แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา เราทั้งหลายที่มาฟังธรรมกันในวันอาทิตย์ ก็มีจุดหมายสำคัญอยู่ที่ตัองการความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมะในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าการนับถือพระพุทธศาสนานั้น เราต้องนับถือด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจในศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ใช่นับถือกันตามพิธีการหรือตามธรรมเนียมที่เคยประพฤติปฏิบัติกันมา เพราะว่าการกระทำอย่างนั้นเป็นการเสี่ยงต่ออันตรายทางด้านจิตใจอยู่มาก แต่ถ้าเรานับถือศาสนาด้วยปัญญา คือมีความรู้ ความเข้าใจ ในหลักคำสอนถูกต้อง การปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ก็เป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบและไม่มีความเชื่อผิดเกิดขึ้นในใจ เพราะเรารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรตรงกับคำสอนหรือไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องสำคัญในการนับถือพระศาสนา เพราะถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจชัดเจนแล้ว การนับถือก็จะเป็นเรื่องงมงายไป ดังที่ปรากฏอยู่ทั่วๆไป ว่าผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนายังมีการกระทำอะไรที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสารอยู่มาก ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่าคนไปจับปลาไหลที่แห่งหนึ่งที่มันอยู่ใกล้กับศาสเจ้า แล้วก็บังเอิญคนนั้นเป็นอะไรขึ้นมาก็ตายไป คนก็นึกว่าปลาไหลนั้นทำให้คนตาย ก็เลยไปไหว้ไปบูชากัน เอาอะไรๆไปเคารพปลาไหล แล้วคนขายหวยก็เอาหวยไปขายเอาเบอร์ไปขายกันเป็นการใหญ่ คนก็ไปกันใหญ่แตกตื่นกัน ไปไหว้ปลาไหลกัน
นี่คือความรู้ชนิดหนึ่งที่มันเกิดขึ้นโดยไม่ได้สาวหาเหตุผลว่าคนที่ตายนั้นมันเพราะอะไร ปลาไหลทำให้ตายได้หรือ หรือว่าเพราะเชื้อโรคเพราะอะไรเกิดขึ้นในตัวบุคคลนั้น ไม่ได้ศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุของเรื่อง เลยทึกทักเอาว่าปลาไหลนั้นศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดช ทำคนให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ก็ได้ ก็เลยไปไหว้เคารพปลาไหลกัน อาการกระทำเช่นนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันในสมัยนี้ มันเป็นเรื่องเมื่อถอยหลังไปสัก ๑,๕๐๐ ปีอะไรอย่างนั้น แต่ว่าสมัยนี้คนเรามีการศึกษา มีปัญญา มีเหตุมีผล ในเรื่องการดำเนินชีวิตมากมาย ก็ไม่น่าที่จะตื่นเต้นกันถึงขนาดอย่างนั้น แต่ว่าจะไปว่าเขานักก็ไม่ได้ เพราะว่าคนพวกนั้นไม่ได้รับการศึกษาธรรมะในแง่ที่ถูกที่ชอบ ไม่ว่าเขาจะไปวัดไปวากันอยู่ แต่ก็ไปตามธรรมเนียม วันตรุษ วันสารท วันเข้าพรรษา ก็ไปวัดกัน แต่ไม่ได้ไปเพื่อการศึกษา หาความรู้ความเข้าใจ พระสงฆ์องค์เจ้าเราที่อยู่วัดก็เหมือนกัน ไม่พยายามที่จะสอนคนให้เกิดปัญญา ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ บางทีพระเราก็พลอยตกกระไดพลอยโจนไปเสียด้วย เห็นญาติโยมชอบอะไรก็พลอยเฮโลชอบตามไปด้วย เป็นการกระทำที่ขัดต่อสัจธรรมในทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่มีกันอยู่ทั่วๆไป เดี๋ยวเกิดขึ้นที่นั่น เดี๋ยวเกิดขึ้นที่นี่ อะไรต่างๆ อันนี้ก็เพราะว่าขาดปัญญาก็คือความรู้ ความเข้าใจในหลักคำสอนนั่นเอง จึงเป็นความจำเป็นที่เราจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจกันในเรื่องหลักธรรมะของพระพุทธเจ้าเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรควรเชื่ออะไรไม่ควรเชื่อ อะไรควรถือ อะไรไม่ควรถือจะได้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง การปฏิบัติตนก็จะก้าวหน้าไปในทางที่ถูกที่ชอบตามแนวทางของพระพุทธศาสนาได้
ญาติโยมทั้งหลายที่มาฟังธรรมที่วัดนี้ บางคนก็เรียกว่าฟังกันมาหลายปีแล้ว ก็คงจะดีขึ้นเป็นกอง ความเชื่อเหลวไหลหายไป ความอะไรๆต่างๆงมงายทั้งหลายก็เบาไปจางไป เราจะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้ามากขึ้น อยู่ใกล้พระธรรมพระสงฆ์มากขึ้น นับว่าเป็นความก้าวหน้าในการศึกษาธรรมะอย่างหนึ่ง แต่ว่าเราจะทำเพียงลำพังผู้เดียวนั้นก็ไม่ได้ เราต้องชักชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ให้มาศึกษาร่วมกัน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ หรือว่าเรามีโอกาสพบปะสนทนากับใคร เราก็ควรจะสนทนาในรูปที่ทำให้เขาลืมหูลืมตา ให้เขาได้ปัญญา ได้ความเข้าใจถูกต้องตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา อย่าพูดให้งมงาย ให้เชื่อผิด ให้ห่างออกไปจากแสงสว่างคือธรรมะของพระพุทธเจ้า อันนี้ก็จะชื่อว่าเป็นการกระทำที่ชอบที่ควร เป็นการช่วยกันเผยแผ่หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นไป นี่ประการหนึ่ง ขอให้ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าใจไว้ ทีนี้คำสอนของพระพุทธศาสนานั้นสอนเรื่องอะไรมาก ถ้าจะตั้งปัญหาถามขึ้นในรูปอย่างนี้ ก็ตอบได้จากพระพุทธ ภาษิตที่พระองค์ตรัสกล่าวกับภิกษุทั้งหลายบ่อยๆว่า ในกาลก่อนก็ดี ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลต่อไปข้างหน้าก็ดี ตถาคตสอนเรื่องเดียวที่สำคัญ เรื่องนั้นก็คือความทุกข์และความดับทุกข์ได้ ความทุกข์และการดับทุกข์ได้นี่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคสอนให้เราศึกษา ทำความเข้าใจและปฏิบัติตนเพื่อให้ถึงความพ้นทุกข์ในชีวิตประจำวัน
