แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย ที่ในห้องประชุมนี้ยังมีเก้าอี้ว่างใครจะเข้ามานั่งก็ได้เดินดูเอา ยังว่างตั้งหลายตัว ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นวันอาทิตย์พิเศษหน่อย คือเป็นวันที่ก่อนจะถึงวันที่ ๑๒ เดือนสิงหาคม วันนี้วันที่ ๑๐ อีกสองวัน พรุ่งนี้มะรืนนี้วันที่ ๑๒
วันที่ ๑๒ นั้นเราถือว่าเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และเราถือโอกาสจัดวันนั้นเป็นวันแม่ด้วย เรื่องของวันแม่นี่เป็นเรื่องของฝรั่งเขาจัดกันมาก่อน ทำไมฝรั่งเขาจึงได้จัดวันแม่ เพราะว่าลูกฝรั่งนี่ไม่ค่อยจะสนใจแม่ ไม่เอาใจใส่ในแม่ แม่ลำบากเดือดร้อน เหมือนกับนกเลี้ยงลูกโตแล้วมันบินหนีไปหมด ไม่มาดูลูกดูแม่ เลยเขาคิดว่ามันต้องจัดวันแม่ขึ้น เพื่อให้ลูกได้นึกถึงแม่เสียบ้าง
เรานี่ฝรั่งทำอะไรก็ไปทำกับเขาด้วย ความจริงเมืองไทยเรานั้นลูกๆ รักแม่กันอยู่ทั่วไป เอาใจใส่พ่อแม่ แต่ว่าเพื่อกันไว้ไม่ให้เกิดแบบเดียวเป็นฝรั่งขึ้นมา เลยก็จัดวันแม่ขึ้นด้วยก็ดีเหมือนกัน การจัดวันแม่ในสมัยก่อนนี้มักจะเอาเดือนเมษายน แล้วก็มีการประกวดแม่กัน สมัยก่อนนี้ประกวดแม่ลูกมาก เพราะพลเมืองไทยมันยังน้อย
เดี๋ยวนี้เขาไม่ประกวดลูกมากแล้ว เพราะมากเหลือเกินแล้ว กลายเป็นต้องคุมกันไม่ให้เกิดมาก จึงจัดวันแม่เฉยๆ แต่ก็มีการให้รางวัลแม่เหมือนกัน แม่ที่จะได้รับรางวัลนั้นคือแม่ของคนที่กล้าหาญ เสียสละเพื่อประเทศชาติ เช่นแม่ของทหาร ของตำรวจ ที่ไปอยู่ชายแดน ไปต่อสู้กับผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับรัฐบาล แล้วก็ถ้าเพียงแต่เห็นไม่ตรงกันมันก็ไม่ยุ่งอะไร
แต่นี่ชอบใช้อาวุธประหัตประหาร ชอบทำเรื่องให้เป็นปัญหา ชอบทำลายถนน ทำลายสะพาน เขาจะไปสร้างความเจริญไปตามหมู่บ้านในป่าในดง ก็ไปทำร้ายเสียไม่ให้สร้าง อย่างนั้นมันไม่ใช่เป็นความหวังดีเสียแล้ว กลายเป็นเรื่องหวังร้ายไป จึงต้องมีการปราบปรามกัน เมื่อปราบปรามกันก็ต้องใช้อาวุธประหัตประหารกัน ก็มีการตายกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายโน้นตายกี่คนเราไม่รู้เพราะเขาไม่บอก แต่พวกเราตายกี่คนรู้ เพราะเอามาเผาที่วัดพระศรีมหาธาตุทุกปี
ทีนี้แม่ๆ ของลูกเหล่านี้เป็นแม่ที่เรียกว่าน่ายกย่องชมเชยให้กำลังใจ จึงได้มีการให้รางวัลกันที่สวนอัมพรในวันแม่ ให้แม่ที่ไม่มีลูกจะได้สบายใจว่าได้มีลูกอยู่ เคยพบพ่อคนหนึ่งลูกชายตาย ในสมัยที่ญี่ปุ่นขึ้นประเทศไทย ลูกชายคนนี้อยู่ที่ปัตตานี มียศเป็นนายสิบทหารแล้วก็ไปสู้ญี่ปุ่นถึงแก่ความตาย พ่อนี่คุ้นเคยกับอาตมาเหมือนกัน
เวลาพบเอ้ามาแล้วผมนี่ไปรับเงินทีไรน้ำตาไหลทุกทีว่าอย่างนั้น ถามว่าทำไมน้ำตาไหล คิดถึงลูก บอกว่าถ้านี่ลูกอยู่โยมไม่ได้รับเงินเท่านี้หรอก บางทีไม่ได้สักสตางค์หนึ่ง ไอ้นี่ลูกตายไปลูกจึงได้เงิน เอ้อโยมจึงได้เงินเพราะการตายของลูกบอกว่าอย่างนั้น แกว่าเอ้อจริงเหมือนกันว่าอย่างนั้น ถ้ามันอยู่มันคงไม่ให้ผม แต่ว่ามันตายแล้วราชการให้ จะได้เอามากินมาใช้อยู่ ได้เดือนหนึ่งดูเหมือนกับว่า สมัยก่อนนี้หลังสงครามญี่ปุ่นนี่ ดูเหมือนเขาให้เดือนหนึ่ง ๑๘๐ บาท แกก็ไปรับที่คลังจังหวัดเสมอมาจนกว่าจะสิ้นชีวิต นี่ก็เป็นเรื่องตอบแทน ให้แก่พ่อแม่ที่ต้องสูญเสียลูกชายไปเพื่อราชการของแผ่นดิน ก็เรียกว่าเป็นการช่วยกันอย่างหนึ่ง
ทีนี้งานวันแม่มีจุดหมายเรื่องอะไร ก็เพื่อจะให้ลูกได้สำนึกถึงแม่ แล้วได้ช่วยแม่ให้เบาใจสบายใจนี่อันหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็เพื่อจะเตือนแม่ด้วยเหมือนกัน ให้รู้ว่าเรานี้เป็นแม่ เราควรจะทำหน้าที่ของแม่อย่างไร จุดมุ่งหมายก็เป็นไปในรูปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในการจัดงานก่อนที่จะถึงวันงาน ก็มีการพูดการปลุกระดมในเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้กันในที่หลายแห่งหลายหน
อาตมาก็เมื่อวันเที่ยวที่แล้วนี่ วันที่ ๘ ไปจังหวัดขอนแก่น สถานีโทรทัศน์เขานิมนต์ไป ให้ไปอัดเทปโทรทัศน์ไว้ พูดเรื่องแม่เหมือนกัน แต่ว่าเวลามันน้อย ๓๐ นาที บอกว่า ๓๐ นาทีนี่คนยังไม่ทันรู้จักแม่มันหมดเวลาเสียก่อน ขอให้มันเป็น ๔๕ ไมได้หรือ บอกว่าเวลามันจำกัดเอา ๓๐ นาทีนี่ดีแล้ว ให้คนฟังพอใจแล้วก็อยากฟังต่อไป เจ้าหน้าที่เขาว่าอย่างนั้น ก็ไปพูดเรื่องแม่เหมือนกัน เมื่อวานี้ก็มีการพูดที่สถานีกรมประชาสัมพันธ์ อภิปรายกัน มีผู้อภิปรายหลายคน ก็เพื่อจะพูดให้คนฟังถึงเรื่องว่าแม่นี่มีบุญคุณอย่างไร เราควรจะทำอะไรต่อพ่อแม่ของเราอย่างไร พูดแต่แม่พ่ออาจจะเสียใจว่า แหมไม่เอ่ยพ่อบ้างเลย คืออยู่ในตัวแล้ว พ่อด้วยนั่นแหละ เพราะว่าพ่อกับแม่น่ะสัมพันธ์กันแยกจากกันไม่ได้ เมื่อพูดถึงแม่ก็กระเทือนถึงพ่อ
อันนี้ทำไมถึงพูดถึงแม่ เพราะถือว่าแม่นี่เป็นผู้เกิดลูก เป็นผู้เกิดมา เลี้ยงดูมา พ่อน่ะก็มีส่วนเหมือนกัน คือเป็นผู้ทำให้เกิดได้มีส่วนสัมพันธ์กัน แต่เขาถือว่าแม่นี่สำคัญมากที่สุดในชีวิต เพราะว่าเป็นแม่หลายอย่าง เป็นแม่ให้เกิด เป็นแม่เลี้ยง แม่รักษา แม่คุ้มครอง แม่ป้องกัน เป็นทุกอย่าง แล้วก็ลูกนี่อยู่กับแม่มาก เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาจึงพูดว่า ถ้าพ่อตายเหลือแต่แม่ก็เหมือนกับมีทั้งพ่อทั้งแม่ แต่ถ้าแม่ตายเหลือแต่พ่อเหมือนกับไม่มีทั้งสองคน ว่าไว้อย่างนั้น อันนี้มันก็น่าคิดนะโยมนะ คือน่าคิดอย่างไร น่าคิดว่าพ่อตายนี่แม่อยู่เหมือนกับมีพ่อ เพราะว่าถึงอย่างไรอย่างไรแม่ก็ไม่ทิ้งลูก แม้แม่จะไปมีสามีใหม่ก็ลูกไม่เดือดร้อน เพราะว่าโดยมากนี่สามีมักจะอยู่ในกำมือของแม่
