แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ลำดับนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวานนี้ฝนตกมาก เมื่อคืนนี้ก็ยังตกอยู่ วันนี้ก็ครึ้มๆอยู่ ญาติโยมคงจะสบายใจ ว่าฝนตกลงมา แต่ว่าความจริงนั้นไม่ค่อยสบายหรอก คนเรานี่มันก็แปลกเหมือนกัน เวลาไม่มีฝนก็บ่น เรียกร้องหาฝน พอฝนตกลงมามากๆ ชักจะไม่ชอบใจอีกแล้ว หาว่าตกอะไรมากมายก่ายกอง น้ำท่วมไปหมด พอไม่มีก็บ่นอีกล่ะ นี่เขาเรียกว่ามนุษย์นี่เอาใจยาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร อย่างนั้นก็ไม่ชอบ อย่างนี้ก็ไม่ชอบ มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนเราเป็นเช่นนั้น จะเป็นเรื่องฟ้าเรื่องฝน เรื่องคน เรื่องของ เรื่องอะไรๆต่างๆก็อย่างนั้นแหละ บางทีก็ชอบ บางทีก็ไม่ชอบ เพราะว่าจิตมันยังเปลี่ยนแปลงอยู่ ยังไม่คงทนถาวร ประเดี๋ยวดี ประเดี๋ยวร้าย ประเดี๋ยวเป็นอย่างนั้น ประเดี๋ยวเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงมาศึกษาธรรมะ ก็เพื่อจะได้เอาไปใช้เป็นเครื่องมือปรับจิตของเรา ให้อยู่ในสภาพที่ไม่หวั่นไหวโยกโคลงด้วยอารมณ์ที่มากระทบ อะไรมันจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปใด เราก็ไม่ต้องตกใจ จะได้สบายใจ ทำเฉยๆต่อเหตุการณ์นั้นๆ
เมื่อวานซืนนี้อาตมาเดินตรวจดูมาแถวนี้ มาถึงก็แหงนหน้าขึ้นไปตรงนั้น อ้าวอะไรมันหายไปซะบ้างแล้ว อ้าวลำโพงหายไปแล้ว ลำโพงหายไปเสียตัวหนึ่ง อาตมาไปเที่ยวถาม อ้าวใครเก็บลำโพงไว้บ้าง เขาบอกไม่ได้เก็บ มันก็อยู่นั่นหลายปีแล้ว ขโมยมันรำคาญ เห็นเที่ยวทิ้งไว้หลายปีแล้ว มันมาเก็บเสียแล้ว เก็บเอาไปเสีย วันนี้เอาตัวอื่นมาใส่ไว้แทน ทีนี้ก็เพิ่มภาระขึ้นอีกอันหนึ่ง เพราะว่าใส่ตอนเช้า ตอนบ่ายต้องเก็บ เอาเข้าห้องใส่กุญแจ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวขโมยเห็นเข้ามันรำคาญอีก เพราะว่าเอาไปเสียเองไม่ต้องคืน มันชอบเก็บของที่เขาเที่ยวทิ้งเที่ยววางไว้ วางไว้ตรงไหนมันก็เอา บางทีมันก็ลามปามเข้าไปถึงในบ้านในเรือน เข้าไปถึงในห้องนอนโน่น เข้าไปถึงขนาดอย่างนั้น คนเราก็เดือดร้อนกันไปตามกัน แต่ว่าก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก พอรู้ว่ามันเอาไปแล้วก็เฉยๆ นึกว่า เอาเถอะช่างหัวมัน หาใหม่ต่อไป ก็ยังหาได้อยู่ ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร บอกโยมว่า เสียงมันหายไปแล้ว ซื้อมาใหม่อีกตัวเถอะ ซื้อมาใหม่ติดไว้ ความจริงติดแข็งแรงนะ ใช้สกรูขึ้นมาน็อต แต่มันจะเอามันก็ไม่ลำบากอะไร แล้วไม่มีบันไดพาดขึ้นมาเอาได้ เดินๆไปข้างหลังกุฏิไปเจอว่า โอ้นี่มันขึ้นทางนี้เอง ขึ้นมาทางกำแพง เวลามันกลับมันเอาดินไปปิดกำแพงไว้เป็นที่ระลึกก้อนหนึ่ง ที่เท้า ไปปิดกำแพงไว้แสดงว่าเข้าออกทางนั้น
วัดนี่พยายามทำกำแพงรอบวัด แต่กันอะไรไม่ได้ เพราะว่าคนไทยเรานี่ไม่ค่อยเคารพกรรมสิทธิ์ของใครๆ เสรีภาพมันมาก วันไหนเขานึกสนุก เขาจะเดินขบวนบนกำแพง เขาก็เดินเป็นแถวไป เดินจากหน้าวัดไปลงหลังวัดนั่นแหละ แต่ถ้าอาตมาเห็นมันก็กระโดดแพร่บลงไป พออาตมาพ้นไป ก็ปีนแหยงๆขึ้นมาเดินต่อไป เดินอย่างนั้นแหละ นึกว่ามันเดินอยู่แต่วัดชลประทาน ไปที่วัดอื่น อ้อมันเดินเหมือนกัน เลยก็สบายใจ สบายใจว่ามันเหมือนกันทุกวัดแหละ มันเดินบนกำแพง เดินเล่น เดินบนกำแพง เผลอๆกระโดดลงมา อะไรพอจะหยิบจะฉวยได้ก็เอาไป
วันก่อนกล้วยน้ำว้าเครือใหญ่อยู่ข้างกำแพง มันเดินมาเห็นกล้วยเครือใหญ่ก็ตัด ตัดแล้วเลยมันตกลงมา พอดีพระมาเลยเอาไปไม่ได้ เลยพระก็ได้ฉันเครือนั้นต่อไป ก็ว่าถือโอกาสเข้ามาเยี่ยมมาเยียน โดยมากตอนพระเพลนี่เขาชอบมาเยี่ยม จะมาช่วยดูแลให้พระหน่อย พระไปฉันหมด กุฏิว่างๆทิ้งไว้ เขามาเดินดูว่ามีอะไรพระจะทิ้งเพ่นพ่านไว้บ้าง เศษเหล็กเอย จอบ เสียม พลั่วตักดิน เก็บได้ทั้งนั้น เศษเหล็กก็ขายได้เมืองไทยนี่ การค้ามันเจริญดี อะไรก็เก็บเอาเศษเหล็กอะไรเก็บไป มาแล้วอ้าวพลั่วหายไปแล้ว พวกมันไม่ชอบเพ่นพ่านเก็บไปแล้ว อย่างนี้ก็ต้องหาใหม่ต่อไป นึกว่าสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ที่ลำบากยากไร้ ทิ้งๆไว้ให้มันเอาไปใช้บ้าง ตามเรื่องตามราว เป็นอย่างนี้ วัดนี่ทั้งที่ทำกำแพงเรียบร้อยแล้ว เคยบอกไปที่โรงพัก ว่าไอ้พวกเด็กๆนี่เข้ามาซุกซนอย่างนั้นอย่างนี้ ผู้ปกครองบอกว่าวัดนี่มันที่สาธารณะ เขาว่าอย่างนั้น ใครก็เข้าไปได้ เอ อย่างนั้นใครจะมาเอาอะไรของวัดก็ได้ มาจะขุดโบสถ์ไปก็ได้ มันที่สาธารณะนี่ เอ๊ะคงจะต้องเปิดกฎหมายดูก่อนว่าจะทำอย่างไรบ้าง ผู้ปกครองนี่ก็ช่างไม่ค่อยรู้กฏหมายเหมือนกัน ต้องตรวจดูก่อนว่ามันมีกฏหมายอะไรบ้าง น่าจะได้จัดการกันต่อไป
แต่ว่าพวกข้างวัดนี่เขาถือวิสาสะ แม้จะมีกำแพงแล้ว เขาเดินไปขึ้นถนนมันห่างหน่อย เดินข้ามกำแพงมาเลย ข้ามกำแพงมา เข้ามาในวัด ถ้าอาตมาเห็นเข้าก็หลุบหัวลงไปซะ เหมือนกับเต่าเลย พอเห็นคนก็หลุบไปเสีย พอเผลอๆเดินป๋อไป เดินพ้นไปออกถนนด้านโน้น เดินไปด้านนี้ บางทีเดินด้านนี้มันมีกำแพงหลังวัด เดินเฉยๆไป ปีนกำแพงออกไป บางทีไปเจอก็ อ้าวทำไมมาทางนี้ มันใกล้หน่อย ว่าอย่างนั้น พูดหน้าเฉยตาเฉยว่ามันใกล้ดี มันเป็นอย่างนี้ บ้านเมืองเรามันเป็นอย่างนี้ ทั่วๆไป ถ้าใครรำคาญใจเรื่องเหล่านี้แล้ว มันอยู่ไม่ได้ รำคาญตาย เพราะอย่างนั้นอย่าไปรำคาญมัน ตามเรื่องตามราว ใครมันจะทำอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็นึกว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ว่ากันไปตามเรื่องตามราว แต่ว่าอะไรพอจะรักษาได้ก็รักษาไว้ อย่าให้มันเอาไปเสียหมด ต้องคอยดูแลรักษา