อันนี้เรื่องความรู้ในเรื่องความทุกข์ เหตุที่จะให้ทุกข์เกิดขึ้น ความทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้และแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้ถึงความดับทุกข์นั้นไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราท่องจำหลัก ๔ ประการนี้ แล้วก็เป็นอันใช้ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น การเรียนการท่องจำนั้นเป็นเรื่องของการศึกษา ถ้าพูดตามในแนวธรรมะก็เรียกว่าเป็นเรื่องปริยัติหมายความว่าศึกษาเล่าเรียนทำความเข้าใจในเรื่องนั้นว่ามันคืออะไร เพียงเท่านั้นไม่พอ แต่เราจะต้องก้าวต่อไปอีกก้าวหนึ่ง การก้าวต่อไปก็คือการลงมือปฏิบัติ เรียกว่าปฏิปัติธรรม หมายว่าลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติทางกาย ปฏิบัติวาจา ปฏิบัติกายจิตใจตามแนวทางที่เราได้รู้ได้เข้าใจแล้วนั้น ถ้าเมื่อเราปฏิบัติแล้ว (08.24 เสียงไม่ชัดเจน) คือผลอันเกิดขึ้นจากการปฏิปัติก็จะเกิดแก่ตัวผู้นั้น เรื่องผลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร หรือว่าเป็นไปในเรื่องใดเราบอกไม่ได้ แต่บอกได้ว่ามันต้องเกิดผลเพราะเมื่อเรามีการกระทำก็ย่อมจะมีผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ทำอย่าใดก็จะต้องมีผลอย่างนั้นเราจะหนีจากผลนั้นไปไม่ได้ ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ผลก็เป็นไปในทางสุข ถ้าเราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ผลก็เป็นไปในทางทุกข์ ทางเดือดร้อน เรื่องผลนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดแน่ๆ เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราที่จะพึงกระทำ ก็คือศึกษาให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติตามสิ่งที่เราได้ศึกษานั้น เช่น เรื่องของความทุกข์ เราจะต้องศึกษาให้รู้ว่าความทุกข์นี่มันคืออะไรแล้วก็เหตุมันอยู่ที่อะไร ทุกข์เป็นเรื่องแก้ได้ เราจะแก้ได้โดยวิธีได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
เรื่องของความทุกข์ที่เรามักจะพูดกันก็พูดตามแบบที่เราสวดมนต์ เช่นพูดเรื่องชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชะราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ อะไรอย่างนี้ พูดกันตามแบบฉบับที่ท่านวางหลักไว้ อันนั้นมีอยู่แล้ว ซึ่งถ้าเราคิดไปลึกซึ้งมันก็จะเข้าใจ แต่ว่าในเรื่องของวิชานี้ วิชาเรื่องความทุกข์ในการดับทุกข์ได้นี่ เป็นเรื่องที่เราจะต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเรียกว่าประยุกต์ เราเรียกในสมัยนี้ว่าประยุกต์ คือ เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมะหรือคำสอนที่เราไม่สามารถจะนำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรแก่เรา เพราะว่าไม่สามารถจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันประโยชน์มันก็ไม่มี ทีนี้พระพุทธศาสนาของเรานั้นเป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคสอนให้เรานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน คือใช้ทุกวันทุกเวลาในการดำเนินชีวิตของเราเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ ถ้าเผลอไปมันเกิดขึ้น เราก็จะได้มีการแก้ไข ไม่ให้ความทุกข์นั้นมันตั้งอยู่นานๆในจิตใจของเรา การเอามาใช้อย่างนี้เรียกว่าประยุกต์ใช้ แล้วในชีวิตของคนเรานั้นเรามีความทุกข์หรือเปล่า มีอะไรเป็นปัญหาอยู่ในจิตใจของเราหรือเปล่า เราลองคิดดู ถ้าคิดพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็จะมองเห็นว่ามันมีเรื่องที่เป็นปัญหาเป็นความทุกข์เป็นความเดือนร้อนใจอยู่ แต่ว่าบางทีมันก็จางไปเองของมันคือว่ามันหมดเชื้อ แล้วมันก็ดับไปเอง การปล่อยให้มันดับไปเองนั้นยังไม่ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เช่นความโกรธเกิดขึ้นแล้วก็มันจางไปเพราะอารมณ์ที่ทำให้โกรธมันไม่อยู่เฉพาะหน้า แล้วความโกรธนั้นก็หายไป หรือความเกลียดเกิดขึ้น เกลียดวัตถุอันใดพอวัตถุอันนั้นเคลื่อนหายไปจากสายตา จากแนวทางของเรา เราก็หายโกรธ การหายโกรธหายเกลียดในรูปนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นอยู่ในชีวิตของเรา ยังไม่ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรม ยังไม่ชื่อว่าเป็นการใช้ปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหานั้นให้ดับให้หายไป เรียกว่ายังไม่ดี เพราะมันหายไปเอง มันดับไปเอง เช่นว่าเราเสียใจอะไร แล้วก็มันหยุดไปเอง มันไม่ได้หยุดด้วยปัญญา เผลอๆ มันเกิดขึ้นอีกเมื่อใดก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงแสดงละครซ้ำซาก ในเรื่องความโกรธ ความรัก ความเกลียด ความริษยา ความพยาบาท อะไรต่างๆ หรือว่าความวุ่นวายทางจิตใจ ร้อนอกร้อนใจ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เรามีการแสดงซ้ำๆซากๆ กันอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ไขปัญหานั้น ปัญหานั้นมันก็เกิดดับเกิดดับอยู่ในจิตใจของเรา ทำให้เราสับสนวุ่นวายอยู่ด้วยประการต่างๆ ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น มันเป็นปัญหาอยู่อย่างนี้