คือแม่นี่เรียกว่ามีอะไรพิเศษที่จะเอาคนให้อยู่ในอำนาจได้ มีปัญญา มีความสามารถ ลูกจะไม่เดือดร้อน แต่ถ้ามีพ่ออยู่แม่ตายนี่ลูกชักจะเดือดร้อน เช่นว่าพ่อไปมีภรรยาใหม่นี่ ก็ไปอยู่ในอำนาจของภรรยาอีก ถ้าภรรยาเกิดไม่พอใจลูกขึ้นมาก็ลูกเดือดร้อน อันนี้เขาพูดไว้มันเป็นความจริงเหมือนกัน ดูเหตุการณ์ทั่วๆ ไปก็เป็นความจริงเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเขาจึงถือว่าแม่นี่เป็นผู้มีความสำคัญในครอบครัว แม่เลี้ยง (09.05 เสียงไม่ชัดเจน) นี่ถ้าไม่มีแม่บ้านแล้วมันก็ลำบากเดือดร้อนนะ อยู่แต่พ่อบ้านไม่ค่อยจะเรียบร้อย คือไม่มีใครดูแลบ้านให้เป็นไปในสภาพปกติ จะเอาเด็กมารับใช้มันก็อย่างนั้นแหละ ทำอะไรก็อย่างนั้นแหละ หุงข้าวต้มแกงก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อย กวาดบ้านถูเรือนก็ไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่มันไม่มีมาแล้วก็เลยไม่มีต่อไป
เหมือนกับท่านนายกเปรมนี่ท่านไม่มี ท่านก็คงจะใช้ทหารหุงข้าวต้มแกงให้ท่าน แต่มันคงจะสู้ฝีมือแม่ไม่ได้ แต่คงจะมีแม่ครัวถึงไม่มีแม่บ้านก็ต้องมีแม่ครัว ถ้ามีพ่อครัวนี่กับข้าวต้มปลามันคงจะไม่เป็นเรื่องแล้ว ยิ่งเอาพลทหารไปแกงด้วยแล้วก็มันคงจะไม่ได้เรื่องอะไร ไม่มีแม่บ้านก็ต้องมีแม่ครัวเป็นผู้ดูแลกิจการภายในบ้าน แปลว่าบ้านนี่ขาดแม่ไมได้ ต้องมีแม่อยู่ทุกบ้านทุกเรือน จึงถือว่าแม่นี่เป็นสำคัญในเรื่องชีวิตของมนุษย์เรา
สมัยก่อนโบราณโน้นเขาถือว่าผู้หญิงสำคัญกว่าผู้ชาย เขาจึงนับถือเจ้าแม่ทั้งหลายกัน เทพเจ้าก็เรียกว่าเป็นเทพเจ้าผู้หญิง ขั้นต่อมาผู้ชายชักจะเก่งขึ้นเลยปลดผู้หญิงออกไป เอาผู้ชายขึ้นมาแทนต่อไป พระอิศวรก็ยังมีแม่เหมือนกันคือพระอุมาเทวี ถ้าพระอิศวรอยู่คนเดียวก็เรื่องมันไม่ยาวอะไรนะ เรื่องมันไม่ยาวเพราะคนเดียวนี่ พอมีพระแม่อุมาเข้ามาเท่านั้นเรื่องมันไปกันใหญ่ มีลูกมีเต้ามีปัญหาเยอะแยะ กลายเป็นเรื่องอ่านแล้วครึกครื้นไปเลยทีเดียวนี่ เพราะมีแม่ แต่ถ้าไม่มีแม่ก็มันไม่มีอะไรอย่างนี้เป็นเรื่องน่าคิด
ในครอบครัวครอบครัวหนึ่ง ใครเป็นใหญ่ในครอบครัว เราถือว่าแม่เป็นใหญ่ พ่อน่ะมีอำนาจในครอบครัวเหมือนกัน ประเทศญี่ปุ่นนี่เขาถือว่าพ่อเป็นใหญ่ในครอบครัว คือมีอำนาจเด็ดขาด อะไรๆ อยู่ที่คำตัดสินของพ่อทั้งนั้น แต่ว่าพ่อก็ต้องปรึกษาแม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะตัดสินเอาได้ตามชอบใจ
ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์นี่มันแปลกกว่าประเทศอื่นนะ ผู้หญิงนี่ไม่ได้ลงคะแนนเลือกตั้งในประเทศนั้น เคยคุยกับคนที่เคยเป็นประธานาธิบดีเมื่อ ๒๕ ปีมาแล้ว แกไปที่อเมริกาไปประชุมพวก MRA ด้วย เลยก็คุยกัน คนอื่นเขาคุยแกมานั่งฟัง แกบอกว่าเมืองสวิสนี่มันดีทุกอย่างแต่ยังมีอันหนึ่งไม่ดีแกบอก ผู้หญิงไม่มีสิทธิไปลงคะเนนเสียงเลือกตั้ง เลือกแต่ผู้ชายทั้งนั้นเลือกตั้ง แต่แกบอกว่าถึงผู้หญิงไม่ได้ไปออกเสียง ผู้หญิงก็ใช้ให้ผู้ชายลงคะแนนให้ ก็ยังมีอำนาจอยู่เหมือนกัน คือใช้สามีได้ บอกว่าไปลงคนนั้นนะ ลงคนนี้นะ แล้วสามีก็มักจะลงตามภรรยาบอกเสียด้วย แกว่าอย่างนั้น แล้วแกก็หัวเราะ กักๆ ไปเลยทีเดียว แสดงว่ายังมีสิทธิอยู่ไม่ถึงกับตกต่ำทีเดียว
สมัยนี้มีการเรียกร้องสิทธิมากมายหลายเรื่องหลายประการ อาตมานึกว่าสิทธิอะไรๆ ของผู้หญิงเรานั้น มันเก่งอยู่ตรงความเป็นแม่นี่เอง สิทธิแห่งความเป็นแม่นี่คนอื่นเป็นไม่ได้ เราเป็นได้คนเดียวเพราะเราเป็นผู้หญิง สิทธินี้นับว่าสมบูรณ์แล้ว เพราะความเป็นแม่น่ะมีอำนาจพิเศษที่จะกระทำอะไรให้เป็นอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเขียนไว้ว่า อันมือไหวเปลไซร้แต่ไรมา คือหัตถาครองพิภพจบสากล เขาว่าอย่างนั้น
ว่ามือไกวเปลนี่แหละคือมือที่ครองพิภพ ทำไมจึงเรียกว่าอย่างนั้น เพราะแม่นี่เขาเลี้ยงลูกอบรมลูกมาตั้งแต่เริ่มต้น อบรมมาตั้งแต่อยู่ในท้องนะไม่ใช่เล็กๆ น้อยๆ นะ เคยบอกหนูๆ ที่มีท้องหลายคนแล้ว บอกว่ามีท้องนี่ต้องไหว้พระ ต้องสวดมนต์ ต้องทำจิตใจให้สงบให้เยือกเย็น อย่าโกรธใคร อย่าเคืองใคร อย่าคิดไปในทางโลภ ทางโกรธ ทางหลง ทางริษยาพยาบาท จิตใจต้องสงบอยู่ตลอดเวลา ไม่โกรธไม่เคืองใคร ถือศีล ๕ เคร่งครัด
ศีล ๕ ข้อนี่ต้องถือเคร่ง แล้วก็ต้องทำใจให้สงบทุกคืน ก่อนนอนต้องไหว้พระสวดมนต์ ตั้งจิตอธิษฐานของอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ที่เราเคารพสักการะบูชา จงโปรดช่วยให้ลูกของข้าในท้องนี้ เป็นผู้มีสุขภาพดีมีร่างกายแข็งแรง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ว่าทุกคืนๆ นั่นแหละ มันอำนาจจิตที่เราคิดอย่างนั้นแล้วมันก็เกิดอิทธิพลขึ้นเหนือเด็ก ทำให้เด็กที่ออกมานั้นเรียบร้อย
เพราะฉะนั้นเขาจึงห้าม คนมีท้องนี่ห้ามดูเขาชกมวยกัน ดูชกมวยมันตื่นเต้นนะ ไม่ได้ ยิ่งท้องแก่แล้วห้ามดูเด็ดขาด ห้ามดูชกมวย ห้ามไปสนามม้า ห้ามดูเรื่องที่มันยุ่งๆ เรื่องที่เสียวทำให้เกิดอารมณ์เขาห้าม เขาให้ดูภาพที่ราบรื่นเรียบร้อย ดูภาพวิวภาพภูเขา ภาพลำห้วยลำคลองอย่างนี้ จิตใจจะได้สบาย แต่ว่าจิตใจของแม่เวลามีท้องนี่จะสบายไม่ได้ถ้าพ่อไม่เอาเรื่องนะ พ่อเหลวไหลนี่ก็ไม่ได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นพ่อนี่ต้องมีส่วนสำคัญ คือเมื่อแม่ตั้งท้องแล้วนี่ พ่อต้องนึกว่า อ้อเวลานี้แม่กำลังปั้นลูกอยู่ คือเขียนรูปลูกอยู่ในท้องนะ กำลังปั้น ถ้านี้เราไปกวนใจ เราไปเที่ยวกลับบ้านดึกดื่น กลับมาเมาแอ๋ หรือบางทีก็เที่ยวไปควงใครต่อใคร คุณแม่ไม่สบายใจ เมื่อไม่สบายใจก็เกิดโมโหโทโส แล้วก็เกิดยุ่งยากในทางจิตใจ ลูกออกมาไม่เรียบร้อย มีปัญหายุ่งยาก
เมื่อเด็กๆ เคยครอบครัวหนึ่งลูกชายคนนั้นชื่อวุ่น เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ นายวุ่นคนนั้นแกหูตึงมาตั้งแต่หนุ่มๆ เลยถามคุณแม่แก อาตมาเรียกว่าคุณป้านะ ป้าอิน ชื่อป้าอิน ถามว่าป้าอินทำไมลูกคนอื่นเขาชื่อเพราะๆ ลูกคนนี้ทำไมชื่อวุ้น แกบอกโอยหลานเอ๊ย เวลาลูกคนนี้อยู่ในท้องมันวุ่นกะฉันวุ่นกัน ฉันกับพ่อมันเถียงกันบ่อยๆ ทะเลาะกันบ่อยๆ เลยลูกออกมาก็ชื่อไอ้วุ่น ว่าอย่างนั้น เป็นอนุสรณ์ในความไม่เรียบร้อยของครอบครัวไป ไปชื่ออย่างนั้น