คืนนั้นมันมืดเสียด้วย คืนที่เอาลำโพงนี่ ไฟมันเสีย เขามาแต่งไฟแล้ว คราวนี้ทำอย่างไร มันก็ จะใส่สายไปอย่างไร เปิดไม่ติด แล้วก็ไฟห่าง ไฟมันมืด ขโมยชอบใจ เรียกว่าเทวดาเข้าด้วย เขาก็เลยมาเอาไปเสีย อย่างนี้เป็นตัวอย่าง อาตมาได้ทราบข่าวก็เฉยๆ แต่ใจมันไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร ของอย่างนั้น เพราะว่ามันยังหาได้ แต่ถ้ามันเอาของที่หาไม่ได้นี่ จะทุกข์สักหน่อย เช่นมันตัดหัวไปเสียอย่างนี้ คงจะทุกข์ แต่ถ้าตัดหัวไปก็ไม่ทุกข์เหมือนกัน เพราะมันไม่มีอะไรจะทุกข์แล้ว หัวหายแล้วจะทุกข์อย่างไร แต่ถ้าเอาไปส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งอยู่ คงจะกลุ้มใจบ้าง แต่ก็พอปลงพอวาง เรื่องมันเป็นอย่างนี้
อยู่บ้านก็เหมือนกัน ญาติโยมอยู่บ้านคงจะรำคาญเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่อยๆไป บางคนรำคาญเมืองไทยหนัก ก็ไปเมืองนอกเสียเลย เมืองนอกเขาดีอย่าง ฝรั่งนี่เขารู้จักเคารพกรรมสิทธิ์ของกันและกัน เขาไม่ค่อยล่วงล้ำก้ำเกินกัน ในเขตของใครก็ใคร บางทีในเมืองฝรั่งมันไม่มีกำแพงบ้านนะ มันมีแต่สนามหญ้าตัดเรียบเหมือนกันไปหมด ปลูกเป็นแถวเป็นแนวเป็นหย่อมไป ไม่มีกำแพง ฝรั่งมาเมืองไทยนี่คงจะสงสัยนะ มีกำแพง แล้วก็มีกระจกบนกำแพง เศษแก้ว แล้วก็มีลวดหนาม แล้วบ้านก็มีลูกกรงเหล็กอีก หน้าต่างนะ แสดงว่าแหมเหมือนกับอยู่คุกเลยคนไทยเรานี่ คิดดูแล้วกันคุกบางขวาง มันก็คล้ายกันแหละ คุกบางขวางก็มีกำแพง แต่บนกำแพงนั้นไม่มีกระจก จะเศษกระจกอะไร แต่มียามเฝ้าแข็งแรง แต่ว่าหน้าต่างนี่เขาติดลูกกรงแข็งแรง ขโมย เอ้อขอโทษ นักโทษปีนออกไม่ได้ พวกเรานี่ก็อยู่อย่างนั้น เรียกว่าถ้าเกิดไฟไหม้ออกทางหน้าต่างไม่ได้ ขโมยเข้ามาถึงห้อง นี่ก็ออกไม่ได้ เพราะว่าหน้าต่างปีนไม่ไหว ลูกกรงทั้งนั้น อันตราย เพราะว่าปีนข้างนอก แต่ว่าเกิดอะไรข้างในก็ออกลำบากเหมือนกัน
ที่อยู่กันอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนเรามันขาดศีลธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจ ศีลธรรมนี่ ถ้าจะขาดไปเรื่อยๆ เวลานี้ สึกหรอไปเรื่อยๆ จิตใจคนก็ค่อยหยาบกระด้างขึ้น ขาดความละอายบาป ขาดความกลัวบาป ขาดความสำนึกรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่ค่อยเห็นแก่ความทุกข์ ความสบายของบุคคลอื่น เอาตัวเป็นใหญ่ เรียกว่าหลักศีลธรรม มันค่อยเสื่อมจากจิตใจคน ที่เราพูดกันว่าศาสนาเสื่อม ศีลธรรมเสื่อม คือว่าเสื่อมจากใจนั่นเอง ไม่ใช่ว่ามันเสื่อมในตัวของมัน ยังอยู่เรียบร้อย ศีลธรรมก็คงอยู่อย่างนั้น ศาสนาก็อยู่อย่างนั้น แต่ว่าเสื่อมจากจิตใจคน จิตใจคนไม่เข้าถึงศีลธรรม ไม่เข้าถึงธรรมะของศาสนา เรียกได้ว่านับถือศาสนาก็อย่างนั้น
ขโมยที่ไปเที่ยวลักเที่ยวปล้น มีพระห้อยคอทั้งนั้น ห้อยคอองค์หนึ่งบ้าง สององค์บ้าง ห้อยๆไว้ ห้อยกันด้วยความโง่ ไม่ใช่ห้อยด้วยเรื่องอะไรละ ห้อยไว้ แล้วก็ไม่ได้ถือศาสนา แต่ว่ามีพระห้อยคอ มีแหวนหลวงพ่อสวมนิ้วด้วยนะ บางคนมีเหรียญหลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ เอามาห้อยคอไว้ ในเรือนจำนี่ก็ยังมี เข้าไปเทศน์เห็นมีพระห้อยคอกัน มีเหรียญหลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ ถามว่านี่มีไว้ทำไม ไว้ป้องกันตัวว่าอย่างนั้น ไม่รู้ว่ามันป้องกันอะไร ป้องกันตัวอย่างไร ที่มีไว้อย่างนั้น นั่นคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในเรื่องของธรรมะ ในเรื่องของศาสนา คนเหล่านั้นจึงได้ไปถือ ไปนอกลู่นอกทางกันด้วยประการต่างๆ ฉะนี้ความบกพร่องอันนี้ก็เกิดจากว่า ระบบนี่ ระบบการอบรมทางศีลธรรม หรือทางเรื่องศาสนาแก่ประชาชน มันยังหย่อนอยู่ ยังไม่ค่อยเข้มแข็งเพียงพอ คนจึงไม่ค่อยจะเข้าถึงธรรมะ อันนี้มันต้องแก้แล้วในความจริง ต้องเร่งกันเป็นงานใหญ่ ที่จะต้องจัดต้องทำกันเป็นงานใหญ่
เมื่อตะกี๊ญาติโยมฟังท่านเจ้าคุณพุทธทาสเทศน์ไหม ท่านบอกว่ามีมหาวิทยาลัยอยู่แห่งหนึ่ง เรียกว่ามหาวิทยาลัยลูกทุ่ง มหาวิทยาลัยลูกทุ่ง เด็กจบชั้น ป.๔ แล้วเข้ามหาวิทยาลัยนี้ทั้งนั้น เขาไปเรียนกันตามไหน ตามหัวสะพาน ตามร้านอาหาร ตามพุ่มไม้ ตามที่ต่างๆ ไปนั่งชุมนุมกัน ปรึกษาหารือกัน จะไปลักควายของใคร จะไปลักวัวใคร จะไปฉุดลูกสาวใคร ตัดช่องย่องเบาที่ไหน นี่มหาวิทยาลัยพวกนี้ เขาเรียนอย่างนั้นล่ะ อันนี้ ที่นั่งเป็นพุ่มเป็นพุ่มเป็นก้อนกันล่ะ มันนั่งปรึกษาหารือกันนะ หรือตามศาลา ถ้าพวกนี้นั่งเป็นกลุ่มก้อนแล้วก็หมายความว่า มีเรื่องแล้ว เพราะว่าปรึกษาหารือกัน ว่าจะทำอะไรๆกันต่อไป คนเหล่านี้มันว่างงาน ไม่มีงานทำ อยู่เฉยๆ ไอ้ที่ว่างงานน่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะไม่มีงานทำ แต่เพราะไม่ทำงาน มีนิสัยเกียจคร้าน ชอบความสะดวก ชอบความสบาย มีอาหารกิน นั่งๆ เหนื่อยก็ไปบ้านกินข้าว กินข้าวเสร็จแล้ว นอนตีพุง นอนตื่นขึ้น ไปรวมไปประชุมกัน ในหอประชุมมมหาวิทยาลัยลูกทุ่งต่อไป แล้ววางแผนกันต่อไป พวกนี้ไม่เข้าหาธรรมะ ไม่เข้าหาศาสนา
วันก่อนนี้ เขานิมนต์ไปเทศน์เรือนจำนครปฐม เรียกว่าเรือนจำเขตนครปฐม นักโทษที่มานั่งฟังปาฐกถาจำนวนมากมายนั้น เด็กหนุ่มๆทั้งนั้น อายุขนาดยี่สิบกว่าอะไรอย่างนี้ มันมากจริงๆ ที่อื่น มันก็ไม่มากเท่าที่นั่น ก็ถามท่านพัสดี เพราะว่าคุ้นเคยกัน เคยพบกันมาตั้งแต่นานแล้ว ถามว่าทำไมมันมากอย่างนี้เจริญพร ไอ้ที่นี่มันเป็นศูนย์กลางว่าอย่างนั้น ศูนย์กลางนักโทษหนุ่ม เรียกว่านักโทษหนุ่มๆทั้งหลายนี่ เขาเอามาไว้ที่นั่น เอามารวมไว้ อบรม ฝึกอาชีพพอสมควรแล้ว แจกไปยังคุกต่างๆต่อไป เมื่อเทศน์เสร็จแล้ว ก็ลองถามสัมภาษณ์ เด็กหนุ่มทั้งหลายเหล่านั้น มาจากไหนบ้าง มาจากชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา เอตายแล้วมาจากโน่นทั้งนั้นเลย ปักษ์ใต้มากมายก่ายกอง มากกว่าเพื่อนนี่ บอกว่าโน่น แถวนี้ บ้านเจ้าคุณทั้งนั้น มันมาจากถิ่นโน้นทั้งนั้นเลย ทำไมมันมากมายอย่างนี้ นี่แสดงว่าบกพร่องมากแล้ว คณะสงฆ์นี่ก็บกพร่องแล้ว ญาติโยมชาวบ้าน มารดาบิดาก็มีความบกพร่อง ในเรื่องที่จะให้ลูกได้ปฏิบัติในทางที่ดีที่ชอบ ปล่อยให้ลูกเที่ยวเตร่เฮฮา สนุกสนานกันไปตามเรื่อง แล้วก็ไปเที่ยวเบียดเบียนเขา ตำรวจจับได้ ก็เลยเอามาอบรมบ่มนิสัยอะไรๆก็ไปตามเรื่อง เสียเวลาการทำมาหากิน เสียแรงงานไปไม่ใช่น้อย ก็ไปอยู่ในเรือนจำนี่มันต้องกิน ต้องนุ่งห่มด้วย ต้องมียาแก้ไข้ด้วย ต้องมีสายโซ่ไว้ประดับแข้งประดับขาด้วย ความสิ้นเปลือง สิ่งเหล่านี้สิ้นเปลืองไป ก็เป็นสิ้นเปลืองทางภาษีอากร ที่ชาวบ้านช่วยกันเสีย เอาไปใช้ในเรื่องนั้น มันมากมายเหลือเกิน
แล้วก็ พวกนั้นเข้ามาอยู่ในคุกนี่ขังไว้อย่างนั้น ถ้าจะให้ดีหน่อยนะ มันไม่ได้เดือดร้อนอะไรนี่ เพราะอะไร เพราะว่าคุกเรานี่มันสบาย การอยู่ก็สะดวก กินก็สะดวก กินเป็นเวลา ตื่นเช้ากินข้าว เที่ยงกินข้าวต้ม บ่ายกินข้าวสวย กลางคืนเข้านอน ไอ้พวกนั้นมันเฉยๆ มันบอกว่าดีกว่าอยู่บ้าน ว่าอย่างนั้น ตายแล้ว เห็นว่าดีกว่า ถ้าเวลามันออกจากคุกไป เพื่อนถามนะ เฮ้ยเป็นอย่างไรอยู่ในคุก มันไม่ตอบนะว่าลำบาก ก็สบายดี กินอาหารเป็นเวลา แล้วออกไปเอี้ยมเฟี้ยมอย่างนั้นแหละ หน้าตาเป็นน้ำเป็นนวลนะ ดีกว่าคนนอกคุกเสียอีกนะ คนนอกคุกมันต้องไปทำงานในทุ่งในนา อาบแดดอาบลม ตัวเลี่ยมตัวเกรียม พวกนั้นหน้าตาเป็นน้ำเป็นนวล พอเจอกันใหม่ๆนึกว่าไปไหนมา ก็เพิ่งออกมาจากคุก เฮ้ยเป็นไงสบายดีไหม สบายดีเหรอ มีอะไรสมบูรณ์ไม่เดือดร้อนอะไร อยู่กันไปตามเรื่องนะ มันเป็นอย่างนี้ เพราะว่าให้ความสบายมากไป
ถ้าสมัยก่อนนี่คุกไม่ค่อยสบาย คนไปนอนลำบาก เมื่อเด็กๆเคยถามคนที่ไปติดคุกว่า ลุงไปติดคุกสองปีเป็นอย่างไร เฮ้อไม่ไหว ลำบาก นอนก็ไม่หลับ เรือดก็มาก ไอ้ตัวเรือดนี่มีมากในคุกสมัยก่อนนี่ เขาปล่อยเลยนะ เขาไม่เอาออกหรอก ให้มันกัดนักโทษ ให้มันนอนไม่สบาย ทรมานกันบ้าง ตอนนี้ก็เวลาออกไปแล้วไม่อยากเข้าคุกอีก เพราะนอนไม่สบาย โดนเรือดกัดบ้าง อาหารการกินก็ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าพัฒนา คุกก็พัฒนาให้สบายขึ้น ให้สะดวกขึ้น ให้ทันสมัย แล้วคนไทยเราก็อยู่คุกดีกว่าอยู่บ้าน สบายกว่า พวกที่มาอยู่บางขวางนี่ สบายกว่าคุกหัวเมืองอีกนะ ที่หลับที่นอนสบาย อาหารการกิน มองไปเหมือนกับวัดชลประทาน สนามหญ้าเขียวชอุ่ม มีดอกไม้ดอกไร่สวยงาม บอกว่านี่บ้านผมไม่มี หญ้าเขียวๆอย่างนี้ก็ไม่มี มีแต่ทุ่งแต่นา ดอกไม้ก็ไม่เคยเห็น อยู่ในคุกนี่ได้ดูดอกไม้ ดอกกุหลาบสวยๆงามๆ อาหารการกินก็ไม่เดือดร้อน มันไม่ทุกข์ยากอะไร เพราะว่าสภาพบ้านกับสภาพคุกมันไกลกัน ติดคุกเหมือนกับขึ้นสวรรค์เวลานี้ อะไรมันก็บอกว่าสบายดีเห็นไหม เวลาไปบอกเพื่อนก็ว่า อยู่คุกสบาย ไอ้พวกชาวบ้านมันก็ไม่กลัวติดคุก เออติดคุกสบายดีจะไปกลัวอะไร อยู่บ้านลำบากเสียอีกต้องวิ่งเต้นหาข้าวหาเสื้อผ้า กิน อันนี้ไม่ต้องซื้อ ข้าวก็มีกิน กับข้าวดีเสียด้วย ถ้าทำไม่ดีนักโทษเดินขบวนในคุก หาว่ากับข้าวไม่อร่อย ผู้บัญชาการเรือนจำเดือดร้อนอีก เพราะฉะนั้นต้องให้มันกินดีหน่อย ที่นอนก็ต้องดี ไม่ดีก็ไม่ได้ เดี๋ยวก็เอาไปลงข่าวหนังสือพิมพ์โพทนา ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันช่วยกันส่งเสริมให้คนชั่วกันทั้งนั้นใช่ไหม ต้นปัญหา มันก็เหมือนว่าไม่เดือดร้อนอะไร สบาย สมัยก่อนไม่อย่างนั้น ลำบากเดือดร้อนกันด้วยประการต่างๆ
สมัยก่อนนี่ คนไม่ชอบติดคุก แล้วก็ไม่ชอบทำชั่วเท่าใด ดูว่าอย่างนี้อยู่ บ้านช่องสมัยก่อนนี่เขาไม่ได้ใส่กุญแจประตูอะไร ปิดเฉยๆ อาตมาจำได้ว่าตั้งแต่เป็นเด็กๆอยู่บ้าน ไม่รู้ว่ากุญแจคืออะไร ไม่รู้หรอก เพียงแต่ปิดประตูมาก็เอาไอ้เชือกนี่ เขาทำเป็นห่วงไว้ ผูกไว้แล้วก็เอาเชือกนั้นสวมไว้ เชือกธรรมดานี่ เชือกกล้วยนี่ เชือกเถาวัลย์อะไรต่างๆนี่ เขามาสวมๆไว้นะ ใครจะเปิดเข้าไปก็ได้ แล้วในบ้านก็มีผ้า มีข้าว มีของวางๆ ใส่อะไรไว้ ห่อๆ ไม่มีหีบมีอะไรใส่หรอก คนสมัยก่อนนี่มีทองก็ห่อๆ แล้วก็วางไว้กับกองผ้า หรือบางทีก็เอาไปซ่อนไว้ที่ยุ้งข้าว ไอ้ยุ้งข้าวมันก็อยู่ในบ้านนี่แหละ แต่ว่าข้าวเขาเก็บเป็นรวง รวมทั้งฟางด้วย อ้าวนี้ก็ขึ้นมาสักสองสามรวง เอาทองใส่ไว้ อย่าให้มันเห็นได้ง่าย มันต้องหา นอกนั้นในเสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอย ถ้วยชามรามไห ก็กองๆอยู่ในห้องบ้านนั่นแหละ ไปไหนก็ไป มีเด็กเล็กๆนั่งเฝ้าบ้าน มียายแก่ไปไหนไม่ได้ ก็นั่งเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว คนเดียวนี่เฝ้าทั้งบ้านนะ เฝ้าทั้งทีห้าหลังที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็เฝ้ากันอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครมารังแกข่มเหงอะไรหรอก อยู่กันอย่างนั้น สภาพมันสบาย ไม่วุ่นวายเดือดร้อน