ทีนี้ผู้ที่ใช้ธรรมะ คือเมื่อเกิดขึ้นมาก็ต้องหยิบธรรมะมาใช้ คล้ายๆกับว่าเรามียาอยู่ใกล้ พอมีอาการมึนหัว มัวตา ทำท่าจะเป็นลมขึ้นมาแล้วหยิบยามากินขึ้นไป ไอ้ความจะเป็นลมนั้นมันก็หายไป ไม่ใช่ว่าปล่อยมันหายไปเองตามธรรมชาติ อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ต้องใช้ยาเพื่อแก้ไขฉันใด ธรรมะนี่ก็เรียกว่าเป็นโอสถ เรียกว่าเป็นธรรมโอสถ เป็นยาแก้ไขปัญหาชีวิต เราก็ต้องมีความว่องไวในการที่จะหยิบยานั้นมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทันท่วงที มีอะไรเกิดขึ้น เราหยิบยามาใช้ได้ทันที ปราบมันได้ทันที สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เรา และเมื่อมันไม่เกิดแล้ว เราก็ยังใช้ปัญญาคิดค้นต่อไป เพื่อแก้ไขรากฐานส่วนลึกของปัญหา ไม่ให้มันก่ออะไรเกิดขึ้นในใจของเราอีกต่อไป นั่นแหละเรียกว่าเป็นการปฏิบัติตามแนวธรรมะที่พระผู้มีพระภาคสอนไว้ และเรียกว่าเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าเราใช้ในรูปอย่างนี้ เราจะรักพระธรรมมากขึ้น เราจะรักพระพุทธเจ้ามากขึ้น รักเพราะอะไร เพราะว่าเราได้ประโยชน์จากพระธรรมเหลือหลาย เราได้ประโยชน์จากพระผู้มีพระภาคที่ได้ประกาศธรรมะไว้ ให้เราได้เอามาใช้แก้ไขปัญหาชีวิตของเรา เราก็จะมีความเลื่อมใส มีความศรัทธามากขึ้น แต่ถ้าเราไม่ใช้ เราไม่เห็นประโยชน์ของธรรมะว่าให้ประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไร ความเลื่อมใสศรัทธา มันก็ผิวเผิน ไม่ลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจเท่าไร หลักการมันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจว่า วิชาการทั้งหลาย ในเรื่องการเอามาใช้ในการแก้ไขชีวิตประจำวันนั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องพยามเอามาใช้ ทำให้มากๆ บ่อยๆ แล้วเราจะมีความคล่องตัว เรียกว่าคล่องตัว หมายความว่าทำได้ทันท่วงที พออะไรเกิดขึ้นมันก็ทำได้ทันท่วงที เข้าใจวิธีการแก้ไขสิ่งนั้นทันท่วงที อันนี้เป็นเรื่องของการปฏิบัติเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเราประการหนึ่ง
ทีนี้อีกประการหนึ่ง เรื่องของความทุกข์นี่ เราจะต้องคิดให้มันละเอียด คิดถึงความทุกข์ในชีวิตประจำวันที่มันเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวไปมากมายก่ายกอง พระพุทธศาสนาสอนว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นจึงจะพ้นทุกข์ได้ ถ้าไม่รู้จักทุกข์คนนั้นพ้นทุกข์ไม่ได้ คล้ายกับว่าเราไม่รู้จักเสือ เรานึกว่าแมว เราก็เข้าไปจะเกาคางมัน มันก็ตะปบเอาเท่่านั้นเอง เพราะเราไม่รู้ว่ามันเป็นเสือ แต่ถ้าเรารู้ว่า โอ้ ไอ้นี่มันเสือเว้ย เราก็ไม่เข้าใกล้ เราเดินห่างๆหรือว่าหาต้นไม้พอจะเป็นที่พึ่งได้ก็รีบปีนป่ายขึ้นไปให้มันสุดยอดกันเลย อย่าให้เสือปีนขึ้นไปจับเราได้ นี่ก็เพราะว่าเรารู้จักมันว่านั่นคือเสือ นั่นงูร้าย นั่นเสือร้าย ที่มันจะทำร้ายเรา เราก็หลีกหนีให้ห่างไกล สิ่งเรานั้นก็ไม่ทำลายเราได้ฉันใด ในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ เราก็ไม่คิดหนีทุกข์ เราก็คลุกคลีอยู่กับความทุกข์เรื่อยไป อยู่ไปจนชินชากับความทุกข์ไปเสีย คล้ายกับตัวหนอนที่เกิดในที่สกปรก มันไม่รู้สึกว่าสกปรกอะไร เพราะมันอยู่อย่างนั้น เกิดมาก็เห็นอย่างนั้น อย่าว่าหนอนเลย แม้คนเรานี่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าอยู่ในที่สกปรกแล้ว มันไม่ค่อยจะรู้จักความสะอาด ไม่สนใจในการที่จะรักษาตัวให้สะอาด มีเด็กสองคน พ่อเขาเป็นคนประเภทเที่ยวขอกิน นอนคลุกอยู่ตามที่ต่างๆเหมือนคนขอทั่วไปนั่น แล้ววันหนึ่งพ่อตาย ประชาสงเคราะห์ก็มาเก็บเด็กสองคนนั้นไป แล้วเห็นว่าเป็นเด็กผู้ชาย เลยมาถามเจ้าคุณที่วัดแจ้งที่สงขลา บอกว่าเจ้าคุณจะเอามั้ย เด็กชายสองคนนี่ หน้าตามันน่าเอ็นดู เอาไปเลี้ยงไว้ดูสิ เผื่อมันจะได้อะไรดีบ้าง ก็เอามาเลี้ยงไว้ ทุกครั้งที่ไปเห็นเด็กนั้น มันอยู่ในสภาพเดิมนั่นแหละ คือมันไม่สะอาดขึ้นเลย แล้วมันไม่ขยันในการศึกษาเล่าเรียน มันไม่ค่อยอาบน้ำ กางเกงถ้าให้ใส่ใหม่ มันใส่เรื่อยไป จนกระทั่งมอซอเลยนะ ดำเลย ถ้าบอกว่าให้ซักมันจึงไปซักกันเสียทีหนึ่ง ซักแล้วมันก็ทีเดียวแล้วมันก็นุ่งดำต่อไป มันไม่เคยมองว่าไอ้กางเกงนี้มันสกปรกเต็มทีแล้วที่มันใช้อยู่นี้ ที่หลับที่นอนมันก็เหมือนกันนะ มันไม่กวาดนะ ถ้าเราเดินเข้าไปยังรำคาญเท้าเลยเพราะว่าทรายมันเยอะ ขี้ฝุ่นมันเยอะ แต่มันนอนเฉย นอนหลับสบาย ทำไมมันเป็นอย่างนั้น มันเกิดมาอยู่ในสภาพเช่นนั้น มันพบเห็นสิ่งนั้นแล้วมันก็อยู่อย่างนั้น มันพอใจอย่างนั้น มันไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งสกปรก มันไม่รังเกียจ มันหลับมันนอนได้สบาย เพราะมันไม่รู้ว่าสกปรกนั่นเอง
