แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวันก่อนนี้ก็ได้พูดให้ญาติโยมฟังในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของคนเราน่ะ วันนี้ก็ใคร่ที่จะทำความเข้าใจในเรื่องบางประการเกี่ยวกับชีวิตต่อไป เพื่อเป็นเครื่องชี้แนะแนวทางชีวิต มีเด็กๆนี่ที่เข้ามาบวชที่วัดนี้บางคนก็มีปัญหา แล้วก็เมี่อปรารภปัญหานั้นให้อาตมาฟัง เขาน้ำตาไหลนองหน้า แสดงว่าเขามีความทุกข์ในใจจะต้องปลอบโยนกันไปตามเรื่องตามราว เวลาที่เขาจะลาสิกขากลับไปอยู่บ้าน เขาไม่ได้ร่าเริงไม่ได้แจ่มใสแต่ว่าเขามีความทุกข์อยู่ในใจ อาตมาก็ปลอบโยนเขาว่า “เราอย่าเป็นทุกข์ ไปอยู่ที่บ้านนั้น อย่ากลุ้มใจให้ทำใจให้ดีให้ต่อสู้อุปสรรคที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิต ใครเขาพูดอะไรกับเธอในเรื่องใดก็ตามอย่าเอามาน้อยอกน้อยใจ ทำใจให้เย็นให้สงบให้ถือเอาคำพูดที่เขาล้อเลียนเรานั้น เป็นกำลังใจที่จะให้เราคิดก้าวหน้าในการศึกษาเล่าเรียนต่อไป” แนะนำเขาไปในรูปอย่างนั้นแล้วเขาก็ลาจากไป
ด้วยความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสบายใจ ทำไมเด็กนั่นไม่สบายใจเพราะว่าเขาไม่มีความอบอุ่นด้วยความรักในครอบครัวที่เขาอยู่อาศัย เพราะว่าคุณแม่ก็ไม่อยู่ คุณพ่อนะอยู่ล่ะแต่ว่าคุณพ่อก็มีแม่เป็นคนใหม่ไม่ใช่แม่ของเขา อันนี้เพื่อนเด็กๆที่อยู่ในครอบครัวน่ะเรียกว่าชั้นเดียวกัน ก็พูดจากระทบกระเทียบเปรียบเปรยอะไรบ่อยๆทำให้เขาไม่สบายใจ แล้วเขาหาทางออกด้วยการซุกซนเล่นโน่นเล่นนี่อะไรไปตามเรื่อง ใครๆก็บ่นว่ามันซนเหลือเกินน่ะแต่ไม่ได้ศึกษาสาเหตุว่าเขาซนเพราะอะไร ที่เขาซนนั้นก็เพราะว่าเขาหาทางออก เลยไปเล่นกับสิ่งนั้นไปเล่นสิ่งนี้ ไปทำเรื่องนั้นไปทำเรื่องนี้หลายเรื่องหลายประการ อาตมาก็พบว่า อ๋อเขาไม่มีทางออกเลยก็ต้องหาทางออกด้วยการซุกซนในรูปอะไรต่างๆไปตามเรื่องตามราว เวลาอยู่วัดนี่เขาก็ไม่ค่อยซนเท่าใด แต่ว่าตามวิสัยของเด็กก็ต้องวิ่งไปเล่นไปอะไรตามเรื่อง ชอบแมวชอบหมา ทำไมเขาไปชอบแมวชอบหมาที่อยู่ที่กุฏิ เขาสบายใจเขาได้เพื่อนน่ะได้ไอ้โทน แล้วก็บางทีก็กอดคอไอ้โทนนะ ไอ้โทนนอนก็ไปนอนกอดไอ้เจ้าโทนด้วย เอาแมวมากอดอะไรอย่างงี้ อาตมาดูๆแล้วก็ อ้อเจ้านี่มันขาดความรักขาดความอบอุ่น เลยก็ต้องเอาหมาเป็นเพื่อนบ้าง เอาแมวเป็นเพื่อนบ้างจะได้เกิดความสบายใจ (04.04) เวลาสึกไปแล้วนี่ อย่าว่าแต่คนเลย ไอ้โทนมันก็ยังไม่สบายใจ มันรู้สึกว้าเหว่ไม่มีเพื่อนเล่น
คราวก่อนนี้ มีเพื่อนสามเณรหนูเป็นเพื่อนเล่น อันนี้ (04.20) หม่าฝนเขาจัดการให้ไปอยู่วัดดาวดึงส์ไปเลื่อนชั้นให้มันสูงขึ้นไปสักหน่อย ไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ซะเลย เพราะว่าไปอยู่นั่นจะได้เรียน เขามีเณรหลายรูปที่เขารับไว้แล้วควบคุมให้เรียนหนังสือ ที่นี่เณรมันน้อยเลยเอาไปไว้ (04.39) ที่นั้น ออกไปอยู่ (04.42) ที่โน้นแต่ก็ไม่สบายใจ กลับมาบอกว่า “แหมไม่ไหวล่ะอาหารการกินแย่” บอกว่า “เราน่ะอย่าไปคิดถึงเรื่องกินคิดถึงเรื่องเรียนหนังสือ ต้องเรียนให้ได้สามประโยค ถึงจะกลับมาวัดชลประทานได้” เอาเข้าไปไอ้โทนมันก็เสียเพื่อนไปอีกคนหนึ่ง มันก็เศร้าๆเที่ยวเดินหา เช้าก็เที่ยววิ่งเที่ยวหาไปดมเณร (05.08) รูปนั้นเณร (05.09) รูปนี้ มันไม่ใช่เณรกูนี่หว่า ดมแล้วมันก็ปัดก้นไป แสดงว่ามันกลุ้มใจเหมือนกัน มันต้องการความอบอุ่นทางใจ แล้วก็มีเณรใหม่เข้ามาทดแทนมันก็ได้วิ่งได้เต้นสนุกกันไป เวลาเดินไปทำวัตร เณรก็ม้วนเสื่อมันก็คาบลากไปวางไว้ เณรปูนั่งทำวัตรแล้วมันก็ไม่ไปไหนไปนอนอยู่ข้างหลังเณรนอนอยู่นั่น ทำวัดเสร็จฟังการอบรมมันก็นอนอยู่นั่น พอเณรลุกขึ้นมันก็ลุกขึ้นพรึบพรับไปอีกเหมือนกัน น่ะมันยังงั้น เลยเรามานึกดูว่า อ้อคนเรามันก็ต้องการความอบอุ่นทางจิตใจ ก็คือความรักนั่นเอง ความเห็นอกเห็นใจนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญในชีวิตของแต่ละคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นคนเราจึงเที่ยวแสวงหาสิ่งที่จะให้เกิดความอบอุ่นทางใจ เราจึงเห็นว่าคนเรานี่หาทางระบายด้วยวิธีการต่างๆ ที่เราเล่นต้นไม้กับปลูกดอกไม้เล่น เล่นตุ๊กตา หาหนังสือมาเป็นเพื่อนเล่นหรือทำอะไรให้มันเพลิดเพลินนั่นมันเป็นเรื่องจิตใจทั้งนั้น เป็นเรื่องของความต้องการทางจิตใจ ไม่รู้จะทำอะไรก็หาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาประเล้าประโลมใจพอให้เกิดความสบายใจไป บางคนก็หาความสบายใจด้วยการทำงาน คือได้ทำงานแล้วก็สบายใจ ได้ทำเรื่องนั้นทำเรื่องนี้สบายใจ อาตมานี่ก็สบายใจอยู่กับเรื่องไปเทศน์ ไปเทศน์ญาติเทศน์โยมที่โน่นที่นี่ แม้จะเดินทางขลุกขลักหน่อย ลำบากหน่อยก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนใจอะไรเพราะนึกว่าเราได้ไปทำงานที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เมื่อไปถึงก็ร่าเริงได้คุยกับคนนั้นคุยกับคนนี้ ไต่ถามเขาบางคนดูหน้าเศร้าสร้อยก็ไปชวนพูดไปชวนคุยให้เกิดความสบายใจ ถามเรื่องว่า “เป็นทุกข์อะไร” ก็ชี้แนะแนวทางให้เขา คุยกันตามเรื่องตามราว มันก็มีความสุขไปในเรื่องอย่างนั้นหรือสุขไปด้วยการศึกษาหาความรู้ อ่านหนังสืออะไรต่อไร เพลินไปกับเรื่องอย่างนี้ อันนี้คือความเพลิดเพลินใจ
