชาม เครื่องสังคโลก ที่เขาเอามาประดับประดาตกแต่งไว้เป็นรูปร่างอะไรต่าง ๆ ดูให้ซึ้ง ถ้าดูให้ซึ้งแล้วจะเกิดความรู้สึกขึ้นในใจบางอย่าง รู้สึกภูมิใจว่า แหม...คนสมัยก่อนนี่ทำอะไรประณีตสวยงาม เรียบร้อย เป็นสมบัติของชาติ เป็นสิ่งที่เราจะต้องสงวนไว้ รักษาไว้ ไม่ทำให้เสียหาย เพราะมันจะเป็นสิ่งประกาศความมั่นคงของจิตใจคน ในกาลต่อไปข้างหน้า นี่ดู ต้องดูอย่างนั้น
หรือว่าไปดูวัดพระแก้ว ที่รัชกาลที่ ๑ ท่านสร้างไว้ ดูบานประตูประดับมุกอย่างสวยงาม ไปดูวัดโพธิ์ ดูให้ละเอียด ต้องใช้เวลา ต้องเดินดูด้วยความตั้งใจ ดูห้องสมุด ของรัชกาลที่ ๓ หรือที่ทำไว้ที่วัดโพธิ์ ท่านทำห้องสมุดให้คนได้อ่าน จะไปเอาตำรายามา ทำยาขายก็ได้ นายประยงค์ ตั้งตรงจิต อยู่ตลาดท่าเตียนเหมือนกัน ขายยาจากจารึกวัดโพธิ์นะ เอาไปทำเป็นยาขาย ยาชุด ยาชุดสำหรับแม่ อะไรต่ออะไร เดิน ขายดี เดินน่ะ (15.54) ได้เงินเยอะแยะ แต่ว่าแกก็เอาเงินไปเที่ยวสร้างโรงเรียน หลายจังหวัด จะสร้างให้ทั่วประเทศน่ะ (16.02) ตายซะก่อน เลยไม่ได้สร้าง ก็ได้จากวัดโพธิ์นั่นเอง ห้างขายยาตราท่าเตียน ตราใบโพธิ์ ก็ได้ตำรานั้น ใครจะไปเรียนเรื่องแต่งฉันท์ แต่งกลอน แต่งกาพย์ ก็ไปเรียนจากวัดโพธิ์ได้ ใครจะเป็นหมอนวด ก็ไปดูที่วัดโพธิ์ได้ ท่าฤาษีดัดตน ฝึกกายบริหารก็มี ตำรายาต่าง ๆ หลายอย่าง หลายประการ เรียกว่าเป็นห้องสมุดสาธารณะ ที่อยู่ได้นาน แม้บัดนี้ก็ยังอยู่เรียบร้อย เราเดินดูให้มันทั่ว แล้วจะเห็นว่ามีของดีมากมาย ในบริเวณนั้น น่าจะทะนุถนอมรักษาไว้ให้สะอาด ให้สวยงาม ให้คนได้มาชมแล้วก็สบายใจ เป็นของดีที่คนโบราณเขาสร้างไว้
ภูเขาทองวัดสระเกศ ขึ้นไปดูทิวทัศน์พระนคร ความจริงท่านจะสร้างใหญ่กว่านั้นนะ รัชกาลที่ ๓ สร้างวัดแจ้ง และจะมาสร้างที่วัดภูเขาทองให้ใหญ่กว่านั้น ฐานใหญ่กว่านั้น ใหญ่โตมาก แต่ว่าสร้างแล้วมันทรุด มันพัง ฐานไม่ดี เลยไม่ได้ทำสำเร็จ ต่อมาก็ต่อเป็นรูปภูเขาทองเจดีย์ขึ้นมา บนเจดีย์นั้นมีพระธาตุบรรจุอยู่ และพระธาตุได้จากประเทศอินเดีย ฝรั่งเขาไปทำการทำไร่ และขุดพบพระธาตุ ไถนาพบพระธาตุอยู่ในผอบ อยู่ในผอบนั้นก็มีอักษรจารึกไว้ ว่าเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้า เขาก็เห็นว่าควรจะให้แก่ประเทศไทย เพราะเมืองไทยนับถือพุทธศาสนา เลยก็ส่งมาให้ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เอาบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสระเกศ แบ่งส่วนหนึ่งให้ประเทศญี่ปุ่น เอาไปไว้ที่เมืองญี่ปุ่น ที่เมืองอะไร วัดไทชิก (18.17) วัดไทย วัดญี่ปุ่นนั่นเอง ในหลวงเสด็จไป ก็ไปเยี่ยม เจ้าฟ้าชายเสด็จไปก็ไปเยี่ยมวัดนั้นเหมือนกัน เพราะได้พระธาตุรุ่นเดียวกันเอาไปไว้ที่นั่น นี่ก็เป็นส่วนที่เขาสร้างไว้ ให้คนได้ดูได้ชม เป็นเครื่องประดับแผ่นดิน เป็นของมีค่า ทำให้ชาวต่างประเทศต้องมาดู มาชม สิ่งเหล่านี้ที่มันประณีตสวยงาม ฝรั่งเขามาดูแล้วเขาก็ทึ่งใน ในฝีมือของคนไทย
เมืองฝรั่งมันไม่มีอะไรละเอียดหรอก แต่ว่าก่ออิฐสูง สูง สูง สูง ตึกระฟ้า แล้วขึ้นไปดูวิวทิวทัศน์มันก็เท่านั้น แต่ของเรานั้นแม้ไม่สูง แต่มันละเอียดประณีต แสดงถึงนิสัยใจคอว่า คนไทยนี้รักความประณีต รักความสวยความงาม ทำอะไรก็ทำด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าพอผ่านพ้นไป มันเป็นคุณธรรมอยู่ในสิ่งนั้นด้วย มองวัตถุ ก็ต้องมองหาคุณธรรมจากวัตถุ ถ้าเรามองแต่วัตถุเฉย ๆ ไม่เห็นอะไร ไม่ได้อะไรแต่ถ้าเรามองวัตถุแล้ว ก็มองให้เห็นคุณธรรมของวัตถุนั้น เพราะธรรมะมันปรากฎออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ตัวธรรมะมันอยู่ในใจ แต่ปรากฎออกมาเป็นรูปร่าง เป็นรูปธรรม เรียกว่าเป็นรูปธรรมให้คนอื่นได้เห็นจากวัตถุนั้น ๆ ภาพเขียนสวย ๆ งาม ๆ เขาประดิษฐ์ประดอย เขียนขึ้นมา แม้ในห้องที่เราฟังธรรมนี้ เบื้องหลังมีภาพต่าง ๆ ใครมาดูแล้วบ้างภาพนั้น ใครดูละเอียดแล้วบ้างภาพนั้น มันมีหนังสืออธิบายเป็นภาพ เป็นภาพ เป็นภาพเรื่อยไป มันเป็นธรรมะทั้งนั้น แต่คนไม่ค่อยได้อ่านน่ะ (20.23) ดู...เอ๊ะ...ภาพอะไรเขียนไว้ ไม่ได้ดูละเอียด มาฟังธรรมแล้วก็กลับบ้าน ไม่มีเวลาดูละเอียด ถ้าดูละเอียดโดยตั้งแต่ภาพแรก ห้องแรก ภาพสอง ภาพสาม ไปภาพสุดท้ายที่เขียนขึ้น อันนี้เขียนขึ้นจากสมุดข่อย ที่คนโบราณเขียนไว้