ทีนี้ก็เพราะว่าความวุ่นวาย ความวุ่นวายเกิดก็เพราะว่าสามีภรรยาไม่เข้าใจกัน ไม่รู้จักหน้าที่ว่าเราควรจะทำอะไร ยังสู้นกไม่ได้ นกมันยังเก่งกว่า นกสองตัวมันบินมาทำรังที่พุ่มพวงแสดที่หน้าต่างห้องอาตมาที่เชียงใหม่ มันช่วยกันทำรัง แล้วตัวหนึ่งออกไข่ ตัวเมียนี่ตัวออกไข่นี่ไม่ใช่ตัวผู้ แต่นี้ตัวผู้มันก็ไม่ทิ้งตัวเมีย ตัวเมียนอนฟักไข่ ตัวผู้บินหายไปคาบตัวหนอนมาให้ เดี๋ยวบินหายไปคาบตัวหนอนมาให้
เอามาให้บ่อยๆ นึกในใจว่า อ่อ แหมนกตัวผู้นี่มันประพฤติธรรมเรียบร้อยดี รู้จักหน้าที่ของสามี รู้จักหน้าที่พ่อไม่เที่ยวเถลไถล ไม่ไปไนท์คลับ ไม่ไปเต้นดิสโก้ ตามย่านพัฒน์พงษ์ให้แม่บ้านเดือนร้อน นี่นกมันเก่งกว่าคนนะ อย่างนี้เราก็ต้องเอาใจใส่ไว้ อย่าทำเหลวไหล เวลาภรรยาตั้งท้องตั้งไส้นี่ต้องเอาใจใส่ เอาอกเอาใจ กลับบ้านตามเวลา มาพูดมาสนทนากันในเรื่องดีๆ งามๆ
อย่าพูดเรื่องยุ่งใจ อย่าพูดเรื่องอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจอะไรกัน รักษาน้ำใจเหมือนกับว่าเราประคองขันน้ำ ถ้าน้ำมันเต็มขันต้องถือค่อยๆ อย่าให้น้ำมันหกราด ฉันใดถ้าหากแม่บ้านมีท้องนี่ก็ต้องประพฤติอย่างนั้น พ่อกับแม่นี่สัมพันธ์กันตรงนี้ ถ้าว่าพ่อเรียบร้อยแม่เรียบร้อย ลูกเรียบร้อยเกิดมาดีมีปัญญา เฉลียวลาด ทำงานการเป็นประโยชน์แก่ครอบครัว แก่วงศ์สกุลต่อไป
พ่อกับแม่มีลักษณะอย่างนี้ แต่ว่าความหนักมันอยู่ที่แม่ หนักอย่างไร พอมีท้องนี่มันต้องรักพิเศษแล้วนะ คนโบราณนี่เขาห้ามหลายอย่าง ของเผ็ดก็กินไม่ได้ ไอ้นั่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็กินไม่ได้ หลายเรื่องหลายประการที่เขาห้ามนะ เพื่ออะไร กลัวจะเกิดปฏิกิริยาขึ้นแก่เด็กที่ในท้อง เพราะฉะนั้นคุณแม่ต้องอดสิ่งที่เคยรับประทาน อะไรหลายเรื่องหลายประการ สำรวมอยู่ในเรื่องกิน กินอย่างชนิดที่ระมัดระวัง เพื่ออะไร เพื่อลูกในท้องจะได้เรียบร้อย จะเดินเหินก็ต้องระมัดระวัง จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังอยู่ทุกอิริยาบถเลย ประพฤติตนเรียบร้อยคล้ายกับผู้ประพฤติธรรมจริงๆ ในขณะนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ลำบากใจอยู่เหมือนกันที่จะต้องกระทำเช่นนั้น แต่ว่าท่านทำเพราอะไร เพราะมีความรักในลูกที่กำลังจะปฏิสนธิในท้องของตัว
คือคนเรานี่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน คือว่าถ้าพอรู้ว่าจะมีลูกนี่ ความเป็นแม่มันเกิดขึ้นทันที ความรู้สึกว่าเป็นแม่นี่มันเกิดขึ้น แม่สัตว์เดรัจฉานพอรู้ว่าจะมีลูกนี่ความเป็นแม่มันเกิดขึ้นในใจแล้ว แล้วก็รู้สึกว่ามันทำอะไรมันก็ผิดปกติขึ้นมา คนเราก็เป็นเช่นนั้น เพราะความสำนึกในความเป็นแม่ จึงถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกเป็นอันดีตลอดอยู่ในครรภ์นี่ คือเลี้ยงใจตัว เลี้ยงร่างกาย ประพฤติเรียบร้อย เพื่อให้ลูกออกมาเรียบร้อย
ครั้นพอถึงวันคลอดนี่ คนที่เคยคลอดลูกนี่รู้สึกอย่างไร อาตมามันไม่เคยคลอดไม่รู้หรอก แต่ว่าโยมที่เคยคลอดมันรู้นะ ว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน เวลาที่จะเกิดลูกนี่เจ็บปวดขนาดไหน ดิ้นรน ปวดขนาดไหน กว่าที่จะออกพรึดออกมาได้นี่นะ แหมเกือบเอาชีวิตเข้าแลกทีเดียว เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาจึง เช่นอินเดียนี่ เขาต้องไปเกิดบ้านแม่บ้านพ่อ อุ่นใจนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร
ดูพระนางมายาเทวี พอตั้งท้องเจ้าชายสิทธัตถะนี่ พอท้องแก่จวนจะกำหนดคลอด ลาพระเจ้าสุทโธทนะกลับบ้าน เพื่อไปอยู่ในวงญาติ ไอ้ที่นี่มันญาติสามีทั้งนั้นมันไม่อุ่นใจเท่าใด เพราะเวลามีท้องนี่เรื่องมันใหญ่จะคลอดนี่เรื่องใหญ่ ต้องไปอยู่ใกล้แม่ใกล้พ่อใกล้ยายใกล้ตาจะได้อุ่นใจ จึงไปเกิดที่บ้านตัว เพราะมันภัยเวลาเกิดนี่ จะออกเรียบร้อยหรือเปล่า มันจะเอาหัวออกหรือมันจะเอาเท้าออก
ไอ้ลูกบางคนมันอุตริ มันไม่ออกเรียบร้อย มันออกเอาเท้าออกมา หรือเอาหัวออกมาบ้างอะไรต่ออะไร หรือว่ามันไม่ออกก็มี อย่างนี้มันก็ลำบากคลอดไม่เรียบร้อย ออกเอาหัวมามันก็เรียบร้อย ถ้าไม่เรียบร้อยมันก็ยุ่ง เอาเท้าออกมามันติดแขนทั้งสองข้างน่ะสิ คราวนี้มันก็ลำบาก ถ้าเอาหัวออกมันลู่ไปตามตัวนี่มันก็ออกมาเรียบร้อย บางคนไม่อย่างนั้นดันเอาเท้าออกมาดึงไม่ออกทีนี้
บางคนโผล่หัวออกมาแล้วมันไม่ออกเสียเฉยๆ ต้องเอาคีมจับถึงออกมา แล้วหัวยาวเป็นขวดไปก็มีเหมือนกันนะ อย่างนี้มันทำให้แม่ลำบากทั้งนั้นแหละ แต่มันไม่ได้เจตนา มันไม่รู้เรื่องหรอก แต่คุณแม่สิแย่ลำบากเดือดร้อน เกิดลูกคราวหนึ่งคราวหนึ่งนี่ก็ลำบาก แต่ว่าคนบ้านนอกนี่เกิดง่ายเหลือเกิน บางทีก็ไปเก็บข้าวอยู่ในนา เกิดปวดท้องขึ้น เดินอย่างรีบเร่งมาถึงบ้านหมอตำแยยังไม่มาถึงแล้วออกเรียบร้อยแล้ว
เพราะว่าเขาเคลื่อนไหว ออกกำลังอยู่ คนที่ออกกำลังอยู่พอสมควรเมื่อคลอดลูกง่าย แต่ไม่ค่อยออกกำลังนั่งนิ่งๆ เฉยๆ มันก็ลำบาก กิจที่ทรมานที่สุดของสตรีก็คือเวลาคลอดบุตร เราทุกคนที่คลอดออกมานี่ทรมานคุณแม่กันทั้งนั้นแหละ เกือบเอาชีวิตคุณแม่ไปเหมือนกัน แต่นับว่าบุญที่คุณแม่ไม่เป็นอะไร เราออกมาก็เรียบร้อย คุณแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ว่าท่านก็ยังไม่สบายใจเท่าใดหรอก สบายตอนที่ว่าลูกออกเรียบร้อย แล้วก็รู้ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย แม่บางคนอยากได้ลูกชาย พอรู้ว่าเป็นชายนี่ลืมความเจ็บความปวด ดีใจ บางคนอยากได้ลูกหญิงก็ลืมความเจ็บปวดเพราะดีใจว่าได้ลูกหญิง ดีใจทั้งนั้น แต่ว่าถึงไม่ได้ดังใจท่านก็พอใจ เป็นลูกของแม่ละก็แม่พอใจทั้งนั้น นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
ครั้นผ่านพายุร้าย คือการคลอดบุตรไปแล้ว หน้าที่เลี้ยงดูเอาใจใส่ต่อไป ให้นมแก่ลูก นมนี่คือของที่คุณแม่สงวนนักหนานะ สมัยนี้เขาไม่ค่อยให้กินหรอกนมแม่นี่ ลูกไม่ค่อยจะดีไม่กินนมแม่นี่ ให้ไปเถิด ใครมีลูกให้ลูกกินนม กินตามธรรมชาติ มันมีให้กินก็กินไป ไม่มีอาหารอะไรวิเศษกว่านมมารดา นมมารดานี่เป็นอาหารวิเศษ แต่เดี๋ยวนี้มันลำบาก เราไปทำงานทำการจะวิ่งกลับมาให้ลูกกินนมมันก็ไม่ไหว