มนุษย์เรานี้อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีอะไรเป็นเรื่องให้เกิดความเพลิดเพลินทางจิตใจ แต่ว่าความเพลิดเพลินทางใจนั้นมันก็มี ๒ แบบ คือ ความเพลิดเพลินในทางที่เกิดจากความรักความใคร่ คือ เรื่องของกิเลส มีความใคร่ปะปนอยู่ในความเพลิดเพลินสนุกสนานนั้นๆ เราก็แสวงหาวัตถุหาสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อความเพลิดเพลินใจสบายใจนั่นเป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งนั้นอาจจะไม่มีเรื่องกิเลสเข้าไปเจือปน แต่เป็นความเพลิดเพลินด้วยจิตที่มีคุณธรรม ความเพลิดเพลินด้วยจิตที่มีคุณธรรมนั้น ระดับใจเขาสูงขึ้นมีความเสียสละมากขึ้น มีความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เขาทำมากขึ้น เห็นประโยชน์เห็นความสุขแก่ส่วนรวมมากขึ้น อันนี้เป็นความเพลิดเพลินที่สูงขึ้นไปหรือจะเรียกว่าเป็นความรักก็ได้ แต่เป็นความรักที่สูงขึ้นไป มันเป็นความรักที่มีความเคารพ ไม่ใช่รักเฉยๆ (08.55) อันรักเฉยๆนี้มันไม่ค่อยจะดีเท่าใด แต่ว่ามีความรักเคารพต่อสิ่งนั้นต่อสิ่งนี้ขึ้นมาก็จะมีความเกรงอกเกรงใจ แล้วก็ไม่อยากจะทำอะไรให้คนที่เราเคารพรักนั้นพลาดหวังเสียอกเสียใจในเรื่องอะไรต่างๆ และอย่างเช่นว่า บุตรธิดาในครอบครัวของเรานี้ ถ้าเขามีความรักคุณพ่อคุณแม่อย่างชนิดที่เรียกว่าทั้งรักทั้งเคารพ เราเรียกว่ามีความเคารพรักนะ ถ้าสองคำนี้มาอยู่ด้วยกันแล้วน้ำใจที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่นั้นหนักแน่นมาก เพราะมีความเคารพในฐานะผู้มีพระคุณได้เลี้ยงเรามาให้อะไรแก่เราทุกสิ่งทุกอย่าง เคยคิดบ่อยๆ คิดว่าชีวิตเรานี้เริ่มจากใคร ก็เริ่มจากคุณพ่อคุณแม่ ท่านเกิดเรามา ท่านเลี้ยงเรามา ท่านให้การศึกษาเล่าเรียนให้ทรัพย์สมบัติไปตั้งเนื้อตั้งตัว แล้วก็เป็นเพื่อนในยามทุกข์ในยามยาก เป็นเพื่อนแท้ในครอบครัวอย่างแท้จริง นึกคิดบ่อยๆชอบถามปัญหาในเรื่องนี้บ่อยๆ เช่นถามว่า เราเกิดมาจากใคร ใครเลี้ยงเรา เราได้ศึกษาเล่าเรียนเพราะใคร เรามีเกียรติมีชื่อเสียงอยู่ได้ก็เพราะใคร ยามทุกข์ยากลำบากในจิตใจใครมาปลอบโยนเราให้ความอบอุ่นในทางจิตใจแก่เราน่ะ ถามอย่างนั้นก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความเคารพก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความรักก็ยิ่งเพิ่มในพระคุณทั้งสองคนนั้นมากยิ่งขึ้น คนที่มีความเคารพมีความรักต่อพ่อแม่อย่างหนักแน่นเต็มเปี่ยมอยู่ในใจแล้ว เขาจะไม่ทำชั่วจะไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ แต่ว่าจะคอยเอาอกเอาใจ ปฏิบัติวัตรฐาก ให้ท่านสบายใจอยู่ตลอดเวลา คนเช่นนี้มักจะเป็นคนดีของครอบครัว เป็นคนที่นำแต่ความเย็นใจสงบใจมาให้แก่ครอบครัว
เมื่อวานนี้ก็ไป เขานิมนต์ไปเทศน์ที่ห้างสรรพสินค้าร้านใหญ่อยู่ที่โรงแรมอินทรา ที่ร้านพลาซ่า (11.32) ซึ่งของเต็มร้าน อยู่เมืองไทยนี้ไม่ค่อยได้เข้าไปตามร้านดีพาร์ทเม้นท์สโตร์กับเขาหรอก เพราะไม่มีจีวรขายเลยไม่รู้จะไปซื้ออะไร แต่ว่าเขานิมนต์ไปเทศน์ก็เลยเข้าไปเดิน คนยังไม่มีนิ ไปตั้งแต่คนยังไม่มี คนงานก็ยังไม่มา เดินชมข้าวของมากมายก่ายกอง แล้วก็ไปนั่งพักอยู่ในออฟฟิศเพื่อจะรอฉันอาหารที่เขาจัดให้ พอนั่งอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็มีคนแก่ๆเป็นอาซิมแก่ๆน่ะเข้ามา พอเข้ามาถึงลูกชายก็ลุกขึ้นเข้าไปจับมือคุณแม่แล้วก็ให้นั่ง แล้วก็บอกให้ทราบว่านี่คุณแม่ผม ดูเขาเอาอกเอาใจคุณแม่เหลือเกิน เขาคอยพูดคอยคุยว่าแล้วเขาบอกว่า คุณแม่นี่ไม่ค่อยสบายใจเป็นคนวิตกกังวลหวาดกลัวในเรื่องอะไรๆต่างๆอยู่ตลอดเวลา ก็ชีวิตของคุณแม่นี่ลำบากเหนื่อยยากมานาน แล้วคุณเตี่ยนี้ก็ตายไปเสียนานแล้ว แล้วคุณแม่นี้ต้องต่อสู้กับชีวิตอย่างมาก จิตใจก็ไม่ค่อยจะสมบรูณ์เท่าใดคล้ายๆกับเป็นโรคอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าลูกทุกคนนี่รักคุณแม่เอาใจคุณแม่มาก คอยพูดจาปลอบโยนจิตใจอยู่เสมอ แล้วขณะที่คุณแม่มานั่งอยู่นั่น ดูลูกชายนี่โอ๋แม่เหลือเกินคอยพูดคอยจาจับไม้จับมือคุณแม่ คุณแม่ก็พูดมากเหมือนกันพูดภาษาจีนอาตมาฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเขาพูดกันก็แสดงว่า อะไรเล่าอะไรสู่กันฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดูแล้วก็รู้สึกว่าไอ้ลูกชายนี่เป็นคนรักแม่ เอาใจใส่ในคุณแม่ดีเหลือเกิน เขาบอกว่าพวกผมทุกคนนี้เอาใจคุณแม่ทั้งนั้นจะเป็นชายก็ตามเป็นหญิงก็ตามต้องการให้คุณแม่สบายใจ เขาคิดอย่างนั้น ความคิดอย่างนั้นก็เกิดจากความเคารพความรักในคุณแม่นั่นเอง ทำไมจึงได้เกิดเคารพรักเพราะมาคิดว่าชีวิตเรานี้ออกมาจากท่าน ท่านเลี้ยงท่านรักษาให้เราเจริญเติบโต แล้วก็สามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นเจ้าของร้านใหญ่แล้ว เวลานี้ไม่เดือดร้อนอะไรแล้วการเงินการทอง แล้วยังไปซื้อดินเชิงสะพานพระปิ่นเกล้าตั้งเกือบๆ ๒๐ ไร่จะเปิดใหญ่ต่อไปแสดงว่ามั่นคง แล้วก็เอาใจคุณแม่จะไปไหนจะอะไรก็เอาใจอยู่เสมอ คอยเอาอกเอาใจอย่างนี้น้ำใจดีอย่างนี้หายาก แสดงว่ามีความฝึกรู้ในจิตใจอย่างแท้จริง จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ในรูปอย่างนั้น
ศิษย์กับครูนี่ก็เหมือนกัน ถ้าว่าศิษย์มีความเคารพมีความรักต่อครูอย่างแท้จริงแล้วจะไม่กระทำอะไรในทางที่เสียหาย ซึ่งผิดต่อคำสั่งคำเตือนของครูบาอาจารย์ เพราะนึกถึงอยู่เสมอ ที่คนโบราณเขาว่านึกถึงทุกค่ำเช้าเข้านอน หมายถึงว่านึกถึงบุญคุณนึกถึงสิ่งที่ได้รับมาจากท่านเหล่านั้นทุกค่ำทุกคืน ไม่ได้ละเลยเพิกเฉย (15.01) อันการนึกถึงอย่างนั้นแหละทำให้เกิดความซึ้งในจิตใจ เมื่อมีความซาบซึ้งในจิตใจอยู่ในรูปอย่างนั้น ความเคารพก็เกิดขึ้น ความรักต่อท่านก็เกิดขึ้น ความคิดชั่วมันไม่มีมันมีไม่ได้ จะไปทำอะไรเสียหายก็กลัวว่า จะเป็นการกระทบกระเทือนน้ำใจครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะเสียชื่อเพราะการกระทำของศิษย์หรือสถาบันการศึกษาที่เราเข้าไปอยู่อาศัยจะเสียหาย จะทำให้คนทั้งหลายเขาดูหมิ่นถิ่นแคลน อันนี้มันก็ช่วยรั้งจิตใจ ความเคารพรักอย่างนี้ช่วยรั้งจิตใจไม่ให้เรากระทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นความผิดความเสียหาย