คนสมัยปู่ ย่า ตา ทวด ของพวกเราทั้งหลายนั้น อย่านึกว่าท่านไม่เก่งนะ ท่านอาจจะเก่งกว่าเราซะอีกหน่ะ ในแง่ในมุมต่าง ๆ ท่านมีอะไร มีความคิด มีการกระทำในรูปต่าง ๆ สมัยก่อนนี้ท่านเขียนภาพ อธิบายธรรมะ ให้คนได้เข้าใจ ไม่สามารถจะเขียนเป็นตัวหนังสือได้ ก็เขียนเป็นภาพ ให้คนดูภาพ นี่ก็เป็นบทเรียนด้วยของ เหมือนเราสอนเด็กมีแบบสาธิต คนโบราณเขาก็รู้ก็ทำมาแล้วเหมือนกัน ก็ทำตามแบบของเขา เขาเขียนภาพให้ดู ดูแล้วก็เพลิดเพลินไปตามภาพ ภาพนรก ภาพสวรรค์ ภาพอะไรต่าง ๆ มีมากมาย เขียนเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวก็มี เรียกว่าภาพปริศนาธรรม
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ท่านได้ตำรับนี้มาจากหอสมุดนั้นแหล่ะ มันกองอยู่ในหอสมุด ทรัพย์สมบัติมีค่าอยู่ในหอสมุด เยอะแยะ แต่คนไม่ไปขุดไปค้นก็ไม่ได้อะไร ท่านมาค้นดู ก็ได้สมุดข่อยเอาไปเขียนเป็นภาพที่โรงหนังบ้าง เอามาทำเป็นเล่มสมุดให้คนได้อ่านได้ศึกษาบ้าง แล้วก็เผื่อแผ่มาถึงนี่ มีคนเขาเขียนให้ พระองค์หนึ่งแกก็เรียนศิลปะ มาเขียนให้ ใช้วิธีเขียนก็ต้องเอาภาพสไลด์ฉายไปก่อน ฉายไปแล้วก็เขียนตามสภาพสไลด์นั้น ขีดเส้นตามภาพนั้น แล้วค่อยแต่งสี ค่อยทำอะไร ต่ออะไร กว่าจะเสร็จนี่ หลายเดือนเหมือนกันนะ ต้องใช้ความเพียร ใช้ความอดทน ใช้ความตั้งใจจริงในอันที่จะทำ แล้วขณะทำก็จิตมันเป็นสมาธิ กำลังเขียนมาเป็นสมาธิ ถ้าจิตพลุ่งพล่าน เขียนหน้ามนุษย์เป็นหน้ายักษ์ไปนั่นเอง หรือเขียนเป็นอะไรไปก็ได้ เพราะว่าใจมันนึกเรื่องอื่น แล้วพอออกมาเป็นภาพออกมาก็ผิดรูปผิดร่าง เพราะฉะนั้นคนเขียนสิ่งเหล่านี้ เขามีใจเป็นสมาธิ มีความตั้งมั่นอยู่ในขณะนั้น ไม่พลุ่งพล่าน ไม่ไปคิดเรื่องอื่น ไม่นึกเรื่องอื่น จดจ่ออยู่กับภาพที่เขียนตลอดเวลา เป็นสมาธิอยู่ในตัว เป็นศีลอยู่ในตัวด้วย เพราะในขณะเขียนภาพนี้ มันเป็นศีลอยู่แล้ว ไม่ไปฆ่าใครแล้ว ไม่ไปลักของใครแล้ว มัวแต่เขียนภาพ ไม่ไปประพฤติ ไม่ประพฤติผิดทางกามารมณ์กับใคร เพราะยุ่งอยู่กับภาพ จะไปพูดจาโกหกหลอกลวงใครก็ไม่มีเวลา พูดหน่ะได้ พูดแต่กับภาพอยู่ตลอดเวลา เสพย์ยาเมา เสพย์สุราก็ไม่ได้ ถ้ากินเหล้าก็เขียนภาพเลอะเทอะหมด เป็นภาพขี้เมาไปเท่านั้นเอง มันก็เป็นศีลอยู่ในตัว กำลังทำงานนั้นก็เป็นศีลอยู่ แล้วก็เป็นสมาธิอยู่ แล้วเกิดปัญญาอยู่ในขณะนั้นนะ
การทำงานนั้นมันก็ประพฤติธรรมอยู่ในตัว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา อยู่ในสิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าทำอะไร ก็จะมันก็จะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาอยู่ในการกระทำนั้น ถ้าครั้งนั้นเป็นเรื่องดี ???? (24.32 เสียงไม่ชัดเจน) เรื่องผิด ก็จิตมันไปอยู่กับผิด ฐานมันผิด การกระทำออกมาในรูปที่ผิด อะไร ๆ มันก็ผิดหมด ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีคุณธรรมปรากฎออกมาเป็นรูปเป็นร่าง แต่ถ้าใจเราดี อะไร ๆ มันก็ออกมาเป็นรูปร่างในทางดี คนสุภาพก็หมายความว่าจิตใจเขาสุภาพ คนแต่งตัวเสื้อผ้าสะอาด ก็แสดงว่าใจสะอาด ดูบ้านช่องมีระเบียบ สะอาดเรียบร้อย ก็แสดงว่าจิตใจเขาก็มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูการงานที่เขากระทำออกมาอย่างดี เรียบร้อย ก็แสดงว่าจิตใจเขาดีงาม มันแสดงออกในรูปต่าง ๆ
คนโบราณเขาจึงแสดงออกไว้ ให้ลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียน เป็นภาพต่าง ๆ ภาพเขียน ภาพประดับ แม้เรื่องอะไรของคนไทยเรา เช่นว่า กับข้าว นี่ก็ทำอย่างดี ทำกับข้าวนี่ก็ทำอย่างประณีต ผักที่เอาความจริงเอามาจิ้มน้ำพริกแล้วก็กินเข้าไปเท่านั้นแหล่ะ แต่ว่าสลักเสลา...ให้เป็นรูป เป็นร่าง อย่างโน้น อย่างนี้ ดูแล้วไม่น่ากิน คือมัน มันงามน่ะ (26.01) ดูแล้วมันงามไม่อยากจะกินเอาไว้ดูดีกว่า แต่ว่าก็กินหมดอยู่ดีน่ะ (26.07) แตงก็ต้องมาทำให้สวย อะไรต่ออะไรก็ทำให้มัน มันงาม ๆ มันน่ากิน เป็นการแสดงถึงนิสัยของคน ว่ามีความประณีต ถ้านิสัยไม่ประณีต ก็เอามาทั้งหน่วยเลย กัดเอาก็แล้วกันนะ เอาใส่จานมา แตงก็ทั้งหน่วยเลย ผักอะไรก็เอามาทั้งหมดนั่นแหล่ะ บางทีไม่ได้ล้างด้วยซ้ำไป ขี้โคลน ขี้ดินติดมา นี่แสดงความหยาบทางจิตใจ ทำอะไรก็หยาบ ๆ ไม่เรียบร้อย อันนี้คนเขาเรียบร้อย เขาประดิษฐ์ประดอย ผักบุ้งก็เอามาผ่าตรงกลาง ดัดให้มันเป็นรูปเป็นร่าง คด ๆ งอ ๆ อะไรต่าง ๆ แกะฝัก แกะสลักเป็นรูปเป็นร่างอย่างสวยงาม นั่งทำอยู่ได้ ไอ้เรื่องอย่างนั้นก็เพราะว่าจิตใจเขาเยือกเย็น สงบ จึงนั่งทำอย่างนั้นอยู่ได้ คนใจไม่สงบไม่เยือกเย็นก็ทำไม่ได้ ให้ทำอะไรประณีตไม่ได้ ของดี ๆ ให้คนใจหยาบทำ แล้วก็ฟัดกันก็เท่านั้นเอง แตกไปเป็นชิ้นเป็นอันไป ทำไม่ได้ คนที่ใจหยาบ ๆ มันเหมาะสำหรับแบกไม้ ขุดหลุม ทำอะไรนั้นหน่ะ จะขุดหลุมก็ยังขุดไม่เรียบร้อย ไม่ค่อยเรียบร้อย ทำอะไรไม่เรียบร้อย จิตใจหยาบทำอะไรหยาบ จิตใจประณีตทำอะไรประณีตสวยงาม
เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำไว้ เป็นเครื่องแสดงถึงความคิด นิสัยใจคอ ของผู้กระทำของคนยุคนั้น สมัยนั้น และเห็นภาพเป็นว่าคนสมัยนั้นแต่งตัวอย่างไรก็ดูจากภาพเขียน เพราะเขาเขียนเหมือนกับภาพคนในสมัยนั้น นุ่งผ้าอย่างไร โพกผ้าอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ก็เขียนลงในภาพ เราก็ได้ศึกษา วัฒนธรรมประเพณีของคนในสมัยนั้นจากภาพเหล่านั้น บางทีภาพเก่าแก่ เขาเขียนไว้ในถ้ำอายุตั้งพันปี สีก็ไม่ลอกไม่ไร ก็ ???? (28.18 เสียงไม่ชัดเจน) เรียบร้อย ก็ได้เห็นว่าคนสมัยนั้นแต่งตัวอย่างไร การเป็น การอยู่อย่างไร บ้านช่องเป็นอย่างไร เขาเขียนเป็นภาพไว้หมด ให้คนได้ศึกษา ได้พิจารณา นี่มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจของคน ที่แสดงให้ไว้ในภาพต่าง ๆ ในบ้านในเรือน ในวัตถุ แม้ผ้านุ่งเขาก็ทำเป็นรูปอะไรต่ออะไร ม่าน ม่านก็สวย ๆ สลักรูปและภาพต่าง ๆ ใครอ่านเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ไปอ่านภาพม่านฝีมือนางวันทอง ขุนแผนเข้าไปก็จำได้ นี่ภาพของฝีมือแม่วันทองของแก ว่าภาพสวยงาม สลักเป็นรูปต่าง ๆ ประณีต สวยงาม เขาทำมา แสดงฝีมือ พอได้ไปเห็น อ่อ...คนนั้นทำ คนนี้ทำ ติดวัดนั้น ติดวัดนี้ เขียนไว้ รู้ตามภาพที่คนเขียน ปรากฎออกมาให้เราได้รู้ได้เห็น
เป็นสิ่งที่มีอยู่ในบ้านในเมืองของเรา ที่เราผู้เกิดมาในยุคหลังนี้ มีความภูมิใจ พ่อแม่มีลูกมีหลาน นี่พาไปดูเสียบ้าง ภาพเหล่านี้ต้องไปดู ดูให้ละเอียด ก็อธิบายให้เด็ก ๆ ให้เด็กได้ภูมิใจว่า เมืองไทยนี้ไม่ใช่เมืองลำบากยากจน เป็นเมืองที่มี อะไร ๆ ดี ๆ งาม ๆ ดีกว่าต่างประเทศด้วยซ้ำไป เพราะว่า มันประณีตกว่า สวยงามกว่า เด็กไทยบางคนไปเกิดในต่างประเทศ พอมาอยู่เมืองไทยก็มักจะบ่นว่าอยากกลับบ้าน คือมันอยู่เสียหลายปี มันโตที่นั่น พูดที่ภาษาที่นั่น ไม่ได้พูดภาษาไทย มาเรียนทีหลัง ก็นึกถึงที่เคยอยู่แล้วก็อะไร โอ้ย...ที่นี่ไม่ดี ไอ้นั่นไม่ดีด้วยประการต่าง ๆ อันนี้เขาก็แก้โดยวิธีว่าพาไปดูของสวยงามในบ้านเมือง ไปชมพระบรมมหาราชวัง เข้าไปดูในวัง ดูพระที่นั่ง อะไรต่าง ๆ ที่เขาทำไว้ ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร สวยงามขนาดไหน ประณีตขนาดไหน ไปดูวัดพระแก้ว ไปดูวัดโพธิ์ ไปดูสิ่งต่าง ๆ จิตใจค่อยเปลี่ยนไป ภูมิใจ ในความเป็นไทยขึ้นมา เพราะได้ดูสิ่งเหล่านั้น ถ้าไม่ได้ดู ไม่ได้พิจารณาก็ไม่เข้าใจ แล้วดูหมิ่นตัวเอง คนเรานี่ถ้าเริ่มดูหมิ่นตัวเอง จิตใจเริ่มตกต่ำแล้ว ดูหมิ่นชาติของตัว ดูหมิ่นวัฒนธรรม ดูหมิ่นศิลปะของชาติ จิตใจตกต่ำ ไม่ก้าวหน้าแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วไม่ก้าวหน้า เพราะเรื่องของตัวยังไม่รู้จัก แล้วจะไปรู้จักสิ่งอื่นได้อย่างไร ของดีมีอยู่ในบ้านยังมองไม่เห็น
???? (31.30 เสียงไม่ชัดเจน) มันมากไป ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่เหมาะ ไม่ควร ด้วยประการทั้งปวง เขียนในรถแล้วก็อยากจะเอามาคุย คุยไว้ เพราะคุยแล้วมันเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ พิมพ์เป็นเล่ม เผื่อใครเขาจะได้อ่านกันมั่งว่า เออ ไม่ ???? (31:55 เสียงไม่ชัดเจน) นะ ที่ไปทำอะไร ในรถ ในลา มันไม่ดี ท่านปัญญาองค์หนึ่งแล้ว ยังเอาไปปิดอยู่ในชุมนุมชนอยู่เลย อย่างนี้มันยังชั่วหน่อย ก็ที่บ่อย ๆ นี่ คนก็ชักจะเกรงใจเหมือนกันนะ ก็เห็นเอามา ซุบซิบ ซุบซิบ “ท่านปัญญามาแล้ว!!!” ก็ระวังหน่อยเดี๋ยวจะเอาไปพูดอีก เดี๋ยวไปเทศก์วิทยุบ้าง ไปออกโทรทัศน์บ้าง พวกนั้นก็ชักจะเกรง ๆ อยู่เหมือนกัน ไอ้ ???? (32.17 เสียงไม่ชัดเจน) ไว้บ้างมันก็ดีเหมือนกัน ???? (32.19 เสียงไม่ชัดเจน) เพื่อจะได้ยับยั้งชั่งใจ ไม่ได้อะไรที่มันดีงามถูกต้องขึ้น นี่สิ่งที่ได้ประสพพบเห็น มันเป็นไปในรูปอย่างนี้ มีอยู่ จึงนำมาเล่าให้ญาติโยมฟัง ก็เพื่อจะให้มันดังออกไปอีก เป็นหนังสือแล้วมันก็ดังออกไป คนก็จะได้อ่าน ได้สนใจ แล้วเขาจะได้เอาไปคุยกันต่อ ๆ ไป ว่ามันไม่ดี พระสงฆ์องค์เจ้าท่านก็ติก็ว่ากันอยู่ มันเกิดความเสียหาย
ทีนี้ในรถไฟยังอ่านหนังสือพิมพ์พบเรื่อง มันก็ขำเหมือนกันเรื่องนี้ อ่านหนังสือพิมพ์เจอเข้า เป็นจดหมายร้องทุกข์ จากเจ้าหน้าที่รถไฟ คือมีผู้แทนราษฎรคนหนึ่งนั่งรถไฟ สายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะไปลงที่ศรีสะเกศ พอถึงเวลาพนักงานห้ามล้อก็มาตรวจตั๋ว พอตรวจตั๋วก็ขอดูบัตร คือบัตรโดยสารนะ ผู้แทนนี่เขามีบัตรพิเศษ ให้โดยสารรถไฟฟรี อาตมานี่ก็มีเกียรติเหมือนกัน ได้บัตรพิเศษให้โดยสารรถไฟฟรี ไม่จำกัดเที่ยวด้วยซ้ำไป ทีละกี่เที่ยวก็ได้ ???? (33.30 เสียงไม่ชัดเจน) ก็ไม่นั่งเท่าไหร่หรอก เพราะมันธุระมาก จะไม่ค่อยได้นั่ง นาน ๆ ได้ใช้สักทีหนึ่ง เขามาตรวจเราก็ให้ตรวจ เวลาเขามาก็ยื่นบัตรให้ เขาก็ไปจด ๆ ๆ ของเขาเอาไว้ เป็นสถิติ ใครโดยสารกี่เที่ยว พระโดยสาร พระชื่ออะไร บัตรเลขที่เท่าไหร่ จากสถานีไหน ถึงสถานีไหน เขาจดไว้ทั้งนั้น ทีนี้ผู้แทนคนนั้น พิเรนท์แล้ว พิเรนท์ ต่อว่าเจ้าพนักงานห้ามล้อว่า