ข้อนี้ฉันใดเป็นคำเปรียบเทียบให้เห็นว่าคนเรานี่ก็เหมือนกันแหละถ้าเรามองไม่เห็นว่ามันเป็นความทุกข์ เป็นความเสียหาย เราก็ไม่เบื่อหน่าย ไม่อยากจะออกไปจากสิ่งนั้น ยังอยากพอใจจะอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป เพราะฉะนั้นจึงมีคนเป็นจำนวนมากที่จมอยู่ในกองทุกข์ อันเกิดขึ้นจากการกระทำในรูปต่างๆ ดังที่เราเห็นกันทั่วๆไป เขาจมปลักอยู่ในกองทุกข์นั้นนะ ไม่ขึ้นไม่ไปไหนใครไปชักไปจูงก็เฉยๆ ไม่อยากจะไป มันพอใจอย่างนั้นเพราะขาดปัญญา ไม่มีแสงสว่างเกิดขึ้นในใจ ยังไม่รู้ว่าตัวคืออะไร อยู่กับอะไร และสิ่งนั้นมันคืออะไร เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ ความคิดที่จะหนีมันก็ไม่มี คนที่จะหนีทุกข์ได้ก็เพราะว่ามองเห็นว่าเป็นทุกข์ ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะท่านจึงออกจากวังไปอยู่ในป่า ไอ้ความจริงอยู่ในวังนั่นก็สบายแล้วนะ นี่ถ้าสมมติว่าเขาประกาศว่า ใครสมัครจะไปอยู่ในวังบ้าง มีเงินเดือนกิน มีที่อยู่อาศัยสะดวกสบาย คนอยากแข่งสมัครกันเป็นการใหญ่ เหมือนจะสมัครชิงส.จ.กันในวันนี้ที่เขาเลือกกันแล้ว ไปสมัครกันเยอะแยะ สมัครกัน แข่งกัน ยิงตายไป ๙ รายแล้ว ยังจะตายอีกไหมวันหลังน่ะ บางทีใครได้ก็อาจจะตายต่อไปอีกก็ได้นะ ทำไมอย่างนั้น คนเขาชอบจะไปกัน ชอบจะเป็นอย่างนั้น เขาไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์ เห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสบายอะไรไปต่างๆนานา จึงได้ขวนขวายแสวงหา แต่ว่าทำไมเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเป็นคนมีจิตไม่เหมือนใครๆในโลกนี้ จะเบื่อหน่าย ไม่พอใจการอยู่ในวังซึ่งมีความสุขสบายเหลือเกิน อยู่ในปราสาทอันเหมาะแก่ฤดูกาลทั้งสาม บำรุงบำเรอด้วยสิ่งที่เป็นเครื่องอำนวยความสุขทุกประการ ถ้าเป็นเราๆ ท่านๆ ก็ไม่ไปแล้ว ไม่ออกแล้ว คงจะจมอยู่นั่นนะ ไม่ออกมาแล้วก็พยามเข้าไปอีกเพื่อจะไปหาความสุขตามแบบที่เขาต้องการกัน มันเป็นอย่างนี้ นี่มันมีอยู่ทั่วไป
แต่ว่าเจ้าชายท่านมองไปอีกอย่างหนึ่ง คือท่านมองเห็นความทุกข์นั่นเอง เห็นความทุกข์ของประชาชน เห็นความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจากอะไรต่างๆที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เห็นว่าความเกิดนี่มันเป็นเรื่องความทุกข์ ความแก่ก็เป็นความทุกข์อะไรท่านมองเห็น มองเห็นแต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะออกจากทุกข์นี้ได้อย่างไร ความคิดที่จะออกมันมีอยู่ ที่จะออกแสวงหาความดับทุกข์ มันกรุ่นอยู่ในใจของท่าน รุนแรงมากขึ้น รุนแรงมากขึ้นจนอยู่ในวังไม่ได้ ความคิดมันรุนแรงจนอยู่ในวังไม่ได้ ต้องออกป่า ออกป่าไปเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์ แต่การออกป่าของพระองค์ไม่ใช่เหมือนการออกป่าของคนหนุ่มๆสมัยนี้ ที่อยู่ในเมืองมันรำคาญก็เลยไปอยู่ป่า ซ่องสุมผู้คนแบกปืนเข้าไปเที่ยวทำอะไรต่ออะไรให้คนเดือดร้อน นั่นมันออกไปหาทุกข์ ไม่ได้ออกไปเพื่อดับทุกข์ ไม่ใช่ เจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่ออกรูปนั้น ท่านออกไปเพื่อหาทางดับทุกข์ แล้วไม่ทำใครให้เดือดร้อน ไม่ได้ไปซ่องสุมผู้คนเพื่อหาความวุ่นวายให้แก่ใครๆ แต่ว่าไปนั่งคิดนั่งค้นอยู่คนเดียว อย่างดีก็ไปศึกษาจากคนที่เขามีประสบการณ์ มีความชำนาญในเรื่องนี้มาก่อนเพื่อทดสอบว่ามันจะเป็นทางแก้ทุกข์ได้หรือไม่ ครั้นทดสอบไปๆไม่ได้เรื่อง ออกจากอาจารย์นี้ไปสู่อาจารย์อื่นต่อไป เที่ยวทดสอบอยู่หลายสำนักที่เขาเล่าลือกันว่าเก่ง ว่าดี แต่ผลที่สุดก็ใช้ไม่ได้ เลยไม่เอาล่ะ ไปหาใหม่ ค้นไปศึกษาไป เอาป่าเป็นห้องทดลอง เอาชีวิตเป็นเครื่องมือ เป็นเดิมพันว่าอย่างนั้น ผลที่สุดก็ค้นพบความจริงอันเป็นทางที่จะพ้นทุกข์ได้ ทดสอบด้วยพระองค์เองว่าพ้นทุกข์ได้แล้ว ไม่มีความทุกข์ในจิตใจ เพลิงกิเลสหายไป เพลิงทุกข์มันก็หายไป พอใจว่ารู้แล้ว จึงได้เรียกว่าเป็นพุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีความเบิกบานแจ่มใส อยู่ตลอดเวลา แล้วก็เอาธรรมะนั้นมาสั่งสอนชาวโลกต่อไป อันนี้คือตัวอย่างบุคคลที่มีความทุกข์แล้วก็หนีทุกข์ออกไปอยู่ในป่า
อันนี้เราดูชีวิตของคนอื่นบ้าง เช่นว่าพระยสนี่ พระยสก็เป็นลูกเศรษฐีในเมืองพาราณสีเหมือนกัน วันหนึ่งตื่นขึ้นกลางดึกเห็นพวกสาวใช้มานอนเก้งก้าง คือนอนไม่เรียบร้อย นอนคว่ำ นอนตะแคง นอนน้ำลายไหล สยายผม มันไม่น่าดู คนเรามันมองไม่เหมือนกันนะ พระยสแกมองไปว่าไม่น่าดู แต่ถ้าคนบางคนตื่นขึ้นเห็นภาพเช่นนั้น มันอาจจะว่าเออน่าดูก็ได้ แล้วมันอาจจะทำอะไรเลอะเทอะไปก็ได้ จิตใจมันไม่เหมือนกัน เขาเรียกว่าพื้นฐานทางจิตใจคนนี่มันไม่เท่ากัน พระยสนี่จิตใจแกเป็นอีกรูปหนึ่ง แกมองเห็นแล้วแกว่ามันรำคาญจริงเว้ย เลยเดินลุกขึ้น สวมรองเท้าแล้วก็เดินบ่นไป รำคาญจริงๆ เดินเรื่อยไปจนไปถึงป่าอิสิปปตนไปพบพระผู้มีพระภาค กำลังเดินจงกรมใกล้รุ่ง จะว่าเดินบริหารร่างกายให้สบายนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร ออกกำลังเช้ามืด พอได้ยินเสียงว่ารำคาญๆ เจ้าองค์ก็บอกว่าตรงนี้ไม่รำคาญ เชิญเข้ามาตรงนี้ นายยสได้ยินเสียงอีก อะไรเสียงอะไร เสียงอะไรดังมาว่าตรงนี้ไม่รำคาญ เชิญเข้ามาตรงนี้ ก็เดินตามเสียงนั้นไป พอไปถึงก็พบนักบวช ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร แต่เห็นว่าเป็นนักบวชประเภทภิกษุซึ่งมีอยู่แล้วในอินเดียในสมัยนั้น ท่านเข้าไปใกล้ก็นั่งลงแสดงความเคารพตามวิธีการของคนอินเดียทั่วๆไป คนอินเดียเขาเห็นนักบวชเขายังให้เกียรติอยู่ เขายังเคารพอยู่