ในเรื่องชาติเรื่องประเทศนี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความเคารพรักในชาติเรียกว่า”รักชาติ” รักชาตินะเป็นรักอย่างไร คือรักเพื่อนร่วมชาตินั่นเอง นี้เรียกว่ารักชาติ เพราะว่าชาติมันเป็นคำพูดเฉยๆมันไม่มีตัวตนอะไร ตัวตนมันอยู่ที่คนที่อยู่ร่วมกัน เช่น เราคนไทยก็คนไทยทั้งหลายที่อยู่ในประเทศเรา ก็เรียกว่า “เป็นเพื่อนร่วมชาติกัน” เรียกว่า “ชาติไทย” ชาวจีนก็มีพวกจีนเป็นเพื่อนร่วมชาติ ชาติอื่นก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเป็นคนร่วมชาติกัน เรามีน้ำใจรักต่อกันถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน ไม่ควรจะทำอะไรให้ใครเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน ถ้ามีความรักอย่างจริงใจแล้วจะเบียดเบียนกันในเรื่องใดไม่ได้ จะเบียดเบียนกันในทางกายกี่ชีวิตก็ไม่ได้ จะเบียดเบียนกันในทางทรัพย์สมบัติก็ไม่ได้ จะเบียดเบียนกันในทางความรักความใคร่ก็ไม่ได้ จะพูดจาใส่ร้ายกันก็ไม่ได้ จะไปเสพของมึนเมาจนเสียผู้เสียคนมันก็ทำไม่ได้ ก็จะทำให้เพื่อนร่วมชาติได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน เกิดความเสียหายนะ ความรักอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นความรักชาติ ถ้ารักชาติถูกแล้วมันมีแต่การให้ มีแต่เรื่องการเสียสละ มีแต่การคิดอยู่เสมอว่าเราจะรับใช้เพื่อนมนุษย์อย่างไร เราจะทำอย่างไรให้เพื่อนร่วมชาติอยู่กันด้วยความสุขความสงบ ความเห็นแก่ตัวมันก็ค่อยเบาลงไป ไม่มีความเห็นแก่ตัวเพราะเห็นแก่คนที่อยู่ร่วมกัน เรียกว่ามีความรักชาติอย่างนี้ รักพระมหากษัตริย์ซึ่งเราถือว่าเป็นประมุขของชาติ เป็นสถาบันที่ช่วยให้ประเทศชาติเราอยู่รอดปลอดภัยมาตั้งแต่บรมโบราณ
มาในสมัยนี้น่ะคนบางคนก็มักจะไม่ค่อยชอบสถาบันนี้ วันนั้นไปนั่งรถจากชุมพรไประนอง คนที่ขับรถก็เป็นพวกธนาคาร พาลูกชายไปด้วยทีนี้พอมาถึงที่แห่งหนึ่งนี่เขาขายซาลาเปามีชื่อ เรียกว่าซาลาเปาทับหลี มันอร่อยแต่ไม่เคยฉันสักทีเพราะว่าเดินทางทีไรมันเป็นกลางคืนทุกที ไม่รู้จะฉันอย่างไร แต่วันนั้นพอใกล้จะถึงบอกว่า เอ้อจะถึงทับหลีแล้ว เขาว่าซาลาเปาน่ะมันดี มันดีอย่างไรนะ วันนี้มันยังเช้าอยู่ลองไปหามาฉันดูหน่อย รสชาดมันเป็นอย่างไร แกก็เลยให้ลูกชายเข้าไปซื้อ แล้วก็บอกว่านี่ลูกชายเขาเรียนหนังสืออยู่กรุงเทพ เขามีความคิดแปลกๆแผงๆตามประสาเด็กหนุ่ม เช่น เรื่องพระมหากษัตริย์นี่เขาว่าไม่มีก็ได้ เปลืองเงินเปลืองทองเปล่าๆนะ เขาพูดอย่างนั้น แต่นี่เขา (19.00) ...... ส่วนพ่อก็เรียกมาพูดแนะนำจับใจฟัง บอกว่าคนเรามันจะอยู่โดยไม่มีหัวหน้าไม่ได้ ถึงไม่มีพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องมีประธานาธิบดี ต้องมีใครเป็นหัวหน้าคนสักคนหนึ่ง เพราะคนเราไม่มีหัวหน้ามันอยู่ไม่ได้ ให้ร่างกายถ้าไม่มีหัวนะมันอยู่ไม่ได้เพราะอะไรมันอยู่ที่หัวทั้งนั้นแหละ ตาก็อยู่ที่หัว หูก็อยู่ที่หัว จมูกหายใจก็อยู่ที่หัว ปากกินอาหารมันก็อยู่ที่หัวนี่ อันเรื่องสำคัญทั้งนั้นแหละอยู่ตรงนี้ ถ้าเอาหัวออกมันก็หมดเรื่องเท่านั้นเอง มันจะอยู่กันได้อย่างไรหรือ คนนี้ก็เหมือนกันนะ มันต้องมีหัวหน้า หัวหน้านะเป็นสิ่งจำเป็นเพราะไม่มีหัวหน้า ใครจะบังคับบัญชา ใครจะสั่งงานสั่งการ ตั้งแต่สมัยโบราณมาก็มีหัวหน้าทั้งนั้น หัวหน้าเผ่า คนอยู่กันเป็นเผ่า เผ่านั้นเผ่านี้ เผ่าแม้ว เผ่าอีกอ เผ่ามูเซอ เขามีหัวหน้า ทุกคนเชื่อฟังหัวหน้าอยู่กันด้วยความสุขความสงบไม่มีความวุ่นวาย แต่ยังมีหัวหน้า แต่นี้หลายเผ่ามารวมกันก็ต้องมีหัวหน้าใหญ่สักคนหนึ่ง ที่จะปกครองหัวหน้าเล็กๆให้อยู่กันด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียกว่า “เป็นหัวหน้าใหญ่” คือเป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือเป็นพระราชา เป็นพระมหากษัตริย์อะไรกันไปตามเรื่อง ทำหน้าที่ดูแลกิจกรรมทั้งหลายให้เกิดความเรียบร้อย เขาเรียกกันว่า “เป็นเรื่องการเมืองนั่นแหละ” เรื่องการเมืองก็คือระบบการจัดการให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบเรียบร้อยเป็นไปในทางเจริญก้าวหน้า
พระมหากษัตริย์ก็ได้ทรงกระทำกันมาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันนี้
ถ้าเรานึกดูว่าสมัยก่อนนี้คนไทยเรายังไม่เจริญยังไม่ก้าวหน้าในการศึกษา หัวหน้าเป็นผู้ทำอะไรทั้งหมด พระเจ้าแผ่นดินท่านเคยเขียนไว้พูดไว้ว่า “การเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นไม่ใช่สบาย มงกุฎกษัตริย์นี่มันหนักเหลือเกินนะ” ท่านว่าอย่างนั้นแสดงว่าเรื่องมันมากที่จะต้องบริหารประเทศชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยไม่ให้เกิดความเสียหาย ไม่ให้ตกไปเป็นเมืองขึ้นของคนชาติอื่น ท่านรับเป็นภาระจัดทำ เงินที่ได้รับที่เรียกว่า “เป็นเงินเดือน” นั้นมันก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอก ก็พอจะได้ใช้บริหารกิจการอะไรไปตามเรื่อง เวลานี้แม้เราจะปกครองแบบประชาธิปไตยครึ่งๆกลางๆดังที่เป็นๆกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ยังจำเป็นต้องมีประมุขของชาติ คือมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไว้เป็นจุดรวมของจิตใจคนให้ไปรวมอยู่ที่จุดนั้น จุดแห่งความรักภักดี จะทำอะไรก็เรียกว่า “ยังเกรงใจ เกรงใจในหลวง” คนเขาจึงพูดว่า “เมืองไทยถ้าไม่มีในหลวงนะแย่แล้วเวลานี้นะ” แย่อย่างไรก็แย่งกันเป็นใหญ่จนบ้านเมืองฉิบหายนะซิเพราะไม่มีใครเป็นหัวหน้า ไม่ยกใครเป็นหัวหน้าแล้ว นี่เหมือน กับที่เขมรน่ะแย่งกันจนฉิบหายไปเมืองแล้ว ประเทศลาวนั่นก็เรื่องอะไร ก็แย่งกันเป็นใหญ่นั้นแหละแย่งกันเป็นใหญ่ คนนั้นก็จะเป็นใหญ่คนนี้ก็จะเป็นใหญ่ แย่งกันนั่งบนเก้าอี้ตัวนั้น จนเก้าอี้ตัวนั้นหักพังหมด มีแต่ไม้เอาไปทำฟืนได้แค่นั้นเอง เลยไม่ต้องนั่งกันต่อไป คนอื่นมานั่งแทนมันก็ฉิบหายหมดเมืองกันไป อย่างนี้เดือดร้อนแต่ก็เป็นข้อที่ดีแหละ อธิบายให้ลูกชายฟังเพื่อให้เข้าใจ คือตามสถาบัน โรงเรียนอะไรต่างๆความคิดอย่างนี้มันแทรกซึมเข้าไปเหมือนกัน มันแทรกซึมเข้าไปแล้วมันคุยกัน มันมีความคิดความเห็นกันในรูปอย่างนั้นมีอยู่ อันนี้น่าคิดเหมือนกันความคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเราคิดให้มันละเอียดแล้วมันก็น่าคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมี
เคยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเขามาคุยอย่างงั้นคุยๆไปก็เพลินเข้าไป เขาบอกว่า อู๊ยผมว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่จำเป็นก็ได้ ไม่ต้องมีก็ได้ เพราะไม่เห็นท่านทำอะไร เห็นแต่ไปเที่ยว ไปเที่ยวที่นั่นไปเที่ยวที่นี่ เขาไม่รู้ว่าในหลวงไปทำอะไร เลยต้องเทศน์ให้เขาฟังเสียตั้งชั่วโมง บอกว่า “เธอไม่รู้ไม่ได้สนใจ” ในหลวงท่านไม่ได้ไปเที่ยว ท่านไปดูแลสุขทุกข์ของประชาชน ไปดูว่าควรจะสร้างอะไร ควรจะทำอะไรในที่นั้น ไปช่วยสร้างบ่อเก็บน้ำบ้าง ไปสร้างอ่างเก็บน้ำบ้าง ไปทำจัดการเรื่องสหกรณ์ เรื่องทำมาหากิน ไปพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นหนองให้กลายเป็นนาเป็นประโยชน์อะไรต่างๆ พระราชกรณียกิจที่จะทรงกระทำเป็นประจำนั้น ช่างมากมายเสียเหลือเกิน ทรงเหน็ดเหนื่อยกว่าคนใดๆในประเทศไทยก็ว่าได้น่ะ พูดให้เขาฟังให้รู้เรื่อง พอเขารู้เรื่องแล้ว “ แหมไอ้พวกผมมันคุยกันแต่เรื่องไม่ดีทั้งนั้นหว่า อันเรื่องดีอย่างนี้ไม่มีใครคุยให้ฟังเลย” บอกว่า “นี่แหละที่มันจะฉิบหายก็เพราะเรื่องอย่างงี้แหละ ทีหลังเธออย่าไปคุยกับใครเลย ถ้าคุยกับคนอื่น เขาจะบอกตำรวจจับคุณไปเข้าคุกไปเลย” แต่มาคุยกับหลวงพ่อเลยไม่เป็นไรก็ได้แก้ไขให้ได้เกิดความเข้าใจ จึงต้องมีสิ่งเหล่านั้น
ในครอบครัวเราก็ต้องมีหัวหน้าคนหนึ่งคือพ่อบ้าน ไม่มีพ่อบ้านก็ต้องมีแม่บ้าน ที่ใดที่ใดก็ต้องมีหัวหน้าทั้งนั้น อย่าว่าคนเลย นกที่บินอยู่ในท้องฟ้ามันก็มีจ่าฝูง มีนกหนุ่มตัวหนึ่งเป็นหัวหน้า เราอยู่กรุงเทพไม่ค่อยได้เห็นนกบินนะ อาตมาอยู่ในทุ่งนาสมัยเด็กๆดูนกมันบินน่ะ มันไปเป็นหมู่กันอย่างงี้น่ะ มีตัวหนึ่งก็ล้ำไปข้างหน้า พอตัวนั้นเลี้ยวขวาไปเป็นแถวเลย เลี้ยวซ้ายเป็นแถวไป ต่อจากนั้นลงลงหมดเลย ลงไปกินปลาในนาในไหน พอตัวนั้นกระพือปีกพรึ่บๆๆๆเหมือนกับให้ (25.15) สัญญาณขึ้นวุ๊บ มันก็ขึ้นเป็นฝูงไปแล้วก็ไปอย่างนั้นไปเป็นระเบียบ ไปกันเหมือนฝูงบินนั่นแหละ นักบินเราเวลาบินเป็นฝูงมีหัวหน้าฝูง คนหนึ่งหัวหน้าคอยวิทยุสั่งงานให้บินไปไหน บินไปขวาบินไปซ้าย บินขึ้นบินลง รักษาระยะไว้พอดีพอดี เพื่อความปลอดภัยก็ต้องมีหัวหน้า ที่ไหนไม่มีหัวหน้ามันอยู่ไม่ได้ เขาเรียกว่าเป็นหัวหน้า วัวมันก็มีหัวหน้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าฝูงโค ถ้าแม่ฝูงเดินตรงโคทั้งหลายก็เดินตรง แม่ฝูงเดินคดโคทั้งหลายก็เดินคดไป คือโคเป็นหัวหน้า เวลาไปกินหญ้าอยู่ในทุ่งนี่ ตอนเย็นนี่ไอ้ตัวที่เป็นหัวหน้าฝูงนี้ มันสมมติของมันเอง มันตั้งกันเลยเลือกอย่างไรก็ไม่รู้ล่ะ มันคงเลือกกันเรียบร้อยล่ะ คงไม่มีการคอรัปชั่นกันในการเลือกหัวหน้าวัว เพราะไม่เคยปรากฏข่าวคอรัปชั่นกันในฝูงวัวทั้งหลาย มันเลือกไอ้ตัวนี้เป็นหัวหน้านะ พอไอ้ตัวนั้นเดินไปจะกลับบ้านตอนเย็นนี่ มันเดินตามเป็นฝูงเลย เดินตามหัวคันนาเลยเดินเป็นฝูง ไอ้ตัวนั้นเลี้ยวขวาก็เลี้ยวไป เลี้ยวซ้ายก็เลี้ยวไปตรงไปบ้าน แต่พออิ่มไป ไปนอนถึงเวลานอนแล้วมันก็ไปนอน เช้าเวลาเปิดประตูคอกนี่ไอ้ตัวหัวหน้าออกก่อน ออกไปยืนแล้วก็ไปเดินตามเป็นแถว สมมติว่าเราจะไปลักวัวฝูงนั้นน่ะต้อนตัวเดียวพอ ต้อนตัวเดียวมันก็ไปหมดทั้งฝูงนะ มันรักกันเคารพกันอยู่เหมือนกัน ฝูงวัวนี้ก็เป็นอย่างนั้น ควายก็เป็นอย่างนั้น ยิ่งช้างยิ่งสำคัญใหญ่เลย คนที่เขาเคยไปจับช้างในป่า เขาบอกว่า อู้ยช้างนี่เป็นสัตว์พิเศษมีหัวหน้าโขลงน่ะ แล้วมันก็เคารพเชื่อฟังกันจริงจังเลย กลางคืนนี่นอนถ้ามีลูกช้างนะลูกช้างตัวเดียวนี่มันต้องให้นอนตรงกลาง ช้างอื่นแวดล้อมเป็นวงเลยทีเดียว แล้วก็เวลานอนน่ะมีตัวหนึ่งไม่นอนต้องไปเที่ยวเดินห่างออกไปหน่อย เดินดูลาดตระเวน มันมีกองลาดตระเวนลาดตระเวนไกลเหมือนกันช้างนี่ มันลาดตระเวนใครจะเข้าไปจับลูกช้างนี่ โอ้ยต้องพบกับกองลาดตระเวนก่อนละ ตอนนั้นชาวบ้านที่ลักลูกช้างมาขายน่ะบอก “โฮ้ยท่านเจ้าคุณได้ลูกช้างมาตัวหนึ่ง ต้องฆ่าช้าง ๕ ตัวนะ อ้าวทำไมอย่างนั้นล่ะ อ้าวมันป้องกันมันไม่ให้เราเข้าไป เราต้องยิงมันน่ะ ยิงให้มันตาย ยิงตายแล้วจึงจับลูกช้างมาได้นี่” มันถึงต้องอย่างนั้นมันไม่ถือว่าลูกมึงลูกกูน่ะ เรียกว่าพอเกิดลูกมาเป็นลูกของสังคมแล้วต้องช่วยกันดูแลรักษา มันรักษากันเรียบร้อย จ่าฝูงไปไหนมันก็ไปกัน เป็นหมู่เป็นคณะไปเลยทีเดียว มันมีหัวหน้าดูแล ช้างทั้งหลายก็มีความจงรักภักดีต่อหัวหน้าเหล่านั้น (28.10) เรื่องมุกเรื่องแมลงเรี่องภู่เรื่องปลวกมันมีทั้งนั้นแหละ ถ้าศึกษาแล้วจะพบว่าสัตว์เหล่านี้มีจ่าฝูง มีหัวหน้าที่จะต้องเคารพต้องเชื่อฟังแก่กันและกัน จึงอยู่กันด้วยความสุขความสงบ นั่นธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น
ที่นี้มนุษย์เรานี่เรียกว่าพิเศษหน่อย เพราะว่าเรามีสมอง มีปัญญาที่จะคิดนึกตรึกตรองในเรื่องอะไรๆต่างๆ มนุษย์นี่เป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ สัตว์เดรัจฉาน นี่พัฒนาไม่ได้ มันเป็นช้างอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เป็นหมีเป็นหมูเป็นอยู่อย่างนั้น มันไม่พัฒนาไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์นี่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เริ่มไม่นุ่งผ้าแล้วมานุ่งเป็นการใหญ่ ดังที่เราเป็นกันอยู่เวลานี้ เมื่อก่อนกินสัตว์ดิบจับมาถึงก็กินเลยไม่ต้องหุงต้องต้ม เพราะไม่มีภาชนะหุงต้มเอามากินเฉยๆ ต่อมารู้จักพัฒนารู้จักว่าปิ้งไฟยังไม่มีหม้อแต่เอามาอังไฟปิ้ง ปิ้งอย่างนี้น่ะมันสุกกินอร่อยกว่า เคี้ยวง่ายกว่าแล้วมันก็รู้ออกกลิ่นดีแต่มันต้องปิ้งมันขึ้นมา ต่อมาก็เลยมีภาชนะหุงต้มอะไร แต่ว่ามันเป็นร้อยๆปีพันปีกว่าจะพัฒนามามีหม้อข้าวหม้อแกง มีบ้านเรือนอยู่อาศัย สมัยก่อนก็อยู่ตามทุ่งตามป่า นอนกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันไป หรือว่าอยู่ตามถ้ำตามภูเขาอยู่กันอย่างนั้น ต่อมาก็ค่อยเจริญขึ้นมา (29.50) ตามลำดับ จนเป็นบ้านเป็นเมือง มีการเป็นอยู่ จัดหมู่จัดคณะเรียบร้อย แล้วก็มีการศึกษาหาวิชาความรู้เพิ่มเติม มีความเจริญทุกแง่ทุกมุมเพราะมนุษย์นี้พัฒนาได้ แต่สัตว์เดรัจฉานนั้นพัฒนาไม่ได้ มนุษย์เราก็มีความเจริญมีความก้าวหน้าในทางวัตถุ ยังมีสิ่งหนึ่งควบคู่กันกับวัตถุคือความเจริญทางด้านจิตใจ จิตใจคนก็เจริญขึ้นเหมือนกัน