เมื่อเป็นพระแล้ว ไปที่จังหวัดสตูล ไปสตูลครั้งแรก ไปเห็นบ้านราชการนี่มีรถจอดอยู่ใต้ถุน แล้วก็ประตูเปิดอยู่ ปรากฏว่าไม่มีคนในบ้าน ประตูเปิดอยู่ เลยถามพวกข้าราชการว่า บ้านนั้นเปิดอยู่ทำไมไม่มีคน เขาบอกไม่มีคนหรอกก็เขาไปทำงานกันหมด รถจักรยานก็จอดไว้ใต้ถุน เสื้อผ้าก็ตากไว้ เออไม่กลัวขโมยเหรอ ที่นี่มันไม่มีขโมยนี่ เขาไม่มีใครขโมยกัน เขาอยู่กันสบาย ปัตตานีก็เหมือนกัน อย่างนราธิวาสนี่ พระยาพิบูลย์พิทยพัฒน์นี่แกไปเป็นครูปัตตานี ไปตั้งแต่เป็นนายทอง จนเป็นพระยา อยู่จนเป็นพระยา ท่านบอกว่ามันไม่ค่อยมีขโมยมาลักข้าวลักของ ของในสวน แกขยัน เจ้าคุณนี้ชอบทำสวน ชอบขุดดิน ชอบปลูกพืชปลูกผัก ผลหมากรากไม้เต็ม ไม่มีใครมาขโมย และไม่เคย ประตูบ้านก็ไม่เคยปิด ประตูรั้วก็เปิดอยู่อย่างนั้น เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง บนบ้านก็เปิดหน้าต่างไม่มีลูกกรงเหล็ก ไม่มีกระจกบนกำแพงอะไรทั้งนั้นแหละ รั้วก็อย่างนั้นแหละ รั้วลวดหนามกันเขตเท่านั้นเอง ไม่มีใครเข้าไปขโมยขโจรอะไรกันเลย บ้านเมืองมันสบาย มีความสุข จะไปไหนก็ไป เดินทางไป ไม่เดือดร้อน ไม่มีอะไร ไม่มีใครมาจี้มาปล้นอะไรกัน ทั้งๆที่เดิมในสมัยนั้น เดินทางกันก็ไม่ค่อยมีอะไร เวลานี้มันไม่เป็นอย่างนั้น วุ่นวายกันไปหมดทุกหนทุกแห่ง โจรผู้ร้ายชุกชุม ไอ้พวกลักเล็กลักน้อย และโดยมากก็เป็นคนหนุ่มๆ ที่ไปลักขโมยนี่เป็นคนหนุ่มส่วนมาก
สมัยก่อนนี่ก็มีเหมือนกัน โจรผู้ร้าย ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าเขามีระเบียบ ยังเคารพศีลธรรม ยังนึกถึงอะไรต่ออะไรหลายอย่างนะ เวลาจะไปลักไปขโมยนี่ เขายังมีระเบียบในจิตใจ ครูบาอาจารย์ที่สอนนี่ จะไปนัดอะไรใครนี่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ให้เคารพ เพราะว่าของ ทองที่สวมอยู่ที่ตัวคนนี่เขาไม่เอา ไปขึ้นปล้นบ้านใครนี่สายสร้อยคอ แหวน สายสร้อยข้อมือ อะไรอย่างนี้ สวมอยู่ที่ตัวผู้หญิงนี่ เขาไม่เอานะ โจรสมัยก่อนเขาไม่เอา เขาไม่ปลดเอาไป เขาเอาของที่อยู่นอกกาย ถ้ามีผ้าหลายผืนก็ไม่เอาหมด เอาไปแต่พอสมควร เอาทิ้งไว้ให้เจ้าของบ้านใช้บ้าง เขาไม่ทำทารุณ ไม่ทุบไม่ตีเจ้าของบ้าน ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แต่ว่าขึ้นไปถึงนี่ เจ้าของบ้านก็กลัวตัวสั่นแล้ว ไอ้เสือเอาวา เข้าปล้นแล้ว ถือคบเพลิงนะ สมัยก่อนไม่มีไฟฉาย ถือคบเพลิงขึ้นไป พอเข้าบ้านไป โอ้ไอ้เสือบุก เจ้าของบ้านตัวสั่นแล้ว มีอะไรก็มอบให้หมดแหละ ไม่มีอะไรเหลือแล้วนะ แล้วเขาก็ไปเท่านั้นเอง เดินไป ปรกติ ไม่ต้องหวาดกลัว
เพราะในสมัยนั้นเจ้าหน้าที่ก็น้อยเหมือนกัน ไม่ค่อยมีอะไรหรอก เจ้าหน้าที่ไม่ออกไปเดินนะ อยู่แต่ที่โรงพัก เฝ้าโรงพักเท่านั้นเอง แต่บางทีบนโรงพักก็มีเจ้าหน้าที่คนเดียวอยู่ มันก็ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวนี้ ขืนอยู่คนเดียว ก็มาปล้นโรงพักเท่านั้นเอง เผาโรงพักเสียบ้าง มาปล้นโรงพัก นี่ถ้าสมมติว่า ชาวบ้านมันคิดกันขึ้นนะ จะปล้นโรงพักจังหวัด มันปล้นได้ บางจังหวัด เอามาเดินๆไปอย่างนั้น นี่ถ้ามันมาปล้นๆได้ เพราะว่ามาถึงก็ไม่มีใคร ตำรวจมีไม่กี่คน มันขึ้นมาถึงก็บังคับพวกนั้นเก็บปืนอะไรเรียบร้อย ขึ้นรถยนต์วิ่งออกหนี ออกนอกเมืองไป มันเอาได้นะ แต่มันยังไม่แสดงฤทธิ์ถึงขนาดนั้นหรอก เรียกว่ายังไว้หน้ากันอยู่ ไว้หน้าเจ้าเมือง ไว้หน้าผู้กำกับอยู่ แต่วันไหน มันเกิดไม่ไว้หน้าขึ้นมาแล้ว มันจะเดินเข้ามา เรียกกันมา เป็นหย่อมเป็นพวกมา ตรงทิศนั้นบ้าง ทิศนี้บ้าง มาถึงก็รวมปุ๊บหน้าโรงพักพร้อมเลย ลุกขึ้นไปทำได้ สำเร็จสมความตั้งใจ
อาตมาเคยถามตำรวจ ที่คุ้นเคย ว่านี่ๆเราอยู่ๆนี่ มันปล้นแต่โรงพักบ้านนอกนะ นี่ถ้ามันปล้นโรงพัก กม. นี่ช่วยได้ไหม อย่าไปคิดเลย น่ากลัวว่ะ น่ากลัว เพราะว่ามันไม่ได้อยู่เตรียมพร้อม ตำรวจก็ออกเวรกันไปบ้านหมดแล้ว ใครจะเฝ้า เหลือแต่ยามนี่นั่งเฝ้า หรือมีนายร้อยเวรนั่งอยู่ในห้อง ทำอะไรได้ มันมากันสัก ๕ รถ ไม่รู้มาสัก ๑๐๐ คนนั่นแหละ มา ๑๐๐ คนนั่นแหละ ทำสำเร็จแล้ว วิ่งไม่ทันหรอกจะเอาตำรวจที่ไหนมาช่วยทัน แล้วถึงตำรวจที่ไปบ้าน รู้ ก็มันไม่มาหรอก ตอนนั้น มันจะวิ่งมาทำไมตัวเปล่านะ มารับลูกกระสุนที่เขาแจกทำไม มันเรื่องเดือดร้อนเปล่าๆ พวกนั้นก็เดินลอยชาย เอาข้าวเอาของกลับไปเท่านั้นเอง นี่น่ากลัว
เวลานี้น่ากลัวอันตรายมาก กลางคืนไปไหมมาไหน พวกปล้นไม่สร่าง มีเรื่องบ่อยๆ แต่ว่าโจรมันก็ใช่ว่าปล้นถี่นะ มันนานๆมาปล้นสักทีหนึ่ง เป็นข่าว มันถี่นักก็ไม่ได้ คนมันไม่ไป ไม่มา มันรู้เหมือนกัน พวกนี้นานๆ ย่องเอาสักที แล้วหายเงียบไป ออกเดือนสักสิบเดือนก็ย่องมาเอาอีกทีหนึ่ง มันแบบอย่างนั้น แล้วใครจะไปแก้มันได้ เพราะเขาไม่กลัวเวลานี้ ไม่กลัวปืน ไม่กลัวอาชญากร เออ อาญากรรมที่จะต้องติดคุกติดตาราง ถ้าไม่กลัวบาปตัวเดียวแล้ว หยุดไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะให้คนกลัวบาปขึ้นมาให้มากสักหน่อย คือให้เขารู้จัก รู้ศีลธรรมประจำจิตใจ ตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต คือตั้งแต่ตัวน้อยๆ ไปอบรมบ่มในทางศีลธรรมไว้ให้มากๆ นี่เรื่องในครอบครัว ในบ้าน เราก็ต้องทำอย่างนั้น เรื่องของพ่อแม่ ที่จะต้องสั่งสอนอบรมบ่มนิสัย กันไปตามเรื่องตามราว