สมัยนี้ก็ยังให้เกียรติ เวลาจะขึ้นรถขึ้นอะไรเขายังหลีกที่นั่งให้ เขายังให้เกียรตินักบวชอยู่เหมือนกัน เมื่อแสดงความเคารพแล้วก็ได้ฟังธรรม เลยได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต แล้วก็เลยไม่กลับบ้าน บวชซะเลย บวชไปมีตัวอย่างว่า คนนี้เขาเบื่อในทางนั้น เขาเห็นทุกข์ออกบวช เอาอีกคนหนึ่งที่เห็นกว่านั้น สองคนเลยนี่ไม่ใช่คนเดียว ทั้งผัวทั้งเมียเลย พระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานีเป็นสามีภรรยา มีฐานะดี มีทรัพย์สมบัติมาก ทีนี้นั่งครองทรัพย์สมบัติอะไรอยู่ ท่านชักจะเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายขึ้นมาว่า เอ๊ะ มันเรื่องอะไรที่เรามานั่งแบกภาระ มานั่งรับบาปของคนอื่นอยู่อย่างนี้ เป็นขี้ปากของคนอยู่ตลอดวันตลอดเวลา รำคาญ เมื่อรำคาญขึ้นมา สองผัวเมียก็เลยแต่งตัวเป็นนักบวชเสียเลย ออกป่าไปเสีย ออกไปอยู่ป่า บำเพ็ญพรต แต่ก็ยังไม่ได้มุ่งไปหาธรรมะของผู้ใดหรอก แต่ทีหลังมาก็ไปเจอพระพุทธเจ้าเข้า เลยเข้าได้บวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ท่านตรงนี้เป็นพระผู้ใหญ่ที่มีความสำคัญ
เวลาพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อน ได้เป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรกที่ถ้ำสัตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภารบรรพต แล้วก็ประพฤติอดูองค์เคร่งครัด ปฏิบัติชอบจริงๆเป็นตัวอย่างแก่พระอื่นได้มากจริงๆ นี่ตัวอย่างชีวิต ว่าคนเรานี่อยู่ในที่สบายตามที่คนเข้าใจ แต่เขามองเห็นว่ามันเป็นความทุกข์ เป็นความไม่สบายใจ เลยหนีออกจากที่นั้นไป ไปอยู่ในที่ที่เขาต้องการความสบายอีกแบบหนึ่ง เพื่อความสุขนั้นมันมีสองแบบ เขาเรียกว่าความสุขอาศัยวัตถุ อาศัยเหยื่อ ความทุกข์ที่ว่าความสุขที่ไม่ต้องมีเหยื่อ ความสุขที่อาศัยเหยื่อนั้นต้องมีเหยื่อปรนเปรออยู่ตลอดเวลา ต้องมีวัตถุ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสุข แต่ว่าความสุขอีกประเภทหนึ่งนั้น ไม่ต้องมีอะไร มันเป็นความสุขที่สงบเกิดขึ้นในใจ นัตถิ สันติ ปรังสุขขัง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุขอื่นยิ่งไปกว่าความสงบหามีไม่ ความสงบจิตนั่นแหละเป็นความสุขที่แท้จริง มีคนผู้ใคร่แสวงหาความสุขอย่างนั้น จึงปลีกตัวออกไปเพื่อหาความสุขอย่างนั้น นี่ญาติโยมที่มาทุกอาทิตย์ก็มุ่งอย่างนั้น คือมาอาทิตย์หนึ่งก็มาหาความสุขสงบๆเสียบ้าง เพื่อให้ได้กำลังใจเพิ่มขึ้น จะได้ไปต่อสู้กับปัญหาคือความทุกข์ในชีวิตแบบชาวบ้านต่อไป ที่เราอยู่ๆนี่เรียกว่าอยู่ทนนะ ทนเอา ทนสู้กับมัน ไม่ยอมถอย ที่เราทนได้ก็เพราะเราใช้ธรรมะเหมือนกัน เป็นเครื่องประกอบ เป็นหลักการพิจารณา ก็ทนอยู่ต่อไปตามหน้าที่ที่เราจะพึงปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าเราอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยธรรมะเป็นพี่เลี้ยงทางจิตวิญญาณแล้ว เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์มากเกินไป อันนี้ประการหนึ่ง ขอทำความเข้าใจไว้
อีกประการหนึ่งเราควรจะได้เอาเครื่องทุกข์นี่มาพิจารณา คือ มาพูด มาทำความเข้าใจกัน แม้แต่กับเด็กตัวน้อยๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของเรา กับเด็กหนุ่มสาว กับคนที่เป็นผู้ใหญ่ครองบ้านครองเรือนแล้ว ว่าเราควรจะชี้ให้เขาเห็นความทุกข์อย่างไรบ้าง เพื่อใช้หลักพระพุทธเจ้านี่มาเป็นแนวทางชีวิต คือเรื่องความทุกข์นี่เอามาใช้เป็นหลักการในชีวิตประจำวันได้ สอนได้ บางทีเราอาจนึกว่าอริยสัจ๔ นี่สูงเกินไป จะเอามาพูดให้เด็กฟังมันคงจะไม่ไหว หรือพูดให้หนุ่มสาวฟังเขาก็คงจะไม่เข้าใจ เราอาจจะนึกอย่างนั้น แต่ความจริงนั้นเราย่อส่วนเอามาพูดทำความเข้าใจกันได้ ก็เด็กๆนี่เราก็ย่อส่วนของความทุกข์ให้เด็กฟังเข้าใจว่า เราพูดให้เขามองเห็นให้เข้าใจ ตัวอย่างเช่นว่าเราให้เขามองเห็นความรู้ความเขลาคือความไม่รู้นี่ คนไม่รู้หนังสือกับคนรู้หนังสือมันแตกต่างกันอย่างไร เรายกตัวอย่างเอามาพูดชี้แจงให้เขาเห็นให้เขาเข้าใจ ว่าคนรู้หนังสือกับคนไม่รู้หนังสือแตกต่างกัน คนมีความรู้อย่างเดียวกับคนมีความรู้หลายอย่างมันก็แตกต่างกัน ความรู้อย่างเดียวมันก็เท่านั้นแหละ เหมือนกับกินข้าวไม่มีกับอย่างนั้น แต่ถ้ามีความรู้หลายอย่างนี่ มันกินข้าวแล้วมีกับด้วย แล้วยิ่งรู้มากอย่างมันก็มีกับหลายอย่าง กินข้าวไม่มีกับนี่มันอร่อยมั้ย เราลองถามเด็กอย่างนั้น เด็กมันก็ต้องตอบตรงเผงว่าไม่อร่อยเลย