สมัยก่อนนี้มนุษย์ดุร้าย เบียดเบียนทำลายกันในระหว่างหมู่ระหว่างคณะ มันมีกฎมีระเบียบให้พัฒนา มีศาสนา มีธรรมะประจำจิตใจ เมื่อมีศาสนาขึ้นก็มีระเบียบสูงขึ้น รู้จักควบคุมบังคับตนเองให้อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “ดีงาม” เพื่ออยู่กันด้วยความสุขความสงบ ในศาสนานั้นก็มีผู้สอน มีหลักคำสอน มีผู้สืบคำสอนต่อมาเพื่อให้ธรรมะนั้นอยู่ยั่งยืนถาวรต่อไป เช่นว่าเรานี่นับถือพุทธศาสนา เราก็มีพระพุทธเจ้าเป็นหลักเพราะว่าท่านเป็นผู้ค้นพบพระธรรม เอาธรรมะนั้นมาสั่งสอนแก่ชาวโลก แล้วเราก็เคารพพระธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคารพพระพุทธเจ้าก็เคารพคำสอนด้วย พระองค์สอนอะไรเราเชื่อเราฟังเราทำตาม เราเรียกสิ่งนั้นว่า “หลักธรรมะ” อันเป็นข้อปฏิบัติทางกายทางวาจาทางใจ ผู้ที่รับคำสอนมาจากพระพุทธเจ้าดำรงชีวิตตามแบบพระพุทธเจ้า เราเรียกกันว่า “ภิกษุหรือว่าพระสงฆ์” ท่านก็ไปทำหน้าที่สอนธรรมะให้แก่ประชาชนเช่นเดียวกัน เราจึงเคารพสิ่ง ๓ อย่างนี้ว่าเป็นหลักใหญ่เป็นที่พึ่งทางใจ เรามีความเคารพแล้วก็มีความรักในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระสงฆ์ คนสมัยก่อนนั้นเขาเคารพเหลือเกินเขารักเหลือเกิน รักพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มากมายจริงๆ
มีเรื่องเล่าไว้ว่านายสุปพุทธิ พูดเป็นว่า “สุปพุทธกุฏฐิน่ะ” ไอ้กุฏฐินี่แปลว่าโรคเรื้อน นายคนนั้นแกเป็นคนโรคเรื้อน ชื่อแกชื่อว่า “สุปพุทธะ” แต่ว่าเพราะแกมีโรคเรื้อนประจำตัว เลยก็ใส่กุฏฐิให้ข้างหลัง พูดสมัยนี้ก็พูดว่า “นายสุปพุทธขี้เรื้อนว่างั้นน่ะ” แต่เขาใช้คำบาลีฟังแล้วมันไม่ลำบากใจ นายขี้เรื้อนคนนี้แกก็อยู่ตามประสาคนขี้เรื้อนนะ แต่ว่าวันหนึ่งแกเดินผ่านมาในที่ๆพระพุทธเจ้าแสดงธรรม แกก็เข้าไปนั่งฟังกะเขาด้วย ฟังไปฟังไปก็เกิดความรู้ความเข้าใจในรสธรรมะที่พระพุทธเจ้านำมาสอนเลยได้แสดงตนเป็นอุบาสกแล้วก็มีคุณธรรมชั้นต่ำ เรียกว่า “บรรลุขั้นพระโสดาบัน ”ขึ้นไปแล้วเป็นโสดาบุคคล โสดาบุคคลนั้นคือ บุคคลประเภทที่ว่ามีศรัทธามั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลบริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อย แล้วจะไม่มีสิ่งเหลวไหลที่เป็นความเชื่อแบบที่เรียกว่า “สีลัพพตปรมาส” สีลัพพตปรมาสคือ ความเชื่ออันเหลวไหลอะไรต่างๆ เช่น เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อโชค เชื่อลาง เชื่อวันดีคืนดี เชื่อว่าสิ่งนั้นจะดลบันดาลให้ตนเป็นอย่างนั้นตนเป็นอย่างนี้ มีวัตถุมงคลอะไรประเภทต่างๆ
ในน้ำใจของพระโสดาบันนั้นไม่มีแล้วเชื่ออย่างนั้นไม่มี เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมคือการกระทำ (33.46) ผู้ประพุทธะจะเลื่อมใสมั่นคงในองค์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะรักษาศีลบริสุทธิ์คือตั้งใจรักษาให้บริสุทธิ์ และความเชื่อเก่าๆที่มีอยู่ในจิตสันดานก็รับมาจากศาสนาพราหมณ์นั้น หล่นไปหมดไม่มีเหลือแล้วไม่มีเหลือเลย อันนี้มีคนหนึ่งเขาอยากจะทดสอบ ทดสอบความเชื่อความจงรักภักดีนายสุปพุทธกุฏฐินี้น่ะ เขาก็มาบอกว่า“ท่านกล่าวติพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้เราฟังสักหน่อยได้ไหม” บอก “ไม่ได้ เรากล่าวติไม่ได้ เรานับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เราจะไปกล่าวติได้อย่างไร” “เราจะให้เงินแก่ท่าน ท่านจะสบายเพราะคำที่กล่าวติพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ เราจะให้เงินแก่ท่านมากมายทีเดียว” บอกว่า “เงินทองไม่มีความหมาย ท่านอย่าเอามายั่วข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นแก่เงินแก่ทองแก่อามิส ที่ท่านจะเอามาให้หรอก เพราะว่าน้ำใจของข้าพเจ้านี้แนบสนิทอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีอะไรที่เราจะกล่าวติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ เพราะเราเชื่อมั่นคงในพระองค์เสียแล้ว ท่านจะมายั่วเราให้เสียเวลาเลย” นายขี้เรื้อนคนนั้นเขาว่าอย่างนี้ อันนี้แสดงว่าแม้ร่างกายจะเป็นขี้เรื้อนแต่ว่าใจไม่ได้เป็นขี้เรื้อนเลยแม้แต่น้อย ใจผ่องใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มีศรัทธาตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า จงรักภักดีอย่างมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน นะอันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นง่ายๆว่า เป็นคนยากจนเป็นโรคเรื้อน ถึงแม้ว่าคนจะเอาเงินมาให้ ให้นินทาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังสักหน่อยนิ เขาก็ยังพูดไม่ได้ ทำไมจึงพูดไม่ได้เพราะความรักความเคารพมันเต็มเปี่ยมอยู่ในดวงใจ พูดตามภาษาสมัยใหม่ว่า “ไม่มีช่องว่างสำหรับจะรับเงินที่ใครๆเอามาให้ เพราะดวงใจของฉันทั้ง ๔ ห้องมันมีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เต็มไปหมดแล้ว” เขาก็กล้าจะพูดออกมาเป็นภาษาชาวบ้านก็ว่าอย่างนั้น ทำไมเขาจึงเป็นอย่างนั้นเพราะเขามีความรักพระพุทธเจ้า มีเคารพต่อพระพุทธเจ้าอย่างมั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนน่ะ อันนี้คนสมัยก่อนเขาเป็นอย่างนั้นไม่เฉพาะแต่คนเดียวคนนี้หรอก แม้คนอื่นๆก็มีมากมายที่มีความจงรักภักดี
ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปถึงก็ก้มลงกราบแทบพระบาท เอาจมูกไปจูบพระบาทของพระพุทธเจ้าว่างั้นเถอะ พระองค์บอกว่า “ทำไมมหาบพิตร จึงมาจูบร่างกายของตถาคต ซึ่งเป็นของเน่าเปื่อยอย่างงั้นแหละ ไอ้ร่างกายมันของเน่าของเปื่อย พระองค์มาจูบร่างกายของตถาคตทำไม เท้าของตถาคตก็มีขี้ฝุ่นเกาะจับ ท่านมาหอมทำไมว่างั้นเถอะ” พระเจ้าเกษมบอกว่า “ข้าพระองค์มีความเลื่อมใส มีความศรัทธาในพระองค์อย่างแน่นแฟ้นไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน” แล้วก็พูดพรรณนาไป ยกย่องพระพุทธเจ้าไปมากมายเหลือเกิน ยกย่องตั้ง ๑๐ ข้อว่าพระพุทธเจ้าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ อันนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ เรียกว่า “เป็นคำยกย่องของพระเจ้าปเสนทิโกศลต่อองค์พระพุทธเจ้า” ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีความรักในพระพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้นอย่างนี้ก็มีอยู่ นั่นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พวกเศรษฐีคหบดีก็มีอยู่เหมือนกันมีอยู่ในเรื่องอย่างนี้มีมากมาย มีตัวอย่างปรากฎอยู่ในคัมภีร์ต่างๆทางพระพุทธศาสนาว่า มีมากความจงรักภักดี
ทีนี้มาในสมัยนี้เราก็ต้องการสิ่งนี้อยู่ ต้องการความจงรักภักดีต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ให้มั่นคงในจิตใจเพื่อจะเพื่ออะไร เพื่อจะได้ช่วยกันทำงานให้แก่พระศาสนา ช่วยกันรักษาพระศาสนาให้ดำรง (38.18) มั่นคงถาวรต่อไป เป็นความจงรักภักดีในแง่นี้แต่ว่ามันหายากเหมือนกัน ญาติโยมทั้งหลายจงรู้ไว้เถอะว่า มันหายาก หาคนที่ศรัทธาจริงๆ เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงๆนั้นหายาก อาจจะเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ก็ได้เพราะว่ามีอะไรที่ดีกว่าตามทัศนะของเขา ดีกว่าตามทัศนะของเขา เขาก็เลยลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระธรรมไป ลืมพระสงฆ์ไป หันไปเอาสิ่งที่เขาชอบใจในสิ่งนั้นเพราะเขานึกว่ามันคงจะดีกว่านะ อะไรอย่างนี้เป็นตัวอย่าง นี่เขาเรียกว่า “ขาดความจงรักภักดีต่อองค์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์” จึงได้เป็นไปในรูปเช่นนั้น แต่ถ้าเรามีความจงรักภักดีแน่นแฟ้น ให้ใครเอาสมบัติจักรพรรดิมาให้ เราก็ไม่เอาเพราะว่าสิ่งนั้นมันเป็นของเล็กน้อย ไม่สลักสำคัญอะไร เขาเอาเงินมากองไว้บอกว่า (39.22) “โอ้ยโอ้ย ให้เลิกกราบพระ เลิกนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันเถอะ” หรือว่า “อย่าทำงานให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย มาทำให้กับฉันเถอะ ฉันจะให้อย่างงั้นให้อย่างงี้” ถ้าคนที่รักจริงๆเขาก็ไม่เอาเหมือนกัน ไม่เอาสิ่งนั้นเพราะสิ่งนั้นมันเรื่องเล็กน้อย ตายไปก็หอบไปไม่ได้
เงินทองที่เราได้มาเอาไปทำอะไรหนักหนา กินสักเท่าไหร่คนเรามื้อหนึ่งกินเท่าไหร่ กินนิดเดียวอิ่มท้องก็เลิกกันเท่านั้นเองล่ะ อาหารเต็มโต๊ะ กินอาหารพระเจ้าจักรพรรดิหรือจะกินได้เท่าไหร่ กินพออิ่ม อิ่มแล้วก็ต้องหยุดเท่านั้นเอง (40.00) อันที่หลับที่นอนก็อย่างงั้นแหละ เวลาหลับแล้วมันก็เท่านั้น เตียงกว้างเท่าใดก็ไม่ได้นอนทั่วเตียงนะ นอนได้อย่างมากก็หนึ่งแผ่นกระดานเท่ากระดานหนึ่งเท่านั้นเองที่เรานอนๆกันอยู่น่ะ มันเนื้อที่เท่านั้นแหละ แต่มีไว้กว้างๆ อย่างงั้นแหละแต่ที่จริงนอนจริงๆมันก็เล็กน้อย เสื้อผ้าก็จะแต่งสักกี่ชุดน่ะ เรามีสัก ๓ชุด ๔ชุด มันก็แต่งทีละชุดเท่านั้นแหละ ถ้าใครขืนแต่ง๕ชุดเดินในตลาด เขาก็ว่า อ้ายนี่ออกมาจากศรีธัญญาแล้วไง เห็นไหมเดินก๋าอย่างนี้ ก็เรามันแต่งผิดมนุษย์มนา มันไม่ได้เรื่องอะไร อย่างนี้มันก็เสียหายแล้ว ถ้าเราคิดอย่างนั้นมันก็ดี มันเรื่องอะไรที่เราจะไปหลงใหลมัวเมากับไอ้สิ่งไร้สาระอย่างนั้น ถ้าว่าเป็นคนที่อยู่กับพระพุทธเจ้ามานานๆ อยู่มาตั้งแต่หนุ่มๆจนกระทั่งแก่ อายุมันก็อายุสี่สิบได้มั๊ง มันแก่แล้วละอายุสี่สิบนี่มันก็เรียกว่า “คนแก่แล้ว” อีกสัก ๑๐ ก้าวมันก็แก่หง่อมลงไปแล้วนี่ ห้าสิบอีก ๑๐ ก้าวหกสิบ และบางทีอาจจะไม่ถึงหกสิบก็ได้ พญายมเอาตัวไปเสียก่อนก็มี เยอะแยะ ถ้าเราไม่ไหวอยู่ไปกี่วันก็จะตายลาโลกแล้ว เราเดินมาทางนี้มากแล้ว เดินมากับพระพุทธเจ้านานแล้ว เดินมากับพระธรรม พระสงฆ์นานแล้ว นึกจะทิ้งไปซะดูกระไรอยู่ อยู่กับท่านต่อไปเถอะ เราก็อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ต่อไป เพราะเรารักพระพุทธเจ้า เรารักพระธรรม พระสงฆ์ทิ้งไม่ได้ ใครจะให้สมบัติจักรพรรดิก็ไม่เอา เพราะว่ายังรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่
มีคนจีนคนหนึ่งในสมัยโบราณ ไม่ใช่จีนเล็กๆ (41.45) อยู่ในตำแหน่งจอมหงวนน่ะ เรียกว่าเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ที่นี้แกก็เบื่อโลกเต็มที (41.54) คนนี้เขาเบื่อโลกก็เลยจะมากราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน บอกว่า “อยากจะออกจากราชการสักทีเถอะ” พระเจ้าแผ่นดินบอกว่า “จะออกไปทำไม ทำงานต่อไปเถอะยังไม่แก่ไม่เฒ่า ท่านทำงานเรียบร้อย” คือเป็นขุนนางตงฉิน มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระราชา ต่อหน้าที่การงาน ไม่เคยด่างพร้อยเลยแม้แต่น้อย ทำงานดีมาก พระเจ้าแผ่นดินก็เสียดายว่า คนดีๆในราชการนี้ควรจะอยู่ต่อไป จะได้เป็นกำลังกันช่วยบริหารงานของชาติให้มันเจริญก้าวหน้าไปตามสมควรแก่ฐานะ ท่านก็ทักท้วงไว้ไม่อยากให้ไป แต่ว่าต่อมาก็ท่านก็ไม่ฟังเสียงพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ท่านไปลาแล้วก็ไปเลย (42.26) เข้าไปอยู่ในป่าเลย ไปนั่งภาวนา (42.52) ไปจำศีลกินเจอยู่ในป่าสงบเงียบเลย ทีหลังพระเจ้าแผ่นดินสืบรู้ว่า พ่อจอมหงวนคนนี้ไปอยู่ที่ป่าไหนถ้ำไหนเสด็จไปหา ไปหาแล้วก็ขอร้องว่า “ให้กลับไปอีก” บอกว่า “แหมข้าพระองค์หลุดมาจากแร้วแล้วนี่ แล้วทำไมต้องให้วิ่งกลับไปหาแร้วอีกล่ะ เกือบออกจากปากรูแล้วนิ ทำไมจะต้องกระโดดเข้าไปให้งูขบตายอีกละ ออกมาจากทุกข์แล้วนี่ ทำไมพระองค์จะมาชวนให้ไปติดคุกติดตะรางกันอีกต่อไปล่ะ” เขามองเห็นว่าชีวิตของการเป็นขุนนางเป็นข้าราชการนั้นมันเต็มไปด้วยความทุกข์เต็มไปด้วยปัญหา ไม่อยากจะอยู่ อยากจะใช้ชีวิตอิสระ นั่งคิดนั่งนึกในแง่ธรรมะไปตามใจสบาย พูดเท่าไรเท่าไหร่แกก็ไม่ไปแล้ว แกจะบวชอยู่ในป่าเรื่อยไปนะ พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่า เเข้มแข็งดีแล้ว มั่นคงแล้ว รักธรรมะมากกว่ารักพระเจ้าแผ่นดินซะแล้วนี่ จะทำอย่างไรก็ไม่ไปแล้ว เลยบอก “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเขียนให้ดูสักหน่อย เขียนให้ดูว่าประโยชน์ของการมาอยู่ในป่านะมันเป็นอย่างไร ชีวิตที่อยู่ในป่านี่มันเป็นสุขอย่างไร” ท่านก็เขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งทีเดียวแหละ เล่มใหญ่ได้อ่านมาหลายปีแล้ว เวลานี้ต้นฉบับมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นะ วัดนี้คงจะไม่มี อ่านตั้งแต่สมัยอยู่ไชยาหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้ว (44.28) เนื้อของท่านดีมากนะ ข้อความที่เขียนนี้อ่านแล้วมันก็ซาบซึ้งในน้ำใจในข้อธรรมะเป็นบทเป็นบทไปเป็นตอนมากมายก่ายกอง ถ้าเอามาพิมพ์เป็นเล่ม มันก็หนาพอสมควรแหละหลายยกทีเดียว เขียนกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็เอาไปอ่านทีละน้อยทีละน้อย อ่านไปอ่านไปก็เลยบอก เออเขามันฟรีไปแล้ว พูดตามภาษาบ้านเราน่ะ “อิสระแล้ว เขาบินไปในท้องฟ้าแล้ว เขาไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป เขาหลุดพ้นแล้ว เขามาไม่มาติดแร้วต่อไปแล้ว” นี่คนสมัยก่อนเรียกว่า เขาอยู่ในบ่วง เขาหนีออกจากบ่วง อยู่ในแร้วหนีออกจากแร้ว อยู่ใน (45.18) ปากขบปากงูเห่า กระโดดหนีออกไปจากปากงูเห่า ไม่หาเรื่องเข้าไปอยู่ในปากงูเห่าแล้ว
แต่ว่าเราสมัยนี้บางทีนะ หลุดออกมาแล้วกระโดดเข้าไปอีกนะ โดนมันงับคอต่อไป กระโดดออกไปกลับมาให้งับคอต่อไป งับติดน่ะติดไม่หลุดแล้วทีนี้นะ เขางับคอไว้มัดมือไว้มัดเท้าไว้ ไม่มีบ่วงจะไปหาบ่วงมาอีกนะ หาบ่วงผูกคอหาบ่วงผูกมือหาบ่วงผูกเท้านะ เจ้าชายสิทธัตถะท่านว่ายังไง พอเขามาบอกว่า “พระนางพิมพาคลอดพระโอรสแล้วพระเจ้าข้า” พระองค์ทรงเปล่งวาจาว่า “ราหุโลอุปปันโน ราหุโลอุปปันโน” แปลว่า บ่วงเกิดแล้วบ่วงเกิดแล้ว บ่วงอะไร บ่วงมาเกิดน่ะมีบ่วง ๓บ่วงนะ บ่วงหนึ่งผูกคอลากไปตามต้องการ บ่วงหนึ่งผูกมือจูงไปตามต้องการ บ่วงหนึ่งผูกเท้า เที่ยววิ่งอยู่ตรงนั้นตรงนั้นแหละ มันติดบ่วงไงเท้าไปไม่ได้ ติดบ่วงนี่ วิ่งอยู่ตรงนั้นแหละ เหมือนกับวัวเชียงใหม่ไง ญาติโยมเคยไปเชียงใหม่นั่งรถไฟไหม เห็นไอ้ไม้เขาปักไว้ไหม แล้วก็มีไม้ไผ่ยาวเลย (46.33) คันทั้งคันนี่ …… ก็มีเชือก เชือกก็ไปผูกวัว วัวก็เดินอยู่นั่นแหละ วนอยู่รอบนั้นแหละ กินหญ้าอยู่ในรอบนั้นแหละ ไอ้หญ้า (46.42) ก็เริ่มสดใสรุ่งเรืองน่ากินก็ไปไม่ได้ มองดูตาเขียวๆน้ำลายไหลอยู่นั่นแหละ กินอยู่ในตรงนั้นแหละวนตรงที่เขาให้วนแหละ อาตมาไปครั้งแรกเห็นอะไรน่ะ ถามเด็ก“อะไร” เด็กก็เป็นพระอยู่นะ เด็กว่า “ที่ผูกวัว” บอก “ เอ๊ะผูกอย่างไร” “ผูกเอาไว้มันก็เดินกินหญ้าอยู่อย่างนั่นแหละ” และคันนั้นมันคอยจะดึงจมูกไว้ กินก็ทรมานไม่ใช่กินสบายนะ ก็เพราะว่าไอ้เชือกนั้นคือมันดึงไว้ เขามีไม้ถ่วงข้างปลาย นี่ทำอย่างนี้นะมีไม้ถ่วงไว้ตรงนี้ มันก็คอยดึงไว้ดึงจมูกนะ กินก็ไม่สบาย (47.17) เรามันหัวฟู นี่เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ที่เขาให้กินหญ้าแบบนี้น่ะ ถ้ามันพูดได้ มันคงไม่ไหวแล้วโว้ย มันลำบากแต่มันก็วนอยู่ในนั้นแหละ
คนเรานี่ก็เหมือนกันแหละ ถ้าเมื่อไปอยู่ในฐานะเป็นชาวบ้านเขาเรียกว่า “ถูกบ่วงมัดไปมัดคอ” บ่วงอะไรมัดคอ บ่วงลูก ลูกมัดอกไปไหนไม่ได้ กินอะไรก็ต้องคิดถึงลูก บ่วงหนึ่งคือบ่วงเมียมัดมือไว้ (47.48) บ่วงทัดผูกเท้าไว้ วิ่งไม่ได้วิ่งไปไหนไม่ได้ จะไปไหนบ้านไม่มีคนอยู่ อ้าวไหนๆว่า “ไม่ว่างไง” วันอาทิตย์จะมาฟังเทศน์หน่อย บ้านไม่มีใครอยู่ นี่บ้านมันผูกเท้าไว้เดินไปไหนไม่ได้ ตอนนี้นี่เลยกำแพงนี้นะเดินวนไปวนมาอยู่นี่ไปไหนไม่ได้ ไม่อิสระ แต่ว่าเราเป็นนักบวชนี่ มันอิสระอยู่ สบายจะไปไหนก็ได้นะไม่ต้องเป็นห่วงนะ มีนะกุฏิน่ะแต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไม่ต้องเป็นห่วงกุฏิไม่เป็นไรไม่มีใครมายุ่งหรอก แต่ขโมยมันก็มาบ้างเหมือนกันเผลอไม่ค่อยได้ วันก่อนนี้คุณหญิงของคุณพลเอกเสริมนะ คุณหญิงอะไร อ้อคุณหญิงแสงเดือนมาทำบุญ แล้วก็หยอดไว้ในตู้สี่ห้าร้อยบาท ลืมไปไม่ได้ไข เอ๊ะไอ้นั่นตามันคมกว่าเราเสียอีก มันรู้ว่าเขาหยอดมาสี่ห้าร้อย มันมาทุบหน้าต่างศาลานะ ไม่ทุบกระจกหรอกมาทุบตู้เลย เอาหินก้อนทุบๆจนน่ากลัว โอ้ไอ้คนขายเสื่อมันก็นอนอยู่ตรงนั้นน่ะนอนอยู่ข้างศาลา มันมาขายเสื่อนะ มันไม่มีใครตื่นสักคนเลย ก็มันทุบปุ๊กๆๆๆอยู่นั่นแหละ ไม่มีใครตื่นเลยก็มันมาเข้า (49.09) และส่อง มันงัดเสาไอ้ที่ใส่สตางค์อย่างนี้เอาไปเสีย พระมาบอกอาตมาทีหลังอย่าไปปิดประตูอะไรเลย เขียนป้ายบอกไว้เลยว่า บอกว่า “แกอยากได้อะไรเอาไปตามปราถนา ไม่ต้องต่อยประตูหน้าต่าง” เขียนตัวโตๆไว้แล้วเปิดประตูให้กว้างๆ แกอยากเอาอะไรก็เอาไปเถอะว่างั้นน่ะ จะแบกพระพุทธรูปไปด้วยก็ได้องค์ใหญ่นะ แบกไปเลย เอ้อประชดขโมยหน่อย แต่ขโมยมันก็ไม่มาอ่านอะไรดีอย่างงั้นแหละ มันก็มาเอาไปแหละ นี่มันก็ทำเป็นวิตกกังวล แต่ปล่าวเฉยๆ เอาไปแล้วก็แล้วไป เอามาก็ปลงไปแล้ว ช่างหัวมันเอาไปแล้วดีเหมือนกันละ มันได้เอาไปใช้มั่ง