คราวนี้ อีกอันหนึ่งที่จะต้องปรับปรุงเหมือนกัน คือ สิ่งแวดล้อม ที่เกิดอยู่ในสังคมเวลานี้ มันอันตรายเหมือนกัน สิ่งแวดล้อมเช่นว่า โรงหนัง โรงอะไรต่างๆ บาร์ ไนท์คลับ ความสนุกสนานที่มันมากเกินไป ฟุ้งเฟ้อกันเกินไป การโฆษณา ฉายภาพ เป็นเครื่องยั่วยุอารมณ์ประเภทต่างๆ อันจะทำคนให้มีจิตใจต่ำ นี่มีมากมาย ออกทางโทรทัศน์บ้าง ออกทางภาพในหน้าหนังสือพิมพ์บ้าง เที่ยวปิดโปสเตอร์ไว้ ตามสถานที่ต่างๆ ล้วนแต่เป็นภาพยั่วกิเลส ก่อให้เกิดราคะ เกิดโทสะ เกิดโมหะขึ้นในจิตใจ สิ่งเหล่านี้มันยั่วยุเด็กทั้งนั้น เด็กหนุ่มมันขาดปัญญา ขาดความคิดความอ่าน ไม่มีห้ามล้อทางจิตใจ เมื่อเขาเห็นอะไร เขาก็ฟุ้งไปตามอารมณ์ ห้ามไม่ได้ แต่พอได้ช่องเขาก็ทำไปตามเรื่องตามราว ทำครั้งแรก ไม่เป็นไร แล้วก็ทำครั้งที่สอง ที่สามต่อไป เพราะคนเราเมื่อทำชั่ว แล้วความชั่วยังไม่ให้ผล คือยังไม่ให้ผลในที่นี้หมายความว่า จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เขาก็กระหยิ่มใจว่า กูเก่งแล้ว ใครๆทำไม่ได้ มันก็ทำต่อไป เบียดเบียนคนต่อไป ในตรอกนั้น ในซอยนั้น สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นบ่อยๆ
เวลาเขานิมนต์ไปตามบ้าน ไปสวดมนต์ตามบ้าน มักจะเอามา มักจะถามว่า เขามาเยี่ยมบ้างหรือยังบ้านนี้ มาสองครั้งแล้ว เอาโทรทัศน์ไปเสียบ้าง เอาวิทยุไปเสียบ้าง เป็นกันเกือบทุกบ้านนี่ ที่เขานิมนต์ไปสวดมนต์ มันไปอะไร ลองถามดูแล้ว มันจะเกือบทั่วไป ไม่ว่าบ้านใคร ข้าราชการ จะเป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นพ่อค้า เขาก็เรียกว่าไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ทำให้มันสม่ำเสมอเรียบร้อยดี ไอ้พวกนี้มันเรียบร้อย เข้าไปทุกบ้านทุกช่อง เฉลี่ยกันไปทั่วๆไป ในซอยเดียว ซอยเดียวนี่เรียกว่าทุกบ้านแล้ว เอาหมดทุกบ้าน ไม่ว่าบ้านใคร แล้วก็ย้ายไปซอยอื่นต่อไป เอาไปเรื่อยๆ
วัดวาอารามเขาก็กลัวว่าหลวงพ่อจะเสียใจ ว่าไม่มาเอาไปเสียบ้าง เราก็มาเอาไปสิ จะได้ให้มันเหมือนกับคนอื่นกัน เวลานี้ทั่วไปทุกทนทุกแห่ง เข้าไปเอาทั้งนั้นไม่ว่าบ้านใคร จะเป็นบ้านผู้รากมากดีอะไรก็ตามใจ ถ้าเข้าได้ มันก็เอาทั้งนั้น มีอย่างนี้ นี่คือความไร้ศีลธรรม ทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นในสังคม ด้วยประการต่างๆ เราได้ข่าว ได้ข่าวเรื่องอย่างนี้ อย่าตกใจ ก็ควรจะมาคิดว่านี่มันเพราะอะไร ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ ต้องตั้งปัญหา ถามตัวเราเองว่า มันเพราะอะไร ทำไมมันจึงได้เกิดอาการเช่นนี้ขึ้นในสังคม ก็ตอบได้อย่างเดียวว่า เพราะจิตใจคนตกต่ำ ไปอยู่กับสิ่งชั่วร้าย ไม่อยู่กับสิ่งดีสิ่งงาม หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คนทิ้งพระกันเสียหมดแล้ว แต่ไปอยู่กับพญามาร แม้จะมีพระก็มีแต่วัตถุ ไม่มีพระที่เป็นคุณธรรมประจำจิตใจ เมื่อเขาไม่มีคุณธรรมประจำจิตใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่มี ความละอายต่อบาป ความกลัวบาปก็ไม่มี ความเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ ผู้ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน มันก็ไม่มี เขาคิดแต่ตัวเขา เอาสบายกันเท่านั้น ก็เลยทำอะไรตามชอบใจ นี่คือโทษมัน เกิดขึ้นอย่างนี้ ก็เพราะว่ามนุษย์ไร้ศีลไร้ธรรม
หน้าที่ของเราจะทำอย่างไร คือเราจะต้องหาทาง ทำอย่างไรก็ตามทีเถอะ เท่าที่เราจะทำกันได้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ช่วยกันดึง ช่วยกันลาก ช่วยกันจูง ให้คนที่อยู่กับเรานั้น ได้เข้าถึงธรรมะ เข้าถึงศาสนาไว้ เอาในครอบครัวเราก่อน ไม่ต้องเข้าไปไกลอะไรนักหนา อยู่ในครอบครัว ในวงครอบครัว ทุกๆครอบครัวต้องพยายามที่จะให้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำในครอบครัว ให้พระธรรมเป็นดวงประทีปนำทางชีวิตของครอบครัว ให้พระอริยสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตใจของเราทั้งหลาย ที่อยู่ในครอบครัวนั้น เอาแคบๆก่อน แล้วก็ใครเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา จะเป็นคนใช้ เป็นอะไรก็ตามใจ เมื่อมาอยู่กับเรา ก็ต้องดึงเข้าหาธรรมะไว้ ต้องเอามาพูดมาแนะนำชักจูง ในการที่จะทำกิจทางศาสนา ให้เขาได้เกิดความคุ้นเคย กับเรื่องของศาสนาไว้ อันนี้จะต้องทำเป็นประจำเสียแล้ว
ทำเป็นประจำคือทำอะไร ต้องมีการนั่งประชุมกัน ไหว้พระสวดมนต์ ในบ้าน ในครอบครัว เอาสั้นๆ ไม่ต้องสวดยาวๆ ภาระหน้าที่มันมาก มานั่งประชุมพร้อมหน้ากัน ถ้าสมมุติว่าพ่อบ้านยังไม่กลับตามเวลา แม่บ้านก็ เอามา ประชุมกัน สวดมนต์กันก่อน ก่อนจะรับประทานอาหารก็ได้ รับประทานอาหารแล้วก่อนจะไปหลับไปนอน มาหมดทุกคน ถึงเวลานั้นต้องมาหมดทุกคน คนใช้ก็ต้องมาด้วย ให้มานั่งสวดมนต์พร้อมหน้า ถือว่าเป็นผู้ต้องรู้ศาสนาด้วยกัน มานั่ง ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็สวดมนต์ไหว้พระกัน นั่งสงบจิตสงบใจ เอาหนังสือธรรมะ มาอ่านสู่กันฟัง ถ้าเรามีเทปอัดเสียงธรรมะไว้ อ้าวเปิดเทปฟังกันนิดหน่อย สัก ๑๐ นาที หรืออะไรๆอย่างนั้น พอเป็นเครื่องเตือนสติ จิตใจกันไว้ แล้วก็พูดยกพูดเตือน มารดามีหน้าที่จะอบรม ก็พูดกันตรงนั้นแหละ ให้รู้ ให้เข้าใจในเรื่องอะไร ให้ทุกคนมีธรรมะประจำจิตใจ อยู่กับพระ อยู่ตลอดเวลา จะพูดจากัน ติดต่อกัน ทำอะไรกัน ก็เรียกว่า มีอย่างคนมีธรรมะ มีความเยือกเย็น มีความสงบ มีความเมตตาปราณีต่อกัน ไม่มีเรื่องเคร่งเครียด เกลียดชังอะไรกัน ในคนเหล่านั้น