“ขอบัตรหน่อยครับ”
“ไม่ ๆ ๆ ไม่ต้องจด ฉันเป็นผู้แทนนะ ไม่ต้องจด”
บอก “ไม่ได้ครับ มันต้องตรวจ จดไว้”
“มีระเบียบอยู่ที่ไหน เอาระเบียบมาให้ฉันดูหน่อย”
แม้ เจ้าหน้าที่จะไปยกกฎหมายรถไฟมาให้ดูได้อย่างไร มันมากมายก่ายกองจะมาเอาเวลานั้นมันก็ไม่ได้ ว่าระเบียบน่ะ (34.17) คือเจ้าพนักงานถ้าไม่จดนะ มีความผิด มีความผิดฐานบกพร่อง ไม่จดรายการคนโดยสาร พนักงานห้ามล้อหนีบตั๋ว หนีบตั๋วนั่นมันผิดนะ บอกว่า “ผมมันผิดนะครับท่าน ถ้าไม่ให้นะ” แกก็ไม่ให้นะ ก็แกจะลงไปเฉย ๆ นะ รุ่งเช้าขึ้น ไปเจอกันอีก ก็ยังไม่ให้อีก บอก ไอ้นี่ ผู้แทนอะไรน้ำใจอย่างนี้ เป็นผู้ออกกฎหมาย ผู้แทนราษฎรนี่คือทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ออกกฎหมาย ระเบียบแบบแผนต่าง ๆ แล้วตัวเองไม่เคารพกฎหมายนั้น มันเป็นผู้แทนกันได้อย่างไร ไอ้ผู้แทนนี้ มันเป็นอย่างไร นี้เขาเรียกว่ามันเบ่งนั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร เบ่งไม่เข้าเรื่องนะ เพราะว่าในนั้นเขาไม่บอกผู้แทนชื่ออะไร ก็ยังดีอยู่นะคนที่เขียนจดหมายนี้ ยังรักษาเกียรติของคนที่ทำไม่ถูกไว้ได้ ช่วยรักษาเกียรติไว้ ไม่ลงชื่อนะ ถ้าลงชื่อโลกจะได้รู้ว่า โอ้...ไอ้ผู้แทนที่กูเลือกเข้าไปนี่ มันไม่ได้เรื่อง ประพฤติตนเหลวไหล ไม่เคารพต่อระเบียบของการรถไฟ มันก็เสียชื่อเท่านั้นเอง
ผู้แทนเรา ๆ บางคนก็แย่เหมือนกันนะ ที่เข้าไปได้ ทำไมจึงได้เข้าไปได้ ก็เพราะว่ามีทุนมีรอน หว่านล้อม ก็เลือกเข้าไปได้ นั่งในรถไฟคุยกัน พบคนมาจากนครฯ เคยเป็นนายกเทศมนตรี เลยถามว่า
“เป็นอย่างไร คราวนี้ได้หรือป่าว”
“คราวนี้แย่ครับ ผมมันเงินมันน้อย เลยแพ้เขา”
เขาว่าอย่างนั้นนะ แพ้เขา เลยเลือกไม่ได้ แต่ว่าเลือกได้นะ แต่คณะมันไม่พอ เสียงสนับสนุนน้อย เลยคนอื่นก็เป็นนายกต่อไป อ่ะเรื่องมันเป็นอย่างนั้น เรียกว่าลงทุนกัน เพื่อได้อะไร บางทีทุนมันไม่ได้อะไรเท่าไหร่ เหมือนกับ ส.จ. สมาชิกสภาจังหวัด มันก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่เงินเดือน แต่ว่าลงทุนกันเหลือเกิน เพื่อจะให้ได้ตำแหน่ง ลงทุนถึงกับฆ่ากันตายนะ มีอยู่ที่จังหวัดภาคใต้นี่ พอถึงเวลาใกล้จะเลือก บริษัทประกันชีวิต ???? (36.28 เสียงไม่ชัดเจน) ที่คนสมัครทั้งหมดมาเลี้ยงอาหาร เลี้ยงอาหารก่อนวันเลือกตั้ง แล้วก็พูดจาหว่านล้อมว่า รับประกันชีวิต ???? (36.35 เสียงไม่ชัดเจน) กันทุก ๆ คน เพราะว่าก่อนเลือกตั้งนี่มันอาจจะอันตราย ใครจะมาโป้งเอาไปตายก็ได้ ถ้าฉะนั้นประกันชีวิตเสีย พวกนั้นก็เลยประกันชีวิตกันใหญ่ ประกันชีวิต เผื่อว่าตายแล้วลูกหลานจะได้รับ เงินรางวัลจากการที่ถูกยิงตาย เออ...ไอ้บริษัทประกันชีวิตนี่ก็หัวแหลมเหมือนกัน เรียกว่าถือโอกาสหาเงินในตอนเขาจะเลือกผู้แทน ???? (37.00 เสียงไม่ชัดเจน) ประกัน กันไว้นะ นี่เรียกว่าสิ่งเหล่านี้หากินเก่ง แล้วพวก ส.จ. ก็ประกันเหมือน ๆ กัน เพราะกลัวว่า เดี๋ยวเดินไปหาเสียงถูกยิง ก็ตายไป ๙ รายแล้วในประเทศไทยนี่ เดี๋ยวจะเป็นคนที่ ๑๐ ที่ ๑๑ เข้า ก็จะเดือดร้อน
เอ้...โลกเรานี่ดู ๆ แล้ว มันวุ่นวายจริง ๆ สับสนจริง ๆ เอากิเลสใช้กันทั้งนั้น ไม่ค่อยจะได้ใช้ธรรมะ จะเป็นอะไร จะทำอะไร ก็ใช้กิเลสกัน เอากิเลสเข้าใส่กัน แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ แย่งกันเป็น แล้วก็เกิดเป็นปัญหา สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยประการต่าง ๆ ดังที่เราได้เห็นได้พบกันอยู่ อันนี้เมื่อได้พบได้เห็นแล้วก็นำมาพินิจพิจารณา ก็มองเห็นว่า อ่อ...คนเรานี้มันกำลังขาดแคลน สิ่งที่เรียกว่าธรรมะอยู่มาก ขาดแคลนธรรมะ ก็คุยกับคนในรถนี่แกก็ มันทำไมคนเรา ไอ้ของดี ๆ ทำไมมันไม่ชอบ ไอ้ของไม่ดี ทำไมมันชอบ ธรรมะมันดีมันมีประโยชน์ แล้วทุกคนเรามาใช้ แล้วมันก็เกิดคุณ เกิดค่า แต่ว่าเขาไม่ใช้นั่น มันเพราะอะไร แกถามอย่างนั้น อาตมาบอกว่า เพราะไม่มีคนชี้ช่องทางให้ ไม่ชี้ ไม่ได้ชี้ให้ว่าควรจะทำอย่างนี้ ควรจะเดินทางนี้ ท่านจะมีความสุข มีความเจริญ ผู้ชี้ทางไม่มี พระพุทธเจ้าของเรานั้นเป็นผู้ชี้ทางนะ เวลาเด็ก ๆ เราสวดมนต์สมัยก่อนว่า
“ชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยกภัย”
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ชี้ทางให้ ให้คนทั้งหลายได้เดินไปตามทางนั้น สมัยนี้ขาดผู้ชี้ทาง คือว่า แม้ว่าเราจะมีวัดอยู่ทั่วไป มีพระอยู่ทั่วไป แต่พระที่จะชี้ทางให้คนนั้นมีน้อย ไม่ค่อยจะมี มีตามวัดต่าง ๆ ที่เข้าไปพบปะเยี่ยมเยียน ไม่ค่อยจะมีพระชี้ทางคน มีแต่เรื่องอื่น มีพระที่ทำการก่อสร้างมี พัฒนาวัตถุนี่มีมาก แต่ที่จะชี้ทางให้คนได้รู้ได้เข้าใจ สั่งสอนอบรมตั้งแต่เป็นเด็กน้อย ๆ จนกระทั่งเป็นหนุ่ม เป็นผู้ใหญ่ ไปครองบ้าน ครองเรือนนี่มันหายาก เวลานี้หายาก พระประเภทนั้นหายาก เพราะฉะนั้นชาวบ้าน ชาวเมืองทั้งหลายนี่ ถ้าพูดตามสำนวนฝรั่งเขาว่า “เป็นลูกฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” เป็นฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ปล่อยตามบุญตามกรรม ปล่อยไว้ในทุ่งในป่า เสือมาก็กินเสียบ้าง หากสิงโตมาก็เอาไปกินเสียบ้าง คนลักเอาไปแกงกันเสียบ้าง และฝูงแกะมันก็ลดน้อยลงไป ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพราะไม่มีผู้ดูแลฝูงแกะ
ชาวบ้าน ชาวเมืองทั้งหลายนี่ก็เหมือนกับว่าเป็นแกะ แต่ว่าไม่มีคนเลี้ยง คือไม่มีผู้นำทางจิต ทางวิญญาณ ที่จะชักจูง และนำทางสู่ทางชอบให้เขาเหล่านั้น ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ อันนี้ยังขาดมาก เมืองไทยนี่ยังขาดมาก แม้เราจะมีพระจำนวน ก็ไม่มากเท่าใดหรอก ไอ้ที่เขาบอกว่า พระเมืองไทยตั้งสองแสน สองแสนนี่ เขาพูด ???? (40.37 เสียงไม่ชัดเจน) ในพรรษา กรณีเข้าพรรษาก็บวชกันมากมายก่ายกอง ตามวัดบ้านนอกก็บวชกัน แต่พอออกพรรษาแล้วก็หล่นเหมือนกับใบไม้ล่วง ไปกันหมด เหลือแต่สมภารนั่งเฝ้าวัดต่อไป เรากับสมภารที่นั่งเฝ้าวัดนี่ก็เหมือนกัน
ที่ว่ามีคุณภาพ พอจะนำประชาชนได้นั้น มีน้อย ไม่มากนัก เมื่อไปพักอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ก็เรียกว่าเจ้าคุณ ที่นั่นท่านเป็นเจ้า ???? (41.09 เสียงไม่ชัดเจน) อาตมานี่เป็นรอง ก็เลยนั่งคุยกัน ปรารถกันตอนกลางคืน ท่านก็ปรารถว่า “แหม...มันหนักเหลือเกิน งานมันหนัก เป็นทาสนี่งานมันหนักเพราะคุมหลายจังหวัด” เอาดี ๆ แล้วพระเราที่พอจะทำงานได้ ไม่ค่อยจะมี ไม่ค่อยขวนขวายในการที่จะทำงาน ไม่ขวนขวายในการที่จะศึกษา ไม่ขวนขวายในการที่จะสร้างคนไว้ เพื่อให้เกิดงานของตนต่อไป อยู่คนเดียว ๒ องค์ ๓ องค์ ก็อยู่ไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้คิดว่าจะเพาะคนให้มีการศึกษา มีปัญญา จะได้ช่วยกันสร้างงานสร้างการต่อไป เจ้าคุณภาค (41.54) เองนั้นท่านทำอยู่ ท่านสอนหนังสือมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ อายุ ๗๕ เวลานี้ก็ยังนั่งสอนอยู่ทุกวัน มีที่ไหนเณรมี ???? (42.05 เสียงไม่ชัดเจน) ไปชวนมา เณรอยู่วัดบ้านนอก เออ...เณรเรียนหนังสือนะ อยากเรียนหนังสือไปอยู่กับหลวงพ่อ เอ้าพามาเลี้ยงดูปูเสื่อ มีอาหารให้กิน มีจีวรให้นุ่งให้ห่ม ให้เล่าให้เรียน บางทีไปบ้านลึก ๆ ในป่า เหมือนไปอำเภอนาทวีนั่นก็สะบ้าย้อยนะ ไปบ้านชายแดนเลย ชายแดนมาเลเซียเขาเรียกว่า บ้าน ???? (42.31 เสียงไม่ชัดเจน) คนที่นั่นดีเรียบร้อย เรียกว่าไม่เบียดเบียนกัน เป็นอยู่ดี แต่ว่าไม่ค่อยจะได้เล่าเรียนหนังสือ ไม่มีความคิดก้าวหน้า เพราะไม่ได้ดูลูก อยู่กันในป่าในภูเขา ไม่เห็นอะไร เดี๋ยวนี้ถนนเจาะช่องเข้าไปหน่อย ก็ได้ลืมหูลืมตา แต่ก็ยังไม่มีใครก้าวหน้าในการศึกษา
ท่านก็ไปเจอเณรเล็ก ๆ ๒ องค์ เลยเอามา เอามาบวชอยู่ที่วัด เดี๋ยวนี้เป็นเปรียญ ๕ ประโยคเข้าไปแล้ว ไอ้เณรน้อย ๆ นั่น เอามาเข็นมาสอน บอกว่าเอามานั่นเป็นตัวอย่าง ต่อไปคนอื่นมันจะได้เห็นแบบ มันจะได้ตามกันมาต่อไป นั่นท่านก็ยังเลี้ยงอยู่ แล้วก็หาที่อื่นอีก ไปที่ไหนเจอ ก็เอามา เอามา แล้วก็สั่งสมภารเจ้าวัดว่า มองหาสิ บ้านที่มันมีลูกมาก ๆ แต่ว่าพ่อแม่ แม่ตายบ้าง พ่อตายบ้าง เด็กมันอยู่ลำบาก เราเอามาเลี้ยงสิ เอามาให้บวชที่วัด ให้มันได้ท่องหนังสือหนังหา แล้วถ้ามีหัวดี ก็ส่งมาที่วัดคูหาสวรรค์ ผมจะเลี้ยงมันต่อ ให้มันเล่ามันเรียน ท่านบอกไว้ ท่านบอกว่า บอกแล้ว มันไม่ค่อยเอาเรื่อง ไม่ค่อยสนใจแสวงหา ???? (43.50 เสียงไม่ชัดเจน) เป็นพระหมันไปเสียหมด ไม่เกิดลูกเกิดหลาน เขาเรียกว่าเป็นหมันนะ ชาวบ้านเป็นหมันไม่มีลูก พระเป็นหมันก็คือไม่มีลูกศิษย์ ไม่มีทายาทสืบวงศ์สกุลต่อไป แล้วจะอยู่กันอย่างไร ท่านก็บ่นพิรี้พิไรไปตามเรื่องของท่าน ท่านก็ไปทำงานทำการไปตามหน้าที่ ที่วัดนี้นะ ไม่ใช่เรื่องแค่พระเณรอย่างเดียว เด็กนี่ก็เยอะ...