สมัยก่อนนั้นอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน แม่บ้านเขาไม่ต้องไปไหน มีลูกก็ให้ลูกกินนมได้ ลูกกินนมแม่นี่โตวันโตคืนแข็งแรง ดูเด็กบ้านนอกสิกินนมแม่นี่ ตอนกินนมแม่นี่อ้วยตุ้ยแข็งแรงนะ แต่ทิ้งนมวันไหนผอมลงวันนั้นเลย ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเพราะคนบ้านนอกไม่มีอาหารเสริม มีแต่นมมารดาอย่างเดียว กินไปถ้าหากว่าลูกมีไม่มากแล้วกินกันจนกระทั่งว่าอุ้มกันขาถึงดินโน่นแหละยังกินนมแม่อยู่ ว่าอย่างนั้นนะ
เพราะว่านมยังมีให้กิน ไม่มีกินมันก็ดูดไปตามเรื่องเคยดูดอย่างนั้น นี่คือน้ำนม ออกมาจากอกของคุณแม่ เลี้ยงเราให้มีชีวิตชีวามาได้ เวลากลางคืนนี่คุณแม่นอนหลับสนิทไหม เวลามีลูกน้อยๆ นี่ไม่สนิทเลย คุณแม่ทุกคนนอนไม่หลับสนิท จิตมันไปอยู่ที่ลูกนะ หูแว่วอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินเสียงลูก “แว้” คุณแม่ตื่นแล้วนะ คุณพ่อตื่นบางที พ่อตื่นก็ “ดูสิ ลูกเป็นอย่างไร” แล้วพ่อนอนต่อไป
พ่อนี่เอาเปรียบนะ แต่ว่าแม่ไม่ได้ พอได้ยิน “แว้” ลุกขึ้นทันที จุดตะเกียง ถ้ามีไฟฟ้าก็เปิดสวิตช์ หรือบางทีเปิดไว้ลุกขึ้นดูตั้งแต่หัวถึงเท้า ดูข้างใต้อะไรมันออกมาเปื้อนผ้าอ้อมหรือ หรือว่าอะไรจัดแจง ถ้าออกมาก็ล้างให้เรียบร้อยแล้วก็นอน มือตบสะโพก นอนเสียนะลูกนะ หลับเสีย หลับเสีย เอามือประคับประคองให้ลูกอุ่นใจ
สัมผัสของคุณแม่นี่ไม่ว่าส่วนไหนทำให้ลูกสบายใจ แต่ว่าลูกได้แตะเนื้อคุณแม่แล้วมันสบายใจแล้ว ถูกมือก็สบายใจ ถูกแขนก็สบายใจ ถูกหน้าอกยิ่งสบายใจใหญ่เพราะไอ้เนื้อมันอยู่ตรงนั้นที่จะดูดได้น่ะ ลูกก็หายร้องเลยนะ เพราะฉะนั้นถ้าลูกร้องแม่ต้องอุ้มประทับอก พอประทับอกลูกหยุดร้อง นี่สัมผัสอย่างนี้มันสำคัญ คุณแม่ต้องให้แก่ลูกตลอดเวลา
คอยเอาใจใส่ไปไหนก็รีบกลับมา กลัวลูกจะลำบากจะเดือดร้อน ให้คนอื่นเลี้ยงก็ไม่ชื่นใจ ต้องเลี้ยงเอง ต้องบดข้าวเอง ทำอะไรเองทุกอย่างด้วยน้ำมือของแม่ แต่แม่ก็สบายใจ ไอ้เรานี่ไม่รู้หรอกเมื่อเด็กๆ นี่ว่าแม่ทำอย่างไรไม่รู้ แต่รู้เมื่อโตขึ้นก็มองเห็น เห็นแม่เลี้ยงน้อง หรือแม่ไม่มีน้องแต่แม่คนอื่นเลี้ยงลูกคนอื่นเราก็มองเห็น
อาตมาเคยนึกๆ ว่าแหมจะต้องหากล้องสักอันหนึ่ง เที่ยวถ่ายภาพแม่กับลูก เช่นว่าแม่อุ้มประทับกับอกถ่ายไว้รูปหนึ่ง แม่แบกลูกไปไหนถ่ายไว้ ลูกขึ้นขี่คอแม่คอพ่อถ่ายรูปไว้ นั่งในรถไฟคนอื่นเขานั่งสบายนะแต่คุณแม่นั่งอุ้มลูกอยู่ ให้ลูกกินนม ถ่ายภาพเดินทางในรถไฟ ภาพอิริยาบถระหว่างแม่กับลูกเก็บไว้หมด เที่ยวเก็บ เที่ยวถือรูปกล้องเที่ยวจ้องไว้นะ พอเห็นแล้ว ขอโทษๆ ถ่ายหน่อยๆ ถ่ายไว้
ถ่ายเสร็จแล้วเอามารวมเลยโยม ทำเป็นหนังสือหนึ่ง หนังสือว่า ความสัมพันธ์ของคุณแม่ต่อลูก พิมพ์กระดาษอาร์ตสวยงามเรียบร้อย แล้วก็แจกไปทุกครอบครัวนะ ลูกอ่านแล้วจะต้องนึกถึงแม่ อ่านแล้วบางทีนึกถึงแม่นะ ถ้าแม่ยังอยู่นี่ถ้าอ่านแล้วต้องไปหาคุณแม่หน่อยวันนี้ เพราะอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วก็มีคำพรรณาให้มันสะดุดใจหน่อย เขียนใต้ภาพให้สะดุดใจ
นี่เคยคิดไว้ แต่ทำไม่ได้อาตมามันไม่ใช่นักถ่ายภาพ ทีนี้ใครเป็นนักถ่ายภาพแล้วช่วยถ่ายไว้ ภาพต่างๆ ของคุณแม่นี่ ทุกอิริยาบถที่เกี่ยวกับลูก เริ่มมาตั้งแต่มีท้อง แล้วภ็ภาพ ไม่ใช่แม่คนเดียว แต่ว่ามันหลายคน เพราะเราเห็นตรงไหนก็ถ่ายตรงนั้น ถ่ายไว้ๆ เก็บสะสมไว้ เอามาพิมพ์เป็นหนังสือในงานวันแม่นั่นแหละ ไม่ใช่แจกวันไหนนะ พิมพ์แจกก็ไม่ได้ก็เงินมันมาก ต้องขายในงานวันแม่ เอาเงินมาใช้จ่ายในงานวันแม่ต่อไป
อันนี้จะดีเพราะเป็นภาพสะดุดใจ ศึกษาจากภาพน่ะดีมากทีเดียว เคยคิดไว้อย่างนั้น มีไอเดียอยู่ในใจแต่ว่ายังไม่ได้ลงมือกระทำ เพราะว่ามันไม่มีโอกาสจะทำ จะนั่งรถไฟไปบางทีเห็นภาพแหมมันน่าถ่ายเหลือเกิน ทั้งพ่อทั้งแม่เอาใจใส่ วันนั้นนั่งรถมานะ แม่หรือพ่อคงจะได้ลูกคนแรก ดูเอาใจใส่ดีเหลือเกิน ทั้งพ่อทั้งแม่นั่นแหละ
แล้วพ่อนี่ก็เอาใจใส่มาก อดชมไมได้เวลาตื่นเช้าจะลงรถไฟนี่ บอกว่าแหมหลวงพ่อนั่งรถเที่ยวนี้หลวงพ่อสบายใจมากพูดกับเขาอย่างนั้นนะ ผู้ชายถามว่าหลวงพ่อสบายใจเรื่องอะไร สบายใจที่เธอเป็นพ่อที่เอาใจใส่ต่อลูกเหลือเกิน แล้วสบายใจแทนหนูโน่น ที่ว่ามีพ่ออย่างนี้ แม่ก็คงสบายใจเพราะมีสามีดี แล้วก็เป็นสามีที่เอาใจใส่ต่อลูกดี เขาก็สบายใจเขายกมือไหว้ สบายใจนะเราชมเขาอย่างนั้นนะ
อย่างนี้มันน่าดู ภาพอย่างนี้นะ ทำให้ดูแล้วมันชื่นใจ คนได้ดูแล้วบางทีจะนึกได้ นึกถึงแม่ขึ้นมาแล้วก็จิตใจจะได้สำนึกว่า อ้อ เราเป็นหนี้ เป็นหนี้ที่ไม่ไหว หนี้ของคุณแม่นี่เปลื้องไม่ไหว้ มันมากเหลือเกินไม่รู้จะปลดจะเปลื้องกันอย่างไร ที่ท่านลงทุนให้เรานี่มันมากนะ ให้คิดว่าตั้งแต่เราเข้าสู่ท้องของท่านนี้ แล้วก็ท่านต้องใช้เงินเท่าไรๆ
ถ้าคุณแม่เป็นคนละเอียดจดบัญชีไว้ตั้งแต่นั้นมา เกิดออกมา ค่าน้ำนม ค่าหมอ ค่าพยาบาล ค่าโน่นค่านี่ เข้าโรงเรียนอนุบาล เสียเงินค่าเรียนค่าหนังสือค่าสมุด ค่าโน่นค่านี่จดไว้ จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย พอได้ปริญญาก็แม่เรียกมา บอกมานี่มานี่ ลูกได้ปริญญาแล้วแม่ดีใจเหลือเกิน แต่แม่จะบอกอะไรให้ลูกหน่อย เข้ามานั่งใกล้ๆ เปิดสมุดบัญชีนี่รายการที่แม่จดไว้ตั้งแต่ลูกเข้าท้องมาจนบัดนี้ แม่จ่ายเงินเพื่อลูกเท่าไร
แต่ไม่ใช่ว่าแม่จะเอาอะไรจากลูกหรอก เพราะแม่ทำด้วยใจรักต่อลูกเท่านั้น แต่ให้ลูกรู้ว่ากว่าจะเป็นผู้เป็นคนนี่ สิ้นเงินสิ้นทองไปเท่าไร แม่ต้องลำบากขนาดไหนจะได้จำไว้ จะได้เป็นคนดีถ้าคิดถึงแม่ต่อไปเอามาบอก สมมติว่าท่านจะคิดดอกเบี้ยกับเราบ้าง เอาเพียงร้อยละ ๒ ต่อปีเท่านั้นเรานี่มันไม่ไหวแล้วนะ จะหาเงินให้คุณแม่ได้หรือ หาไม่ได้ ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้