หรือแม้แต่คนใช้ที่อยู่ในบ้าน เราก็ต้องพูดกับเขาด้วย เยือกเย็น ด้วยความสงบ ไม่พูดจารุนแรง ไม่ใช้ความโกรธ ไม่ใช้ความเกลียดกับคนเหล่านั้น คนใช้นั้น เป็นคนที่ขาดการศึกษา ขาดการอบรม เขามาจากบ้านนอกบ้านนาที่ไหนก็ไม่รู้ เมื่อมาอยู่ในบ้านของเรา เราค่อยพูดจาแนะนำ เอามาพูดกันเสียก่อนว่า ควรจะทำอย่างนั้น ควรจะทำอย่างนี้ ควรจะประพฤติตนอย่างนั้น ควรจะประพฤติตนอย่างนี้ เรามาอยู่ด้วยกัน ถือว่าเป็นญาติกัน เป็นพี่น้องกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ฉันไม่ได้ถือว่าเธอเป็นคนใช้ เป็นบ่าวของฉัน แต่ฉันถือว่า เป็นสมาชิกในครอบครัวด้วยกัน เรามาอยู่กันอย่างญาติ มีอะไรก็บอก มีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจต้องบอก ต้องการอะไร ก็บอกให้รู้ว่าต้องการอะไร แต่ถ้าเขาไม่บอกเราก็ให้ตามโอกาส อะไรควรให้ได้ ซื้อเสื้อให้เขาบ้าง ผ้านุ่งให้เขาบ้าง อะไรให้เขาบ้างตามสมควร แล้วก็พูดจาทำความเข้าใจกัน แม้ลูกเต้า เราก็ต้องสอนว่าอย่าไปเหยียดหยามคนใช้ อย่าไปใช้วาจาไม่สุภาพ ไม่เหมาะไม่ควรแก่คนเหล่านั้น คืออย่าให้เขามีความรู้สึก น้อยเนื้อต่ำใจ อย่าให้เขาเกิดความรู้สึกว่ามันคนละชั้น เห็นแล้ว ก็ไม่มีอะไร ก็อยู่กันสะดวกสบาย ไม่เกิดเป็นปัญหา
มีคนครอบครัวหนึ่ง ไปพบคนครอบครัวหนึ่ง อันนี้คนในครอบครัวนั้น เขาเรียกว่าเป็นคนเรียบร้อย ประพฤติดีประพฤติชอบ อยู่ในศีล ในธรรม ใจคอสงบเยือกเย็น มีคนขับรถมาอยู่ด้วยคนหนึ่ง อยู่มาตั้งแต่หนุ่ม ตั้งแต่อายุ ๑๘ แล้วก็อยู่มาจนกระทั่งอายุ ๕๐ แล้วก็ยังไม่ไปไหน ยังขับรถอยู่นั่นแหละ อยู่ในบ้านนั้น ไม่ไปไหน อีกบ้านหนึ่งมาเห็น เฮ้อ บ้านนี้ได้คนขับรถมาคนเดียว แล้วมันก็อยู่ ไม่เห็นไปไหนเลย ไอ้ของผมเดี๋ยวคนนั้นมา เดี๋ยวคนนู้นไป มันหลายคนแล้ว ทำไมมันอย่างนั้นล่ะ มันอย่างนั้น นี่ที่เรียกว่าความผิดกันในระหว่าง ๒ ครอบครัวนั่นเอง ในครอบครัวนี้ คนขับรถที่มาอยู่ เขาถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัว อยู่กันไป กินเหมือนกัน เรากินอย่างไร คนขับรถก็กินอย่างนั้น ทำอะไรก็เหมือนๆกัน แล้วก็คนขับรถก็เคารพนายดี เคารพว่านายนี่ใจดี จะใช้ไปไหนทำอะไรก็อยู่กัน เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่กันอยู่ คนขับรถคนนั้นเดี๋ยวนี้อายุ ๗๐ แล้ว ก็ยังอยู่กับครอบครัวนั้น มีเมียแล้วก็มีลูก ก็อยู่ในครอบครัวนั้น ทำงานอื่นต่อไป ลูกโตก็ทำงานต่อไป ไม่ไปไหน ทั้งๆที่มีฝีมือในการขับรถ เรื่องขับรถเรียกว่าหมูเลยทีเดียว จะไปไหนขับเรียบร้อย ออกรถเรียบร้อย ขับเรียบร้อย ไม่มีกระตุกกระตักเรื่องขับรถ เรียบร้อยมาก ใครๆ ก็อยากได้ทั้งนั้น มาชวนกัน แกก็ไม่ไป จะอยู่กับครอบครัวนี้ มันต้องมีอะไรดี ในครอบครัวนั้นต้องมีเสน่ห์ เป็นเครื่องดึงรั้งจิตใจคนนั้นให้อยู่ แต่ว่าในครอบครัวหนึ่งที่มาคุยด้วยบอก มันอยู่ไม่นานมันก็ไปแล้ว แล้วคนอื่นมา มันก็ไม่นานก็ไปอีก ทำไมอย่างนั้น นี่คนมีความแตกต่างกัน
เมื่อสังเกตุดูว่าทำไมถึงอยู่นั่น เขาประพฤติธรรมเหมือนกัน คือมีเครื่องประสานน้ำใจ เครื่องประสานน้ำใจที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ มันมี ๔ ประการ คือ ๑ ให้ เรียกว่าทาน คือการให้, ปิยวาจา พูดจาอ่อนหวาน, อัตถจริยา กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เขา, สมานัตตา ไม่ถือเนื้อถือตัว ๔ อย่าง เรื่องให้ “ททํ มิตฺตานิ คนฺถติ” ผู้ให้ย่อมสมานไมตรีไว้ได้ เราให้อะไรเขานี่ สมานมิตรไว้ได้ ผูกพันจิตใจกันไว้ได้ ถ้าเรามีการให้อยู่ สม่ำเสมอ เป็นครั้งเป็นคราว เช่นให้ เสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว ให้นั่นให้นี่ อะไรต่างๆ เท่าที่เขาพอจะ ต้องการขึ้นมา หรือว่าให้ ให้เขาพอสบายใจ เราก็ให้เขา ถ้าเขาพูดจา ใช้คำเยือกเย็นอ่อนหวาน ไม่เคยพูดหยาบกับเขา ไม่รุนแรงกับเขา
เรื่องพูดนี่ก็สำคัญเหมือนกัน คนเราต้องรู้เวลา เวลาหิวอยู่นี่ อย่าไปพูดมากกับใครๆ คนๆหิวอย่าไปยุ่งอะไรเขา ถ้าเขาหิวมาให้เขากินข้าว ให้กินให้สบาย อย่าไปดุไปอะไรกับเขาในเวลานั้น เช่นเขาไปขับรถไกลๆ กลับมาถึง ไปถามว่าทำไมช้านักล่ะ มาจนป่านนี้ คนอารมณ์มันหิว ใจมันไม่ดี อารมณ์มันร้อน เสียงก็ปึงปังโผงผางขึ้นมาได้ ถ้ามาอย่างนั้น อย่าไปพูดเรื่องช้าเรื่องอะไร อย่าไปพูดเลย อ้าวมาแล้วเรอะ ไปกินข้าวเสีย กับข้าวอะไรก็มีอยู่พร้อมแล้ว มาคงจะเหน็ดเหนื่อย ไปกินข้าวเสียก่อน ไอ้เรื่องมาแล้วก็แล้วไป ค่อยพูดเรื่องอื่นทีหลัง ว่างๆค่อยคุยกัน พูดจากับเขาอย่างนั้น ทำให้เขาสบายใจ ไม่เกิดเป็นปัญหา
อันนี้บางคนมาถึงก็กราดเอาเลย เจอตัวมันโกรธอยู่แล้ว บ่นอยู่แล้ว ทำไมมันช้า ทำไมยังไม่มา นั่งคอยๆ พอเข้ามาถึงก็สาดแพล็บเดียว อย่างนี้เขาเรียกว่าเอาน้ำมันราดบนกองเพลิง มันก็ลุกพรึบพรับขึ้นมา เดี๋ยวกองเพลิงก็ไหม้เราเข้าด้วย เกิดเป็นปัญหา อันนี้เสียหาย เรื่องอย่างนี้มี ความเสียหายมีอยู่ ได้ยินข่าว ที่ว่านายฆ่าคนใช้อะไร ก็อาศัยเรื่องอย่างนี้ เรื่องพูดเรื่องจานี่ก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะต้องระวัง ในการที่จะพูดอะไรกับเขา เวลาไหน ควรจะพูดอะไร ใช้ถ้อยคำประเภทใด ต้องดูอารมณ์คน ว่าใจร้อน ใจเย็น ใจสงบ หรือใจกำลังวู่วาม ด้วยอารมณ์ต่างๆ เราก็ควรจะพูด ให้มันพอเหมาะพอดี อันนี้การพูดมีอีกอย่างหนึ่ง อย่าไปจ้ำชี้จ้ำไชอะไรมากเกินไป เราอย่านึกว่าเขาเป็นเด็กมากเกินไป พูดอะไรสักคราวหนึ่งก็พอรู้เรื่องแล้ว ถ้าหากว่านั่นอีก ก็อย่าไปจ้ำจี้จ้ำไชเขามากเกินไป ทำให้เขารำคาญ ทำให้เขาคิดว่า แหมคิดว่าเราเป็นเด็กอมมือไปได้ เกิดอารมณ์ขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ปึงปังโผงผางอะไรกันขึ้นเท่านั้นเอง นี่เรื่องพูด