เอามาเลี้ยงไว้ ให้เล่าเรียน เรียนมัธยม เรียนจบแล้วส่งมากรุงเทพ ที่มันเรียนจบไปได้เป็นบัณฑิต ไปเป็นผู้พิพากษา ไปเป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นสถาปนิก อะไรเยอะแยะ ลูกศิษย์ท่านนี่ ไปเรียนเสร็จมามันไม่ใช่เล็กน้อยแล้ว มากมายก่ายกอง ท่านก็บอกว่า สบายใจ เลี้ยงคนนะ มันเป็นผู้เป็นคน ก็สบายใจ มันดีขึ้น สบายใจ เหมือนเด็กขุดมาจากโคลนจากตม เด็กบางคนเรียกว่า เหมือนกับไปขุดเอามาจากโคลนจากตม เอามาอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ ให้เล่าให้เรียน ส่งมากรุงเทพ มาชุบตัว มันก็เรียบร้อยไป ก้าวหน้าไปในชีวิตการงานต่อไป ท่านทำอย่างนั้น ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีความเจริญ มีความก้าวหน้า เสียสละจริง ๆ ท่านองค์นี้ แล้วก็ท่านบ่นแล้วว่า องค์อื่น ไม่เอางานเอาการ ไม่คิดก้าวหน้า อย่างนี้ แต่มันก็ลำบากเหมือนกันนะ เราหาคนอย่างนี้ยาก ที่ไปช่วยเหลือกันในเรื่องงานเรื่องการ แต่ว่าไม่ท้อถอย ยังทำต่อไป เท่าที่สามารถจะกระทำได้ ไม่หยุดไม่หย่อน เกิดมาเพื่อรับใช้เขา ก็ต้องทำไปตามหน้าที่ ท่านปรารถให้ฟังอย่างนั้น ก็เลยคุยกันไปตามเรื่องตามราว
อันนี้เป็นเรื่องที่เรียกว่ายังบกพร่องกัน เพราะเราขาดคนชี้ทางบรรเทาทุกข์ ให้แก่ประชาชน คนก็เลยไม่รู้ไม่เข้าใจ พูดตามภาษาสมัยเราว่า ขาดผู้นำ เช่นหมู่บ้านต่าง ๆ ที่มันอยู่กันอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น อยู่กันมาตั้งแต่คุณปู่ คุณพ่อ แล้วก็คุณหลาน ไม่ได้พัฒนาอะไร นอกจากว่า อยู่ไปตามเรื่อง เพราะอะไร ไม่มีคนไปทำตัวอย่างในบ้านนั้น ไม่มีใครไปปลูกอะไร ๆ ให้เขาดู ให้เขาเห็น ว่าทำได้ ปลูกมะม่วงได้ ปลูกขนุนได้ ปลูกพืช ปลูกผักอะไรก็ได้ ไม่ค่อยมีคนไปทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อันนี้ราชการน่าจะเข้าไป ในหมู่บ้านใดที่มันไม่ค่อยพัฒนา เข้าไปทำเป็นตัวอย่าง ไปเอาขอดินเขาบ้านนั้นปลูกให้เขา ช่วยปลูก ช่วยทำ จับมือมา
ในคนไทยเราทั่ว ๆ ไปนั้น มันต้องจับมือทำนะ คล้ายกับเด็กนะ ประชาชนนี่คล้ายกับเด็ก เราช่วยสอนให้เรียนหนังสือนะ เขียนตัว ก. นี่ต้องจับมือมาลากตัว ก. ให้มันลากเส้นตัว ก. นะ ไม่มีเหลี่ยมมีอะไร ลากไปมันเป็นตัว ก. ไปก่อน แล้วต่อไปมันก็ทำเหลี่ยมให้มัน หัวอะไรต่ออะไรมันสวยงามต่อไป จนกระทั่งเขียนได้ พึ่งตัวเองได้ นี่เขียนได้ต่อไป เวลานี้ประชาชนก็คล้ายในบางถิ่น แต่บางถิ่นนั้นเขาตื่นตัวพอสมควร ก้าวหน้า แต่บางถิ่นก็อยู่อย่างนั้นนะ อันนี้หมู่บ้านไหน ตำบลไหนที่ไม่ค่อยพัฒนา ช่วยพัฒนาเข้าไป ไม่เพียงแต่ไปพูดให้เขาฟัง ไม่ได้ ต้องทำเลย ต้องไปทำเป็นตัวอย่าง เอาบ้านนี้ หมู่บ้านนี้ทำเป็นตัวอย่างพัฒนา เรียกว่าหมู่บ้านพัฒนา ทำให้เขาเห็นว่า ทำอะไรได้บ้าง ปลูกผักให้เขาดู ปลูกกล้วยปลูกอะไร ไอ้กล้วยนี่ ปลูกที่ไหนมันก็ขึ้นทั้งนั้นนะ แต่ว่าไปดู ไม่มีต้นกล้วย ไม่มีใบกล้วย ไม่มีอะไร ถามเขาว่า “โยม...แถวนี้มีกล้วยน้ำว้า ฉันไหม” เขาบอก “ไม่มี” ของกล้วย ๆ นี่มันก็ไม่มี อย่างนี้ต้องไปปลูกไปทำ เอ้า...ขุดหลุม หาหน่อกล้วยมาให้ เอ้า...ปลูก ปลูกเสร็จแล้วดูแล ดูแลบำรุง ไอ้ปลูกกล้วยนี่มันง่ายจะตายนะ ขุดหลุมแล้วฝังไว้ ไม่ต้องไปใส่ปุ๋ยอะไร มันเติบโตแล้วมันก็ขึ้นหน่อ ไม่ต้องไป แล้วต่อไปก็เต็มไปเท่านั้นเอง
เมื่อก่อนนี้ที่ข้างกุฎินี้ ก็มีเจ้าของกุฎิ เวลาจะยกเสา เอาหน่อกล้วยมาหน่อหนึ่ง ยกเสา อ้อยมาต้นหนึ่ง เอามาปลูกเสาวันยก เรียกว่ายกเสาเอก นี่มีปลูกต้นกล้วย ปลูกมะพร้าวผลหนึ่ง อ้อยลำหนึ่ง เขาทำเพื่ออะไร ญาติโยมนึกว่า อ่อ...เอามะพร้าวปลูกไป เพื่อเอาอ้อยปลูก จะได้เป็นมงคล อันนี้คนโบราณเขาต้องการให้เราปลูก วันยกเสาเอกให้ปลูกมะพร้าวไว้ต้นหนึ่ง ปลูกกล้วยไว้หน่อหนึ่ง ปลูกอ้อยไว้ลำหนึ่ง กว่าจะทำเรือนเสร็จ อ้อยมันก็แตกแล้ว กล้วยมันก็แตกแล้ว มะพร้าวมันก็ขึ้นแล้ว พอเรามาอยู่ก็ได้กินกล้วยที่เราปลูกวันยกเสาเอก เด็กได้เคี้ยวอ้อยเล่น เวลาเปรี้ยว ๆ ปาก กินอ้อยได้ มะพร้าวก็เติบโต ไม่เท่าไหร่ก็เป็นลูก เป็นผล แต่คนไม่เข้าใจ ไปถือเป็นเรื่องขลังเสีย ยกเสาเอกต้องมีมะพร้าว ปลูกแล้วก็ทิ้งไป เอาไปแกงก็ได้ซ้ำไป นี่คือไม่เข้าใจจุดหมาย