เหมือนกับหลวงพ่อองค์หนุ่ม พอเขาบอก “หลวงพ่อหีบใบจากขโมยเอาไปแล้ว” (50.01) …… เย็น ก็ดีเหมือนกัน มันได้เอาไปใช้บ้าง ไม่ต้องกังวลมันอิสระ ชีวิตของนักบวชมันอิสระที่สุด สบายไปไหนไปได้เลยก็ไปสบายเลย พอจะไปไหนโยมมาแล้วมาถวายปัจจัยค่าเดินทาง ไอ้นั่นไอ้นี่ บริการให้ความสะดวก เอารถเอาที่ไหนไปให้ล่ะ เราอยู่บ้านใครจะให้ล่ะ ไปขอ “เอ่อฉันจะไปธุระหน่อย” โยมว่า “ก็ไปซิ มาบอกทำไม” แจกฎีกา ไม่ได้แล้ว สึกออกไปแล้วแจกฎีกาไม่ได้เขาไม่ให้แล้ว เจ็บป่วยเขาก็รักษาเรา เป็นพระนี่เจ็บป่วยโยมอุตส่าห์เข็นพระไป เอาไปให้โรงพยาบาลรักษาหาหมอดี กลัวพระดีๆจะตายซะ รักษาไว้ให้มีชีวิตต่อไป จะได้อยู่ยั่งยืนช่วยเหลือกิจการพระศาสนา นี่ถ้าออกไปอยู่บ้านน่ะเจ็บก็นอนครางอยู่คนเดียวแหละ ใครสนใจน่ะ ไปหาหมอเขาก็ไม่สนใจล่ะ ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่านปัญญาแล้ว เขาไม่สนใจแล้วเออ ถ้าอยู่เป็นพระ “อยู่วัดไหนล่ะ” “วัดชลประทาน” เขานึกถึงหลวงพ่อปัญญา เอาจัดบริการหน่อยวัดชลประทาน เขาให้ความสะดวกสบายเลย ถ้าไปอยู่วัดคู่คี่เอ้ยใครจะไปสนใจ เพราะวัดคู่คี่เอ้ย มันไม่ได้เรื่องอะไรนิ เขาก็ไม่ช่วยเหลือไม่รักษาเลย คนเราไม่ได้คิดให้มันละเอียด ถ้าคิดละเอียดแล้ว เอ๊ะเราอยู่กับพระพุทธเจ้าสบายดี อยู่กับธรรมะก็สบาย อยู่กับพระสงฆ์ก็สบาย แต่ถ้าออกไปแล้วมันคนละเรื่องไปแล้ว เรื่องอะไรอาตมาน่ะเคยคิดอย่างนั้น สมัยหนุ่มๆน้อยๆ บางทีจะคิดจะสึกขึ้นมา ถามว่า “ฉันจะสึกไปทำอะไร” ถ้าแกสึกไปก็ต้องไหว้คนโน้นคนนี้ อ้ายคนที่ไหว้เราทุกคน เราต้องไปไหว้เขาทุกคน ไอ้เวลานี้เรามันใหญ่ คนมันไหว้ตรงนั้น แล้วต่อนี้ไปยืนพลับต้องไปเที่ยวไหว้คนโน้นคนนี้ แล้วเรามาเคยเขาไหว้เรานิ แล้วเราต้องไปไหว้เขา อู้ยไม่ได้เฮ้ยมันต่ำนะไม่อยากจะไปไหว้คนเหล่านั้นนะ เรามันอยู่ที่สูงแล้วจะกระโดดลงไปที่ต่ำทำไมน่ะ มีแม่ของสามเณร โบราณน่ะสามเณรจะสึก แม่มาบอกว่า “ลูกเอ๊ย แม่ยกเจ้าขึ้นจากหล่มแล้ว ทำไมเจ้าจะวิ่งลงไปในหล่มที่สกปรกอีก แม่ยกเจ้าพ้นหนามแล้ว ทำไมเจ้าจะไปเหยียบหนามอีก แม่ทำเจ้าให้พ้นทุกข์แล้ว ทำไมเจ้าจะดิ้นรนไปหาความทุกข์อีกละลูกเอ๋ย” แม่ดีน่ะ แม่ไปพูดกับลูกอย่างนั้น เรียกว่าเป็นแม่ที่ใช้ได้ ลูกก็คิดได้แม่เอ๊ย แม่อุตส่าห์ยกเราขึ้นจากบ่อส้วมแล้ว จากหนามแล้ว จากความทุกข์ยากแล้ว แล้วเราจะดิ้นรนไปหาความทุกข์ยากลำบากทำไมอีก ก็เลยไม่เอา ออกอยู่เป็นสามเณรต่อไป ตั้งใจศึกษาตั้งใจปฏิบัติ กระทั่งว่าบรรลุเป็นพระอรหัต์ในชีวิตของสามเณร หลุดพ้นทุกข์ไปได้เด็ดขาดน่ะ เรื่องมันเป็นอย่างนั้นมีอยู่ในสมัยโบราณมีอยู่ เราไม่ค่อย (53.16) ริอ่าน
ความจริงอ่านกันมาทุกคนน่ะ อ้ายพวกเป็นมหานี่มันอ่านมาทั้งนั้นแหละเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่เอามาคิดไม่เอามาใช้ ไม่นึกถึงไอ้เรื่องสามเณรนั่นเรื่องพระองค์นั้นเรื่องพระองค์นี้ มาคิดอย่างเดียวว่า แม่คนนั้นแม่คนนี้เข้าทีเข้าท่าดี (53.34) แน่ะ และก็ออกมาแล้วคงมีหวัง (53.36) แหล่ะ บางทีก็ได้เรื่องเหมือนกัน ในตัวกระดูกก็ไม่ได้ความอะไรน่ะ แล้วคนเรามันก็แปลกนา บางคนนะเรียกว่านับถือพระ อยากจะให้โยมนับถือในฐานะเป็นพระ แต่ถ้าพระจะสึกจะหา อย่าไปช่วยเหลืออะไร อย่างพระบางองค์จะสึก มาบอกว่าเดี๋ยวนี้นะ มีคนเอากางเกงมา เสื้อมาให้ตั้ง๑๕ ชุดเลยนะ อาตมานึกแล้ว อีบ้านั่งอยู่นี้ก็ไม่รู้ เอามาให้มากมายอย่างนั้น มันเรื่องอะไรที่เราจะไปยุให้พระสึกอย่างนั้นน่ะ เอาผ้ามาให้เอาเสื้อมาให้ มีแต่ว่าคนจะบวชจะต้องเอาจีวรไปให้ (54.14) เอาบาตรอะไร บริขาร บวชอะไรไอ้พวกนี้เอาบริขารกางเกงมาให้นี่ มันเป็นบาปนะ ไม่ใช่เป็นบุญเป็นกุศลอะไรเพราะว่า คนเขากำลังจะก้าวไป เราไปดึงแข้งดึงขานี่ นี้แหละเขาถึงว่า ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ จริงล่ะ กำลังพายไป เอาลูกศรยิงปู๊ดเข้าให้ พลัดแล้วหิ้วไปซะเลย นี่เขาเรียกว่ายิงเรือ ยิงด้วยลูกศรอะไร ลูกศรของเทพไร กามเทพอะไร ลูกศรอาบยาพิษคือความรัก ความสวย ความงาม ความเพลิดเพลินในเนื้อในหนัง ลูกศรนั้น ยิงปุ๊บเข้าให้ เข้าตาตาบอด พอเข้าหูหูบวก เข้าจมูกสำลัก พอเข้าปากอร่อย ถูกเลือก นู้นแน่ะๆถูกลูกศรอาบยาพิษ พอถูกลูกศรอาบยาพิษก็ล้มเลย สลบไสลไปเลยแล้วก็แม่โฉมยงค์เขาอุ้มไปตามความปราถนาเลย เอ๊ะทำไมเราแพ้ถึงขนาดนั้นแน นี้เขาเรียกว่าลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระธรรม ลืมพระสงฆ์
สิ่งที่เล่าที่เรียนมาทั้งหมด ลืมหมดเลยนึกไม่ออก นึกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมจึงนึกไม่ออก เพราะไม่นึกมันแล้ว เก็บเข้าตู้แล้วไอ้เรื่องนั้น กูไม่อ่านต่อไป กูจะเกาะเอาแล้วล่ะคราวนี้ มันเป็นอย่างนี้แหละ จึงเรียกว่าหาคนรักพระพุทธเจ้าเนี่ยหายาก รักธรรมะจริงๆก็หายาก รักพระสงฆ์จริงๆก็หายาก มีแต่คนจะมาอาศัยพระพุทธเจ้า ชั่วครั้งชั่วคราว พอได้อะไรสมปราถนาแล้ว ลาก่อนหลวงพ่อ แล้วก็ไปแล้วทีนี้ หลวงพ่อก็นั่งดูอยู่ต่อไป (56.00) …… โยม สังคมมันเป็นอย่างงี้เวลานี้ ระบบเมืองไทยมันเสียอยู่อย่าง คือ บวชแล้วสึกได้ มาลังกา (56.09) ดิไม่ให้สึก บวชแล้วไม่ให้สึก บ้านเราเวลาบวชดีอกดีใจเลยโยมนะลังกาบวชนี่แม่ ยาย พ่อ แม่นี่ฟูมฟายน้ำตา ร้องไห้ร้องห่มน่ะ เพราะว่าบวชแล้วเหมือนกับจากกันตลอดชาติ ไม่มีที่จะกลับมาบ้านอีกน่ะ เขาร้องไห้ ของเรานี่บวชสาธุเพราะไม่เท่าใดก็ออกมาอยู่บ้านอีกแหละ ๑๕ วัน ๒๐ วัน ๒๐ ปียังออกเลย จะไปครบรอบอะไร น่ะเรื่องมันเป็นอย่างนี้เขาก็ไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ร้อนอะไร นี่ระบบเมืองไทยมันเป็นอย่างงั้น เพราะงั้นเราจะหาคนที่จะช่วยกิจการพระศาสนาจริงๆหายาก
บางคนอยู่บ้านนอก พระบ้านนอกน่ะ ส่งมาเป็นสามเณรมา ๑๐ (56.56) รูป ให้มาเล่ามาเรียน เรียนไปๆ พอได้ปรัญญายังไม่ทันรับประกาศณียบัตร มาถึงผมลาแล้ว แม้เอ้ยเธอนี่มันคงจะร้อนอยู่นานแล้วละนะ เขาจะไปให้พ้นวัดพ้นวาสักที ลาแล้ว ไม่อยู่สักหน่อย ไม่ได้คิด เราได้ปริญญาแล้วช่วยหลวงพ่ออีกสักหน่อยเถอะ ค่อยจะสึกจะหาไปเถอะไม่ว่าอะไร นี่ไม่เอาแล้ว ไปแล้วๆ ออกแล้วอย่างงี้ ไอ้คนที่หามาส่งมาก็นั่งบ่น แหมส่งมาตั้ง ๑๐ คน มันลีบหมดเลยปลูกไม่ขึ้น ว่างั้นน่ะ ดินดี น้ำดีแต่ไอ้พันธุ์มันไม่ไหว ปลูกไม่ได้ เขาแจกข้าว (57.36) รูปนามให้ปลูก ปลูกไม่ไหว มันเป็นอย่างงี้ลำบาก (57.40) เพราะฉะนั้น ถ้ามีความรักในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แน่นแฟ้น ไม่ทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตลอดไป แต่น้ำใจที่รักอย่างนั้น ยังหายากยิ่ง ณวันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้วขอจบกันที วันนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ ๕ นาที