แต่ไม่มีแม่ไหนที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะท่านมีแต่ว่าเรื่องให้ คุณแม่นี่มีแต่เรื่องให้นะ ไอ้เรื่องจะเอาไม่มี มีแต่ให้ บางทีก็บ่นบ้างเหมือนกันนะ แหม มันไม่คิดถึงฉันเลย อย่างนี้เรียกว่าบ่น ลูกคนนั้นมันเหลือเข็ญแล้วนะที่บ่นอย่างนั้นนะ แต่ความจริงท่านก็ไม่ใช่ว่าจะเอาอะไรหรอก แต่บางทีแม่พูดอะไรลูกยังเที่ยวไปโพนทะนานะ แม่อะไรทวงบุญคุณลูก
ท่านมีสิทธ์จะทวงตั้งพันเปอร์เซนต์ไม่ใช่ร้อยนะ ก็ลูกของท่านนี่ท่านเลี้ยงมา ท่านทำมาทุกอย่าง ท่านจะทวงบ้างไม่ได้หรือ เราเสียอีกที่เป็นคนแย่นะ อย่าไปเที่ยวพูดกับใครอย่างนั้นเป็นอันขาด เขาจะหาว่าเรานี่ไม่ได้ความ ทำอะไรเฉยเมยจนกระทั่งแม่ต้องทวง มันใช้ไม่ได้แล้วนะคนนี้นะ อย่าไปเที่ยวพูดกับใครนะ ว่าคุณแม่ทวงนั่นทวงนี่อย่าไปเที่ยวพูด
ถ้าไปพูดเหมือนประกาศยี่ห้อของเราเองว่า เรานี่มันไม่ได้ความแล้วนี่ ไม่รู้จักรักแม่ ไม่เอาใจใส่ต่อแม่ จนแม่ต้องทวงถามนะ แล้วมันจะได้เรื่องหรือ อย่าไปพูดอย่างนี้กับใคร ไม่ได้ เสียชื่อนะ ทีนี้ถ้าว่ามีขึ้นบ้างก็เราแก้ตัวเสีย มาตอบแทนบุญคุณของคุณแม่ เพราะไม่มีใครที่จะรักเราเท่าแม่ เอาใจใส่เท่าคุณแม่ ลองคิดดู เรามีความทุกข์ความเดือดร้อน ผู้ที่มาถึงก่อนก็คือแม่นะ แม่มาแล้วพ่อตามมาด้วย
แม่ต้องมาก่อน แม่นี่เอาใจใส่ต่อลูกมาก คิดถึงมากตลอดเวลา คนอื่นอย่างนั้นแหละ จะรักก็อย่างนั้นแหละ สามีรักก็อย่างนั้นแหละ ภรรยารักก็อย่างนั้นแหละ รักกันอย่างนั้นแหละ เผลอๆ เดี๋ยวก็ไม่รักแล้วอย่างนี้ก็ได้ แต่แม่นั้นไม่มีวัน มีแต่เรื่องรักอย่างท่าเดียว เอ็นดู กรุณา เขาเรียกว่าเป็นพรหม
แม่นี่เป็นพรหมของลูก เพราะเป็นผู้มีเมตตา ปราถนาความสุขความเจริญแก่ลูกฝ่ายเดียว มีน้ำใจกรุณา พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เมื่อลูกมีความทุกข์ความเดือดร้อนทนไมได้ต้องช่วย มุทิตา ดีอกดีใจเมื่อลูกมีความสุขความเจริญ มีความก้าวหน้าในชีวิตในการงาน อุเบกขานั้นท่านวางเฉย ไม่ใช่เฉยเมยหรือว่าเฉยไม่เอาใจใส่ ไม่ใช่อย่างนั้น เฉยเพราะว่าทุกสิ่งเรียบร้อย ยังไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง
แต่ถ้าพอเกิดปัญหาปุ๊บ ช่วยทันที แม่เข้ามาช่วยทันที อย่างน้อยก็มาพูดปลอบโยน ให้กำลังใจ แนะแนวทางให้เราว่าควรจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร ปัญหานี้อย่างไร ท่านต้องมาช่วย คนอื่นนั้นเขาไม่สนใจเรา แต่คุณแม่ยังสนใจเราอยู่ เอาใจใส่ต่อเราอยู่ อันนี้เราน่าคิดดูว่าความรักของแม่นี่เป็นความรักที่มีราคาสูงสุดในชีวิตของเรา ซึ่งเราหาจากใครไม่ได้
จะไปหาจากผู้ใดใครผู้หนึ่งไม่ได้ มีอยู่ในอ้อมอกของแม่ฝ่ายเดียว ที่เราจะได้จากแม่ของเราเท่านั้น บุญคุณของท่านจึงเหลือล้น ไม่สามารถจะพูดเป็นลายลักษณ์อักษรได้ เขาจึงแต่งคำโคลงไว้ว่า
คุณแม่หนาหนักเพี้ยง พสุธา
คุณบิดรอุจอา กาศกว้าง
คุณพี่ศิขรา เมรุมาศ
คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร
นี่คนที่มีคุณแก่เรา คุณแม่นี่คุณเท่าแผ่นดินนะ ทั้งหนาทั้งหนักเหมือนกับแผ่นดิน พระคุณของแม่นี่ แม่นี่คือแผ่นดินที่เราได้อาศัยว่าอย่างนั้นเถิด คุณพ่อเหมือนกับอากาศกว้าง คุณพ่อก็มาก คุณพี่เหมือนกับภูเขาเมรุมาศ คุณพี่นี่ช่วยเหลือเราแต่ว่าในสังคมในกรุงเทพนี่มองไม่ค่อยเห็นว่าพี่มีบุญคุณต่อน้องอย่างไร แต่ชนบทแล้วก็เห็นง่าย เพราะพี่เลี้ยงน้องนะ
แม่ไปทำงานพ่อไปทำงานพี่ดูแลน้อง ป้อนข้าวให้น้อง อาบน้ำให้น้อง เอาใจใส่ช่วยน้องทุกอย่าง เหมือนอาตมาเมื่อเด็กก็ยังเล็กอยู่ว่าอ้อเรานี่ ว่าคุณพี่นี่ช่วยเราทุกอย่าง ดูแลเอาใจใส่ อาบน้ำให้ หุงข้าวให้กิน คอยดูคอยแลทุกอย่างเลย นี่เรียกว่าเท่าภูเขาเลากา บุญคุณของพี่มีอยู่ตลอดเวลาคอยเอาใจใส่ดูแล อยู่ไกลกันก็คิดถึงกัน มีน้ำใจต่อกัน
ถ้ารู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นกังวลห่วงใย เพราะความสัมพันธ์ทางจิตใจเมื่อเด็ก เคยอาบน้ำให้ เคยป้อนข้าวให้ เคยดูแลนั่นดูแลนี่ เรียกว่าเป็นพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงจริงๆ ไม่ใช่พี่เลี้ยงมวยไม่ใช่ พี่เลี้ยงมวยมันเป็นพี่เลี้ยงเมื่อจะขึ้นชก พอชกเสร็จแล้ว กูแบ่งบ้างโว้ย มันเอาค่าส่วนแบ่ง แต่ว่าพี่นี้ไม่มีเลย ไม่มีเรียกค่าส่วนแบ่งอะไร มีแต่ให้เหมือนกัน จึงเปรียบว่าหนาหนักเท่าภูเขาพระสุเมรุ
คุณพระอาจารย์อ้าง อาจสู้สาคร ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนอบรมบ่มนิสัยเรา ชี้ช่องแนวทางชีวิตให้แก่เราเหมือนกับมหาสมุทร ซึ่งกว้างใหญ่ลึกเหมือนกัน แต่ว่าบุญคุณของคนท่านเปรียบด้วยของหนักของใหญ่ทั้งนั้น เปรียบด้วยแผ่นดิน เปรียบด้วยอากาศ เปรียบด้วยภูเขาพระสุเมรุ ซึ่งมันใหญ่เหลือเกินภูเขาหิมาลัยนี่ แล้วก็สูงจรดฟ้า สูงสุดนะ สูงที่สุดในโลก
คุณมหาสมุทรน่ะเอาไปเปรียบของใหญ่ๆ ว่าชีวิตเรานี่สัมพันธ์กับแต่ละบุคคลซึ่งมีบุญคุณแก่เราทั้งนั้น เราจึงควรจะได้นึกถึง โดยเฉพาะคุณแม่นี่เราควรจะตอบแทนท่านอย่างไร ถ้าดูตามหลักในทางธรรมะ ท่านบอกว่าท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราต้องเลี้ยงท่าน ช่วยทำกิจการงานให้แก่ท่าน ประพฤติตนให้ท่านเบาใจ ประพฤติตนให้สมควรที่จะได้รับมรดกที่ท่านได้ทำไว้ เจ็บไข้ได้ป่วยต้องดูแลรักษา
เมื่อท่านมรณาคือตายไปแล้วเราก็ต้องทำบุญอุทิศให้ท่าน แล้วมีอีกอันหนึ่งว่า ดำรงวงศ์ตระกูลของท่านไว้ไม่ให้ตกต่ำไปเสียเป็นอันขาด นี่เรื่องของการตอบแทน ไอ้เรื่องเลี้ยงนี่มันมีสองแง่ ที่ว่าเลี้ยงแม่เลี้ยงพ่อนี่ เลี้ยงกายกับเลี้ยงน้ำใจ เลี้ยงกายน่ะถือว่าจัดที่อยู่ให้ท่านสบาย มีอาหารที่หลับที่นอน เอาใจใส่ดูแลให้ท่านสบายพอสมควรแก่ฐานะ เรียกว่าเลี้ยงร่างกาย เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาก็เป็นเรื่องของร่างกายเหมือนกัน