จุดหมายนั้นเขาเตือนว่า ยกเรือนก็ปลูกมะพร้าวไว้ข้างเรือน ปลูกกล้วยไว้ข้างเรือน ปลูกอ้อยไว้ข้างเรือน จะได้กินได้ใช้ต่อไป ไม่ต้องเอามาปลูกเสาหรอก เอามาปลูก จุดหมายมันเป็นอย่างนั้น แต่คนไม่เข้าใจ ทำอะไรก็เรียกว่าทำเพื่อความขลังไป เพื่อความศักดิ์สิทธ์ไป มันไม่ถูกต้อง พวกเราจะไปปลูกบ้าน เอามะพร้าวไปปลูกไว้มุมบ้านสักต้นหนึ่ง ก็เท่านั้นมันก็โต ปลูกกล้วยไว้หลังครัวไป ไม่เท่าไรมันก็โต เหมือนข้างกุฎินั้น โตเครือ ขออภัย ลูกยาวแค่นี้...เครือหนึ่ง พอออกเครือนั้นนะ ขโมยปีนกำแพงมาตัดเอาไปเสียแล้ว มันเอาไปเสียก่อนเครือแรก เอาไปเลย พวกเรียกว่าเครือนี้ประเดิมก่อน ขโมยประเดิมเอาไปกินเสีย ออกเครือที่ ๒ ต้นกล้วยมันก็ดีเหมือนกันนะ เครือ ๒ มันไม่เอนไปนอกกำแพง มันเอนเข้าใน มันคงรู้ว่า กูเอนไปข้างนอก ขโมยเอาไปกิน พระไม่ได้ฉัน ทีนี้กูเอนเข้าในดีกว่า เอนเข้าใน เอนเข้าในก็ พอเกิดขโมยมาตัดเหมือนกัน แต่มันหนัก พอตัดแล้วมันถือไม่อยู่ หล่นตุ้บลงมาข้างใน ???? (50.03 เสียงไม่ชัดเจน) ถวายพระเพลต่อไป ได้กินแล้ว ถ้าปลูกนะ หน่อใหญ่ ต้องขุดทิ้งเพราะมันมากเกินไป เอาไปปลูกที่อื่นต่อไป ปลูกตัวอย่าง
ของอย่างนี้มันง่าย ๆ แต่ชาวบ้านก็ทำไม่ค่อยเป็น เพราะไม่เคยทำ ไม่เคยคิด ไม่เคยเห็น คนเราถ้าอยู่ในที่ใดแล้ว มันก็เห็นจำเจที่นั่น ไม่เห็นที่อื่น มันก็ไม่เปลี่ยนแปลง ดูถนนที่ผ่านไปในหมู่บ้านที่เรียกว่า บ้าน ???? (51.03 เสียงไม่ชัดเจน) ตำบลอะไรต่ออะไร คนมันไม่เคยเห็นอะไร ก่อนนี้มันป่า ป่าใหญ่ พอเราไปตลาดทีนะไกล เอากล้วยไปก็เหี่ยวแห้ง กว่าจะเดินถึงเมืองตลาดได้ ไปมาลำบาก คนมันก็ไม่รู้ ไม่ลืมหูไม่ลืมตา ไม่มีความคิดก้าวหน้า พอถนนมา พวกเรามันต้องเข้าไปพัฒนาคนข้างถนน ให้เกิดความคิดที่อันจะทำนั้น จะทำนี้ มีน้ำ มีดิน มันขาดคนปลูก มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราก็ไปช่วยทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง ไปแนะแนว ให้เขาได้ทำ ไปส่งเสริม มันก็ดีขึ้น ???? (51.44 เสียงไม่ชัดเจน)
คนเราพอมันรักแผ่นดิน มันรักงานรักการขึ้น มันก็ไม่อยากขโมยใครเขา มันอยู่กับงาน ตื่นเช้าต้องไปดูต้นกล้วย ต้นอ้อย ดูพืช ดูผัก ไอ้เวลาจะไปวางแพลน (51.57) ขโมยใครมันก็ไม่มี ไอ้พวกขโมยนั่นพวกว่างงาน ไม่มีอะไรทำก็มานั่งชุมนุมกันตามศาลา ศาลานั่นคือห้องประชุมเพื่อวางแผนนะ มานั่งกันคุยกันหนุ่ม ๆ นั่ง เฮ ๆ มันวางแผนนะ วันนี้จะเอาอะไรดี เอาเวลาไหนดี มันวางแผนนะ ศาลาพักร้อนนั่นคือที่วางแผนนะ วางแผนขโมย หรือว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ ๆ ต้นประดู่ ต้นโพธิ์ ต้นหว้า ต้นใหญ่ ๆ ตามทุ่ง มันไปนั่งวางแผนกันนะ วางแผนคืนนี้จะไปบ้านไหน จะไปเอาอะไรมันวางแผนนะ เพราะว่าไม่มีงานทำ แต่นี้ถ้าคนมีงานทำ มันไม่มีเวลาไปนั่งวางแผน เขาก็ตื่นเช้าต้องไปทำงานทำการ ขโมย โจร มันก็ไม่มี
เมืองนครศรีธรรมราชนี่ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย สภาพของเมืองมันไม่เหมือนกับ (52.54) คืออำเภอปากพนัง หัวไฟเชียนใหญ่ (52.56) ชอวดนี่ก็อย่างหนึ่ง ภาพก็ภาพอย่างหนึ่ง อำเภอเมือง อำเภอศิชล ท่าศาลา ขนอม อยู่ใกล้ภูเขากันมาก ติดภูเขาลงทะเล นี่ก็ภาพอย่าง อำเภอทุ่งสง ทุ่งใหญ่ อำเภอฉวาง ก็ภาพอีกอย่างหนึ่ง เป็นเสียมเป็นเลียบ คนที่เกะกะระราน ชอบวางตัวเป็นนักเลง คนในทุ่งนา ปากพนัง หัวไฟเชียนใหญ่(53.24) ชอวดนี่ นักเลง เพราะมันทุ่งโล่ง ทำนาเสร็จแล้ว มันโล่งไป ไม่มีของสวยของงาม ไม่ต้นไม้เขียว ๆ ไม่มีดอกไม้สดชื่นให้ดู ก็ใจมันแห้ง ใจเหี่ยว ยิ่งหน้าร้อนด้วย หน้าเหี้ยมหน้าเกรียมเลย ใครจะพูดขวางคอ เดี๋ยวก็ปังเข้าให้ ใจมันเหี้ยมเพราะว่าสิ่งแวดล้อมไม่ดี เพราะว่าพวกที่อยู่ตามสวนนะ มีร่มไม้ มีลำห้วยไหลผ่านในสวน นั่งในสวนก็เย็น พวกนี้ใจเย็น ไม่ค่อยขี้โมโหโกรธา ใครพูดจาขัดหูขัดตาก็ไม่ค่อยโกรธ เพราะอารมณ์ดี คือสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมมันทำให้อารมณ์สดชื่น นี่ญาติโยม มาลองมานั่งในสวนข้างโรงเรียนนี่ นั่งแล้วรู้สึกว่าจิตใจมันต่างกัน ทีนี้เราเข้าไปในวัดใดที่มีแต่แห้งแล้ว เราเข้าไปถึงใจมันไม่สบาย นี่คือสิ่งแวดล้อม ทำให้คนมีสภาพแตกต่างกัน ทีนี้เราไม่ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้มันดีขึ้น ไม่ชักชวนคนให้ปลูกต้นไม้ ให้แน่นดอกไม้ ให้เกิดความร่มรื่นภายในบ้าน จิตใจมันเหี่ยวแห้ง แล้วก็เกิดขโมย โจร กันมาก งานก็ไม่ค่อยจะมีทำ แต่คนอยู่ตามเรือก ตามสวน เขาไม่ค่อยประพฤติชั่ว เพราะมีงานให้ทำ ตื่นเช้าต้องไปดูต้นไม้ ไปใส่ปุ๋ย ไปจัดนั่นจัดนี่ มีของที่จะเก็บไปขายที่ตลาด มีงานทำตลอดเวลา อารมณ์ดี จิตใจดี ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใด แล้วยังส่งลูกมาเรียนหนังสือ มีความรู้ มีความก้าวหน้า ในทางการศึกษา อะไรมันดีขึ้น ถ้าฉะนั้นคิดอย่างนี้
สภาพสิ่งแวดล้อมทำคนให้เป็นไปในรูปต่าง ๆ กัน จึงต้องพัฒนาอะไรให้มันดีขึ้น เวลาไปตามวัด หลายวัดที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ปลูก ก็สั่งสมภารเหมือนกัน ปลูกต้นไม้ ปลูกต้นมังคุด ต้นเงาะ ต้นประดู่ ต้นขนุน ปลูก ไม่ต้องเปิดฎีกา ไม่ต้องทำพุทธาภิเษก ปลูกต้นไม้นี่มันง่าย หาหน่อมาปลูกเท่านั้นแหล่ะมันสบาย ๆ ไม่วุ่นวาย วันหลังไป ก็ได้ไปดู ปลูกหรือป่าว เอาใจใส่หรือป่าว หรือบางแห่งก็ปลูก บางแห่งก็ไม่ได้เรื่อง ปลูกเฉย ๆ ไม่ร่มรื่นชื่นใจ เข้าไปแล้ว ก็มันไม่สบายใจ วัดมันไม่ร่มรื่น ถ้าเราปลูกไว้มันก็สบาย สิ่งแวดล้อมทำคนให้ดี ให้ใจสงบได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นฤาษี ชีไพร ก็ครั้งโบราณเขาถึงเข้าป่าต่ออะไร ป่ามันมีสิ่งแวดล้อมบริสุทธ์ น้ำบริสุทธ์ อากาศบริสุทธ์ คนก็ไม่รบกวน ได้เข้าไปอยู่ป่า ไปนั่งคิด นั่งค้นอะไรต่ออะไรอยู่ในป่าเงียบ ๆ มันสบาย อยู่ในเมืองนี่มันอึกทึกครึกโครม มีแต่เสียง มีแต่สิ่งรบกวนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา อารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าไปอยู่ในที่เงียบ มันก็สงบขึ้น ความสงบเกิดจากสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน สิ่งแวดล้อมไม่ดีมันก็วุ่นวาย สิ่งแวดล้อมดีก็เรียบร้อย เหมือนในบ้านเรา ถ้าเราปลูกต้นหมาก ต้นไม้ร่มรื่น นั่งในบ้านสบายใจ เห็นดอกกล้วยไม้ออกดอก เห็นต้นไม้ใบเขียว เห็นนกมาร้อง จิ๊บ ๆ ๆ ๆ อยู่ข้างบ้าน ฟังแล้วมันสบายใจ อารมณ์ดี แต่ถ้าบ้านอยู่ในทุ่งโล่ง มองไปที่ไหนก็ระยิบระยับไปด้วยแสงแดด ตาลายเลย ใครมาพูดขวางหู ฟังแล้วก็เปรี้ยงเข้าให้ มันก็เท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็สำคัญอยู่เหมือนกัน
สภาพสิ่งเหล่านี้ จึงต้องมีการปรับปรุง ในต่างประเทศเขาพยายามทำสิ่งสวยสิ่งงามให้คนเห็น จะได้เกิดความเบิกบานใจ ใจที่โกรธใครมา ๓ วัน มาถึงเห็นสภาพแวดล้อมดี ๆ ก็หายโกรธกัน จิตใจสงบขึ้นมาทันที อันนี้มีอยู่ เป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่ลำบาก แต่คนทำไม่เป็น เพราะไม่มีใครแนะนำชักจูง จึงต้องทำวัดให้เป็นตัวอย่างให้ชาวบ้านได้เห็น ก็ไปบอก ๆ ไว้ พบวัดไหนก็แนะนำด้วย ปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้ ทำให้ร่มรื่น ให้สะอาด ให้คนได้เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วก็ออกไปชวนชาวบ้านให้พัฒนา ถนนหนทางบ้านช่อง ให้สะอาดสวยงามเช่นเดียวกัน
ช่วยกันในรูปอย่างนี้ พอทำได้ อะไรดีขึ้น ชาติเราก็สบาย คนมันชอบเลื่อมใส พออกพอใจ แต่ว่าในบางแห่ง มันก็รุนแรงเหมือนกันใช้ไม่ได้ ไล่พระกับเณร ไล่ไม่ไปก็ยิงเสียเลย เคยมีปักษ์ใต้ ยิงพระในที่นั่งคุยอยู่กับชาวบ้าน ยิงทั้งพระทั้งชาวบ้านตายไป อันนี้น่าเสียใจ เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ว่าเกิดขึ้นที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งที่นั่นมีคน ๒ ศาสนา แล้วเขาคิดแยกดินแดนอะไรกันไปตามเรื่องของเขา เหล่าพระเราก็พลอยฟ้าพลอยฝนไป ถามพระที่มาจากโน่นว่า “ผม...เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ไปไหน จะไปหาเยี่ยมเยียนชาวบ้านไกล ๆ ก็ไม่กล้า เพราะนั่งรถไป เดี๋ยวมันหยุดรถ มันก็แยกพุทธอยู่นี่ อิสลามอยู่นี่” อิสลามเขาไม่ยุ่ง เขาไม่รังแก เขายุ่งแต่กับชาวพุทธ ทีนี้พระไปด้วย ไม่มีอะไรจะให้ ให้จีวรมันก็ไม่เอา ไม่มีอะไร อยู่หนักแผ่นดิน ตายเสียดีกว่า พระก็เรียบร้อยนี่ไง เหล่าพระก็ไม่ค่อยกล้าไปไหนเวลานี้ ต้องอยู่ และคนที่นับถือพุทธศาสนาก็เดือดร้อน วุ่นวาย เพราะเขารังแกกัน พวกเขาต้องการแยกดินแดน ให้บ้านเมืองในโลก ???? (59.37 เสียงไม่ชัดเจน) แยกพวก แยกเหล่า แยกก๊ก แยกเผ่า ทำให้เกิดเป็นปัญหา ไม่ได้นึกว่าเรามันมนุษย์ด้วยกัน เกิดร่วมกัน ตายร่วมกัน มีอะไรเหมือน ๆ กัน แต่มันสอนให้เกิดการแตกแยก เป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นพวก เป็นหมู่ ถือเอาเรื่องนั้นมาแยกสี เอาเรื่องนี้มาแยกผิวบ้าง แยกศาสนาบ้าง แยกภาษาบ้าง เป็นเหนือ เป็นใต้ เป็นตะวันตก เป็นตะวันออก โอ้โห มันยุ่งนะ ???? (60.05 เสียงไม่ชัดเจน) มันวุ่นวายสับสน เราชาวพุทธไม่ไปเที่ยวแยกแยะอย่างนั้น
เราถือว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แผ่เมตตา ปราถนาดีต่อกัน เราก็อยู่กันฉันพี่น้อง มันมีปัญหาน้อย ไม่ต้องลำบากใจ จึงต้องหันหน้าเข้าหาสิ่งนี้ เอาธรรมะเป็นเครื่องประคับประครองจิตใจ ก็ให้เกิดความสุขในชีวิตประจำวันต่อไป ดังนั้นก็ได้มาในวันนี้ ก็พอสมควรแก่เวลา เป็นการเล่าประสบการณ์ ที่ได้พบได้เห็น ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติ โยม นั่งสงบใจ ๕ นาที