ทีนี้ถ้ามีกับอย่างเดียวไม่มีทางเลือกมันต้องจำใจกิน กินด้วยความจำเป็นมันก็ไม่อร่อยอีก เราอยากจะกินไอ้นั่น มันก็ไม่มี อยากจะกินไอ้นี่มันก็ไม่มี มันมีเท่านั้นก็ต้องฝืนกินไป อร่อยไม่อร่อยก็กินไป เป็นกินเพื่อกันตายเท่านั้นเอง มันไม่อร่อยก็ไม่อร่อย แต่ถ้ามีหลายอย่าง เออมันดีหน่อย เราเลือกกินเปรี้ยวก็ได้ กินเค็ม กินเผ็ด กินรสอะไรก็ได้ เพราะมันมีหลายรสให้เราเลือก คนมีความรู้มาก มันก็มีทางได้เปรียบหน่อยในการเป็นอยู่ เพราจะทำงานทำการอะไรก็ได้หลายเรื่อง หลายประการ มีอย่างเดียวมันก็ทำอย่างเดียว แต่ถ้ามีหลายอย่างมันก็ทำได้หลายอย่าง ดีขึ้นไปโดยลำดับ ไอ้คำคนโบราณที่เขาพูดว่า รู้ก็ชามหนึ่งไม่รู้ก็ชามหนึ่ง อันนี้มันไม่ถูกต้อง รู้ชามหนึ่งไม่รู้ก็ชามหนึ่ง ไม่ใช่ ไม่รู้น่ะมันชามเดียว ถ้ารู้มันหลายชาม มันหลายจาน เราเห็นมั้ยคนมีการศึกษา มีปัญญา มีงานดี เค้ากินหลายจาน แต่ถ้าคนไม่มีอะไรมันกินจานเดียว คนโง่ คนอยู่ตามแหล่งสลัมต่างๆ กับข้าวมีอะไร มันกินก็จานเดียว ตักข้าวไปน้ำปลาราดลงไป หรือเอาเกลือใส่ลงไปหน่อย ให้มันเค็มๆ แล้วก็กินแต่นั้นแหละ ไม่รู้มันชามเดียว ถ้ารู้มันก็หลายชาม แต่คนโบราณเขาพูดว่าไม่รู้ก็ชามหนึ่งรู้มันก็ชามหนึ่ง เอ๊ะมันไม่ถูกอันนี้ ของโบราณแต่มันไม่ถูกต้อง คิดดูแล้วไม่เข้าท่า เราควรจะรู้ว่าถ้ารู้ มันหลายชาม ไม่รู้ชามเดียว แม้ชามเดียวก็จะไม่มีซะด้วยซ้ำไปถ้าไม่รู้อะไรนะ มันลำบาก หลายเรื่องหลายประการ เราชี้เหตุผลอะไรต่างๆให้เขาเข้าใจ ให้เห็นว่าไอ้ความโง่นี่มันเป็นทุกข์ เป็นเรื่องที่เป็นทุกข์ หาเรื่องนิทาน เรื่องตัวอย่างชีวิตคนมายกให้ฟังว่ามันเป็นทุกข์อย่างไร พูดบ่อยๆ ทำความเข้าใจกับเด็กบ่อยๆ เด็กก็จะมองเห็นว่า อ้อ ไม่ดี ถ้าเราอยู่อย่างคนโง่นี่มันเป็นทุกข์ อยู่อย่างคนฉลาดมันเป็นสุข ทำไมจึงโง่ เพราะไม่เรียนหนังสือ ไม่หาวิชาใส่ตัว เรามันโง่ชีวิตจะลำบาก ต่อไปข้างหน้ายิ่งลำบาก เวลานี้อยู่กับพ่อแม่ อย่างไรก็แบมือขอได้ แต่ว่าต่อไปนี่เราโตขึ้นใครจะเลี้ยงเรา พ่อแม่จะตามเลี้ยงเราตลอดไปได้หรือ ท่านต้องแก่ต้องชรา ไม่สามารถจะเลี้ยงเราได้ เราก็ต้องมีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ พูดให้เขาเห็นบ่อยๆ ให้เขาได้ยินบ่อยๆ
เด็กมันก็จะเกิดการมองเห็นว่า อ้อ การไม่เรียนหนังสือนี่เป็นทุกข์ ความโง่นี่ก็เป็นความทุกข์ มันเป็นความไม่ดีสำหรับชีวิตของเรา เราจึงต้องขยันเรียนดีกว่า นี่ มันขยันขึ้น คนเราจะขยันก็เมื่อเห็นโทษของความขี้เกียจ เห็นความทุกข์ในความขี้เกียจ เห็นความทุกข์ในความโง่ ก็จะกลายเป็นคนฉลาดขึ้นมา ถ้าไม่เห็นความทุกข์ในความโง่จะเป็นคนฉลาดขึ้นมาไม่ได้ เด็กบางคนอยู่ในครอบครัวที่ลำบากเหลือเกิน พ่อแม่ทำงานตัวเป็นเกลียวอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่มันเรียนได้ที่หนึ่ง มันเรียนได้ที่หนึ่ง ทำไม เคล็ดลับมันอยู่ตรงไหน เด็กนั่นมันเห็นความทุกข์ของพ่อแม่ว่าพ่อแม่นี่เป็นทุกข์ แล้วมันนึกว่าเราไม่อยากจะเป็นทุกข์อย่างนี้ต่อไป ทางที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์มีทางเดียว คือต้องหาวิชาความรู้ใส่ตัว ต้องเรียนให้เก่ง ต้องสอบให้ได้ดี จะไปขอร้องใครก็ไม่ได้ พ่อแม่เรามันลำบาก ต้องพึ่งตัวเอง ต้องช่วยตัวเอง มันเห็นความทุกข์ เห็นความทุกข์ในความเป็นอยู่ในครอบครัว แล้วมันคิดมุมานะที่จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อความก้าวหน้าต่อไป มีอยู่ไม่ใช่น้อยคนเราที่ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ในชีวิตเพราะฐานะทางครอบครัว ความเป็นอยู่ที่ลำบากนี่ทำให้เป็นคนก้าวหน้า ขวนขวายแสวงหาวิชาความรู้ ผลที่สุดเป็นคนเด่นในสังคมขึ้นมาได้ เพราะว่าเห็นความทุกข์นั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร เขาเห็นความทุกข์ในเรื่องที่เป็นอยู่ เขาคิดก้าวหน้า จึงกลายเป็นคนสำคัญขึ้นมา
ประธานาธิบดีลินคอล์นของอเมริกา ถ้าใครไปกรุงวอชิงตันก็จะเห็นอนุสาวรรีย์ เขาเรียกว่าวิหารนะ เขาใช้ว่า เทมเพิล วิหารนะ โบสถ์อะไรอย่างนั้น วิหารลินคอล์น เขายกย่องลินคอล์นว่าเป็นคนสำคัญแล้วก็สร้างวิหารใหญ่ให้นั่งอยู่สง่าผ่าเผย ใครไปกรุงวอชิงตันถ้าไม่ได้ไปตรงนั้นก็เหมือนกับไม่ถึงกรุงวอชิงตัน อันนี้ทุกคนต้องไป ไปดูเสียหน่อยหนึ่ง ให้เห็นสภาพที่ที่อยู่ของท่านผู้นี้ ท่านผู้นี้ก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ประธานาธิบดีอเมริกาในยุคปัจจุบันนี่มาจากตระกูลที่เรียกว่ามั่งคั่งส่วนมากมีฐานะดีทั้งนั้น แม้นายคาร์เตอร์ที่เขาเรียกว่าเป็นเจ้าของไร่ถั่วลิสง แต่ไม่ใช่ไร่ถั่วเหมือนแถวปากช่อง มีคนละเล็กคนละน้อย ไม่ใช่ ไร่แกเยอะแยะ แกมีมาก ใช้เครื่องมือทันสมัย ไร่นาของแกมีแต่มาเป็นประธานาธิบดี แต่ว่าท่านลินคอล์นท่านไม่มีอะไร ไม่มีฐานะอย่างนั้น ไม่มีอะไร สมบัติไม่มี แต่ว่าท่านยากจนลำบาก รับจ้างเลี้ยงม้า รับจ้างไปตัดฟืน แบกถุงไปรษณีย์ เดินไปรษณีย์ขี่ม้า สมัยก่อนไปรษณีย์เขาขี่ม้า ท่านก็แบกถุงไปรษณีย์ใส่หลังม้าไปได้แจกเขา บางทีต้องไปตัดฟืนรับจ้าง รับจ้างเลี้ยงม้า แต่แกเรียนหนังสือก็ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยอะไร แกเรียนเอาเอง ศึกษาเล็กๆน้อยแต่แกไม่หยุดไปเรียน