ส่วนการเลี้ยงน้ำใจนั้นคือว่าเราอย่าทำอะไรให้ท่านร้อนใจ แต่จะทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่านเบาใจสบายใจ ถ้าจะไปไหนจะทำอะไร จะประพฤติสิ่งใดต้องนึกถึงแม่ไว้ นึกว่าคุณแม่นี่ท่านต้องการอะไร ท่านไม่อยากมีอะไร ไม่อยากเห็นอะไร ไม่อยากพบอะไร เราต้องนึก แล้วเราจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อความประสงค์ของคุณแม่คุณพ่อ แต่จะทำตามที่ท่านประสงค์จำนงหมาย เพื่อไม่ให้ท่านร้อนใจ
เลี้ยงน้ำใจนี่สำคัญกว่าเลี้ยงร่างกายเสียอีก เพราะถ้าใจสบายแล้วไอ้ร่างกายก็พลอยสบาย แต่ถ้าใจท่านไม่สบาย กายท่านจะสบายได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องเลี้ยงน้ำใจด้วยการเอาใจใส่ดูแลรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาท่านแก่ชราต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ อาหารใดท่านชอบต้องพยายามหามาให้ท่านรับประทาน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องดูแลเอาใจใส่
สมัยนี้เขาจ้างนางพยาบาลรักษา แต่นางพยาบาลไม่ใช่ลูกของคุณแม่ ท่านไม่สบายใจเท่าใดหรอก ท่านอยากเห็นหน้าลูก อยากให้ลูกมานวดขามานวดมือ มานั่งใกล้ๆ ถ้าลูกมานั่งใกล้แล้วคุณแม่สบายใจ ไม่ได้สบายใจเรื่องอะไร สบายใจเรื่องว่าลูกยังรักแม่อยู่ ยังเอาใจใส่แม่อยู่ แต่ถ้าเราไม่เอาใจใส่ แม่เสียใจ
เคยมีตัวอย่างลูกเป็นหมอด้วยซ้ำไป แล้วก็อยู่ต่างจังหวัด แม่ป่วยยังไม่ค่อยมาเยี่ยมเลย แล้วเวลาเขียนจดหมายถึงแม่ตัวเองไม่เขียน ให้ภรรยาเขียนมา แม่อ่านแล้วมันไม่ชื่นใจ เพราะภรรยาน่ะมันไม่ใช่ลูกแม่มันลูกสะใภ้ แต่ลูกชายนี่ไม่เขียนเลย แล้วก็ยังไปสั่งเพื่อนว่าไปช่วยดูแลคุณแม่ให้ด้วยนะ เพื่อนก็มาดูแลให้แต่ว่ามันไม่เหมือนลูกของแม่มาดูแล ไม่ไกลเท่าใดความจริงนั่งรถไม่เท่าใดก็ถึง แต่เฉยเมยไม่เอาใจใส่ นี่เขาเรียกว่า คนไม่คิด ไม่ได้นึกถึงว่า น้ำใจของผู้เฒ่าผู้แก่น่ะเป็นอย่างไร น้ำใจคุณแม่นั้นเป็นอย่างไร คนอายุมากก็ขออภัยนะ ถ้าให้เด็กเหมือนกันคือต้องการพี่เลี้ยงต้องการคนอยู่ใกล้ ต้องการคนเอาใจใส่ ทีนี้คนที่จะเอาใจใส่น่ะใคร ก็คือลูกนั่นเอง
ลูกจึงต้องเข้าใกล้ไถ่ถาม พอรู้ว่าป่วยปุ๊บต้องมาทันที มาตรวจตราดูแล แล้วก็ฝากเพื่อนฝากฝูงแต่ตัวต้องมาก่อน แม่ก็ชื่นใจว่าเอ้อ ลูกเรานี่พอรู้ว่าป่วยมันมาทันที ท่านก็สบายใจ นี่ป่วยกี่ปีกี่ปีก็อย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยมาเยี่ยมมาเยียน พอในที่สุดก็แม่ตายไป เลยไปถามพ่อว่าทำไมคุณนายตายแล้ว เขาตายเพราะตรอมใจ ตรอมใจเรื่องอะไร ไอ้ลูกชายมันไม่ค่อยเอาเรื่อง ว่าอย่างนั้น
เมื่อเห็นอย่างนี้ไม่ได้นะ เรามันต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเชียวเรื่องคุณแม่นี่ ขอให้เรานึกว่าถ้าเราป่วยนี่คุณแม่ต้องมาทันที มาดูมาเอาใจใส่ ครั้นคุณแม่ป่วยเราก็ต้องไปเหมือนกัน ต้องดูแลท่านให้ท่านสบายใจ การปฏิบัติดีต่อคุณแม่นั้นเป็นบุญเหลือหลายที่จะช่วยเรานะ คนที่มีความกตัญญูกตเวทีนี่รับรองว่าไม่มีความตกต่ำในชีวิตในการงานย่อมเจริญก้าวหน้า
สังเกตดูเถิดคนที่เจริญทั้งหลายนั้น ล้วนแต่เป็นคนรักแม่รักพ่อ บูชาพ่อแม่เอาใจใส่ต่อพ่อแม่ แล้วเป็นคนที่ไม่ตกต่ำ แต่ถ้าเป็นคนไม่เอาใจใส่ดูแลพ่อแม่มันไปไม่รอด เพื่อนฝูงเขาก็ไม่ค่อยจะไว้ใจ เช่นมาจะมาร่วมหุ้นร่วมค้าร่วมขายนี่ เขาก็ชักจะระแวงอยู่ว่ากับพ่อแม่มันยังไม่เอาใจใส่เลย จิตใจมันไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อย่าไว้ใจนักเรื่องเงินๆ ทองๆ น่ะ มันเสียหายได้นะ เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาจึงสอนนักหนาในเรื่องนี้ สอนให้กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ที่บังเกิดเกล้าเรามา ให้เอาใจใส่เลี้ยงดู ให้มากที่สุดที่จะมากได้ ตามหน้าที่ของเรา อันนี้เรียกว่าเลี้ยงจิตใจของท่าน ทีนี้การประพฤติปฏิบัตินี่ก็ต้องระวัง ถ้าคุณแม่บ่นในเรื่องอะไร เช่น เราเที่ยวมากคุณแม่บ่นว่าหมู่นี้ชักจะเที่ยวมากหยุดได้แล้ว เพียงแต่ท่านบ่นเท่านั้นเราหยุดได้แล้ว
ถ้าท่านบ่นว่าดื่มมากไปนี่หยุดได้แล้ว แปลว่าเหลือทนแล้ว คุณแม่นี่ทนที่สุดแล้วน้ำใจท่านนะ แต่ถ้าบ่นมาอย่างนั้นเราต้องรู้สึกว่าแม่บ่นแล้ว อย่าฝืนดื่มอย่าฝืนเที่ยว อย่าประพฤติอะไรให้คุณแม่ต้องร้อนใจต่อไปมันไม่ดี คุณแม่คนหนึ่งอยู่ที่ …... (43.57) ถนนศาลาแดงนี่ตรงนี้ เขาเล่าให้ฟังว่าลูกชอบเที่ยวกลางคืน
ทีนี้แม่บอกคนใช้นอนให้หมด นอนให้หมด แม่นั่งเฝ้าอยู่ที่บ้าน พอเสียงเปิดกริ๊งที่ประตูแม่เดินค่อยๆ มาถึงเปิดประตูให้ลูก มาเปิดทุกคืนนะ ลูกเลยบอกไม่ไหวแล้ว ถ้าเราขืนเที่ยวอย่างนี้แม่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เลยเลิกเที่ยวไปเลย ตั้งแต่นั้นไม่เที่ยวต่อไปเพราะคุณแม่ต้องมาเปิดประตูเอง นี่เขาเรียกว่าแม่ประท้วงแล้วนะ ประท้วงโดยวิธีมานั่งคอยเฝ้าเปิดประตูให้ลูก ประท้วงลูกนะไม่ให้ลูกเที่ยวต่อไป
ลูกก็ดีพอเห็นว่าแม่มานั่งคอยเฝ้าเปิดประตูดึกดื่น บางทีสองยามแล้วนะ แม่คนอายุมากแล้วยังไม่นอนนี่ แล้วก็เดินมาเปิดแอ๊ด แล้วไม่พูดอะไรนะ ไม่พูดไม่จา เปิดด้วยความสงบเยือกเย็น ผลที่สุดชนะน้ำใจลูก ลูกก็เลยงดเที่ยวตั้งแต่นั้นมาเพราะรักแม่ นี่มันเป็นอย่างนี้นะ แม่ประท้วงแล้ว เราอย่าทำอะไรให้ถึงคุณแม่ประท้วง เพียงแค่ท่านมองก็ต้องรู้ว่าแม่ไม่ชอบ แสดงอาการอะไรออกมาให้เราเห็น แม่ไม่ชอบ
สิ่งใดแม่ไม่ชอบอย่าทำสิ่งนั้นเป็นอันขาดมันไม่ดี แม้เราจะไปไหนอยู่ไกลๆ ก็ตาม เราต้องนึกไว้เสมอว่า เรามาอยู่ไกลนี่แม่เป็นห่วง แม่คิดถึง เราจะไปไหน เราจะทำอะไร จะประพฤติสิ่งใด ก็ต้องนึกว่าจะกระทบกระเทือนน้ำใจของแม่ แล้วเราไม่มีการทำชั่ว คนรักแม่จริงนั้นไม่มีความตกต่ำในชีวิตในการงาน เพราะความรักแม่
แต่ถ้าเราไม่รักแม่นะ ช่างหัว หัวขึ้นเท้าลงตามชอบใจ แล้วมันจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ไปไม่รอด ถ้าเรามีความรักแม่เราระวังเนื้อระวังตัว เราตั้งใจเรียนตั้งใจศึกษาเพื่อให้แม่ชื่นใจให้พ่อชื่นใจ ทำงานแล้วก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ จะประพฤติสิ่งใดก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ เราจะไม่ประพฤติอะไรให้คุณพ่อคุณแม่เดือดเนื้อร้อนใจ แล้วมันจะตกต่ำได้อย่างไร