เรื่องทำตนให้เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นประโยชน์แก่เขา ให้เขา ให้เขาจับ ให้เขาทำ ตามโอกาสที่จะทำได้ อย่าไปขัดประโยชน์เขา ตามสมควร แก่เรื่องแก่เหตุการณ์ แล้วไม่ถือเนื้อถือตัวเกินไป ทำความสนิทสนมกันบ้าง พูดจากัน เหมือนกับคนเป็นกันเองบางโอกาส บางเวลาอะไรอย่างนี้ ความเป็นกันเองมันก็เกิดขึ้น ความสนิทสนมก็จะเกิดขึ้น การอยู่กันก็อยู่กันด้วยน้ำใจ คนเราถ้าอยู่กันด้วยน้ำใจนี่มันสบาย ถ้าอยู่ด้วยเงินนี่ไม่สบายหรอก เงินขาดไป มันก็ไม่สบายแล้ว เงินน้อยไปมันก็ไม่สบายแล้ว ที่อื่นให้มากเขาก็ไปแล้ว เพราะเขาอยู่ด้วยเงิน อย่างนี้มันไม่ได้ แต่ถ้าอยู่กันด้วยน้ำใจแล้ว เขาไม่ไปไหน เขาจะอยู่กับเราตลอดไป เพราะเขารักเรา เขาเห็นใจเรา เขาเกิดสงสารเรา บางทีเราได้ยินคนบางคนพูดว่า ผมจะไปก็ไปไม่ได้ สงสารท่าน เอออย่างนี้ ไอ้นี่เขาผูกใจกันไว้แล้ว เขาสงสาร สงสารแล้วมันไปไม่ได้ แต่ถ้าไม่สงสารก็ไปได้ เมื่อไม่รักจริงก็ไป ตามอารมณ์ของเขา เขาชอบอะไรเขาก็ไป เพราะว่าเขาไม่ได้รักจริง ไม่ได้เคารพจริง เขาไปตามเรื่อง แต่ถ้าว่าเขารักเขาเคารพมันก็ไม่เป็นไร อย่างนี้เป็นตัวอย่าง ที่ว่าการอยู่กันในครอบครัว
กับคนทำงานทำการนี่ จะต้องรู้จักเอาอกเอาใจ โอภาปราศัย ความจริงเราผู้เป็นหัวหน้าคน หรือว่าเป็นนายคน เป็นอะไรก็ตาม ไม่ต้องมากหรอก เพียงแต่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายปราศัย อ้าวเป็นอย่างไร สบายดีหรือ ไปพบคนนั้น คนนี้ก็ หมั่นเยี่ยม หมั่นเยียน พูดจาโอภาปราศัย มีอะไรก็ให้เขาบ้าง เล็กๆน้อยๆ ให้พ่อมันไม่ไหว ก็ให้ลูกมัน มีอะไรก็ให้ลูกเขา ให้ลูกนี่ก็ให้ไม่มาก เป็นขนมบ้าง ของเล่นบ้าง เสื้อผ้าตัวน้อยๆ ตัวมันเล็กนี่ไง แต่ให้พ่อตัวมันใหญ่ มันก็แพงหน่อย อันนี้เราไม่ให้พ่อ ให้ลูกมัน ให้ลูกมันก็ไปถูกพ่อถูกแม่เองแหละ เหมือนตีวัวกระทบคราดอย่างนี้ แต่กระทบดีไม่เป็นไร ไม่ใช่กระทบในทางเสีย เราก็ให้ลูกเขา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เอาใจใส่ดูแล เอาไปโรงพยาบาล ช่วยรักษาให้ ความมีน้ำใจก็จะเกิดขึ้น ก็อยู่กันด้วยความสงบ ไม่สร้างปัญหา อันนี้เรื่องภายในครอบครัว ภายในคนงานคนการ เราก็ต้องหาช่วยไปตามเรื่อง
ทีนี้ใหญ่ออกไปกว่านั้น ในโรงงาน เราอยู่กับคนในงาน สมมุติว่าทำราชการ เรามีลูกน้องกี่คน ลูกน้องเรานี่ กี่คนๆก็ตาม ต้องพยายามที่จะดึงเข้าหาธรรมะไว้ พูดจาแนะนำชักจูง ให้เกิดความเลื่อมใสในศาสนา ให้เห็นคุณค่าของธรรมะ ที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เราเองที่เป็นหัวหน้าก็ต้องประพฤติธรรม การประพฤติธรรม ของคนที่เป็นหัวหน้านั้น ที่สำคัญก็มีอยู่ประการหนึ่ง คือว่า ไม่ลำเอียง ไม่ลำเอียง เที่ยงธรรม มีความเที่ยงตรง ในผู้ที่อยู่กับเราทุกคน ทุกคนที่อยู่กับเราถือว่าเสมอกัน เรารักเท่ากัน ทำน้ำใจให้เหมือนกับพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคท่านตรัสว่า “ใจของตถาคตในพระราหุล ในเทวทัต ในองคุลีมาล ในช้างธนบาลเหมือนกัน” เหมือนกัน น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า ในสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน คือในพระราหุลเท่ากับเป็นลูก ลูกของพระองค์ ในพระเทวทัตซึ่งเป็นคนอันธพาล ยอดอันธพาล เรียกว่าหาเรื่องรบกวนพระพุทธเจ้า เป็นยอดอันธพาลแล้ว องคุลีมาลเป็นโจรใจร้าย ฆ่าคนมามาก ช้างธนบาลคือช้างที่เทวทัตมอมเหล้าแล้วก็ปล่อยให้มาชนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า พระราหุล พระเทวทัต องคุลีมาล ช้างธนบาล พระองค์วางน้ำใจเสมอกัน เท่าเทียมกัน ไม่ได้เลือกที่รักผลักที่ชัง ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างนั้น ไม่ลำเอียงเข้าข้างนี้ ถือเท่ากัน น้ำใจเสมอเหมือนกัน
อันนี้สำคัญมาก เราเป็นหัวหน้าคน เป็นผู้ใหญ่ ลูกน้องก็ต้องอย่างนั้น ให้สม่ำเสมอกัน ไม่มีลำเอียงว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ ให้ความเสมอภาค พูดภาษาชาวบ้าน เขาเรียกว่าให้ความเสมอภาคแก่คนเหล่านั้น ทัดเทียมกัน อะไรควรจะได้ ก็ได้เสมอกัน เว้นไว้แต่ว่า มีความดีความชอบเป็นพิเศษ ใครมีความดีความชอบเป็นพิเศษ ต้องประชุมทันที ประชุมลูกน้อง เพื่อจะยกย่องคนนั้น ว่าเป็นคนดีเป็นพิเศษ ในเรื่องนั้นในเรื่องนี้ แล้วก็ จะได้อะไรเป็นพิเศษ ให้ใครๆเขาเห็นว่าที่ได้น่ะ เพราะอะไร ไม่ใช่งุบงิบๆทำไปรายงานไป แต่ไม่มีใครรู้ อันนี้มักจะขาด เราไม่ค่อยจะประชุมกัน ประชุมลูกน้อง ต้องประชุมให้รู้ คนนี้เขาทำดีอย่างนั้น ทำดีอย่างนี้ มีการประชุมประจำสัปดาห์ ประชุมประจำเดือน เดือนหนึ่งมันนานนัก ตั้งเดือนหนึ่งถึงจะประชุมกันที มันไม่ค่อยดีหรอก ต้องประชุมบ่อยๆ
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคนอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนนี่ ต้องประชุมบ่อยๆ ประชุมกันบ่อยๆ การประชุมกันบ่อยๆนั้น จะได้พบหน้าพบตากัน จะได้มีอะไรมาแก้ไขกัน ถ้ามีปัญหาข้อข้องใจ ก็จะได้มาแก้กันเสีย แต่เอามาเปิดเผย มาทำความเข้าใจกัน ถ้านานๆประชุมที แหมมันอัดอยู่นาน อัดนานไม่ได้ระบาย มันจะระเบิดออกมา จะเกิดเป็นปัญหาสร้างความทุกข์ ความเดือดร้อน ถ้าเรามีการประชุมบ่อยๆ เช่นว่า ประชุมสัปดาห์ละครั้ง ถี่ขึ้นมาหน่อย เดือนหนึ่งตั้ง ๔ ครั้ง แต่ถ้าเดือนละครั้ง แหมมันนานเหลือเกิน เอาสัปดาห์ละครั้ง วันสุดสัปดาห์ เช่นว่าวันศุกร์ หรือเอาวันเสาร์สุดสัปดาห์ แต่วันเสาร์หยุดงาน วันศุกร์สุดสัปดาห์ วันนั้นต้องมาประชุมกันที ประชุมแล้วก็แนะนำ ตักเตือน ชี้แนะแนวทางกัน เรื่องนั้น เรื่องนี้ ให้ทุกคนได้พิจารณาตัวเอง ได้ตักเตือนตัวเอง ได้มีการแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น แล้วก็ชวนให้สำนึกถึงหน้าที่การงาน อันเรารับผิดชอบต่อประชาชน ต่อชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลาย ที่เขาไว้วางใจเรา มอบหมายให้เรามาปฏิบัติหน้าที่ ในส่วนนั้น ในส่วนนี้