วันหนึ่งคนที่รับซื้อของเก่าเหมือนกับบ้านเรามีขวดมาขายอะไรอย่างนั้นแหละ แล้วก็มีอะไรก็เอามาขายสิ พอออกไปซื้อก็มีหนังสือกฏหมายเลยซื้อไว้ ซื้อแล้วแกก็นอนอ่านกฎหมาย แกนอนคว่ำอ่าน อ่านดังๆ ไอ้การอ่านหนังสือดังตั้งแต่สมัยลำบากยากจนนี่มาเป็นประธานาธิบดีแล้วอ่านอะไรแกมักอ่านดังๆ ใครมาเสนอเรื่องอะไรเซ็นก็อ่านดังๆ ก็เคยอ่านมาอย่างนั้น อ่านดังถึงจะเซ็นแก๊กลงไป อ่านกฎเรียนกฎหมายแล้วก็ไปสอบทนายความได้ แล้วก็รับจ้างว่าความ จ้างว่าความก็ใช่ว่าเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้สำนักอะไรต่ออะไรเขาตั้งกันใหญ่โต ทนายความนะ ร่ำรวยน่ะ ท่านเที่ยวเดินว่าความ ศาลมันไปเปิดเป็นครั้งคราวไม่ใช่เปิดถาวรเหมือนเดี๋ยวนี้ เอ้าเขาเปิดศาลเมืองนี้ก็ไปว่า เขาไปเปิดเมืองอยุธยาขี่ม้าไปว่าความ เขาไปเปิดลพบุรีขี่ม้าไปว่าความ ไปฝึกกันอยู่อย่างนั้น ผลที่สุดก็มาสมัครเป็นประธานาธิบดี จนได้เป็นประธานาธิบดีสมความมุ่งหมาย นี่มาจากความต่ำต้อย มาจากความทุกข์แท้ๆ เห็นทุกข์นั่นเอง เห็นความทุกข์ในชีวิต คิดขวนขวาย ศึกษาเล่าเรียน แสวงหาความรู้จนกลายเป็นคนเก่งขึ้นมา แล้วก็กลายเป็นประธานาธิบดีคนสำคัญ ในหมู่ประธานาธิบดีทั้งหลายที่เขาตั้งอนุสาวรีย์ไว้ก็มีอยู่สักสองคนสามคน ในกรุงวอชิงตันก็มีอยู่สองคน มีอยู่สองคนอยู่ใกล้กัน ประธานาธิบดีลินคอล์น แล้วก็เจฟเฟอร์สันอีกคนหนึ่ง มีเท่านั้น จอร์จ วอชิงตันอีกอยู่ห่างไปหน่อย ก็มีเท่านั้น เรียกว่าคนเก่งมันก็มีเท่านั้น เก่งจริงๆ เขาเลยตั้งอนุสาวรีย์ไว้ให้ นี่เพราะความยากจนทำให้เห็นความทุกข์ตัวอย่างอันนี้ควรจะพูดให้เด็กฟังได้ ให้เห็นว่าคนเรามันก้าวหน้าได้ ให้เห็นความทุกข์ไว้ นึกถึงความทุกข์ในความเป็นความอยู่แล้วก็สร้างตัวสร้างตนเพื่อความก้าวหน้าต่อไป
คนบางคนทุกข์กว่านั้นอีก เป็นทาสเขา เข้าโรงเรียนเขาไม่ให้เรียนนะ ก็ที่นี่เขาไม่มีชื่อน่ะ ทำไมผมไม่มีชื่อ เขาบอก อ้าวแกมันคนดำนี่ เขาไม่มีชื่อในโรงเรียนนี้หรอก คนดำเขาไม่ให้เรียน ออกเดินนุ่งกางเกงทำด้วยหนัง ไม่ใช่กางเกงยีนส์ที่เรานุ่งกันเดี๋ยวนี้ กางเกงหนัง รองเท้าก็ตัดเอง รองเท้าแตะทำด้วยหนังเอาเชือกผูก เดินไปจนไปเจอโรงเรียนที่เขาให้เรียนได้ เข้าเรียนได้ ไม่มีสตางค์จะเรียน รับจ้างล้างจาน ทำงานในโรงเรียน เรียนหนังสือ เรียนจนมีความรู้ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ไม่ได้ปริญญาอะไรหรอก ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย แต่ว่ากลายเป็นนักค้นคว้าเป็นเรื่องใหญ่ ค้นคว้าเรื่องอะไร เรื่องถั่วลิสง ค้นเป็นงานใหญ่ ค้นจนพบว่าถั่วลิสงนี่ทำอะไรได้มากมาย เอาไปใช้เรื่องนั้นเรื่องนี้ตั้งร้อยอย่าง ทำให้เกิดโรงงานอะไรขึ้นเพราะการค้นคว้าของท่านผู้นี้ มีชื่อมีเสียงขึ้นมาแล้วทีนี้ คนดำแท้ๆ รัฐสภาต้องเชิญไปพูดเรื่องถั่วลิสงในสภา เวลาไปรถไฟลงกรุงวอชิงตันก็ส่งคนมารับ นั่นก็เที่ยวมองอยู่แล้วผู้ยิ่งใหญ่จะลงรถไฟมาคนไหน มองไม่เจอ มองเห็นก็ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่เขาจะไปเห็นคนที่มันหรูหรา แต่งตัวดี มันไม่ใช่ตัวคนนั้นน่ะ พอเห็นคนนั้นไม่รู้ว่าคนนั้น จำไม่ได้เพราะไม่เคยเห็น แกไม่ได้แต่งตัวนี่ หิ้วกระเป๋าขาดๆลงจากรถไฟ ไม่มีใครต้อนรับแกก็ไปของแกเอง ไปถึงรัฐสภา ไอ้คนนั้นกลับไปถึงเขาก็ถาม อ้าวไปรับไม่เจอ นี่มาอยู่แล้ว โอ้ ตานี่เอง นึกว่าสัปปะรังเคมาเดินอยู่ในสถานี ไม่ใช่คนที่จะน่าต้อนรับ แกมองไปอย่างนั้นน่ะนี่ เราไปดูภายนอกคนมันไม่ได้ มันไม่ได้เป็นเครื่องหมายของคน เสื้อผ้าไม่ได้ทำคนให้เป็นคน คุณธรรมสิทำคนให้เป็นคน แกก็ไปพูดในสภาให้เขาฟังเพื่อออกกฎหมายเรื่องถั่วนี่ ถั่วลิสงนี่ มีชื่อมีเกียรติ ตายแล้วฝรั่งต้องสร้างอนุสาวรีย์ให้แก นี่ชื่อวอชิงตันเหมือนกัน นามสกุลกรุงวอชิงตันนี่แขกดำวอชิงตันเยอะแยะ คือลินคอล์นแกให้ ประธานาธิบดีวอชิงตันทั้งนั้น มันก็เลยนึกว่าเชื้อสายของท่านประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน มันจอร์จ วอชิงตันเยอะแยะเวลานี้ แขกดำทั้งนั้นอยู่ในกรุงวอชิงตัน นี่ก็เป็นคนสำคัญขึ้นมาได้เพราะอะไร เพราะเห็นความทุกข์ในชีวิตประจำวัน เห็นความทุกข์จากความลำบาก จากความโง่ ความเขลา ขวนขวาย แสวงหาความรู้ เลยกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ นี่เห็นทุกข์ มันเห็นอย่างไร
ทีนี้ไอ้ความยากจนก็มาหนึ่ง เรากลัวความลำบากหรือไม่ หากเรากลัวความลำบากเราต้องคิดว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ลำบาก เราก็ต้องหาวิชาเพื่อให้มีงานทำ มีงานทำแล้วก็ต้องทำให้ดี ทำงานด้วยใจ รักงานรักหน้าที่ ให้หัวหน้างานพอใจ ให้เจ้าของงานพอใจ พอจะเป็นที่พึ่งได้ พึ่งอะไรมันไม่วิเศษเท่าพึ่งธรรมะหรอก พึ่งคนนี่ก็ไม่ดี แต่พึ่งธรรมะแล้ววิเศษแท้ เราเอาธรรมะมาเป็นที่พึ่ง ก็พึ่งคนได้ ก็เราดี เรามีธรรม คนดีมีธรรมใครก็อยากได้ เขาอยากได้ไว้สำหรับที่จะทำงานทำการต่อไป
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่ตะกั่วป่าแล้วก็ซัดเซพเนจรไประนอง ไปเที่ยวทำงาน ก็เข้าไปทำงานกับครอบครัวหนึ่งซึ่งเป็นสกุล ณ ระนอง เป็นเด็กดี เรียบร้อย ไม่เที่ยว ไม่เตร่ ไม่กินเหล้าเมายา เจ้าของงานเห็นว่าไอ้นี่มันดี เพชรมันตกลงมาในครอบครัวของเราแล้ว แล้วเราจะให้มันกระเด็นออกไปได้อย่างไร มันต้องเอาสวมเรือนแหวนในครอบครัวเรานี่เลย เลยทำอย่างไร ก็จับแต่งงานกับลูกสาวเถ้าแก่เสียเลย เลยมากลายเป็นคนสำคัญขึ้นมาได้ นี่อย่างไรเพราะธรรมะ เพราะพึ่งธรรม เขาไม่พึ่งอะไร พึ่งธรรมะ เขาเป็นคนเรียบร้อย อ่อนน้อม เชื่อฟัง ทำงานดี ไม่ขี้เกียจ ไม่เที่ยว ไม่เตร่ ไม่เหมือนเด็กหนุ่มทั้งหลาย พอเลิกงานก็ไปแล้ว อย่างพัฒน์พงษ์ ไปเต้นดิสโก้อยู่ แล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ไอ้คนอย่างนั้น ใช้เงินเปลืองมันจะเอาตัวรอดได้อย่างไร อันนี้เค้าไม่เที่ยไม่เตร่ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เขาตั้งเนื้อตั้งตัวได้ กลายเป็นคนที่ก้าวหน้าในชีวิตขึ้นมาได้ คนดีนี่มันไม่ตกต่ำหรอก ไปอยู่ที่ไหนใครเขาก็อยากได้ แต่ถ้าไม่ดีแล้วเขาก็อยากให้ออกวันละร้อยหนอยู่เหมือนกันแหละ นี่เพราะไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่ง เราพึ่งธรรมะแล้วเอาตัวรอด ถ้าเห็นความทุกข์มันก็หันหน้าเข้าหาธรรมะ เอาธรรมะไปเป็นที่พึ่ง ก็ทำให้เกิดความไม่เดือดร้อนวุ่นวายขึ้นในชีวิตได้ นี่อันที่เห็นง่ายๆ