ความรักแม่มีอยู่อย่างนี้มันไม่มีความตกต่ำ เราเรียบร้อย และถ้าเราประพฤติอย่างนี้นะ เรียกว่าทำตนให้สมควรที่จะได้รับทรัพย์มรดก เรื่องนี้เป็นความทุกข์ของพ่อแม่ ทุกข์ใหญ่อยู่อันหนึ่ง เงินทองหาไว้ ที่ดินที่นาบ้านช่องหาไว้เพื่อใคร เพื่อลูกทั้งนั้นแหละไม่ใช่เพื่อใคร พ่อแม่ทำอะไรนี่เพื่อลูกทั้งนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเองแล้วนะ
ทีนี้ถ้าว่าลูกประพฤติไม่ดีนี่ พ่อแม่ไม่สบายใจ ตายแล้วทรัพย์สมบัติก็จะอันตรธานฉิบหายไปเพราะลูกไม่เอาใจใส่ บางทีคุณแม่จะต้องทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้สภากาชาดหมดเลย ไม่ให้ลูกชายขี้เมาของท่าน หรือไม่ให้ลูกหญิงที่เหลวไหล บางทีไปบ่นนะแหมคุณแม่นี่เหลือเกิน ยกทรัพย์ให้สภากาชาดหมดไม่ให้เราบ้างเลย พูดไม่มองดูตัวเอง เขาเรียกว่าไม่ไปดูกระจกเสียมั่งนี่ว่าตัวน่ะประพฤติอย่างไร
ท่านเห็นแล้วว่าถ้าขืนยกให้ไม่ถึงสามปีมันก็เกลี้ยงตลาดกันเท่านั้นเอง เลยไม่ให้ นี่เรียกว่า เราประพฤติตนให้ไม่เป็นที่ไว้วางใจ อย่างนี้ทำให้ท่านไม่สบายใจ ท่านรักนะ แต่ให้ไม่ได้ ขืนให้ไปก็เดือดร้อนวุ่นวาย เป็นปัญหานะ จึงต้องประพฤติทุกอย่างให้ท่านเบาใจสบายใจ ให้เป็นที่ไว้วางใจว่าแม้เราตายลูกก็ไม่ทำลายทรัพย์สมบัติของเรา สกุลของเราจะตั้งมั่นต่อไป ต้องคิดในรูปอย่างนั้น จึงจะเรียกว่าเป็นการถูกต้อง
ครั้นเมื่อท่านถึงแก่กรรมลงไปก็ทำตามประเพณี เรียกว่าทำบุญอุทิศให้ท่าน แต่ว่าประเพณีนั้นขอฝากหน่อยว่าตัดออกเสียบ้างก็ยังได้ ให้รู้จุดหมายว่าให้เราทำอะไร ให้เราทำตามประเพณีด้วยกัน จุดหมายก็คือว่าให้ทาน ให้รักษาศีล ให้เจริญภาวนา หรือให้ฟังธรรม ให้เผยแผ่ธรรมะให้คนอื่นได้เกิดความรู้ความเข้าใจ
เช่น เราพิมพ์หนังสือแจกในงานศพ นี่เรียกว่าเราช่วยเผยแผ่ธรรมะ แล้วในการทำบุญนั้นก็อยู่ในเรื่องบริจาคทาน อยู่ในเรื่องความมีศีล แต่บางทีมีศีลมันไม่ค่อยมีงานศพ เพราะมีเรื่องสนุกกัน กินเหล้ากัน เมามาย เล่นการพนันกันในงานศพคุณพ่อคุณแม่ เอาปี่พาทย์วงใหญ่ ตีจนกระทั่งไม่มีเวลาหยุดเวลาหย่อน เพราะคนตีก็เมา เจ้าภาพก็เมา เลยสนุกกันใหญ่
เมื่อวานซืนไปเทศน์ที่วัดพระศรีมหาธาตุ งานศพพันโทประเสริฐ สุดบรรทัด เรียบร้อย ได้ที่ศาลานี้เรียบร้อย แต่ศาลาใหญ่นั้นตีปี่พาทย์โหมโรงใหญ่โต พอเทศน์เสร็จแล้วลงมาดู อ้อมันถึงดังกันนักหนา มันรำกัน เข้ามาเห็นแต่งตัวอยู่ข้างหลัง ออกไปรำ พอรำก็ตี รำก็ตี อันนี้ไม่ไหว เราไม่ใช่ตอนแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการเอาไปรำหน้าศพ ศพท่านไม่ดูแล้ว นอนเฉยไม่รู้เรื่องอะไร ไอ้พวกไปในงานมันอยากดูกันเอง สนองตัณหาพวกไม่ตายทั้งนั้น คนตายแล้วไม่รู้เรื่องอะไร แล้วเราอ้างว่าตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ แม่คนเดียวทำให้เต็มที่หน่อย อันนี้มันไม่ถูกเรื่องอย่างนั้นนะ เราทำอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ทำให้เป็นธรรม ให้เป็นเรื่องเป็นราว บริจาคทรัพย์ก็ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ได้ประโยชน์
อย่าเอาไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเจ้าพระยา น้ำพริกครกมันเล็ก แม่น้ำมันใหญ่ มันไม่ได้เรื่องอะไร อันนี้ควรจะตัดๆ ออกไปเสียบ้าง ทำบุญให้เป็นบุญ แล้วก็อย่าทำให้มันรูปที่เรียกว่า ชาวบ้านเขาจะว่า กลัวชาวบ้านเขาจะว่าแล้วฉิบหายทุกรายแล้ว กลัวขี้เมาจะว่า ต้องเลี้ยงเหล้า กลัวนักการพนันจะว่า เปิดบ่อนเล่นการพนัน กลัวคนจะว่าไม่มีลิเก มีลิเก กลัวมันว่าไม่มีโขนเลยเงินทองเยอะแยะ เอาโขนมาเล่น ฉลองศพแม่ นี่มันไม่ได้เรื่องอะไรไม่เป็นการทำบุญที่ถูกต้อง เราต้องทำบุญในแง่ที่เรียกว่าส่งเสริมศีลธรรม ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน อย่าไปปิดหูปิดตาประชาชนในงานทำบุญทำงานศพอย่างนั้น จึงจะเป็นการชอบการควร อันนี้มันต้องช่วยกันแก้ไข
อาตมาพูดอยู่คนเดียวนี่มันจะแย่แล้วเวลานี้ แต่ว่ามีคนเห็นด้วยหลายคนแล้วเวลานี้ เพราะทำแบบง่ายๆ ไม่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย แล้วก็มีการแสดงธรรมในงานศพด้วย คนจะได้ฟัง ได้รู้ ได้เข้าใจ ครั้นเมื่อท่านตายไปแล้วเขาเรียกว่า ให้ดำรงวงศ์สกุลของท่านไว้ ดำรงวงศ์สกุลนี่ดำรงอะไรของพ่อแม่ คือว่าเราสืบทอดคุณงามความดีของท่านไว้
ความดีก็มี ไอ้ความไม่ดีก็มีเหมือนกันพ่อแม่เรา มันเป็นธรรมดา ไอ้ความไม่ดีนี่ถ้าท่านตายแล้วก็ตายไปเลย ให้มันตายไปใส่โลงไปด้วย แต่สิ่งดีงามทั้งหลายที่เรามองเห็นจากท่าน ต้องไว้ เอาไว้ เราต้องคิดถึงนะ คิดถึงว่าคุณแม่เราดีอย่างไร คุณพ่อเราดีอย่างไร มองให้เห็นด้วยน้ำใจ นั่งคิดนั่งนึกบ่อยๆ คนโบราณเขาจึงสอนว่าให้นึกถึงบุญคุณ
นึกถึงบุญคุณหมายความว่า นึกถึงสิ่งที่ดีที่งามของท่านว่ามีอะไรดีบ้าง นิสัยใจคอเป็นอย่างไร มีคุณธรรมอะไร เช่นเป็นคนสงบเยือกเย็น เป็นคนมีความอดทน เป็นคนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นคนเป็นอยู่อย่างประหยัดอดออม มีสินัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนที่เขาลำบากยากแค้น มีศรัทธามั่นคงในพระศาสนา ศรัทธาที่ถูกที่ชอบ ไม่ใช่ศรัทธางมงาย ไม่ใช่อย่างนั้น
เราก็นึกเอามารวมไว้ เอามาเขียนลงในกระดาษเลยก็ได้ ใส่กรอบไว้เลย พระคุณของแม่ของพ่อ ๒ แผ่นนะ สองซีกนะ ซีกนี้แม่ ความดีของคุณแม่ ความดีของคุณพ่อ เรารวมมาเขียนไว้ แล้วก็ใส่กรอบสวยงามเรียบร้อยแทนรูป แทนรูป รูปเฉยๆ ก็ดูอย่างนั้นแหละ แต่เราเขียนความดีของท่านไว้ใส่กรอบ ทำกรอบสวยๆ แล้วก็ติดไว้ที่โต๊ะบูชา