คนเรามันต้องรักษาเกียรติ รักษาคุณงามความดีของตนไว้ เมื่อคนอื่นให้เกียรติเรา เราก็ต้องรักษาเกียรติของเราไว้ ถ้าเขาให้เกียรติเราแล้ว เราไม่รักษา เกียรตินั้นมันจะอยู่ได้อย่างไร เราก็ทำลายตัวเอง ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เอามาพูดกันบ่อยๆ ในเรื่องที่ควรจะพูดจาแนะนำตักเตือนกัน แล้วคนไหนทำอะไรดี เป็นพิเศษในรอบ ๗ วันนั้น ก็ยกย่องชมเชยให้ปรากฏแก่คนอื่น ว่าคนนั้นเขาดี เขาทำอย่างนั้น เขาทำอย่างนี้ เขารักหน้าที่ เขาขยันขันแข็ง เขาเอาใจใส่ เขาใช้สติปัญญา ในการปฏิบัติงานในหน้าที่ เป็นประโยชน์แก่ราชการ หรือเป็นประโยชน์เป็นความสุขแก่ส่วนรวม ควรจะเอาตัวอย่างกัน พูดอย่างนั้น คนที่มาฟังก็จะได้เกิดอารมณ์ขึ้นบ้าง ว่า เออ คนทำดีมีคนชมนี่ มีคนให้เกียรติ มีคนยกย่อง อันนี้ถ้าทำดี ไม่มีใครยกย่อง ไม่มีใครให้เกียรติ เขาก็ไม่ ไม่อยากจะทำดี เพราะทำไปก็เท่านั้นแหละ เขานึกอย่างนั้น
เรามาประชุมปรึกษาหารือกัน บางครั้งบางคราวเราจะให้เกียรติแก่ลูกน้องของเราบ้าง บอกว่าในหมู่พวกเรานี่ มีความคิดเห็นอะไรบ้างในเรื่องนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เราถามความเห็นเสียบ้าง ดูว่าพวกเราลูกน้องเรา มันพอจะมีหัวบ้างไหม ที่จะมีหัวคิดริเริ่ม คิดก้าวหน้า คิดปรับปรุงอะไรต่ออะไร ในกิจการที่ทำอยู่นี่ มันจะมีบ้างไหม มันต้องมีแหละ แต่ว่าบางทีเราไม่ให้โอกาส ให้เขาแสดงความคิดความเห็น ถ้าเราเปิดโอกาสอย่างนั้น เออคนนั้นก็อยากจะแสดง คนนี้ก็อยากจะแสดง มากมายก่ายกองขึ้นมาทีเดียวแหละ
เหมือนกับคุณสัญญา ธรรมศักดิ์แกบอกว่า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีตอนนี้ ได้รู้อะไรหลายอย่าง ถามว่ารู้อะไรล่ะ รู้ว่าเมืองไทยนี้คนฉลาดเยอะ รู้ได้อย่างไรล่ะว่าเมืองไทยคนฉลาดเยอะ เห็นเขียนจดหมายไปแนะรัฐมนตรี นายกทุกวัน ว่าอย่างนั้น เขียนจดหมายบอกนายกให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แสดงว่าคนฉลาดมันเยอะ ในเมืองไทย ไม่เป็นนายกไม่มีใครแนะ พอเป็นเท่านั้นมีคนแนะไปเรื่อย อุตส่าห์เขียนแนะไปอย่างนั้น อย่างนี้ ถึงได้ทราบว่าเมืองไทยมีคนฉลาดมันเยอะเหมือนกัน มีอย่างนั้น
มีในหมู่พวกเราที่ทำงานด้วยกันนี่ก็เหมือนกัน ว่างๆก็ เอ้า ลองหยั่งความคิดความเห็นมันเสียหน่อย ว่าใครจะมีความคิดเห็นอย่างไร ให้แสดงความคิดเห็น ถ้าไม่กล้าแสดงด้วยปาก บางทีเกรงใจนายไม่กล้าเหมือนกัน เอ้า ให้เขียนมาแสดงความคิดความเห็นในเรื่องนี้ ว่าควรจะทำอย่างไร อะไรบ้าง แล้วเอามา ถ้าสมมุติว่า เรามองเห็นว่าของใครมันดีเข้าท่า เราจะเอาไปใช้ ก็ประกาศเลยอันนี้เป็นของนายสิบคนนั้น เป็นของคุณคนนั้น เป็นของคุณคนนี้ ที่ได้แสดงความคิดความเห็นมา นึกว่าเป็นประโยชน์ จะต้องเอามาปฏิบัติกันต่อไป คนนั้นก็ภูมิใจ ภูมิใจว่าแหมนายเรานี่ให้เกียรติแก่เรา รับเอาความคิดความเห็นของเราไปใช้ แล้วก็ไม่แอบรับเอาไปเฉยๆ ยังประกาศให้คนอื่นรู้อีก นี่คือกำลังใจ ที่เราให้แก่ผู้น้อยของเรา แล้วคนนั้นจะรักเรา เอ็นดูเราขึ้นมาทีเดียวล่ะ เราจะทำอะไร ขอร้องอะไร เขาต้องทำให้แก่เราทุกอย่าง เพราะเรารักเขา เราเคารพเขา เราให้เกียรติแก่เขา
คนเราถ้าส่งอะไรออกไป มันก็กลับมา เราส่งความรักไป มันก็ได้ความรักมา ส่งความเกลียดไป มันก็ได้ความเกลียดมา ส่งความรู้สึกนึกคิดในทางไหน มันก็กลับมาหาเราในทางนั้น อันนี้ก็เข้าทีเหมือนกัน ถ้าเราได้ใช้ ในเรื่องอย่างนี้ แต่อย่างสม่ำเสมอ ไม่มีความลำเอียง คือไม่มีคนของเรา ไม่มีคนของเขา เวลานี้มันมากนะ ในวงสังคมนี่ มีคนของคนนั้น คนของคนนี้ อะไรต่างๆอย่างนี้ มันยุ่งนะ ก็เคยไปพูด ก็บอกว่าอย่าไปเป็นของใครเข้า มันยุ่ง ให้เป็นของประชาชนแล้วมันก็ไม่ยุ่ง หรือถ้าพูดอีกย่างหนึ่งว่า ให้เป็นของในหลวงก็แล้วกัน เป็นคนในหลวง เช่น เราเป็นข้าราชการ เราเป็นคนในหลวง เราไม่เป็นของคนนั้น ไม่เป็นของคนนี้ แต่ว่าเราทำงาน เพื่อในหลวง เพื่อประชาชน
ถ้าไปเป็นคนของคนนี้ อ้าวพอคนนี้ออก เราว่างอีกแล้ว นายเราไปเสียแล้ว ต้องหานายใหม่อีก แต่มันยุ่งไหม อย่างนี้มันยุ่ง อันนี้เราไม่เป็นคนของใคร แต่เราเป็นคนของงาน เราทำงานด้วยความตั้งใจ ทำงานให้ดี ทำงานให้เจริญ ให้ก้าวหน้า ใครๆเขามา เขาก็ต้องการคนรักงานเท่านั้น ถ้าเป็นคนดีนะ คนดีมันก็ต้องการคนรักงาน คนขยัน คนเอาใจใส่ เราทำอย่างนั้น เขาก็ต้องใช้เราอยู่ดี เราก็ไม่ลำบาก เขาเรียกว่าพึ่งงานดีกว่าพึ่งคน พึ่งงานได้แก่พึ่งธรรมะ ถ้าเราพึ่งธรรมะนี่มันไม่ยุ่ง แต่ถ้าพึ่งคนมันก็ยุ่ง แล้วถ้าเราจะให้คนรักเรา เราต้องรักงาน ทำงานให้ดี หัวหน้าก็รักเราเป็นธรรมดา เราแนะนำเขาในเรื่องอย่างนั้น ทำให้ทุกคนได้สำนึก ในหน้าที่ ในการงาน การอยู่กันก็จะเรียบร้อย นอกไปจากนั้นเรามีเพื่อนฝูงมิตรสหาย ขอให้ช่วยกันชักจูงแนะนำกันในทางธรรมะ เพราะธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ ช่วยชาติ ช่วยประเทศได้ ถ้าไม่ชักไม่จูงกันในแง่นี้แล้ว จะไปไม่รอด บ้านเมืองจะลำบากเดือดร้อน บ้านเมืองเสีย ก็เพราะคนมันเสียก่อน ถ้าคนดี บ้านเมืองก็ดี เพราะบ้านเมืองมันไม่มีชีวิตจิตใจ คนนี่มันมีจิตมีใจ ถ้าคนดี บ้านเมืองก็ดี ถ้าคนเสีย บ้านเมืองก็พลอยเสียไปด้วย เหตุการณ์มันเป็นเช่นนี้ จึงนำมาคุยสู่กันฟังในวันนี้ ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติการกล่าวธรรมกถาไว้แต่เพียงนี้