ทีนี้เรากลัวบางอย่างเวลานี้ เรากลัวว่าเหตุการณ์บ้านเมืองมันจะรุนแรงไป ในทางอื่นน่ะทางการเมืองว่ามันจะรุนแรงไป กลัวญวนมันจะบุกไทยอะไรต่ออะไร ญาติโยมบางคนก็กลัวไปอย่างนั้น กลัวญวนจะบุกไทย อันนี้ไม่ต้องกลัวเท่าใดนัก แต่ว่าเราก็ไม่ประมาท เราต้องเตรียมตัวพร้อมไว้เสมอ เตรียมใจเตรียมตัวหมายความว่าเตรียมใจ ที่จะต้อนรับต่อสถานการณ์ ถ้าเกิดคับขันขึ้นมากว่านี้ ข้าวยากหมากแพงขึ้นไปกว่านี้ เราจะอยู่ได้ไหม เราต้องลดแล้ว ลดอัตตาการเป็นอยู่ ลดมาตรฐานการครองชีวิต เคยกินดีอยู่ดีตามแบบที่เขานิยมกันก็ลดลงมาเสียหน่อย เคยกินกับข้าววันละ ๔ อย่าง ลดมาเหลือสัก ๒ ก็พอแล้ว ไม่ต้องให้มากมายเกินไป เคยเที่ยวเคยเตร่ก็ลดการเที่ยวการเตร่ การฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย พอวันเสาร์ก็ไปสยามสแควร์ หรือว่าไปราชดำริอาเขตอะไรก็ตัดๆมันเสียบ้าง เมินเฉยเสียบ้าง ไม่ไป ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เรื่องเครื่องนุ่งห่ม เรื่องการกินการอยู่ การเที่ยวการเตร่ ไอ้ที่เหลือไว้ไม่ตัดก็คือมาวัดวันอาทิตย์เนี่ยนี่ไม่ต้องตัด เพราะไม่ถึงกับเสียหายอะไร เราไม่ตัดอย่างนั้น ก็มาอยู่ เราทำอย่างนี้ก็เรียกว่าเตรียมตัวต้อนรับสถานการณ์ เวลาอะไรมันเกิดขึ้นเราไม่เป็นไร เพราะว่าเราได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ไม่เกิดความลำบากยากเข็นต่อชีวิตมากเกินไป นี่เรียกว่าเห็นทุกข์ พอเห็นทุกข์เราก็เตรียมไว้ ไม่ทำอะไรด้วยการตามใจตัวเองมากเกินไป ความทุกข์ที่จะเกิดมันก็ไม่เกิด ถึงแม้เกิดเราก็สู้ได้ เพราะเราได้เตรียมตัวต่อสู้ต่อเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ปัญหามันก็น้อยลงไป นี่คือความทุกข์ที่เรามองเห็น ให้พิจารณาไว้
ลึกลงไปกว่านั้นความทุกข์เกิดจากภายในของเรา ความทุกข์เกิดจากความอยาก ความปรารถนา เช่นความทุกข์เกิดจากความโกรธ เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ นี่พูดเป็นศัพท์เป็นแสง ราคะคือความพอใจเพลิดเพลินในวัตถุ โทสะคือประทุษร้าย ใจหงุดหงิดงุ่นง่าน โมหะก็คือความไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาในเรื่องอะไรๆที่จะทำให้จิตใจสว่างไสวด้วยปัญญา เรากลัวสิ่งเหล่านี้ เมื่อกลัวสิ่งเหล่านี้เราก็ต้องรู้ว่าไอ้นี่เกิดแล้วมันเป็นทุกข์ ความโกรธเกิดเป็นทุกข์ ความรักเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ ความหลงเกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ ความริษยาพยาบาทเกิดขึ้นในใจเราก็เป็นทุกข์ เรามองเห็นพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของสิ่งเหล่านั้น ให้เห็นโทษของความโกรธว่าโกรธแล้วนี่เป็นอย่างไร จิตใจเป็นอย่างไร ร้อนหรือเย็น สงบหรือวุ่นวาย สภาพหน้าตาเป็นอย่างไร กิริยาท่าทางเป็นอย่างไร คำพูดที่หลุดออกมาจากปากแต่ละคำนั้นมันเจือด้วยอะไรบ้าง พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่ดี เมื่อเห็นว่ามันไม่ดีเราก็ไม่อยากจะให้มันเกิด ความอื่นก็เหมือนกัน อะไรที่มันจะเกิดเรามองพิจารณาไว้บ่อยๆ แล้วเราระวังไม่ให้เกิด เรารู้ฐานที่เกิด ฐานมันก็อยู่ที่ความคิดของเรา เราเผลอมันเกิด ไม่เผลอเราก็ไม่เกิด เผลอก็ขาดสติ ไม่เผลอเพราะเรามีสติ เราจึงต้องฝึกสติสัมปชัญญะ จะไปไหน จะทำอะไร จะเกี่ยวข้องกับใคร เราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะกำกับจิตใจตลอดเวลา เพื่อให้เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้สิ่งที่จะทำให้เราเป็นทุกข์เกิดขึ้นในใจของเรา อย่างนี้เราก็อยู่รอดปลอดภัย ในเรื่องอื่นอีกเยอะแยะ ความประพฤติอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร ถ้าเราหมั่นพิจารณาไตร่ตรองมองดู ให้เห็นว่ามันให้ทุกข์ให้โทษอย่างไร น่าเกลียดอย่างไร น่ากลัวอย่างไร เราก็ไม่อยากเข้าใกล้สิ่งนั้น เราเกลียดเหมือนกับเกลียดอะไรที่เราเกลียดๆนั้น เช่น เกลียดไส้เดือน เกลียดกิ้งกือ ทีนี้ไอ้สิ่งที่เป็นความไม่ดีไม่งามทั้งหลาย เราก็เกลียดหน่ายมันอย่างนั้น ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้ นี่หลักการง่ายๆที่เราควรจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันไม่ให้เราต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนต่อไป ดังที่ได้แสดงมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง ฝนไม่ตก ไม่เหมือนอาทิตย์ก่อน ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจเป็นเวลา ๕ นาที นั่งสงบใจ นั่งตัวตรง คอตั้งตรง หลังตรง หลับตาเสียหน่อย แล้วก็หายใจเข้ากำหนดรู้ หายใจออกกำหนดรู้ ให้จิตหรือความคิดมาอยู่ที่ลมเข้าลมออกตลอดเวลา ๕ นาที