เราไปอ่านบ่อยๆ เวลาเช้าตื่นขึ้น ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ คือไปอ่านความดีของท่าน แล้วเราตั้งจิตอธิษฐานว่า วันนี้ข้าพเจ้าจะดำรงชีวิตอยู่เหมือนพ่อเหมือนแม่ เราก็เรียกว่าอยู่กับท่าน ท่านก็อยู่กับเราไม่ได้จากเราไป ไอ้ร่างกายนี่มันเรื่องธรรมดามันของแตกได้นี่ เน่าได้นี่ เสียหายได้นี่ แต่ความงามความดีนั้นเราไม่ยอม ไม่ยอมให้แตกให้หาย ให้หมดไปจากจิตของเรา
เราจะต้องรวบรวมเอาไว้ แล้วเรานึกถึง นึกถึงแล้วเอามาปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติตามคุณงามความดีของคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ตายไปจากเรา ท่านอยู่กับเรา พ่อแม่แท้ของเราก็คือพระธรรม คือความดีนั่นแหละ ความดีที่มีอยู่ในตัวท่านน่ะคือเนื้อแท้ที่เราจะเอามาใส่ไว้ในใจเรา สืบมรดกตกทอดไว้ เรามันมักจะชอบมรดกวัตถุนี่ อยากจะได้เงิน อยากจะได้เพชรนิลจินดา ที่นาที่สวนของท่าน เอามาไว้ แย่งกัน ฟ้องกันขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ไม่เห็นใครแย่งเอาความดีจากคุณพ่อคุณแม่มาใส่ใจเลย ถ้าเอาความดีมาใส่มันก็ไม่ทะเลาะกันน่ะสิ พี่กับน้องก็ไม่ทะเลาะกัน เพราะต่างคนต่างเอาความดีของแม่มาไว้ของพ่อมาไว้ ใจมันก็เป็นธรรม ไม่มีการทะเลาะกัน แต่ที่ทะเลาะกันนั้นลืมนึกถึงความดีของพ่อของแม่ นึกถึงแต่เพชรเม็ดนั้น นาตรงนั้น ตึกตรงนั้น เอาแต่เรื่องวัตถุ เลยไม่ตกลงกัน เอ้าขึ้นโรงขึ้นศาล
พี่กับน้องตกลงกันไม่ได้ ก็ให้คนอื่นมาช่วยจัดให้นี่มันแย่เต็มทีแล้วนะ ในครอบครัวนั้นในวงตระกูลนั้นนะ นั่นมันแย่เต็มที่แล้ว แล้วจะอยู่กันอย่างไร หันดูหน้ากันไม่ได้แล้ว โกรธกันแล้วนะ โกรธกันเรื่องอะไร เรื่องวัตถุทั้งนั้นโกรธกันเรื่องวัตถุ อย่างนี้ไม่ได้ขายหน้าชาวบ้าน เราอย่าไปแตกแยกกัน คนเขาจะดูหมิ่น
เราต้องรักใคร่กัน มาพูดกันเบาๆ ค่อยๆ นั่งคุยกัน กินขนมคุยกัน อย่ากินเหล้าคุยกัน พอกินเหล้าแล้วลืมพ่อลืมแม่เหมือนกัน อันนี้ไม่ได้ กินขนมอร่อยๆ ขนมที่คุณแม่ชอบเอามากินกัน เลี้ยงกัน คุยกัน แล้วก็ปรึกษาหารือกัน พี่ว่าอย่างไร น้องว่าอย่างไร ตกลงกันเองอย่าไปอื้อฉาว จะต้องไปหาทนาย ไอ้คนโง่ๆ นี่ชอบไปหาทนายให้ตัดสิน คนฉลาดเขาตัดสินเอาเองทั้งนั้นแหละ เรื่องมันก็เรียบร้อย นี่อันนี้สำคัญ
สิ่งใดที่เป็นความงามความดีของพ่อแม่ รับมาให้หมด เอามาใส่ไว้ในใจของเรา สอนลูกให้ปฏิบัติต่อไป สอนหลานให้ปฏิบัติต่อไป อย่างนี้แล้วรับรองว่าไม่มีเสื่อม ครอบครัวนั้นไม่มีเสื่อม สกุลนั้นไม่มีเสื่อมมีแต่ความเจริญตั้งมั่น เพราะมีคุณพ่อคุณแม่คือพระธรรมคุ้มครองรักษาสิ่งทั้งหลายก็เรียบร้อย ขอให้ญาติโยมคิดอย่างนี้
ตอนสุดท้ายก็คือว่าวันแม่นี่ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เราก็ถือว่าเป็นเจ้าแม่ของประเทศไทย เพราะว่าได้ทรงบำเพ็ญพระองค์เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เหมือนกับที่ในหลวงได้กระทำ ในหลวงไปไหนพระบรมราชินีนาถท่านก็เสด็จไปที่นั่น ไม่ได้ไปเฉยๆ ไปเห็นอะไร เขาทำอะไรก็ทรงส่งเสริมสนับนุน เรียกว่าศิลปาชีพตั้งมูลนิธิอะไรขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทอผ้า การจักสาน การอะไรต่างๆ ของชาวบ้าน เพราะชาวบ้านทำแล้วขายไม่ออก เขาก็เลิกกัน คนไทยเราไม่สามารถทำแล้วมันขายไม่ออกเลย ไม่คุ้มค่าแรงเลยก็เลิกกัน แต่ว่าท่านไปส่งเสริม แล้วก็รับซื้อของนั้นมา เอาไปขายในเมืองไทย ส่งไปขายต่างประเทศ เอาไปอวดชาวต่างประเทศ
ท่านเสด็จไปต่างประเทศก็นุ่งผ้าไหมแบบไทยไปให้เขาดู นุ่งซิ่นประเภทที่เขาเรียกว่าอะไร มัดหมี่ อะไรอย่างนี้นะให้แหม่มดูแหม่มชอบใจ ถามถึง มีเมืองไทยมีเยอะแยะ จะเอาสักเท่าไรก็ได้ ท่านตั้งโรงส่งเสริมไว้แล้ว คนได้ทอผ้าอย่างนั้น คนได้ทำกระเป๋าอย่างนั้นอย่างนี้ ทรงเอาไปขายได้ ส่งเสริมให้คนไทยมีอาชีพ ได้ทำส่วนดีส่วนงามต่อไป จึงนับว่าเป็นพระแม่อยู่หัวของชาวเราทุกถ้วนหน้า
เราทั้งหลายก็ระลึกถึงท่าน แล้วเมื่อระลึกถึงควรจะทำอะไร ควรจะบริจาคทรัพย์ช่วยกัน เล็กๆ น้อยๆ ทางราชการจะขอคนละหนึ่งบาท ความจริงมันนิดเดียวคนหนึ่งหนึ่งบาทนี่ ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้หนึ่งบาท แต่เขาขอน้อยๆ เพราะนึกว่าคนตั้ง ๔๐ ล้าน ๔๐ ล้านนี่ไม่ใช่ได้ให้ทุกคน บางคนไม่มีจะให้ แต่คิดแล้วอย่างน้อยก็ได้สักครึ่งหนึ่ง ก็ได้เงินมากมาย เอาไปตั้งเป็นมูลนิธิ ส่งเสริมอาชีพต่อไป
จึงขอให้ญาติโยมช่วยกันบริจาคไปตามเรื่อง รวมๆ กันแล้วเอาไปบริจาคที่ไหนก็ได้ที่กรมการอะไรที่เขาตั้งตามอำเภอต่างๆ ถ้าไม่ไว้ใจว่าเขาจะทำอีลุ่ยฉุยแฉก เราก็เอาไปถวายถึงที่เลย เข้าไปเลย เห็นคนเอาไปถวายบ้างแล้วนี่ ไอ้ที่ไปถวายถึงพระหัตถ์ไม่ใช่เรื่องอะไร กลัวมันจะหายกลางทาง เหมือนกับส่งก้อนน้ำแข็งนะ แรกๆ ก้อนใหญ่ รับกันไปรับกันมา พอถึงนายนิดเดียวเหลืออยู่เท่าปลายก้อยเท่านั้นเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไหว เรียกว่ามันละลายหายไปเสีย ไอ้นี่ก็เรียกว่าไม่เดินตามทางของพ่อแม่อีก มันถึงยุ่งกันอย่างนั้นแหละ ถ้าเราเดินตามทางพ่อแม่มันก็ไม่สูญไม่หาย ไม่เสียหายเดือดร้อน
ทีนี้ถ้าว่าโยมจะทำให้ดีก็เอามารวมไว้ตรงนี้ก็ได้ใส่บนพานนี่ แล้วก็จัดเอาไปถวายท่านก็ได้หรือว่าให้คนพาไป มอบไปตามเรื่องตามราว ส่งสำนักงานราชเลขาธิการไปเลยทีเดียว มันไม่ยากไม่มีปัญหาสุดแล้วแต่โยมจะพิจารณาในเรื่องนี้ เพราะว่าวันที่ ๑๒ นี่เป็นวันแม่ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จด้วย
เราก็แสดงความชื่นอกชื่นใจกัน เพราะท่านทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ ท่านไม่อยู่นิ่งอยู่เฉย คนที่รักชาติรักบ้านเมือง แล้วก็ช่วยชาติช่วยบ้านเมืองนี่ เราควรจะเคารพท่าน บูชาท่านตามสมควรแก่ฐานะ เพราะถือว่าเป็นแม่ของประเทศคนหนึ่ง ดังที่กล่าวมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติเรื่องเกี่ยวกับแม่ไว้แต่เพียงเท่านี้ แต่ว่าตอนบ่ายนี้มีอีก ตอนบ่ายมีอภิปรายศาสนาพุทธ หลวงตา …... (60.29) วัดประยูรวงศ์ ญาติโยมนั่งสงบใจ นั่งสงบใจวันนี้เชิญนึกถึงพระคุณของแม่เป็นเวลา ๕ นาที